640321_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1JewbxPA4I7r7a6B4Ew4XlrBc5A48Pps36AowwqvP18Y/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1maFOgOkrDC7_J9TnfLzpi6YPUOEgGRQb/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/oF0Cj55a6LE
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก เมื่อวานได้เอาคลิปที่พ่อครูไปเทศน์ปฐมอโศกและสันติอโศก พ่อครูจะให้พวกเราสรุปว่าปฏิบัติธรรมอะไรมา 10 ปีฟฟได้ผลอย่างไรแล้ว ครูเห็นว่าควรจะจบได้แล้ว แต่นักเรียนชัดเจนหรือเปล่า ตรวจสอบประเมินผล เพราะการเป็นครูสอนคนก็ต้องการรู้ว่า คนที่มาเรียนได้ผลขนาดไหน เพื่อการทำงานสร้างสรรค์ต่อไป แต่ถ้าเรียนไปแล้วคนเรียนก็ไม่รู้เรื่องว่าได้หรือไม่ได้ คนเรียนก็ต้องให้รู้ว่าได้หรือไม่ได้ชัดเจนขนาดไหน พวกเราประเมินผลชัดเจนพ่อครูก็จะชัดเจนด้วย
วันนี้ไปทำเกษตรกรรม มีการเก็บหัวไชเท้าที่ริมมูล จะมีฟักทอง แตงไทย ก็จะประเมินผลว่าได้กี่กิโลกรัม จะเป็นสถิติเป็นขีดว่าตัวเลขขนาดนี้ ได้กี่เปอร์เซ็นต์จะประเมินได้ ทำให้รู้ว่าคนพัฒนาไปขนาดไหน เป็นครูก็ต้องประเมินเด็ก
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 19-20 มี.ค. 2564
_โอ๋ บัวกรุ่นบุญ : หากเราติดตามฟังธรรมตลอดเวลาและพยายามปฏิบัติตามคำสอนอยู่ ระลึกถึงพ่อท่านเสมอๆ สิ่งนี้เป็นตัวเชื่อมให้จิตวิญญาณเราไม่ห่างจากพ่อท่านได้ใช่ไหมคะ? ถึงแม้จะไม่ได้เจอตัวจริงๆของพ่อท่านนานๆ เพราะสถานการณ์และเหตุปัจจัยไม่เอื้ออำนวยค่ะ
พ่อครูว่า…ได้ เหมือนกับทุกวันนี้เราไม่ได้พบพระพุทธเจ้า มีใครแอบไปพบพระพุทธเจ้า แต่เราก็อยู่ใกล้พระพุทธเจ้า เพราะเราเองฟังธรรมะของท่านมาตลอด เราฟังอยู่ตลอดเวลาพยายามปฏิบัติตามคำสอนท่านตลอดเวลา อย่างที่โอ๋พูดมา สิ่งเหล่านี้เป็นตัวเชื่อมให้วิญญาณเราไม่ห่างจากท่าน ถูกต้อง แน่นอนก็คงไม่ได้เจอตัวจริงของพระพุทธเจ้าอีกแล้ว แต่เราก็ใกล้ชิดท่านได้
พ่อครูกับส.ศิวรักษ์ กับประชาธิปไตย 3 ประโยค
_ชีวิต อยู่ที่การตั้งค่า : พ่อครูว่านายกประยุทธดีที่สุดทั้งหมดของนายกที่มีมา..แต่ ส.ศิวรักษ์ว่านายกประยุทธชั่วที่สุดของนายกที่มีมาของประเทศไทย ทั้งๆที่ชาวอโศกเคยยกย่อง อาจารย์ส.
พ่อครูว่า…ก็ไม่มีปัญหาคนเราต่างความเห็นความคิดและความคิดมันก็ไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงได้ การไม่เที่ยงนี้ไม่เที่ยงทั้งที่มันไม่เที่ยง หมายความว่าคนนั้น คือคนนั้นไม่มีความชัดเจนว่าอะไรถูกแน่ ด้วยการเกิดปัญญา เป็นวิมุตติญาณทัสสนะอย่างแท้จริงแล้ว ความคิดของผู้นี้ยังจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอ สัมมาทิฏฐิก็เปลี่ยนแปลงได้เลยว่า ความคิดนี้เรายังไม่เที่ยง ยังไม่เต็ม ยังไม่เป็นวิมุตติญาณทัสสนะก็จะพัฒนามาเรื่อยๆ
แต่ความคิดของคนที่ไม่มีทิศทางสัมมาทิฏฐิก็จะผิดบ้างถูกบ้าง สลับไปสลับมาๆ นาน เพราะฉะนั้นการทำสัมมาทิฏฐิให้ได้ก่อนอื่น แล้วก็เร่งปฏิบัติ ปฏิบัติคืออะไร ปฏิบัติคือ หลักปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า อปันกปฏิปทา 3 นี่แหละคือปฏิบัติ
-
ชีวิตเราอยู่กับของกินของใช้ทั้งหมด ในโลกมีแต่ของกินของใช้ทั้งนั้นแหละ เราสัมพันธ์กับอะไรไม่ใช้ก็กิน เท่าน้ันแหละ เพราะฉะนั้นเมื่อคุณสัมผัสสัมพันธ์กับของกินของใช้ทุกเมื่อ คุณจะต้องสำรวมอินทรีย์เสมอ เรียกว่า สำรวมอินทรีย์-โภชเนมัตตัญญุตา-ชาคริยานุโยคะ 3 อัน
สำรวมอินทรีย์ไม่ใช่ตื้นๆ เช่น แค่นั่ง ยืน เดิน ก้าวหนอ ยกหนอ มันเป็นขั้นอนุบาลต้องผูกสติไว้กับความเคลื่อนไหว การเดิน การยืน การกิน การอยู่ การแต่งตัวเสื้อผ้าไปเดินบิณฑบาต ปัสสาวะอุจจาระอะไรก็แล้วแต่ ทุกอิริยาบถ คุณก็จะต้องให้มีสติสมบูรณ์ คือ ชาคริยา
สำรวมอินทรีย์ มีสติสมบูรณ์ แล้วก็อยู่กับเครื่องกินเครื่องใช้ทั้งหมด เกี่ยวข้องกับเครื่องกินเครื่องใช้ทั้งหมดทุกขณะ ทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก แม้แต่คุณนอน ก่อนที่สติจะตกไปอยู่ภายในก่อนจะหลับ คุณต้องมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมหายใจเข้าหายใจออก แล้วก็พยายาม ปิดฉากภายนอก เพื่อจะ หรี่ หลับ ดับ พัก คุณก็ทำอย่างนี้เป็นต้น ก็ล้วนแล้วแต่เรารู้จักการสำรวมอินทรีย์ภายนอก สำรวมอินทรีย์ภายใน ก็มีสติรู้
เพราะเราเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กินใช้ ขณะนี้คุณกำลังใช้อะไร ใช้การพัก ใช้การนอนพักอยู่ คุณก็สามารถมีปฏิภาณปัญญารู้ว่าควรจะพักอย่างไร การจะพัก จะนอน จะหยุด ไม่เคลื่อนไหวกาย ไม่พูด มันทำง่าย แต่ไม่เคลื่อนไหวจิต มันยากกว่า
ไม่เคลื่อนไหวจิต คนที่ไม่ฝึกเลยทำไม่ได้หรอก ต้องคนฝึกมา ก็นอนพักก็หยุดจิต จิตไม่ต้องเคลื่อนไหวไม่ต้องคิดอะไร จิตทำให้เป็นอุเบกขา อุเบกขาแบบสมถะ ไม่ใช่อุเบกขาแบบวิปัสสนาหรือแบบปัญญา
อุเบกขาแบบสมถะกับอุเบกขาแบบวิปัสสนาต่างกันอย่างไร อุเบกขาแบบสมถะเรียกว่าเคหสิตอุเบกขาเวทนา เป็นความรู้สึกที่มัน กลางๆ เฉยๆ ไม่ผลักไม่ดูด ด้วยวิธีข่มจิต จิตก็จะนิ่งหยุด จิตจะนิ่งจะแข็งทื่อ ไม่คิดอะไร นั่นคือสมถะ แบบสมถะ ใช้เหมือนกัน ผู้ที่รู้แล้วก็ใช้ให้ถูกต้อง ว่าเราเจตนาจะใช้อย่างนี้
ส่วน จิต ที่มันอุเบกขาแบบวิปัสสนานั้นคือ จิตนี้ อุเบกขาคือเป็นกลาง เป็นกลางแล้วก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีผลักไม่มีดูด กับสิ่งที่มาเกี่ยวข้องสัมผัส จิตอุเบกขา เนกขัมมสิตอุเบกขาแล้ว เป็นจิตไว คล่องแคล่ว เป็นจิตปาคุญญตา เป็นกายปาคุญญตา คล่องแคล่ว ทั้งภายนอกและภายใน นี่คือจิตเฉยของวิปัสสนา ที่เป็นจริงอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะว่ากิเลสมันไม่มี
คำว่าเฉยหรือว่าง คือว่างจากกิเลส อุเบกขาอันนี้ เนกขัมสิตอุเบกขา จิตมันว่างจากกิเลสแล้ว จิตมันไม่แข็ง ไม่ทื่อ ไม่ทึ่ม เหมือนเคหสิตะ มันต่างกันคนละมุมเลย
เพราะฉะนั้นคนที่เป็นอรหันต์ จิตว่างจากกิเลสสนิทจะมีความคล่องเหมือนลิง เพราะจิตมันเร็วเหมือนลิง เพราะฉะนั้นคนที่เป็นอรหันต์แล้วไม่ใช่เป็นคนเซื่องๆ ไม่ปราดเปรียว ไม่ใช่ แต่เป็นคนปราดเปรียวแคล่วคล่องตามวาระที่สมควร วาระที่สมควรจะคล่องแคล่วก็ไว วาระนี้จะเอาขนาดนี้ เราจะพูดกับเด็กเราจะพูดไวปรื๊ด ก็ไม่เหมาะ ต้องพูดพอสมควร ถ้าจะพูดกับคนโง่ต้องพูดช้าๆหน่อย แต่พูดกับคนฉลาดอย่างพวกคุณ พูดเร็วไปเลยปรื๊ดสบาย
ฟังชัดๆรู้ไหมว่าจิตที่เป็นอุเบกขาแบบเคหสิตะ เป็นแบบหนึ่ง จิตที่เป็นอุเบกขาแบบเนกขัมมะก็อีกแบบหนึ่ง หรือจิตอุเบกขาแบบโลกุตระก็แบบหนึ่ง จิตที่เป็นอุเบกขาแบบโลกียะก็แบบหนึ่ง ความแตกต่างกัน
ทีนี้ ผู้ที่มีปัญญาทำได้ทั้งสองอย่าง ทำได้ทั้งแบบเคหสิตะ หรือแบบโลกุตระก็ทำได้ แต่แบบเคหสิตะทำแบบโลกุตระ แบบเนกขัมมะไม่ได้ ก็ได้เป็นแบบโลกีย์อย่างเดียว
พ่อครูว่า…อาจารย์ส.ศิวรักษ์ในเรื่องการเมืองเขาก็มีความรู้อย่างนั้น ส่วนอาตมาก็มีความรู้การเมืองอย่างของอาตมาอย่างนี้ อาจจะต่างกัน ในความหมายองค์รวมเช่นคำว่าประชาธิปไตยเป็นอย่างไร อาตมาว่าอาตมาเข้าใจความเป็นประชาธิปไตยอย่างของอาตมาอยู่กับร่องกับรอย แต่อาตมาว่าอาจารย์ส.ศิวรักษ์ยังไม่ได้เข้าใจประชาธิปไตยอยู่กับร่องกับรอยหรอกจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆเพราะยังไม่ลงตัว
ไม่ใช่ง่ายนะ อาตมาว่าพระพุทธเจ้าจะเป็นประชาธิปไตยในยุคของท่านซึ่งคนอื่นจะเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ส่วนผู้ที่เป็นอาริยะก็เป็นประชาธิปไตยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพระโสดาบันหรือเป็นพระอรหันต์ก็มีภูมิปัญญาเท่าที่เขามีภูมิปัญญา แต่เขาเข้าใจแล้วว่าประชาธิปไตยคืออะไร
ประชาธิปไตยคือความไม่มีตัวตน ประชาธิปไตยคือความมีปัญญา ประชาธิปไตยคือผู้ที่เสียสละเพื่อมวลประชาชนผู้อื่น
แค่ 3 ประเด็นนี้คือประชาธิปไตยเจ๋งๆ เลย
ทวนอีก
ประชาธิปไตยคือความไม่มีตัวตน ประชาธิปไตยคือความมีปัญญา ประชาธิปไตยคือการทำงานรับใช้ผู้อื่น
ประเด็นนี้เจ๋งไหมคุณจะมีปัญญาความเฉลียวฉลาดแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าพฤติกรรมสามารถของคุณมี 3 อย่างนี้ก็คือคุณเป็นนักประชาธิปไตย
ไอ้ที่ขี้โม้อยู่ว่าเป็นนักประชาธิปไตย แต่เต็มไปด้วยตัวตนไม่มีปัญญาเลย มีแต่ เฉโก แต่อะไรก็ไม่รู้ ความรู้ความฉลาด เฉโก โลกีย์ แล้วไม่ได้เสียสละเพื่อประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆเลย ให้โดยไม่ต้องการอะไรตอบแทน เสียสละโดยไม่ต้องการมีชนะ มีแพ้ สละเพื่อมวลประชาชนเท่าที่เราจะมีความรู้ว่า เสียสละเท่าไหร่จะได้เป็นกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่ก็แล้วแต่ ฟังดีๆนะนักประชาธิปไตยอย่างโพธิรักษ์ จะเหมือนพวกคุณทั้งหลายที่เป็นนักประชาธิปไตยที่ว่าแน่ๆ จะเหมือนกันไหม ฟังดู
แล้วอาตมาไม่ได้พูดเล่นๆ แต่อาตมาพูดจริง พาพวกเราไปทำจริง พาพวกเราเริ่มต้นไปออกแสดง ที่จริงตั้งแต่เป็นนักปฏิบัติธรรมก็เป็นนักประชาธิปไตยมาตลอดเวลา ตั้งแต่เป็นผู้ที่รู้ธรรมะแล้วก็เป็นนักการเมือง ผู้ที่รู้ธรรมะมีธรรมะแล้วเป็นนักการเมืองทุกคน เพราะการเมืองก็คือ การทำงานกับประชาชน ให้มีสภาพดีขึ้นเจริญขึ้น ให้มีประโยชน์ ให้มีความสุข รับใช้ประชาชน นี่คือนิยามของประชาธิปไตย พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) นี่คือนิยามของประชาธิปไตย เพื่อประโยชน์ของมวลประชาชน พหุชนหิตายะ คือ เพื่อมวลประชาชนเป็นอันมาก พหุชนสุขายะ เพื่อความเป็นสุขของประชาชน ช่วยเหลือเกื้อกูลรับใช้ประชาชนรับใช้โลกเลย โลกานุกัมปายะ นี่คือนิยามยิ่งใหญ่ของประชาธิปไตยพุทธ
คำว่าประชาธิปไตยในยุคของพระพุทธเจ้ายังไม่มี แต่ 3 ประโยค นี้ที่อาตมาเอามาพูดนี้มี ใช่ไหม นี่แหละเนื้อหาเนื้อแท้ ติดอยู่ในบัญญัติความรู้กะลาครอบ เข้าใจฟังสัจจะให้ดี
ส.ศิวรักษ์ จะเข้าใจอย่างไร อาตมาจะเข้าใจยังไง มันก็เป็นจริงตามสัจจะที่แสดงออกตลอด ส.ศิวรักษ์ ก็ออกไปแสดงออกกับโลก อายุมากกว่าอาตมาประมาณ 2 ปี ก็ปรารถนาดีต่อสังคมเหมือนกันอาตมาก็ตาม ส.ศิวรักษ์ก็ตาม
ส คือ ส.ศิวลักษณ์ แต่อาตมา รัก รามรักษ์ ของอาจารย์ ส.ศิวลักษณ์ นั้นลักษณะ ส่วนของอาตมานั้น รักษ์ (สุลักษณ์ ศิวรักษ์)
ศิวรักษ์นั้นเป็นเจโต ส่วนอาตมาเป็นปัญญา ของอาตมารักษ์ ราม คานธีก่อนตายก็อุทาน โอ้! ราม
ใครฟังแล้วจะเห็นว่าเป็นขี้เท่อก็ไม่เป็นไร ใครเห็นว่าอาตมาพูดเป็นปัญญาขยายปัญญาให้ฟังก็ดี จะเข้าใจว่าเป็นขี้เท่อมากขายขี้เท่อก็แล้วแต่
ความเป็นกลาง 3 แบบ
_คอยใคร : ผมเคยได้ยินพ่อครูพูดถึงคนที่บอกว่าตัวเองเป็นกลางว่า คนแบบนั้นคือคนโง่ เพราะไม่รู้ฝ่ายไหนดีหรือเลว
พ่อครูว่า…คนแบบนั้นคือคนโง่ คนที่ยังไม่รู้ว่าฝ่ายไหนดีฝ่ายไหนเลวก็คือ คนยังไม่ฉลาด แปลเป็นไทยอีกทีว่าคือ โง่
เมื่อคนนี้เขาไม่รู้จริงๆว่า ที่ประพฤติกันอยู่ ที่ทำนี้ ใครถูกใครผิด อันไหนดี อันไหนไม่ดีเขาก็ไม่รู้จริงๆ เขาก็ต้องอยู่กลางๆ อยู่เฉยๆ เพราะเขาไม่รู้ นี่คือคนเป็นกลางที่ไม่รู้ คือคนโง่ ความเป็นกลางแบบโง่แบบยังไม่รู้
_ผมก็ยังงงอยู่ในใจว่าทำไมเป็นกลางแล้วโง่ แต่พอมาเจอสมณะท่านหนึ่งขอไม่ออกชื่อแบบ ส.ศิวรักษ์ที่ว่าคุณสนธิแต่ไม่ออกชื่อ สมณะท่านนั้นบอกเป็นกลางจึงคบหาคนชื่อส.ศิวรักษ์ได้ ไม่ผิดอะไร ผมก็ว่าจริงของท่านไม่ผิด… แต่พ่อครูบอกไว้ ผมเลยกระจ่างทันทีที่สมณะท่านนี้บอกว่าเป็นกลาง เป็นตัวอย่างดีๆให้ผมเข้าใจคำว่า เป็นกลางคือโง่ กราบขอบพระคุณพ่อครูครับที่ให้สติกับผม
พ่อครูว่า…วนไปวนมา คุณคนนี้ ที่จริง เป็นกลางอาตมาอธิบายไว้อย่างน้อย 3 นัยยะ
-
เป็นกลางไม่รู้ว่าใครถูกใครผิดใครดีใครชั่ว เลยต้องอยู่เฉยๆเพราะไม่รู้ใครถูกใครผิดใครดีใครชั่ว ช่วยใครไม่ได้
-
รู้ว่าไอ้นี่ถูกไอ้นี่ผิด แล้วรู้ถูกเสียด้วย แต่กลัวว่าจะเสียโลกธรรม ถึงไม่เข้าข้างใครอยู่กลางๆ วันนี้น่าเขก
-
เป็นความเห็นผิด ที่ถูกใครสอนไปเชื่อเขาว่า ความเป็นกลางแม้จะรู้ว่าใครถูกใครผิดใครดีใครชั่วก็ตาม ก็ควรอยู่เฉยๆไม่ควรจะต้องไปอยู่กับฝ่ายไหน อยู่กลางๆ นี่ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิคนๆนี้เป็นคนเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ
เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วคนที่ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดก็ยกไว้เพราะเขาไม่รู้ เขาก็อยู่เฉยๆกลางๆ
พฤติกรรมเป็นกลางของผู้ไม่มีปัญญา
-
โง่ ไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก
-
กลัว จะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสียตำแหน่ง เสียหน้า
-
เห็นผิด คิดว่า เป็นกลางแล้วไม่ควรไปอยู่กับฝ่ายไหน
คนกลัวจะเสื่อมลาภยศสรรเสริญสุข ก็ควรแก้ไขปรับปรุง ขี้กลัวอย่างนั้นก็เลยไม่เจริญ ตัวเองก็ไม่เจริญไม่พัฒนา เพราะขี้กลัว เป็นคนกลัวก็เป็นอสุรกาย กลัวที่จะทำความดี ไม่กล้าที่จะทำความดีความถูกต้อง น่ากลัว พวกนี้นรกกินหัว รู้ว่าอะไรดีแต่ไม่กล้าทำความดี กลัวโลกธรรม กลัวเสียโลกธรรม ไม่กล้าทำ ไม่เจริญหรอกคนแบบนี้ เมื่อไหร่เมื่อไหร่ก็ไม่เจริญ คนพันธุ์นี้มีเยอะไหม …เยอะ น่าสงสารมีเยอะจริงๆคนพวกนี้ไม่เจริญ ต้องกล้าทำความดี ฝืนอย่างไรก็ต้องฝืน ดีไม่ดีจะเจ็บตัวถึงตาย บางทีก็ต้องทำ
อย่างทหาร ปฏิญาณตนว่ากล้าตายเพื่อชาติแล้วเขาก็กล้าตายจริงๆ อยู่กับปืนอยู่กับระเบิดอะไรต่ออะไร ตายเป็นตาย ไม่ตายก็รอดมา ได้เหรียญ ได้ค่าความเก่งความสามารถ เอาชีวิตไปเสี่ยง
ส่วนเห็นผิดก็อีกนั่นแหละ รู้หมดว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่เข้าใจผิดว่าต้องอยู่เฉยๆกลางๆอย่าไปเข้าข้างคนดีคนชั่ว ไปเข้าข้างคนดีมันก็จะไม่กลาง ไม่เข้าข้างคนดีก็จะเป็นกลางก็ต้องอยู่เฉยๆ เด๋อๆ โง่ๆ เป็นหัวตอก็ยังไม่ได้ หัวตอ ก็ยังเอาไปทำฟืนได้ แต่นี่ทำอะไรไม่ได้เลย หัวตอ บางทีก็นั่งได้ เอามาประดับประดาก็ได้ แต่คนพันธุ์นี้อย่าเอามาประดับเลย
_Aranyar Zeman (อรัญญา เซแมน) : เห็นด้วยค่ะเรื่องอาหาร กินแบบปรุงแต่งน้อยหรือไม่ปรุงแต่งเลย ชีวิตรู้สึกสบายกว่าการปรุงมากๆค่ะ
พ่อครูว่า…คุณนี้ฉลาด รู้ความจริงจะได้ทุกข์น้อยลง แล้วก็เป็นพิษเป็นภัยน้อยลงด้วยกับชีวิต คนที่ไปหลงถูกเขาหลอกปรุงแต่ง อาตมาดูโทรทัศน์พวกที่ชอบแสวงหากิน รายการอาหารกิน รายการอาหาร เห็นแล้วก็น่าสงสาร เมื่อไหร่เขาจะรู้ เขาจะหยุด ว่าเป็นการชวนกันหลงเลอะเทอะอย่างนั้นเสียที ถ้ามีความเฉลียวฉลาดที่จะพากันกิน ทำรายการอาหาร แล้วให้รู้จักอาหารธรรมชาติ ให้เข้ามาหาสิ่งที่อย่าไปหลงปรุงแต่ง เจ้านั้นเจ้านี้รูปดี รสดี กลิ่นดีตกแต่งดี มีคนเชิดชูว่าชั้นสูง ราคาแพง ไป หลอกให้สังคมปั่นป่วนหัวหมุนหลงเลอะเทอะ น่าสงสารน่าสังเวชใจ แต่ก่อนอาตมาก็เคยโง่ จัดรายการอาหารทางโทรทัศน์ ทำอยู่นาน แต่ก่อนคนเรายังโง่ เดี๋ยวนี้ฉลาดแล้วดีขึ้น
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : ถ้าชาวอโศกเป็นพุทธแท้ พุทธที่กินเหล้าเล่นหวยจะเรียกว่าอะไรดีครับ
พ่อครูว่า…ก็เอาแค่ง่ายๆก็ไม่แท้ ยังไม่ใช่พุทธแท้ เป็นพุทธเทียมพุทธเก๊ ก็ว่ามา ไปตำหนิเขาอย่างหนักก็ใช้คำหนัก ไปตำหนิไม่หนักก็ใช้คำไม่หนัก เท่านั้นเอง
ทำไมกามคุณกลายเป็นกามโทษ
_ตุ๊ก อัศวิน : กามคุณ กลายเป็น กามโทษ ได้ เพราะล้วนตกอยู่ในกฏไตรลักษณ์ (เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป)ไม่เที่ยง ดังนี้ใช่ไหม..เจ้าคะ
พ่อครูว่า…อาตมาพยายามจับความเข้าใจความหมายที่คุณตุ๊ก อัศวินหมายนี้ว่า กามคุณ กลายเป็นกามโทษ ได้ เพราะล้วนตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์
คุณพยายามทำความเข้าใจ กฎไตรลักษณ์มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ ที่มันไม่เกี่ยวข้องกับอะไร เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นกฎตายของธรรมชาติสามัญ
แต่เราเป็นคน เราจะปล่อยตัวไปตามธรรมชาติ ตามยถากรรม ว่าแล้วแต่มันจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คนนั้นก็ปล่อยตัว โดยที่ตัวเองยังไม่ได้ปฏิบัติอะไร ก็มีอวิชชาเป็นเจ้าเรือน มีกิเลสเป็นเจ้าเรือน กิเลสกับอวิชชามันจะพาไปตามยถากรรม พาไปตามไตรลักษณ์ ซวยๆๆ and the ซวย เท่านั้นเอง คนนั้น
ปล่อยไปตามยถากรรมคือ คนโง่ที่ยิ่งกว่าเดรัจฉาน เดรัจฉานมันยังพยายามพัฒนาตามฐานะของมัน แต่คนที่ไปคิดอย่างนี้แล้วก็ปล่อยตัวอย่างนี้ มันยิ่งกว่าเดรัจฉาน มันยิ่งตกต่ำ
เพราะคนอยู่กับคนที่พาไปทำชั่วทำเลว พาให้ปรุงแต่งอย่างมากอย่างนี้เป็นต้น มันแย่นะ ไม่ใช่เจริญขึ้นนะ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ไม่รู้เลยว่ามันมากเกิน มันได้จัดจ้านไปด้วยกิเลส
หยำฉ่าขนาดไหน นี่พวกนัก Creative นัก Design แล้วบอกว่าพวกนี้คือนักศิลปิน Create Design ออกมาให้มันแปลกใหม่ให้มันต่างไม่เหมือนใคร มันก็ยิ่งหลากหลายเทอะทับถมกับอันที่อยู่เก่า คนนิยมของข้า นี่แหละนี่คือข้าเป็นยอดศิลปิน
ซึ่งอาตมาเห็นแล้วรู้ว่า ทำไมเราต้องมาเรียนศิลปะ ก็ต้องเรียนรู้ศิลปะเพื่อจัดการเขกหัวศิลปะนี่เอง วิชาอื่นไม่เรียนมาเรียนแค่ศิลปะ เพราะตัวศิลปินหรือศิลปะทำให้โลกวุ่นชิบหายทุกวันนี้ Abstract บ้าๆบอๆแล้วโมเมเป็นศิลปะ อาตมาเห็นแล้วน่าสงสาร ในระดับประเทศในระดับโลกเลยนะ เอาก้อนขี้หมามาตั้งกลางลานให้คนดูได้คนนี้เป็นคนมีชื่อเสียง นี่แหละศิลปะ คือการถูกครอบงำทางความคิดจนโง่ได้ระดับ ขออภัยที่อาตมาวิจารณ์แรง
ถ้าหากพอเสียบ้าง พวกเราตกแต่งนี้ไม่ได้เรียนศิลปะ ก็สวยแล้ว เลอะแล้ว อันเดียวกัน สวยแล้วกับเลอะแล้ว อันเดียวกัน เรียบๆนี้สวยกว่าเลอะๆ ฟังให้เข้าใจ เห็นไหม เอ้า พอ.. วิจารณ์ไปอีกก็เมื่อย
คุณตุ๊ก กล่าวถึง “กามคุณ” กลายเป็น “กามโทษ” คำนี้สำคัญ
กามคุณ คือหลงกามว่าเป็นคุณ กามโทษ เข้าใจกามเป็นโทษ
ผู้ใดเห็นกามเป็นโทษ ผู้นั้นมีปัญญา ผู้ใดที่เห็นว่ากามเป็นคุณ ผู้นั้นโง่มีอวิชชา
ในอนุปุพพิกถา พระพุทธเจ้าถึงสอนไว้
-
ทาน การสละ การให้
-
ศีล การชำระขัดเกลา ด้วยเจตนางดเว้น
-
สัคคะ (สวรรค์)
-
กามานัง อาทีนวัง โอการัง สังกิเลสัง โทษของกาม ความต่ำทรามของกาม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย
-
เนกขัมมะ อานิสัง อานิสงส์การออกจากกาม
พ่อครูว่า…ผู้ใดหมดกามผู้นั้นเป็นผู้เจริญ ผู้ใดไม่มีอาการกามอยู่ในจิตอีกแล้ว อย่างน้อยเป็นอนาคามีบุคคลเป็นต้นไป
ตัดเกรดตัด Curve คำว่ากามของอนาคามีก็ค่อยๆเรียนกัน
เพราะฉะนั้นท่านจึงสอน ทาน ศีล สัคคะ คือสวรรค์ สวรรค์นี่แหละคือกาม ความใคร่อยากในรสเสพสม ก็เรียกว่าสมใจก็ได้สวรรค์ เสพความสนุกรื่นเริงเพลิดเพลินขึ้นสวรรค์ด้วยความพอใจอะไรก็ตามใจ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เข้าใจในเรื่องอาการของสวรรค์จิตที่เป็นอาการของสวรรค์ คนผู้นั้นก็จะตกอยู่ในความต้องเสพภพชาติของสวรรค์อยู่ตลอดกาลนาน
ศาสนาเทวนิยมไม่มีทางรู้จักสวรรค์และจบสวรรค์ จึงไม่มีนิพพาน แล้วก็กลายเป็นว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์เป็นเจ้าของสุข ใครอยากได้สุขก็ต้องไปขอจากพระเจ้า ถ้ามันไม่ได้สุขก็บอกว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ถ้ามันได้สุขก็คือบอกว่าพระเจ้าประทานที่แท้คือความโง่ของตัวเองทั้งสิ้น
ไปหลงว่าสุขมันมี ทุกข์มันมี ไปหลงอารมณ์ที่ไปยึดถือ ปั้นรูปเป็นสภาพแล้วยึดว่าอย่างนี้ คนหยาบๆจัดจ้านก็ต้องเอาอย่างจัดจ้านจึงจะสุขต้องสมใจ ต้องเอาให้ถึงใจ แล้วก็ไม่รู้ตัวกันอยู่ทั้งโลกเทวนิยม จะเล่นเกมกีฬา จะเล่นความสวยความงาม จะเล่นความเก่งความเลิศ จะอะไรก็ตาม จะต้องให้สุดยอด ถ้าไม่ได้ก็ไม่ถึงใจ โดยไม่เข้าใจเรื่องอารมณ์หรือความรู้สึก
จุดสำคัญที่สุดของมนุษย์ก็คือเวทนาหรืออารมณ์ หรือความรู้สึกนี้ ต้องมาเรียนรู้คุณเรียนรู้โทษ เรียนตั้งแต่กาม หยาบภายนอก หมดแล้วกามภายนอก มีวิมุตติญาณทัสสนะ มีปัญญาญาณทัศนะวิเศษอยู่เหนือมันแล้ว เด็ดขาด เหลือข้างในก็เป็นอนาคามีล้างอีก
ลด ความหลงโง่หลงยึดติด จนหมด เห็นเป็นสิ่งที่เป็นสังขารธรรมดาในโลก มันสังขารตามเป็นจริงของมัน ตามภาวะปรุงแต่งกันด้วย 2 สภาพขึ้นไปก็เป็นธรรมดา จะเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งก็เป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดา ไม่ได้หวั่นไหวไปกับรสแรง รสเบารสกลาง จะเป็นรสทางตา เป็นรสทางเสียง จะเป็นรสทางกลิ่น จะเป็นรสทางลิ้น จะเป็นรสทาง สัมผัสเสียดสีเย็นร้อนอ่อนแข็ง มันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่มันสัมผัสกันเกี่ยวข้องกัน
แรงจะบอกก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ ต้องการให้แรงก็แรง อาตมาต้องการให้แรงก็แรง
จะได้กระเทือนจะให้รู้สภาพจริง ถ้าหากพูดเบาๆมันไม่กระเตื้องกับคนที่หนาด้วยกิเลสมันหนามากก็ต้องพูดแรงๆ คนกิเลสเบาบางเอาเถอะ ไม่ต้องให้อาตมาไปพูดมากเขาก็เข้าใจพูดแรงเขาก็เข้าใจเพราะว่าผู้ที่กิเลสเบาบาง เจริญไปทางอาริยบุคคลจริงๆ ยิ่งเป็นอรหันต์แล้วจะเข้าใจอาตมา ยุคนี้พูดเบาๆได้อย่างไรเพราะว่ากิเลสมันหนามากมันคนละเรื่อง ผู้ที่มีภูมิปัญญาจะรู้ว่าอาตมาทำไมต้องพูดแรงๆ
แต่ผู้ที่ไม่กล้าพูดแรงเพราะยังไม่ชัดไม่จริง ยังไม่รู้ว่าในยุคนี้ Status Quo ในยุคนี้ขณะนี้เป็นอย่างไรคุณไม่รู้เรื่อง อาตมาทำให้เหมาะสมกับมหาประเทส 4
สรุปแล้วพระพุทธเจ้าท่านสรุปในพระไตรปิฎก มีคุณและโทษ รู้จักคุณและโทษ แล้วก็เข้าใจแล้วมีคุณกับโทษอยู่ในโลก แล้วเราก็ไม่ไปประพฤติสิ่งที่เป็นโทษ มันจะมีอย่างไรแล้วเราก็ไม่ไปติดยึดในคุณ แต่เราก็ทำงานในสิ่งที่เป็นคุณ มีกรรมกิริยาเป็นสิ่งที่เป็นคุณ
นิมนต์พ่อครูต์จิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…พ่อครูว่า จิตอรหันต์จะเร็วเหมือนลิง ไม่เหมือนทางโลก
อยู่กับไตรลักษณ์กับสำเร็จไตรลักษณ์ให้ต่างกัน
พ่อครูว่า…เมื่อกี้นี้ คุณตุ๊ก อัศวิน บอกว่ากามคุณกลายเป็นกามโทษได้เพราะว่าเป็นกฎไตรลักษณ์ ซึ่งมันต้องมีปัญญาแล้วก็รู้ว่ามันไม่เที่ยงนี้นะ คำว่าไม่เที่ยงโดยแน่นอนซะ มันก็ขึ้นลงไปมาวนเวียน ไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่เที่ยงไปเรื่อยๆก็หมุนเวียนไปมาเละเทะไปเรียกว่าไม่เที่ยงแหลกลาญเลย แต่ทุกอย่างมันเคลื่อนไปเรื่อยๆ ในมหาจักรวาลนี้ไม่มีอะไรหยุดนิ่งไม่เคลื่อนที่เลย ไม่มี นอกจากจิตของเราเท่านั้นที่เราจะรู้ ภาวะการเคลื่อนของสิ่งที่มันหยุดได้ยิ่งกว่าเรา เราไม่มีภูมิธรรมจะไปสัมผัสกับความจริงที่มันหยุดได้ยิ่งกว่าเรา เราก็เลยไม่รู้อันนี้ เท่านั้นเอง
มาพูดถึงสภาพที่บอกว่าไตรลักษณ์ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป คนก็พูดพล่อยๆทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเฉยๆ คนนี้ไม่ได้ปฏิบัติธรรม
ถ้าคนปฏิบัติธรรมจะต้องรู้ว่าเกิดขึ้นคืออะไร ตั้งอยู่คืออะไร ดับไปคืออะไร แล้วคุณจะต้องมาปฏิบัติเรียนรู้สิ่งที่ดับไปให้ได้เป็นที่สุด จนคุณสามารถดับในจิตของคุณ ที่มันมีกิเลสก็ดับกิเลสไม่ให้มันเกิดในจิตของคุณอีกเลย อันนี้คุณรู้จักไตรลักษณ์ รู้จักลักษณะของความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แล้วคุณก็สามารถรู้ว่ามันเกิดนะ เกิดแล้วมันยังอยู่นะ ตั้งอยู่จนกระทั่งทำให้ไม่เกิด ไม่ตั้ง หายไป หยุดไป ไม่มี นี่ต่างหากคือการรู้จักไตรลักษณ์ แล้วทำไตรลักษณ์ให้สมบูรณ์แบบ
หากว่าทำเป็นโก้ บอกว่าทุกอย่างก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป คุณก็จะวนเวียนอยู่กับความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปนิรันดร เราต้องทำให้สำเร็จไตรลักษณ์ต่างหาก
มันต้องรู้ว่ามันยังอยู่นะแล้วทำให้มันไม่เกิด ทำให้มันไม่อยู่ ทำให้มันดับสูญนิรันดร์ ตั้งแต่สิ่งที่มันเกิดในจิตเป็นสภาพนรก สภาพง่ายๆ ตื้นๆ หยาบๆ ที่ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ แล้วคุณก็เลิกสิ่งนี้ไม่ให้มันเกิด ไม่ให้มันตั้งอยู่ ไม่มีในจิตอีกเลย นั่นคือดับไป คุณทำความดับไปให้สำเร็จบริบูรณ์ได้ นี่คือจุดหมายของศาสนาพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ตอนเป็นเป็น
เพราะฉะนั้นจิตของพระอรหันต์ ก็ต้องรู้ถึงความดับไปแล้วในจิต คุณอยู่กับโลกเขา คุณอยู่กับวัตถุต่างๆ สมมุติวัตถุต่างๆอย่างไร คุณก็เข้าใจสมมุติของเขา แต่คุณก็ไม่ได้ไปกระดี๊กระด๊ากับมัน อะไรควรอาศัยก็อาศัยมัน เช่น ธนบัตร อาตมาก็อาศัยธนบัตรในทุกวันนี้ แต่อาตมาไม่ได้ยึดติดอะไร หากจำเป็นจะต้องใช้ธนบัตรเพื่อการงาน เพื่อสิ่งที่จะต้องอะไรต่างๆนานา จะต้องใช้อันนี้เป็นสื่อในการใช้กับสังคมสมมุติเขาไป ก็ใช้ไปก็ทำไป ตามกฎระเบียบวินัย อาตมาก็ไม่ได้ผิดวินัยเอาไปใช้เงินใช้ทองตามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไม่ให้ทำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้เจอเงินเลย ไม่แตะเงินเลย ไม่มีเงินเลย ไม่ อาตมาทำงานบริหารชุมชนซึ่งมีหลายชุมชนชาวอโศกในเมืองไทย
ได้ขนาดนี้อย่างเป็นสาธารณโภคี อาตมาว่าประสบผลสำเร็จ ไม่ได้พูดอย่างลมๆแล้งๆโง่ๆ ที่จริงมันไม่เป็นไร แต่คุณหลงลืมว่ามันมี อาตมาว่าไม่ใช่ แต่มันเป็นสาธารณโภคีจริง
การทำงานกับมนุษยชาติทั้งจิตวิญญาณทั้งพฤติกรรมที่เป็นอยู่ร่วมแล้วเป็นชีวิต ชีวิตคนมาพูดได้ลงตัวตามพระพุทธเจ้าสอน จนกลายเป็นคนมีวรรณะ 9 เป็นสังคมสาราณียธรรม 6
อาตมาสรุปเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามายืนยัน พวกคุณพอเข้าใจเลยใช่ไหม ส่วนคนข้างนอกจะเข้าใจได้ยาก เพราะเขาไม่รู้เรื่อง ว่าจะมาศึกษาอะไร ปฏิบัติธรรมต้องไปนั่งหลับตา หลับตาปฏิบัติและสมาธิเก่งเยี่ยมยอด ดีไม่ดีก็มีความพิเศษหลายๆอย่างในสมาธินั้น ซึ่งมันออกนอกรีตของพระพุทธเจ้าไปไกลมากเลยทุกวันนี้ ก็ค่อยๆศึกษากันไป
เข้าใจสัญญากับสังขารให้ชัดจึงปฏิบัติได้บรรลุ
_สุดา : กราบนมัสการค่ะ ขอฝากคำถามพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ว่า สัญญ กับ สังขาร มีความหมาย ความต่าง ความสัมพันธ์ ประโยชน์ อย่างไรค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า…สัญญ คือการกำหนดรู้ ส่วนสังขารคือการปรุงแต่ง ก็เป็นขันธ์ทั้ง 5 ของมนุษย์ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็หยิบเอาคำว่า สัญญา สัญญะ กับ สังขารมาถาม
มันก็เป็นอาการของจิต อาการหน้าที่ของมัน หน้าที่ของสัญญาคือการกำหนดรู้กับจำ ตัวนี้เก่งแบกไว้ทั้ง 2 อย่าง แบกไว้ทั้งการกำหนดและรู้ธรรม ทั้งกำหนดรู้แล้วกำหนดรู้ ตัวสัญญานี้ทำงานหนักมากเลยในจำนวนเจตสิกต่างๆ สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ที่ไม่ปฏิบัติธรรมใช้สัญญาไม่เป็น กำหนดสัญญาไม่เป็น ทำการกำหนดรู้ แล้วก็ได้ศึกษาไปกับการกำหนดเอารู้ ใช้สัญญาไม่เป็น การกำหนดรู้ไม่เป็น ก็ปฏิบัติธรรมไม่เป็น หากว่าใช้สัญญาเป็น กำหนดรู้เป็นก็ไปใช้กำหนดรู้ เวทนากับสังขาร
ปรุงแต่งสังขารกันอย่างไร ปรุงแต่งอย่างไรเป็นเวทนา แล้วเวทนาเป็นสุขเป็นทุกข์เป็นอย่างไรมีอะไรไปร่วมลงอยู่ในนั้น มีอะไรต้องเอาออกไหม ไม่ให้มันปรุงให้มันปรุงเป็นอภิสังขาร ปรุงอย่างที่มันไม่ควรจะต้องมีตัวที่ไม่ดีไปร่วม ปรุงแต่เฉพาะความบริสุทธิ์สะอาดเฉพาะความรู้เป็นจริงมีหนึ่งเดียว
อภิสังขารก็ ฆ่า ที่ไม่สมควรเข้าไปปรุง เรียกว่ากำจัดหรือชำระ ปุญญะ เดี๋ยวนี้คำนี้เพี้ยนไปหมดแล้วกลายเป็นกุศลเป็นสิ่งที่ต้องได้ซึ่งไม่ใช่ นี่มันเป็นอาวุธร้ายเป็นกิโยติน เครื่องประหารตัดหัวหมาของเปาบุ้นจิ้น มันเป็นเครื่องฆ่า บุญน่ะ อย่าไปอยากได้ ใครอย่าไปเข้าใกล้กิโยตินเครื่องตัดหัวหมา เปาบุ้นจิ้น หากว่าใครเข้าไปใกล้แล้วเปาบุ้นจิ้นบอกว่าเอาเครื่องประหารมา ตัดคอเลย ไปเลยอย่าไปอยากได้บุญ
เพราะฉะนั้นคนไม่มีบุญคือคนเป็นอรหันต์ หมดบุญ หมดบาป เป็นอรหันต์ ดูอันนี้ก็ผิดเพี้ยนไปหมดแล้วในโลก เพราะคำว่าบุญมันเพี้ยนไปเยอะแล้วกลายเป็นกุศล ศาสนาพุทธในโลกที่เข้าใจคำว่าบุญไม่ได้ ไม่ถูกต้อง ก็ไม่มีนิพพาน เพราะคนหมดบุญคือคนมีนิพพาน แล้วคุณไปแสวงบุญอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องหมดบุญรู้บุญให้ได้ บุญเป็นกิริยา ทำหน้าที่จัดการกับกิเลส ไม่ได้เลอะเทอะไปจัดการอย่างอื่นสำหรับบุญ นี่สุดยอด
สัญญากำหนดหมายให้แม่น แล้วทำการอภิสังขาร คือฆ่าตัวกิเลสให้ได้ พระพุทธเจ้าย่อชีวิตให้มาเรียนรู้กิเลส วิชาอะไรอื่นทั้งนั้นในโลกไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับวิชานี้รู้เรียนรู้กิเลสพระพุทธเจ้าท่านจบ 18 สาขาวิชาเอกทั้งนั้น ท่านก็ไม่ใช้เลย ท่านมาเอาวิชชาของท่าน ซึ่งวิชาทั้งหลายในตักสิลา 18 วิชาก็ไม่มีวิชานี้ท่านก็โยนทิ้ง18 วิชานี้หมด
สรุปลงไปที่มนุษยชาติ มีการกำหนดรู้กิเลส กำหนดอุบายเครื่องออก หรือสิ่งที่จะทำให้กิเลสลดลงจนดับกิเลสได้เป็นอุบายเครื่องออก ใช้สำนวนภาษาวิชาการแปลอุบายเครื่องออก ฆ่ากิเลสได้หมด คือการอภิสังขารให้จิตสะอาดจากกิเลสได้หมดจบเป็นพระอรหันต์ นี่คือสุดยอดของความเป็นคน พระพุทธเจ้าทำงานนี้เท่านี้
รู้ความรู้ทั้งหลายแหล่ในโลกทำร่วมกับเขาได้หมด ในโลกก็ไม่เอา แต่มาทำงานนี้งานเดียว พอสมควรแล้วงานนี้เสร็จแล้วก็พอแล้ว เราทำงานเสร็จแล้ว ปรับวาทะ สามารถทำให้พวกเรารับความรู้นี้เอาไว้สร้างศาสนาต่อ แต่งตั้งจำแนก ปรับวาทะ เพื่อดำเนินต่อไปได้แล้วเราก็ปรินิพพานแล้ว อานนท์จะไปอาราธนาให้อยู่อีก ก็บอกว่าเราทำสัญญาณให้เธอตั้ง 16 ครั้ง เธอยังไม่ยอมท้วงเราเลย จะมาท้วงเอาตอนปลงอายุสังขารแล้ว เมินเสียเถิด ไม่สำเร็จ
สัญญามีหน้าที่กำหนดรู้กับจำ จิตทำงานเป็นสังขารได้ จิตทำงานเป็นสังขารได้แล้วจงทำอภิสังขารให้ได้แล้วฆ่ากิเลสหมด เมื่อฆ่ากิเลสหมดก็เป็นอปุญญาภิสังขาร คือ ไม่มีอีกแล้วบุญ แต่ไม่ใช่กลายเป็นบาปอีกนะ เราก็ต้องเข้าใจสภาวะพวกนี้ด้วย ถ้าหากไม่เข้าใจมันก็วนเวียนระหว่างบาปกับบุญ บุญกับบาป วนเวียนไม่มีนิพพาน
นี่คือความยังไม่ชัดเจน ยังไม่เข้าใจในสภาวะธรรมที่แท้จริงเพียงพอ มันก็จะไม่รู้จบ ถ้าเข้าใจสภาวะและความหมายของภาษาด้วย ตรงกัน ลงกันอย่างดี ก็จบได้
เพราะฉะนั้นสัญญาคือกำหนดรู้ สังขารคือการปรุงแต่ง แล้วปรุงแต่งอย่าง อภิ ก็จบ แล้วสัญญาให้แม่น อย่าไปสัญญาวิปลาส
สัญญาวิปลาส
สัญญาว่าทุกข์เป็นสุข สัญญาว่าไม่เที่ยงเป็นเที่ยง สัญญาว่าไม่มีตัวตนว่ามีตัวตน สัญญาว่า น่าได้ น่ามี น่าเป็น ทั้งๆที่มันไม่น่ามี ไม่น่าได้ ไม่น่าเป็น อย่างนี้เป็นต้น นี่แหละคือสัญญาวิปลาส 4
ข้อสำคัญทำสัญญาให้ตรง สัญญาที่สำคัญคือ สัญญากำหนดรู้ว่า คุณสังขารอย่างนี้ สังขารอย่างไร สังขารอย่างบุญ ล้างกิเลส จนหมดเป็นอปุญญาภิสังขาร จากนั้น จะสังขารอีกเท่าไหร่ก็เป็น อเนญชา แต่จิตกลางเฉย ไม่มีบาปไม่มีบุญ บริสุทธิ์ สะอาด ตกผลึกลงไปเป็นจิตตั้งมั่น อเนญชา อภิสังขาร มี 3 อย่าง
มีความต่างความสัมพันธ์ก็ต้องเกี่ยวข้องกัน หากว่าทำสัญญาไม่เป็น สังขารไม่เป็น ก็ไม่สำเร็จ ก็ต้องรู้ความจริงของมัน ความต่างของมัน ความสัมพันธ์ของมัน ก็ต้องรู้ความจริงแล้วต้องใช้ทั้งสัญญาและสังขาร ให้ได้ประโยชน์ จบประโยชน์สิ้นก็คือบรรลุอรหันต์
คุ้มไหมที่ไปประท้วงรัฐบาลเลวใน Neo protest
_สิริมา หายโง่ : กรณีเช่นเรือตรีแซมดิน เลิศบุษย์ เข้าร่วมขับไล่รัฐบาลที่ใช้อำนาจ’อธรรม’ ในการปกครอง ทำให้ประชาชนเดือดร้อน นับตั้งแต่สมัยพฤษภาทมิฬ’ พ.ศ.2535 จนถึงรัฐบาลทักษิณและคณะ.. เมื่อรัฐบาลอธรรมเหล่านั้นหลุดไป.. นอกจากคุณแซมดินจะไม่ได้ผลประโยชน์ทางการเมืองแล้ว เขายังถูกพิพากษาว่าเป็นกบฎ.. ต้องโทษตามระบิลเมือง.. ดิฉันถามเขาว่า ‘มันคุ้มไหม’ เขาตอบว่า’คุ้ม’ ขอความกรุณาพ่อครูได้โปรดขยายความคำว่า’คุ้ม’ ในประเด็นนี้เนื่องจากทราบว่าพ่อครูรู้จักเขามานานในฐานะผู้ปฏิบัติธรรม…กราบขออภัยหากคำถามนี้ไม่สมควรค่ะ
พ่อครูว่า…คำถามนี้สมควรพูดกัน ดี แซมดินก็เป็นคนอยู่ในชาวอโศก แล้วก็เป็นคนอยู่ในระดับเป็นผู้นำคนหนึ่งในกระบวนการหมู่ชาวอโศก ตั้งแต่เข้ามาปฏิบัติธรรม จนกระทั่งร่วมทำงานกับอาตมาไป ก็ออกไปเป็นตัวแทนเป็นตัวปฏิบัติ ตั้งแต่ออกไปร่วมกับอาตมาจนกระทั่งคุณสุเทพปรากฏตัวเข้ามาในการร่วมในการทำการประท้วงตอนโน้น ซึ่งการประท้วงการทำ protest เป็นวิธีการของประชาธิปไตย ประชาชนไปรวมตัวกันมากๆ ไปประท้วงก็คือลักษณะของประชาธิปไตย ประท้วงเรื่องอะไร ประท้วงเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เรื่องไม่ดีไม่ควรสำหรับรัฐบาล ไม่ดีอย่างไร เอารัฐบาลออกไปทั้งรัฐบาลเลย ทั้งคณะรัฐมนตรี ผู้ที่ดำเนินงานกันอยู่ว่ากันไป เอาความจริงมาว่า เราก็ได้ไปทำการประท้วงเป็นการประหาร ประหารรัฐบาลด้วยการประท้วง ไม่ได้ไปประท้วงแบบม็อบอย่างที่เขาทำกันอยู่ ม็อบคือการชุมนุมประท้วงที่เกิดความวุ่นวาย เกิดความวุ่นวายเดือดร้อน ดีไม่ดีถึงขั้นล้มตาย ฆ่าแกงกัน
ส่วนการ protest อาตมาใช้คำว่า Neo protest ทำโบว์ชัวร์แจกกันไปหลายหมื่นแผ่น ใช้คำว่า Neo protest คำว่า Neo ก็คือคำว่า New หรือคำว่าใหม่ ฝ่ายแดงหรือฝ่ายอะไรก็ชุมนุมประท้วง คณะอื่นที่มีประท้วงก็มีแบบรุนแรง การประท้วงเป็นการประหารด้วยความสงบเป็นการประหารรัฐบาล ประท้วงด้วยความสงบ
เป้าหมายของการชุมนุม
-
ไม่มุ่งหาปริมาณเป็นเอก แต่ มีปริมาณการแสดงออกเป็นประชาธิปไตย
ที่จริงแล้วคนออกมาร่วมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นการแสดงประชาธิปไตย แต่เราไม่เน้น จะมาร่วมโดยที่เราไม่ต้องไปอยาก แต่ถ้ามันเกิดได้จริงมันก็จะมามาก ตั้งแต่เราไปเริ่ม ตั้งแต่ พ.ศ. 2549 จนถึงปี พ.ศ. 2557 พลเอกประยุทธ์มารับไม้ต่อแล้วก็เสร็จไป พูดแล้วพูดอีกคนก็ยังไม่เข้าใจในรัฐศาสตร์บทนี้ เป็นรัฐศาสตร์หน้านี้ที่เขายังไม่เข้าใจกันว่า นี่คือประชาธิปไตยที่สวยงามที่สุดในประเทศไทยที่ทำให้แก่โลกได้ดู คือมวลประชาชนไปทำรัฐประหาร โดยการประท้วงด้วยความสงบเอาความจริงเข้ามาเป็นแก่นแกนในการที่จะเป็นอาวุธ เอาความจริงเป็นอาวุธ
ความจริงอย่างไร พูดความจริงออกมาให้หมด หลักฐานอะไรมีเอามาแสดง ยืนยันความจริงออกไปจนเขาพ่ายแพ้ รัฐบาลไม่ถูกต้องอย่างไรเราก็เอาไปยืนยันมันตรงเขาก็แพ้ความจริง เราเอาความจริงเข้ามายืนยันเขาแพ้ความจริง จะเป็นศาลช่วยตัดสิน ผู้ที่ไม่มาร่วมหรือมาร่วมก็ร่วมกันตัดสินทำได้ถูกต้องเสร็จหมดจด
-
แสดงคุณภาพของความเป็น ประชาธิปไตย (จิตที่มีธรรมะ) ประชาธิปไตยที่แท้นี้คือจิตที่มีธรรมะ
-
เพื่อมาแสดงสิทธิร่วมชุมนุม ยืนยันอำนาจอธิปไตยของมวลประชาชน
-
ไม่มุ่งหมายชนะหรือแพ้ ให้ความรู้ความจริงเป็นตัวตัดสิน
ตั้งแต่เราก่อหวอดมีผู้มาร่วม ที่จริงเราไปร่วมกับพันธมิตรตั้งแต่เริ่มต้นคุณจำลอง คุณสนธิเป็นแกนนำด้วยกัน แล้วก็ร่วมประท้วงกันมาตั้งแต่บัดโน้น จนกระทั่งคุณสุเทพนำมวลมา ปฏิกิริยาของคุณสุเทพเป็นนักการเมือง เคยเป็นผู้นำ เป็นรองนายกฯ เป็นรัฐมนตรี เป็นนักการเมืองมาแต่ไหนแต่ไรก็มีกู๊ดวิลทางนี้ ทำให้ประชาชนเห็น เขาเป็นนักรัฐประศาสนศาสตร์ จึงทำให้คนมาร่วมกันได้หลายสิบล้านคน ก็เป็นมวลประชาชนที่ใหญ่ จนกระทั่งยืนยันอำนาจอธิปไตยของมวลประชาชนนี้ได้
เราไม่ได้มุ่งชนะหรือแพ้ แต่เราเอาความจริงเข้าว่า ความจริงมันเป็นความจริงที่มันชนะมันก็เป็นเรื่องของความจริง ก็แสดงว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะความจริงมันชนะ
เอาวิถีชีวิตความเป็นสาธารณโภคีมาแสดง (มีทรัพย์สินเป็นของส่วนกลางให้ทุกคนต่างร่วมกินร่วมใช้ได้) ได้แสดงได้ประกาศได้เขียนไว้เป็นสังคม เป็นหมู่บ้าน ดูไป ล้อเลียนดูไบเขาที่สวนลุมฯ แสดงอยู่พักหนึ่งเลย ให้เห็นลักษณะของสาธารณโภคีว่าเราเป็นอยู่กันอย่างไร
ก็มีคนไปรับบริการ มีคนไปสัมผัส มีคนไปเห็นไปดูแล้วก็ไปกินอาหารร่วมกับพวกเรา คนไปนอนไปพักอะไรด้วย อยู่พักหนึ่ง แสดงสาธารณโภคีว่าเป็นอย่างนี้ มวลชนเป็นสาธารณโภคีสังคมเป็นสาธารณโภคีทำให้ดูให้เห็น แล้วก็มีคนที่ได้เข้ามาร่วมได้เข้ามาสัมผัสมากินมานอนมาอะไรต่ออะไรอยู่จนมากลายเป็นชาวอโศกก็เห็นอยู่
ใครมาในยุคสวนลุมบ้างยกมือขึ้นซิ ซึ่งมันเป็นเรื่องสัจจะของมนุษยชาติเป็นความรู้ความจริงที่ได้ดำเนินการ
-
ยุทธวิธีการชุมนุม (รูปแบบการชุมนุม)
-
สุภาพ สงบ และเรียบร้อย
-
ไม่มีความรุนแรง
-
เสนอ ความรู้ และ ความจริง
-
ไม่หยาบ
-
ไม่ผิด
กล่าวคำแรง เสียงดัง เท่าใดก็ได้
-
ปรัชญาการชุมนุม ได้แก่ สันติ (peaceful), อหิงสา(non violent), ซื่อสัตย์, บริสุทธิ์, คมลึก, แม่นประเด็น