ม.ค.152021ศาสนา640115_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิจจสมุปบาทเริ่มอธิบายที่ชาติ 5 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/18C2Sf6PmiPiObGYS-2M7fY5XllwriZBJPKSZ9t0xdX0/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1DGvERhWN7IUYa9YCr6dYp3erDcDqXsi_/view?usp=sharing และเฟซบุ้คที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/835521693948762 สงสาร อินเดียกับอเมริกา คือ 2 ความสุดโต่งสองฝั่งในยุคนี้ สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้การระบาดของโควิดทำให้ต้องงดงานรื่นเริงต่างๆ ก็ถือว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง โควิด มาบอกอะไรกับโลกนี้หลายอย่าง ตอนนี้ประเทศอันดับ 1 อันดับ 2 คือ สหรัฐอเมริกากับอินเดีย ท่านจันทร์ให้ความเห็นว่า สองประเทศนี้เป็นตัวอย่างของกามสุขัลลิกานุโยคกับอัตตกิลมถานุโยค ที่อินเดีย ตอนนี้กำลังมีพิธีกรรมที่คนมารวมกันมากๆเรียกว่ากุมภเมลา มาชำระล้างบาปที่แม่น้ำกันมีคนมาเป็นจำนวนล้านโดยไม่มีการป้องกัน covid ให้ถึงลักษณะอัตตกิลมถานุโยคแบบจิตนิยม อากาศหนาวเย็นมาก อีกภาพตัดไปที่อเมริกา ตอนนี้เข้าสู่ยุค 6 วันอันตราย เพราะวันสาบานตนรับตำแหน่งของโจ ไบเดน คนที่สนับสนุนโดนัลด์ ทรัมป์ก็จะไม่ยอม จะนัดชุมนุมกันที่รัฐสภา ตอนนี้ก็เลยมีทหารมารักษาการอยู่ที่รัฐสภา 20,000 กว่าคน อเมริกาก็มีคนไม่สนใจป้องกัน covid ติดเชื้อกันไป 20 กว่าล้านคนแล้วที่อเมริกา คนตายไป 2 แสนกว่า อินเดียก็ติดเชื้อไป 20 กว่าล้านเช่นกัน อเมริกาเกิดจลาจลวุ่นวาย ในศาสนาพุทธ พ่อครูพยายามให้พวกเราเข้าใจจิตวิญญาณและอยู่เหนือจิตวิญญาณ เข้าใจวัตถุแล้วอยู่ในวัตถุได้อย่างไร อยู่เหนือทั้งวัตถุและจิตวิญญาณเป็นทางสายกลาง ไม่เป็นทาสของ กาม ไม่เป็นทาสของ จิต พ่อครูว่า…มันก็น่าสงสารจริงๆเนาะ น่าสงสารคนที่เขาอวิชชาคนที่เขาไม่รู้ อาตมาก็ไม่ได้พูดอย่างเล่นๆคารม พูดอย่างเป็นความเข้าใจ เป็นความรู้สึกจริงในจิต สงสาร น่าสงสาร ใช้ความหมายภาษาไทยน่าสงสาร ลึกๆในภาษาปรมัตถ์คือเห็นเขาจมอยู่ในวงวนที่เขาดิ้นไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นแบบอเมริกาหรือแบบอินเดีย ที่มีพฤติกรรมให้เราเห็นอยู่เป็นปรากฏการณ์จริงแท้ๆเป็นปัจจุบันธรรม ศึกษาจากความจริงจากความรู้ความหมายที่เราอธิบาย เอาคำอ้างอิงจากผู้รู้ผู้ที่เป็นปราชญ์เอกของโลกเป็นศาสดาเอกของโลก ศาสดาเอกของโลกคือพระพุทธเจ้าเอามาอ้างอิงยืนยันประกอบไปตลอดเวลา เพื่อที่จะได้เห็นความจริงตามความเป็นจริง อาตมา เต็มใจ ที่จะทำงานนี้อย่างสุดชีวิตสุดหัวใจสุดจิตวิญญาณจริงๆ เป็นแต่เพียงว่าสังขารเราเท่านั้นเองที่จะฝืนได้ อาตมาฝืนนะ พยายามทำแต่ฝืน ก็สำเร็จก็ได้ความรู้ ที่สามารถที่จะอยู่เหนืออำนาจความตาย อยู่เหนือเหตุปัจจัยที่มันสมควรตาย แต่เราก็ยังไม่ตาย หรอก….มาร! เรายังไม่ตาย….มาร เพราะเรายังมีงานที่สำคัญที่จะต้องทำแก่โลกนี้อีกอย่างนั้นจริงๆ (พ่อครู ไอตัดออกด้วย) มารก็มาไม่หนักหนาเท่าไหร่ ไอ แต่ไม่เจ็บคอ ไม่ทุกข์ทรมานอะไร แต่มันก็น่ารำคาญ ก็ศึกษาไปเถิด มันจะรู้รอบรู้หมดรู้ครบรู้ตั้งแต่ขั้นขี้หมูราขี้หมาแห้ง ไปจนถึงขั้นสิ่งที่มีค่า ทางวัตถุนามธรรมจิตวิญญาณทางความรู้ความสามารถที่มนุษย์พึงได้พึงมีพึงเป็นในความเป็นมนุษย์ ซึ่งคนก็สัมผัสได้สัมผัสจริง ทุกคนมาสัมผัสด้วยกัน เรียนรู้มีเหตุปัจจัยมีทฤษฎี มีลำดับที่จะต้องศึกษาและปฏิบัติให้บรรลุได้จริงๆ แล้วศาสนาพุทธนี้รู้จักการเกิด การตาย คำ 2 คำนี้ “การเกิด” “การตาย” “การเกิด” คือชาติ “การตาย” ก็คือนิพพาน การตายเขาก็มีการตายแบบทางร่างกาย กายสเภทาปรัมมรณา กายแตกตาย หมดลมหายใจไปแต่ละชาติ ศึกษาแล้วจะรู้ความจริงเราจะอยู่เหนือการเกิดการตายได้เหมือนกัน เพราะนามธรรมหรือจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง จิตวิญญาณเป็นประธาน สามารถที่จะ “มาร” คือตัวที่จะทำให้เรามาขัดแย้งมาต้าน เราจะอยู่ มารจะบอกให้ตาย อะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่ของพระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างสุภาพ ถ้าเป็นภาษาบู๊ๆหน่อยก็ว่า เอ็ง!อย่ามา เสือใส่ ก. อย่ามา Tiger ใส่เกือก ขอโฆษณา อาตมาก็ไม่โฆษณาอะไร แต่โฆษณาให้ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารให้มาก ให้เหลือเพื่อแจกจ่าย หนึ่งเราลดความต้องการอยากได้เงินทองเข้าของเป็นเรื่องขี้ผง อย่างที่ว่า เงินทองเป็นของมายาผักหญ้าเป็นของจริง เงินทองมันเป็นของมายาจริงๆ เพราะในชีวิตเราจะต้องอาศัยอาหารอาศัยพืชพันธุ์ธัญญาหารซึ่งเราไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย นี่ก็มีสารพัด กะหล่ำปลีของสวนอาจารย์ข้าดิน อาหารเป็นหนึ่งในโลก เราทำความเจริญงอกงามของสิ่งที่เป็นหนึ่งในโลก มันจะไม่ดีอย่างไร มะเขือเทศ จากสวนของดาว (สู่แสงพุทธ) ทางด้านราชการก็ตามหรือเอกชนก็ตาม น่าจะหาทางเพื่อที่จะส่งเสริมกสิกรแข็งขัน หรือแข็งขลัง เป็นกระดูกสันหลังของชาติ น่าจะส่งเสริมให้กำลังใจกันจริงๆ เช่น ให้เหรียญตราให้ยศศักดิ์ไปเลย มันเป็นเรื่องของการเสริมกำลังใจให้รับรู้ว่าคุณเป็นคนมีคุณค่า เป็นคนมีประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อให้หลงเหลิง แต่มันเป็นเรื่องของปรมัตถ์ของสัจธรรมที่โลกียะเขาก็ทำ แต่โลกุตระเราก็ทำ แต่รู้เท่าทันสิ่งเหล่านั้น ไม่ไปหลงติดในเรื่องสิ่งเหล่านั้นที่จะทำเพื่อลาภยศ เราไม่ได้ทำเพื่อลาภยศ แต่เราทำเพื่อสัจจะสาระเนื้อแท้ของมัน ที่เขาทำกันก็เป็นการปลอมแปลงสร้างลาภยศสรรเสริญโลกียสุข อธิบายไปขณะนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาถือว่าเป็นรัฐมารวมกัน จริงๆก็เป็นลักษณะเหมือนกับประเทศอื่น ถ้าเผื่อว่าเราสามารถรู้ เราจะรู้ความลึกซึ้งซับซ้อน อย่างที่อเมริกากำลังเป็น เป็นตัวอย่างที่เป็นความไม่เข้าใจในสังขารโลก การปรุงแต่งของโลก ประกอบไปด้วยดินน้ำไฟลมชีวิต และ จารีตประเพณีแม้แต่วิชาการ แม้แต่ความรู้ความฉลาด มันเป็นฉลาดเฉโกอวิชชา มีแต่ตัวตนเห็นแก่ตัวตน จะเห็นได้ว่าจัดจ้าน โดนัลด์ ทรัมป์เอ๋ย ตัวอย่างอันนี้เจ้าพระคุณ อาตมาว่า แต่ว่าพอๆกับทักษิณก็สู้โดนัลด์ ทรัมป์ไม่ได้ อาตมาว่า ทักษิณ นี่ ยังเป็นรองโดนัลด์ ทรัมป์ โดนัลด์ ทรัมป์รวย ถ้าจะว่าจริงๆแล้วรวยกว่าทักษิณ เขาคงจะงมงายอยู่ในทางนี้อีกนาน ขออภัยไม่ได้ดูถูกดูแคลนแต่กำลังพูดถึงสัจจะ มันจะเป็นไปให้เห็นให้ศึกษาไป อาตมาจะไม่พูดนำพยากรณ์ วิธีดูข้อมูลหลักฐานก็สนใจตามกันมาฟังข่าวคราว อยู่ในโซเชียลแต่ละคนเก่งๆทั้งนั้น แสดงความรู้ความเข้าใจกัน อาตมาอ่านไม่หวาดไม่ไหว ปลูกพืชไม่ควรใช้แต่เคมีให้พืชกิน _ประเทืองธรรม(ตี้) : ที่ผ่านมาหนูได้ใช้ธรรมะมาประยุกต์ในการทำกสิกรรมด้วยนะคะ แม้การปลูกพืชผัก มีสิ่งที่หนูยังค้างคาใจยังสงสัย พ่อครูสอนว่า พีชะ มีแค่สัญญา สังขารไว้ปรุงอาหารเลี้ยงตัวเอง ประเด็นที่หนูสงสัย อยากหาคำตอบ ประสาสายฟุ้งซ่านก็คือ พืชแต่ละชนิดมันจะจำเฉพาะธาตุอาหารที่มันจำเป็นต้องใช้ ตามสัญญาของมัน หนูก็เลยคิดเล่นๆว่า ถ้าหนูรู้ว่าพีชะตัวนี้ต้องการธาตุตัวนี้ ๆ หนูก็ให้แต่ธาตุจำเพาะไปเลย ไม่ต้องใส่หว่านไปทั้งหมดทุกตัว คือเรารู้แค่พอคร่าวๆว่า พืชกินใบบำรุงไนโตรเจน ดอกฟอสฟอรัส ผลหรือหัว โปรแตสเซียม ถ้าหนูรู้แบบละเอียดว่าชนิดนี้ต้องการธาตุอะไรแบบนี้ตามสัญญาของพืชแต่ละชนิด หนูก็จะใส่เฉพาะชนิดนั้นๆไปเลย หรือปรุงอาหารเป็นสูตรเฉพาะให้ชนิดนั้นไปเลย ก็น่าจะดีนะคะท่าน หนูก็คิดเล่นๆ แต่ก็คิดอยากหาคำตอบมาตลอด หนูอยากรู้สัญญาของผัก ใส่ปุ๋ยตามที่เขาสัญญาไว้ มันคงจะงามมากกกกค่า เพราะให้อาหารได้ถูกปากผัก 55 บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองติ๊งต๊องนะคะท่าน พ่อครูว่า…มันเกี่ยวเนื่องกัน หากเรารู้พลังงานของพืช พีชนิยาม ก็จะผ่านไปสู่พลังงานจิตหรือสัตว์ได้ อย่างไอสไตน์รู้พลังงานแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานอุตุเอามาให้รู้กันในโลกก็เป็นโพธิสัตว์ระดับหนึ่ง ต่อมาจะมีคนที่เผยแพร่เรื่องพืช อาตมาก็ไม่ได้ตามว่าใครเป็นโพธิสัตว์เรื่องพืช แล้วก็มีโพธิสัตว์เรื่องจิตนิยาม มีความรู้เฉพาะทาง อุตุ ความรู้เด่นเฉพาะพืชความรู้เด่นเฉพาะจิต มันก็จะมี ทีนี้ ในคำถามความสงสัยของ ประเทืองธรรม ตี้ ที่บอกว่า ถ้าจะให้แต่อาหารเฉพาะก็คงจะงามมาก เพราะให้อาหารได้ถูกปากผัก ก็ศึกษาไป เขากำลังศึกษาปริญญาเอกอยู่ ถ้าเข้าใจสภาวะรูปนามจะเอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้เป็นคุณค่าสูงทีเดียว ยิ่งมาศึกษาทางพืชอาหารเป็นหนึ่งในโลก เรามีปริญญาเอกหลายคน ปริญญาโท อย่างนายแอ๊ด โอ้โห ทำจังเลยทำแต่มันแต่เผือก ถั่วดิน ปลูกจัง เอาเป็นเอาตาย ชีวิตกินนอนอยู่กับสวน ซึ่งอาตมาว่า ชีวิตคนที่เป็นกสิกรมีกุศลสูงสุด เรียนรู้ธรรมะด้วยจะมีชีวิตที่เป็นบุญด้วย ศึกษาให้ดี ก็ตอบสั้นๆ ถ้าเราจะจำเพาะสกัดแต่สารอาหารให้มัน เขาเรียกว่าธาตุสารเคมี เพราะถึงจะเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ขึ้น ไม่ใช่มีแต่สารเคมีให้มัน แต่มันเป็นธรรมชาติที่มีองค์ประกอบการผสมผสานของธรรมชาติ ธรรมชาติกับสารเคมีมันตรงกันข้ามกัน ถ้าเข้าใจคำว่าธรรมชาติกับสารเคมีมันก็จะชัดเจน เพราะฉะนั้นอย่าไปสกัดไปหาสารเคมีเพียวๆ มันก็เป็นสารเคมี ให้มันมีธรรมชาติที่จะผสมผสานกัน ทั้งชีวะต่างๆดินน้ำไฟลมด้วย พืชก็เป็นการผสมผสาน สังขาร ดินน้ำไฟลมมันสังเคราะห์กันเป็นพลังงานล้วนๆ อย่างเช่น พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานล้วนๆจัดจ้านเลย เอาพืชโยนเข้าไปหายหมด เอารถยนต์เข้าไปก็หายหมด กลายเป็นบริวารพระอาทิตย์ สรุปอย่างง่ายๆ พระอาทิตย์นี้เห็นแก่ตัวจัดมันฮุบหมดเลยเอาไปเป็นตัวกูของกูหมดเลย เราไม่เอาลักษณะเป็นใหญ่เป็นแรงจัดจ้าน เก่งจริงแต่เห็นแก่ตัวจัด มันก็เลยดึงดูดทุกอย่างที่ดูดได้ ทุกอย่างที่ขวางหน้ามันจะดูดหมด มันละลายเอาไปเป็นตัวมันเองหมดเลย ซึ่งมันไม่รู้ตัวเองหรอกมันไม่มีนามธรรมมันไม่มีธาตุรู้ มันเป็นพลังงานเพียวๆ เพราะฉะนั้นธาตุรู้นี่แหละจะรู้จักอะไรๆของโลก อะไรเป็นสังขารโลก ตามลำดับ สูงสุดรู้ความเป็นชีวะชีวิต สูงสุดจนเป็นพระศาสดา สูงสุดจนเป็นสุดยอดพระศาสดาก็จบ รู้หมดทั้งวัตถุและชีวะ เทวะคู่ใหญ่สุดคือวัตถุกับชีวะ พลังงานกับสสารเป็นเรื่องของวัตถุ เริ่มเป็นชีวะเป็นพืชเป็นจิตนิยาม วิทยาศาสตร์รู้ทางพืชได้พอสมควร แต่ยังไม่รู้จักชีวะดีพอ เขาเรียนรู้ทางด้านไบโอทางด้านชีวะแต่ยังไม่รู้พอ ยังต่ำกว่าพระพุทธเจ้าเยอะ ยังต่ำกว่าเยอะ เพราะฉะนั้นในความรู้ของชีวะที่เป็นระดับจิตนิยาม สูงสุดโง่สุดคือหลงสุข ศาสนาเทวนิยมเป็นศาสนาที่ติดในความสุขไม่รู้จักสุขทุกข์ ตีเทวะไม่แตกแยกไม่ได้ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงแยกได้ด้วยความรู้ และไม่แยก ทิ้งมันหมดทั้งสอง ฆ่าตายทั้งสองเลยทั้งสุขและทุกข์ อยู่เหนือ เป็น0 เลย หมดทุกอย่าง นี่คือสูงสุด SMS วันที่ 13-14 ม.ค. 2564 _เดชา อำพร : ผู้นำอโศกมีอุปนิสัยชอบการขับเคี่ยวชิงชัยไง(ไม่ชอบอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตน) ถ้าชิงชัยรบพุ่งไปเรื่อยๆแล้วปรากฏว่าไม่มีใครที่อยากจะมาต่อกรชิงชัยด้วย ก็จะสรุปตีขลุมไปเลยว่า”ข้านี่แหละคือผู้ยิ่งใหญ่ในยุคนี้” ประมาณนั้น ดังนั้น อะไรที่อาจารย์รุ่นเก่าเขาแปลกันมาดีๆอย่างไร? ผู้นำอโศกก็จะต้องแปลให้กลับทิศกลับทางกัน(จึงชอบทำสวนไง) จะได้ดูเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจไง เป็นเรื่องจิตวิทยาตื้นๆของผู้นำอโศกนั่นเอง อย่างท่านพุทธทาสท่านก็ไม่อยากต่อกรด้วยเพราะท่านถือว่าท่านเป็นผู้มีพรรษาสูงกว่ามาก ถือว่าเป็นคนละรุ่น ส่วนท่านปยต. ท่านก็ไม่อยากรบราด้วย เพราะท่านถือว่าท่านอยู่ในตำแหน่งทางสังคมที่เหนือกว่าอยู่แล้ว ส่วนท่านพระพยอม ท่านก็อาจถือว่าอโศกกับสวนแก้วคนละสไตล์ ฝ่ายหนึ่งอาจจะเป็นกังนัมสไตล์ อีกฝ่ายอาจจะเป็นแบ๊งค็อกสไตล์ก็เป็นได้ ถ้ารบรากันอาจถึงขั้นโลหิตร้อนพุ่งออกจากปากของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จึงอาจคิดว่าอย่าไปหาเหาใส่ศีรษะดีกว่า ประมาณนั้น(อันนี้เราคิดเอาเองนะ) ส่วนท่านปมช. ท่านก็อาจถือว่า ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดุล อาจารย์เสาร์ หลวงตาบัว ก็ต้องเหนือชั้นกว่าอยู่แล้ว จะเอาพิมเสนไปแลกกับผักสะเดากำเดียวได้ยังไง อะไรประมาณนั้นก็เลยพากันปล่อยให้ผู้นำอโศกไล่บี้พระองค์นั้นองค์นี้ไปฝ่ายเดียวก็แล้วกัน เดี๋ยวพออายุมากเข้า..มากเข้า ก็จะเหนื่อย,หมดแรงฟาดฟันสำนักอื่นไปเองนั่นแหละ _บุญญากร พัฒนสัตถาพร : มีพ่อครูเท่านั้นที่อธิบายฌานแบบพุทธ..นอกนั้นฌานแบบหลับตาเดาเอาทั้งสิ้นขอรับ พ่อครูว่า…ถูกต้องอาตมาก็เห็นว่าคุณเข้าใจถูกแล้ว _สวนลมไพร เกวี : รับชมที่กรุงเทพมหานคร รายการดีมีธรรมะ และทันสมัยมากค่ะ _สินอโศก : ฟังธรรมะไปเรื่อยๆเข้าใจจัดเจนขึ้นเรื่อยๆค่ะ สุกรมัทวะเป็นเห็ดพิษหรือไม่ _แดง ลานกราบ : เห็ดสุกะระมัททะวะเป็นเห็ดพิษหรือคะ พ่อครูว่า…อันนี้จะว่าเป็นเห็ดพิษคนก็สงสัยว่าเห็ดสุกระมัทวะเป็นอย่างไร สุกรมัททวะคือเห็ดอ่อนที่หมูชอบกิน เห็ดอ่อนนุ่มเนื้อดี หมูชอบกินคนก็เลยไปแย่งหมู ไม่รู้ว่าเห็ดสุกรมัททวะ มันมีสารพิษหรือไม่ หรือว่าเห็ดนี้ดูดสารพิษง่าย เห็ดนี่ ถ้างูที่มีพิษมันไปเลื้อยผ่าน หรือมันมีพิษของมันออกมาถูกกับเห็ดเข้า เห็ดมันจะดูดพิษของงูไว้เลย แล้วเห็ดนั้นจะเป็นพิษ เห็ดนี้มันอาจจะโดนสัตว์โดนงูที่เป็นพิษก็เป็นได้ ไม่ได้มีใครวิจัยไปถึงขนาดนั้น สรุปแล้วไม่ต้องไปฉงนอะไรมากมาย พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ท่านกำหนดวันปรินิพพานแล้วจะต้องตายวันนั้นเวลานั้น แล้ววันนั้นท่านก็ฉันอาหารนี้จากนายจุนทะ ที่ปรุงอาหารสุกรมัทวะมาถวาย เป็นเรื่องราวที่บอกว่ามันเป็นเนื้อหมูหรือเป็นเนื้อเห็ดกันแน่ บางคนก็วิเคราะห์ว่าเป็นอาหารอย่างหนึ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา เหมือนอย่างกับข้าวยาคูอะไรพวกนี้ เขาเรียกว่าข้าวสุกระมัทวะเหมือนกัน วิจัยกันไปแต่จะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ พระพุทธเจ้าท่านจะต้องมีเหตุให้ตาย เพราะฉะนั้นก็คงจะเป็นอย่างที่ว่ามันเกิดพิษที่เห็ด ท่านถึงบอกว่าอันนี้เอามาถวายท่านรู้เลยว่าอย่าให้ใครกินนะ อย่าให้พระรูปไหนฉัน เราฉันแล้ว ที่เหลือเอาไปเททิ้ง ก็มีรายละเอียดบอกอย่างนั้นอยู่ แสดงว่า ต้องมีเหตุให้ท่าน ทุกอย่างมาแต่เหตุ ท่านจะตายโดยไม่มีเหตุไม่ได้ ก็เป็นอจินไตยอย่างนั้นที่จะต้องครบบริบูรณ์ด้วยเหตุปัจจัยสมบูรณ์แบบ อจินไตยที่คิดได้ยาก ว่าทำไมจะต้องลงตัวถึงขนาดนั้น เรื่องการลงตัว ในอะไรต่างๆเป็น อจินไตย ที่อาตมาพยายามขยายความให้ฟังอยู่เรื่อยๆติดตามฟังให้ดี ความเป็น 1 เป็น 2 ความเป็น 2 เป็น 1 สลับกันไปกันมาเป็นสิริมหามายา นี่แหละลึกซึ้งที่สุด มันเหมือนกันเล่นกล ถ้าเข้าใจความลวงกับความจริงอันยิ่งใหญ่ไม่ได้ แล้วกำจัดความจริงสองด้านนี้ไม่ได้ความทุกข์กับความสุข ถ้าจะบอกว่าอันไหนจริงอันไหนไม่จริง ความทุกข์เป็นจริงสัจจะเป็นอริยสัจ ส่วนความสุขนั้นปลอมอย่างนี้เป็นต้น แล้วก็จัดการเหตุแห่งทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์ได้มันก็หมดไปทั้ง 2 อัน ทั้งความสุขและความทุกข์ เหมือนอย่างที่บอกว่าเอากระดาษหน้านี้ไปเผา เสร็จแล้วพอเผาเสร็จกลับมา ก็บอกว่ากระดาษอีกหน้าไปไหน ก็บอกว่าเอากระดาษหน้าหนึ่งไปแล้วอีกหน้าหนึ่งก็ต้องหายไปด้วย คนก็บอกว่าให้เผาหน้าเดียวมันจะเป็นไปได้อย่างไร คนนี้โง่หรือฉลาด มันแยกไม่ได้ ฉันใดก็ฉันเพล แหละโยม มันแยกไม่ได้ แค่ยกตัวอย่างระดับนี่ก็เถอะ ความทุกข์ความสุขมันแยกกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า เผาอันใดอันหนึ่งอีกอันมันก็หายไปหมด แต่คนยังแยกไม่ได้ แล้วยิ่งแยกไม่ได้ไปหลงติดว่าสุขนี้แหละวะ คือสิ่งจริง พระเจ้ากับสุขนิยม รู้จักเรียนรู้แต่ความสุข เมื่อเรียนรู้เหตุแห่งทุกข์ไม่เรียนรู้วิธีที่ดับทุกข์จึงไม่มีอริยสัจ ความสุขที่อยู่นิรันดร เพราะฉะนั้นจึงไม่มีนิพพาน ศาสนาพุทธจึงมีนิพพาน และมีนิรันดรด้วย อาตมากำลังเขียนถึงพวกนี้อยู่ใน เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 3 ส่วนเล่ม 2 นั้นตัดไปให้คุณสมพงษ์ไปแยกและตัดหัวข้อแล้ว เขาตั้งหัวข้อได้เก่งด้วย เป็นคำคมชัดดี แต่เขาก็บ่นกับอาตมาว่า เขียนวนจังเลย อาตมาก็ว่าไม่ใช่วน อาตมาก็ซ้ำแซะซ้ำซาก ซึ่งพระพุทธเจ้านั้นยิ่งกว่าอาตมาด้วย เพราะสงสารคนไม่ค่อยรู้จึงต้องทบทวนให้ เอาเถอะตั้งหัวข้อมา อาตมายังนึกอยู่เลยว่าจะให้เมื่อตั้งหัวข้อเสร็จ ก็เอามาให้ใครช่วยดูหัวข้อแล้ว มาจัดหัวข้อหน่อยได้ไหม ว่าหัวข้อต่างๆจะมีเรื่องซ้ำซาก แล้วก็เรียงชื่อเรื่องชื่อหัวข้อเป็นสารบัญ เช่น เรื่องนี้เป็นเรื่องบาปเรื่องบุญ มีอยู่ในข้อนั้นหน้านั้น หน้าไหน ก็จะสะดวกขึ้นเยอะเลย มีใครสมัครใจทำช่วยไหม เอาจากหัวข้อที่สมพงษ์ทำนี่แหละ เขาทำหัวข้อมาพอแล้ว ก็ให้ใครมารวบรวมสารบัญ เพื่อให้ช่วยผู้อ่าน ทำให้ค้นคว้าศึกษาง่าย เรียนรู้ง่ายด้วย แม้แต่อาตมาก็สะดวกเวลาจะเอามาใช้งาน อาตมาจำไม่เก่งเท่าท่านหนักแน่น ท่านอ่านมาก อย่างหนังสือสมาธิพุทธ ท่านอ่านหลายร้อยเที่ยว หรือหนังสืออื่นก็ตาม ท่านขยันอ่าน ตื่นมาไม่นอนสักที เอาแต่อ่านๆๆ ท่านเป็นคนมุ่ง ท่านทำงาน เวลามี 25 ชม.ตั้งแต่ฆราวาส เพราะท่านเอาชั่วโมงของคนอื่นมาใช้ ท่านก็ได้วิสัยอันนั้น หลับไว ไม่กี่วินาทีก็กรนครอก แล้วก็ตื่นไวด้วย _มณฑา แก้วบำรุง : ใจไม่ยึดติดไม่โลภไม่หลงไม่อาฆาตปล่อยวางเพราะทุกอย่างที่มองเห็นคือสิ่งสมมุติใช้ไหม่คะ จะพ้นสงสารได้ต้องเรียนการปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 _ตุ๊ก อัศวิน : “โภชเนมัตตัญญุตา” รู้จักประมาณ ในการกินอาหาร คือ คำข้าวด้วยเพราะอาการกิน..เกี่ยวข้องกับทุกทวาร (ตา/หู/จมูก/ลิ้น/กาย/ใจ) จึงเปิดโอกาสให้กิเลสเข้าครอบงำจิตได้สูงยิ่ง ผู้ที่ไม่รู้จริง..จึงเข้าใจว่า..ที่พ่อท่านเน้น..ให้พิจารณาในเรื่องอาหาร..เป็นพวกเห็นแก่กิน ช่างน่าเห็นใจ..เหล่าปัญญานุ่ม!! ท่านช่างตื้น..และ..เข็มขัดสั้น!! พ่อครูว่า…ก็เป็นเรื่องจริง อาหารเป็นหนึ่งในโลก คำว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลกนี้ก็ลึกซึ้ง เป็นหนึ่งในโลกทั้งความจำเป็นในชีวิตมนุษย์ สัตว์ก็ต้องมีอาหารเป็นหนึ่ง ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวจนถึงสัตว์หลายล้านเซลล์ อาหารคือสิ่งที่กินเข้าไปบำรุงร่างกาย จะมีความรู้ถึงปรินิพพานก็เอาความรู้เรื่องอาหารนี่แหละไปทำ พระพุทธเจ้าถึงเอามาสอน มีเรื่องอาหาร 4 ครบเลย คุณเรียนอาหาร 4 ให้แตกฉาน คุณสามารถเป็นพระอรหันต์ได้เลย อาหารอย่างแรกคือคำข้าว กวฬิงการาหาร เรียนรู้คือจะต้องมีผัสสะ คุณจะต้องอ่านจิตของคุณคุณมีผัสสะภายนอกกินอาหารเข้าไปเกิดอาการเป็นเวทนาเป็นอารมณ์ความรู้สึก แยกเวทนา ก็ต้องมีผัสสะ สัมผัสกับอาหารแล้ว หากคุณนั่งหลับตาก็ไม่มีผัสสะ ไม่มีโภชเนมัตตัญญุตาเป็นการปฏิบัติผิด อปัณกปฏิปทา ข้อที่ 2 ใน 3 ข้อคุณไม่มีโภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะคุณก็ไม่เต็ม เพราะคุณไปหลับตา สำรวมอินทรีย์ 6 คุณก็ไม่มีคู่มีแต่สำรวมอินทรีย์ 1 มีแต่สำรวมใจในใจอยู่ในภพ คุณจึงโมฆะจากศาสนาพุทธ ฟังบ้างเปิดหัวเปิดหูฟังอาตมาบ้าง ปรโตโฆษะ ปฏิบัติแบบหลับตานั้นเลิกเสีย อาตมาพูดชัดเจนทุกความจริง ซึ่งเป็นความผิดของคนก็เลยรู้สึกว่าอาจจะแรง เขาว่ามันด่ากูว่ากูผิด อย่างเช่นโดนัลด์ ทรัมป์ เขาก็บอกว่ากูไม่ผิดคนอื่นผิดทั้งนั้น ศาลจะตัดสินความผิดโดนัลด์ ทรัมป์ ตอนนี้จะพิจารณาคดีความผิดทางการเงินทางการใช้อำนาจบาตรใหญ่เขาจะเจออีกเยอะ อาตมาว่าน่าจะพิจารณาให้จบ โดนัลด์ ทรัมป์ คงไม่อยู่ให้พิจารณาจนจบ มันจะเป็นอย่างนั้น เอามาวิจัยวิจารณ์ว่าอย่าเอาเยี่ยงอย่างเช่นนี้ เป็นพฤติกรรมของมนุษย์ที่ไม่ได้เอาอย่างแต่เป็นการศึกษา ขอบคุณเขาก็ได้ที่เขาให้มาเป็นตัวอย่างทำอะไรอย่างนี้มา เขาเป็นตัวอย่างให้เรา เหมือนอย่างที่อาตมาขอบคุณมหาบัว หรือพระเทวทัตก็เป็นตัวอย่างอย่างหนึ่งที่ไม่ดี การศึกษาต้องศึกษาทั้งผิดและถูก ศึกษาทั้งสองด้านมันจะได้ชัดเจนที่สุด คุณอยากรู้ขาวคุณจะต้องมีดำมาเทียบ คุณจะต้องมีเทาให้เทียบ บางทีมันเหมือนกับขาวมากเลย อย่างเช่นพระจูฬปัณถก ลูบผ้าขาวก็เห็นความไม่เที่ยงของผ้าขาวก็บรรลุธรรมได้ เห็นความไม่เที่ยง เห็นความปรุงแต่งว่ามันไม่ใช่อันเดิมมันไม่ใช่อันเก่า ก็เลยเห็นว่าตัวเองโง่มาทำอะไรปรุงแต่งอยู่ได้ การทำให้เกิดความดำขึ้นมา ก็เกิดจากการปรุงแต่งทำอยู่นั่นแหละเสียเวลาทุกข์ทรมาน ไม่ได้เรื่องเป็นความโง่ เกิดปฏิภาณรู้รอบ มีเหตุปัจจัยทำให้บรรลุได้ พระพาหิยะทารุจริยะฟังธรรมะพุทธเจ้าสี่กัณฑ์ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าสัมผัส ได้รับรส เป็นอุคติตัญญู เป็นบัวที่ใกล้จะพ้นน้ำอยู่แล้ว ความรู้ของพระพุทธเจ้าพ้นความทุกข์ ดับทุกข์ดับสุขได้ เป็นความรู้ที่หมดทั้งโลกหมดทั้งอัตตา รู้หมดเลยทั้งจิตวิญญาณและอัตตาหรืออาตมัน ปรมาตมัน ทางนามและรูป รู้หมด ไม่ใช่ตีขลุม แต่เป็นเรื่องจริงรู้หมด ท่านจึงเรียกว่า จบกิจ บรรลุรู้หมดเลย รู้ว่าสังขารมันปรุงแต่งด้วยอะไรและวิธีแยกสังขารก็คือฆ่ากิเลส ตัวเหตุใหญ่ ฆ่ากิเลสหมด ตัวหยาบกลางละเอียด สิ้นเกลี้ยง ตัวเหตุที่มาปรุงแต่งเป็นอย่างไร และสามารถทำให้จิตสะอาดยั่งยืนถาวร อยู่เหนือ ก็จะรู้ว่าการอยู่เหนือความเป็นโลก กับ สังขาร มันเป็นอย่างนี้เอง มันพ้นความทุกข์ความสุข มันมีจิตที่ ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ไม่มีอะไรมาล้มล้างเราเที่ยงแท้แน่นอน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) คุณจะรู้ได้ด้วยตนเลย อย่างเช่น อาตมาเอามาพูดมามีของตนรู้ได้ด้วยตนเอง อาตมาพูดด้วยภาษาตัวเองเลยด้วยภาษาไทย เพราะฉะนั้นเหมือนคุณคนนี้แหละที่บอกว่าพูดเอง ที่อาจารย์ต่างๆเอามาอธิบายก็ล้มของเขาหมด มีคุณเดชาที่เขียนมา คุณก็กำลังเห็นสิริมหามายา คุณเห็นมารเป็นพระเจ้า เห็นพระเจ้าเป็นมาร เห็นมารเป็นพระพุทธเจ้าเห็นพระพุทธเจ้าเป็นมาร คุณก็เห็นแต่หน้ามารเป็นมายาหลอกคุณ แล้วหลงว่าเป็นพระพุทธเจ้า น่าสงสารสำหรับคุณเดชา ให้ศึกษาให้ดีๆ อาตมาไม่ได้ว่าคุณนะ อาตมาชอบคุณนะที่คุณตามศึกษา แม้คุณจะวิเคราะห์วิจัยอาตมา คุณได้ฝึกการวิเคราะห์วิจัย มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เดินดีๆศึกษาให้ดีๆ อาตมาชอบคนอย่างคุณที่ตามศึกษาแทนที่จะไม่เอา บอกว่าโพธิรักษ์ไร้สาระ พวกนี้ยังน่าสงสารน่ะ อย่างเช่นอาตมา นี้ชอบแบบคุณ เพราะว่าคุณยังทำวิจัยศึกษา อย่างนี้ดีแล้ว อีกหน่อยคุณ ก็พ้นสงสารไม่ต้องสงสารคุณมากหรอก อีกหน่อยคุณพ้นสงสารแล้วก็ไปช่วยคนอื่นให้พ้นสงสารต่อ เขาอาจจะพูดว่า อาตมาวนไปวนมาซึ่งอาตมาก็บอกว่าน่าสงสารเขาอีกนั่นแหละ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะเดินดินว่า… สู่แดนธรรมว่า…คุณเดชาเขามองพ่อครูผิดๆว่า พ่อครูใช้จิตวิทยาทำให้ตัวเองดัง ปฏิจจสมุปบาทเริ่มอธิบายที่ชาติ 5 พ่อครูว่า…อาตมาขณะนี้ถ้าจะว่าดังก็คือคนไม่ชอบมาก คนไม่ชอบอาตมามากกว่าคนชอบ อาตมารู้อย่างนี้ หากอาตมาจะเป็นโฆษกอยู่ ประจบประแจงเอาแต่พูดสิ่งที่คนชอบอาตมาจะได้คนเยอะ ดังกว่าโพธิรักษ์เยอะ เป็นรัก รักพงษ์ดังกว่าโพธิรักษ์เยอะเลย ไม่ได้โง่ก็รู้อยู่ แต่เรื่องอย่างนั้น อาตมาเกิดมาชาตินี้เป็น รัก รักพงษ์ เป็นเรื่องลำลองเท่านั้นเอง อยู่ในอาการของลิงลมอมข้าวพองไม่รู้ตัวสมบูรณ์ ถูกโลกครอบงำ หลงอยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุขชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังมีลิงลมอมข้าวพอง ถูกครอบงำทางโลก พระบิดาของท่านก็ครอบงำจริงๆ ไม่ให้ไปสัมผัสโลกีย์ ไม่ให้รู้จักทุกข์ ทุกข์ทางโลกที่เขาเข้าใจกัน พระราชบิดารู้ว่ามีความสุขโลกีย์อย่างไรก็ประคบประหงม พระพุทธเจ้าก็เลยต้องถูกครอบงำทางความคิดเหมือนลิงลมถูกเขย่าหมุนไม่รู้เรื่อง ทำตามเขาไป 29 ปี ท่านถึงตื่นเอง ไม่มีเหตุเจอพระเทวทูตทั้ง 4 เพราะเขาครอบงำไม่ให้เห็น คนแก่ คนป่วย คนตาย พระสงฆ์ เกิดมาอายุ 29 ปีไม่เคยเห็นเลย จนมีวันใดวันหนึ่งมีคนพาไปเล็ดลอดออกไปก็เห็นได้ แล้วไม่รู้จักคนป่วยนอนเจ็บครางอยู่ ก็บอกว่าอะไรเหรอ เพราะท่านไม่เคยป่วยเคยเจ็บอะไรเลย เขาก็บอกว่าคนป่วยพระเจ้าข้า ท่านก็บอกว่ามีอยู่หรือคนป่วยมันคืออะไรต้องเจ็บต้องป่วย แน่นอนพระพุทธเจ้าฟังเท่านี้ก็มีปฏิภาณว่ามันน่ากลัว ก็เห็นคนแก่เดินงกเงิน ก็ถามว่าอะไรหรือไม่เคยเห็น ท่านถูกครอบงำทางความคิดปิดบังหมด เขาก็บอกว่าคนแก่ ท่านก็ถามว่าอะไรคือคนแก่ เขาก็บอกว่าทุกๆคนก็ต้องเป็นอย่างนั้น ก็จะไปสู่ความเสื่อมอย่างนั้น นายฉันนะก็บอกว่าพระองค์ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ ท่านก็บอกว่าเราจะต้องเป็นอย่างนี้ด้วยเหรอ เจ็บก็ต้องเป็นแก่ก็ต้องเป็น ไปเจอคนตายนอนหมดลมหายใจอยู่มีคนร้องไห้เต็มไปหมด ท่านก็ถามว่าอะไรคนก็บอกว่าคนตาย ท่านก็บอกว่ามีการตายด้วยเหรอ เขาก็บอกว่าทุกคนก็ต้องตายแม้แต่พระองค์ก็ต้องตายด้วยสักวันหนึ่ง ไปเจอนักบวช ก็ถามว่าอะไร เขาบอกว่านักบวชหาทางหลุดพ้นไม่ให้ เกิดแก่เจ็บตาย ท่านก็บอกว่าไปทำอย่างนั้นแล้วจะพ้นด้วยหรือ เขาก็บอกว่าใช่แล้ว พระองค์ก็บอกว่าเอาอย่างนี้แหละ ขนาดนั้นท่านรู้แล้วว่าจะต้องไปเป็นนักบวช แต่ความครอบงำทางโลกก็ยังไปหลงตามโลกเขาไปทำตามแบบเดียรถีย์พาไปทรมานทรกรรม มีลูกศิษย์ปัญจวัคคีย์ 5 รูป ซึ่งเขาก็รู้กันแล้วมีคนพยากรณ์แล้วว่าท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้า แม้แต่พราหมณ์คนหนึ่งใน 5 รูปนี้ก็เป็นคนพยากรณ์เป็นพราหมณ์ชื่ออัญญาโกณฑัญญะ แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นตัวจริงหรือเปล่าก็ต้องดูกันไป ท่านต้องไปทำทุกรกิริยาตั้ง 6 ปี หนักหนาสาหัสลำบากลำบนขนาดไหนท่านทำชนะเขาหมดเก่งกว่าเขาหมด แต่ก็ไม่ได้หลุดพ้นอะไรท่านก็เข้าใจแล้วไม่ทำต่อ อัตตกิลมถานุโยคแบบนี้ท่านไม่ทำต่อ ท่านก็มาหาทางของท่าน มันก็ยังไม่ขึ้นมาในภูมิธรรมเดิมของท่าน จนกระทั่งวันเพ็ญเดือน 6 นั่งทำจิตสงบแบบที่ฤาษีเขาทำ จิตมันก็สงบ ความรู้เดิมคือสัญญาเก่าของเก่า ที่จริงท่านได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้วในชาตินี้ท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลยในร่างของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อออกบวชก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมแบบสัมมาทิฏฐิแต่ปฏิบัติธรรมแบบมิจฉาทิฏฐิมันก็ไม่ได้บรรลุ แต่พอท่านมารำลึกถึงตัวเองว่าเราทำอะไรมาบ้างบุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกแปลว่าอะไรคือความเกิด ความดับ ความตาย ก็อ๋อ เกิดเป็นอย่างนี้ดับเป็นอย่างนี้ สองคำนี้เทวะสองคำ เกิดกับดับ อ๋อ.. เกิด เพราะว่ามีอวิชชา เพราะว่าความไม่รู้ เป็นเหตุต้นตอของปฏิจจสมุปบาท อ๋อ.. อย่างนี้เอง จนกระทั่งความรู้เดิมที่ท่านได้ตรัสรู้เดิมมาแล้ว ขึ้นมาจนกระทั่งจบที่ ชาติ การเกิด ถ้าเราดับเหตุแห่งการเกิดก็ดับไปถึงอวิชชาสมบูรณ์แบบ จบเกม เพราะฉะนั้นจึงเริ่มต้นศึกษาที่ชาติ เริ่มต้น ณ บัดนี้ ท่านแจก ชาติ 5 ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ แจกคำว่าชาติ อาจจะมีผู้บรรลุอรหันต์ในตรงนี้ ชาติ อาตมาแจกง่ายๆว่า ชาติคือรูป และชาติคือนาม ชาติ คือ รูป การเกิดทางกาย เกิดชาติพันธุ์ ประชาชาติ ชาติ คือ นาม การเกิดทางจิตโอปปาติกโยนิ ได้แก่ 1.ความเกิด (ชาติ) 2.ความบังเกิด (สัญชาติ) 3.ความหยั่งลง (โอกกันติ) 4.เกิด (นิพพัตติ) 5.เกิดจำเพาะ (อภินิพพัตติ) [ล.16 ข.7] โอปปาติกะ คือ ความเกิดทางจิตวิญญาณ ชาติทางนามนี่แหละ มาเรียนตรงนี้ให้ละเอียด ทางรูป วัตถุเขาศึกษากันมาแล้ว พวกชาติพันธุ์การเกิดทั้งร่างกายรูปแบบนั้นไม่มีทางพาพ้นทุกข์ มีแต่หลงทางกาย ชาติพันธุ์สังขารโลกไป แต่ทางชาตินามธรรมนี้จะพาบรรลุธรรม ท่านแจกชาติ 5 โดยบัญญัติ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ อาตมาจะไม่ไปวิจัยคำแปล หรือ ความหมายที่ท่านไปในพระไตรปิฎกก็ตามหรือในผู้รู้ท่านอื่นก็ตาม อาตมาจะแปล และขยายความตามความรู้ของอาตมา ใครไม่เชื่อว่าอาตมาเป็นผู้บรรลุธรรมเหล่านี้จริงก็คงจะไม่อยากฟัง แต่ใครพอเชื่อก็อาจจะฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ถ้าใครเชื่อมากก็จะฟังมาก ใครเชื่อจริงๆก็ตั้งใจฟัง ก็แปล คำว่า ชาติ 5 ชาตินี้ก่อน ชาติ ตัวแรก ชาติ คือ ความเกิดที่เป็นการเกิดกลางๆ กว้างๆ รวมๆทั้งหมด ก็คือการเกิดรวมทั้งชาติข้อที่ 2-5 ตีขลุม เหมือน รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ รูป คือทางนอก เหตุปัจจัย 1 นาม คือ เวทนา สัญญา สังขาร เป็นต้น ก็ต้องเรียนให้รู้จักการแบ่งรูปแบ่งนามให้ดี แล้วเกิดการสังเคราะห์สังขารไปตลอดคู่เป็นเทวะ จนกระทั่งจบนิพพาน รู้สภาพสอง ของการเกิด เทวะ เป็นพยัญชนะสำคัญมากรวมไว้ทั้งหมด ผู้ที่อวิชชาก็รวมไปเป็นเทวะยิ่งใหญ่ เป็นเทวดาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พระเจ้าทางพระพรหมก็เรียกว่ากูนี่แหละใหญ่ๆ พระเจ้าทางด้านไม่ใช่พระพรหม เป็นอีกไม่รู้กี่ศาสนาทางเทวนิยม ที่เป็นมิจฉาทิฐิ พรหมของพระพุทธเจ้า ก็มาแยกจากของพวกฮินดู ศาสนาพราหมณ์กับศาสนาพุทธสลับไปสลับมา ต่อไปศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไม่เหลือศาสนาพุทธแล้ว ก็ไปใช้ชื่อศาสนาพราหมณ์ ก็เลยกลายเป็นศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์จึงเป็นคู่กันอย่างนี้ ไปตลอดกาลนาน สภาวะเดียวกันแต่เข้าใจผิดต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น พราหมณ์ทั้งหลายที่เรียนพระเวท ก็คือเรียนศาสนาพุทธนี่แหละอันเดียวกันพระเวทกับพุทธ ไตรเพทกับไตรวิชชาของพระพุทธเจ้าอันเดียวกัน ไตรเวท กับ ไตรวิชชา ของพระพุทธเจ้าอันเดียวกัน แต่เขาเข้าใจผิดก็เลยกลายเป็นอีกอย่าง พยัญชนะก็สลับกันไปเป็นสิริมหามายา ในยุคพระพุทธเจ้าพราหมณ์เป็นใหญ่ แต่พราหมณ์ก็เหมือนกับพุทธ สมัยนี้ เรียกภิกษุของพุทธสมัยนี้ว่าพระ พระก็กลายเป็นพระมหาศาล สมัยโน้นก็เรียกว่าพราหมณ์มหาศาลคือเป็นพราหมณ์แบบมิจฉาทิฏฐิ ในยุคพระพุทธเจ้า พระสมณโคดมนี่แหละ เขาก็มีพราหมณ์มหาศาลผู้เจริญบางจำพวก ฉันอาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาอยู่แล้ว ยังมีน้ำหน้ามาหากินด้วยเดรัจฉานวิชชา คือ เดรัจฉานวิชชาไม่ใช่ภาษาหยาบ แต่เป็นวิชชาที่ขวางทางนิพพาน เป็นวิชาที่มิจฉาทิฏฐิออกไปไกล จนกระทั่งกลายเป็นอบายมุข ทฤษฎีอะไรเลอะเทอะเอามาใส่เข้าไป พระพุทธเจ้าจึงตั้งศีลขึ้นมา มหาศีลเป็นเรื่องของ ความรู้ตีกรอบของศาสนาพุทธที่จะต้องไม่มีเดรัจฉานวิชา เขาไม่เข้าใจแล้วในยุคนี้ เพราะฉะนั้นศาสนากระแสหลักชาวพุทธกระแสหลักทุกวันนี้จึงเต็มไปด้วยเดรัจฉานวิชา แถมมีไสยศาสตร์ ยิ่งเป็นพวกงมงาย ไสยศาสตร์ คือ ศาสตร์ของคนหลับ ไม่ใช่ศาสตร์ของคนตื่น ชาคริยา ความเกิด จากอวิชชา จึงไปหลงความผิดเป็นความถูกไปหลงเดรัจฉานวิชาไปหลงเดียรถีย์ที่เคยผิดมาหมด ไปหลงพวกศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้ก็ยังอาศัยศาสนาพราหมณ์อยู่บ้าง แต่เดี๋ยวนี้ศาสนาพราหมณ์ในเมืองไทยยอมรับตัวเองว่ารองจากศาสนาพุทธ เป็นผู้ที่ทำมาหากินเลี้ยงตัวเองด้วยอวิชชาอยู่ในศาสนาพุทธ แต่เขาก็มีไตรเวทของเขา ก็อันเดียวกันแต่เขาเข้าใจผิดเป็นถูก เข้าใจถูกเป็นผิด เราก็มาเดินสวนกระแส ปฏิโสตัง ชาวพุทธนี้จึงไปหลงไปทำความเกิดให้แก่ลาภ ยศ สรรเสริญ ไปทำความเกิดให้แก่สุขแล้วก็เสพ แล้วก็สิงเสพ เพราะไม่มีปัญญาอันยิ่งจึงสิงเสพโลกีย์อยู่ โลกียธรรม ก็มีลาภยศสรรเสริญสุข อันใดเกิดลาภ สิงเสพติด อันใดเกิดยศก็สิงเสพ อันใดเกิดสรรเสริญก็สิงเสพ อันใดเกิดสุขก็สิงเสพอยู่ ยังมีอยู่เต็ม เพราะฉะนั้น ลาภยศสรรเสริญสุขนี้คือ ดอกผลใบ อันงอกงาม เจริญไพบูลย์ เป็นดอกใบผลของต้นไม้ที่งอกงามเจริญไพบูลย์ ในมหาสาโรปมสูตร พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อุปมาอุปไมย แก่นไม้คือวิมุติ ผู้แสวงหาอยากได้วิมุติ แต่อวิชชาก็ไปหลงงมงายอยู่แต่ผลใบดอกของต้นไม้ สิ่งเสพ บริโภคชื่นใจ เป็นสุขอยู่ในลาภยศสรรเสริญสุข เต็มไปหมด ขออธิบายคู่ อาตมามีสภาวะ จำแต่พยัญชนะมาแปะไว้ให้ถูกสภาวะ พ่อครูว่า…ใครจะเพิ่มเวลาให้อาตมาสัก 2 ชั่วโมง นี่พูดเบาๆนะ เพราะกลัวท่านจะตื่นเต้น สมณะเดินดิน..สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin15 มกราคม 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:640113_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ฌานของพุทธต้องเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8NextNext post:640117_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ทำไมพ่อครูพาชาวอโศกลงสู่สนามการเมืองRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024