640113_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ฌานของพุทธต้องเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/16YBo1elpDTrTlJyZ71XyAjAL-yATOLMAF9auQR2z4YE/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1fTu6fxtoQlBJbSRC-fL6E7G40iB-gfpy/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://www.facebook.com/watch/live/?v=872251183541855&ref=watch_permalink
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 13 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก สถานการณ์โควิดตอนนี้ก็กระจายไปทั่วโลก เมืองไทยเราก็มีติดเชื้อกันมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็ตั้งการ์ดในชุมชนเราเพิ่มขึ้น เจ้าหน้าที่ก็ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ดีเหมือนกันทำให้พวกเราไม่ต้องออกไปไหน จะได้ทำกสิกรรมกันให้มาก เมื่อคนไปไหนไม่ได้ก็ต้องหาอะไรทำกินเอง นึกถึงสมัยก่อนเราทำมาหากินไม่ต้องใช้สตางค์ก็มีกิน เดือนนี้ก็ต้องมีเงินถึงจะมีอาหารกินได้แล้วอาหารที่กินก็ทำให้สุขภาพเสื่อมด้วย
พ่อครูก็พาเราปลูกพืชผัก นี่หัวกะหล่ำอย่างใหญ่
พ่อครูว่า…เราก็มีสิ่งเหล่านี้แหละมาโชว์เราไม่มีแหวนเพชรโชว์ แต่เรามีกะหล่ำปลีมาโชว์
ก็เอาที่ sms เป็นตัวนำ
_Hr Td : เรื่องแม่กินเนื้อลูกนี่โบราณาจารย์ท่านอุปมาไว้ไม่ได้เปรียบว่าแม่โง่นะ ครับ ท่านอุปมาว่า การที่พระภิกษุฉันเนื้อสัตว์ที่เขาถวายนั้นให้ฉันด้วยความสังเวชไม่มักมากในอาหารปลงใจสังเวชก่อนจึงฉัน ให้เหมือนพ่อแม่ลูกที่เดินทางไปในทะเลทรายหมดอาหารที่จะยังอัตภาพลูกจึงตายพอลูกตายพ่อกับแม่หิวโหยจึงแล่เนื้อลูกตากเก็บเป็นเสบียงเดินทาง พ่อแม่นั้นรักลูกมากจะกินเนื้อลูกทีไรก๋ร้องไห้รักลูกแต่จำเป็นต้องกินเพื่อรักษาชีวิตให้พ้นจากทะเลทราย เหมือนพระภิกษุจำเป็นต้องฉันอาหารที่เขาถวายแม้จะเป็นเนื้อสัตว์ให้ทำใจเหมือนแม่ที่กินเนื้อลูกเพื่อจะได้ทำสมณกิจให้ตัวเองพ้นจากสังสารวัฏ เหมือนพ่อกับแม่นั้นพ้นจากทะเลทราย ฉันนั้น นี่เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ..
พ่อครูว่า…ก็อธิบายกันไปได้ นิพพานของพระอรหันต์เท่านั้นเป็นสัจจะหนึ่งเดียว นอกจากนิพพานของพระอรหันต์แล้วไม่มีอะไรเป็นอย่างเดียวแย่งกันได้ทั้งนั้นถ้าเข้าใจอย่างนี้นะ จะไม่แย้งว่าอาตมาแย้งใครๆจะไม่แย้งอาตมาเลย
เพราะว่าผู้นั้นจะเข้าใจ จูฬวิยูหสูตร เข้าใจสัจจะมีหนึ่งเดียวคือนิพพาน พระอรหันต์ที่บรรลุนิพพานแล้วจะมีนิพพานหนึ่งเดียวตรงกัน นอกนั้นอะไรที่ไม่ใช่นิพพานแล้วแย้งกันได้หมดต่างกันหมด นี่ท่านอธิบายง่ายๆ
เพราะฉะนั้นการเห็นต่างกันแย้งกันอาตมาไม่แปลกใจ ไม่พูดอะไรที่ไม่ใช่นิพพานมันแย้งได้หมด พูดขี้หมูรา ก็ไม่ใช่ขี้หมาแห้งอย่างนี้เป็นต้น
อาตมาก็ไม่ว่าไง …อาตมาชัดเจนว่าที่เขาเปรียบนั้น แม่โง่ มีอวิชชา ยังไม่ได้บรรลุนิพพาน เพราะผู้ที่ไม่สัมมาทิฏฐิปฏิบัติจนเข้าทางจริงๆแล้วยังโง่อยู่ทุกคน
_Bebe Phone บีบี โฟน : จงศรัทธาพระพุทธเจ้าๆผู้ชี้ทางบอกไปนิพพาน
พระโพธิรักษ์ไม่ใช่ศาสดา อย่าหลงนับถือไปในทางที่ผิดๆ หานิพพานไม่เจอเพราะสอนตีกลับหมด สอนวิชชา3 วิชชา8 ผิดเพี้ยนไปหมด ไม่ตรงตามพุทธพจน์โอ้อวดมีมายา อรหันต์เก๊อรหันต์ลวงโลก ผมหวังว่าชาวอโศกจะ มีสติและปัญญาที่เป็นสัมมาทิฎฐิที่ถูกต้องตามพุทธพจน์อย่างแท้จริง อย่าอวดดีเกินพระพุทธเจ้า อย่าตำหนิศาสดาของตนเองศึกษาจากพระไตรปิฎกแล้วมา modiffyเอาเอง ไม่ได้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า โอ้อวดมีมายา หาเงินได้เป็นร้อยล้านพันล้าน
เอาศาสนามาหากิน ไม่มีญาณ ทัศนะและวิมุตติญาณ แสดงธรรมตีกลับโลก ตีกลับคำสอน ชาวสันติอโศกจงเกิดปัญญาและยกย่องนับถือพระพุทธเจ้าเถิด อย่าหลงทางตามโพธิรักษ์เลย หานิพพานไม่เจอเพราะสอนขัดแย้งพุทธพจน์ทั้งหมด สมณโพธิรักษ์มี ทิฏฐุปาทานและอัตวาฐุปาทาน
พ่อครูว่า…จงศรัทธาในพระพุทธเจ้าอันนี้เป็นลักษณะบังคับคำสั่งเป็นลักษณะเทวนิยม
ขอแวะแย้งท่านผู้นี้หน่อยว่ามีสักคำไหนในโลกที่อาตมาพูดไปแล้วเป็นลักษณะอวดดีกว่าพระพุทธเจ้า คุณมาขี้ตู่โต้งๆ อาตมายังไม่ได้แม้จะอวดดีเป็นระดับ 8 เลย แม้แต่ภาษาหรือความหมายของลักษณะไม่ได้ยากอะไร คุณก็ยังเข้าใจไม่ได้แล้วขี้ตู่อาตมา แล้วคุณขี้ตู่ อาริยะ ความรู้ของคุณ ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้ไปตำหนิศาสดาไม่ได้ไปตำหนิพระพุทธเจ้า และแน่นอนอาตมาต้อง Modify ตามภูมิปัญญาอาตมา คุณก็ Modify ของคุณเอง
และใช่ที่อาตมาแสดงธรรมตีกลับโลกแต่คุณไปกับโลก อาตมาตีกลับคำสอนที่พวกคุณไปกับโลก อาตมาตีกลับมาเป็นโลกุตระ
ที่บอกว่าจงเกิดปัญญานั้นมันเป็นการบังคับ ขอถาม พวกเรา และที่นี่ใครไม่นับถือพระพุทธเจ้ายกมือขึ้นขอสักครึ่งคน …ไม่มีสักครึ่งคนก็ไม่มี
ก็เป็นความเห็นของคุณอาตมาไม่แย้งหรอกเพราะว่าเสียเวลา
เดี๋ยวอาตมาจะอธิบายฌาน หากคุณเห็นตรงตามอาตมาไม่ได้ คุณมิจฉาทิฏฐิหากคุณเห็นตามอาตมาได้ คุณสัมมาทิฏฐิ พูดไว้อย่างนี้ก่อน
หลังปรินิพพานพลังงานพระพุทธเจ้าไปไหน
_หายโง่…ขอโอกาสกราบเรียนถามพ่อครูว่า..1.คำว่า’สัมบูรณ์’กับ’สมบูรณ์’ต่างกันอย่างไรคะ..2.พระอรหันตเจ้า หรือแม้พระพุทธเจ้าเมื่อปรินิพพานปริโยสานแล้ว ยังมีพลังงานอยู่ในจักรวาลไหมคะ..
พ่อครูว่า…สัมบูรณ์มีไม้หันอากาศ สมบูรณ์ไม่มีไม้หันอากาศ ในความหมายของบาลีนั้นเหมือนกันไม่ได้ต่างกันหรอก
ข้อ 2 นั้นตอบสั้นๆก่อน พลังงานคือ สภาพของสภาวะอย่างหนึ่ง ถ้าพลังงานที่เกิดในอุตุนิยาม มันก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่ง มันยังไม่หายไปจากโลกทันทีเลย พลังงานความร้อนแสงเสียง แม่เหล็กไฟฟ้า เป็นพลังงานอุตุนิยาม มันเกิดความร้อนขึ้นมา มันก็ร้อนใช่ไหมล่ะมันเกิดความเย็นขึ้นมามันก็เย็น ซึ่งตอนนี้กำลังเย็น มันไม่ได้หายไปในทันที ฟังดีๆนะ แต่มันจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยไม่มีอะไรเที่ยง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด ไม่ว่าพลังงานหรือสสาร เราเห็นว่าสสารดูเหมือนมันไม่เปลี่ยนแปลง เช่น หินก้อนนี้อยู่มาตั้งหลายปีแล้วไม่เปลี่ยนแปลงเลย ที่จริงแล้วมันเปลี่ยน แต่มันอาจจะเปลี่ยนช้า ความสึกกร่อนมันอาจจะไม่มากนัก ไม่เหมือนกับ พลังงาน ที่มันสึกกร่อนเปลี่ยนแปลงไปง่ายกว่าเยอะเท่านั้นเอง
เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วพลังงานเหลืออยู่ไหม พลังงานมันไปอยู่กับความรู้ มันเกิดเป็นความรู้ ที่ยังติดอยู่กับจิตนิยามของเมื่อคนยังมี สมมติว่าพลังงานอรหันต์ หากว่าโลกนี้หมดพระอรหันต์แล้วพลังงานของอรหันต์ก็ไม่อยู่ ถ้าโลกนี้เหลือพระอนาคามี ก็จะมีคนที่มีความรู้รองรับความรู้ของพระพุทธเจ้าไว้ มีความรู้ขนาดแค่อนาคามีก็เหลือแค่อนาคามี ถ้าเหลือแต่สกิทาคามีก็เหลือแต่สกิทาคามี เหลือแต่โสดาบันก็เหลือแต่โสดาบัน หากว่าหมดเลยไม่มีความรู้ของพระพุทธเจ้าเหลือเลยก็เป็นพุทธันดร เพราะพลังงานพวกนี้ที่เป็นพลังงานอาริยธรรมต่างๆ มันเกิดในคน ไม่มีคนแล้วมันก็ไม่มี เมื่อไม่มีคนแล้ว หรือคนที่เป็นโสดาบันก็ไม่มี สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไม่เหลือเลย พลังงานที่เป็นอาริยธรรมนั้นจะเหลืออยู่ไหม จะเป็นโมเมนตัมของพลังงานความรู้ที่มันไม่มีคนนำพา ผู้นำพามันหยุดไปแล้ว ตัวนำหมดไปแล้ว เหลือแต่พลังงานเฉื่อยของความรู้ที่มันตกค้างอยู่
อย่างอาตมาเกิดมาในยุคนี้เหลือแต่พลังงานเฉื่อยของอาริยธรรม โลกุตรธรรม เกือบหมดแล้ว เพราะฉะนั้นอาศัยพลังงานเฉื่อยที่เกือบหมดแล้ว หาจากคนแทบไม่ได้ อาตมาก็ต้องเอาพลังงานโลกุตรธรรมอาริยธรรมที่ติดตัวมาแต่ปางก่อน เอามาทุ่มเทใส่สิ่งที่เกือบหมดแล้ว แต่ว่ามันหมดจากคนก็พูดได้เลยว่าหมดจากคนไปแล้ว เหลืออยู่ในพระไตรปิฎกที่เป็นวัตถุ อาตมาจึงอาศัยพระไตรปิฎกมายืนยันว่าโลกุตรธรรมเป็นเช่นนี้นะ
SMS วันที่ 11-12 ม.ค. 2564
_สว่างแสง ขวัญดาว : ขอน้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกไม่เข้าใจ คำว่า นามรูป “ใน” ปฏิจจสมุปบาท ขอพ่อครูได้โปรดอธิบายด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาอยากจะอธิบายให้ดี แต่มีเรื่องที่จะอธิบายเยอะเหลือเกิน เอาน่า ติดตามตั้งใจฟัง ที่จริงแล้วจะว่าไปไม่ใช่ว่าไม่ได้อธิบายปฏิจจสมุปบาท อาตมาอธิบายเรื่องอวิชชา อวิชชาเป็นต้นตอตัวที่ 1 ของปฏิจจสมุปบาท อธิบายเรื่องสังขาร เรื่องวิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพชาติ อธิบายอยู่ตลอด เอาบัญญัติมาอธิบายสภาวะที่อาตมามั่นใจว่าถูก
ง่ายๆเช่น นามรูป คือ สภาวะ 2 อะไรอะไรทั้งหมดคุณต้องเรียนรู้ในสภาวะ 2 แล้วจะเกิดการเปรียบเทียบ ถ้าคุณไม่เข้าใจว่าสภาวะ 2 จะเปรียบเทียบกัน คุณไม่รู้1 อันใดที่ดีกว่าหรือถูกกว่า คนเรียนได้แต่ 1 เช่นไปนั่งหลับตาสะกดจิตมีแต่ 1 คนไม่ได้เรียนแบบมีธัมมวิจัยมีการเปรียบเทียบเป็นธรรมะ 2 โดยเฉพาะเปรียบเทียบภายนอกกับภายใน คุณไม่มีแรงขึ้นเจ๊งกระบ๊ง ในศาสนาพุทธคุณไม่รู้จักเทวะที่สำคัญเป็น เทวธัมมา
แล้วพระพุทธเจ้าก็จับหัวใจของศาสนาพุทธอยู่ตรงที่เวทนา เพราะตัวเวทนาคือตัวอารมณ์ ความรู้สึกของสุขทุกข์ ศาสนาพุทธเน้นที่สุขทุกข์ แล้วเรียนรู้สุขทุกข์ให้ได้ว่า มันเป็นมายา มันเป็นอนัตตา มันไม่เที่ยง มันพาให้เกิดความทุกข์ต่างหาก ที่หลงว่าเป็นสุข มันเป็นตัวผีหลอก มันเป็นของเก๊
เพราะฉะนั้นจึงต้องเรียนนามรูป พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอาหาร 4 สรุปไว้ว่าเมื่อรู้วิญญาณก็คือรู้นามรูป ก็คือรู้ทุกอย่าง ท่านตรัสไว้ทิ้งท้ายอย่างนั้น สำหรับนามรูป
พ่อครูไม่รักไม่ชังสัตว์ คือมีเมตตาที่สุด
_สมจิตร มิละถาโก : คนที่ไม่รักหมารักแมวไม่รักสัตว์ก็ไม่มีศีลมีธรรม นักบวชก็เหมือนกันถ้าไม่รักสัตว์ก็ไม่มีศีลติดตัว ก็เหมือนคนธรรมดาดี ๆ นี้เอง
พ่อครูว่า…คุณจะรักจนสุดหัวใจอย่างไรก็เชิญเถิด อาตมาหมดรักหมดชังแล้ว ธรรมดาอาตมาจะไม่รักสัตว์ก็รักคนดีกว่า แต่แม้แต่คนอาตมาก็ไม่ได้รักไม่ได้ชัง คนก็คือสัตว์โลกที่เกิดมาเกิดแก่เจ็บตาย เกิดมาก็มีทุกข์ต้องเรียนรู้ทุกข์ดับทุกข์ให้หมด ก็จบกิจในความเป็นคน ผู้เรียนรู้ทุกข์สุขแล้วเรียนรู้ว่าจะอยู่อย่างไรกับทุกข์สุขคุณก็สบายจบกิจ นี่คือคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทั้งหมดก็มีแค่นี้ คุณเจตนาจะว่าอย่างไรก็ว่าได้ไม่มีปัญหาหรอก แล้วคุณก็ฟังว่าอาตมาไม่รักสัตว์ไม่รักหมารักแมวคือคนไม่มีศีลธรรม คุณก็พูดของคุณได้ตามเหตุผลของคุณ แต่อาตมาไม่รักหมาไม่รักแมวและไม่ชังหมาไม่ชังแมว ไม่รักไม่ชังแล้ว หมาแมวก็คือสัตว์โลกที่เกิดมา เราควรมีเมตตา กรุณา มุทิตา อาตมานั้นไม่ต้องแสดงสิ่งเหล่านี้และออกไปอวดคุณหรอก อาตมาก็มีอยู่แสดงอยู่ โดยที่อาตมาก็ไม่เกี่ยวกับสัตว์ต่างๆเพราะเขาก็อยู่กันตามวิบากของเขา อาตมาก็อยู่ อาตมาเกี่ยวกับคนเป็นหลักเมืองศาสนาต่างๆก็ปล่อยให้เขาอยู่ไปตามประสาพวกเขานี่คืออาตมาไม่รักไม่ชัง
เมตตานี้คืออาตมาไม่ทำร้ายเขาถ้าจำเป็นต้องช่วยอาตมาจะช่วย ถ้าไม่จำเป็นจะต้องช่วยอาตมาก็ปล่อยให้ตามวิบากเขา เช่นเห็นงูกินเขียดอาตมาไม่ไปช่วยเขียดหรอก ก็มันเป็นเรื่องของเขาก็ต้องกินเขียด ถ้าเขาไม่กินเขียดจะให้เขาไปกินกะหล่ำปลีหรือ..เขาไม่กินหรอก อันนี้ลูกใหญ่นะลูกสวยนะ บอกงูไป มันจะกินเหรอ อนาคอนด้ามันไม่กินนะ ลูกใหญ่ขนาดนี้ต้องให้อนาคอนด้ากิน งูเขียวหางไหม้กินไม่ได้หรอก
_สมเจตน์ เชาว์ศิริ : ทางยูทูปดูไม่ได้ครับ 11/1/2564
พ่อครูว่า…ทาง YouTube ไม่มีก็ดูทาง Facebook ทาง LINE ได้ เราทำขึ้นมาของบุญนิยมทีวี คุณก็ดูอันนี้ได้ (มีช่วงวันจันทร์เรามีช่อง YouTube ขัดข้อง)
_อเนญชา นาคบัว : ขอบคุณครับ covid19 ที่ทำให้ผมได้ฟังธรรมะสดๆจากท่านป้ออุ้ย ขอบคุณอีกครั้งหนึ่งนะครับ น้อมกราบครับ
_ประดิษฐ อินทหอม : ความรัก10 มิติของพ่อครูแยกแยะได้ชัดเจนครับ
_บุญยิ่งแก้ว นาวาบุญนิยม : อ่านใจเวลาที่เกิดผัสสะจะได้ละกิเลสได้
พ่อครูว่า…นี่แหละประเด็นหลักเลย มั่นใจไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตา มั่นใจก็คือมีพยายามมีสติสัมปชัญญะ จับอาการทั้งหลายแล้วก็ดูว่าอาการมันเกิดทางใจอย่างไร กายกรรมก็ทำไปวจีกรรมก็พูดไป เราก็หัดฝึกจิตของเราให้อ่านอาการของในขณะที่กายกรรมมี ในขณะที่วจีกรรมมี ในขณะที่ฝึกลืมตานี่แหละ ศาสนาพุทธไม่หลับตาปฏิบัติ หากหลับตาปฏิบัติพระพุทธเจ้าก็บอกว่าเหมือนกับทำตาให้บอดทำหูหนวก ถ้าฟังอย่างนี้แล้วพวกนั่งหลับตาปฏิบัติน่าจะสะดุ้งเฮือก หากจะหลับตาก็นอนพักผ่อนสิ จะปฏิบัติธรรมก็ต้องตื่นเต็มทางกายวาจาใจมีสติเต็ม แล้วจะมีอธิปไตยเต็ม ถึงจะเกิดปัญญาเป็นอุตระได้ ปัญญาไม่เกิดในการหลับตามีแต่สัญญา
_ตุ๊ก อัศวิน : เอ๋..ช่างน่าประหลาดแท้!! พระ..คือ พุทธบริษัทอันดับหนึ่ง ไม่ศึกษา “พตปฎ”
ไพล่ไปศึกษา “วิสุทธิมรรค” แค่หลักตรรกะ ก็ผิดแล้ว!! มิน่า..วัตรปฏิบัติของพระถึง
ได้เพี้ยนจาก พตปฎ!! เช่นนี้..ยังจะเรียกตนเป็น “สาวกสังโฆ” ได้ฤา!!
พ่อครูว่า…ก็มีเชิงที่ถูกบ้างสำหรับวิสุทธิมรรค แต่ก็ต้องไปคัดดูว่าอันไหนที่ถูก อาตมาว่ามันเสียเวลา ไปเอาที่อรรถกถาจารย์ มันก็ต้องคัดเลือกอย่างที่ว่า ให้ทำความเข้าใจกับพระไตรปิฎก อาตมาขอยืนยันว่าท่านพุทธโฆษาจารย์ไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะท่านยังมีลักษณะของเทวนิยมอยู่อีกเยอะ อาตมาขออภัยที่พูดความจริงตามความจริง เป็นความเห็นอาตมา หากไปขัดแย้งกับผู้ใดก็แล้วแต่
ส่วนของเถรวาทที่ท่านบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกก็น่าจะฟังเอาไว้ด้วย เอาที่ตรงเลย ในพระไตรปิฎกก็มีของพระเถระในยุคพระพุทธเจ้าตรัสไว้ เช่นพระสารีบุตรตรัสไว้ ถ้าอยากจะอ่านเถรวาท เถรวาทะก็มี ส่วนอาจาริยวาท อาตมานั้นว่าละเว้นไปเถิด มันออกนอกทางไปมาก เอาแค่เถรวาทอย่างพระพุทธเจ้าก็พอ
_คอยใคร : คนตาบอดฟังธรรมไม่รู้เรื่องจริงหรือครับ
พ่อครูว่า…ก็รู้ รู้ไม่ครบเต็ม
_วันชัย สหมโนธรรม : วันนี้วันดี.คนฟังธรรมเกิน ๒๐๑- สาธุๆๆ
_สุทัศณีย์ วงษ์กิ่ง : น้อมกราบนมัสการพ่อครูคนฟังธรรมพ่อ ปัญญาไม่พอ เมาเจ้าคะรู้เรื่องตามได้ยาก ทำตามได้ยากเจ้า
ขันธวิมุติ ไม่ได้ตัดขาดจากขันธ์ 5
_มณฑา แก้วบำรุง : เจโตวิมุตติจิตสงบเป็นสุญญตาและอุเบกขาถูกไหมค่ะ
ขันธวิมุตติไม่มีตัวตัดขาดจากขันธ์ห้า เห็นทุกสิ่งเป็นอนัตตาถูกไหมค่ะ
พ่อครูว่า…สุญญตานั้นมีทั้งสัมมาทิฏฐิและมิจฉาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิก็เป็นอุเบกขาถูก แต่ถ้าสุญญตาที่ไม่สัมมาทิฏฐิที่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็เป็นอุเบกขาผิด เป็นอุเบกขาแบบเคหสิตะแบบโลกีย์เขาก็มี แต่ถ้าถูกจะได้เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา
ที่พูดมาก็ถูก ขันธวิมุติ ไม่ได้ตัดขาดจากขันธ์ 5 คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ผู้ที่ได้วิมุติของพุทธแล้วไม่ตัดขาดจากขันธ์ 5 เห็นทุกสิ่งเป็นอนัตตาถูกต้อง
คำว่าเห็นอนัตตาไม่ใช่แค่ตรรกะความคิดนะ เห็นอนัตตา ผู้ที่เห็นด้วยปัญญาอันยิ่ง ไม่ได้เป็นแค่ตรรกะ คนแยกตรรกะกับสภาวะความจริงไม่ง่าย เมื่อปฏิบัติแล้วคนที่มีจิตรู้พยัญชนะมาก เก่งพยัญชนะมาก แต่จิตไม่เข้าถึงปัญญาปฏิภาณ ไม่เข้าถึงสภาวะ เริ่มตั้งแต่ความเป็นกายของตน สักกายทิฏฐิ เข้าใจความเป็นกายคืออย่างไร กายมีทั้งภายนอกและภายใน นี่เป็นคู่แรกง่ายๆ กายคือรูปนาม ก็ต้องมี 2 สภาพภายนอกภายในก็มี 2 รูปนามก็มี 2 แล้วต้องรู้จักกายอย่างถูกต้องดีพอสมควร หลายคู่ทีเดียวแล้วก็รู้มาที่ตน
ตนเองนอนหลับ ไม่มีกายภายนอกไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่มีธาตุรู้ออกมารู้จักอะไรข้างนอกเลยมันก็ขาดจากกายขาดจากภายนอก ปฏิบัติธรรมไม่ได้ ของพระพุทธเจ้าจะต้องมีกายอยู่ตลอดเวลา จะต้องมีกายเสมอ ขาดไม่ได้
แม้จะเป็น กายปาคุญญตาคือ กายที่สำเร็จแล้วคล่องว่องไวเป็น มุทุภูตธาตุ หากไม่เข้าใจกาย แต่กายปาคุญญตาคือ เจตสิก 3 คือ เวทนา สัญญา สังขาร คือ กองหรือขันธ์ ที่วิมุติแล้ว ก็จะมีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่คล่องแคล่วว่องไว ชำนาญ ชำนาญออกมาทั้งภายนอกภายใน ไม่ใช่เฉื่อยนะ แคล่วคล่อง ทั้งภายนอกและภายใน ไม่ใช่คนที่วิมุติจะเป็นคนเฉื่อย ไม่ใช่ อย่างโพธิรักษ์นี้แสดงธรรมปุ๊บปั๊บ คนอะไรจะเร็วกว่าลิงอีก พระอรหันต์จะเร็วกว่าลิงอีก ไม่ได้แย้งเล่นนะ อาตมาพูดความจริง ให้ติดตามฟังให้ดีๆ
_แก่นนวน มาลัยขวัญ : กราบนมัสการพ่อครูมาด้วยความเคารพอย่างสูงเจ้าค่ะ. ทานมังสวิรัติเป็นปกติ. พักอาศัยในชุมชนอโศก. ก็ไม่ได้ออกหาอาหารที่อื่น เพราะชุมชนเราพึ่งตนเองได้..นี่คือทำให้ห่างไกลจากโควิด 19 เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…โควิด มันเป็นไวรัสที่ไปกับพวกจิตนิยามคือพวกสัตว์ ไม่ใช่ไปกับพวกพีชนิยาม
_แก้วตะวัน พวงบุบผา : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชาค่ะ..ลูกตั้งจิตอธิษฐานว่าขอให้มาอยู่ที่บ้านราช..อยู่ใกล้สัตตบุรุษ ให้ได้ในชาตินี้ค่ะ
พ่อครูว่า…ไม่ต้องตั้งจิตหรอกเดินมาเลย ขึ้นเครื่องบิน
ฌานของพุทธต้องเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8
กำกับเลยว่า เรื่อง ฌาน ที่เป็นของพุทธแท้ๆ
ตั้งใจฟังเป็นลำดับ ฌานที่เป็นของพุทธแท้ๆ อยู่ในจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ใช่ฌานสมาธิที่เกิดจากการหลับตาทำ จรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ได้หลับตาทำเลย เป็นการปฏิบัติที่ทำให้ตื่นด้วย ไม่ใช่ตื่นธรรมดา ไม่ใช่ตื่นอยู่ในภพ ไม่ใช่ตื่นในภวังค์ แต่ตื่นทั้งทางกาย ทางวาจา ตื่นทั้งทางใจ เป็นผู้ที่พยายามต้องตื่นอยู่ตลอดเวลา
คนที่ตื่นมาฟังธรรมนี้คุณยังไม่ครบเลย คุณยังไม่ได้ตื่นเต็มทั้งกายวาจาใจ มันยังไม่ครบ เพราะฉะนั้นต้องพยายามพากเพียรให้เป็น เป็นหนึ่งให้เป็นธรรมะที่มันกลับไปเพ่งลงไปที่จุดหนึ่ง เอาจิตเพ่งไปที่จุดหนึ่งให้มันเก่งให้มันชำนาญ เข้าไปที่จิต ที่คุณกำลังอภิสังขารกำลังปรุงแต่งพลังงาน มันจะชำนาญ มันจะสามารถทำได้ คุณทำอาชีพ ตามมรรคมีองค์ 8 คุณทำอาชีพอยู่ก็ เพ่งจิตไป ล้วก็แยกจิตให้ได้ มีสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ คุณแยกแยะให้ได้ ถ้าไม่มีสติสัมโพชฌงค์แข็งแรงเต็ม มันก็วิจัยได้ยาก ถ้าฝึกไปมันก็จะเต็ม สัมโพชฌงค์คือสามารถถึงขั้นตรงตามคำตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า โพชฌงค์คือโพธิหรือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า สามารถที่จะจับ มีสติที่เก่ง มีสัมปชัญญะปัญญาปฏิภาณที่ไวไปสามารถจับจิตแล้วก็แยกจิต แล้วท่านไม่ให้เอาอะไรเลอะเทอะมากมาย ท่านให้จับตรงที่เวทนา ตรงความรู้สึก
เวลาปฏิบัติจริงๆมีกรรมฐานเป็นที่ตั้งคือเวทนา หรือว่ากรรมฐาน กรรมฐานของศาสนาพุทธคือเป็นฐานะของการงานก็คือเวทนา ในพรหมชาลสูตรพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ถ้าอ่านพระไตรปิฎกแตกฉานจะเข้าใจ ไม่อย่างนั้นมันจะเยอะเหลือเกินจิตเจตสิกต่างๆก็เยอะ ท่านยอมให้เรียนรู้ที่เวทนาในเวทนาให้เต็ม 100 อาศัยแล้วก็เป็น 0 ได้ ดังที่พระพุทธเจ้าสอนให้แยกกายแยกจิต
ถ้าอยากให้เป็น0 ก็เป็นอุตุไปเลย ถ้าเป็น1 ก็เป็นพีชะได้ พ้นทุกข์แล้ว ไม่มีเวทนาไม่มีสัญญาก็พ้นทุกข์แล้ว ถ้ายังเป็นจิตอยู่ก็ยังเป็นอวิชชา ก็ไม่สามารถทำจิตให้เป็น พีชธาตุได้ ก็ยังมีทุกข์มีสุขอยู่ เป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่มีทุกข์มีสุข
จิตของคนไม่ใช่จิตของพืช แต่จิตของคนที่สามารถทำจิตของตนเองส่วนหนึ่งให้เป็นพืชได้ ส่วนที่เหลือเป็นจิตสะอาดเป็นจิตแท้ๆเลย แต่ก่อนนี้จิตถ้าแบ่งเป็น 2 ส่วน คือจิตส่วนหนึ่งเป็นจิตอวิชชา จิตส่วนหนึ่งเป็นจิตเดิมที่ไม่มีกิเลส เมื่อคุณล้างอวิชชาออกไปจากจิตหมด จิตใจของคุณก็เลยสมบูรณ์ไม่มีกิเลสได้ จิตนิยามของคุณมีพลังงานมากกว่าหรือ วิจิตรพิสดารกว่าพืช ก็เอามาใช้งานทำประโยชน์ได้ ช่วยพืชเอง ช่วยสัตว์โลก ช่วยวัตถุดินน้ำไฟลมได้
ฌาน ของพุทธแท้ๆอยู่ที่จรณะ 15 วิชชา 8 จึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ไม่เป็นสัมมาทิฐิ ไม่มีวิชชา 8 ไม่มีจรณะ 15 ไม่มีอปัณกปฏิปทา 3 ไปหลับตาไม่มีชาคริยานุโยคะ ไม่ได้ทำตนเองให้ตื่น ไม่ได้มีโภชเนมัตตัญญุตา ไม่ได้กระทบอาหาร อาหารการกิน มีกะหล่ำปลีกิน มีกล้วยหอม มีดอกแค มีอะไรต่ออะไร พืชพันธุ์ธัญญาหารกินเยอะแยะ เราก็ไม่ได้ติดยึดอันนั้นอันนี้ บอกว่าไม่ชอบหรอกดอกแค ชอบกินแต่กะหล่ำปลี บางคน ชอบแต่บล็อกโคลี่ไม่ชอบดอกแค ก็มีตามเขา เราก็เป็นคนไม่เรื่องมากเป็นคนเลี้ยงยาก มันก็จะมีหลากหลายพืชพันธุ์ธัญญาหาร อันนี้มีวิตามินมีสารอาหารแบบนี้เยอะ อันนี้มีอันนี้อันนั้นมีอันนั้นแตกต่างกัน ก็กินถัวเฉลี่ยกันไปเท่าที่มี หรือเห็นว่าเราขาดอะไรก็หามาปลูกขึ้นมากิน
ผู้ที่สามารถรู้ชีวิตที่มีโภชเนมัตตัญญุตา แล้วก็รู้จักการจัดสรรการกิน ของเรามีประโยชน์คุณค่าและไม่ติดในเรื่องรสชาติ ไม่ติดในสมมุติ กินอย่างมีปัญญา คุณก็หมดทุกข์หมดสุข ดีชั่วมันไม่ได้ยากอะไรหรอก รู้ว่ากินพืชดีกว่ากินเนื้อสัตว์ มันจะมีปัญญาปฏิภาณรู้ คนที่ยังไม่รู้เขาก็ยังคิดว่ากินเนื้อสัตว์นั่นแหละดีกว่า มันก็เป็นความเห็นของเขา แต่ของพระพุทธเจ้านั้นเขาก็ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์ แต่เขาเชื่อว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ ท่านฉันเนื้อ สุกรมัทวะ บอกว่าท่านฉันเนื้อหมูแล้วก็ตาย ก็มันชื่อ สุกระ เขาก็แปลว่าเนื้อหมู มัทวะ คืออ่อน เขาก็แปลว่าเนื้อหมูอ่อน
แต่ที่จริงคือชื่อของเห็ดสุกระมัทวะ ในอินเดียมีราคาแพงนะ
การกินโภชเนมัตตัญญุตาเป็นเรื่องใหญ่ ท่านถึงเอาขึ้นไว้เป็นข้อแรกของอาหาร 4 เป็นเครื่องอาศัยในชีวิตมนุษย์สัตว์โลก จะต้องมีอาหาร อาหารที่สำคัญที่สุดก็คือ คำข้าวหรือการกิน พืชพันธุ์ธัญญาหาร สำคัญที่สุด คุณก็ต้องเรียนรู้กิเลสที่จะเกิดในอาหาร
เรียนรู้เวทนาที่เกิดจากการกินอาหารครบครันหมดเลย
ที่ท่านอุปมาอุปไมยว่า กินเนื้อสัตว์เหมือนกินเนื้อลูก
อาตมาเข้าใจว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสอันนี้ไว้มันลึกซึ้งมาก พ่อแม่คู่นี้โง่จริงๆ แต่คุณว่าไม่ใช่ พ่อแม่ไม่ได้โง่ อาตมาว่าโง่คำนี้คืออวิชชา เขาอาจจะเป็นคนเฉลียวฉลาดทางโลกีย์ฉลาดยิ่งกว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ฉลาดยิ่งกว่าทักษิณก็ได้ แต่เป็นการฉลาดเฉโก แต่เขาไม่มีความฉลาดทางโลกุตระ(พ่อแม่คู่นี้) เป็นความเข้าใจของอาตมาที่ต่างจากคุณเข้าใจมาจากอาจารย์คนอื่นสอน
เพราะฉะนั้นเรื่องของการกินเนื้อลูกมันโง่ซ้ำซ้อน ที่อาตมาวิจัยให้ฟัง มันน่ากลัว มันทึ่มทื่อ ซื่อบื้อ คนที่กินอาหารคือคำข้าว กวฬิงการาหาร เปรียบเสมือนพ่อแม่ลูกเดินทางไปด้วยกัน สุดท้ายอาหารหมดก็ฆ่าลูกเอาไว้กินเนื้อ มันเป็นความโง่ที่อำมหิต เห็นแก่ตัวจัดที่สุด ในประดาคนที่ฆ่าลูกกิน ในยุคนี้จะมีไหม มีหรือฆ่าลูกกิน กินลงหรือ? (โยมว่า.. เอาไปขาย) อันนั้นเขาหลงเงินมากกว่าที่เอาไปขาย เขาก็ไม่ได้ขายเอาไปฆ่านะ ถ้าหากขายให้เอาไปฆ่าเขาจะขายไหม ก็คงไม่ขาย อาตมาว่าเขาก็ไม่กล้าขายให้หรอกคนที่เอาลูกไปฆ่า ซึ่งแค่ท่านสมมุติว่าฆ่าลูกกินมันก็สุดอำมหิตโหดร้าย
ถ้าพ่อแม่จริงๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัส ก่อนถ่านไฟแดงตกใส่ลูก กับตกใส่เรา ถ้าแอร์โฮสเตสจะสอนให้เอาของเราออกก่อน แล้วค่อยเอาออกให้ลูก แต่ถ้าคนจริงๆจะช่วยเอาของลูกออกก่อนหรือเอาของเราออกก่อน (โยมตอบว่าลูก) เพราะว่าลูกอ่อนแอ แม่จะมีปฏิภาณรู้แต่ถ้าแม่โง่ๆก็เอาของตนเองออกก่อนสิ แต่แม่ที่ฉลาดมีปฏิภาณปัญญารู้ว่าลูกอ่อนแอ ก็จะช่วยลูกก่อนเราแข็งแรงกว่าจะทนได้มากกว่าลูก อันนี้เป็นสัจจะทั้งนั้นที่อาตมาพูด แม่ที่ฉลาดพอ ถ้าแม่โง่ๆก็จะได้อีกแบบ เวลาขึ้นเครื่องบินแอร์โฮสเตสจะสอนอย่างนี้ ให้ใส่เครื่องช่วยหายใจให้ตัวเองก่อนแล้วค่อยช่วยให้คนอื่น ที่จริงช่วยคนอื่นก่อนแล้วมาช่วยตัวเองมันก็น่าจะทันนะ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไทว่า…คนฉลาดแกมโกงอย่างโดนัลด์ทรัมป์ให้คนไปบุกที่รัฐสภาและออกพรก.ฉุกเฉินให้แก่ตัวเอง
พ่อครูว่า…ประชาธิปไตยแบบขาเดียวก็จะได้คนแบบนั้นมาบริหาร
ไม่ปฏิบัติจรณะและวิชชาไม่มีทางได้ฌานของพุทธ
สมณะฟ้าไทว่า…ตัวเองเอาประโยชน์เอาชีวิตรอดส่วนคนอื่นจะเป็นยังไงก็ช่างอันนี้เรียกว่าม่แม่โง่เป็นอวิชชา คนสมัยนี้เห็นแก่ตัวเป็นหลักมีการฆ่าลูกด้วยต่างๆนานา แต่แม่สมัยก่อนตัวเองยอมตาย ให้ลูกตัวเองรอด
สู่แดนธรรมว่า…แต่ก่อนพ่อครูก็พูดแบบที่เขาว่า แต่ตอนนี้พ่อครูพูดเพิ่มเติมว่า แม่อวิชชา
สมณะฟ้าไทว่า…ประเด็นสำคัญที่เขาพูดมาคือเขาหาช่องจะกินเนื้อสัตว์
พ่อครูว่า…จริงๆแล้วคุณเดินทางไปนิพพาน คุณจะไม่มีอะไรกินเลย จนกระทั่งจะต้องฆ่าลูกกินเนื้อมันจะเป็นไปได้หรือ ขนาดช้างม้าวัวควายหรือว่าสัตว์กินพืชอยู่ในโลกมันยังไม่อดตายเลย มันไม่ปลูกนะ พวกช้างม้าวัวควายไม่ได้ปลูกพืช แต่คนปลูกผักเป็นนะ คุณจะไปนิพพานก็ไม่ได้หมายความว่าคุณเดินอย่างเดียวไม่ได้ทำงานเลย คุณก็ยังมีชีวิตอยู่ในโลกสามัญ คุณก็ปลูกผักกินได้ ได้หัวใหญ่ขนาดนี้กะหล่ำปลีก็ปลูกขึ้นมาได้
มาเข้าเรื่องฌานต่อ เรื่องฌานนี้ขอให้ตั้งใจพิจารณาดีๆที่อาตมา ติงไว้แล้ว ฌาน ของพระพุทธเจ้าเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยกระบวนการของจรณะ 15 วิชชา 8 ที่เป็นพุทธคุณของศาสนาพุทธวิชชาจรณสัมปันโนมันไม่ใช่ของพุทธ ไม่ใช่พุทธคุณมันเป็นเดียรถีย์คุณ จะได้พุทธคุณฌานของคุณจะต้องอยู่ในจรณะ 15 วิชา 8
อปันกปฏิปทา จะต้องมีเน้นแล้วนั้นอีกย้ำซ้ำซาก หากไม่มีก็ไม่ใช่ของพุทธมันผิดไปจากพุธถ้าไม่มีมันผิด ก็ไปนั่งหลับตาไม่ได้ตื่น นั่งหลับตาไม่ได้มีโภชนะให้พิจารณา สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ก็ไม่มี นั่งไปข้างในมีแต่อินทรีย์เดียวสำรวมอินทรีย์เดียว เพราะฉะนั้นมันจึงไม่เกินสัทธรรมได้เพราะว่าศีลคุณก็ไม่มี สัจธรรมคุณก็ไม่มี
สัทธรรม 7 ก็คือ ศรัทธา หิริ โอตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา และมีการปฏิบัติศีล คุณจะเกิดความเข้าใจความรู้ความเชื่อถือ แล้วคุณจะมีปฏิภาณปัญญารู้ว่า อ้อแต่ก่อนนี้ เอาง่ายๆ แต่ก่อนนี้กินเนื้อสัตว์กินแหลก แต่ก่อนไม่ได้เคยนึกอะไรเลย ตะกละตะกรามเป็นยักษ์มาร หากินจากเนื้อสัตว์ต่างๆ จะไปกินสัตว์แปลกๆอะไรอย่างนี้ หรือกินสัตว์ที่ฉันชอบ ก็ไปนั่งแสวงหาอยู่อย่างนี้ แต่ตอนนี้มารู้สึกมีปฏิภาณปัญญาว่ามันไม่ใช่ของควรกิน มันเป็นอกัปปิยะ อย่าว่าแต่ของควรกินเลย แม้แต่ใครที่เอาอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ ในชีวกสูตร ข้อที่ 5 เอาไปถวายพระพุทธเจ้าหรือสาวกก็เป็น อกัปปิยะ เป็นของไม่ควรทำ ไม่ควรเลย ใครก็ตาม เป็นบาปอันมากไม่ใช่บุญเลย ข้อที่ 5
คนที่เอาอาหารเนื้อสัตว์ ใน 5 ข้อนี้ในชีวกสูตร ใครเอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายเพื่อให้เกิดยินดี ท่านจะยินดีหรือไม่ยินดี หากเป็นพระอรหันต์ก็ไม่ได้ยินดี แต่ไม่ใช่ ก็จะเสพติดไป เป็นของ อกัปปิยะ เป็นของไม่ควรเลย
เพราะฉะนั้นควรหรือไม่ควรแค่นี้ คุณเอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายภิกษุสาวกพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้า มันเป็นความไม่ควรก็แค่นี้เป็นบาปไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลย มันเป็นของไม่ควรคิดไม่ควรทำ ควรจะมีปัญญามีความเข้าใจมีปฏิภาณปัญญาว่าอย่าเอาเนื้อสัตว์อาหารเนื้อสัตว์ไปถวายพระพุทธเจ้าหรือไม่ถวายพระ มันเป็นของไม่ควร บาปเป็นอันมาก เอาอาหารเนื้อสัตว์ ไปถวายพระไปถวายพระพุทธเจ้า บาปไม่ใช่บุญเลย เป็นอันมาก เท่านี้ก็เข้าใจกันไม่ได้เห็นไหมคนเราปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแค่นี้ก็ชัดแล้ว
ทีนี้ย้อนอธิบาย ข้อ
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) คุณต้องมีเจตนาแล้วบอกว่าให้ไปเอาทรัพย์นั้นมา เจาะจงคือเจตนาไปเอาสัตว์นั้นมาเป็นอุทิสมังสะ กล่าวชื่อมัน เช่นไปเอาปลาคอ มา ให้ได้ตัวใหญ่ๆไข่เต็มพุงยิ่งดี เอามา แค่นี้ก็บาปเป็นอันมาก มันมีเจตนาเจาะจงให้เอาปลาช่อนตัวนั้นมาคุณก็จะไปหาซื้อที่ตลาดหรือจับให้ได้ปลาช่อนตามที่คนที่เป็นนายนี้ระบุ ก็ต้องหากว่าจะได้ตัวอ้วนๆใหญ่ๆมีไข่เต็มพุงมา คุณก็ได้มา แค่ผู้ที่กล่าวให้ไปจับสัตว์นั้นโดยเจาะจง ก็บาปเป็นอันมากแล้ว บอกชื่อสัตว์นั้นให้ไปเอามาแม้จะยังไม่ได้ไปจับมา บาปข้อต้นแล้ว
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส ใส่เข่งใส่ของใส่กะละมังมาก็ตาม จับได้ผูกมา หรือใส่เครื่องใส่มา สัตว์นั้นถูกจับมาก็มีความโทมนัสของมัน ไปจับมันมามันก็ทุกข์ทั้งนั้น แล้วบางทีก็ไปหลอกมันเอาอาหารให้มันกินเลี้ยงมันจนเชื่อจนมันหลงจนมันเสียความเป็นสัตว์ ทำให้สัญชาตญาณสัตว์ โง่เง่า บาปหนา
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
ข้อที่ 5 นี้บาปยิ่งกว่าข้อที่ 1 2 3 4 มันลึกซึ้งละเอียดสูงสุด บาปมาตามลำดับ ข้อ 2 บาปเพิ่มขึ้นข้อ 3 บาปเพิ่มขึ้นข้อ 4 บาปเพิ่มขึ้น ข้อที่ 5 ต้องบาปมากที่สุดแน่นอนไม่ใช่ว่าบาปน้อยกว่าข้อที่ 1 มันไม่ใช่
ต้องรู้ว่าศาสนาพุทธไม่ฉันเนื้อสัตว์หากเอาเนื้อสัตว์ไปถวายท่านก็เป็นของไม่ควร อกัปปิยะ แค่นี้ก็ตีพระไตรปิฎกตีพุทธพจน์ไม่แตก ใช่ไหม มันเป็นของไม่ควร เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายให้ท่านยินดี นี่แกงมาอย่างดี ผัดมาอย่างดี หายากนะครับ กว่าจะได้มา ให้ท่านยินดีเนื้อสัตว์คุณยิ่งเป็นบาปข้อที่ 5 เลย ไปปลุกปล้ำพระ ปลุกปล้ำพระพุทธเจ้าให้ยินดีในเนื้อสัตว์ จะล่อหลอก จะมอมเมาพระพุทธเจ้าและภิกษุ ให้ยินดีในเนื้อสัตว์ จ้างให้ แม้แต่โพธิรักษ์ก็ไม่แล้ว อย่าเอามาถวายเสียให้ยาก เพราะรู้ทันหมดแล้ว คุณเจตนาเจาะจงที่จะเอามาถวายอย่างไร ก็เมินเสียเถิดอย่าคิดถึง
สู่แดนธรรม…สรุปแล้วการละเลิกเนื้อสัตว์นำไปสู่การได้ฌาน ได้หรือไม่
พ่อครูว่า…ได้ ในศาสนาพุทธปัญญาเป็นฌาน เพราะว่า ฌาน เป็นพลังงานที่ฆ่ากิเลส จิตที่มีพลังงานกิเลสก็ถูกพลังงาน ปุญญาภิสังขาร เป็นพลังงานฆ่ากิเลสคนนี้แหละเป็นคนมีปัญญา สร้างพลังงานทำลายกิเลสได้กำจัดกิเลสได้เป็นลำดับ คนนี้แหละคือคนมีปัญญา ปัญญาเป็นพลังงานที่ไม่ใช่เฉโกหรือเฉกตา เป็นภาษาบาลีที่แปลว่าความฉลาดที่เป็นโลกียะฉลาดแบบปุถุชน ฉลาดแบบนายโดนัลด์ทรัมป์หรือนายทักษิณหรือธัมมชโย ฉลาดเฉโกฉลาดแบบโลกๆ ขออภัยฉลาดแม้จะเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของโลกที่เป็นเทวนิยมก็ตาม ฉลาดถึงปานนั้น
ขออภัยขอวิจารณ์ศาสดาของเทวดานิยมนิดนึง ขออภัยจริงๆ นี่เป็นวิชาการ อธิบายให้ฟัง ศาสดาทางเทวนิยม เป็นศาสดาที่ไม่รู้จักตัวเอง แม้แต่ความเป็นตัวเองที่เรียกว่า อัตตา ก็ไม่รู้จัก ไม่รู้จักอะไรเป็นเครื่องยืนยัน เพราะว่าศาสดาไม่รู้ว่าความรู้ที่ตัวเองรู้เป็นความรู้ของตัวเอง นึกว่าเป็นความรู้ของใครไม่รู้ ไปฝากไว้ที่พระเจ้า บอกว่าเป็นความรู้ของพระเจ้าและพระเจ้าประทานมาให้ เห็นไหมไม่รู้จัก อัตตา ไม่รู้จักตัวเอง แม้แต่อัตตา เป็นความรู้ของตัวเองก็ไม่รู้ พระพุทธเจ้าบอกว่าเรามีความรู้ของเราเอง เป็นธรรมะสามี เราตรัสรู้เองโดยชอบไม่มีพระเจ้าที่ไหนให้มา เราเป็นเจ้าของธรรมะ เป็นเจ้าของความรู้ความจริงทุกประการ ซึ่งเป็นความรู้ความจริงถึงขั้นรู้ว่า อัตตา มันไม่มีตัวตน อัตตา มันทำลายหายไปได้หมดในจิตนิยาม ไม่เป็นจิตวิญญาณเลยไม่ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่มีวิญญาณนิรันดร นี่คือความต่างจากศาสนาเทวนิยมทุกศาสดา มีพระเจ้าเป็นนิรันดรเป็นเจ้าใหญ่ของวิญญาณในมหาจักรวาล
สรุปแล้วพระศาสดาทุกองค์ ความรู้ของท่านเองท่านสั่งสมมา คือศาสดาทางเทวนิยมไม่ได้ศึกษากรรมวิบาก ไม่ได้ศึกษาสั่ง 2 สัมภาระวิบากที่จะรู้อย่างนี้มา เป็นของตัวเอง ได้เป็นศาสดาเพราะว่าบารมีของตัวเองสั่งสมสัมภาระวิบากความรู้ตัวเองก็ยังไม่รู้ตัวเองเลยยังไม่มั่นใจ บอกว่าเป็นความรู้ของพระเจ้าให้เรามา เราไม่สามารถรู้อย่างนี้ได้หรอกอย่างนี้เป็นต้น ไม่มั่นใจในความเป็นตัวเอง ที่ชัดเจนก็คือไม่รู้จักกรรมวิบากไม่รู้จักสัมภาระวิบาก ไม่รู้ว่าความรู้อันนี้ความจริงในมหาจักรวาล ในพิภพจบเอกภพนี้ มันมีได้เพราะเราเองสั่งสมเองก็พูดเองเขาไม่รู้ แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเป็นของตัวเอง ไม่กล้าพูดว่าตัวเองเป็นธรรมะสามีเป็นเจ้าของธรรมะ ไม่กล้าพูด
พระพุทธเจ้ายืนยันว่าเป็นของพระองค์ ที่ตัดสินว่าไม่ใช่เป็นของพระเจ้าเพราะว่า ศาสนาพุทธพระพุทธเจ้านั้นวิญญาณอัตตานี้หายไปเลย พระเจ้าบอกว่า สุวรรณ สุวาน วิญญาณดวงนี้ตกไปจากบัญชีได้อย่างไร ก็ไม่มีตก เพราะวิญญาณ เป็นของคน เราสลายวิญญาณของเราหายไปเอง บัญชีของคุณก็ไม่จริงหรอก เป็นนิยายหลอกโลกมานาน พิภพมัจจุราช ไม่มีหรอก
เพราะฉะนั้นมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว จะรู้จักความจริงที่สูงสุด ตรงที่สามารถที่จะรู้จักจิตเจตสิก รูป นิพพาน รู้จักวิญญาณที่แท้จริง เริ่มต้นจากอวิชชาคือ ความไม่รู้ เริ่มต้นรู้ว่า อ๋อ.. สิ่งที่มันเกิดเป็นเหตุปัจจัยของจิตนิยามคือสังขารปรุงแต่งกันอยู่
สังขารนี่แหละคือวิญญาณ จะไล่ปฏิจจสมุปบาทให้ฟัง อ๋อ.. สังขารนี่แหละคือวิญญาณ
จะรู้จักวิญญาณต้องแยกแยะนามรูปให้ได้ วิญญาณแยกเป็นนามรูปเป็นเทวะ 2 และเรียนนามคือตัวเราเอง รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ท่านก็ย่นย่อสิ่งที่ควรศึกษาให้รู้ก็คือเวทนา แล้วเวทนาตัวที่โง่ที่สุดก็คือ หลงความสุขความทุกข์ เรื่องดีชั่วนั้นก็รู้ด้วย แต่มันเป็นเรื่องแค่โลกีย์ แต่ความสุขความทุกข์เป็นของโลกุตระ ศาสนาเทวนิยมไม่เรียนรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์ โง่เรื่องสุขเรื่องทุกข์ แล้วหลงว่าสุขมันมี แม้พระเจ้าก็ติดมีความสุข อยู่กับความสุข พระเจ้าเป็นสุขนิยมสุขเที่ยง ศาสนาเทวนิยมสุขเที่ยง
แต่ของพระพุทธเจ้านั้นมารู้จักวิญญาณ แยกนามรูปศึกษาได้ แล้ววิธีการศึกษาทำอย่างไร ก็ต้องมีผัสสะ พอมีผัสสะก็เกิด อายตนะ อายตนะเกิดต้องมีผัสสะ จะศึกษาได้ต้องมีนามรูปมีสภาวะ 2 มีเหตุปัจจัยกระทบสัมผัสกัน ตัวเดียวมันไม่มีเหตุปัจจัย มันรู้ไม่ได้ มันไม่มีอะไรเทียบ นัตถิอุปมา ไม่มีอะไรจะมาเทียบเคียง
เรียนรู้โดยต้องมี 2 กระทบกันแล้วก็เกิด อายตนะ จึงเรียนรู้อายตนะต่างๆได้ ทีนี้ จะเรียนรู้อายตนะต่างๆ มันต้องเป็นเรื่องของจิต รูปก็เป็นรูปจิต นามก็เป็นนาม
ยังไม่เหลือแค่ทางจิตในจิต รูปกับนามคุณก็ต้องเรียนรู้ภายนอกก่อน เรียนรู้ตั้งแต่ ต้องมีสัมผัสภายนอก ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ต้องรู้ความเป็น กาย ต้องรู้ความเป็นสัญญา สัตตาวาส ข้อที่ 1 ในความเป็นสัตตาวาส 9 คือยังไม่หมดความเป็นสัตว์ หากเรียนศึกษาความเป็นกายความเป็นสัตว์ไม่ได้ คุณก็ไม่ได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านสอนความเป็นกายความเป็นสัตว์ ต้องมีสัญญากำหนดรู้ให้สัมมาทิฏฐิ เรียนรู้กาม ภายนอกภายใน
เรียนรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกาย มันเกิดกิเลสที่ต้องกำจัดออกจากสัตว์ที่เป็น กามสัตว์ ล้างออกให้ได้ จึงเรียกว่า รูปฌาน 4 ล้างออกได้ ไปตามลำดับ วิตกวิจาร คือจิตมันดำริขึ้นมา กระทบสัมผัส แล้วก็อ่านพฤติกรรมเรียกว่าจาระ จิตมันกระทบสัมผัสก็เกิดในจิต มันก็จะมี 2 มาเรื่อยๆ แยกดูพฤติกรรมของมัน แยกจาระ พฤติกรรมกิริยาของมันแยกออก ว่ามันสะอาดจากกามหรือยัง นี่เป็นเบื้องต้น หากยังมีกามอยู่ ก็เอากามออกก่อน คือ ฌาน 1
คุณก็จะออกไปเริ่มต้นออกได้คุณก็ปิติยินดี ฌาน 2 คุณมีปีติ รู้ว่ามีกิเลส กาม ก็เอากิเลสกามออกได้คุณก็จะมีปิติ จนลดลงมาได้ก็เป็นฌาน 2
จากวิตกวิจาร ก็เป็นปีติ แล้วในฌาน ที่ 3 หากคุณไม่ทำให้เกิด สุข ที่เป็นอุปสโมสุขหรือวูปสโมสุข สุขจากกิเลสที่มันลดลงเรียกว่าสุข สุขตัวนี้ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่สุขที่บำเรอกาม ที่มันเป็นกามสุข แต่นี้มันเป็นวูปสโมสุโข ไม่ใช่กามสุข(มันคนละเรื่องคนละอย่าง)
พอเริ่มฌาน 3 ท่านบอกว่าผู้รู้จึงจะมีธาตุรู้ มีความรู้ ของตัวเองนั่นแหละ หรือผู้รู้ที่รู้มาก่อนก็จะพูดอย่างนี้ได้ ยังไม่ถึงฌานที่ 3 ก็ยังไม่มีความสงบจากกิเลส ไม่ใช่กามสุข แต่สุขในฌานกับสุขข้างนอกมันต่างกัน เมื่อสุขแล้วก็ยังเป็นอุปกิเลส แต่ของเทวนิยมอยู่กับสุขสบายอยู่กับพระเจ้าจบแล้ว เพราะพระเจ้าเป็นเจ้าของสุข แค่นี้ ไม่รู้จักว่าสุขมันเป็นมายา สุขนี้แหละเป็นเรื่องอริยสัจ เป็นความรู้ของคนประเสริฐ อาริยะ สุดยอด มันเป็นความจริง สัจจะที่เป็นความประเสริฐสุดยอดของพระพุทธเจ้า พอรู้อุปกิเลสนี้ก็หมดสุขหมดทุกข์เป็นอุเบกขา ทีนี้ก็สะอาดเลยเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
นี่คือฌาน 4 ต้องลืมตามปฏิบัติตอนตื่นนี่แหละถึงจะรู้ ไม่ใช่ไปหลับตาปฏิบัติ ทำจิตให้บริสุทธิ์ก็จะไป ปริสุทธา ปริโยทาตา บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น มีความแววไว มุทุ มีจิตปาคุญญตา กายปาคุญญตา กัมมัญญา ปภัสสรา
รูปฌาน 4 (ต่อสู้เพ่งเผากิเลส จนจิตไร้นิวรณ์)
-
ปฐมฌาน (มีวิตก มีวิจาร. มีปีติ มีสุข มีเอกัคตารมณ์)
-
ทุติยฌาน (ละวิตก-ละวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิด จากจิตคลายกิเลสลง จนตั้งมั่นมีสมาธิ)
-
ตติยฌาน (มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย.. เพราะปีติสิ้นไป)
-
จตุตถฌาน (ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นฐาน ให้สติบริสุทธิ์ จิตเป็นมัชฌิมา เป็นกลางอยู่)