640724_พ่อครูเทศน์เวียนธรรม วันอาสาฬหบูชา ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1XBfm83qUEiAag71LrrYgJWndmCdFi7ulPcZTI6BWxGE/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1hvLrSxs-TnznWfV74mQQZkSvQlUO1A0v/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/oaJyKXrOzg0 คนที่ประเสริฐที่สุด คนที่สูงที่สุดคืออะไร พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก พวกเรานี้ศึกษาธรรมะมา ยิ่งอยู่กับอโศกนานก็ยิ่งได้ศึกษามาก แล้วเราพูดถึงเนื้อหาธรรมะที่เป็นสาระแก่นสาร ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วเอามาเปิดเผยเอามาสอนให้พวกเรารู้ความจริง ความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นคือความเป็นคน พระพุทธเจ้าก็มาไขความเป็นคน ให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ว่ามันประกอบไปด้วยอะไร แล้วที่สุด แห่งที่สุดจริงๆ มันจะทำให้ความเป็นคนนี้หายไปจากวัฏสงสาร หายไปจากเอกภพมหาจักรวาล หรือว่าหายไปจากกาละ หายไปจากกาล ของเอกภพของมหาจักรวาลนี้ มันจะทำได้ไหม พระพุทธเจ้าค้นพบว่าทำได้ นั่นเป็นประเด็นสำคัญ พระพุทธเจ้าสามารถที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางมนุษยวิทยา ทางชีววิทยา ทางวิญญาณวิทยา สามารถรู้แจ้งรู้จริงว่าคืออะไรหมด ทั้งวิญญาณ ทั้งชีวะ ทั้งมนุษย์ ความเป็นคน ท่านรู้จบ และที่ว่ารู้จบคือสามารถทำให้อัตภาพ ที่มันเป็นตัวเราตัวตนคนหนึ่ง เลิกเป็นคนคนนึงเลยได้ หายไปเป็นดินน้ำลมไฟ กลายไปเป็นดินน้ำลมไฟเลย ได้ เลิกเลย นี่เป็นประเด็นสำคัญที่สุด จึงพิสูจน์ได้ว่าจิตวิญญาณหรืออัตภาพทั้งหลาย มันไม่ได้อยู่นิรันดร หรือมันไม่ได้ไปอยู่กับพระเจ้าที่ไหนเลย เพราะตัวเองทำให้สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยได้ พระเจ้าหน้าแตกเลย ประกาศว่าวิญญาณต้องมาอยู่กับตนเอง ตนเองเป็นผู้สร้างวิญญาณ เป็นผู้กำกับวิญญาณเป็นเจ้าวิญญาณในมหาจักรวาลมีทั้งหมด เลยกลายเป็นเปิดโปงความไม่รู้ของพระเจ้า ว่าพระเจ้ารู้ไม่ครบ รู้ไม่หมด พระเจ้าจึงกลายเป็นตนเองก็ต้องนิรันดร เพราะตัวเองทำความสลายตนเองไม่ได้ เลยจำนนต้องเป็นสิ่งนิรันดรอยู่อย่างนั้น แล้วก็เลยยกตัวยกตนว่าเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง พระพุทธเจ้าก็มาเปิดเผยรายละเอียดต่อไปอีกว่า จ้างก็ไม่ใช่ พระเจ้าจะมาทำให้คนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เปิดเผยว่า เจ้าของอัตภาพเองนั่นแหละทำให้ตนเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะให้ดี จะให้ชั่ว จะให้เจริญจะให้เสื่อมก็ตนเองทั้งนั้น ตนเองเป็นเจ้าของการกระทำทุกอย่าง ทั้งการกระทำทางใจ ทางวาจา ทางกาย ก็ตนเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้นประเด็นต่อมา ถ้าจะอยู่เป็นชีวิตคน ถ้าไม่อยู่ก็สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปได้ แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องอยู่อย่างคนประเสริฐ คนดี ไม่ทำบาปทั้งปวง สัพพะปาปัสสะ อกรณัง ถ้ามีกรรมก็มีแต่กรรมดี กุสลัสสูปสัมปทา ไม่เป็นอกุศลเลยเพราะว่า สจิตปริโยทปนัง เพราะได้ทำจิตให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงให้จบหมดเลย ก็เลยเป็นเจ้าของจิตเป็นเจ้าของวิญญาณที่สามารถเป็น วสวัตตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ไม่มีการใฝ่ต่ำเลย มีแต่การใฝ่สูง ถ้าจะเรียกว่าคำว่าสูงว่าต่ำ มีแต่สูงกับสูงเจริญไปแต่ฝ่ายเดียว ถ้าจะยังชีพมีชีวิตอยู่ ก็เป็นผู้ประเสริฐ คนที่สูงที่ประเสริฐที่สุดก็คือ ไม่มองอะไรเป็นความต่ำ ที่เราจะต้องไปรู้สึกกด รู้สึกข่มรู้สึกดูถูก เขาจะต่ำโดยสัจจะก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่ต้องไปรู้สึกกด รู้สึกข่ม แต่คนต่ำคือคนที่ควรจะต้องช่วยเหลือให้สูงขึ้น ให้เจริญขึ้น จึงมีหน้าที่เมื่อตนเองบรรลุสูงสุดแล้ว เป็นผู้ที่ไม่ทำบาปทั้งปวง กรรมทุกกรรมมีแต่ทำกุศล ทำจิตให้สะอาดผ่องใสจากกิเลสที่เป็นตัวเหตุจากอวิชชา ทำให้คนโง่กำกับกรรมของตนเองให้เจริญแต่ถ่ายเดียว ไม่มีเสื่อม จนกระทั่งทำให้จิตตนเอง เจริญถ่ายเดียวไม่มีเสื่อม ไม่มีอะไรที่จะทำไม่ดี ได้อย่างแข็งแรงสมบูรณ์ถาวร ก็จึงเหลือหน้าที่อยู่ที่ว่า ถ้าจะไม่สลายอย่างที่พูดตอนต้น จะยังมีชีวิตอยู่ ไม่สลายไปตอนที่ตายจะยังวนเวียนเกิดอีกอยู่ ผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้ว สามารถที่จะวนเวียนเกิดอยู่นี้อย่างไม่ทำบาปทั้งปวง ทุกกรรมที่ทำมีแต่ดี จิตวิญญาณก็ถือว่าจบกิจ แล้วยังมีสูงกว่านั้นอีกเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี้เรียนรู้ก็จะรู้แจ้งรู้จริงอย่างแท้จริงเลยว่า แท้ๆพระเจ้าขี้โม้ คำว่าพระเจ้านิรันดรไม่มีจริง อย่างชัดเจนยิ่งกว่าพระอรหันต์อีก เพราะเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นความจริงที่จริงที่สุด ในโลกนี้ผู้ที่ยังมีโอกาสมารู้จักความจริงที่ประเสริฐที่สุดดีที่สุดดีที่สุด คือ 1. ทำอัตภาพ ทำจิตวิญญาณตนเองให้สูญสลายเป็นดินน้ำไปลมไปได้ นี่คือสุดเก่งแล้ว 2. ถ้าจะอยู่เป็นมนุษย์อีกต่อไป จะอยู่ไปให้ยาวนานเป็นพระอวโลกิเตศวรที่มีปณิธานว่า จะช่วยคนให้เป็นพระอรหันต์จนหมดโลก แล้วตนเองค่อยปรินิพพานเป็นปริโยสาน มันเป็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่จนกระทั่งว่า มันจะมีจริงหรือ มันจะเป็นไปได้หรือ คิดอย่างนี้ทำอย่างนี้ จะอยู่ไปอย่างไร จะวนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่มีเบื่อหรือ เกิดมาก็เอาแต่ช่วยคนสอนคนให้คนปรินิพพาน เป็นปริโยสาน จนคนบรรลุอรหันต์หมดทั้งโลก มันเป็นปณิธาน เป็นเป้าหมายของสิ่งที่มนุษย์โลกในโลกนี้จะทำได้หรือ ก็เอาเถอะ มันก็เป็นอะไรที่เป็นจุดสวยๆงามๆสูงสุด ที่ได้ตั้งไว้ ให้คนมุ่งทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ มันเป็นปรัชญาเป็นปณิธานที่ประเสริฐที่สุดแล้ว โพธิกิจที่ยากยิ่งของพ่อครูในการกอบกู้ศาสนา อาตมาเกิดมาในชาตินี้มารู้จักศาสนาพุทธบำเพ็ญความเป็นศาสนาพุทธมาจนถึงวันนี้วินาทีนี้ ก็บรรลุมาเป็นลำดับ มาถึงวันนี้ก็เปิดเผยด้วยความซื่อๆจริงใจ ว่าเราเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 คนที่ไม่รู้เขาก็หมั่นไส้ อคติไปเลย อย่างไรกูก็ไม่เชื่อ อมพระวัดเอี่ยมวรนุช รู้จักพระเอี่ยมวรนุชไหม คือหลวงพ่อโต ที่ยืน อมพระหลวงพ่อโตวัดเอี่ยมวรนุชมาพูดก็ไม่เชื่อ องค์พระองค์โตขนาดไหนมาพูดเขาก็ไม่เชื่อ มันก็บังคับเขาไม่ได้ เขาไม่เชื่อ แต่มีคนที่เชื่อเห็นจริงเข้าใจ คือชาวอโศก มันเป็นการพิสูจน์ ในยุค 2,500 กว่าปีที่ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าสมณโคดมยืนยาวมาจนถึงครึ่งของพุทธกัป 5,000 ปีของศาสนาพุทธจะหมด นี่ก็ครึ่งของ 5,000 ปี ก็เสื่อมไป จนกระทั่งโลกุตรธรรมของจริงของพระพุทธเจ้ามันไม่เหลือตามที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์เอาไว้ ในอาณีสูตร ว่ากลองอานกะ จะไม่เหลือเชื้อเหลือเนื้อแท้ของศาสนาพุทธมันก็เป็นจริง คนที่ไม่มีอคติฟังอาตมาพูดยกอ้างพระพุทธของพระพุทธเจ้าตรัส คือพวกเรา มาเป็นคนพิสูจน์สัจธรรมมาบรรลุจริงๆ เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์กันจริงๆ ซึ่งเขาไม่มีความรู้กันแล้ว เขาไปหลงผิดด้วยซ้ำว่า อรหันต์เก๊ที่เขาหลงว่าเป็นอรหันต์ ก็บอกว่านี่แหละคืออรหันต์ อรหันต์คือผู้ที่ไม่มีอะไรติดขัด เป็นพวกคล่องแคล่วทั้ง กายปาคุญญตา ทั้งจิตปาคุญญตา เป็นผู้คล่องแคล่วไม่ใช่เป็นผู้แข็งทื่อ เซื่องซึม เฉย นิ่ง ช้า ไม่ใช่ เป็นผู้คล่องแคล่วที่สุดเป็นผู้ที่มี มุทุภูเต มุทุภูตธาตุ ที่คล่องที่สุด ซึ่งตรงกันข้ามกับความคิดของเขา ว่า อรหันต์จะต้องเป็นผู้ที่เชื่องช้า ดีไม่ดีเดินก้าวย่างเนิบๆ อย่างสุขุม สวยงาม อรหันต์ต้องเป็นอย่างนั้นต้องเนิ่บๆช้าๆ เหมือนนางงามเดินบนแคทวอล์ค แต่เดี๋ยวนี้แคทวอล์คนางงามมันก็วิ่งกันแล้ว มันไม่เดินกันแล้วแฟชั่นมันเปลี่ยนใหม่ จากเดินช้าๆนวยนาดบิดไปบิดมา เดี๋ยวนี้ก็เดิน บิดสารพัดที่จะบิดได้ ก็เปลี่ยนไปตามค่านิยมรสนิยม พวกเรานี้สามารถที่จะมีภูมิปัญญารับเอาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าได้ เราลองคิดดูให้ดีๆ คนแต่ละคนเกิดมา ก็รู้แล้ว พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า มันก็เวียนตายเวียนเกิด ถ้าไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายเป็นดินน้ำไฟลมมันก็จะเวียนตายเวียนเกิดอยู่อย่างนี้ ชาติแล้วชาติเล่า ไม่มีจบ คนที่ดับอัตภาพหรือดับจิตวิญญาณของตัวเองให้สูญสลายไปไม่ได้ถ้าไม่บรรลุอรหันต์ ทำให้เลิกไม่ได้ เพราะฉะนั้นเทวนิยมเขาจึงจำนน เลิกไม่ได้ เขาก็ต้องอยู่ไปนิรันดร แล้วก็สมมุติกันว่า แล้วจะไปอยู่กับพระเจ้านี้ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งมันไม่เป็นจริง ไม่มีพระเจ้าที่เขาติดยึดตั้งภพภูมิเป็นพุทธเกษตรอยู่ที่ไหน ซึ่งมันไม่มี มีแต่เกิดแล้วเมื่อมีวิบากกรรมหมุนเวียนมาเกิดใหม่ไปๆมาๆอยู่อย่างนี้ ไม่มีเจ้าของ ไม่มีพุทธเกษตร ไม่มีสิ่งที่สิงสถิตอะไรอยู่ มีแต่ตามอำนาจของกรรม ที่จริงผู้ที่อยู่นาน ก็คือพระโพธิสัตว์ ตายไปแล้วก็พัก อยู่นานได้ตามประสงค์ พระโพธิสัตว์ ระดับ 8 ระดับ 9 ทำได้ ระดับ 7 นี้ก็พอทำได้บ้าง แต่ยังไม่ได้ตามกำหนดทุกอย่าง พักที่ดุสิตา โดยพยัญชนะ แปลว่าที่สงบที่อยู่ เพราะฉะนั้นในอจินไตยที่พูดที่ฟังกัน มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นความจริงที่คนไม่ได้เข้าใจได้ง่ายๆ อาตมามีความจริงมีความรู้พวกนี้ก็เอามาพูดสู่ฟัง เพราะฉะนั้นการเกิดมาได้เป็นคนนี้ ถ้าไม่ศึกษาธรรมะโลกุตระ คุณจะไปเวียนวน แย่งลาภยศสรรเสริญสุขกันอยู่อย่างพระในเถรสมาคม ก็แย่งเป็นเจ้าคุณ ชั้นราช ชั้นเทพ ชั้นธรรม ชั้นพรหม เป็นสมเด็จ เป็นอะไรอยู่อย่างนั้น แย่งลาภ หลงยศ หลงสรรเสริญ แล้วก็เสพสุขกันอย่างนั้นโดยไม่รู้ว่าตนเองเสพสุข แต่ที่จริงมันเป็นทุกข์ มันอาจจะมีความรู้สึกบ้างในบางครั้งบางคราวว่ามันทุกข์นะเนี่ย แต่มันก็เพราะความหลง มันก็จมอยู่กับความหลง เอาความสุขมากลบอยู่อย่างนั้น ถ้าเผื่อว่าพระเถระต่างๆที่มียศศักดิ์เลิกออกมาเลย รู้ตัว เรานี่เขาอุปโลกน์ให้เป็นพระสมเด็จนะ เลิกแล้วไม่เอาแล้ว ไม่รับไม่เอาแล้ว ออกมาบำเพ็ญปฏิบัติไม่เอาอย่างนั้นแล้ว ปฏิบัติของตนเองเลยไม่เกี่ยวกับทางการเลย เพราะว่าเอกเทศได้ ถ้าไม่เอกเทศคุณก็อยู่ในวงการกรอบของผู้ที่เขาก็จะทำให้คุณเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คุณก็ต้องรักษาเมื่อเขาตั้งให้เป็นอย่างนี้แล้ว แม้ไม่รักษาคุณก็ต้องระวัง ซึ่งมันก็อยู่ในกฎเกณฑ์ของโลก กฎเกณฑ์ของสังคม ที่สมมุติกันอย่างนั้น ซึ่งมันน่าเบื่อหน่ายที่สุด แต่เขาหลุดพ้นไม่เป็น ไม่มีปัญญาจะหลุดพ้นออกจากกรอบความน่าเบื่อหน่ายพวกนั้นได้ อย่างอาตมานี้ เมื่อบวชแล้วก็รู้ตัวว่าไม่ไหว อาตมาบวชโดยจำนน ที่จริงแรกๆไม่คิดอยากจะบวชเลย เพราะรู้อยู่ว่าสังคมสงฆ์สังคมพุทธทุกวันนี้ถ้าเข้าไปอยู่แล้วมันยุ่ง แต่ก็บวชอยู่ได้ 5 ปีก็ประกาศขอลา นานาสังวาส เขาก็จัดการใหญ่เลย สุดท้ายก็เรียบร้อยตามธรรม เราก็ออกมาอย่างอิสรเสรีภาพ สง่าผ่าเผย ที่ว่าสง่าผ่าเผย คือเราออกมาได้มาเป็นสงฆ์คณะอโศก มันสง่าผ่าเผยอย่างที่เรียกว่าเขาพยายามเอาสีมาป้ายพวกเรา เราก็พยายามอย่าให้เขาทำ เราก็ป้องกันตัว ซึ่งมันไม่ได้เลยเขาก็เอามาป้าย จนคนไม่รู้ก็นึกว่าเราเปื้อน แต่เราไม่เคยเปื้อนไม่เคยเลอะเลย เราสะอาดหมดเลยด้วยธรรมวินัย แต่คนจะเข้าใจว่าเราสะอาดจากธรรมวินัยไม่ได้จริงๆเลย ไม่เปื้อนเลยมันยาก เพราะว่าเป็นลักษณะสลับซับซ้อน อาตมาเองอาตมาพูดบอกความจริงว่าอาตมาเป็นผู้สืบทอด เป็นผู้ที่จะต้องรับผิดชอบในเรื่องของศาสนา โดยหน้าที่ ผู้ที่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ยังจะเวียนตายเวียนเกิดอยู่ก็ต้องรับหน้าที่สืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้า รับผิดชอบธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นโพธิรักษา เป็นการรักษาโพธิไป จนกว่ามันจะหมดวาระหมดเวร ไม่ต้องอยู่เวรอีกต่อไป ถึงวาระต้องปล่อยได้แล้ว ก็ให้เป็นแรงเฉื่อยของพุทธศาสนาที่จะไปสู่ความเสื่อมสูญหมด เพราะว่าไปบำรุงรักษาหรือจะไปทำอีกไม่ขึ้นอีกแล้วมันเสื่อมถึงขนาดที่คนรับไม่ได้เลยอย่างไรก็สูญเปล่า แต่ทุกวันนี้ยังไม่สูญเสียเสื่อมถึงขนาดนั้นยังมีหมู่กลุ่มที่เป็นสาธารณโภคีได้ ที่มีสาราณียธรรม 6 เอาหลักฐานของพระพุทธเจ้ามายืนยัน ในกระบวนธรรมของสาราณียธรรม 6 กระบวนธรรมของธรรมะที่มีพุทธพจน์ 7 มีคุณธรรมวรรณะ 9 ได้ เป็นเครื่องพิสูจน์ แล้วก็มาเรียนรู้กันด้วยจรณะ 15 วิชชา 8 อาตมาก็เอาหลักธรรมพระพุทธเจ้าทั้งนั้นมาให้เรียนรู้ปฏิบัติประพฤติกันจริงๆเลยไม่ได้ออกนอกรีต ไม่ได้ออกนอกทางไม่ได้ออกนอกธรรมะพระพุทธเจ้าเลยแล้วเอามาพิสูจน์ความจริงด้วย ซึ่งเป็นเรื่องโลกุตระเป็นเรื่องลึกซึ้งมากแล้วเกิดจริงเป็นจริงได้ ซึ่งชาวมหาเถรสมาคม ผู้ที่มีตาดีเห็นแล้วรู้แล้วว่าโพธิรักษ์คือผู้สืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้าจริง แต่เขาติดชะงักแล้ว อยู่กับเถรสมาคมแล้ว ออกมาก็ไม่ได้ จำนน ก็จำเป็นต้องรักษาตำแหน่งอยู่ มันอย่างนี้ รู้สึกมากก็เป็นทุกข์มาก ละอายมาก รู้สึกน้อยก็ทุกข์น้อย ละอายน้อย ถ้าขออภัย ไม่รู้สึกรู้สาหน้าด้านๆ ก็ไม่ละอายเลยไม่ทุกข์เลย นอกจากไม่ละอายและไม่ทุกข์ ยังลบหลู่โพธิรักษ์อีก มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติที่เขาเป็น อาตมาทุกวันนี้พยายามยืดอายุไขของตนเองต่อไป เพื่อทำงานให้มันสุดฤทธิ์สุดเดช จนกว่าจะทำไม่ไหวจริงๆ ก็ขอตายกันได้หมดเวลาวาระ ก็พยายามตั้งใจอยู่ ตั้งใจยืดนะ จะเรียกว่ากระเสือกกระสน บืน ตะเกียกตะกาย อีลากอีเลื่อไป พยายามไป ถ้าเป็นรูปธรรมแบบพระโพธิสัตว์ แบบที่ท่านมีไว้ในสัมภาระวิบากที่ท่านเล่าไว้ในบางองค์ จะไปพบพระพุทธเจ้าให้ได้ อธิบายเป็นแบบรูปธรรม เดินทางจนขามันกุด มือมันก็กุด ก็กระเสือกกระสน เอาตัวกลิ้งไป จนกระทั่งเสื่อมไปเรื่อยๆ เพื่อไปหาพระพุทธเจ้า สัมภาระวิบากของพระโพธิสัตว์ ท่านอธิบายเป็นรูปธรรมถึงขนาดนั้น เลือดไหลอาบ ไปตามทางกระเสือกกระสนเดินทางไปเพื่อไปพบพระพุทธเจ้า อธิบายอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เห็นรูปความวิริยะอุตสาหะที่ยิ่งใหญ่ มาเป็นนามธรรมอย่างที่อาตมาทำทุกวันนี้ มันเป็นยิ่งกว่าเลือดตกยางออก ยิ่งกว่าการ กระเสือกกระสนถลากไถลไป แต่มันก็ดูไม่หนักหนา ซึ่งมันซับซ้อน แต่มันก็แรงหนักหนา ที่หนักหนานี้ก็คือบาป เป็นบาปแรงที่คนเขาทำกับอาตมา เขาได้บาปแรงที่อาตมาไม่ได้ไปใส่ไคล้ใส่ความ หรือไปว่าเขามีบาปใหญ่ แต่มันเป็นสัจจะ อธิบายลักษณะกรรมกิริยาที่เขาทำ ซึ่งมันน่าสงสาร อาตมาไม่ได้อยากให้เขาทำเลย ก็พยายามช่วยกัน อาตมายังช่วย อย่างมหาบัว ช่วยบอก บอกอย่างแรงอย่างหนัก ว่ามันไม่ใช่ มันเพี้ยนมันผิด บอกอย่างหนัก แล้วอาตมาก็ช่วยผู้ที่ท่านได้รับยกย่องว่าเป็นผู้รู้ ช่วยด้วยการไม่พยายามไปวิจารณ์ท่าน ไม่พยายามไปแตะท่านเลย คนละอย่างกับมหาบัว ที่อาตมาพูดข่มพูดว่า อีกอันอาตมาไม่แตะ 2 นัยยะ อาตมาแตะมหาบัวเหมือนขี้แห้ง แต่ทางด้านนู้นผู้รู้ เหมือนขี้ท้องเสีย แตะไม่ได้เหม็นมาก อย่างขี้แห้งนี้แตะบางทีก็ไม่มีอะไร กลิ่นก็ไม่ออก แต่อันนั้นแตะไม่ได้เลยกลิ่นฉุยเลย กลิ่นกระจายเลย อาตมาก็เลยไม่กล้าแตะ แต่อันนี้แตะได้เหมือนขี้แห้ง อาตมาขออภัยที่เปรียบเทียบ แต่มันชัดเจนไหม มันชัดดี ที่พูดนี้ก็พูดจากความรู้ พูดจากความจริงใจ ให้เห็นว่าเกิดมาในยุคนี้ยากมากในการทำงานศาสนา แต่ก็ต้องทำ เพราะอาตมาเกิดมาได้อัตภาพ หรือคนทุกคนพวกเรา เกิดมาแล้วนี่ คุณได้อัตภาพเป็นจิตนิยามแล้ว คุณสลายจิตนิยามไม่ได้ ถ้าคุณไม่บรรลุอรหันต์ อย่างเทวนิยมเขาไม่มีทางรู้อรหันต์ เขาสลายจิตนิยามสลายอัตภาพเขาไม่ได้ แต่ศาสนาพุทธนี้ รู้จบ รู้สิ้น รู้จริง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อรหันต์ทุกองค์สลายได้ แม้จะไม่สลายก็อยู่อย่างมีคุณภาพอยู่อย่างเป็นตัวอย่างอันดีงาม ทำงานสืบเนื่องพระศาสนา หรือสืบเนื่องพระธรรม ให้มนุษย์ได้รับพระธรรม พุทธธรรม ให้ได้จริงๆ แล้วคุณก็จะจบเป็นอรหันต์ แล้วคุณปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลย ในชาติไหนก็แล้วแต่ หรือคุณจะบำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์ จนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าจึงจะจบปรินิพพานเป็นปริโยสานสุดท้ายที่สุด มนุษย์ก็มีอยู่เท่านี้ ถ้าไม่เอาอย่างนี้ คุณก็ไปวนเวียนเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด อย่างเช่น สายเทวนิยมไม่รู้จักกรรมวิบาก เกิดแล้วตายขึ้นสวรรค์หรือลงนรกมันไม่รู้เรื่อง มันจะไปจำได้อะไร ในแต่ละชาติ ยิ่งเป็นเทวนิยมยิ่งระลึกชาติอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้จัก เกิดชาตินั้นชาตินี้ เรื่องของขันธ์แต่ละชาติ อดีตชาติของตัวเอง หรือไปหลงเพ้อกับอนาคตขันธ์ เทวนิยมไม่รู้เรื่อง ทิฏฐิ 62 ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นเขาก็พูดอย่างคนไม่รู้เรื่อง พระศาสดาแต่ละองค์ของเทวนิยมพูดอย่างคนไม่รู้เรื่อง ก็สอนกันไปอยู่อย่างนั้น เสร็จแล้วก็หมุนเวียนในการขึ้นสูงลงต่ำวนเวียนอยู่นั่นแหละ นึกว่าตัวเองจะเป็นศาสดาไปนิรันดรก็ไม่มีหรอก อัตภาพของศาสดาก็จะวนลงมาต่ำอีก แต่มันนานมาก แล้วแต่วิบากของศาสดาแต่ละองค์ ถ้าเป็นอกุศลวิบากเยอะก็ลงเร็วขึ้นเร็ว บางทีอกุศลวิบาก ช่วยให้ขึ้นเร็วแต่มันก็ทุกข์มาก เพราะว่าขึ้นเร็วลงเร็วก็มีทุกข์มากสุขมาก นับไม่ถ้วนเลย แต่ถ้านานๆหลงสวรรค์ขึ้นไปแช่อยู่สวรรค์ได้นานๆ แล้วก็ค่อยๆลงนรกอีกนาน ขึ้นสวรรค์อีกนาน มันก็ไม่ค่อยเร็ว แต่ว่านาน ไอ้ที่เร็วมันก็ไม่นาน ไอ้ที่สวรรค์มันก็เร็วเหมือนกัน นรกมันก็เร็วเหมือนกัน คุณจะเลือกแบบ ชอบแบบเร็วหรือแบบนาน ถ้าหากบอกว่าชอบสวรรค์ก็อยากอยู่นาน นรกไม่อยากอยู่นาน มันก็ไม่ได้ คุณอยู่สวรรค์นรกก็นานสวรรค์สั้นนรกก็สั้น คุณจะเอาอย่างไร มันเป็นสัจจะคุณไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ คุณไปบิดเบี้ยวไม่ได้ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น สรุปแล้วเกิดมาเป็นอัตภาพ พระพุทธเจ้าตรัสรู้สูงสุด เลิกอัตภาพให้ได้ก็เป็นศูนย์เลย แต่ถ้าจะอยู่มีหลักประกันว่าคุณไม่ตกต่ำ เป็นอรหันต์แล้วไม่ตกต่ำ คุณจะเวียนตายเวียนเกิดไปอีกนานกี่ล้านชาติก็ตามใจ คุณก็จะช่วยโลก มีแต่ทำดี สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลัสสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง (ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) อัญญธาตุของอัญญาโกณทัญญะเกิดในวันอาสาฬหบูชา อาตมาเปิดเผยความลึกซึ้ง คำว่า อัญญธาตุ เป็นธาตุรู้ ระดับที่ใช้พยัญชนะเรียกว่า อัญญะ ภาษาบาลี อัญญะ แปลว่า อื่น โกณฑัญญะเป็นมนุษย์คนหนึ่งในยุคพระพุทธเจ้าคนแรก ที่มีพลังงานธาตุรู้ ที่ได้สะสมธาตุรู้มา สะสมมาเรื่อยๆ ที่เป็นลักษณะของ อัญญธาตุทีละน้อย 1 น้อย 2น้อย 3น้อย 4น้อย 5น้อย ถ้า 5น้อย คือเต็มครบ อัญญธาตุ โกณฑัญญะเกิด อัญญธาตุ เต็มร้อย เมื่อได้ยินพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ในวันนี้แหละ อาสาฬหบูชา ได้ฟังแล้วอ๋อ อัญญธาตุ ที่เป็นธาตุรู้โลกุตรธรรมมันก็เต็มร้อย พระพุทธเจ้าก็บอกว่าโอ้โห อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ โกณฑัญญะ มีอัญญธาตุแล้วหนอ ธาตุ ที่รู้โลกุตระ ต่อจากนี้ อัญญธาตุ ก็จะเป็นพหูพจน์ เป็นอัญญา อัญญา แปลว่า ความรู้เป็นพหูพจน์แล้ว อัญญะ เป็นเอกพจน์ อัญญา ความรู้อันนี้จึงเป็น โลกุตรธรรม อัญญา เต็มสภาพก็เป็นปัญญา เป็นตัวความฉลาดครบ ปัญญาก็มีลักษณะปัญญา 8 ปัญญาข้อที่ 1 คือ ปัญญาที่เกิดจากการได้รู้โลกุตรธรรม คุณจะได้รู้จากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้าเลยก็สุดประเสริฐ ไม่ได้รู้จากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า รู้จากสัตบุรุษ ก็รองลงมา ไม่ได้รู้จากสัตบุรุษจะได้รู้จากผู้รู้ที่อยู่ในฐานะครู ที่สัมมาทิฏฐิ มาพูดถึงโลกุตรธรรมขึ้นมา คุณต้องได้ยินจากผู้รู้ที่เป็นเจ้าของธรรม เป็นธรรมะสามี อย่างพระพุทธเจ้าถือว่าเป็นเจ้าของธรรมที่แท้ เป็นเจ้าของจริงๆเลย สัตบุรุษก็รองมา ถือว่าเป็นเจ้าของได้ อย่างอาตมาถือว่าเป็นธรรมะสามีถือว่าเป็นเจ้าของในยุคนี้ เพราะอาตมามีตั้งแต่ในชาติก่อน มาชาตินี้มาเปิดเผยโลกุตรธรรม อาตมานี้เป็นผู้เปิดเผยโลกุตรธรรม เป็นโพธิสัตว์ผู้เปิดเผยทั้งรูปทั้งนาม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็เปิดเผยชนิดรูปธรรมเท่านั้น แต่อาตมานี้เปิดเผยทั้งรูปทั้งนาม มีทั้งความรู้ที่เป็นสภาวะ มีทั้งตัวบุคคล มีทั้งกลุ่มหมู่สังคม ที่ประพฤติเป็นโลกุตระธรรมชัดเจน เต็มรูป รูปนามเต็มครบ ในโลกยุคนี้ นี่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ทำได้ถึงขั้นสาธารณโภคี และมีสาราณียธรรมจริง ซึ่งอาตมาอธิบายพวกนี้ มีสิ่งจริงยืนยันมีการประพฤติได้ พิสูจน์ได้ มีบุคคลจริง และมีจริยธรรม มีพฤติกรรมของธรรมะจริงๆ พฤติกรรมของความเป็นสาธารณะโภคี พฤติของความเป็นสาราณียธรรม สภาพที่เป็น พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ เป็นสภาพที่มีพฤติตรงตามพยัญชนะทั้งนั้น เช่น พวกเราชาวอโศกระลึกถึงกัน มีคนไหนตายก็ส่งข่าวกัน เมื่อวานมีคนนั้นคนนี้ตาย พอได้ยินว่าคนนั้นตาย คนที่รู้จักดีก็บอกว่า อ๋อ.. ตายหรือ คนนี้เรารู้จักดี เช่น เมืองหินตาย คนที่ไม่รู้จักดี อาจจะเคยรู้จักกันบ้างแล้วนึกไม่ออกเลยลืมเลือนไป ก็จะบอกว่าเมืองหินคือใครหนอ ก็จะระลึกตาม ใครหนอเราเคยพบพานกันไหม เคยโอภาปราศรัยเคยสัมผัสกันไหม ใครหนอ นี่คืออาการของการระลึกถึงกัน แต่คนที่ไม่ระลึกถึงกัน เมืองหิน ก็ let it be ช่าง ไม่รู้เรื่องก็ไม่ได้ระลึกอะไร อย่างนี้เป็นต้น คำว่า การระลึกถึงกัน มันก็มีสิ่งที่เป็น 2 ถ้าคุณไม่มีสิ่งที่เป็นสิ่ง 2 เลย เอาสิ่ง 2 นั้นมาให้คุณฟัง มันไม่ติดเลยไม่รับเลย แตะแล้วก็หลุดผล็อย ดีไม่ดีไม่รู้สึกตัวว่ามาเตะด้วยซ้ำ ไม่รับเลย ไม่มีสัญญาตามเลยสักอย่าง ก็ไม่มีการระลึก ใยเยื่อของการต่อแห่งความระลึกถึงกันไม่มีเลย ละเอียดลึกซึ้งนะ คำว่า ระลึกถึงกัน ยิ่ง รักกัน รักด้วยมิติที่สูงๆ ขึ้นเรื่อยๆ ปิยกรณะ สูงกว่ารักกัน ก็ เคารพกัน ครุกรณะ เคารพกันด้วยใจจริง เช่น คุณเคารพอาตมา คนที่ไม่เคารพเลยเขาไม่เคารพเลยก็ดูถูกเหยียบย่ำเลย มันก็เป็นธรรมชาติของสัจจะ ส่วนคนที่เคารพก็เคารพอย่างยอมรับนับถือคารวะ มันก็เป็นลักษณะจริงของจิตวิญญาณและธาตุรู้ของคนแต่ละคน คุณมีความรู้ รู้ว่าอันนี้ควรเคารพคุณก็เคารพ ใครจะมาบังคับคุณ ใช่ไหม คุณเคารพด้วยคุณที่มีธาตุรู้เท่าไหร่คุณก็รู้เท่าที่คุณมี คุณก็เคารพจริง อาการเคารพเป็นของคุณ เคารพอย่างแรงกล้า ก็เป็นความจริง ติพพัง แรงกล้า ของคุณ สัจจะเหล่านี้ที่อาตมาหยิบมาขยายความให้ฟังเป็นความละเอียดลึกซึ้งเป็นสภาวะธรรมที่ศึกษาให้ดีในชีวิตนี้และคุณจะรู้ว่ามันมีความจบ เมื่อเป็นอรหันต์จบแล้วมีความจบแล้วคุณก็จะไม่สงสัยอะไรมาก แต่มีความรู้ลึกซึ้งขึ้นเป็นโพธิธรรม เป็นโพธิสัจจะ ฟังธรรมคุณก็จะมีปัญญา ให้ไปลองไล่ปัญญา 8 ดูสิ จบ Category: ศาสนาBy Samanasandin24 กรกฎาคม 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:640724 กระท่อมปันยาสมุนไพร(บ้านราช)NextNext post:640726_รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 2Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024