ม.ค.112021ศาสนา640111_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 23 https://www.boonniyom.net/49971.html อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1tT3HBxhqPbqxWtVaxgd3-r8pRXFcB7lzML83cA7bF8Y/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/13hycJxOWXihWBpwmFvq0c5iGSROuKmPh/view?usp=sharing ยูทูปที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/225905809031370/ _สู่แดนธรรม…วันนี้วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ขออภัยที่เริ่มรายการช้า เพราะมีปัญหาทางเทคนิค จึงขอกราบนิมนต์พ่อครูเลย พ่อครูว่า…ขออภัยที่เริ่มรายการช้า เพราะมีปัญหาทางเทคนิคบ้าง ก่อนอื่น ขอตอบ SMS ต่อ คนปทปรมะ กับคนใบลานเปล่าคือคนเช่นไร _ตุ๊ก อัศวิน : ‘ปทปรมะ’ กับ ‘ใบลานเปล่า’จัดอยู่ใน phylum เดียวกันไหมเจ้าคะ / ปฏิบัติธรรมตามแนวที่พ่อครูสอนสั่ง..เห็นแจ้งชัดว่าเป็น อนุสาสนีปาฎิหารย์..โดยแท้ คือ เกิดปัญญา บรรเทาอาการหลงโง่..หลงโลภ..หลงโกรธ รู้สึกตัวเบา อาการเช่นนี้หมายว่า ‘เหาะ’ ได้ไหมคะ พ่อครูว่า… “ปทปรมะ” กับ “ใบลานเปล่า” ความหมายเดียวกัน ใบลานเปล่า เป็นเนื้อหา คือ คนที่ศึกษาเรียนรู้แต่ภาษา โดยไม่มีสภาวะ ผู้ที่ปฏิบัติหลักตามออกจากศาสนาพุทธเรียบร้อย อาตมาพยายามอธิบายแล้วเอาหัวข้อธรรมะมาแจกแจงให้ฟังให้เห็นชัดเจนว่า ไม่ได้เข้าหลักเกณฑ์ของศาสนาพุทธเลยนั่งหลับตาปฏิบัติ แต่ก็ต้องพูด ย้ำซ้ำแซะอะไรก็ต้องพูด ผู้ที่ไม่มีผัสสะ คุณก็ไม่มีมนสิการ มนสิการเป็นการทำใจในใจ ไม่ได้ทำใจในใจ เพราะคุณไม่มี ผัสสะ ไม่มีผัสสะไปนั่งสะกดจิตนั่งหลับตา มันก็ไม่มี กาย ไม่มีภายนอก คุณก็ไม่เกิดสภาวะที่สำคัญมากปฏิบัติต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อย่างนี้เป็นต้น คุณก็จะไม่รู้เรื่อง พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เมื่อไม่มีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายสำเร็จอิริยาบถอยู่ มันก็ปฏิบัติไม่ครบกระบวนการพระพุทธเจ้า มันก็ไม่ได้ผลไม่มีผลเลย ผลเกิดเหมือนกันแต่เกิดแบบเดียรถีย์ เกิดแบบนอกรีต แบบไม่ใช่ศาสนาพุทธ คุณก็ได้ผลแบบเดียรถีย์แบบพวกนอกศาสนาพุทธ เป็นมิจฉาพุทธไป เป็นเรื่องที่อาตมาต้องซ้ำซาก ก็สงสารคนที่เขาไปหลงเลอะมีเยอะไปลงหลับตาปฏิบัติมีเยอะ เพราะฉะนั้นคนที่แม้จะเก่งบัญญัติภาษาเรียกว่า ปทปรมะ พุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ปทปรมะ ตัวอย่างคือ คนที่รู้พุทธพจน์ก็มากจำพุทธพจน์ได้ก็มาก บอกสอนคนอื่นอยู่ก็มาก แต่ไม่บรรลุธรรมในชาตินั้นเพราะว่าไม่ได้สัมผัสในจิตไม่ได้ทำจิตในจิต กิเลสมันอยู่ที่จิตถ้าคุณไม่เข้าถึงจิต คุณไม่มีกายครบทั้งภายนอกภายในคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าได้เลย ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มีกายสักขี มีกายยืนยัน ถ้าไม่มีกายยืนยันผิดหมดไม่มีทางที่จะปฏิบัติได้ คำว่ากาย อาตมาหยิบมาขยายความฟังให้ดีๆ คุณจะรู้คำว่ากายนี้ได้อย่างสัมมาทิฏฐิ พ้นสักกายทิฏฐิ ที่เป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 ก็ต้องรู้จักความเป็นกายที่สัมมาทิฏฐิแล้วอ่าน กายในกายจัดการกับการปฏิบัติข้อเริ่มต้นเลย หากไม่รู้จักกายก็เป็นมิจฉาทิฐิ เริ่มต้นกลัดกระดุมเม็ดแรกไม่ได้ ก็จะเป็นคนที่เป็นคนใบลานเปล่า คนที่เต็มไปด้วย ใบลาน รู้เรียนภาษาจบปริญญา 9 ปริญญาเอกของศาสนาพุทธ การศึกษาที่เรียกว่าพุทธศาสนา ก็เป็นใบลานเปล่า ปทปรมะ มีเยอะจริงๆการจะปฏิบัติจิตในจิตได้จะต้องเข้าใจกาย เราเข้าใจกายแค่สรีระภายนอก ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับจิตเลย เขาเข้าใจอย่างนั้น การปฏิบัติที่เข้าใจผิดตั้งแต่แรก กายกับจิตแยกกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสถึงขั้นว่ากายนี้จะเรียกว่าจิตมโนวิญญาณอย่างนี้เป็นต้น การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าต้องการกำจัดกิเลส วัตถุธรรมข้างนอกไปจัดการมันไม่ได้มันเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น แต่การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าตัดกิเลส ลดกิเลส กิเลสมันอยู่ที่จิต ไม่ได้อยู่ที่วัตถุดินน้ำไฟลม ไม่มีไม่เกี่ยวกิเลสไม่ได้อยู่ที่ดินน้ำไฟลม กิเลสมันอยู่ที่จิตเรา แต่เมื่อเราไปสัมผัสกับดินน้ำไฟลม สัมผัสกับภายนอกกับอะไรเข้าแล้วเกิดกิเลส ถ้าไม่เกี่ยวข้องกันไม่มีกายที่เป็นสัมผัส กิเลสมันก็ไม่เกี่ยวกับข้างนอกมันก็อยู่ภายใน หลับตาเข้าไปมันก็ไม่เกี่ยวแล้ว กิเลสมันก็อยู่ข้างในอยู่ที่จิตของคุณนั่นแหละ แล้วคุณก็ไม่เกิดกิเลสอะไรเป็นตัวจริงสภาวะที่สัมผัสอะไรข้างนอกแล้วกิเลสไม่เกิดกับมันเป็นปัจจุบันธรรม เป็นทิฏฐธัมนิพพานทิฐิ นิพพานจะต้องมีปัจจุบัน ต้องมีภายนอกภายใน แต่คุณไม่มี มันก็ปฏิบัติมีแต่จินตนาการ มีแต่สร้างวิมานมีแต่ขบคิดอยู่ข้างนอก กิเลสมันไม่เกี่ยวกับความจริงปัจจุบันเป็นความจริง คุณแตะสัมผัสก็เกิดความจริงตอนนี้ ถ้าคุณหลับตาเข้าไปมันไม่มีปัจจุบัน มีแต่อดีตกับอนาคต คุณก็นึกถึงอดีตหรือคิดไปเองและอนาคตเป็นสภาพที่เป็นของเก่า อนาคตส่วนมากก็เป็นนิรมาณกาย กายแบบลมๆแล้งๆคิดขึ้นมาเองไม่มีปัจจุบัน อธิบายให้ครบจะได้เข้าใจว่าหลับตาปฏิบัติเป็นโมฆะอย่างไร ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาชัดเจนความจริงถูกความจริงบรรลุธรรมสำเร็จเป็นอริยะบุคคลสมบูรณ์เป็นพระอรหันต์ได้ ศาสนาที่ไม่ใช่พุทธเป็นเดียรถีย์ ไม่มีทางบรรลุธรรมที่เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาผลไม่มี มีก็ของเขาไม่เกี่ยวกับการลดกิเลส ศาสนาอื่นไม่มีสมณะ 4 เหล่าไม่มีโสดาบัน สกิทาคามีอนาคามี อรหันต์ ไม่มีคนที่จะรู้จักกิเลสแล้วก็กำจัดกิเลสทุกตัวจริงๆ กิเลสก็หมดได้จริงๆไม่มีสมณะ 4 เหล่า ระงับกิเลสระดับต้นเป็นโสดาบัน ระดับกลางเป็นสกิทาคามี ระดับต่อมาเป็นอนาคามีระดับหมดกิเลสก็เป็นอรหันต์ เขาไม่มีสมณะ 4 เหล่าในศาสนาอื่นไม่มี เรื่องที่ลึกซึ้งเป็นเรื่องที่ชัดเจนเป็นเรื่องความจริงความรู้ที่บริบูรณ์จริงๆ สมบูรณ์จริงๆเลย อยากจะขยายความ ปรทมะ เก่งจริงๆกันเลย ได้รับใบรับรองจากการเขียนบรรยายเป็นตรรกะ ไม่เข้าไปสัมผัสจิตในจิต แล้วแยกกิเลสออกจากจิต กิเลสที่จะแยกต้องอ่านเวทนา อารมณ์นั้นจะมีกิเลสอยู่ในความรู้สึกนั้น ความรู้สึกจะเกิดจะต้องมีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนาเกิด พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้หมด แต่ก็เผิน ศึกษาบัญญัติมากันทั้งนั้น ที่พูดไปนี้หลายคนก็ท่องจำได้เก่ง จำเก่งกว่าอาตมาด้วยซ้ำ ปฏิบัติไม่ได้ผลอะไร ขอขยายความให้พิสดารชัดเจนขึ้นไป ของคุณตุ๊ก ฟังอาตมาและปฏิบัติตามก็เห็นตามเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์คือคำสอนพระพุทธเจ้า มันเป็นฤทธิ์เดชเป็นปาฏิหาริย์ให้บรรลุธรรมได้ คำสอน อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ ตรวจผลที่เป็นความสำเร็จเจริญแบบ รู้จักกิเลสแล้วล้างกิเลสได้ นี่คือเป้าหมายของศาสนาพุทธ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์แบบอิทธิปาฏิหาริย์เหาะเหินเดินน้ำดำดินได้ไปหยั่งรู้ใจคนอื่น รู้ใจคนอื่นเหมือนกันแต่ไม่ได้รู้จักกิเลสตัวเองเลย รู้จักแต่ความพิสดารของจิตที่มันหยาบกลางละเอียดของคนอื่นแต่ไม่เข้าไปรู้จิตใจตัวเอง ไม่ได้รู้กิเลสตัวเอง ไม่ได้แยกกายแยกจิตตัวเอง มันก็เลยมองข้ามไปจากศาสนา ที่สามารถปฏิบัติตามอาตมาพูดและบรรยาย อาตมาพยายามจูงนำพูดให้ปฏิบัติให้ถูกให้เกิดมรรคผล เกิดสภาวะที่สัมผัสจิตอ่านจิตอ่านกิเลส แยกกิเลสได้ รู้จักการลดกิเลสแม้จะ กดข่ม ก็ได้ขั้นหนึ่งแล้ว ยิ่งเกิดการปัญญาญาณ รู้ถึงความไม่เที่ยงของกิเลสอันนี้ก็ลึกซึ้งในไตรลักษณ์สาม มันไม่เที่ยง ไอ้ตัวนี้มันเป็นตัวเหตุเป็นตัวการใหญ่จริงๆเลย แล้วเราก็โง่กับมันจนเราฉลาดขึ้นมา ถ้าเราเลิกไม่ต้องไปคบกับมัน เพราะมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันก็จากจิตเราเราก็เห็นความเบาความว่างไม่ถูกกิเลสมันกัดเอา ชัดเจน _ นภารัตน์ อิ่มรัง : ฟังพ่อท่านแล้วจิตสงบ.เกิดปัญญา พ่อครูว่า…ฟังอาตมาแล้วเกิดจิตสงบเกิดปัญญา แล้วปัญญานี่แหละ คำว่าปัญญานิยมเลยมันทำให้กิเลส ฝ่อ สงบระงับฆ่ากิเลสด้วยปัญญาอันยิ่ง ท่านใช้คำว่าปัญญา ปัญญามันมีฤทธิ์มีประสิทธิภาพมีอำนาจสูง เพราะปัญญาเป็นความฉลาดโลกุตระ มันรู้ถึงความเป็นจริงอันความเป็นจริงอันลึกซึ้ง มีฤทธิ์แรงจนกิเลสมันฝ่อเพราะปัญญามันเป็น วิชชา ก็ทำลายอวิชชาเลย _สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้า ลูกไม่ได้พบพ่อครูหลายปี ลูกเริ่มมาปฏิบัติธรรม ถือศีล 5 ทานมังสวิรัติ ลดลอบายมุข ได้ 6 เดือนแล้ว ค่ะ ถึงวันนี้ลูกตั้งจิตรักษาพรหมจรรย์ สามีก็ยินดีด้วยเหมือนลูกก้าวออกจากเมืองนรก ขณะนี้แม่ซึ่งอายุ 85 ปีซึ่งเคยทานมังสวิรัติเมื่อ 28 ปีที่แล้วก็เริ่มมาถือศีล 5 ละอบายมุข ทานมังสวิรัติกับลูกด้วย ลูกยังได้พี่สาวอีกคนหนึ่ง ส่วนพี่สะใภ้กับหลานทานเฉพาะวันพระกับวันเกิดค่ะ ฐานะครอบครัวลูกยากจนมาก ลูกเย็บจักรและทำนาส่งลูกเรียนมีปัญหาทั้งด้านการเงินและจิตใจมาก เมื่อมาปฏิบัติธรรมตามพ่อครู ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดี ทำให้ชัดเจนว่า ธรรมะนี้แก้ปัญหาชีวิตได้ ลูกปัญญาน้อย เข้าใจได้ด้วยความลำบาก ไม่มีทางอื่นที่จะคลายทุกข์ได้ ลูกฟังมาก เข้าใจน้อย แต่ลูกก็ยินดีฟังเทศท์พ่อครูสม่ำเสมอค่ะ ลูกขอกราบขอบพระคุณพ่อครู กราบท่านสมณะสิกขมาตุ กราบชาวอโศกที่มาสอนธรรมะและเป็นแบบอย่างให้ลูกได้เดินตาม น้อมกราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ พ่อครูว่า…คนเราที่อยู่ด้วยกัน จะรู้ จะเห็น คนนี้เปลี่ยนไป ก็เป็นการจูงนำให้คนอื่นมา คุณลดละ อบายมุข ก็จะมีเงินเหลือ ก็แก้ปัญหาชีวิตได้ _สมณะบินบน ถิรจิตโต (อ.หนึ่ง จากลานนาอโศก) …วันนี้เมื่อปี 2555 ตรงกับวันที่พ่อท่านอายุ 77 ปี 7 เดือน 7 วันเราจึงจัดงาน โพชฌังคาริยสัจจายุกัน พ่อท่านก็นำธรรมยาตรานาวาบุญนิยมที่ลำน้ำมูล ส่วน 15 ปีที่แล้ว พ่อท่านพาเดินธรรมยาตราไปที่อุทยานพระนารายณ์ อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงาไปซับขวัญผู้ประสบภัยจากคลื่นสึนามิ อยากถามพ่อท่านว่า “ทาน” กับ “จาคะ” แตกต่างกันอย่างไรครับ พ่อครูว่า…จริงๆแล้ว “ทาน” ก็เป็นซินโนนีมเป็นภาษาที่ใช้แทนกันได้ว่า “ทาน” คือให้ออกไป “จาคะ” ก็คือการให้ออกไป เป็นแต่เพียงว่า” ทาน” เป็นภาษาพื้นๆ “จาคะ” ก็เป็นภาษาที่ลึกๆสวยๆหน่อย จะพูดว่าเป็นชั้น เหมือนกับคำว่า “กิน” กับคำว่า “รับประทาน” มันเป็นภาษาที่รู้ๆกันอยู่ เพียงแต่คำว่า “รับประทาน” ดูแล้วมันมีฐานะศักดิ์ศรี ความสุภาพเรียบร้อย ชั้นสูงขึ้นอะไรพวกนี้ คล้ายๆอย่างนั้น เท่านั้นเอง “ทาน”ต้องมีผู้รับ ส่วน “จาคะ” ก็สละกิเลส “จาคะ” หมายถึงทำให้กิเลสออก บริจาคหรือปริจาคะ ก็คือทำให้ได้รอบขึ้นดีกว่า อาจจะมีศักดิ์ฐานะสูงกว่าทานหน่อยนึง ติดเค็มติดเผ็ดเป็นอุปาทานหรือไม่ _ในปางฝัน…เปิดใจกิเลสว่า หนูก็ยังติดในรสเค็มและรสเผ็ด ถ้ากินส้มตำก็ต้องกินรสเผ็ดหน่อย ในขณะเดียวกันเราก็มีความรู้สึกว่าการกินเผ็ดกับกินเค็มมันเป็นอุปาทานหรือเปล่าคะ พ่อครูว่า…แน่นอนติดยึดอุปาทาน ก็เห็นให้ได้ว่าตัวเองมันโง่ ไปยึดติดมันทำไมถ้าจริงๆแล้วมันมีโทษภัย ไปยึดจัด กิเลสเราก็จัดจ้านแล้วร่างกายเรารับรสเผ็ดจัดเค็มจัดมันก็เป็นโทษเป็นภัยไม่ใช่เรื่องดีอะไร ให้เห็นโทษเห็นภัยของมัน ถ้าเราพิจารณาลงไปว่าไม่ต้องเค็มมากพอดีพอดี หรือจะชัดๆก็คือเขาจะปรุงมาแบบจืดบ้างไม่ถึงกับพอดีเลยก็ช่างเถอะ แต่มันก็พอได้ ถ้าเราไม่ขาดเกลือไม่ขาดธาตุพวกนี้ก็กินเข้าไป ถ้าเราขาดธาตุเกลือก็ขอเค็มหน่อย หรือเผ็ดนี่ อาตมาว่า ธาตุความเผ็ดจะขาดได้หรือไม่ได้อย่างไร ทุกวันนี้อาตมาก็ไม่ได้กินเผ็ดมานานเต็มที ก็ไม่เห็นว่าสรีระร่างกายจะเป็นพิษภัยเพราะไม่ได้กินเผ็ด ก็ไม่นะ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าความเผ็ดหรือที่มันเกิดจากความเผ็ดอย่างอื่นจากพริกก็แล้วแต่ พริกเป็นความเผ็ดเต็มรูป ส่วนอันอื่นก็มีความเผ็ดบ้าง อะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่มันก็ไม่รู้ว่าเผ็ดจะทำให้สรีระร่างกายขาดอะไรหรือเปล่า อาตมาไม่กินเผ็ดมาเป็น 10 กว่าปีแล้วก็ไม่เห็นว่าจะเป็นอะไร เราก็พิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเอาเป็นรสเผ็ดเป็นอะไร ว่าจะต้องติดได้รสเผ็ดหรือเค็มอะไร ปัญญามันจะเกิด บุคคลบัว 4 เหล่าเป็นเช่นไร _น้องอาร์ม (จากศาลีอโศก)…กราบนมัสการหลวงปู่ครับ ผมชื่อด.ช.วุฒิชัย ขันทอง ผมจะมาถามหลวงปู่ว่าดอกบัว 4 คืออะไร พ่อครูว่า…ดอกบัว 4 เหล่า 1 คือคนที่มีปัญญา คนที่มีภูมิปัญญาไว เหมือนดอกบัวมันพ้นน้ำ ถูกแสงแดดมันก็บาน เรียกว่าบัวชั้นที่ 1 อุคติตัญญู บัวเหล่าที่ 2 บัวปริ่มน้ำ มันก็ยังเจริญไม่พ้นน้ำ มีอะไรดึงดูดไว้ มันจะต้องถูกแสงมานานหรือจะต้องถูกความชุ่มชื้นอยู่อย่างนั้น ละลายหายไปพอสมควรจนมันบานออกได้ ได้รับความร้อนดินน้ำไฟลมที่มันจะเกิดปฏิกิริยาแรงงานให้เกิดดอกบัวบานได้เป็นอันที่ 2 บัวเหล่าที่ 3 เนยยบุคคล เป็นบัวใต้น้ำยังไม่ขึ้นมา ยังไม่โผล่ขึ้นมา คนนี้ก็แล้วแต่ว่าจะต้องศึกษาให้มีความรู้เหมือนดอกบัวนี้จะเจริญขึ้นมาหาน้ำแล้วก็พ้นน้ำขึ้นมาเรื่อยๆ บัวเหล่าที่ 4 ปทปรมบุคคล เป็นดอกบัวที่ไม่โผล่ขึ้นมาเลย จมอยู่ใต้ขี้โคลนอยู่อย่างนั้น สมัยนี้ต้องเรียกว่าจมอยู่ใต้ตึกด้วย เป็นบัวใต้ตึกไม่โผล่ขึ้นมาไม่งอกงามเจริญได้เลย นี่เรียกว่า ปทปรมบุคคล บางคนก็ศึกษาธรรมะเยอะรู้ธรรมะเยอะแต่ก็เป็นบัวใต้ตึก ศึกษาอย่างไรก็ไม่งอกเงยไม่บรรลุธรรมสักที จึงได้ชื่อว่าบัวใต้ตมบัวใต้ตึก อาจจะรู้พยัญชนะภาษาเก่งสอนคนอื่นให้เป็นอรหันต์ได้ด้วย เรียกว่าเป็นจับกังแบกลังทอง แล้วก็ได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขให้แก่ตัวเอง ไม่ได้เกิดการเจริญทางธรรมะ อธิปไตย 3 เป็นเช่นไร _อิ่มบุญ(เพื่อฟ้าดิน หทัยเพชร)…อธิปไตย 4 คืออะไรครับ พ่อครูว่า…จำได้แต่อธิปไตย 3 ได้ยินมาจากไหนอธิปไตย 4 ใครนึกได้ จำผิดหรือเปล่า อธิปไตย 3 คือ 1. โลกาธิปไตย 2. อัตตาธิปไตย 3. ธรรมาธิปไตย ก็ต้องบอกสั้นๆง่ายๆก่อน โลก หมายถึง ทั้งหมดข้างนอกเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันอยู่เกี่ยวข้องกันอยู่ทั้งหมดเรียกว่าโลก อัตตา หมายความว่า จิตใจของเรา จิตใจของเรามันก็ทำงานอยู่กับโลก เกี่ยวข้องกับโลกทำงานกับโลก อัตตา แปลว่าตัวเราเอง เพราะฉะนั้นผู้ที่ยึดอัตตาก็คือยึดตัวเอง ผู้ที่ยึดสิ่งที่เกี่ยวข้องข้างนอก เอาภาระแต่ข้างนอกไม่มาดูอัตตาตัวเอง เอาแต่ศึกษาข้างนอกเรียนรู้ภาษาธรรมะแต่ข้างนอกเยอะๆ ปทปรมะ แต่ตัวเองไม่ปฏิบัติธรรมไม่เอาภาระอัตตาตัวเองคนนี้ก็ไม่ความรู้ทางธรรม คนที่มีความรู้ทางธรรมะก็ต้องรู้ความเกี่ยวข้องกับโลกและความเกี่ยวข้องในตัวเองตั้งแต่เริ่มรู้ สักกายะ คือตัวตนเริ่มต้น อัตตาตัวตน และอัตตาตัวนี้เกี่ยวข้องกับข้างนอกด้วยนะ เกี่ยวข้องข้างนอกที่เราสัมผัสแล้วมันเกิดกิเลส อัตตาคือจิต โลกไม่เน้นจิต ดีไม่ดีเป็นวัตถุของมันเองไม่เกี่ยวกับจิตมันไม่ใช่เรา แต่อัตตามันเป็นเราก็เรียนรู้กิเลสพวกนี้ แล้วก็เลิกกิเลสพวกนี้ ลดกิเลสตรงนี้ ดับกิเลสพวกนี้ให้ได้จึงเรียกว่าธรรมะ อธิปไตยแปลว่า มีกำลังมีพลังอำนาจ ที่สามารถไปรู้ อำนาจแห่งความรู้ อธิปไตยคืออำนาจแห่งความรู้เกิดความรู้ สัมผัสอะไรขึ้นมาก็เกิดความรู้เป็นอำนาจ หรือเป็นแรงเป็นฤทธิ์เป็นประสิทธิภาพสามารถรู้แล้วปฏิบัติกับโลก ปฏิบัติกับตัวตนอัตตาให้มันเกิดธรรมะโดยเฉพาะธรรมะที่เป็นโลกุตระของศาสนาพุทธ โลกุตระหมายถึงรู้จักกิเลสแล้วลดกิเลสได้เรียกว่าโลกุตระแต่ถ้าไม่ได้เรียนรู้ของพระพุทธเจ้าจะมีแต่กิเลสอย่างเดิม ดีไม่ดีกิเลสหนา ถ้ามีความสามารถมากก็ได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมาเสพมาก แล้วเสพติด แล้วมีคนอื่นมาแย่งเป็นสมบัติผลัดกันชมแย่งกัน เป็นการวนเวียนไม่รู้กี่ชาติแล้วเขาไม่รู้เรื่องไม่รู้ตัวเองหรอก ต้องออกมาพบกับโลกุตรธรรม รู้กิเลสแล้วลดกิเลสได้จึงจะเลิกหมุนเวียนอยู่ในโลกีย์ หมุนเวียนสุขๆทุกข์ๆ ได้ดีได้ชั่ว วนเวียนอยู่อย่างนั้น ผัสสะคือนามเป็นเช่นไร _แซมดิน…ช่วงนี้สันติอโศกได้มีการทำงานที่สวน 2 ศอก ไปทำงานทุกวันเลย ไปรดน้ำตอนเช้า ก็ปลูกหลายอย่าง เริ่มแรกก็มีต้นกล้วย และอื่นๆ ดีครับ ชาวเมืองได้ทำสวน ก็เป็นกสิกรขึ้นมาบ้าง ช่วงนี้ตลาดหน้าสันติอโศกก็เปิดอย่างมีเงื่อนไข ค่อนข้างจะเข้มข้นเพราะป้องกันเต็มที่ คำถามวันนี้อยากกราบเรียนถามว่า ผัสสะ เป็นนามได้อย่างไร มันน่าจะเป็นรูป พ่อครูว่า…ฟังดีๆ คือ ผัสสะนี่ ก็จะต้องเป็นเจตสิกของจิต มันเกิดอาการที่ไปผุสสติหรือโผฏฐัพพะ กระทบอะไรก็แล้วแต่ภายนอก พอกระทบแล้วก็จะเกิดเวทนาเกิดอาการรู้สึก คนที่มีจิตเจตสิกในระดับจิตนิยามมีกายกระทบแล้วจะรับรู้สึก คนที่ไม่ได้เป็นจิตนิยามแล้วตกมาเป็นพืชหรือเป็นพีชะ กาย จะถูกกระทบอย่างไรก็ไม่รู้สึกไม่มีเวทนา พระอรหันต์จะทำอันนี้ได้ เป็นอุตุธาตุแล้วจิตจะไม่เกิด หรือสงบรำงับได้แค่เป็นพืช มีชีวิต แต่ไม่มีกาย ไม่รับรู้สึกไม่มีเวทนา มนุษย์พืชสัมผัสแตะต้องอย่างไรเขาก็ไม่รู้เรื่องเพราะจิตมันตกลงไป มันไม่มีพลังงานครบสภาพที่จะมารู้เรื่องด้วยภายนอก เรียกว่า กาย แต่กายนี้คือจิตนะ จิตมันเกี่ยวเนื่องกัน กายกับจิตต้องเกี่ยวเนื่องกันแยกกันไม่ได้ หากแยกได้ ก็เป็นพระอรหันต์ หรือแม้แต่พีชะก็ตาม ส่วนหนึ่งเป็นพืช แต่มีชีวะ พระอรหันต์มีจิตเป็นพีชะ ได้ คนมีจิตนิยาม สามารถควบคุมพลังงานพีชะได้ จิตได้ด้วย สามารถเรียนรู้ทำใจในใจทำจิตในจิตให้เป็นพืชได้แล้วมีพลังงานเหลือในจิต สามารถเอาไปงานอื่นได้อีก ต้องไปเสียพลังงานกับสิ่งที่ทำให้จิตตกต่ำ โดยเฉพาะเสียอารมณ์เสียความรู้สึก มันก็เป็นคนไม่มีความรู้สึกเสียไม่มีความรู้สึกเลวร้ายเป็นพิษภัยต่อตัวเองต่อผู้อื่น นี่คือความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาสอนให้คนตรัสรู้จิตเจตสิกรูปนิพพาน ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติธรรมะตาม พรหมชาลสูตร รับทราบปฏิบัตินาม 5 ไม่มีมนสิการไม่ได้ ไม่มีจิตมีแต่ พีชะ มีแต่ชีวะที่ไม่ถึงจิต เพราะฉะนั้นเรียนรู้ไม่เต็มเรียนรู้ไม่ได้เรียนรู้ไม่พอ นาม 5 เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เวทนา สัญญา เจตนา สามเส้า คือ กระบวนการปฏิบัติธรรมสำคัญ เพราะ เวทนาเกิด เราจะเรียนรู้เวทนานี้ มันมีเจตนาที่เป็นกรรมเจตนาของคุณมีกามหรือไม่ แยกกามออกจากเวทนา เจตนา แต่ไม่ได้สัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายก็ไม่มี ภพกามคุณ 5 นั่งหลับตาไม่มีกามให้ปฏิบัติ คุณก็ไม่ได้ล้างกามก่อนให้หมด คุณจะไปล้างกิเลสภายในได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้เหมือนคุณจะเข้าไปอยู่ในใจกลางภูเขา คุณจะทะลุชั้นต้นชั้นกลางไปหาข้างในได้อย่างไร มันเป็นเรื่องจิตคิดเอาเองว่าจะได้ ซึ่งมันไม่ได้เลย ฟังให้ดีๆชัดๆ ฟังธรรมะที่อาตมาอธิบายจะได้ปัญญา หากฟังไม่ดีก็เหมือนเป็นการอาบน้ำกลัวเปียก อย่างนี้เป็นต้น ฟังให้ดี อย่าให้มีอคติ อย่าให้มีการลบหลู่ ฟังสัตบุรุษจะได้ฟังสัทธรรม ฟังสัตบุรุษหรือผู้อยู่ในฐานะครูและต้องตั้งใจ เคารพอย่างแรงกล้า ละอายอย่างแรงกล้า เกรงกลัวอย่างแรงกล้า ท่านตรัสไว้ในปัญญา 8 หากคุณไม่ฟังด้วยความละอาย เกรงกลัว ความรักความเคารพมันไม่มีทางหรอก ไม่มีความยินดีที่จะฟังเต็มที่ เพราะธรรมะพระพุทธเจ้ามันลึกซึ้งละเอียดคุณฟังอย่างอาบน้ำกลัวเปียกฟังอย่างเสียไม่ได้ จ้างคุณก็ไม่เข้าใจ จ้างคุณก็ไม่ได้ปัญญา คุณก็ได้อย่างเพลิดเพลินอย่างนั้น ไม่ลึกซึ้งเป็นปัญญา ฟังได้แต่ผิวเผิน อาตมาพูดเรื่องนี้ซ้ำมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ผัสสะ เป็นนามรูปได้หรือไม่? ได้ เพราะคุณต้องรู้ผัสสะภายนอกก่อนแล้วก็ไปรู้ผัสสะภายในต้องมีตาที่ละเอียดดีก่อน ถึงเข้าไปรู้ภายในได้ ต้องเรียนรู้ชีวะตั้งแต่ตัวใหญ่ก่อนแล้วค่อยเรียนรู้ตัวเล็กละเอียดลงมา ศีลกับปัญญาเป็นคู่ชำระกิเลสด้วยกันขาดกันไม่ได้ _หมอเขียว…ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ (โสณทัณฑสูตร ) ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ล.๙ ข.๑๙๓) ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใด ศีลก็มีในบุคคลนั้น ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล และศีลก็เป็นของผู้มีปัญญา นักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้า ฉะนั้น …ขอพ่อครูช่วยอธิบายด้วยครับ ที่เริ่มปฏิบัติไม่เริ่มปฏิบัติที่ศีล ไม่มีทางเกิดปัญญา แต่จะเกิดเพียงความรู้ เฉโก มีทางเกิดปัญญา ปัญญาเป็นความรู้ทางโลกุตรธรรม การปฏิบัติไม่มีผัสสะ ไม่มีการออกมาทางกระทบตาหูจมูกลิ้นกาย ด้วยการปฏิบัติเริ่มต้นที่ ศีล เริ่มตั้งแต่ ศีลข้อที่ 1 กระทบสัมผัสกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 กระทบสัมผัสกับของกับพืช กระทบแล้วเกิดกิเลส การปฏิบัติไม่มีศีลแค่ 3 ข้อนี้แหละคุณไม่มีปัญญาที่จะไปรู้ความจริงคุณมีแต่ตรรกะ คุณมีแต่ต้นเดาเอามีแต่ความรู้แบบโลกโลก เฉโก ไม่มีปัญญาเป็นความรู้ที่ไม่ใช่โลกุตระก็วนเวียนอยู่อย่างนั้น ไม่เข้าถึงจิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่เป็นเนกขัมมะ ไม่ออกจากกาม กาม ต้องมีวัตถุภายนอกเป็นเบื้องต้นจะมีการปฏิบัติที่เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ ต้องลดจากกิเลสกามให้หมดก่อนแล้วคุณก็มีผัสสะ กับเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดกาม แต่กามมันหมดจากจิตแล้วคุณก็เป็นอนาคามี คุณเข้าไปลดกิเลสในจิตอีกที่เป็นรูปภพ อรูปภพ เป็นภวตัณหา หากว่าคุณไม่ได้ผ่านภูเขาชั้นนอก คุณจะไปล้างข้างในมันไม่ได้อย่างที่ว่านี้ มันโมฆะจริงๆ แม้คุณล้างกามไปหมดแล้ว คุณก็ยังอยู่กับวัตถุภายนอก แต่จิตคุณยังอยู่เหนือ เป็นพระอนาคามี คนที่ ปัญญาอยู่ที่ไหนฌานอยู่ที่นั่น ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปฏิบัติธรรมไม่มีปัญญา อปัณกธรรม3 คุณเอาที่ไหนมาปฏิบัติ มันเป็นโมฆะจริงๆ ปัญญาเป็นตัวที่ 7 ของสัทธรรม 7 ในจรณะ 15 เป็นตัวที่ 11 พูดให้แยก ปัญญากับฌาน มันเหมือนอันเดียวกัน เกิดฌานก็คือมีไฟกำจัดกิเลสและมันก็เกิดปัญญา ปัญญากับฌานจึงเป็นตัวที่ทำงานด้วยกัน สร้างฌานได้ก็เท่ากับสร้างปัญญาก็คือกำจัดกิเลสได้ อาตมารู้จักพลังงานเหล่านี้เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตเอามาอธิบายเป็นภาษาไทยง่ายๆว่าสถานะมันเป็นอยู่อย่างไรเกิดทำงานร่วมกันอย่างไรให้ฟังอย่างนี้ ขณะนี้หากยังไม่เข้าใจอาตมาก็จนปัญญาที่จะอธิบายทั้งหมด _บุญญากร พัฒนสัตถาพร : พ่อครูไม่มีอัตตา ถ่อมตนตลอดเวลา ความจริงในกาละนี้พ่อครูทำได้สัมบูรณ์ทั้งรูปทั้งนามขอรับ ชุดอโศกเป็นชุดที่สวยที่สุด _ฟ้าพรห์มไพร นาวาบุญนิยม : ชุดอโศกเป็นชุดที่สวยที่สุดค่ะ..ยิ่งใส่ยูนีฟรอมเดียวกันหลายๆคนทั้งสวยทั้งแปลก…แยกจากชาวโลก.. พ่อครูว่า…เหมือนชุดประจำชาติ มีความแตกต่างกันไป ชุดที่ใส่ อาตมาพยายามจะดึงกลับไปสู่เครื่องแต่งตัวแบบไทย ผู้หญิงก็นุ่งผ้าถุง ผู้ชายก็นุ่งกางเกงเรียกว่ากางเกงไทย กางเกงกุยเฮ็ง ไม่มีเป้า ไม่มีแบบกางเกางฝรั่งมีเป้า ก็ใส่มาอย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรเดี๋ยวนี้ไม่เหลือแล้วนุ่งกระโปรงกันหมดดีไม่ดีเป็นนุ่งกางเกงลายสำหรับผู้หญิงผู้ชายก็นุ่งกางเกงฝรั่ง กางเกงมีเป้า จนกระทั่งมีกางเกงขาบานขาเดฟ มอส อะไรไปต่างๆนานาก็ไม่มีปัญหาอะไรถ้าจะว่าไปแล้วแต่ถ้าคนที่เขายังยืนหยัด ยืนยันในวัฒนธรรมเครื่องแต่งตัวชาติของเขามีเยอะแยะหลายชาติ ชาติไทยเท่านั้น เปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหลือวัฒนธรรมไทยมีอยู่บ้างหรือน้อย จะมีอยู่ตอนที่มีงานถึงจะแต่งชุดไทยกัน เรียกว่าเป็นชุดเอาบุญเป็นชุดพิเศษออกงานไปงานเป็นชุดโก้ นานๆใช้ที เป็นชุดพิธีการราคาแพง ไหมอะไรพวกนี้ ธรรมดาชุดพื้นๆก็มีเสื้อแขนกระบอกแบบไทยคอกลม อย่างเจริญหน่อยก็เป็นเสื้อคอตั้ง ที่พลเอกเปรมดึงขึ้นมาเป็นเสื้อพระราชทาน คนที่รู้สึกว่าใส่ชุดชาวอโศกสวยที่สุด มันเป็นเอกภาพ มันดูดีมีวัฒนธรรม เป็นแบบอย่าง เป็นสิ่งที่เข้าใจว่าอันนี้เป็นสัญลักษณ์ของเรา เป็นวัฒนธรรมของเรา มันก็เป็นความมีสิ่งที่เป็นตัวเรา จะบอกว่าเป็นอัตตาก็ไม่เชิงทีเดียวแต่จะเป็นอัตลักษณ์ _แก่นนวน มาลัยขวัญ · ห่าง…จากโควิด ขอบคุณชาวอโศกทุกท่านที่นำพารับประทานอาหารมังสวิรัติจนเป็นปกติของชีวิตนะคะ พ่อครูว่า…โรคโควิดไม่ค่อยชอบพืชพันธุ์ธัญญาหารนะมันชอบโค อาตมาว่าดี คุณคนนี้ก็เห็นผลว่ากินมังสวิรัติก็ห่างจาก covid _สมจิตร มิละถาโก : ฝ่ายโลกกับฝ่ายธรรมมันคนละอย่างกันครับ พ่อครูว่า…คุณพูดกำกวม คำว่าธรรมะ ถ้าบอกว่าโลกกับธรรม ธรรมะเป็นโลกเป็นฝ่ายเดียวกัน ธรรมะที่เป็นโลกีย์หรือโลกธรรม คุณไม่ได้ศึกษาว่ามันมีโลกุตระอยู่นะ คุณก็จมอยู่ที่เก่าถ้าคุณไม่รู้จักโลกุตรธรรม คุณก็จะอยู่กับโลกธรรมที่เป็นโลกียธรรมอยู่อย่างนั้น ก็เป็นอย่างเดียวกันเป็นโลกธรรมไม่ใช่ 2 อย่าง เป็นรายละเอียดลึกซึ้งฟังให้ดีจะได้ปัญญา ธรรมะกับโลก ถ้าจะพูดธรรมะนี้หมายถึงโลกุตรธรรมเพราะฉะนั้นโลกียธรรมกับโลกุตรธรรมเข้ากันไม่ได้ โลกุตรธรรมจะต้องขจัดโลกียธรรมออก ลดโลกียะ จนสุดท้ายจึงได้ชื่อว่าเหนือโลกีย์อยู่กับธรรมะเรียกว่าโลกุตรธรรม ทำไมลาภสักการะสรรเสริญเป็นอันตรายต่อพระอรหันต์ _คำถามจากคุณ Hr Td ลงวันที่ 9 มกราคม 2564 ผิดแล้วถ้าบอกว่า ลาภสักการะเป็นอันตรายแม้แก่พระอรหันต์ แท้จริงแล้ว จิตของพระอรหันต์นั้น โลกธรรมแปดไม่สามารถครอบงำได้ อย่าว่าแต่ครอบงำเลย แม้แต่แตะต้องก็ไม่ได้ สมดังภาษิตที่ว่า ผุฏฐัสสะโลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะกัมปะติ พ่อครูว่า…มงคลธรรมข้อที่ 35 แปลว่าสัมผัสกับโลกธรรมแล้วจิตไม่หวั่นไหว ผุฏฐัสสะโลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะกัมปะติ แต่คำว่าแตะต้องไม่ได้หมายความว่าคุณไม่เข้าใจสัมพันธ์ สัมผัสหรือแตะต้อง แตะต้องได้แต่กิเลสมันทำอะไรผู้ที่อยู่เหนือที่มีโลกุตรจิตไม่ได้นั้นต่างหาก ฉะนั้นต้องละเอียดลึกซึ้ง คุณพูดมากเหมือนกับเด็กๆพูด ที่จริงพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าลาภสักการะสรรเสริญเป็นอันตรายต่อพระอรหันต์นั้น มันจะไปทำร้ายปัจจุบันธรรมที่เป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร ที่พระอรหันต์พ้นแล้วเพราะมีเจโตวิมุติ แต่ปัจจุบันธรรม พระอรหันต์ใช้เป็นอยู่ด้วยสุขวิหาร สุข แปลว่า ว่าง อยู่กับจิตว่าง สุขวิหาร วิหารแปลว่าอยู่ ทรงอยู่กับจิตว่าง ในปัจจุบันนั้นๆ ถ้าเผื่อว่าพระอรหันต์ก็ดีไปกระทบสัมผัสกับลาภยศสรรเสริญสุขที่เป็นโลกแล้ว ถ้าเผื่อว่ามันไม่กระทบเลย พระอรหันต์ก็จะว่างโดยที่ไม่มีผัสสะไม่มีอะไรเลยก็เป็นไม่ใช่เรื่องของโลกุตรธรรม พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า อย่าประมาทกับลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ถ้าผู้ใดที่เผลอหลงใน กัมมารามตา คุณเพลิดเพลินในการงานคุณก็จากลาภยศสรรเสริญไม่ได้ ยิ่งเป็นพระอรหันต์จะมีมาก ก็จะเป็น ภัสสารามตา กัมมารามตา ถ้าหากเผลอไปมันก็จะไม่เป็นสุขมันก็จะไม่ดี เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ท่านเตือนพระอรหันต์บ้างว่าอย่าไปหลงในอุปกิเลสขั้น กัมมรามตา ภัสสารามตา นิทรารามตา ปปัญจรามตา ภัสสารามตากับกัมมารามตา เป็นเรื่องการทำงานการพูดถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วถ้าเผลอก็หลงได้ มันจะหนักเกินมันจะเสียสุขภาพ มันจะไม่พอดี มันเป็นเรื่องลึกซึ้งท่านเตือนพระอรหันต์ คุณยังไม่พระอรหันต์ก็ยังไม่ต้องอะไรมาก พระโสดาบัน 3 แบบ _คนยุคโควิด-19 : ในหนังสือ”ธรรมพุทธสุดลึก” บอกไว้ว่า โสดาบันมี 3 แบบ คือ สัตตักขัตตุปรมะ โกลังโกละ และเอกพีชี เท่านั้น แล้ววัฏฏภิรตโสดา มาจากไหนครับ พ่อครูว่า…จริงแล้วธรรมะที่มันเหลื่อมซ้อนกัน สัตตักขัตตุปรมะ โกลังโกละ และเอกพีชี สัตตักขัตตุ คือ อีก 7ชาติ จึงเป็นพระอรหันต์ 7 หมายถึงเหลือสังโยชน์อีก 7 ได้สาม เหลือ 7 โกลังโกละ ก็คือนับตั้งแต่ 2-6 สังโยชน์ที่เหลือ เอกพีชี คือ 1 คือ เหลืออีกชาติเดียว มีภูมิธรรมอีกน้อยเดียวก็เป็น สกิทาฯอนาคาฯได้แล้ว ที่จริงแล้ว ธรรมะที่เหลื่อมซ้อนกัน ก็ค่อยๆขยับไปเรื่อยๆๆๆ ถ้าพวกสั่งสมบารมีเกิน กลายเป็นโกลังโกละ โกลังโกละอีก 2 3 4 ชาติ หรือชาติเดียว(เหลือชาติเดียว)ก็เป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันหมดไปแล้ว(ในนี้)จะเป็นอนาคามีไปเลย เพราะฉะนั้นเลื่อนจากสัตตักขัตตุ มาโกกังโกละ มาเป็นเอกพีชี มันจะอยู่ในภพที่ยังไม่ถึงอนาคามี สกิทาคามีกับเอกพีชีแปลว่าผู้ที่เกิดอีก 1 ครั้งเหมือนกัน ที่ซ้อนกันไว้มีแค่ 3 ขั้นของพระโสดาบัน แล้ววัฏฏภิรตโสดาบัน มาจากไหนครับ อาตมาไม่รู้ จริงๆนะไม่รู้ว่ามาจากไหน จะเป็นของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้อาตมาก็ไม่มีความรู้อันนี้พอ หรือไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าตรัส แต่เป็นอาจารย์รุ่นหลังเอามาเพิ่มขึ้นหรือไม่อาตมาไม่รู้ “วัฏฏภิรตะ” แปลว่า ยินดีในวัฏฏะ เสพในวัฏฏะ ก็ไม่ยอมขึ้น เรียกว่าเทวดาติดแป้น ไม่คิดจะเพิ่มภูมิเลยจมอยู่อย่างนั้น ก็ให้อย่าติดแป้น ปปัญจรามตา อย่าไปยินดีในความเนิ่นช้าหากว่าคนติดแป้นก็ยินดีในความล่าช้า อาตมาไม่รู้ว่ามีหลักฐานพระพุทธเจ้าตรัสไว้หรือเป็นอรรถกถาจารย์ _สู่แดนธรรมว่า…เป็นของอรรถกถาจารย์ ไม่ใช่อยู่ไหนพระไตรปิฎกฉบับหลวงได้อยู่ในฉบับมกุฏราชวิทยาลัย พ่อครูว่า…วัฏฏภิรตะ ผู้ที่ยินดีในความเนิ่นช้าเป็นพวกติดแป้นยินดีในโลกกาม เป็นกามเทพอยู่อย่างนั้น ติดแป้นอยู่อย่างนั้น ติดมากติดน้อยก็แล้วแต่ กาม ก็จมอยู่อย่างนั้นไม่เคลื่อนที่ ไม่พยายามพัฒนาให้สูงขึ้นเจริญขึ้น วัฏฏภิรตะ โสดาบันคือผู้ที่เนิ่นช้า จมอยู่ในฐานเสพกามคุณ เขาใช้เรียกนางวิสาขา นางวิสาขาเป็นคนรวยพรั่งพร้อมไปด้วยบริบาลทรัพย์ศฤงคารก็เลยเสพติดเรื่องนี้ เขาก็เลยอธิบายเอาภาษามาเรียก เอาแต่เสพติดไม่เลื่อนชั้นไปไหนนานแล้วไม่เกิดอีก เป็นคนติดแป้น ไปยินดีในความเนิ่นช้า _ฝากถามหน่อยค่ะ ว่าที่ว่าไม่มีกายแล้ว กายในคือกายก็เข้าใจ แต่ก็มีคำว่า เวทนา สัญญาก็ยังอยู่ สังขารก็ยังอยู่ วิญญาณก็ยังอยู่คนฟังหากไม่มีสภาวะก็ หูหักแน่ มันเป็นภาษา สิริมหามายา พ่อครูว่า…คำว่า “กาย” คำนี้ยิ่งใหญ่ ทุกวันนี้ไม่เข้าใจคำว่ากาย แล้วในศาสนาพุทธเขาไปเข้าใจเพียงแค่กายคือสรีระร่างวัตถุภายนอกเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับนามธรรม อาตมาอธิบายว่ากายไม่แยกกับจิต จิตไม่แยกกับกาย กายหมายถึงภายนอกที่เชื่อมกันอยู่กับภายใน ที่ท่านสอนสติปัฏฐาน 4 พิจารณากายในกายก็คือคุณต้องมีภายนอกนั่นแหละแต่คุณจะต้องตามมาหาพิจารณาภายในคือจิต เพราะกิเลสไม่ได้อยู่ที่ภายนอกวัตถุหรือผิวข้างนอก ถ้าคุณไปแยกออกไปเลยไม่มีจิตไปร่วม คุณก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ เพราะว่ากายไปหมายถึงภายนอกแล้วมันไม่มีกิเลสหรือดินน้ำไฟลม มีร่างเฉยๆคนตายไม่มีจิต ไม่มีธาตุรู้ไปร่วมแล้ว จะให้คนตายมาปฏิบัติล้างกิเลส คนตายมีแต่ซากศพมันไม่มีกาย แม้แต่คนไม่มีพลังงานจิตพลังงานจิตมันตกลงมามันจบลงมาเป็น พีชะ มันก็ไม่ใช่กายแล้ว คำว่า “กาย” เมื่อเอามาปฏิบัติกับตัวเองให้ไม่มีอาการกาย “กาย” คำนี้หมายถึงไม่มีเวทนาไม่มีสัญญาไม่มีวิญญาณ นี่คือ สัญญาเวทยิตนิโรธ มีผัสสะแล้วมีสังขาร มีเจตนาแล้วเรียนรู้อยู่ในนี้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ละเอียดในการแยกกายแยกจิต การแยกกายแยกจิตเมื่อผู้มาบวชแล้วอุปัชฌาย์จะต้องสอนเรื่องการแยกกายแยกจิต แยกให้ว่าอาการอย่างไรเป็นอุตุ อาการอย่างไรเป็นพีชะ อาการอย่างไรเป็นจิต โดยที่คุณรู้ต้องปฏิบัติที่กรรม ปฏิบัติให้จิตของคุณเป็น พีชะหรืออุตุได้ ทรงไว้เป็นธรรมะให้จิตคุณเป็นอุตุหรือพีชะ แต่ไม่ได้หนีไปไหนจากโลก จิตคุณก็ไม่มีกิเลสร่วม เป็นจิตบริสุทธิ์มีประสิทธิภาพ จากที่ไปติดยึด ทำให้ตัวเองงมงายอยู่กับสิ่งที่ทำให้จิตเป็นตัวที่ไม่มี กาย ไม่มีเวทนา ที่มันเป็นทุกข์แต่มันไม่ทิ้งจากเวทนาที่เป็นจิตสะอาดปราศจากทุกข์ ต้องทำอันนี้ให้มันปราศจากกิเลส ทำจิตให้เป็นอุตุ เป็นพีชะ ก็คือจิตไม่มีกิเลส ต้องค่อยๆมาเรียนไปตามลำดับโดยปฏิบัติที่ศีล ก่อนเรียนรู้เกี่ยวข้องสัมผัสกับสัตว์ คุณก็ต้องอ่านจิตตัวเอง จิตของเราจึงจะไม่มีเวทนาที่เป็นทุกข์เวทนาที่เก๊ มีแต่เวทนาจริงที่รับรู้ความจริงตามความเป็นจริงเกี่ยวกับสัตว์ อาตมาก็อยากให้ฟัง สัตว์มันมีวิบากของเขาอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาเลย เราเกี่ยวข้องกับคนก็หนักหนาสาหัสแล้วที่จะมีโลภโกรธหลงกับคน สัตว์อื่นนั้นมันมีวิบากของเขา อย่าเอามาเลี้ยง อย่าเอามากิน เอาไปฆ่ามันยิ่งเป็นวิบากหนัก วิบากกับคนนี่ก็เถอะ เรียนรู้กิเลสที่เกิดกับคนที่มีความโลภโกรธหลงกับคนนี่แหละให้มากส่วนสัตว์อย่าไปยุ่งกับมัน สู่แดนธรรม…สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin11 มกราคม 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:640110_รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ร้อยมาลัยพระอภิธรรมตามแบบพ่อครูNextNext post:640113_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ฌานของพุทธต้องเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024