640118_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 24
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1vBYcpGD7IYlzMk4NvFdbdjAMaS3jknat5_atN9g2fYI/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1s9KVCK96T0Si2CHGGsY-CYo32roi-zFf/view?usp=sharing
ยูทูปที่ https://youtu.be/C01JfkMkqVM
_สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก พ่อครูเป็นผู้ที่เราเข้าไปตั้งความรัก ความเคารพ ความละอายความเกรงกลัวอย่างแรงกล้า ต่อท่าน เมื่อเร็วๆนี้ พ่อท่านได้กล่าวถึง เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเข้าไปใจกลางภูเขาโดยไม่ผ่านผิว เปลือก เนื้อของภูเขา พระไตรปิฎกเล่ม 13 ข้อ 156 มหามาลุงกโยวาทสูตร มีรายละเอียดดีมากว่า หากไม่มีการปฏิบัติ ปฏิปทา จะไม่มีทางกำจัดสังโยชน์เบื้องสูงได้
พ่อครูว่า…ก็ทักทาย ตอนนี้เรามีเทคโนโลยี ทักทายไปถึงที่ต่างๆที่เข้ามาอยู่หน้าจอโทรทัศน์ อาตมาอยู่มาอายุย่างเข้า 87 ปีแล้ว อาตมาตั้งแต่เด็กก็วิ่งเล่นอยู่ที่อำเภอวารินฯนี่แหละ ตอนเกิดมาอายุ 2 ขวบพอดีลุงก็ไปเลี้ยงอยู่ที่หนองคาย ลุงป้าก็ยังไม่มีลูกกำลังแต่งงานกันใหม่ๆ เสร็จแล้วจนอายุ 7 ขวบ ก็มีลูกป้าลูกลุง ตอนนั้นมีสงครามโลกครั้งที่ 2 ลุงเป็นแพทย์ประจำจังหวัดก็ต้องถูกโยกย้าย มีลูก 2 คน คนที่ 3 อยู่ในท้อง ย้ายไปอยู่สกลนคร มีทั้งลูกทั้งหลานอยู่ด้วยกันย้ายไปย้ายมาก็ลำบากยาก ลุงป้าก็เลยส่งให้กลับมาอยู่กับแม่ ตอนนั้นแม่ค้าขายอยู่ศรีสะเกษ อาตมาก็เลยไปเรียนอยู่ศรีสะเกษอยู่ 1-2 ปีตอนชั้น ป. 2 ตอน ป. 2 ป. 3 ป. 1 เรียนอยู่หนองคาย มาเรียน ป. 4 อยู่ที่โรงเรียนเทศบาลอำเภอวาริน โรงเรียนเทศบาลอำเภอวารินชำราบ ประมาณ พ.ศ. 2484… เราก็โสเหล่กันไปก็เหมือนกับอาตมาเป็นปู่ย่าตายายคุยกับลูกหลานไป อาตมาพูดไปก็จะแฝงอธิบายธรรมะไปด้วยฟังให้ดีแล้วก็จะรู้ว่าอาตมาพูดไปฟังธรรมะอธิบายแทรกขยายความ
กายนี้แยกเป็นกุศลอกุศลหรือไม่
_สมณะธรรมทาบฟ้า..อยากถามพ่อท่านว่า กายนี้แยกเป็นกุศลอกุศลไหมครับ
พ่อครูว่า…ถ้าเป็นกายเฉยๆก็ไม่เป็นกุศลหรืออกุศล แต่ถ้ามันเกิดกรรมเรียกว่า กายกรรม เกิดการกระทำ ทั่วไปธรรมดาเขาจะบอกว่ากายนี้คือภายนอก ถ้ากายนี้เคลื่อนไหวเขาก็เรียกว่า กายกรรม ซึ่งอาตมาก็ว่า กาย หรือว่า ภายนอก ดูเห็นอาการภายนอกเคลื่อนไหว ท่าทางลีลา แขนขาเนื้อตัว แม้แต่กระพริบตาหรือใครกระดิกหูก็ได้ ร่างภายนอกเคลื่อนไหว เขาเรียก กายวิญญัติ ไม่ได้เรียก กายกรรม แต่กายกรรมเขาก็ไปแปลความหมายเดียวกัน กายวิญญัติ ซึ่งไม่ใช่
ถ้า กายกรรมแล้ว มันจะชัดเจนเลยว่าเป็นการกระทำของกาย เป็นการงานของกาย เพราะฉะนั้น การงานของกาย เป็นการงานที่เกิดของทั้งรูปและนาม เกิดทั้งภายนอกและภายใน ไม่ใช่แค่กายวิญญัติ เคลื่อนเพียงภายนอก เคลื่อนเพียงวจี ก็เป็นเรื่องภาษาพูด มโนวิญญัติ ก็เป็นเรื่องภายใน ก็จะเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
กายกรรม มันมีจิตประกอบด้วย มันลึกซึ้งกว่า กายวิญญัติ การปฏิบัติธรรมทั้งกายทั้งจิต กายมีจิตคู่ไปด้วยเสมอ การกระทำนี้มีจิตบงการให้กระทำอย่างนี้ ถ้าวจี ก็มีจิตบงการให้พูดอย่างนี้ ๆ มโนกรรมก็มีจิตบงการก็ทำกรรมอยู่ในใจยังไม่เป็นตน ถ้ากายเฉยๆ พูดลอยๆก็ไม่แยก
สู่แดนธรรม..หากจะมีกุศลหรืออกุศลต้องประกอบด้วยเจตนาด้วย
พ่อครูว่า…อันนั้นมีองค์ประกอบอีกเยอะ
สมณะธรรมทาบฟ้า..อย่างพระพุทธเจ้ามีคำเรียกว่าเป็นธรรมกาย
พ่อครูว่า…วิญญาณ มีรูปนามต้องมีกายพร้อม พระพุทธเจ้าเรียกธรรมกายท่านตรัสของท่านเองว่าธรรมกายนี้คือเรา หรือพรหมกายคือเรา
คำว่า ธรรมกาย มาเป็นพรหมกาย ชัดขึ้นเลย ธรรมกายคือสภาพทรงไว้เต็มที่ของรูปและนามสูงสุด พรหมคือ ความสะอาดบริสุทธิ์ของรูปนาม ถือเอาจิตเป็นตัวบริสุทธิ์สูงที่สุด ของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมกายหรือพรหมกาย
ภาษาพูดเฉยๆว่า กาย ไม่ได้บอกว่า กุศลหรืออกุศล แต่ที่พูดถึง ธรรมกาย พรหมกายก็เป็นกุศลทั้งนั้น แต่ถ้าอพรหมกายก็เป็นอกุศล
สมณะธรรมทาบฟ้า..ถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ กาย ก็ยังมีกุศลอกุศลปนกัน
พ่อครูว่า…ใช่ เป็นพระอรหันต์ขึ้นไปก็มีกายที่มีแต่กุศลไม่เป็นบาป กุสลัสสูปสัมปทา ไม่มีบาปไม่มีบุญ สัพพปาปัสสอกรณัง ไม่มีบาป หรือบุญ ชีวิตที่เหลือไม่ต้องทำบุญ เป็นพระอรหันต์แล้วไม่ต้องทำบุญ การกระทำทุกกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของพระอรหันต์เป็นกุศลทั้งนั้น หมดบุญ ปุญญปาปริกขีโณ
สมณะธรรมทาบฟ้า..เรียกธรรมกายได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…หากเป็นกายที่สมบูรณ์ด้วยธรรม สมบูรณ์ด้วยพรหมก็เรียกธรรมกายได้
พวกเราพูดคุยถามธรรมะกัน น่าสงสารข้างนอกเขา คือ เราพูดสิ่งละเอียดทั้งพยัญชนะและสภาวธรรม นิพพานังปรมังวะทันติพุทธา ไม่นิพพานไม่ยอมจบ พวกเรานี้
อาหารเป็นหนึ่งในโลกข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง
_ช่วยบุญ…โควิดรอบ1 ปิดชุมชนเหมือนรอบ 2 แต่ปิดชุมชนรอบแรกมีเพ่งกันว่า ใครออกไปนอกชุมชนบ้าง ใครไม่ปิดประตูรั้วบ้าง ใครไม่ใส่แมสบ้าง ก็อยู่กันอย่างผาสุก แต่ต่างคนต่างอยู่
รอบที่ 2 มาอีกแล้ว ต่างคนต่างกลัว เพราะตระหนักดีว่ามันร้ายแรงแค่ไหน ต่างคนก็ต่างมองกันว่าใครออกไปไหนบ้าง รอบสองนี้เราได้มารวมกลุ่มกัน ทำงานเรื่องกสิกรรมอย่างเต็มที่เพราะมีงานเพื่อฟ้าดินเข้ามา เป็นอะไรที่อบอุ่นและชุมชนของเรามีการเคลื่อนตัวอย่างแรงกล้า …ขอร้องเพลงเล็กน้อย…กสิกรแข็งขัน..
มีอีกเรื่องหนึ่ง หลังจากจบงานเพื่อฟ้าดิน เราก็รู้สึกว่าดีแท้ มีความอบอุ่นทั้งบวร แต่ก่อนพ่อครูสอนสาธารณโภคีก็ยังไม่ซาบซึ้ง แต่พอเราลงมือทำกันจริง คนอื่นก็บอกว่าช่วยบุญพัฒนาตัวเองขึ้น ไปขออะไรก็ให้หมดเลย ตอนนี้ช่วยบุญรับเพาะกล้า ก็ให้ทุกสวน ให้ด้วยจิตมีความสุข จิตที่เข้าใจคำว่ากลุ่ม คำว่าทีม ก็มีความสุข ซาบซึ้งถึงสาธารณโภคีในจิตใจ
พ่อครูว่า…ดี คือ ความรู้สึกของคน ปัญญา ความเฉลียวฉลาดของคน รู้อะไรคือความมีค่า อะไรคือความประเสริฐ คนที่รู้สาระสัจจะแท้ๆ ของชีวิต โดยชีวิตของความเป็นคน พระพุทธเจ้าตรัสว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก โดยเฉพาะกวฬิงการาหาร คือ สิ่งที่กินเข้าไปเลี้ยงขันธ์ เป็นหนึ่งในโลก เพราะฉะนั้นคนประเสริฐ คนที่มีภูมิปัญญาดีจะรู้ว่าชีวิตของมนุษย์นี้ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ คำข้าว คือสิ่งที่จะกิน พืชพันธุ์ธัญญาหาร นี่คือยอดทรัพย์สินของมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานสัตว์โลก เสือก็กวางเป็นอาหารยอดของมันคือสัตว์กินสัตว์ งูก็ต้องกินเขียดสัตว์เล็กสัตว์น้อย แต่คนนี้กินพืช พืชเป็นทรัพย์จริงๆเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่าข้าวเปลือก คือ พืช ไม่ใช่สัตว์ ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง อาหารเป็นหนึ่งในโลก
ท่านเน้นยอดของพืชคือข้าว คนกินข้าวเป็นหลัก ในพืชพันธุ์ธัญญาหารก็มีข้าวเป็นหลัก มันจะมีธาตุอาหารครบมากกว่าอะไร ข้าวเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ท่านไม่ได้บอกว่าทองคำเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง หรือว่ายุคนี้ท่านไม่ได้บอกว่า ธนบัตรเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ไม่ใช่
เพราะฉะนั้นคนที่เอาชีวิตมารู้จักว่าคนจะไปปั๊มแบงค์ ไปทำงานแล้วก็ได้รับแบงค์ธนบัตรได้เงิน 1,000 ล้าน ต่อวัน คนรวยๆเดือนหนึ่งเงินเข้าเป็นพันล้าน ขนาดนั้นก็ตามไม่ใช่ทรัพย์อย่างยิ่ง แต่เป็นภัยด้วย คนที่ขี่รถมีวิธีการเชิงกล สามารถสร้างค่ายกลให้ตัวเอง ค่ายกลวิธีการของตัวเอง กวาดเงินไหลให้แก่ตัวเองได้ วันๆหนึ่งยิ่งกว่าน้ำก๊อก คนนั้นต้องมีวิธีการได้เปรียบระบบทุนนิยมได้เปรียบเขามากมีแต่บาปกับบาป เพราะเป็นการเอาเปรียบไม่ใช่การเสียสละ
สิ่งที่อธิบายไปเป็นเรื่องซับซ้อนพิศดารของชีวิต เราจะรู้จักชีวิต อาตมามาทำงานศาสนา เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาขยายความ จนกระทั่งพวกคุณหลายคนประกอบอาชีพกันจากเดิมก็เลิกมา จนมาอยู่นี่พามาทำ พืชพันธุ์ธัญญาหาร แต่บางคน แม้ว่าที่นี่ ทำพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นหลักใหญ่ แม้บางคนไม่ชอบทำงานนี้ มันก็มีงานอื่นบ้างให้ทำ จนกระทั่ง มีทั้งงานการศึกษา งานสอนนักเรียน งานสื่อสาร งานทางธุรกิจ เทคโนโลยี งานวิศวกรรม ก็ต้องอาศัยบ้าง แต่การทำพืชพันธุ์ธัญญาหารอาตมาก็เน้น งานอื่นเราก็รู้กันว่าก็ทิ้งไม่ได้เหมือนกัน แต่ใครจะลงไปทำกสิกรรมโดยงานอื่นก็พอเป็นไปไม่เสียงาน ก็ยินดี ถ้าจะโถมร่างโถมชีวิตโถมแรงงาน ให้ได้มากๆด้วย ไม่ต้องห่วงหรอกว่าเราจะแจกไม่ออก ฟังไว้นะ ชุมชนอื่นๆใดๆที่กำลังฟังธรรมอยู่ก็ตามของชาวอโศก
อาตมาประกาศไปอธิบายไปชักชวนคนไทย หันหน้ามาเอาเรื่องกสิกรรมขยันหมั่นเพียรกันแล้วเชิดชูกสิกร เชิดชูคนมาทำพืชพันธุ์ธัญญาหาร เชิดชูจนกระทั่งอาตมาพูดเลยเถิดไปจนถึงให้เหรียญตรา ราชการหรือดีไม่ดีเบื้องบนให้เลย เป็นคุณูปการทางด้านกสิกร มีเหรียญตราให้ยศชั้นให้เงินด้วยเชิดชูกันเลย อาตมาว่าจะเป็นประเทศที่รู้จักว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก หรือข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสจริงๆ นี่สุดยอด นะ
_สมณะบินบน…ประวัติศาสต์ชาวอโศกบางส่วน วันนี้ในอดีตเมื่อ 16 ปีที่แล้วพ่อท่านและคณะกองทัพธรรมได้ไปซับขวัญชาวใต้ในเหตุการณ์สึนามิที่ภาคใต้ ตั้งฐานทัพใหญ่อยู่ที่อุทยานพระนารายณ์ ในวันนี้หนังสือเดลินิวส์ก็ได้ลงข่าวพวกเรา ส่วนวันนี้ในอดีตเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก็มีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ คือ เวลา 09:59 เครือข่ายภาคประชาชนนำโดยกองทัพธรรม มีขบวนธรรมยาตรามุ่งหน้าสู่พระมหาราชวังถวายฎีกา เรื่องไทยเสียดินแดนให้เขมรที่กรณีเขาพระวิหารมีคนมาร่วมกว่าหมื่นคน
พ่อครูว่า…พวกข่าวพวกนี้เราลืมไป ต้องฟื้นขึ้นมา เราได้ทำงานประท้วง เราได้ทำงานการเมือง
_สมณะบินบน…(พูดต่อ)ส่วนครั้งนี้สมณะไม่ได้ไปด้วย แต่มีดร.วัลวิภา คุณไชยวัฒน์ คุณธำรงได้ไปที่นั่น แล้ววันนี้คุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ก็ถูกจับด้วย พวกเราก็ได้มีความภาคภูมิใจที่เสียสละเพื่อประเทศชาติ
_ในปางฝัน…ที่ลานนาอโศกภูผาฟ้าน้ำ เราได้สูญเสียบรรพชนของเราไปคือคุณยายใบไม้ สุทธิชีวะ ด้วยโรคประจำตัว สิริอายุ 77 ปี มีคำถามว่า จากที่ผ่านมาไม่กี่เดือน คุณยายใบน้อมก็จากเราไป เป็นบรรพชนอีกท่านหนึ่งเหมือนกัน ต่อด้วยคุณยายใบไม้ ก็ทำให้หนูมีความรู้สึกว่าแต่ละท่านก็จากไปทีละท่าน ด้วยวัยที่มีอายุมากขึ้น ก็ได้เห็นจิตของตัวเองลึกๆมันก็มีจิตที่หมองนิดๆ อยากถามพ่อครูว่า เราจะทำจิตทำใจอย่างไรถ้าคนที่เรารักเรารู้สึกผูกพัน โดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วเราจะทำใจอย่างไรให้พ้นจากความรู้สึกรักผูกพันโดยไม่รู้ตัว เวลาที่เขาจากไปแล้วเราก็เป็นทุกข์
พ่อครูว่า…ดี ถามแสดงว่าเราได้ศึกษาธรรมะ คนทั่วไปเขาก็เป็นแล้วเขาก็ไม่ได้นำพาตามดูอาการทางจิต มาเป็นภาระเป็นเรื่องควรต้องวินิจฉัยควรค้นคว้า ควรจะเรียนรู้ต่อไปว่า อารมณ์พวกนี้เป็นอย่างไร แสดงว่าจับอารมณ์ของตัวเองได้ว่ามันเกิดอยู่ ก็บอกถูกว่า อารมณ์มันเศร้าหมองอาลัยอาวรณ์ เป็นต้น
ก็เพราะเราศึกษา แล้วก็ยังปฏิบัติ ทำปัญญาอันยิ่งยังไม่ได้เห็นแจ้งเห็นจริงในไตรลักษณ์ ว่า มันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็เสื่อมไปหรือดับไป เป็นธรรมดาธรรมชาติไม่มีอะไรไม่เสื่อม พระพุทธเจ้าตรัสเป็นปัจฉิมโอวาท สุดท้ายมันก็ดับ แม้พระพุทธเจ้าตรัสรู้สูงสุดแล้วมันก็ดับ มีแต่พระเจ้าที่ไม่ดับพระเจ้ามีชีวิตนิรันดร แต่ของพวกเรามีการดับ ก็เข้าใจว่าพระเจ้าคืออะไรและเราก็ไม่ได้มีพระเจ้า ดับแล้วเราก็ไม่ได้ไปอยู่กับพระเจ้า ผู้ที่สูงสุดก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน รู้จักอัตตา อาตมัน รู้จักแม้ปรมาตมัน ความเป็นตัวตนอัตตา
พอเราตายสูญ จิตที่เราสามารถทำมนสิการ ทำจิตในจิตของเราให้มันเป็นเรียนรู้แล้วทำให้เป็นจนทำให้เป็นธาตุอุตุ แม้ตอนเป็นๆ เราก็สามารถทำจิตของเราให้มีอาการของอุตุธาตุ เป็นอาการที่มันไม่เศร้าหมอง อโศก วิรช เขมัง คือจิตของเรายังพัฒนาจิตของเราไม่ได้ ที่ถามมาจะทำอย่างไร
ทุกวันนี้เราเรียนรู้ฝึกฝนอยู่ แม้แต่ในปางฝันก็เรียนรู้อยู่ อย่าใจร้อนใจเร็วอยากให้มันไม่มีอาการนั้นเร็วๆ เหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น มีโยมใบไม้ ใบน้อมเสียก็มีอาการจิต ก็ศึกษาไปเถอะ แล้วจะเรียนรู้ปฏิบัติไปอย่างที่เราเรียนรู้ แล้วก็อ่านให้รู้ สักวันหนึ่ง จิตของเราถึงขีดขั้นอรหัตตผล คือจะมีอรหัตผลในโลกซ้อนโลก อย่างในโลกอบาย โลกชั้นต่ำ อย่างในปางฝัน ปฏิบัติมาแต่ก่อนนี้เราเคยไปสนุกสนานเคยไปเกี่ยวข้องในเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่มันเป็นเรื่องที่ ตอนนี้เรารู้ เราก็ละอายตัวเอง อย่าไปคลุกคลีเกี่ยวข้องอย่าไป สังสัคคะ อย่าไปเห็นเป็นสวรรค์เป็นเรื่องสิ่งสนุกเพลิดเพลิน จะต้องไปมีพฤติกรรมอย่างนั้น เดี๋ยวนี้จบกิจแล้ว กระทบกระทั่งก็มันก็เฉยๆ อาการเฉยๆ อาการอย่างนั้นแหละเป็นอาการที่ลงตัว เรียนรู้ตอนเป็นๆนี่แหละ เราจะรู้ว่าอันไหนที่เคยมีในโลกเราเคยเกี่ยวข้อง แต่เดี๋ยวนี้แต่ก่อนเราเคยเป็นสุขเป็นอร่อยเพลิดเพลิน ถ้าไม่ได้ก็เป็นทุกข์ ไม่ได้มีบทบาทในชีวิตเราไม่ได้เป็นสวรรค์ สวรรค์ก็คือนรก นรกมันซ่อนกับสวรรค์ เหมือนกระดาษที่มี 2 หน้า เอาออกจากกันไม่ได้ เราดับทุกข์ดับทุกข์ให้เฉยกลางได้ก็จบ เรื่องอะไรก็แล้วแต่ตอนนี้เราสัมพันธ์ จากผู้ที่เคยชอบพอเคยห่วงหาอาลัยอาวรณ์กันอยู่ เมื่อพรากจากก็เลยเกิดอาการอย่างนี้ ทำจิตใจให้รู้สึกเหมือนเราเคยเลิกจากโลกอบายที่เราเคยติด จิตอย่างนี้มันสบายกว่าไหม ไม่ใช่ว่าดับไม่รู้เรื่อง เราก็รู้ว่าอย่างนั้นมันเกิดอยู่ เดี๋ยวนี้ไม่เกิดอยู่เรามีอาลัยอาวรณ์หรือไม่อย่างไร กับอย่างโน้นเราเคยทำได้ แล้วก็เคยเห็นว่ามันไม่เที่ยงหรอก ถ้าเรายังมีอะไรติดใจในลึกอยู่มันไม่ได้เรื่อง แต่ถ้าหมดแล้วมันรู้ความจริง หมดอุปาทาน อันนี้ก็คืออันนี้ อันนี้เป็นญาติธรรมเคยสนิทชิดเชื้อ เราเคยมีกิจกรรมร่วมกันมีการงานอยู่คบคุ้นอาศัยใช้สอยกินอยู่ด้วยกันอยู่ แต่ตอนนี้ตายจากไป เราก็รู้ไตรลักษณ์ มันก็มีวันที่พรากจากกันไม่มีอะไรไม่พรากจากกัน เราก็รู้ยังเป็นความจริงปัญญามันจะแจ้งว่าถึงเวลาแล้วหนอ บางทีไม่คิดว่าจะไปบางทีก็ไปไวจัง ไม่คิดว่าจะต้องตายตอนนี้ แต่บางคนเราก็รู้ว่าคงไม่นานหรอก ดีไม่ดี บางคนบอก ทรมานอยู่ทำไม ทำไมไม่รู้จักตายสักที อันนี้ไม่ใช่เป็นความอยากให้ตาย จะเป็นความสงสาร จะยื้อขันธ์ไว้ทำไม มันสมควร เขายังไม่ปล่อยวางขันธ์
สู่แดนธรรม…นึกถึงกลอนของคุณไม้ร่มว่า ความตายนี่แหละมันเป็นสิ่งที่สมควรแล้วทำให้เราหลุดออกจากห้องขังที่ทรมาน
ทำอย่างไรจะไม่กลัวตาย
_ด.ญ.ดาวเพ็ญเพชร หนูมีคำถามว่า “หนูกลัวตาย” จะทำอย่างไรดีคะ?
พ่อครูว่า…อันนี้ลึกซึ้งอันนี้สำคัญ ก็ต้องพยายามศึกษาสิ่งที่หลวงปู่อธิบายไป พี่น้องปู่ย่าตายายพี่ป้าน้าอาใครที่รู้หรือแม้แต่สมณะสิกขมาตุ อาศัยซักไซ้ไล่เรียงถาม จะเข้าใจไปเรื่อยๆเพราะแต่ละท่านแต่ละองค์จะมีคำอธิบายเป็นคนละเชิง ให้เราเข้าใจ มันอาจยากลึกซึ้ง มันจะต้องตายทุกคน แต่เด็กที่ระลึกถึงความตายแสดงว่าคนนี้มีความรู้สึกพิเศษ หรือผู้ใหญ่ก็ตามจะรู้สึกเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ อาตมาก็เคยรู้สึกกลัวความตาย กลัวจะเป็นมะเร็งตาย ต่อมาเห็นศพเขาแห่ผ่านไปหน้าบ้านก็รู้สึกว่ากลัวจะต้องตายเหมือนอย่างนี้ แต่วิธีแก้ของอาตมาก็คือรีบไปนอนหลับไม่คิดอะไร ตื่นขึ้นมาก็หาย มันยังไม่เป็นปัญญาไม่เป็นปฏิภาณ
คนที่รู้สึกกลัวความตาย สามัญก็กลัวความตาย แต่เขาจะไม่สะดุดตัวเองว่ากลัวความตาย แต่ถ้า เมื่อเจ็บปวดกลัวจะตายหรือว่ามีเหตุการณ์อะไรที่เข้าไปแล้วเราจะกลัวตายก็เป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่มีอะไรแต่เรารู้สึกกลัวความตายอันนี้เป็นเหตุการณ์พิเศษ คำตอบที่สูงที่สุดก็คือคุณยังไม่บรรลุธรรม ไม่รู้จักความเกิดความตายซึ่งเป็นธรรมดา ยังไม่รู้ว่าเป็น “ธรรมะ-ตา” ธรรมดา ถ้ามีสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ต้องตาย ถ้าจะไม่ตายสิ่งนั้นก็ต้องไม่เกิด คนจะมีปัญญาเข้าใจว่าเกิดอะไรต้องตาย เพราะฉะนั้นคุณจะดีคุณจะชั่ว ตายทั้งนั้น จึงว่า ไม่ต้องไปกลัวไม่ต้องไปห่วงหรอกตายแหงๆ จะไปกลัวทำไมทุกคนต้องตาย ก็ต้องกลัววิบาก ทำอย่างไร เราจะตายโดยที่ตายดี ไม่ตายด้วยอุบัติเหตุถึงเวลาตายก็ตาย คนที่ตายดีที่สุดก็ถึงเวลานอนหลับ หายไปอย่างสงบเลย นี่ตายดีที่สุด นอนหลับแล้วหายไปเลย จะนอนเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ อย่างพระพุทธเจ้าท่านจะตายท่านก็นอนแล้วท่านก็จะปรินิพพาน ท่านรู้หมด ท่านลงนอนแล้วก็ตายตามเวลานั้นๆ รับรู้กันหมด พระภิกษุต่างๆก็มาล้อม พระอนุรุทธก็ตามจิตท่าน ตอนท่านดับขันธ์แล้ว นี่คือสิ่งที่ต้องตาย มีพวกเราคนหนึ่งชื่อว่า ต้องตาย เป็นไงฟังแล้วคลายขึ้นไหม
ไม่ต้องกลัวพิจารณาให้ดี คนเราเกิดก็ต้องตาย อะไรเกิดก็ต้องตาย หลวงปู่ก็ต้องตาย ผู้รู้ทั้งหลายผู้รู้จะต้องตาย เกิดมาแล้วต้องตาย เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกลัว มันเกิดมาแล้วนี่ เรายังไม่มีปรินิพพานยังไม่ได้ทำปรินิพพาน(ไม่เกิดอีกแล้ว)ก็เกิดมาเวียนวนอีกนาน เราเกิดมาไม่รู้กี่ชาติแล้วเกิดมาแล้วก็ต้องตาย เกิดมาตายแล้วก็ตาย เคยตายมาไม่รู้กี่ร้อยล้านชาติแล้ว แต่จำไม่ได้เท่านั้นเอง เราไม่ต้องกลัวมันเพราะเราเคยตายมาแล้ว มันก็ไม่เห็นเป็นไรก็ต้องเกิดอีกนั่นแหละ แต่คนก็ต้องตายอีก ที่นี้เมื่อเราศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างหลวงปู่จะรู้ว่าเกิดตายเป็นเรื่องธรรมดา ที่นี้เราก็จะไม่กลัวตายนี่คือคำตอบ ถ้ารู้ตัวเองว่าว่าอ๋อเกิดแล้วต้องตาย คนที่รู้อย่างนั้นแล้วก็จะไม่กลัวตาย นี่คือคำตอบศึกษาธรรมะกับหลวงปู่นี่แหละ
เกิดมาชาติหน้าอยากเป็นชาวนา
_สมณะลือคม…รายงานเรื่องความเป็นอยู่ของบวรศาลีอโศก จากเดิมที่มีปัญหาบ้างเล็กๆน้อยๆ จะมีปัญหาที่ความรู้สึกความคิดเห็น ต่างคนต่างคิดต่างคนต่างทำ เป็นปัญหาที่ทำอย่างไรก็รู้สึกว่าคลี่คลายไม่ได้ ในช่วงนี้ที่ได้เรียนรู้เรื่องของกาย เรารู้ว่าต่างคนต่างกาย เราเรียนรู้ต่างคนต่างอยู่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่มีแนวคิดของท่านใต้ดาว ให้มาร่วมกันทำร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาชุมชน แม้แต่เรื่องกสิกรรม วันนี้ทำโต๊ะผักเพิ่มอีก มีความรู้สึกว่ากระบวนการกลุ่มที่ทุกคนมาร่วมกัน เพื่อสลายตัวตน ได้เห็นเลยว่าพอมาร่วมกันแล้วสลายได้จริง แต่ก่อนคนนั้นคนนี้ก็ไม่ได้มาเอาแต่งานของตัวเองกัน ตอนนี้เห็นความสลายตัวตน ทำให้เห็นแนวทางของที่ราชธานีอโศกและปฐมอโศก รู้สึกเลยว่าทำให้หลายคนคิดไม่ถึงว่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้
พ่อครูว่า…มาทำงานร่วมกัน เราได้ศึกษาธรรมะมา เราจะได้รู้ว่าชีวิต ขณะทุกขณะปัจจุบันอะไรดี เราก็ทำการงานอันควร การทำการงานอันควรคนเดียว มันจะโดดเดี่ยวว้าเหว่ทำงานไป ถ้าคนที่ชิน หรือชอบ ชอบทำงานคนเดียวคนอื่นไม่ต้องเกี่ยว คนนี้ก็จะทำงานคนเดียวไปตามประสาเขา ตามฐานะของบุคคล แต่ถ้าบอกว่าทำงานคนเดียวมันรู้สึกว่ามันไม่อบอุ่นมันไม่มีอะไร มันว้าเหว่แต่ถ้ามีใครร่วมกันทำงานแล้วก็ไม่มีอะไรที่มันกระทบกระทั่งต่างคนต่างทำไป มีผิดพลาดบ้างก็ช่วยเหลือแก้ไขกันไป เพราะคนเราต้องมีผิดพลาดบกพร่อง มีอะไรผิดพลาดบกพร่องก็ช่วยกันแก้ อะไรดีก็ช่วยกันส่งเสริม ทำร่วมกันมันก็เท่านั้นเองในชีวิตการกระทำหรือการงาน อาตมาบอกแล้วว่าโศลกธรรมปีนี้..คน ถ้าไม่ทำงานก็เดรัจฉานธรรมดา โศลกมันก็เข้ากับเรื่องนี้
คนรู้จักพักรู้จักเพียร รู้จักสาระว่าอะไรควรทำดีที่สุดให้แก่สังคม สังคมมีอะไรเป็นวัตถุเป็นอุปสงค์และเราก็จะต้องทำให้ สร้างอันนี้อุปสงค์ที่ถาวรมากก็คือพืชพันธุ์ธัญญาหาร สิ่งที่มนุษย์จะต้องอาศัยร่วมกันใช้ ไม่ใช่อาตมาพูดแต่พระพุทธเจ้าตรัสมาก่อน อาหาร เป็นหนึ่งในโลก ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง พวกเรามาเป็นชาวกสิกรจึงมีงานมีอาชีพที่เป็นที่หนึ่งในโลกซึ่งหนึ่งอาหารเป็นหนึ่งยิ่งมาเป็นชาวนาเป็นผู้ที่สร้างทรัพย์อย่างยิ่งให้แก่โลก
พ่อครูยกหัวหอมใหญ่สีขาวพร้อมต้นใหญ่สวย อาตมายิ่งซาบซึ้ง
ขยายความธรรมะพระพุทธเจ้ายิ่งอย่างลึกเข้าไปถึงสัจธรรมความจริง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง อาหารเป็นหนึ่งในโลก มันซาบซึ้งชัดเจน ถ้าหากอาตมาไม่ได้รับหน้าที่ จนกระทั่งรับหน้าที่มาหลายชาติจนมาถึงชาตินี้มาสอนอีก อาตมาก็จะเจริญไปเป็นชาวนา คนที่รู้ดีเข้าใจดีว่าชีวิต มันเป็นชาวนา หมอฟากฟ้าหนึ่งบอกไว้ว่า ชาติหน้าเกิดมาจะขอเป็นชาวนา
หมอฟากฟ้าหนึ่ง ทพญ.ฟากฟ้าหนึ่งบอกว่า รู้อย่างนี้เกิดมาจะมาเป็นชาวไร่ชาวนาและเกิดมาชาติหน้าจะมาเป็นชาวนาชาวกสิกร นั่นคือเป็นความรู้สึกจริงๆ เป็นคนรู้ความสำคัญในความสำคัญ ความประเสริฐของมนุษย์ อาตมาถึงพยายามเห็นว่าเมืองไทยถ้ามีความเข้าใจอันนี้ รู้อันนี้ว่า เป็นหนึ่งในโลก ท่านพูดเลยว่า ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ท่านรู้ว่าทุกชนชั้นที่อยู่ในสังคมท่านเคารพยกย่องเชิดชู ไม่ใช่มา ข่ม ไม่ใช่ให้รู้สึก เป็นผู้ต่ำต้อย แต่จะเข้าใจเลยว่าจะต้องให้เกียรติ ผู้ที่ควรยกย่อง เป็นผู้ที่ทำให้เรากินให้เรามีชีวิตต่อไป เป็นคนมีเรี่ยวแรงความรู้ความสามารถก็ทำขึ้นมา เรื่องที่จะขายได้จะเลี้ยงชีพอย่างอื่นก็เป็นอีกเรื่อง แต่เป็นผู้ผลิตลงมือทำ จะรู้สึกว่า อันนี้มีคุณค่าต่อเรา แม้แต่คนอื่นๆ ที่ต้องกินอันนี้ก็ตาม ถ้าเราเกี่ยวข้องกับคนคนนี้ก็ต้องกินของคนคนนี้ ถ้าเราไม่ได้ทำคนคนนี้ทำคนนี้เลี้ยงเราคนนี้ยังชีพเราไว้ เข้าใจไหม อาตมาพยายามใช้ภาษาธรรมดาอธิบาย
สู่แดนธรรม..ผมสังเกตว่าเวลาพ่อท่านสอนธรรมะมาหลายเรื่อง เรื่องที่ชวนให้คนทำกสิกรรมธรรมชาติ ยังไม่มีใครมาวิจารณ์มาด่าว่าพ่อท่านได้เลย ถ้าไปวิจารณ์เรื่องอื่นเขาจะตอบกลับมา แต่เรื่องอาหารที่มีคุณค่าชวนให้คนทำกสิกรรม
พ่อครูว่า…ไม่ได้ไปตำหนิอาหารเขาก็ไม่ว่า ถ้าไปตำหนิคนทำพืช คนทำข้าวทำอาหารก็ดี เขาก็ต้องมาด่า แต่นี่ไม่ได้แปลว่าใคร
กายกับจิตต่างกันอย่างไร
_ด.ช.อิ่มบุญ…กายกับจิตต่างกันอย่างไรครับ
พ่อครูว่า… ต่างกันคือ กาย นั้น เรียกความ2 ร่วมกันอยู่ เรียกว่า ภายนอกกับภายใน ของชีวิตสัตว์ จะเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ตามคนก็ตาม หนึ่งชีวิตนี้มี กาย คือมีภายนอกกับภายใน
ภายนอกท่านเรียกด้วยภาษาว่า รูป ภายในเรียกว่านาม
รูป มีดินน้ำไฟลมผสมกันอยู่อย่างสนิทเนียน เหมือนอย่างดินน้ำไฟลมไปเป็นพืชต่างๆเป็นหอมเป็นต้น แต่ทีนี้ผสมแต่สูงกว่าหัวหอม มันมีความเป็นชีวิตผสมอยู่ เป็นสิ่งมีชีวิตมีคุณภาพสูงกว่าความเป็นพืชเรียกว่าจิต หรือ ใจ
กายมีทั้งดินน้ำไฟลม แล้วมีทั้งจิตหรือใจ รวมเป็นสอง ส่วนจิตนั้นหยิบมาอธิบายแต่จิตใจความรู้สึก หรือธาตุที่เป็นกิริยาอาการของจิต การงานของจิต การงานของใจ มันไปรู้สึกสุขทุกข์หรืออย่างนั้นอย่างนี้ จะเป็นตัวประธานของ กาย ประธานของทั้งกายทั้งจิต
มีตัวหนึ่งเป็นประธานตัวนั้นเรียกว่าความรู้ยอดหรือความไม่รู้ยอด ภาษาบาลีเรียกว่า วิชชา กับ อวิชชา
จะรู้อรูปได้ต้องล้างกามล้างรูปก่อน
_ไว้ใจ แม้นมาลัย…วันนี้มีญาติธรรมคนสนิทมาถามคำถามที่ไม่เคยถามมาก่อนเลยในชีวิตนี้ เขาถามว่า “อรูป” คืออย่างไร? ใจผมตอนนั้น ก็นึกว่า เขาคงถามถึงกิเลสในอรูป ผมก็สะดุดใจ เพราะว่าไม่เคยมีใครถามมาก่อนในชีวิตนี้ก็เลยตอบไปว่า..
กิเลสในอรูป คุณจะไม่รู้จักได้เลยถ้าคุณยังไม่ลดกิเลสในระดับของ “กาม” คือ กิเลสที่ทำให้เราทุกข์เราทุกข์อยู่ใน ความเกี่ยวเนื่องกับตาหูจมูกลิ้นกายภายนอก ถ้าเราจะรู้จักมันได้เราจะต้องลดละกิเลสในระดับของ “กาม” คือ สุข-ทุกข์ ที่มันเกิดจากรูปภายนอกให้ได้ก่อน จนหลังจากนั้นคุณเชื่อว่าจิตคุณสงบจริงแล้ว สักโอกาสหนึ่งที่คุณไปประสบพบกับ เหตุการณ์ที่เนื่องด้วยรูปภายนอก แต่มันจะมีอาการเกิดขึ้น เป็นอาการที่พริ้วแผ่วเพียงเล็กน้อย เราจะรู้สึกว่ามันไม่สุด เราจะไม่ยินดีกับอาการตัวนี้เลย เป็นกิเลสส่วนปลาย แล้วเราจะสามารถ ละได้ เพราะเราเคยละกิเลสกามภายนอกได้อย่างช่ำชอง ผมได้ตอบ กับญาติธรรมใกล้ชิดไป ผมตอบไปอย่างนี้ ผมก็นึกบอกเขาว่าเดี๋ยววันนี้จะถาม ถามพ่อครูว่า ที่ตอบไปพอจะเข้าเค้าบ้างไหมครับ
พ่อครูว่า…ตอบอย่างนี้ก็ได้คะแนนเต็ม อธิบายอย่างนี้อาตมาอุ่นใจ ว่าเราอธิบายธรรมะให้พวกเราฟังแล้วสามารถเข้าใจธรรมะ เป็นอภิธรรม อธิบายเป็นภาษาตัวเองด้วยนะไม่ใช่อธิบายเป็นภาษาตำรา พวกเราฟังก็พอจะรู้ว่าเป็นภาษาจริงของเขา
_สู่แดนธรรม…คุณไว้ใจตอบได้เข้ากับที่ผมเกริ่นไว้ตอนแรก
พ่อครูว่า…อรูปตัวท้ายคือ เชื้อของเเก่นที่เราไม่ได้ล้าง แก่นที่ยังมีเศษของแก่นธุลีของแก่นที่เรายังไม่ได้ล้าง เราทำข้างนอกแต่เปลือกไปกระพี้ไปถึงแก่น
ปฏิบัติธรรมต้องล้างกิเลสตั้งแต่เปลือกภายนอกไป แล้วก็มีเชื้อภายในจะเรียกว่าเป็นเชื้อโรคก็ตาม ล้างให้สะอาด จนกระทั่งถึงสุดท้าย หาแก่น บ้างหมด เหลือแต่เชื้อโรคของแก่นหมดไปก็สะอาดได้ ผู้ปฏิบัติธรรมก็อธิบายต่อว่าพวกที่มิจฉาทิฏฐิไปนั่งหลับตา บอกว่าไปละกิเลสในจิตเลย กายวจี ระดับนอก ระดับกลางไม่เอาเลย ไปเข้าภายในสงบเลยพวกนี้โมฆะพวกนั่งหลับตาสะกดจิต เป็นของเดียรถีย์เก่า ไปนั่งหลับตาปฏิบัติเป็นสมาธิ ซึ่งผิดหมดเลยไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า มันผิดหมดจนกระทั่งมันไม่มีทางออก เป็นอาริยธรรมเกิดเลย ตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังไม่เกิด พระพุทธเจ้าเกิดมาก็มาสอนเรื่องใหม่แม้แต่แค่เป็นลำดับ มันก็ไม่มีแล้ว เสร็จแล้วมาถึง 2,500 กว่าปีที่อาตมาเกิดมาในยุคนี้มาทำงาน เขาก็นั่งหลับตากันหมดกลายเป็นเดียรถีย์แบบยุคโน้น อาตมาก็เอามาฟื้นใหม่แล้วเขาก็หาว่าอาตมาเอาอะไรมาพูด เพราะเขายึดติดอันนี้แล้วบอกว่าอาตมาสอนนอกรีต ครูบาอาจารย์สอนกันมาอย่างนี้ทั้งนั้น
ไว้ใจ มาอธิบายเมื่อกี้นี้ อธิบายได้เรียงลำดับถูกต้องเลยเป็นสัมมาทิฏฐิ อาตมาก็อุ่นใจว่า อธิบายธรรมะพวกเราเข้าใจแล้วทำได้ คุณรู้โครงสร้างทฤษฎีถูกต้องแล้ว เหลือแต่ทำนี่แหละ ทำไปเดี๋ยวก็จะบรรลุเอง ถือศีล 8 พรหมจรรย์ไปเดี๋ยวก็เป็นเพื่อนกันได้ จบพรหมจรรย์ ก็เป็นเพื่อนเป็นญาติธรรมกันได้ทุกคนเป็นไปได้ไม่มีปัญหา
เอกีภาวะ กับ Monolith
_หมดบุญ แก้วมณี…ความหมายของ monolith คืออะไร เกี่ยวกับเอกีภาวะหรือไม่
แล้วนาโม ที่เขาดูแลอยู่ มีความหมายว่าอย่างไรครับ
พ่อครูว่า…monolith แปลว่า แท่งหินแท่งเดียวยืนโดดเด่นอยู่ แท่งหินตั้งอยู่ที่ใดก็ตาม ไม่มีบริวารเลย เรียกว่า monolith แท่งหินตั้งอยู่เดี่ยวเป็นสง่า จะไปหมายถึงความหมายอื่นก็ได้ หมายถึง ลักษณะที่โดดเด่นหนึ่งเดียวๆอยู่ยังไม่มีบริวารเลย
เกี่ยวกับเอกีภาวะหรือไม่? เดี่ยวๆ มันไม่เป็นเอกีภาวะ เอกีภาวะเป็นภาวะขององค์รวมไม่ใช่ภาวะของเดี่ยวโดยไม่มีอะไรประกอบ เอกีภาวะคือภาวะที่รวม จากหลายๆ มารวมกันเป็นหนึ่งเดียว
เอกีภาวะ จะอยู่หลังสามัคคียะ คือ มีความแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นภาวะความเป็นหนึ่งที่มีการประสานกันอยู่กันอย่างเป็นปึกแผ่นเดียวกันอย่างแน่นหนาเหมือนชาวอโศก เป็นปึกแผ่นดีมากเลย ทะเลาะกันไม่มี ประสานกัน อยู่ร่วมกัน เป็นสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นกลุ่มก้อน เป็นมวลที่เป็น เอกีภาวะ เป็นเอกธรรม
ถ้าเอาวัตถุเป็นเอกีคืออย่าง monolith แต่มันไม่มีธาตุจิตวิญญาณประกอบ แต่ถ้าเอกีภาวะ ต้องมีธาตุวิญญาณประกอบเป็นตัวที่ 7 ของ ธาตุจิตที่จะต้องสร้างให้เกิดมีสภาพของ พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
เป็นมวลที่อยู่กันอย่างถาวรแน่นสงบมีคุณสมบัติของสามัคคียะ พร้อมเต็มที่แล้วไม่วิวาทกัน มีการขัดแย้งกันอะไรอยู่บ้าง แต่ก็อยู่ร่วมกันได้อย่างดี ไม่มีจิตใจโกรธเคืองกัน ทะเลาะกันทำร้ายกันไม่มี องค์รวมมแล้วช่วยกันอยู่อย่างสามัคคียะ แล้วสังคหะ รวมตัวกันช่วยกันสร้างสรรช่วยเหลือคนอื่นต่อ มีคุรุกรณะ ปิยกรณะ สาราณียะ ระลึกถึงคนอื่น พระพุทธเจ้าตื่นเช้าขึ้นมาท่านก็ระลึกแล้วจะไปโปรดใครดี มีสาราณียะ หรือแม้แต่คนธรรมดาก็นึกว่าเราควรมีคนไหนระลึกถึง
นาโม ย่อมาจาก monolith ตอนแรกจะสร้างอาคาร แต่ก่อนนี้จะสร้างอาคารผาแหงน เป็นแท่งเดียวอย่างนี้ จะสร้างบนที่ตั้งชื่อว่านาโม เดี๋ยวนี้เป็นท้องนา แต่ก่อนจะสร้างอาคารนี้ ซื้อที่ดินไว้จะสร้างเป็นอาคาร คืออาคารต่างๆที่เขาสร้าง เป็นสถาปัตยกรรม อาตมาก็เป็นศิลปิน อาคารของเราจะเป็นรูปภูเขาแท่งหิน แล้วแท่งหินเดี๋ยวนี้ เขามีตึกระฟ้าอยู่ในเมืองแต่เราจะสร้างเป็นภูเขาที่มีห้องหับอยู่ข้างในเป็นชั้น เป็นสถาปัตยกรรม เป็นแท่งหินภูเขาสูงเหมือนอาคาร ศูนย์สูญ สูงสุดก็จะเป็นอาคาร 10 ชั้นนั่นคือความคิด monolith แต่เดี๋ยวนี้เลิกแล้วไม่เอา เมื่อย สร้างผาแหงนเสร็จก็เลิกจบ จริงๆ อาตมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง มีท่านคมคิด เป็นตัวจักรในการสร้างสำเร็จ ทุกวันนี้ก็มีขี้นกขี้หนูอยู่เต็ม ก็มีน้ำตกน้ำไหลน้ำโตนไป
ขอพูดต่อว่า มีคนว่า ไปวุ่นกับสร้างเหล่านี้ทำไม ก็ไขความอีกที มันลึกซึ้งมีอะไรอยู่ในตัวของมัน อาตมาเคยอธิบาย มันเป็นตัวทำขึ้นมาเพื่อจะถ่วงดุลวัดวาต่างๆ พระ เจ้าต่างๆ เขาก็ไปสร้างอาคารวิหารโบสถ์ ดีไม่ดีก็ไปสร้างคางคกสร้างอะไรก็แล้วแต่เป็นรูปสัตว์รูปอะไรต่างๆนานา ก็เป็นความคิดของเขา แต่อาตมาว่า ทำไมไม่มาสร้างธรรมชาติ อาตมาไม่ได้ไปบุกป่าบุกภูเขา ไม่เคยคิดจะไปแบบนั้น แต่อาตมายินดีใน ป่า เขา ถ้ำ แต่อาตมาไมไปรุกล้ำ แต่จะสร้างเองเลย ยินดีในป่าก็สร้างป่าเอง ตั้งแต่บวชเริ่มต้นมาก็สร้างป่าทุกแห่ง ท้องนาเน่าๆตั้งแต่เริ่มต้นเลย ที่ปฐมอโศกเป็นแห่งแรกเลย ก็เป็นท้องนาเน่า จนเดี๋ยวนี้ก็เป็นป่าไปแล้ว แม้แต่ในเมือง สันติอโศกก็สร้างป่า ภูเขาเอามาไม่ได้ก็เอาแค่น้ำตกมา มีพื้นที่แค่นั้นในเมืองก็ทำ ที่อื่นก็ทำอีกหลายแห่ง แม้เกิดทางภาคใต้จะมี ที่ภาคกลางก็มี
อาตมาจะอธิบายธรรมะ ปฏิจจสมุปบาท เริ่มตั้งแต่ชาติ จะพูดกันเป็นเรื่องยาวเลย จะนานหลายเดือนขยายความตั้งแต่คำว่าชาติไปดีๆ พอตั้งต้นเข้าใจคำว่าชาติให้ดีแล้ว ก็จะเข้าใจว่าเพราะเกิดชาติจึงเกิดภพ เพราะเกิดภพจึงเกิดอุปาทาน สำหรับคนมีอวิชชาจึงเกิดชาติเกิดภพ แล้วมีอุปาทาน เพราะเกิดมีตัณหาจึงมีเวทนา แล้วจึงเกิดผัสสะเกิดอายตนะ จึงเกิดนามรูป เกิดวิญญาณ เกิดเป็นสังขาร เพราะสังขารมีจึงมีอวิชชา ที่ยึดถือว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่ตลอดแก้ไขไม่เป็นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ดับชาติไม่ได้ดับสังขารไม่ได้ เพราะมีชาติอยู่ตลอดกาล อธิบายฟังดีๆแล้วเพราะเราจะเข้าใจ อธิบายปฏิจจสมุปบาทนี่แหละอันเดียวนี่แหละคุณทะลุเป็นพระอรหันต์จบเลยในชีวิต จริงๆแล้วอาตมาก็อธิบายมารอบค่ายมาเยอะ มาเรียนรู้อันนี้แล้วเราจะเรียนรู้วิธีทำให้ดับสังขารก็คือจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งเป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ วิธีที่จะดับชาติดับสังขารดับอวิชชาคือจรณะ 15 วิชชา 8 นั่นคือรวมทั้งหมดของเนื้อหาสัจธรรมพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ได้ที่จะมาเรียนรู้ว่ามันเป็นโรคอยู่ด้วยอวิชชาก็คือปฏิจจสมุปบาท คนไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท ก็ไม่รู้จักสภาวะของอวิชชาอีก 7 อย่าง
-
ไม่รู้..ทุกข์ (ทุกฺเข อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขสมุทัย (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขนิโรธ (ทุกฺขนิโรเธ อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์ 8)
-
ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง) ปุพพันเต อัญญาณัง
-
ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง) อปรันเต อัญญาณัง
-
ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต อัญญาณัง) .
-
ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท (หรืออิทัปปัจจยตา)