640108_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจนสาธารณโภคีที่เหาะได้ทั้งชุมชน
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Wj5ntVWl1OyLH5aaHRe77glIcT8asf6xDMH24Dno22A/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1SQEaOYrWACFFmWzXZ2AirGdf7Bh3OgIX/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/0slaP-7lH0Q
สมณะเดินดิน…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก เขาบอกว่าอากาศช่วงนี้อุณหภูมิจะลดลงไป 5 ถึง 7 องศา อากาศเย็นๆคงทำให้คนอายุยืนขึ้น ในยุคสมัยพระพุทธเจ้าท่านทำให้คนเห็นนรกสวรรค์นิพพานเป็นการเปิดโลก ส่วนโรคโควิตก็จะมาเปิดโลกแห่งประชาธิปไตยให้สังคมหรือว่านรกอยู่ที่ไหนสวรรค์อยู่ที่ไหนนิพพานอยู่ที่ไหน ที่ไหนมีอบายมุขมากมีการกินสูบดื่มเสพมาก Covid ก็จะไปจัดการสังคมนั้นประเทศนั้น อย่างรวดเร็วและเลวร้าย ประเทศไทยก็เกือบชนะแล้ว แต่ปรากฏว่ามีสิ่งที่ซุกไว้ใต้พรมยังมีอยู่ มีทั้งบ่อนการพนันและการติดสินบน ที่เกี่ยวข้องกับอบายมุข ก็ทำให้โควิดพุ่งขึ้นมาอีก รัฐบาลก็พยายามแก้ไขจัดการเอาให้อยู่ ส่วนประเทศที่ไม่ได้คิดจะลดละเลิกอบายมุขกินสูบเดิมเสพ อย่างเช่นอเมริกา ยิ่งเกิดความขัดแย้งอย่างที่เราได้ยินข่าว เป็นเรื่องช็อคโลก มีการแก่งแย่งชิงอำนาจ เขาบอกว่าเมืองไทยชุมนุมมีการฉีดน้ำปราบการชุมนุมพวกสิทธิมนุษยชนออกมาโวยวาย แต่ที่อเมริกาแค่วันเดียวมีการประท้วงยิงกันตาย 4 ศพ ที่อย่างนี้ก็เงียบเลย
เมื่อเช้าพ่อครูตื่นขึ้นมาก็บอกว่าพวกเราเหาะกันอยู่เหนือลาภยศสรรเสริญอยู่เหนืออบายมุขอย่างสบาย แต่ของพวกเราล็อคดาวน์กันอย่างสมบูรณ์ก็ยังสบายอุดมสมบูรณ์ โควิดมาเปิดโลกยุคประชาธิปไตยอันไหนดีกว่า
พ่อครูเหาะให้ดูมา 50 กว่าปีแล้ว
พ่อครูว่า…ต่อจากที่ท่านเดินดินพูดเมื่อกี้นี้ว่า การเหาะได้ อาตมานี้เป็นคนเหาะได้ และเหาะมา 50 ปีกว่าแล้ว ขึ้นมา พ.ศ.2564 เหาะมาได้ตั้ง 50 ปีกว่าแล้ว แล้วก็พร้อมกับได้เปิดเผยวิชาการที่สอนให้ เหาะ ตัวเองเหาะได้แล้วเปิดเผยวิชาการสอนให้เหาะ ก็ปรากฏว่ามีคนฉลาด มีปัญญารับรู้ตาแล้วก็มาเรียนมาศึกษามาฝึกฝนด้วย พากัน เหาะได้ กับอาตมา โอ้โห พากันเหาะได้กับอาตมา ก็เลยเกิดกลุ่มหมู่คนเหาะได้ขึ้นมา แล้วก็พากันมารวมตัวกันอยู่ เป็นหมู่กลุ่มที่มีพัฒนาการไปไม่มีที่สิ้นสุด พัฒนาการไปเรื่อยๆ พัฒนาการให้เหาะขึ้นไปเรื่อยๆอีก เหาะไหม…เหาะ คนเหาะ จนกระทั่งพากันเจริญเป็นชุมชนเป็นหมู่บ้านกัน เป็นชุมชนเป็นหมู่บ้านคนเหาะได้ ขึ้นในประเทศไทย แหม ก็ลือลั่นกันไปทั่วโลกว่าเป็นเมืองคนเหาะได้เลยนะ
แต่หลักสูตรทฤษฎีการเหาะได้ที่อาตมาเอามาทำในยุคนี้ ในยุค 2,500 กว่าปีเป็นสูตรของพระพุทธเจ้า ที่อาตมามาสอนให้พวกคุณเหาะได้เป็นสูตรของพระพุทธเจ้า มันได้เสื่อมไป เสื่อมไปจนกระทั่ง ของพระพุทธเจ้าท่านเรียกของท่านว่าเป็น “โลกุตระ” เป็นวิชาการขั้นโลกุตระ มันเสื่อม คนเสื่อมจากโลกุตระ ไม่ใช่ว่าโลกุตระเสื่อม โลกุตระเป็นสัจจะเป็นความจริงเป็นวิชาการเป็นความรู้ไม่มีวันเสื่อมหรอก เป็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระองค์เองแล้วมาเปิดเผยให้คนได้ศึกษาแล้วจะเป็นมนุษย์เหาะได้อย่างนี้
เป็นมนุษย์เหาะได้ แต่คนไม่เห็น คนในโลกยุคนี้ แม้แต่ชาวพุทธเองปราชญ์ผู้รู้ทางศาสนาพุทธ ตามืดตาบอดไปจากโลกุตรธรรม เลยไม่เห็นคนเหาะ การไม่เห็นคนเหาะก็ไม่น่ากลัวอะไร แต่ไปดันเห็นคนที่เขาโกหกว่าเขาเหาะได้ คนตามืดตาบอดที่ว่านี้เป็นชาวพุทธ มีคนโกหกว่าเขาเหาะได้ ยังโง่ หลงตามเขาอีกแน่ะ เชื่อว่าคนเหาะได้ ที่เป็นคนเหาะได้เก๊ๆ ไม่เหาะได้จริง เพราะคนเหล่านั้น เขามีวิธีการ ครอบงำคนให้ตกอยู่ในอำนาจสะกดจิต แล้วก็สั่ง นี่นะ ฉันเหาะได้ คนถูกสะกดจิตแล้วเชื่อ สะกดจิตยังไง หลับตา ฟังที่สอนอย่างเดียว ฟังที่เขาว่าหลับๆนี่แหละผู้ที่หลับมาก่อนคืออาจารย์นะ เป็นอาจารย์ใหญ่เหาะเก่งนะ เห็นไหมนี่ อาจารย์เหาะแล้วอาจารย์เหาะแล้ว อยากได้ตามไหมก็เชื่อนั่งหลับตานั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปสะกดจิตเข้าไป ออกป่าเขาถ้ำ อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกนี้ทิ้งเลย โลกลาภยศสรรเสริญไม่เอา อะไรอย่างนี้
ก็เลยถูกครอบงำทางจิต อุปาทานจิตนี้ เป็นไปได้สารพัด ถูกสะกดจิตแล้วจะเห็นได้อย่างนั้น เพราะฉะนั้นอำนาจทางจิต จึงทำกันได้ทั้งที่เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ แบบโลกียะ ทำได้ และที่สำคัญก็คือ หลอกได้ หลอกให้เชื่อได้ อันนี้สำคัญกว่า คนที่เขาเหาะได้จริง ลอยขึ้นจริง เขาหยั่งรู้เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ ฤาษีคันธารี ฤาษีมัลลิกา ชาวพุทธของพระพุทธเจ้าก็เหาะได้จริง อย่างพระปิณโฑล พระโมคคัลลานะก็เหาะไปเอาบาตรที่ พราหมณ์เขาบอกว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็เหาะได้จริงสิ ก็บอกว่าเหาะได้ พระปิณโฑนก็เหาะไปเอาบาตรมา เมื่อพระพุทธเจ้ารู้ ก็บอกว่ามานี่ๆๆๆบิดหูเลย นี่เป็นสำนวนของโพธิรักษ์นะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ทำอย่างนั้นหรอก แต่ท่านว่า ใครสอนเธออย่างนั้น
ดูกร.. เกวัฏฏะ เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว จึงได้ประกาศให้รู้ ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง เป็นไฉน? คือ
-
อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ทางใจ ไปซ้ำกับพวกคันธารี)
-
อาเทสนาปาฏิหาริย์ (หยั่งรู้จิตคนอื่น ไปซ้ำกับมณิกา)
-
อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนวิชชา 8 เป็นปัญญาสัมปทา)
พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ), ระอา(หรายามิ), เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์ แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ (เกวัฏฏสูตร พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 339-341)
อย่าไปส่งเสริมอิทธิปาฏิหาริย์อาเทสนาปาฏิหาริย์ เหาะได้ก็จริง แต่หยุดอย่าไปทำ ให้มาเรียนรู้อนุสาสนีปาฏิหาริย์อย่างนี้เป็นต้น
“อนุสาสนีปาฏิหาริย์” คือ คำสอน “อนุสาสนี” แปลว่าคำสอน สอนอย่างนี้ สอนให้ละหน่ายคลาย สอนศีล, สมาธิ, ปัญญา สอนจรณะ 15 วิชชา 8 แล้วจะละหน่ายคลายทุกข์ จะปรินิพพาน เพราะฉะนั้นคำว่าปรินิพพานนี่แหละ คนยินดีในปรินิพพานจึงจะสามารถมาศึกษาเรียนรู้แล้วหลุดพ้นปรินิพพานได้ ถ้าไม่มาศึกษา ไม่มีความยินดี ไม่พากเพียรเรียนรู้ ละหน่ายคลายตัวกิเลสที่โง่เง่าอวิชชาให้ได้ รู้จิตเจตสิกรูปต่างๆ อ่านจิตเจตสิกที่ถูกรู้เรียกว่ารูป แล้วก็มีปัญญาอันยิ่ง สามารถที่จะเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่ พลังงานปัญญา สามารถที่จะทำ
“ปัญญา” คือ “ฌาน” ที่เป็นพลังงานไฟ เป็นอุณหธาตุ ถ้าสามารถทำใจในใจ โยนิโสมนสิการ ทำใจของเรา ประกอบใจของเรา อภิสังขารใจของเรา ปรุงแต่งใจของเรา มันเป็นนามธรรมซึ่งมันไม่มีตัวตน แต่พลังงานทางจิตใจเราก็รู้ได้ มาเรียนให้ดีแล้วจะทำได้ พลังงานนี้จะสามารถละลายหรือทำลายสลายอวิชชา กิเลส ความโง่นั้นได้จริงๆ ทำไปทีละขั้นๆทีละข้อๆ อย่างหยาบ ที่เราเห็นชัดเจนง่าย เชื่อว่าติดยึดอย่างนี้กิเลสอย่างนี้ มันเป็นเรื่องต่ำในโลกเขา มันจะมีปฏิภาณเข้าใจว่าเป็นเบื้องต้น ไอ้นี่หยาบ เอามันก่อน หัดสร้างพลังงานจะให้เป็นพื้นฐาน มันก็จะมีความรู้สามารถเกิดพลังงาน ฌาน ตัดกิเลสได้ เรียกว่า “บุญ” ฌานกับบุญอันเดียวกัน แต่ “ฌาน” เป็นพลังงานมรรค “บุญ” เป็นพลังงานผล ตัดจบแล้วจบอย่างละเอียด จบอย่างไม่กลับกำเริบ จบอย่างแน่นอน บุญก็หมดหน้าที่หายไป บุญก็ไม่มี แต่ฌาน ยังใช้อยู่ใช้ทำงาน เพราะพลังงาน ฌาน ทำให้เกิดพลังงานสร้างสรรทำอะไรต่ออะไรได้ ตัด ทำลาย ก็ได้ พลังงานอุณหธาตุ พลังงานความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า เอาไปทำลายก็ได้ เอาไปสร้างสรรก็ได้ใช่ไหม นี่เราใช้ได้
ฉันเดียวกัน ถ้างานเสร็จก็เอาไปใช้สร้างสรรหรือเอาไปทำลายก็ได้ ทำลายอะไรก็คือทำลายกิเลส จะต้องรู้จักกิเลสคืออะไร อาการของกิเลสในจิตต้องรู้แม่น เลือกเฟ้นเอาให้ได้ ตัวนี้ตัวใหญ่เอาก่อน พ้นวิจิกิจฉาว่าใช่กิเลสแน่ๆ ไม่ใช่ไปฆ่าจิตที่ไม่มีกิเลสไปหมด กิเลสมันแฝงเป็นแขกมาอย่างสนิทเนียน ทำตัวเหมือนกับจิตทีเดียว จิตหรือกิเลส มันหลอกตัวเองว่าเป็นจิต เนียนสนิทมากเลย ถ้าไม่มาเรียนดีๆไม่สามารถรู้และทำออกได้
กิเลสพระพุทธเจ้าเรียกภาษาบาลีว่า กลิ เป็นตัวเป็นภัยเป็นโทษ ต้องมาแยกออกจาก กาย กายกลิ ตั้งแต่ภายนอก หยาบ เบื้องต้น อะไรอย่างนี้ อาตมาก็ค่อยๆอธิบายสู่ฟัง
เพราะฉะนั้นที่อาตมาพยายามอธิบาย สู่ฟัง ให้ล้างทำลายกิเลสได้จริง เพราะมันเป็นสัจจะ ฌาน ของพระพุทธเจ้า เกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8
วิชชา ความรู้ปัญญาญาณกับจิตนี้จะร่วมกันสังเคราะห์สังขารเป็นอภิสังขาร “สังขาร” คือปรุงแต่งแบบ กลางๆ สังขารเป็นสังขารโลก สังขาร ตัวรูป, รส, กลิ่น, เสียง, สัมผัส, สังขาร, รูปขันธ์, เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์เอง แล้ววิญญาณ แยก เวทนากับสัญญา ก็เป็นเหมือนหวังเฉากับหม่าฮั่น พระเอกซ้ายขวาทำงาน เป็นเวทนา แล้วเอาสัญญากำหนดรู้ สัญญาทำงาน แล้วก็ปรุงแต่งสังขาร ปรุงแต่งเป็นอภิสังขาร ปรุงแต่งเป็นความทำลายให้มันฆ่ากิเลส จนกิเลสตาย เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร กิเลสตายหมดก็เป็น อปุญญาภิสังขาร บุญก็เลิกไปไม่ต้องทำงานแล้วไม่ต้องมีแล้ว เต็มแล้ว ก็ต้องมีแต่สั่งสมผลจิตที่สะอาดจากกิเลสตัวนั้น มีกิเลสตัวใหม่ก็ทำอีก กิเลสตัวเก่าที่พ้นแล้วก็สะสมจิตสะอาดไปเรื่อยๆตกผลึก สะอาดมากยิ่งขึ้น ปริสุทธา ปริโยทาตา ซ้อนเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ คัมภีรา (ลึกซึ้ง), ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก), ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก), สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่), ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น), อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้), นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน), ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ผู้ศึกษาใส่ใจเป็นเปรียญ 9 เป็นดร.ทางธรรมะก็ดี ติดตามให้ดีๆ อยู่ในพระไตรปิฎก อาตมานำพยัญชนะให้มาเป็นสภาวะจริง คัมภีรา ลึกซึ้งจริงเห็นตามได้ยากจริง ทุททัสสา รู้ตามได้ยาก มีโพธิได้ยากก็จริง สันตา สงบ รำงับ อย่างพิเศษลึกซึ้งเลย จิตมีตัวสงบและอยู่กับความวุ่นวายอย่างแข็งแรงมีประสิทธิภาพ มุทุภูตธาตุ สันตา ปณีตา สุขุมประณีตมากไปตามลำดับขั้น ซึ่งไม่ใช่วิสัยของ ตักกะ อตักกาวจรา คาดคะเนด้นเดา ข้อคิดศึกษาบัญญัติภาษาให้หัวพังเป็น learned man แว่นตาโตเดินเอาหัวไปข้างหน้าเป็นปราชญ์เอกของโลกอย่างไรเรียนบัญญัติเก่งยอด เป็นปทปรมบุคคลขนาดไหนก็ไม่สามารถรู้ได้ ปรับเปลี่ยนสภาพนามธรรมที่ละเอียดถึงขั้นนิพพาน ปณีตา
บัญฑิตเวทนียา ผู้เป็นบัณฑิตแท้ มีสภาวะจริง มีความรู้ความพิเศษในตัวเองจริง จึงเรียกว่าบัณฑิตไม่ใช่ไปเรียนและสอบเอาตามบัญญัติ พวกนี้มันหลอกมันหลง ได้แต่บัญญัติภาษาเป็น ปทปรมบุคคล
“ปทปรมบุคคล”คือ บุคคลผู้รู้ได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าก็มาก แล้วท่อง ทรงจำไว้ได้อยู่ก็มาก เอาไปสอนเขาก็มาก ได้รับลาภยศสักการะสรรเสริญ แต่ไม่บรรลุธรรม ได้แต่เป็นจับกัง แบกลังทองมาให้เขา แล้วได้ค่าจ้างนิดหน่อยไม่เคยได้ทองนั้นเลย ได้แต่แบกลังให้เขาเป็นจับกัง เป็นกรรมกรศาสนา เป็นกรรมกรที่รับใช้ศาสนาจริงก็ได้ แต่เป็นกรรมกรจับกังคนแบกของแบกศาสนาไว้เฉยๆ แบกไว้ให้คนอื่นแต่ตัวเองไม่ได้ ไม่ได้ลิ้มรสธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้า นั่นคือ ปทปรมบุคคล
ไม่ใช่ผู้ไม่รู้นะ แต่เป็นผู้รู้มากเลย สอนคนอื่นให้บรรลุอรหันต์ได้ด้วย ปทปรมะสอนคนอื่นให้บรรลุอรหันต์ด้วยเพราะเขามีปฏิภาณดี แต่ตัวเองสิ ปทปรมบุคคล ผู้ที่ฟังพุทธพจน์ก็มาก กล่าวอยู่ก็มาก จดจำทรงจำไว้อยู่ก็มาก บอกสอนผู้อื่นก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลในชาตินี้เลย ตัวเองไม่รู้จักมรรคผล มีแต่มิจฉามรรค มิจฉาผล ถูกหลอกด้วยคนขี้หลอกว่าเขาเหาะได้หลอกเอาก็ไปหลงพวกเขาได้ เก๊ๆ เป็นอุปาทานสร้างนิรมาณกาย เป็นสัมโภคกายต่างคนต่างตาบอดด้วยอทิสมานกาย ต่างคนต่างไม่เห็นของกันและกัน เอามายืนยันเปิดหูตาจมูกลิ้นกายสัมผัสด้วยกันไม่ได้ ที่จะว่าสัมผัสอันนี้แล้วเกิดกิเลสได้นะ อ่านจิตตัวเองนะ ลดละกิเลสด้วยไตรลักษณ์อย่างนี้ ก็ไม่ได้สอนอย่างชัดเจนอย่างนี้เลย ให้เอาแต่นั่งสะกดจิตหลับตา สาธยายอย่างที่อาตมาสาธยายให้ฟังนี้ละเอียดลออไม่ได้
อาตมาเอาจากพระไตรปิฎกมาขยายความ แต่เขาไปแปลพระบาลีผิดเพี้ยนอีก อาตมาก็ต้องแก้กลับอีก เฮ้อ เหนื่อยจริงๆเมื่อยจริงๆ แต่เมื่อยก็ต้องสู้ เพราะเป็นสิ่งดีที่สุดที่มนุษย์พึงมีอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้ อาตมาเป็นจริงๆแล้วซาบซึ้งในธรรมะพระพุทธเจ้าจริงๆ เกิดมาเป็นคนกับเขาเจออันนี้แล้วและก็ได้อันนี้มาจริงๆ จนกระทั่งบอกไปตรงๆว่าจะมาเป็นโพธิสัตว์และบอกลำดับด้วย เพราะอาตมาไม่ได้ไปสับสนอะไร
ระดับ 1 2 3 4 5 6 ก็รู้สภาวะชัดๆเอามาเรียบเรียง ซึ่งมันไม่มีในพระไตรปิฎกทีเดียว ที่อาตมาเรียบเรียงเรื่องโพธิสัตว์ระดับต่างๆ ในศาสนาเถรวาทไม่มี มหายานก็มีหลายเจ้า เพราะว่าเป็นลัทธิแก้ อาจาริยวาทแตกไปเยอะ มันมาก มหายาน ก็รู้ แต่เรามาสอนจากเถรวาทไปแล้วก็จะเกิดค่อยๆมากไป
สรุปแล้ว อาตมานี่คือคนเหาะได้ พยายามฟังธรรมะที่อาตมาเปรียบเทียบใช้ภาษาธรรมะว่าเหาะได้ ไม่ได้เหาะลอยตุ๊บป่องไปในอากาศหมาเลียตูดไม่ถึง ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เหาะนี่เป็นคำแทนว่า เป็นคนแปลก วิเศษ ทำอะไรเกิน เรียกว่า มีอุตตริมนุสสธรรม มีธรรมะที่เกินคนธรรมดาเขาทำได้นะ เป็นคนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เหมือนอย่างมีอิทธิปาฏิหาริย์ มีความสามารถหลายประการ เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ… คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ (เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ)
ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้
จะมาสอนคนให้ลดกิเลสได้ เทียบทีละคู่เรียกว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) เล่ม 10 ข้อ 60 นี่คือประโยคที่ประโยคทอง เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เอามาศึกษาเอาเวทนาเป็นตัวฐานปฏิบัติกรรมฐาน ก็เอาจากทีละคู่เรียกว่าเวทนา 2
ทำเวทนา 2 ให้เป็นหนึ่ง เอกสโมสรณาภวันติ ก็จะสำเร็จผล คุณก็จะเก่งในการรู้จักเวทนา เวทนา 108 อาตมาก็สอนอธิบายแล้วก็เอาไปทำกันได้ อย่างนี้เป็นต้น
ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ จาก 1 เป็นหลาย จากหลาย เป็นหนึ่งเดียวก็ได้ นี่คือเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ อย่างเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ไม่ใช่อธิบายแบบ ที่นั่งอยู่ในห้อง เข้ามาแล้วก็เนรมิต กาย ให้เป็นพันคนอยู่ในห้องเต็มห้องเลย เขาก็อธิบายกันอย่างนั้น คือ เป็นตัวตนบุคคลเราเขาไม่ได้ เป็นนามธรรมไม่ได้ เป็นกิเลสกับไม่ใช่กิเลส มันไม่ใช่ปรมัตถธรรม ได้แต่เป็นเรื่องที่อธิบายกันผิดๆ ผู้ไม่รู้ก็อธิบายผิด
อาตมาอธิบายอย่างหนึ่ง เขาก็อธิบายกันอย่างหนึ่ง เอามาเปรียบเทียบแล้วไปทดลองพิสูจน์อย่างเป็นนักวิทยาศาสตร์สิ อาตมาอธิบายก็เกิดผลอย่างนี้ ส่วนเขาอธิบายอย่างนั้นก็เกิดผลอย่างนั้น ก็เปรียบเทียบกันสิ ผล 2 อย่าง ว่าอันไหนคือธรรมะ อันไหนคือธรรมะแท้กิเลสแท้ อันนั้นมีแต่กิเลสบานกิเลสเก่งมีมานะอัตตาได้วิเศษวิโส มีลาภยศสรรเสริญมากก็เก่งแบบโลกียคนก็นิยม อย่างเช่นไอ้ไข่ หรือว่าฤาษีลิงดำ อะไรก็แล้วแต่ แม้แต่มหาบัว หรือว่าธัมมชโย ให้ร่ำรวยร่ำรวย นั่นคืออุปาทานทั้งนั้น คุณไปขยันทำก็รวยๆและเอามาประเคนให้เขา ไปขยันใหม่ก็ได้รวยอีกแล้วขยันอีกมันก็ยิ่งได้ คนสามารถและฉลาด ก็จะทำได้มีความพากเพียรมากยิ่งขึ้นก็ได้มากยิ่งขึ้นและเอามาให้ก็จริงด้วย ได้อีกก็ทำอีกให้ใหม่ เห็นไหมคนฉลาดหลอก คนนี้ก็ไปฉลาดแกมโกงซ้อนอีก ไปเอาของเขา ฉลาดแกมโกงมากๆก็เก่งวิชาการฉลาดแกมโกง เป็นทุนนิยม เป็นผู้ที่โลภได้มากกว่า ได้มากเอาเปรียบได้มาก มีวิธีซับซ้อน มีค่ายกลซับซ้อนเยอะแยะ มีทั้งอำนาจทั้งเงิน เอาเงินมาฟาดคนจ้างคนมา คิดซับซ้อนรายละเอียดลึกซึ้งอีกอย่างที่เขาเป็น ตามระบบทุนนิยม อำนาจนิยม อย่างเช่นโดนัลด์ทรัมป์
หาเงินมาก่อน แล้วเอาเงินมาสร้างอำนาจทางการเมือง ตอนนี้อำนาจเงินก็ยังคงพอมีอยู่ เหมือนกับทักษิณ อีกหน่อยเถอะ ตอนนี้ก็ร่อแร่ๆๆ ยังไม่ยอมนะ ยังจะสู้ กับผู้แข่งขันในสมัยหน้าอีกตอนนี้อายุก็จะ 74 ปีแล้ว เขาบริหารไปอีก 4 ปีตอนนั้นก็คง 78 ปีส่วนโจไบเดนอายุ 78 ปีแล้ว แก่กว่าโดนัลด์ทรัมป์ซึ่งอายุ 74 ปีถ้าไปอีก 4 ปีก็คงจะ 78 ปีก็คงไม่เอา หรือเอาก็แล้วแต่ก็ต้องสู้กัน ส่วนรองประธานาธิบดีเขาก็ต้องสร้างเครดิตของเขา โดนัลด์ทรัมป์ก็อาจจะได้สู้ไปข้างหน้าอีกกับเขา คิดอยู่เหมือนกันจะตายก่อนหรือเปล่า ขออภัยที่พูดตรงๆชัดๆ โดนัลด์ทรัมป์เอาแน่ เพราะว่าแกหลงในลาภยศสรรเสริญสุข ติด ตายคาเลย แล้วก็ไม่มีหยุดยั้ง ยังมีอวิชชายังจะไปชาติต่อไปอีก ไม่มีหยุดยั้งอะไรพวกนี้ อจินไตย เรื่องของกรรมวิบากพวกนี้ลึกซึ้งค่อยๆฟังไปแล้วจะเข้าใจ
จะเป็นคนเหาะได้ต้องใช้หลักวรรณะ 9
ที่อาตมาพูดว่าพวกเราเป็นคนเหาะได้ เหาะได้ คือคนมีโลกุตรธรรม คือคนมีวรรณะ 9 มาเป็นคนเลี้ยงง่ายๆ เลี้ยงไปก็เหมือนไม่เลี้ยง เพราะต่างคนต่างช่วยกันเลี้ยงกัน เป็นคนเลี้ยงง่าย สุภระ แปลว่า อันเลี้ยงได้โดยง่าย ภาษาไวยกรณ์เขา เลี้ยงง่าย
สุโปสะ เลี้ยงให้ดีทำให้เจริญ หรือว่าบำรุงให้ดีให้เจริญง่าย บำรุงให้ดีบำรุงให้เจริญง่าย
อัปปิจฉะ มีความปรารถนาน้อย หรือมักน้อย กล้าจน มีน้อยๆ ไม่โลภ ไม่สะสม เป็นคนมีน้อยๆ พอ เอาไว้แค่นี้พอสันตุฏฐิ
มีความยินดีในใจที่ไม่โลภ ใจที่ไม่โลภไม่สะสม ยินดีในสิ่งที่น้อย เรียกว่า “สันโดษ” ยินดีในของที่พอมีกินมีใช้ ไม่ใช่ว่าไปยินดีในของที่มีอยู่ ไปถามเศรษฐีใหญ่ของโลกเดี๋ยวนี้ อีลอน มัสก์ รวยเป็นที่หนึ่งตอนนี้ คือเป็นสมบัติผลัดกันชม ในการแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ สมบัติผลัดกันชมก็หมุนเวียนในโลกียมันไม่เที่ยงแท้แน่นอนหรอก แล้วไม่ได้หมดไปนะ มันสู้ไม่ได้คราวนี้ก็ยอมแพ้ หรือว่าเข็ดนิดนึง แต่ก็ยังฮึด เกิดมาใหม่มันไม่รู้กรรมวิบากเกิดแล้วเกิดอีกแล้วมันก็ลืม ชาติหน้ามันก็ลืม กิเลสอนุสัยมันยังมี มันก็ยังใหม่เพราะไม่ได้ศึกษาไม่มีปัญญาว่าต้องเลิกละต้องหมดต้องสูญ มันไม่ได้มาทิศทางโลกุตระ บานเป็นปากกรวย ไปไม่มีที่สิ้นสุดหาประมาณไม่ได้ไม่มีหมดสิ้นไม่มีสิ้นสุด ไปไม่มีประมาณ
แต่ทางโลกุตระมาทางก้นกรวย จบสุด สูญ! ไม่มีไปอีกแล้วจบเลย เลิก! ต่างคน คนที่เดินทางไปหาก้นกรวยกับคนเดินทางไปหาปากกรวย โลกียะเป็นปากกรวย โลกุตระเป็นก้นกรวยอันนั้นมันไม่มีที่จบมันหาที่สุดไม่ได้ บานปลายออกไปยิ่งหนักลำบาก แล้วก็ยิ่งขี้โลภจัด ยิ่งไปก็ยิ่งมีคู่ต่อสู้มาก ก็ยิ่งสร้างหนี้บาปมาก วนเวียนทับทวีเรื่องวิบาก เพราะมันต้องเอาชนะคะคาน ต้องเอาเปรียบ ต้องเอาแรงมาสู้ เอาแต่แค่แรงกับวัตถุลาภ 2 อย่างนี้ มีวัตถุกับมีแรงเก่ง เก่งกว่าก็ ข่ม ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา ชนะก็ได้มา แพ้ก็เสียไป ยิ่งกว่าการพนัน เป็นอยู่อย่างนี้ เหน็ดเหนื่อย
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีดวงตาแล้ว แล้วเราจะจมอยู่กับสิ่งที่โง่ แล้วก็ลืมในแต่ละชาติ ไม่ได้ศึกษาความจริง มันก็ได้แต่หลงที่จะมีมากเป็นโลกีย์ ต้องเลิกมาสูญแล้วเบาสบาย ดีไม่ดี สูญ จิตที่สำคัญที่สุดก็คือ คุณได้เป็นอรหันต์ จิตทำสูญได้หมด เป็นอรหันต์ถาวร เป็นอรหันต์ที่จิตหมดกิเลสไม่เกิดอีก เที่ยงแท้แน่นอน นิจจัง(เที่ยงแท้), ธุวัง (ถาวร), สัสตัง(ยืนนาน), อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน), อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้ จะมาแก้ไขมาเผาทำลายไม่ได้, อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ตายแล้วตายเลยไม่กลับกำเริบ พยัญชนะบาลีเหล่านี้ อาตมาพยายามเอามาอธิบาย นิรันดร คืออรหันต์นิรันดร
ถ้าพระอรหันต์ตาย กายสเภทาปรัมรณา หลังจากการตายของพระอรหันต์ที่ตั้งจิตปรินิพพานเป็นปริโยสาน ท่านก็ตั้งจิตของท่านดับหมดไม่มีอีก แยกธาตุ เพราะท่านรู้จักธรรมนิยาม 5 แยกธาตุจิตของตัวเองเป็นดินน้ำไฟลม เป็นพีชะ ก็อาศัยไว้เท่านั้นไม่เสพติด แล้วก็แยกธาตุเป็นอุตุธาตุ เป็นดินน้ำไฟลม พระอรหันต์แยกจิตนิยามของตัวเองเป็นอุตุนิยาม กลายเป็นดินน้ำไฟลม หมด อะไรไม่มาจับตัวเป็นชีวะอีก เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย เป็นธาตุที่หมดพลังงานที่จะจับตัวเองเป็นพีชะ เป็นชีวะ ระดับประมาณหนึ่ง ยังไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณแต่ก็เป็นชีวะ วนเวียนอยู่เหมือนกัน แต่ไม่จองเวร มีพลังงานรวมตัวเป็นของตัวเองอยู่แต่ก็เสื่อมไปเรื่อยๆไปแล้วก็หมดเป็นดินน้ำไฟลม สูงเท่านั้น จนกว่าจะได้มีธาตุรู้ไหม อัญญธาตุ จนเป็นธาตุจิตก็จะพัฒนาเป็นสัตว์เซลล์เดียวใหม่ จนกระทั่งพัฒนามาเป็นมนุษย์ อเวไนยสัตว์ จนมาเป็น เวไนยสัตว์ จนมนุษย์ อัญญธาตุ เป็นโลกุตระก็จะมาเป็นเวไนยสัตว์แบบโลกุตระเป็นพระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ จบจนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณก็เลิกเป็นปริโยสานได้ แต่คุณยังไม่ จะสามารถเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์ได้ก็ยังท้าทายที่จะทำ ช่วยมนุษยชาติอยู่มันก็ต่อไปได้ มันก็มีคุณค่าประโยชน์เสียด้วย แหม เพราะฉะนั้นผู้ที่จบอรหันต์แล้วน้อยนักที่จะไม่ตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์ ยิ่ง ผู้ที่เรียนรู้โพธิสัตว์มาตั้งแต่เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อรหันต์ ก็ไม่หยุดอยู่ แต่พวกเถรวาทบอกจะเอาแต่อรหันต์ เมื่อได้อรหันต์จริง ไม่น้อยก็จะต่อโพธิสัตว์ มันล่อใจยวนใจว่า เราไม่ทุกข์แล้วเราก็ต้องมีประโยชน์ต่อ ไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว สัพพะปาปัสสอกรณัง มีแต่ทำกุศล พูดไปแล้วก็ชัดเจนขึ้นไหม
นี่คือคุณสมบัติของศาสนาพุทธ
ทีนี้ ก็เข้ามาสู่ทางโลกหน่อย ธรรมะของพระพุทธเจ้าโลกุตรธรรม เจริญด้วยเศรษฐกิจ เจริญด้วยรัฐศาสตร์ เจริญด้วยสังคมศาสตร์ จริงด้วย วิเศษ อย่างพวกเราเป็นสังคม สังคมพระศรีอาริย์ สังคมที่เป็นอยู่สุขคนเจริญ อยู่ด้วยกันมีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม แล้วถึงขั้นมีสาธารณโภคีในสังคมฆราวาสสังคมสงฆ์ สงฆ์ทำได้ก่อนแล้วในยุคพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในสงฆ์ ในฆราวาสทำไม่ได้เพราะเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์คนไม่เข้าใจในเรื่องสิทธิมนุษยชน มันเป็นระบบทาส นายทาสก็ยังไม่รู้สิทธิ ลูกทาสจะไปรู้อะไร เป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทุกชีวิตในแคว้นเป็นของเขา เขามีสิทธิ์สั่งฆ่าหมดยิ่งกว่าทาส ทาสนั่นแหละถูกสั่งฆ่าได้หมด คือเป็นเจ้าของทั้งคนในประเทศ เป็นเจ้าของทั้งทรัพย์ แต่ก็พอมีปฏิภาณรู้ ถ้าขืนเอามาหมดคนอื่นก็ไม่มีอะไรใช้ไม่มีอะไรไปพัฒนา พระเจ้าแผ่นดินก็พอจะมีปฏิภาณก็ต้องแบ่งให้เขาไป แต่ก็สามารถสั่งฆ่าริบของได้ มีอำนาจบาตรใหญ่อย่างนั้นเป็นสังคมอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าท่านก็พัฒนามาตั้งแต่ในยุคโน้นเป็นประชาธิปไตยเป็นเศรษฐกิจสาธารณโภคีในหมู่สงฆ์ อาตมาจึงเอาสาธารณโภคีมาทำกับหมู่ฆราวาสได้มีมรรคมีผลเป็นคนเหาะได้อย่างนี้ อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะมีของจริงรองรับมีคนรองรับมีวิธีการรองรับ สาธารณโภคีจริง ทุกคนทำงานฟรี ทำงานแล้วเสียภาษี 100% เอาเข้าส่วนกลางกินใช้อยู่ในนี้ จะไปจะมาจะกินจะอยู่จะเจ็บป่วยก็ช่วยกันไป ตายแล้วก็ช่วยกันเผา ใครยังไม่เป็นอรหันต์หรืออยากเป็นอรหันต์แล้วกลับมาเกิดในนี้อีก จะไปไหนยิ่งเป็นอรหันต์แล้วจะยิ่งรู้ที่รู้ทางจะไปไหน ไม่มีวิบากก็มา ถ้ามีวิบากบางทีก็พาเราไป แต่ก็มาจนได้ ถ้ามีเป็นน้ำเป็นน้ำมันที่เป็นเชื้อเดียวกันแล้วก็จะมา บางคนก็มีวิบาก อจินไตยเยอะ วิบากต้องไปเสียเวลาอีกหลายชาติก็แล้วแต่ คุณต้องพยายามอย่าไปสร้างวิบาก อกุศลอย่าไปสร้าง สร้างแล้วมันเป็นวิบาก มันจะช้านาน เสียเวลา กุศลอย่างเดียว กุศลกับอกุศล เป็นเรื่องของสิ่งอาศัยที่มีต้องอาศัย แต่บาปกับบุญเป็นพลังงานต่างหาก ไม่ใช่สิ่งที่จะมีพลังงานสะสม บาปก็ตาม บุญก็ตาม
แต่บาป มันเป็นภาษาที่ซ้อนอยู่กับอกุศล แต่บาป เป็นตัวเกิดในปัจจุบัน กระทบสัมผัสแล้วก็เกิด จะล้างก็ล้างในปัจจุบัน บุญล้างหมด ก็ไม่มีบุญไม่มีบาปอีก บุญล้างหมดบาปก็หมด บุญก็ 1 บาปก็ 1 นี่เป็นรายละเอียด ซึ่งไม่ใช่ง่ายๆ แต่คำว่าบาป มันซ้อนเป็น Synonym มันเป็นตัวไปแทนอกุศลก็ได้ ก็เลยใช้แทนอกุศล มันก็เลยปนเปกัน ที่จริงไม่ปนเปกัน ตัว “บาป” มันคือพลังงานชั่ว พลังงานไม่ดี ทุจริต เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเลิกชั่ว เลิกไม่ดี เลิกทุจริตหมดแล้ว มันก็หมดบาป จึงชื่อว่า “สัพพปาปัสสะ อกรณัง” (การไม่ทำบาปทั้งปวง) ไม่มีแล้วไม่ทำอีกแล้ว ท่านไม่ใช่คำว่าอกุศล ท่านไม่ใช่คำว่าอกุศล อกรณัง ท่านใช้ “ปาปัสสะอกรณัง” เพราะบุญเป็นพลังงานทำลายกิเลส หมดอาสวะสิ้นเที่ยงแท้แน่นอน จบเลย บุญก็ไม่เกิดอีก บุญก็หมดไปเพราะว่า “ปุญญปาปปริกขีโณ” (ผู้สิ้นบุญสิ้นบาป)
นิมนต์จิบน้ำ
สมณะเดินดิน…วันนี้ถ้าเป็นการชกมวยก็กระพริบตาไม่ได้เลย เพราะต่อเนื่องตลอด มีข้อที่ อมตบุคคลที่พ่อครูอธิบายจะแตกต่างจากความเข้าใจทั่วๆไป ในศาสนาเถรวาทที่เขาเข้าใจ ปรินิพพานเป็นอมตะบุคคลแล้ว ตายไปแล้วก็ก็สูญไม่กลับมาเกิดอีก แต่อมตะบุคคลของพ่อครู จะเลือกเกิดก็ได้ จะเลือกตายสูญก็ได้ จึงได้ชื่อว่าอมตะบุคคล จะอยู่เป็นนิรันดร์แบบพระอวโลกิเตศวรก็ได้
พ่อครูว่า…มีสิ่งที่เอามาตั้งโชว์มีทั้งหัวกะหล่ำปลีอันนี้อย่างน้อย 3.6 กก. มีบล็อคโคลีหัวใหญ่ ใบกรอบหักเป๊าะๆ นี่คือผลงาน ที่เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร อันนี้เอามาจากสวนอาจารย์ข้าดิน กะหล่ำปลีอยู่ในแปลง บล็อกโคลีก็มี กล้วยน้ำว้ามาจากดอนตาล กล้วยหอมมาจากสวนตาไม้ผล ลูกและดอกสาละ มาจากบ้านแม่ธูป ดอกไม้ใบเตย แม่ของน้ำมนต์ทำมา ก็จุ๋มจิ๋มดี สิ่งเหล่านี้เป็นผลผลิต ที่พวกเราต่างทำขยันหมั่นเพียร รู้อะไรควรทำก็ทำ อาศัยช่วยกันกินช่วยกันใช้ แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ มีจิตใจพอ มีจิตใจไม่ตะกละไม่ตะกราม รู้จักความเหมาะความพอ ความหยุด แล้วก็สร้างสรรให้มากกว่าที่เรากินเราใช้ นี่แหละเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
มีข้อปฏิบัติแทรก โฆษณาแทรกรายการ
*ข้อปฏิบัติสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องเดินทางไปทำธุระนอกบวร ราชธานีอโศก*
เนื่องด้วย บวร ราชธานีอโศก เป็นครอบครัวใหญ่ ในระบบสาธารณโภคีที่พ่อครูพาทำ เรากินใช้ร่วมกันกับส่วนกลาง ในท่ามกลางภาวะวิกฤติที่เราอาจจะต้องอยู่กับโควิดไปเป็นปี เราจึงควรป้องกันโอกาสที่เชื้อโควิดจากภายนอก จะเข้ามาในชุมชนและพ่อท่านได้ ด้วยการร่วมมือช่วยกันทำให้เกิดความปลอดภัยที่สุดและสะดวกแก่การปฏิบัติ
ทั้งนี้ ชาวชุมชนไม่ควรออกไปทำธุระนอกบวร ในกรณีจำเป็นต้องเข้าออกจริงๆ ขอความร่วมมือปฏิบัติดังนี้
-
ก่อนออกไป แจ้งที่หมาย ความจำเป็น และขออนุญาตล่วงหน้า
อย่างน้อย 1 วัน กับผู้ใหญ่บ้าน เพื่อแจ้งทีมสาธารณสุข
-
ก่อนออกไป ให้เตรียมเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัว เอาไว้เปลี่ยนเมื่อกลับมา
โดยฝากไว้บริเวณห้องน้ำหน้าป้อมทางเข้าบวร
เมื่อกลับมาจากทำธุระให้ทำตามขั้นตอน 7 ขั้นตอนต่อไปนี้
2.1) กรณีมีรถที่ขับออกไปนอกชุมชน ล้างรถให้สะอาด ด้วยสบู่หรือน้ำยา
2.2) ทิ้งแมสอย่างถูกวิธีในถังขยะติดเชื้อหน้าห้องน้ำ
2.3) ล้างรองเท้าให้สะอาดก่อนเข้าห้องอาบน้ำ
2.4) ล้างมือให้สะอาดที่อ่างล้างมือ (นานอย่างน้อย 20 วินาที)
2.5) อาบน้ำสระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่เตรียมไว้
2.6) ส่วนชุดที่ใส่ออกไปจากบวร ให้ใส่ถุงไปซักที่บ้าน โดยซักถุงใส่ผ้าด้วย
2.7) เซ็นชื่อที่ด่าน รักษาระยะห่างอย่างน้อย 14 วัน ตักอาหารไปกินที่บ้าน
กรณีคนเจ็บป่วยที่ไม่สะดวกจะอาบน้ำหน้าวัด ให้ไปอาบที่บ้านได้ ซึ่งเป็นข้อยกเว้นได้แต่ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขล่วงหน้า
ต้องกราบขอความร่วมมือชาวชุมชนมา ณ ที่นี้ด้วย
ประกาศเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2564
พ่อครูว่า…อย่าประมาทจะไปทำเป็นเล่น เดี๋ยวก็เหมือนอเมริกาตอนนี้ยังทำสถิตินำโลกเขาอยู่นะทั้งคนไข้ทั้งการตายจำนวนป่วยจำนวนตายอะไรต่างๆยังนำอยู่นะ นึกว่าตัวแน่
ฟ-SMS วันที่ 6-7 ม.ค. 2564
_เชวง กิจจะบรรณ์ : พ่อครูเลิกอ่าน พวกมารที่ไม่เชื่อไม่ฉลาดดีไหมครับ
พ่อครูว่า…ไม่เลิกหรอกเขามีมุมมองที่เป็นประโยชน์กับเราเหมือนกันนะ ถ้าไปตัดทิ้งแล้วก็เสียผลต่อเรา คนเราหากว่าความชั่วของเราไม่มีใครบอกเลยเอาแต่พูดถึงความดี ความชั่วอย่าพูด มันลืมมันกลบเกลื่อนมันเผลอมันไม่รู้ ต้องบอกความชั่วให้มากด้วยเพราะความชั่วมันเป็นเรื่องเสียมันไม่ดีมันอยู่ในตัวเอง 1 วินาทีก็ชั่ว 1 วินาทีกับคุณ 1 ชั่วโมงมันก็ชั่วครึ่งชั่วโมงอยู่กับคุณ 5 ปีมันก็ชั่วกับคุณ 5 ปี คุณไม่รีบรู้ไม่เอาออกมันก็ยิ่งพอกมันยิ่งโตมันยิ่งอ้วนงอกงามไพบูลย์ ความชั่วมันงอกงามไพบูลย์นะ แล้วมันจะเข้าท่าหรือ เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวัง
_ธิดารัตน์ ชาญคณิต : ชมการออกอากาศ ตั้งแต่ต้นมิถุนายน 2563 เวลาประมาณ ตี 5 ทุกวันค่ะ
_บัวดาว พรมเลิศ : กราบขอบพระคุณพ่อครูค่ะ วันนี้ฟังธรรมะแม้ภูมิยังไม่ถึง แต่ก็บรรเทาความสงสัยได้มากๆเลยค่ะ สาธุอนุโมทนากับผู้ได้ฟังธรรมอันวิเศษในวันนี้
พ่อครูว่า…ดี มันจะลดความสงสัยไปได้ก่อนแล้วค่อยปฏิบัติไป
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : ขอบคุณโควิด ที่ทำให้นักบวชได้พักผ่อน
พ่อครูว่า…หรือว่ามันหนักกว่าเก่านะนี่ ได้พักผ่อนหรือหนักกว่าเก่า
ธรรมะวรรณะ 9 ทำให้คนเราเหาะได้
มาต่อ คนเหาะได้ ไม่ได้พูดเล่นนะ ถ้าเข้าใจคำเปรียบเทียบ ว่าพวกเราคือคนเหาะได้ เป็นคนน่าประหลาดมันเหาะได้ มีด้วยเหรอคนในยุคนี้ที่เหาะได้ ได้ นี่แหละ คือคนที่มีโลกุตรธรรม มีคุณธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นคนพ้นทุกข์ ลึกเข้าไปที่อาตมาอธิบายไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่ใช่ว่ามีแต่สุขเห็นไหมมันซับซ้อน ไม่มีสุขไม่มีทุกข์แล้วเป็นคนอย่างไร
เป็นคนอย่างนี้ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นจิตบริสุทธิ์สะอาดจากความสุขความทุกข์ จากความเป็นเทวดา กับมาร มารกับเทวดาคือคู่กัน คือความเป็น 2
พวกเทวนิยมไม่ศึกษาซาตาน ไม่ศึกษามารไม่รู้จักมาร เพราะฉะนั้นมารก็อยู่กับคุณด้วย โดยคุณไม่รู้ มันออกฤทธิ์เมื่อไหร่คุณก็เสร็จมัน จริงๆมันออกฤทธิ์กับคุณด้วยเพราะมันหลอกให้คุณว่าเป็นสุขคุณก็ถูกหลอกไป หนักหนาสาหัส หลอกด้วยสุขที่สูงที่เนียนที่จัดจ้านก็แล้วแต่ หลอกคุณก็ต้องแย่งชิงไปเสพสบาย กิเลสก็ยิ่งหนาก็ยิ่งหมุนเวียน คุณก็ยิ่งเจริญด้วยลาภยศสรรเสริญ สุขมันยิ่งจัดจ้านให้ต่ำลง คุณก็ได้เป็นผู้ที่เสพสุขลาภยศสรรเสริญมาก คุณก็ยิ่งหนักเข้าไปอีกคุณก็จะยิ่งต่ำลงไปอีก จนหมดอำนาจของลาภยศสรรเสริญสุข คุณก็ตกลงไปสู่ต่ำหมุนวนอยู่อย่างนี้ โลกียะไม่มีจบ สุขทุกข์ไม่มีจบดีชั่ว ทุกข์ไม่มีจบ ทุกข์เพราะหลงสุข มันจะวนเวียนเป็นงูกินหาง เป็นวัวพันหลัก พันไปจนสุดแล้วพันกลับมา พันกลับไปแล้วกลับมาอีก อยู่อย่างนั้นแหละนิรันดร โง่อยู่อย่างนั้นไม่มีทางแก้ไข ไม่มีทางออก คุณก็เป็นอย่างนั้น มันต้องหาทางถอนหลัก มันต้องหาทางตัดเชือก วัวพันหลัก แต่นี่ไม่มีใครสอน ตัดไม่ได้ ลดไม่ได้ ลดมาได้ทีละลำดับ ของพระพุทธเจ้านะ
จนมาเป็นสังคมสาธารณโภคี สังคมสาราณียธรรม 6 อยู่กันอย่างมีเมตตากายกรรมเมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม แล้วก็มี ลาภโดยธรรมต่างคนต่างขยันหมั่นเพียร ยอดขยัน วิริยารัมภะ แล้วไม่สะสม อปจยะ ขยันสร้างสรรมีความรู้ความสามารถ วันๆหนึ่งทำได้เยอะ ถ้ามีความรู้ความสามารถแล้วก็ไม่สะสม เพราะปัญญามันชัดเจน สังคมของเราสาธารณโภคีก็เอาไว้กับกองกลาง ไปเบิกมากินมาใช้ยิ่งเราเป็นคนขยันมีสมรรถนะสร้างสรรดี คนก็ยิ่ง จะเบิกก็เบิกเลย จะกินก็กินเลย แล้วคนนี้ก็มีคุณธรรมพิเศษซ้อน ไม่กินมากไม่ใช้มาก เพราะยิ่งเจริญยิ่งไม่กินมากไม่ใช้มาก กินอย่างพอดีพอดี ปโหติ ไม่สะสมไม่กอบโกย เลี้ยงง่าย ไม่จุกจิกไม่จู้จี้ ไม่วุ่นวาย เลี้ยงง่าย ทำให้เจริญยิ่งง่ายเพราะว่าเป็นคนเจริญในตัว สุภระ สุโปสะ
เป็นคนมักน้อยศึกษาความมักน้อยจนไม่สะสมแล้ว ไม่สะสมกับเป็นผู้ที่มักน้อย น้อยจนกระทั่งไม่สะสมมี 0 อาศัย 0 อยู่อย่างนี้ กินใช้กับส่วนกลาง เบิกเมื่อไหร่ก็ได้ ยิ่งเป็นคนดีเบิกก็ง่าย จะใช้มากอย่างไร ก็เป็นคนขยันสร้างสรรมากกว่าที่ไปเบิกใช้ เพราะว่าท่านขยันหมั่นเพียรสร้างสรรสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่าจริงๆ เอาไปใช้อย่างเหมาะอย่างควร เอาไปใช้ก็ไม่ ผลาญพร่า เพราะว่าเป็นคนที่มีคุณธรรมดีจริงๆไม่เอาไปฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เอามาเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เพราะอัตตาลด ไม่มีอัตตา หากรู้ว่ามีอัตตาก็ต้องลดให้ได้ มีปฏิภาณปัญญาอย่างนั้นเพราะฉะนั้นจึงเป็นคนมีใจพอ มีการขัดเกลา สัลเลขะ อะไรที่ยังไม่บริบูรณ์ไม่เรียบร้อยก็ขัดเกลา ด้วยหลักเกณฑ์ ธูตะ ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีลที่ได้แล้วก็แข็งแรงเจริญ อธิศีล อธิจิต ธิปญญา อธิมุติ แล้วก็มีจิตสะสมซ้อนเป็นวิมุติ เป็นวิมุตติญาณทัสสนะ ในเจโตปริยญาณ 16 ก็ตรวจสอบมันวิมุติหรือยัง ให้มันแข็งแรงสั่งสมจิตสมบูรณ์แบบเลย ทั้งสมาหิโตและวิมุติ ตามเจโตปริยญาณ 16
นี่ก็เจริญขึ้นจริงๆเลย เป็นคนที่มีอาการกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม น่าเลื่อมใส ปาสาธิโก ครบบริบูรณ์พร้อม ครบ จบด้วย อปจยะ วิริยารัมภะ นี่คือ “วรรณะ 9”
ผู้มีวรรณะ 9 (พตปฎ.เล่ม 1 ข้อ 20)
-
เลี้ยงง่าย (สุภระ)
-
บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
-
มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ)
-
ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
-
ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
-
เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
-
มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
-
ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ๙
-
ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
สุดท้าย 2 อันคือไม่สะสมได้ ยอดขยัน ขยันพากเพียร กินน้อยใช้น้อย ไม่เบื่อหน่าย ขี้เกียจไม่เป็น แต่ก็ไม่ใช่ขยันจนสุขภาพเสีย ไม่ใช่ รู้จักความพอเหมาะพอดี อปัตติฐัง อนายูหัง รู้จักพักรู้จักเพียร ซึ่งเป็นคุณสมบัติสมบูรณ์แบบด้วยวรรณะ 9 จึงมีสังคมสาธารณโภคี
คนเหาะได้เป็นอย่างนี้ เกิดจริงไหม มีจริงไหม เป็นจริง ดูได้ ไม่ใช่สังคมเดี่ยว ไม่ใช่หมู่บ้านเดียว มีหลายหมู่บ้านอยู่ในประเทศไทย สังคมชาวอโศกทุกสังคมเป็นสังคมสาธารณโภคีอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสังคมใหญ่สังคมเล็ก มีประมาณ 10 20 30 ถึง 50 ไหมไม่รู้
เราไม่ได้บังคับกัน ทุกคนมาอย่างสมัครใจ มีความยินดี มีความเข้าใจ มีปัญญา ตามมูลสูตร 10 ของพระพุทธเจ้า มีความยินดี และก็ทำใจในใจเป็น มนสิการ มีความยินดีเป็นมูลกา มนสิการ เป็นแดนเกิด คุณจะเกิดมาเป็นอาริยชนเป็นคนเหาะได้ คุณต้องทำใจในใจเป็น
อาตมาแปลมนสิการทำใจในใจเป็น พูดเต็มๆว่าโยนิโสมนสิการ พอทำได้ มันก็สั่งสมเป็นแดนอาศัย เป็นแดนเกิด สัมภวะหรือปภวะ คุณก็อยู่อย่างนี้ จิตของคุณมีหทยรูป มีสิ่ง อาศัยอยู่ในนั้นเป็นชีวิตินทรีย์ ตราบใดที่ไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ต้องมีชีวิต มีชีวิตรูป ก็ต้องมีพลังงานเรียกว่าเป็นชีวิตินทรีย์ ทำงานไปอย่างเป็นคนอาริยะ
คนจนสาธารณโภคีที่เหาะได้ทั้งชุมชน
เมื่อเป็นผู้ที่สามารถทำได้จริง คนเหาะได้ สังคมเหาะได้จึงมีจริง มีเศรษฐกิจขั้นสาธารณโภคี ขอแวะ เศรษฐกิจขั้นสาธารณโภคีเป็นอย่างไร
เศรษฐกิจขั้นสาธารณโภคีนั้น เป็นสังคมคนจน ทำไมเรียกว่าสังคมคนจน เพราะเป็นสังคมคนที่มีวรรณะ 9 ซ้อนใหม่ ย้อนกลับไป มีคุณสมบัติ มีคุณธรรม มีคุณวิเศษ 9 ชนิดนี้ เพราะจน จนถึงขั้นเป็นศูนย์ ไม่มีเงินรายได้เข้าเป็นของตัวเองสักบาท เอาเข้ากองกลางหมดเบิกกินเบิกใช้กับกองกลาง แม้เบิกไปใช้ไม่หมดก็เอามาคืนกองกลาง เราก็สร้างสรรไป ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อนะ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้จริงหรือ อาตมาว่า มันเป็นจริงได้ อาตมาเป็นจริงได้ นักบวชเป็นจริงได้ ฆราวาสก็เป็นจริงได้ บางคนอาจจะมียักไว้เป็นของตัวเองบ้าง แต่ก็ไม่มีปัญหาหรอก เอาไปหยิบกันไปแจกกันมาช่วยเหลือกัน ยิ่งมีความจำเป็นเจ็บป่วยก็จะช่วยกัน ตามความจำเป็น หมดก็เบิกกองกลางได้
ข้อสำคัญก็คือ กองกลางไม่หมด ทำไมมันไม่หมดเพราะว่าสมาชิกนี้ มีแต่ความขยันมีแต่ความสามารถ สร้างสิ่งที่จำเป็น สร้างสิ่งที่สำคัญ ขึ้นมากินใช้ เหลือ ขาย ขายได้อย่างไม่ต้องเอาเปรียบเอารัด ขายอย่างแจก ขายอย่างขาดทุน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
ถ้าจะพาดพิงถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านทรงตรัสไว้ว่า “ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา” เอาเป็นแบบคนจน ท่านเป็นธรรมมิกราช ที่มาแสดงรูปธรรม แล้วก็สร้างทำ อาตมาขออภัย บอกความจริงว่าอาตมาคือธรรมิกราชคนหนึ่ง ก็มาอธิบายธรรมะโลกุตรธรรม ขยายความ ซึ่งในหลวงท่านก็ทำทางรูปธรรม อาตมาก็ทำทางนามธรรม จนกระทั่งเกิดสังคมเศรษฐกิจสาธารณโภคี นี่แหละได้ชื่อว่าคนเหาะได้ มาเป็นคนจน ไม่ได้หลอกนะ เพราะแต่ละคนไม่ได้มีเงินทองเท่ากับคนจนข้างนอกเขา บางคนจนกว่าข้างนอกเขา หลายคนด้วยชาวอโศก จนกว่าข้างนอกเขา มีแต่ของส่วนกลาง จะเป็นวัตถุเครื่องใช้สอยอาศัยหรืออาหารการกิน กับกองกลาง เสร็จแล้วก็ยังชีพไป เจ็บป่วยได้ไข้ก็ช่วยเหลือกัน พิการมา แก่มา อะไรก็แล้วแต่ ก็ดูแลกัน ตายสุดท้ายก็เผากันไป พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้อย่างแท้จริง
เป็นสังคมที่ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ ไม่ใช่เรื่องพูดเล่น ไม่ใช่เรื่องสักแต่ว่าคิด ว่าเมืองพระศรีอารย์ หรืออย่างยูโทเปียของโทมัสมอร์ วาดภาพไว้แต่ยังไม่มีสังคมจริง เป็นแต่เพียงการคิด ที่เรียกว่าสังคมยูโทเปีย ก็มีแนวคิดอย่างนี้แต่ไม่ละเอียดเท่านี้หรอก ไม่เป็นจริงเท่านี้ ทั้งเป็นจริงยังไม่ได้ ทั้งไม่ละเอียดละออเท่าของจริงของพระพุทธเจ้า จึงเรียกด้วยฉายาว่า พวกคนเหาะได้ ในยุคนี้นี่ประหลาดจังเลยคนเหาะได้ เขามีแต่นั่งเครื่องบิน (โยมว่า.. รูปพญาแร้งมีปีก)
เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจที่พวกเราทำอยู่นี้เป็นคนใช้น้อย แต่สร้างได้มาก สะพัดได้มาก คงคลังก็เอาไว้น้อย ไม่สะสมคงคลังมากไม่นิยม สะพัดได้มีคงคลังที่พอเหมาะ ตามฐานานุฐานะ เราจะให้ประโยชน์แก่คนอื่นเพราะมีปัญญารู้จริงๆว่า ถ้าเรากักตุนไว้มากๆ คนอื่นก็ขาดแคลนใช่ไหม ตามหลักเศรษฐกิจ ของที่มีจำนวนจำกัดในประชาชนแบ่งแจกกันให้ได้ใช้สอยเสมอภาคกันทั่วถึง นี่คือนิยามภาษาคำว่าเศรษฐศาสตร์ หรือเศรษฐกิจของสังคมมนุษยชาติ เท่านี้แหละ เศรษฐศาสตร์ นิยามสั้นๆ
เราก็ทำอย่างนั้นจริง โดยตัวเราเองไม่สะสมไม่เห็นแก่ตัว ไม่โลภโมโทสัน ต่างกับทุนนิยม ทุนนิยมโลภเอาให้แก่ตัวไม่รู้จักพอ คนอื่นก็ต้องขาดแคลน เสร็จแล้วก็สร้างค่ายกลเอาเปรียบให้ได้มากๆ เหมือนอย่างบริษัทใหญ่ๆ แม้แต่ในเมืองไทย ก็มีเครือข่ายบริษัทก็มีคนงาน แต่เขาเอาเปรียบ เขาไปเอาไปกองกับเขาได้เยอะๆขึ้นเยอะขึ้น แล้วคุณก็เอาไว้ให้ลูกหลานคุณเท่านั้น ลูกหลานคุณก็ผลาญไป อาตมาได้ข้อมูลว่า อย่างลูกสาวของคนร่ำรวยตระกูลหนึ่งในประเทศไทย คนงานมาเล่าให้ฟังว่า สร้างบ้านเสร็จแล้วไม่เอาก็รื้อทิ้ง หลายครั้ง จนคนงานบอกว่าไม่อยากได้แล้วเงินคนๆนี้ จู้จี้จุกจิกไม่รู้จักแล้ว ทั้งที่มันก็ได้เงินมากแต่มันทนกับความจู้จี้จุกจิกเอาแต่ใจตัวของเขาไม่ได้ เป็นคนเลี้ยงยากบำรุงยาก ทุภระ ทุโปสะ มักมาก ตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าเลย เป็นคน “อวรรณะ 6” เป็นคนชั้นต่ำ
อวรรณะ 6 (คนไม่รู้จักพอเพียง คือ คนให้โทษแก่สังคม)
-
เลี้ยงยาก (ทุพภระ)
-
บำรุงยาก (ทุปโปสะ)
-
มักมาก (มหัปปิจฉะ)
-
ไม่รู้จักพอ (อสันตุฏฐิ)
-
เกียจคร้าน (โกสัชชะ)
-
คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา)