640102 เทศน์ทำวัตรเช้าโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1bUzvfE3NxRcRylrFmYo_jDM7LYvZQJaJZRwCrBukkLk/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1MJmpZGbNP4VZ9415F9oBb895tyW-qjHC/view?usp=sharing
ยูทูปที่ https://www.youtube.com/watch?v=psKAkhxkKYU&feature=youtu.be
พ่อครูว่า…สวัสดีปีใหม่แล้ว วันนี้วันที่ 2 เดือนมกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
ก่อนอื่นขอประกาศบอกให้ผู้ที่อยู่ทางบ้านทราบก่อน
เย็นวันนี้วันที่ 2 มกราคม 2564 เวลา 18.00 น. ถึง 20.00 น. จะมีการสอบวิชาการ ว.บบบ. ครั้งที่ 8 สำหรับญาติธรรมแต่ละบวร ให้ลงชื่อสอบกับ สมณะ สิกขมาตุแต่ละบวร สำหรับญาติธรรมในชุมชน อาวาสถาน หรือทางบ้าน ก็สามารถร่วมสอบได้ ต่างประเทศยังได้เลย อยู่ที่เอสกิโมก็สอบได้ ในวันและเวลาเดียวกัน โดยรับข้อสอบทางไลน์ หรือ เฟซบุ๊กบุญนิยมทีวี และร่วมฟังเฉลย ในเย็นวันที่ 3 มกราคม 2564 เวลา 18.00 น. ถึง 19.30 น. ก็เป็นอันเสร็จ ทางบุญนิยมทีวี
50 ปีโพธิกิจของพ่อครูสอนคนให้รู้อะไร
เริ่มต้นเราก็มาฟังเทศน์ฟังธรรมกันต่อ อาตมาเองทำงานมา 50 ปี ประสบผลสำเร็จในชีวิตจนได้บอกไปหลายทีแล้วว่าอาตมาขอปลดเกษียณ ทำไปก็ทำไปอย่างนั้นล่ะ ถ้าเผื่อว่า ถึงขนาดบอกว่า ขอเป็นเอกราชส่วนตัว อยากจะทำก็ทำ ไม่อยากจะทำก็ไม่ทำ เพราะฉะนั้นอย่าเอาตารางมาใส่อาตมา Independent ขอเป็นเอกราช แต่ก็ไม่ละเลยหรอก ที่จริงอาตมาก็ชอบสอนอยู่ ใครไม่เชื่อ! อาตมาชอบสอนนะ ใครไม่เชื่อ! เพราะว่ามันน่าสอน ธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนทีไรมันเอ็นโดรฟินขึ้น เห็นไหมขนาดนี้ ปีนี้พูดได้เต็มปากว่า 87 ปี อะไรอย่างนี้ ที่จริง 86 ปี 6 เดือน ถ้าถึงวันที่ 5 มกราคมเป็น 7 เดือน
อาตมาเอาธรรมะพุทธเจ้ามาสอนนี้ ไม่ใช่เพื่ออะไร ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เป็นธรรมะของคนของมนุษย์ ที่มนุษย์ทุกคนน่าได้น่ามีน่าเป็น ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใด ถ้าเขาสนใจและเขามาเรียนเอาธรรมะพุทธเจ้าให้ได้ ให้เข้าใจและเอาไปปฏิบัติ ปฏิบัติได้แล้วจะเป็นคนอาริยะ เป็นคนประเสริฐ เป็นคนเจริญ ประเสริฐจริงๆ ไม่ใช่ประเสริฐกึ่งๆ ไม่ใช่ประเสริฐแค่โลกียะ แต่เป็นคนประเสริฐทางโลกุตระ โลกียะก็ได้ได้คุณธรรมทางโลกีย์เต็มเหมือนกัน ศาสนาทางโลกียะทางเทวนิยมสอนความดีความชั่ว ศาสนาพุทธก็สอน เป็นสมมติสัจจะ สอนเหมือนกัน ดีอย่างไรดีเหมือนกัน สมมุติอย่างไรก็สมมุติเหมือนกัน ไปอเมริกาเขาบอกว่าอย่างนี้ดีก็ต้องปรับไปตามเขา เพราะรู้สมมุติตามโลกไม่ได้ขวางโลก อยู่ตามโลก โลกเขาว่าอย่างไรเราก็เป็นไปตามที่เขายึดถือ เขาว่าอย่างนี้ผิดอย่างนี้ถูกเราก็ทำในสิ่งที่ถูก เขาว่าอย่างนี้ดีเราก็ทำดีอย่างที่เขาว่า เขาว่าอย่างนี้ชั่วเราก็ไม่ทำ ทำด้วยตามเขา ไม่มีตัวตน
เพราะ “ปรมัตถสัจจะ” นี่สิ เทวนิยมไม่มี ไม่ได้สอนทฤษฎีนี้ เป็นการเรียนรู้จิต เจตสิก รูปนิพพาน แล้วก็จัดการกับกิเลสในจิตจริงๆ กิเลสออกหมด หมดจนไม่เหลืออัตตาตัวตน ไม่เหลือความยึดตัวยึดตน แต่เป็นผู้ที่มีปัญญา มีปัญญาเต็ม ปัญญาไม่ใช่เฉโก ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดแบบโลกียะ โลกียะมีแต่ความฉลาดเฉโก ภาษาบาลี แต่เขาไม่ยอมใช้แล้ว เขารู้ว่าปัญญาทำความฉลาดดีกว่า เขาก็เลยเอาแต่ปัญญาไปเรียก แต่เขาไม่มีความฉลาดที่มันคือปัญญา เขาได้แต่ฉลาดเฉโก
ฉลาดปัญญากับฉลาดเฉโก ต่างกันที่ฉลาดเฉโกไม่มีความรู้ในการลดกิเลสไม่มีความรู้ที่จะชำแรกจิต เจตสิก รูป นิพพาน แล้วแยกเวทนาให้ตรง เวทนาที่เป็นโลกียะเรียกว่า “เคหสิตเวทนา” แล้วก็แยกกิเลสได้ เช่น แยกกาย
ขณะนี้เรากระทบสัมผัส เกิดเวทนาก็เแยกเวทนาได้ 1. เป็นเวทนาแท้ รู้ความจริงตามความเป็นจริง แต่ยังมีอารมณ์หรือมีเวทนาซ้อนแฝง คือ ยังมีกามเข้าไปร่วม ปรุงแต่งอยู่กับเวทนา กลายเป็นความชอบความชัง กลายเป็นรักหรือไม่รัก กลายเป็นความโลภ เป็นโกรธเป็นหลง ก็แยกตัวนี้ออกมาได้ แล้วก็เรียนรู้ตัวนี้ให้จริงว่าแม้แต่ชีวิตที่เรามีอยู่นี้มันก็ไม่มีตัวอัตตาแท้หรอก มันเป็นตัวปลอมมาหลอกเรา ความไม่มีตัวตนนี้ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีจิตวิญญาณ
จิตวิญญาณมี แต่ตัวตนที่แท้มันไม่ใช่ตัวตน ในขณะที่เราเป็นๆอยู่นี้เรามีรูปนามขันธ์ 5
ฟังดีๆนะละเอียดลึกซึ้ง
เรามี “รูปนามขันธ์ 5” เรามีตัวตน แต่ไอ้ที่ไม่ใช่ตัวตนจริงๆที่บอกว่าอนัตตา แล้วไม่เที่ยง ไม่เที่ยงเลย ไม่นานหรอก อยู่ไม่นานอยู่กับเราไม่นานหรอก เปลี่ยนไปเร็วในทุกขณะ คือ กิเลส คือตัณหา อุปาทาน ตัวนั้นแหละคือตัวอนิจจัง เป็นเหตุแห่งทุกข์ ตัวนี้แหละตัว “รูปนามขันธ์ 5”
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณตัวแท้ๆ มันไม่ได้พาให้เกิดความทุกข์ความสุขอะไรหรอก มันก็ไม่เที่ยง คือมันก็เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ต้องเกิดขึ้นตั้งอยู่ ส่วนใด เกิดแล้วก็ตาย อีกอย่างหนึ่ง แต่เรื่องนามธรรมนั่นแหละตัวนั้นแหละต้องเรียนรู้ ตัวนั้นตัวอาการที่จิต
กว่าคุณจะแยกได้ชัดๆอย่างที่อาตมาพูดนั้น ไม่ง่าย ยิ่งไปนั่งผิดปฏิบัติหลับตา สะกดจิตเข้าไปให้มันเป็นก้อนแท่งแน่น ตึง เข้าไปใหญ่เลยแข็งทื่อ มันหมดทางที่จะได้ธรรมะพระพุทธเจ้าเลย สุดสงสาร ยิ่งกว่าสุดสาคร River No return สาคร น้ำไหลไปไม่มีหวนกลับ เลย No Return เลย น่าสงสาร ไปหวั่งๆ บ่เหลียวหลังเอิ้นซัง
อาตมาพูดซ้ำพูดว่าเตือนให้มีสติ นั่งหลับตาไม่ใช่ของศาสนาพุทธไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มีจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่มีพุทธคุณ มันออกนอกพุทธคุณไปหา เดียรถีย์คุณ เป็นศาสนาเดียรถีย์การนั่งหลับตา เอาพยัญชนะบาลีมาประกอบให้ฟัง เข้าไปยึดถือกันตั้งนานจนเดี๋ยวนี้ไปเป็นอาจารย์ใหญ่เพราะว่านั่งหลับตาต่างๆนานา ดีไม่ดีเขาว่าได้เป็นอรหันต์นั่นแหละ ที่จริงแล้วเป็นอรหันต์เก๊ๆหลอกกัน นั่งหลับตาไม่มีทางได้เป็นพระอรหันต์ จึงมีแต่อรหันต์เก๊ แต่เขาก็เชื่อถือว่าเป็นพระอรหันต์ ยกย่องกัน เชิดชูสรรเสริญ สร้างสรรค์ ทำอนุสาวรีย์ให้พระอรหันต์ ทำทำเนียบ ทำหนังสือบันทึก ออกไปป่าเขาถ้ำออกไปนั่งหลับตาไปสู้กับเสือสิงห์กระทิงแรด เข้ามาเป็นนักปฏิบัติธรรมพระกรรมฐานพระธุดงค์อะไรก็แล้วแต่ โอ้โห เลอะเทอะไปกันใหญ่ มันหลงผิดหลงทาง แล้วก็อธิบายกัน ถ้าไม่มีอาตมาเข้ามาขวางไว้เขาก็จะไปหลงผิดอย่างนี้ไปอีกนาน 2,500 กว่าปีผ่านไป อาตมาก็เกิดมาทำงานเพื่อจะเอาศาสนาพุทธคืน ดึงเอาพุทธธรรมกลับ ไม่เช่นนั้นไม่ได้เป็นคนของพระพุทธเจ้า กลายเป็นคนของเดียรถีย์ไป
ศาสนาพุทธนี้สอนให้คนมีความรู้ มีจิตวิญญาณที่เป็น วสวัตตีโก เป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณที่ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ก็สามารถที่จะเอาตัวเหตุที่มันทำให้จิตของเราอ่อนแอ ตกอยู่ในอำนาจของมันคือกิเลสออกให้หมด เมื่อเอากิเลสออกหมด หรือ เอากิเลสลดลงไปได้เราก็จะมีอำนาจเป็นตัวเอง เป็นตัวเรา เป็นจิตที่มีพลังงาน เป็นจิตที่อิสระเสรีภาพ ปัญญาก็จะแจ่มใส รู้จักความจริงตามความเป็นจริง เป็นปัญญาที่ไม่ถูกหลอก ไม่ถูกกิเลสครอบงำหลอกไปเป็นโลกีย์ เป็นตัวเองที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นอรหันต์ขึ้นไป เป็นผู้ที่มีดวงตาบริบูรณ์ เห็นอะไรกันเรื่องถูกต้องเป็นจริงสมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรพราง ลวง โลกหลอกไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะไม่ตกอยู่ใต้อำนาจโลกหลอกเด็ดขาด แล้วก็มาช่วยมนุษย์โลก
คนที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วจะเป็นคนที่ อิสรเสรี แล้วก็เป็นคนดี เรียกภาษาง่ายๆตื้นๆว่าเป็นคนดี แล้วก็จะรู้จักการงานที่ควรทำ ไม่ไปทำมิจฉากัมมันตะ งานการที่ไม่ได้เรื่องไม่ประกอบอาชีพมิจฉาชีพ พูดก็ไม่พูดไปตามที่เขาพูดกัน พูดในมิจฉา 4 ไปพูดโกหก ส่อเสียด หยาบคาย เพ้อเจ้อ พูดแต่ดีๆ อาตมาไม่พูดหยาบคาย เพ้อเจ้อ พูดแต่สาระ ไม่พูดส่อเสียด ส่อเสียดพูดอย่างไร คือพูดให้คนนี้อย่างนี้ ให้ทะเลาะเบาะแว้งกัน ให้ไม่เป็นสุขสงบ ทำให้คนเกิดไม่โกรธก็หลงกัน ไม่โกรธ ก็ไปโลภ แก่กันและกัน
อย่างผู้หญิงกับผู้ชาย โลภทางเพศ โลภแก่กันและกัน อยากได้กันและกัน ฟังรู้เรื่องไหม อยากได้กามแก่กันและกัน อย่างนี้เป็นต้น นี่เห็นไหม ใช้ภาษาสื่อ จะรู้เรื่อง ความหมายไม่ได้ผิดเพี้ยนถูกต้องลึกซึ้งดีด้วย เขาโลภแก่กันและกัน เรียกอีกภาษาว่า เขาราคะแก่กันและกัน ไม่พูดถึงกะเทยนะไม่เกี่ยว กะเทย อาตมาไม่ยุ่งกับเขาหรอก เพราะพวกนี้เขามีจริตจะก้านคนละเรื่องกับอาตมา อาตมามันตรงๆ กะเทยนี้ไม่ตรงหรอก ดีดดิ้นไม่รู้กี่รอบ
ทีนี้ ผู้ที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าศึกษาลดกิเลสตัวปลอมตัวเก๊ ตัวที่เปลี่ยนให้เรามีจิตที่ไม่อิสระ ไม่ฉลาดเต็มที่ ก็จะเป็นคนที่ไม่ดี เป็นคนที่ถูกกิเลสครอบงำน้อยหนึ่ง เช่น ผู้ที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ เป็นอรหัตมรรค ก็ยังถูกกิเลสครอบงำเหลือนิดนึงก็ตาม ยิ่งถูกกิเลสครอบงำเยอะเป็นอนาคามี ก็เป็นคนที่ไม่ดีตามนั้น ก็จะเป็นคนที่ยังมีมิจฉาชีพ มิจฉากัมมันตะ มิ จฉาวาจา มิจฉาสังกัปปะอยู่ ตามที่ตนเองมีกิเลส ที่เหลือที่มันยังมีฤทธิ์อยู่ในจิตเรา ก็จะเป็นคนทำงานทำกรรม การงานเลี้ยงชีพเรียกว่าอาชีวะ การงานทุกอย่างเรียกว่ากัมมันตะ การงานทางวาจาเรียกว่า วาจา มันก็ถูกกิเลสทำ เพราะฉะนั้นกรรมที่ออกไปเป็นกรรมที่ไม่บริสุทธิ์ เพราะมันมีความคิด สังกัปปะถูกกามครอบงำ ถูกพยาบาทครอบงำ หรือวิหิงสาครอบงำ ส่วนที่เหลือก็ไม่ตรง จนกว่าจะเป็นพระอรหันต์ชื่อว่าผู้ที่ล้างกิเลสหมดอาสวะสิ้น จึงจะเป็นผู้ที่ทำกรรมกิริยาทุกอย่าง ทางคิด พูดทำการงานทุกอย่างจนกระทั่งถึงอาชีพเลี้ยงตน
ทำทานอย่างไรให้เป็นบุญ
พระผู้เป็นอรหันต์แล้วอย่างชาวอโศก มีผู้เป็นอรหันต์ก็สบาย เป็นอาชีพที่เลี้ยงตนเองอย่างไม่มีวิบากใดๆ บุญก็ไม่มีเป็นอรหันต์แล้ว ไม่มีบาปไม่มีบุญ หมดบุญ อรหันต์เป็นผู้หมดบุญ หมดบาป ปุญญปาปปริกขีโณ เป็นผู้ที่สิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว ไม่มีบุญไม่ต้องมีบุญ
บุญ คำนี้แม้แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้ คำว่าบุญบาปเป็นของศาสนาพุทธศาสนาอื่นไม่มีหรอก แต่ชอบพูดทุกวันนี้ก็เข้าใจคำว่าบุญไม่ได้แล้ว ไปเข้าใจคำว่าบุญเป็นกุศล ทำแล้วจะต้องได้ สาเปกโขมา แล้วก็ได้ ปฏิพัทธจิตโต
-
ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
-
มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
-
มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
-
ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ
ให้ไปแล้วไม่หวัง ไอ้หวังตายสิ้นแล้ว ไม่หวังอะไรจากใคร ไม่หวังภพชาติ ไม่หวังอะไรจากจิต ให้ก็คือให้มีแต่ความตรงทางเดียว ให้ก็คือให้สิ แต่พวกที่มีความคดโค้ง มีความไม่ตรงเป็นคนไม่หนึ่งเดียว ยังเป็นคนมี 2 ไม่เป็นเอกธรรม ไม่เป็นเอกัคคตา เป็น ยังมีความหวัง ให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
ทำแล้วต้องไม่มีจิตผูกพันในการให้ทาน ทานแล้วก็จดจำไม่ได้ ไม่ต้องคิดจดจำด้วย ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ ทีนี้ไม่ใช่แต่ปฏิพัทธ์ผูกพัน แต่เป็นการสะสมออมบุญกุศล ออมความดีงามความประเสริฐ จริงๆเป็นกิเลสทั้งนั้น ไม่มุ่งการสะสมในการทำทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
หรือแม้แต่ ไปใหญ่เลยมีภพชาติชัดเจนเลยให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ จะได้สวรรค์วิมานเหมือนอย่างฤาษีลิงดำ เป็นยามา เป็นดุสิต เป็นนิมมานนรดี เป็นปรินิมิตวัสวัตตี จะได้เทวดาเป็นวิมานสวรรค์ 6 ชั้น จะได้ไปเป็นพระพรหม 20 ชั้น มีภพชาติไปหมดเป็นนิรมาณกาย สร้างภพชาติ ที่จริงแล้วไม่มีกาย นิระ แปลว่าไม่ นิรมาณกาย ที่จะไปสร้างกายในจิตมันไม่มีหรอก ไม่มีกาย แต่เขาก็สร้างภพของเขาว่ามีมันเป็นเพ้อพก มันไม่มีที่เขาทำไป ไปสร้างออกใหม่ซึ่งมันไม่มี อันเก่าก็ไม่มี ไม่ใช่อดีตด้วย เป็นอนาคตหมดเลย ถ้าเรียนอดีต 18 อนาคต 44 มันไม่มีอดีต ฝันเพ้อ มีวิมานสร้างสวรรค์ไว้ตายแล้วจะได้ไปอยู่
อาตมาเคยอธิบายเคยพูดให้ฟัง ว่า วิญญาณหรือว่า อัตภาพของคนที่ตายไปแล้วยังไม่เป็นพระอรหันต์ โดยเฉพาะเทวนิยม ตายไปแล้ว พูดโดยพยัญชนะว่าเทวนิยมนี้ส่วนมากตายแล้วตกนรกทั้งนั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าคนที่ตายไปส่วนมากลงนรกทั้งนั้น ส่วนน้อยมากที่จะไปสวรรค์ เท่ากับดินที่ติดขี้เล็บมาเล็กน้อยเท่านั้นที่ไปสวรรค์ ส่วนที่เหลือทั้งหมดไปนรก พูดแล้วเหมือน Over เกินไปหรือเปล่า ซึ่งไม่เลย เทวนิยมน่าสงสาร ตายไปแล้วจะไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้าไม่มีหรอก ตายแล้วไปนรกทั้งนั้น ยิ่งเป็นนรกใหญ่เลย เทวนิยมเขาไม่รู้จัก เทวนิยมไม่มีทางได้ไปสวรรค์ง่ายๆ
เทวนิยมทั้งหลายทั้งหมดเลยศาสนาเทวนิยมเขาไม่รู้จักกรรมวิบากด้วย เพราะฉะนั้นตายแล้วตกนรกยิ่งกว่าพุทธ พุทธเองแท้ๆยังไม่รู้จักสวรรค์นรก ไม่รู้จักโลกุตระ แล้วไม่ทำตนให้เป็นพระอรหันต์ แม้ว่าทำตนไม่เป็นพระอรหันต์เป็นอนาคามีก็ยังมีภพชาติ ตายแล้วก็เป็นภพชาติ แต่เป็นภพชาติที่สงบ อย่างเช่น อาฬารดาบสอุทกดาบสมันไม่ใช่สวรรค์ แต่มันเป็นภพของสุภกิณหา เป็นภพดำมืด นั่งสะกดจิตไปอยู่ในความดำมืด เรียกว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เข้าไปอยู่ในความดำความมืด ทำจิตให้เป็น อสัญญี คือไปดับสัญญาซึ่งไม่ใช่การล้างกิเลสออกหมด ผู้ที่ล้างกิเลสออกหมดของศาสนาพุทธเป็นพระอรหันต์ เมื่อล้างกิเลสออกหมดแล้ว เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ พอตายแล้วปรินิพพานเป็นปริโยสาน เวทนาก็หายไปสัญญาก็หายไป สังขารก็หายไป วิญญาณก็หายไป รวมกันก็เป็นอุตุ ดินน้ำไฟลมหมด แต่ของศาสนาเทวนิยม มันไม่มีหมด มีแต่จะพอกเพิ่ม ๆ ยิ่งไม่รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพานนี้ ไม่มีทางทำให้จิตมันหายไปได้หรอก
หรือตายไปแล้วจะได้ไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้า ก็เป็นการฝันเพ้อละเมอเพ้อพกไป มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย มีแต่นรกกับนรกจริงๆ เพราะเขาไม่รู้จริงๆว่าเขาเป็นนรก เขามีแต่ติดยึดในความเป็นนรก นี่พูดภาษาชัดๆ เขามีแต่ติดยึด ก็ไปติดยึดว่าไปอยู่กับพระเจ้าไม่ติดเหรอ ติดอย่างไม่มีราศี รังสี อะไรขจรกระจายออกไป จากความหลงผิด เขาหลงผิดไปอยู่กับพระเจ้าเป็นพระเจ้าเต็มๆ เป็นที่รักใคร่ของพระเจ้า ตายแล้วได้ไปอยู่ในบ้านเดียวกันกับพระเจ้าเลย อยู่ติดเนื้อหนังของพระเจ้าเลย อะไรอย่างนี้ ซึ่งมันเป็นความเพ้อเจ้อ มันไม่มีความจริงเกิดขึ้นได้เลย เพราะเขาไม่รู้จักจิตเจตสิก เขาไม่ได้ศึกษาเลย
สาธารณโภคีในยุคนี้ที่พ่อครูพาทำเกิดจากอะไร
ของพระพุทธเจ้านั้นหยิบเอาธาตุวิญญาณหรือธาตุจิตธาตุรู้ ซึ่งมีคนมีรูปนาม เรียกว่านามธาตุ เอามาศึกษา โดยมาแจกวิภัตติ มาแจกแจงให้เรียนให้ปฏิบัติ เช่น มาแจกนาม 5 รูป 28 ให้มาปฏิบัติ การปฏิบัติต้องรู้จักนาม 5 กับรูป 28
นาม 5 มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เพราะฉะนั้นต้องมาเรียนรู้ใน เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ โดยเฉพาะมาเรียนรู้ อาการนี้คือเวทนา อาการอย่างนี้คือสัญญา เป็นตัวกำหนดรู้ เวทนา กำหนดจะรู้ตัวมันเองในตัวสัญญากำหนดว่าอาการอย่างนี้เรียกว่าเวทนานะ อาการอย่างนี้เรียกว่าสังขารนะ
ในสังขารนี้มีเจตนา เป็นเจตนา 3 กามตัณหา1 ล้างอาการของกามก่อน ล้างอาการของกามหมดไป ก็จะเหลือ รูปราคะ อรูปราคะ แล้วก็ล้างต่อ แล้วก็มาล้างรูปราคะต่อ
ผู้ที่นั่งหลับตาปฏิบัติไม่ได้ล้างกาม อย่างมหาบัว กินหมากปากเปรอะ มีกามตัณหาเต็มเลยรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ไม่ได้เรียนรู้เลยแล้วก็ไปนั่งหลับตา นั่งหลับตาจะมาล้างรูปราคะ อรูปราคะ มานะอุทธัจจะ มันจะล้างได้อย่างไร เพราะว่าตัวอย่างข้างนอกคุณจะกินแตงโมคุณยังไม่เอาเปลือกออก คุณจะไปกินเนื้อ มันก็กินไม่ได้ไม่ได้กินอะไรเลย คิดว่าจะเข้าไปกินเนื้อแดงในๆแตงโม แตงโมมันมีเปลือกเขียวๆแล้วมีเปลือกขาวๆแล้วถึงจะไปกินเนื้อแดงๆ ไม่ได้กินหรอกเพราะว่าเปลือกคุณไม่ได้ปอกเลย เขียวๆก็ไม่ได้ปอก ขาวๆก็ไม่ได้ปอก คุณต้องเอาเปลือกสีเขียวสีขาวออกก่อนจึงจะเหลือสีแดง แตงโมลูกนี้แดงหรือเหลือง คุณไม่ได้กินหรอก เขาไม่ได้ทำตามลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ไปเรียนรู้มิจฉาทิฏฐิ เป็นเดียรถีย์ ก็เลยโมฆะไปจากสัจธรรมของพระพุทธเจ้า
อาตมาว่าอาตมาเอาธรรมะพุทธเจ้าที่สัมมาทิฏฐิมาให้เกิดสัมมาปฏิบัติ แล้วเกิดสัมมาปฏิเวธ เมื่อเกิดสัมมาปฏิเวธแล้วจึงเกิด เป็นมนุษย์อาริยะ เป็นมนุษย์โลกุตระ จึงมีพฤติกรรมมีกรรมต่างๆเป็นการงานทำอาชีพต่างๆกัมมันตะ พูดจาแม้แต่จะคิด ก็เป็นสัมมา เป็นโลกุตระจึงเป็นคนอีกเผ่าหนึ่ง เป็นเผ่าโลกุตระ เกิดชุมชนมาเป็นอันนี้เกิดเป็นจริง ในยุคนี้สมัยนี้
ซึ่งอาตมาพูดแล้วก็ภาคภูมิใจที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาพิสูจน์ให้เห็นกันได้เลยว่า ขนาดสาธารณโภคีในยุคพระพุทธเจ้า พูดแล้วมีคนเขาบอกว่าอาตมาดูถูกพระพุทธเจ้า อาตมาว่ายกพระพุทธเจ้าเน้นพระพุทธเจ้าทำไม่ได้ แต่ในยุคนี้โพธิรักษ์ทำได้ ทำให้เกิดสาธารณโภคีในมวลฆราวาสได้ เป็นชุมชนอย่างชุมชนชาวอโศก ชุมชนราชธานี ชุมชนสันติอโศก ชุมชนศีรษะอโศกของชาวอโศกที่มีกระจัดกระจายอยู่ในทั่วประเทศตอนนี้ เป็นชุมชนที่เป็นสาธารณโภคี มันทำได้จริงๆ
สมัยพระพุทธเจ้าทำไม่ได้เพราะเป็นยุคทาส ยังไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มันมีข้อจำกัดทำไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ทำของท่านจนได้ คือเอามาประกาศทฤษฎีนี้ มีธรรมนูญของท่าน มีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แล้วก็มีพระวินัย วินัยก็เป็นกฎหมายลูก ธรรมนูญก็เป็นกฎหมายหลัก ของศาสนาพุทธ แล้วเอามาประกาศคนก็มาปฏิบัติตาม
สมัยพระพุทธเจ้าสาธารณโภคีเกิดแต่ในวงของสงฆ์ เช่นพระภิกษุไปบิณฑบาตได้อาหารมาก็เอามารวมกันเป็นกองกลางเป็นสาธารณะ องค์นี้ได้มาก องค์นี้ได้น้อย องค์นี้ได้ของมีคุณภาพดี คุณภาพไม่ดี ก็เอามารวมกันไม่รวบเอาไว้แก่ผู้เดียว เอามารวมไว้กับกองกลาง แล้วใครจะมาเอาจะต้องการอะไร แม้เราบิณฑบาตไม่ได้ เพราะเราเป็นพระผู้น้อย คนไม่ศรัทธาก็เลยได้แต่ของไม่ดี ดีไม่ดีไม่ได้มาเลย ก็มาเอาของกลางกินเฉลี่ยรวมกันหมด ทั่วถึงกัน ไม่มีใครเหลื่อมล้ำจากกัน เป็นต้น นั่นคือสาธารณโภคีที่เป็นรูปธรรม
เพราะว่าพระสงฆ์ท่านไม่ได้มีการสะสมเงินทอง ไม่ได้มีเงินทอง ไม่มีการสะสมข้าวของ ท่านมีจีวร 3 ผืนมีบริขาร 8 อย่างนี้เป็นต้น ท่านไม่ได้สะสมจริงๆ แต่สมัยนี้อย่าไปพูดเลย เหมือนกับ ดอก ใบ ผล ของต้นไม้ เต็มไปหมดเลย ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แต่ไม่ได้แม้กระทั่งสะเก็ดของต้นไม้ ไม่ได้แม้กระทั่งเปลือกของต้นไม้ ไม่ได้แม้กระทั่งกะพี้ของต้นไม้ เพราะฉะนั้นอย่าไปพูดถึงแก่นของต้นไม้เลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเจนมาก
เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธวันนี้เต็มไปด้วยลาภยศถาบรรดาศักดิ์ สรรเสริญเยินยอ ยกย่องกัน แล้วยกย่องผิดยกย่องอรหันต์เก๊เป็นอรหันต์จริง อย่างนี้เป็นต้น หรือยกย่องให้เป็นสมเด็จเจ้าคุณอะไรกันไป ยกย่องแบบนั้น เป็นเปรียญ 9 เป็นด็อกเตอร์ เทศนาเก่งพูดแรงพูดตลกเก่งมีชื่อเสียง มันเป็นโลกีย์ไปหมด พูดอย่างไม่ขัดเกลา มีแต่เอาโลกีย์มาประโลมใจให้ศรัทธาอย่างนั้นชอบไหม อย่างนั้นสนุกไหมเพลินไหม หรือฉันมีความรู้สูงส่งไหม เป็นโลกีย์ไปหมด
พวกที่เขาเข้าใจอาตมาไม่ได้เขาไม่รู้หรอกว่าอาตมามีความรู้ของศาสนาพุทธ เขาไม่นับถือว่าอาตมามีความรู้ศาสนาพุทธ ชัดเจนไหม เขาไปนับถือคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อาณีสูตร กลองอานกะ พวกที่สอนภาษาโลกีย์ไพเราะ อย่างโลกุตะอย่างที่อาตมาพูด มันขัดเกลาก็ไม่เอา มีแต่ชอบพวกที่พูดประโลมใจไม่ได้ขัดเกลา อย่างดีก็ให้ทำดี ไม่ได้พูดเข้าไปถึงจิตเจตสิก ไม่ได้เข้าไปกระแทกที่เรียนให้รู้ตัวกิเลสเอาออกบ้าง อย่างเป็นขั้นตอน ตั้งแต่อบายมุข เป็นกามแล้วเป็นรูปภพ อรูปภพ ไม่ได้พูดอย่างที่อาตมาสอนเลย พูดแล้วเหมือนยกย่องตัวเองแล้วข่มผู้อื่น แต่มันถูกไหม ที่อาตมาพูดนี้มันถูกไหม
แม้แต่ผู้ที่เป็นผู้รู้อยู่ในศาสนาพุทธที่เป็นของจริงมีจริงเป็นจริง ท่านปฏิบัติอยู่จริง ท่านก็ไม่พูด โผงผางพัวะๆ เหมือนอย่างอาตมาหรอก ท่านไม่ อาสโภ ไม่อาจหาญแกล้วกล้าเหมือนอาตมาหรอก พูดอย่างเป็นหนึ่งไม่มีสองเลย ท่านพูดอย่างไม่มีน้ำหนัก ดูคาแรคเตอร์ทุกอย่างท่านจะไม่เหมือนอาตมา ที่ตั้งใจจริงใจ อันนี้ถูกอันนี้ผิด ผิดไม่มีไว้หน้า ใครผิดใครถูกอาตมาว่าทั้งนั้น หยาบกลางละเอียด อย่างนี้เป็นต้น
ทฤษฎีงาน 19 ข้อ
เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเรามาเรียนรู้ได้ จึงเป็นคนที่อาตมาเรียบเรียงเอาไว้ในสรรค่าสร้างคนบทที่ 1 เลย
คือจะเป็นคนที่ปฏิบัติแล้วจะเป็นคนมีกรรม กรรมกิริยา กัมมันตะ มีการงานที่เรียกว่าทฤษฎีงาน 19 ข้อ
ทฤษฎีงาน 19 ข้อ
-
มีคนที่ดี เป็นคนที่มีสัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะครบ มีจิตที่เป็นอาริยะเป็นพระอรหันต์สูงสุดเป็นคนดี เพราะฉะนั้นวาจาก็ดีการกระทำทุกอย่าง กัมมันตะทุกอย่างดีหมด เลี้ยงชีพก็เป็นคนเลี้ยงชีพดี ถึงขั้น ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ที่เป็นมิจฉาอาชีวะก็หลุดพ้นมิจฉาอาชีวะข้อที่ 5 ทำงานฟรี เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ อยู่ร่วมกันมีชีวิตสุขสำราญเบิกบานใจสุขสดชื่น เป็นความจริงไหมที่อาตมาพูดนี้
-
มีงานที่ดี
-
ความรู้ความสามารถที่ดี แล้วความรู้ความสามารถที่ได้ไม่ใช่ความรู้แบบโลกๆ ความรู้แบบโลกมันมีแฝงที่จะได้ลาภยศสรรเสริญ
พวกเราผู้ที่เป็นอรหันต์จึงค่อยชัดเจนว่า คนเราตื่นขึ้นมาก็ต้องทำงาน พระพุทธเจ้าตื่นขึ้นมาท่านก็นึกว่าจะไปทำอะไร นึกถึงงานเลย อาตมาตื่นมาก็นึกถึงว่าจะทำงาน ใครมีจิตอย่างนี้แล้วบ้าง โอ้โห มีพุทธคุณนะเนี่ย นี่เรียกว่าพุทธคุณ ในพุทธคุณ 9 คนเราตื่นขึ้นมาก็นึกถึงงาน แล้วเป็นงานที่ดีด้วย งานที่ดีคืองานอะไร งานเสียสละ
อาตมาตั้งข้อสอบเอาไว้ตั้งโจทย์เอาไว้ โดยทำ Choice ให้เลือก คุณจะเลือกถูกใจอาตมาไหม อาตมาถามว่า งานที่ดีคืออะไร? Choice นี้ใครตอบดู… Choice ที่อาตมาเลือกไว้ก็คือ “งานนี้ไม่เพื่อลาภ ไม่เพื่อยศ ไม่เพื่อสรรเสริญ ไม่เพื่อสุข” แม้เพื่อความสุขก็ยังไม่เพื่อสุขเลย มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ถ้าคุณเข้าใจทุกอย่างแท้จริงเป็นอริยสัจคุณจะรู้เลย เพราะคุณต้องทุกข์ มันอยู่กับทุกข์ ชาติปิทุกขา คุณยังไม่ได้ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณจะต้องนอนหลับก็นอน ตื่นขึ้นมา เกิดความทุกข์แล้ว ต้องมี อาหารปริเยทิทุกข์ ทุกข์เพราะจะต้องอาศัยอะไรเป็นงานการ ต้องตื่นขึ้นมาแสวงหางานการปฏิบัติธรรม เพราะคน ทุกกรรมกิริยาต้องเป็นการงาน งานที่มีคุณ ไม่ใช่งานที่มีโทษ เป็นงานที่มีประโยชน์ เป็นงานที่พึ่งพาอาศัยได้ทั้งเราและคนอื่น ไม่มีพิษภัย เป็นงานที่ดี
ความรู้ความสามารถที่พูดนี้คือความรู้ ที่อาตมากำลังขยายความว่างานดีคือความรู้ รู้ว่าอาชีพอย่างนี้เป็นมิจฉาชีพ 5 ไม่เอา เลิกมาจนกระทั่งมาทำงานถึงขั้น พ้นลาเภนลาภังนิชิคิงสนัสตา พ้นลาภแลกลาภหรือ คุณไม่ทำงานที่ไม่บริสุทธิ์เหมือนอย่างกับชาวโลกแล้ว คุณก็ต้องไม่มอบตนกับชาวโลกีย์ คนที่ทำงานของตนเองบริสุทธิ์แล้วอยู่กับหมู่กลุ่มทำงานฟรี ร่วมกินร่วมใช้ชีวิต ไม่ต้องไปเป็นหนี้ไม่ต้องไปเป็นบุญคุณ กับคนอื่นเลย แม้คุณไม่ไปรับสิ่งตอบแทนจากคนอื่น แต่คุณยังเอาตัวเองไปรับใช้คนผิด มอบตนแก่คนผิด นิปเปสิกตา ยังมอบตนกับคนผิด รับใช้คนผิดไปทำงานกับคนผิด คุณก็ไปเสริมให้เป็นส่วนหนึ่งของที่เขายังสมมุติยังเป็นคนรับใช้นายทุน นายทุนก็ขูดรีดจากคนอื่นอีก คุณก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเขารีด แล้วคุณจะหายไปไหน คุณก็ต้องได้ส่วนแบ่งของวิบากบาปอันนั้นด้วย ไม่มากก็น้อย แต่มันจะมากตรงที่คุณโง่ คุณบริสุทธิ์แล้วจะไปมอบตัวในทางที่ผิดทำไม คุณรู้ว่าเขาเป็นนายทุน จะไปมอบตนกับเขาทำไม คนผิดเป็นคนโลกีย์จะไปมอบตัวกับคนทำผิดทำไม ที่นี่บริสุทธิ์แต่ละคนมามอบตนให้ทางนี้สิ เอามาทั้งเนื้อทั้งตัว ทั้งหัวใจด้วย คุณไปให้ทางโน้นอยู่ทำไม เห็นไหม ฟังดีๆนะ อาตมาอธิบายละเอียดลออ ชัดเจน
พ้นนิเปสิกตา คนที่ไม่ถึงขั้นรู้อย่างนี้ คุณก็ต้องมอบตนกับคนที่เป็นโลกีย์ จะมากน้อยก็แล้วแต่ คุณก็ปฏิบัติให้มันรู้ เรียกว่า เนมิตกตา อาชีพขั้นที่ 3 ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 เพื่อล้างกิเลสตัวเองให้มีปัญญาให้รู้จักกรรมการงานต่างๆที่ดี เราจะอยู่กับคนที่ทำงานกลุ่มไหน ทำงานไหน กลุ่มงานที่ทำงานดีที่สุดอยู่ที่ไหน อยู่ที่อโศก
เพราะฉะนั้นพวกคุณหลายคนมอบตนอยู่ในชาวอโศกแล้ว ไม่ได้มอบตนอยู่ในทางผิดแล้ว อยู่ในชุมชนชาวอโศกทั้งนั้น ทำงานอยู่ในนี้ไม่ไปรับใช้โลกภายนอก แม้ว่าจะค้าขายก็ค้าขายแบบชาวอโศก ค้าขายขาดทุน แล้วจะไปเป็นหนี้ที่ไหน พวกเรานี้ซับซ้อนอยู่ในทางเศรษฐศาสตร์ พวกเราค้าขายขาดทุน คุณปลูกบวบ(บักลอย)
คุณขายคุณไม่ได้คิดค่าแรงงานหรอก แถมคุณยังไปขายต่ำกว่าราคาตลาดอีก ยิ่งขายขาดทุนได้มากเท่าไหร่คุณยิ่งเจริญ เห็นไหมของเราสวนกระแสโลกีย์ แจกฟรีเลย ทุกวันนี้พืชพันธุ์ธัญญาหารของเราเยอะก็เอาไปใส่ศาลา ไปใส่กระท่อมปันสุข (เดี๋ยวนี้)ไม่ค่อยมีเลย พวกเราขยันขยันหน่อย ไม่เก็บกัน
อาตมาอยากจะพูดถึงเรื่องว่า พวกเรามันขี้เกียจจะกินตัวเยอะแล้ว มันสบายเกิน มีกินมีอยู่สบายแล้ว มันรู้จักมีภูมิธรรมสูงกว่า อันนี้ทำแล้วเสื่อม เราควรจะขยัน เมื่อตัวเองหลุดพ้น ตัวเองไม่ต้องเป็นคนลำบาก กินน้อยใช้น้อย ที่ก็ไม่น้อยเกิน ที่ทำให้สุขภาพร่างกายไม่เสีย ก็กินอย่างเลี้ยงตนเองให้ดี
พวกเราทำงานสร้างสรรแล้วไม่เอาค่าจ้างแรงงาน ทำงานสร้างสรรอะไรได้เอาไปขายให้ถูกหรือแจกฟรี พวกนี้มันซับซ้อนทางเศรษฐศาสตร์ ทางทุนนิยมเขาซับซ้อนที่จะบวกเพิ่มเข้าไปไม่รู้กี่ชั้น คนรู้ไม่ทันก็ไปเป็นเหยื่ออยู่นั่นแหละ แล้วความขี้โลภเขามากเท่าไหร่เขาทำได้มากก็นึกว่าเจริญ ร่ำรวยมหาศาล ซึ่งโดยทางธรรมโลกุตระนั้น ซวยๆ แม้คุณจะสุจริต จริงๆแล้วคนรวยมันไม่สุจริตหรอก มันขี้โลภอย่างมีความฉลาด ฉลาดสร้างวิธีโกงให้คนอื่นไม่รู้เท่าทัน แล้วก็เอามาให้ โดยหลอกว่าฉันทำเพื่อคุณ ฉันช่วยเหลือคุณนะ อะไรต่างๆนานา ที่แท้เขาก็โลภเอาๆ
การเอาไปเป็นสมบัติของตัวมากๆนี้ คนอื่นก็ขาดแคลน ในโลกนี้มีสมบัติกองกลาง ในโลกทั้งโลกมีสมบัติกองกลาง ในโลกลูกนี้ลูกเดียว ใช่ไหม เพราะฉะนั้นอะไรมันจะเกิดขึ้นมาในโลก สมมุติว่าคุณทำงานอะไรไม่เป็นเลย เกิดมาก็กินธรรมชาติ ต้นหมากรากไม้งอกขึ้นมาก็แย่งกันกิน แล้วทุนนิยมก็คือคนที่มีวิธีการแย่งได้มากโดยที่คนอื่นสู้ไม่ได้ เอาวิธีการซับซ้อนแบบทุนนิยม นั่นแหละ คุณก็เป็นคนได้มากมีมาก ไม่ว่าจะเอาเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร จะเอาแร่เอาน้ำมันจะเอาฟอสซิล จะเอาแก๊สเอาอากาศเอาอะไรก็แล้วแต่คุณเอาได้จากโลกนี้ แล้วคนจะต้องใช้ แม้ในที่สุดมันเอาความร้อนแสงสีเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ในอากาศ มันมีวิธีเอาได้แล้วคุณต้องซื้อมันหมด เห็นไหมนี่คือความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าในอากาศ อินเทอร์เน็ต คุณจ่ายทั้งนั้น ใช้มันก็ต้องจ่ายไฟนายทุนเอาไปกินหมด อย่านึกว่าใช้ฟรีนะ เขาบอกว่าใช้ฟรีไม่ต้องจ่ายตังค์ มันเป็นอย่างนี้หรือ คุณเคาะโป๊กๆอะไรในมือคุณไม่ต้องจ่ายตังค์หรือ
เห็นไหมว่าความซับซ้อนของพวกนายทุนที่หลอกเอาเงิน ทุกอย่าง เคาะกู (กูเกิล-Google) มันเอาเงินคุณทั้งนั้นทุกเคาะ แล้วสุดท้ายเราก็จำนน มันต้องเคาะ แต่อาตมาไม่เคาะ อาตมาไม่ใช้หรอก ใช้เหมือนกันให้คนอื่นเขาใช้ ถ้าเราต้องการรู้…ไหนดูซิอะไรมันมีอย่างไร? เรื่องพวกนี้มันเป็นความซับซ้อนของมนุษย์ที่กินเนื้อกินในกินไส้กินตับกัน
สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ท่านก็เทศน์เรื่องกินกัน อาตมาก็มาพูดเรื่องกินกันและกันเดือดร้อนหนักหนาสาหัส เพราะฉะนั้นเราหยุดที่จะมากินใคร เลิกเป็นยักษ์เป็นมารไม่มากินกัน มีแต่ให้คนอื่นเขากินได้ โดยเราเป็นมนุษย์ธรรมดา เรามีรายงานเรามีความรู้ความสามารถเราก็เอาความรู้ความสามารถนี้มาให้ นั่นคือให้คนกิน รับใช้คน ความรู้ความสามารถเราก็เอามาใช้ เราขาดทุนๆๆ เป็นผู้รับใช้ ผู้รับใช้ผู้อื่นคือผู้มีประโยชน์คุณค่า ผู้ที่เอาแต่ใช้คนอื่น เป็นคนที่ไร้ค่าที่สุดเลย เป็นผู้ที่ไม่มีค่าอะไรไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่มาเบียดเบียนคนอื่นเอาเปรียบคนอื่น ใช้ผู้อื่น
เห็นชัดเจนไหมว่าเรารับใช้ผู้อื่นเป็นคนมีการงาน ยิ่งเราทำการงานได้มีความสามารถมีความรู้ ที่จำเป็นที่สำคัญ ขออภัยที่ยกตัวเอง อย่างอาตมาไม่เลือกแล้วงานอื่นทำ ปฏิบัติแบบโลก อาตมาเอางานที่มาสอนความรู้ความสามารถที่สูงสุด เป็นความรู้ความสามารถทางโลกุตระ อาตมามีความรู้อันนี้ก็เอามาสอน มาเป็นปุโรหิต มาเป็นครู ผู้ที่จะต้องสอนมนุษย์โลก
พระพุทธเจ้าเป็นยอดปุโรหิต เป็นผู้ที่สอนมนุษย์โลกดีที่สุด อยู่ในพุทธคุณ ข้อฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า ปุริสธัมมสารถิ อาตมาไม่ถึงพระพุทธเจ้าแต่ก็ต้องทำอย่างที่ท่านทำ อาตมาไม่มีงานอื่น มีแต่งานเดียวกับพระพุทธเจ้าพาทำ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แล้ว อาตมารู้ตัวแล้วก็มาทำงานนี้ตลอด ผ่านมา 50 – 51 ปี ย่างขึ้นไปเรื่อยๆ แล้ว อาตมาบวชตั้งแต่ 7 พฤศจิกายน 2513 นี่มันเลยปี 50 ขึ้นมาเป็นปี 51 แล้ว
ก็ทำงานนี้เป็นงานที่สุดยอด ความรู้ความสามารถอื่นใดที่อาตมาอยู่ทางโลกทำมา เช่นเป็นโฆษก อยู่ทางโลกก็เป็นโฆษก ได้รายได้เยอะนะ เดือนนึงได้หลายตังค์ เพื่อนรุ่นเดียวจบมาหาตังค์สู้อาตมาไม่ได้ บางคนไปจบด็อกเตอร์บ้าง แต่อาตมาจบ ม.8 เหมือนกับเพื่อนเขาไปต่อเหลือ อาตมาก็ตก ม. 8 ต่อ ตกเพื่อให้รู้ว่าตกหลายปีด้วย ให้แน่ว่าคนนี้หน้านี้ แค่ ม.8 ก็ตก ไปตกมันเสียหลายปีเลย ก็ไม่ได้มาแค่ ม.8 แต่ออกมาทำงานมีความรู้ความสามารถเท่าที่เขามีไปเรียนต่อมาทางศิลปะบ้าง ก็ทำงานได้รับยศสรรเสริญ มีรถยนต์ส่วนตัว เพื่อนเขารับราชการมีรถราชการ แต่ของอาตมามีรถส่วนตัวติดแอร์เป็นคันแรกของประเทศเลย Ford corsair คันแรก เริ่มมีแอร์มันต้องเอามาประกอบเองนะ เป็นรถติดแอร์คันแรกของประเทศไทย แล้วไดนาโมมันไม่ค่อยพอ มันปั่นไฟไม่ค่อยทัน ยิ่งไปขับในกรุงเทพฯ ไฟมันไม่พอ ตายไปเข็นกลางตลาด บ่อยเลยรถติดแอร์ รถใหม่ๆนะ รถที่เขาเอามาสาธิตเลย รถ Ford corsair รุ่นสาธิตเลย อาตมาซื้อคันนี้ เท่เสียไม่มี!…..ไม่เท่ได้อย่างไรไปเข็นรถกลางตลาด อาตมาเป็นดารานะ รถชบาบานก็เป็นรถคันแรก ราคา 5,000 บาท เคยขับไปชนอะไรมาหลายครั้ง เพราะว่าเบรคมันไม่ค่อยดี เขาว่าเป็นโชคดีแต่ที่จริงมันเป็นเคราะห์ดีนะ ถ้ากรรมกิริยาที่จะทำลงไปแล้วมันจะเป็นสิ่งได้ดี เจริญก็เรียกว่า “โชค” ถ้ากรรมกิริยาที่จะทำมันลงไปแล้วไม่ดีก็เรียกว่า “เคราะห์”
พวกเราทำกรรมกิริยาทำงานการ มันเป็นงานการที่มีโชค แต่ทางโลกเขาเป็นงานการที่มีเคราะห์ทั้งนั้น เพราะทำแล้วมันไปเป็นความโลภ ทำแล้วมันไปได้มาก ทำแล้วมันจะเอาเปรียบ ทำแล้วมันยังเป็นโลภอีก ทำแล้วก็ได้ลาภยศสรรเสริญอยู่ หรือทำแล้วก็ต้องได้สิ่งแลกเปลี่ยนกลับมา แล้วคุณก็เอามาสะสม คุณก็เอามายินดี มีสาเปกโข คุณทานแรงงานความรู้ จ่ายแรงงานความรู้แล้วคุณก็ได้รับ ลาภบ้าง ยศบ้าง สรรเสริญบ้าง สุขบ้าง คุณก็ไม่รู้เท่าทันอาการ ได้ลาภก็สุข ได้ยศก็สุข ได้สรรเสริญก็สุขมันเป็นทุกข์ คุณก็ยังบอกว่ามันเป็นสุข มันเป็นวิปลาสข้อ 1 มันเป็นทุกข์ในการการงาน อาหารปริเยทิทุกข์ อาหารแปลว่าเครื่องอาศัย คนต้องแสวงหาการงานเป็นเครื่องอาศัย
คนที่ตื่นมาแล้วไม่แสวงหาการงานทำ คนนั้นไม่ใช่คน ยังเป็นเดรัจฉาน มีแต่จะกิน เมื่อไหร่จะไปหาอะไรกินแถวนั้น ไม่มีงาน เดรัจฉานไม่มีงานไม่ทำงาน มันมีแต่กิน ไปหาอะไร ไปหากิน หากินต้องทำงาน เพราะคนยิ่งทุกวันนี้ คุณจะไม่ทำงานแล้วคนจะไม่กินไม่ได้หรอก ทุกวันนี้มันจองหมดเลย พื้นที่ดิน ของเราทำงานบนพื้นที่ดินนี้ก็ของเจ้าของ ที่จับจองไว้หมด ไม่งั้นต้องไปรับจ้างเจ้าของที่ดินนั้น มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอยู่ในโลกนี้เป็นโลกสมมุติหมดเลยเป็นโลกที่มีตัวกูของกู คนที่ไม่มีตัวกูของกูไม่มีของกู ก็ต้องรับจ้าง อย่างพวกเราไม่ต้องไปรับจ้าง ทำงานฟรี มันซับซ้อน สุดยอดเลย
นี่เป็นงานที่ดี มีความรู้ความสามารถที่ดี
-
เวลา โอกาส เราต้องดู กาลัญญุตา อันควร เวลาทุกคนมีเท่ากันหมดเลย คนชาวอโศกบางคนมีโอกาสที่จะมาทำงานที่ชุมชนนี้ ทำงานที่นี่ สุดยอดเลย มีสาธารณโภคี แต่ชาวอโศกหลายคนอยู่ข้างนอก โอกาสดีๆอย่างนี้ไม่เอา มีหนี้มีภาระ มีลาภแลกลาภ ไปทำอะไรกับข้างนอกอยู่เห็นไหม เวลาทุกคนมีเท่ากันแต่โอกาสที่จะมาทำ คนที่รู้ว่ากาละนี้เราต้องรีบมาอยู่กับชุมชนชาวอโศก เพราะชุมชนนี้ทำงานฟรี ทำงานสุดประเสริฐ เป็นงานที่มีความรู้ความสามารถสุดยอด เป็นงานที่ดี เป็นคนดี คนก็รู้จักใช้เวลา เวลาเท่ากัน เวลาของโลกเคลื่อนไป โลกมันหมุนก็คือเคลื่อนไป เวลามันเคลื่อนไป แล้วมันก็ขับเคลื่อนซ้อนอยู่ในมหาจักรวาล เราก็เคลื่อนหมุนไปตามโลก เราไม่รู้สึกหรอก เราไม่เวียนหัวหรอก โลกก็หมุนเวียนไปตามมหาจักรวาล จักรวาลของตนเองก็หมุนเวียนอยู่ในจักรวาลใหญ่อีกไม่รู้กี่ซับซ้อน แต่เราก็ไม่เวียนหัวเพราะมันชินแล้วเกิดมาก็รู้แล้ว ก็ไม่เป็นไร เราก็ไปกับเวลา โอกาส
-
ทุนที่เหมาะควร เป็นวัตถุ เป็นทุนแถม พวกเราหมดทุน เป็นทุนที่มีอมตะนิรันดร คนที่ยังต้องใช้ทุน ต้องมีก้อนทุน ต้องมีต้นทุน ถ้าไม่มีต้นทุนทำงานอะไรไม่ได้ นั่นคือคุณยังไม่มีทุนอมตะ ยังไม่มีทุนนิรันดร ของเรามีทุนอะไร?…0, ทุน 0 โอ้โห! พูดเหมือนพูดเล่นๆนะแต่จริงไหม?…จริง สุดยอดจริงๆเลย มีทุนที่เหมาะควร คนที่อยู่ในอโศกแล้วยังยักไว้ แล้วเอาทุนนั้นไปออกดอกออกผลเอาไปลงทุนเพื่อให้เกิดมีผลกลับคืนมา ซับซ้อน มีปันผลมีอะไรต่ออะไร คุณก็ยังไม่มีทุนที่สมบูรณ์สูงสุด เพราะฉะนั้นทุนที่เหมาะสมควรก็จะขยับขึ้นมาจนกระทั่งมาเป็นทุนที่ยิ่งใหญ่ มีทุน แล้วเป็นทุนที่สมบูรณ์แบบเหมาะที่สุด ดีที่สุด ควรที่สุด คือทุน 0
-
สุขภาพร่าง กายกำลังกายดี พวกเรามีสุขภาพ 8 อ กำลังวังชาดี ดูสิ 87 ปี ยังแจ๋ว ฟิตเนส อาตมาจะพยายามเลี้ยงขันธ์นี้ไปให้ถึง 100 ปี จริงๆ จะพยายาม สาธุ จะให้ถึง 100 ปี ไม่พูดเล่นหรอก 151 ปี มันมากไป ถึงแม้ว่าอาตมาจะอยู่ได้อาตมาว่าคงไม่ไหวหรอก เพราะว่าทุกวันนี้ไม่ถึงร้อยยังรู้สึกว่ามันไม่ไหวจริงๆนะ 151 ปี อีกเท่าไหร่ อีก 74 ปี ก็ไม่ไหวหรอกอีก 74 ปี กระดูกคงกรอบไปหมด ทุกวันนี้รู้สึกว่าเมื่อยเร็ว แม้แต่เดิน เราไม่น่าจะเหนื่อยนะเดินแค่ 3 – 4 กม. บางทีเดิน 5 กม. ทำไมเราเมื่อย แต่ก่อนนี้เดิน 10 กม. 20 กม.ไม่มีปัญหาหรอก ร่างกายใช้มานานก็เสื่อมเป็นธรรมดา มันก็เป็นไปตามธรรม แต่ก็ยังปรารถนาที่จะยังขันธ์ไว้ต่อเพื่อที่จะเทศน์ เพื่อที่จะบรรยาย เพื่อที่จะสถาปนาความรู้โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าลงไปในผู้ที่ยังได้รับ พวกคุณนี้อย่างน้อยก็พวกคุณ ตั้งใจรับ อาตมาก็เทศน์ไปแต่ละวันก็มีคนฟัง เดี๋ยวนี้ยิ่งมีสื่อสารอยู่ทางบ้านไม่มาแล้วไม่มานั่งอยู่นี่ อยู่กับบ้านดีกว่า สบาย กดปุ่มเอา อยากฟังก็ดูไม่ฟังก็ดูไม่ฟังก็ไม่ถูกว่า อยู่บ้าน มาที่นี่ถ้าอยู่ที่นี่ไม่มาแล้วถูกว่า อยู่บ้านก็ว่า ทำไมไม่ว่า อาตมาก็ว่า มาอยู่ด้วยกันสิอบอุ่นนะนี่ ต้องการสัก 777 คนก็มา (ที่นี่มีคนฟังประมาณ 377 คน) ขึ้นปีใหม่วันที่ 2 แล้ว อยู่ที่บ้านฟังทางอินเตอร์เน็ตอีกเท่าไหร่
-
มีความขยัน อุตสาหบากบั่น
-
มีหลักเกณฑ์ มีระเบียบ มีเป้าหมาย
-
มีการจัดสรรและจัดโครงการ
-
มีการแบ่งงานและประสานเนื่องหนุน
-
มีกะจิตกะใจใส่ใจขวนขวายไม่ดูดาย
-
มีการปรับใจกันให้เกิดความเข้าใจกันเสมอ
13 . มีการปฏิบัติขัดเกลากิเลสเสมอ คือตำหนิติติงกัน พยายามมีศิลปะ ให้อีกคนเขาเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม กาย วาจา ใจ
-
มีความเห็นดี ยินดี จะมีความเข้าใจว่าดีอย่างไร
-
มีความเห็นจริง ซาบซึ้ง เชื่อมั่น
-
มีสติ ปฏิภาณ ปัญญา
-
มีฌาน สมาธิ ปัญญา
-
มีความเสียสละแท้
-
มีพลังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน(เอกีภาวะ ที่มีวิมุติเป็นพลัง)