640317_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เอื้อไออุ่นชาวสันตินาคร
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1izRobBENdhUPC5XiFQuEilb8PAfBsFBtQLr5yS3HVuI/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Fz-J7780IJsnuev-BpZeQfBGqcEH9DhW/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1125209451274141
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 ที่บวรสันติอโศก
SMS วันที่ 15-16 มี.ค. 2564
_คอยใคร : กราบเคารพพ่อครูครับ ใจจริงผมก็อยากไปกราบเท้าพ่อครูที่ปฐมอโศกและสันติอโศก ทั้งๆ ที่ใกล้ผมทั้งสองที่ แต่ผมก็ไม่อยากแหกกฎของสถานที่ ๆ ห้ามคนนอกเข้าครับ จึงได้แต่รับชมทางเฟสบุ๊คครับ
ความเป็นกลางอย่างชาวอโศกเป็นเช่นไร
_9309 : กลุ่มชาวโศกน่าจะเป็นกลาง
พ่อครูว่า…คำว่าเป็นกลางมีหลายนัยยะ อย่างน้อยที่สุดคนเข้าใจคำว่าเป็นกลางยังไม่ค่อยจะบริบูรณ์ ประเด็นที่ 1 คนที่เข้าใจ ความเป็นกลาง แล้วก็ไปว่าเขาทำไมคุณไม่เป็นกลาง ไปว่าเขา คุณต้องวางตัวเป็นกลาง ไปว่าเขา เพราะว่าเขาคนนั้นไปว่า ก็หมายถึงคนนั้นไปทำอย่างที่เขาว่า ความเป็นกลางต้องเป็นอย่างที่เขาหมายถึง หมายถึงอย่างไรก็ได้ แล้วเราก็ยังไม่รู้ว่าหมายถึงแบบไหน แต่อย่างชาวอโศกนี้บอกนะ เป็นกลางของชาวอโศกเป็นอย่างไร
อาตมาเขียนเรื่องความเป็นกลางในขณะประท้วงเลยพิมพ์ออกไปเป็นแสนเล่ม เล่มเขียวเล่มเล็กๆ
ความเป็นกลางฝ่ายหนึ่งก็มีความยึดมั่นถือมั่น ว่าถ้าความเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใคร คุณต้องอยู่เฉยๆอย่างไรก็ต้องอยู่เฉยๆไม่เข้าข้างใคร
ทีนี้คนที่ไม่เข้าข้างใครก็มีอีก 2 นัยยะ
-
ก็คือคนไม่รู้ว่าจะเข้าข้างใคร เพราะไม่รู้ว่าใครถูกใครผิดมันก็เลยไม่เข้าข้างใคร เพราะมันไม่รู้มันโง่เอาอย่างนั้นเลย มันโง่ไม่รู้ว่าใครถูกใครผิดใครดีใครชั่วไม่รู้อันนี้แน่นอนเพราะว่าเขาซื่อเขาไม่รู้จะเข้าข้างใคร
-
คนที่รู้ว่าข้างไหนดีข้างไหนชั่ว ก็แยกเป็น 2 อีก คนที่รู้ว่าข้างไหนดีข้างไหนชั่ว แต่ถ้าบอกว่าเป็นกลางใครจะดีใครจะชั่ว กูก็อยู่กลางๆ เอ็งก็ตีกันไป ใครจะดีจะชั่วก็ช่างเองเพราะข้าเป็นกลาง ข้าต้องอยู่เฉยๆ ข้าจะไปทำอะไรเพราะข้าฯเป็นกลาง
-
อีกอย่างหนึ่งนั้นเป็นแบบชาวอโศก ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนถูกต้อง เข้าข้างคนดี อย่าไปเข้าข้างคนชั่ว อย่าไปเข้าข้างคนผิด นี่เป็นแบบอโศก
ส่วนคนที่รู้ว่าใครชั่วใครดีก็รู้แล้ว แต่เขาเข้าใจว่าใครจะดีจะชั่วก็ช่างแต่กูเป็นกลาง
_แซมดิน (สันติอโศก)…มีอีกอย่างหนึ่งแม้รู้ว่าข้างไหนชั่ว แต่ว่าตัวเองมีผลประโยชน์ก็จะไปเข้าข้างฝ่ายนั้น
พ่อครูว่า…จะเป็นการชังน้ำหน้าก็ได้ แม้ไม่มีผลประโยชน์ หรือว่าเอ็งจะดีอย่างไรข้าชังน้ำหน้าเองก็ไม่เข้าข้างเองก็ได้ ไปอีกได้หลายนัยยะ แต่ก็สรุปให้ชัดเจน ถ้าอย่างชาวอโศกความเป็นกลางของชาวอโศกนั้นเข้าข้างคนถูก จะได้เกิดคุณค่าประโยชน์ต่อสังคม แม้ว่าเราจะไม่ชอบคนดีซึ่งคนก็ไม่ค่อยชอบหน้าแต่เขาถูกต้องเขาดี เพราะฉะนั้นเมื่อจำเป็นว่าตอนนี้ต้องชั่งน้ำหนัก ยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนนี้ต้องการหมู่ ก็ต้องเข้าข้างโหวตให้ข้างที่ดีแม้จะไม่ชอบหน้าแต่มันจำนน ก็เป็นคนซื่อ จำนนด้วยเหตุผล จำนนด้วยหลักฐานความจริงว่าคนที่เขาถูกต้องเขาดีจริงๆ ก็ต้องให้คนที่ถูกคนที่ดี ใช่ไหม นั่นก็หายากคนแบบนี้ ส่วนมากก็เอาอัตตาที่ตัวเองชอบ จะถูกหรือไม่ถูกก็อย่าเพิ่งไปพูด เอาที่ชอบไว้ก่อนข้างไหนก็เข้าข้างนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มันหลากหลายมาก เลิกเข้าข้างนั้นข้างนี้ แต่ก็พูดเฉพาะที่อาตมายึดถือและพาทำมา
โดยเฉพาะมาทำกับสังคมอย่างเช่น เศรษฐกิจก็ดี ด้านการเมือง แสดงออกทางความรู้ความเห็นสนับสนุนเป็นภาษาก็ได้ ก็ทำอยู่บ่อยๆ หรือยกทัพโยธาพลาหก ไปแสดงออกชุมนุมประท้วงอย่างเป็นรูปธรรมนามธรรมอย่างเต็มสภาพมาแล้วหลายรัฐบาล อย่างน้อย 4 รัฐบาล 5 รัฐบาล ทักษิณ, สมัคร, สมชาย, อภิสิทธิ์, ยิ่งลักษณ์
_สู่แดนธรรม…พ่อท่านเคยอธิบายความเป็นกลางของชาวอโศก มี 3 คำ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็ได้ชี้แจงกับสังคม
พ่อครูว่า…มโนเป็นตัวประธาน
_แซมดิน…ในสมัยพุทธกาลมีหรือไม่ ที่พระพุทธเจ้าพาสาวกของท่านไปห้ามทัพ
พ่อครูว่า…ก็มีเรื่องพระญาติแย่งน้ำทะเลาะกัน เป็นประวัติหนึ่ง
คนเป็นกลางจึงเป็นที่พึ่งได้ทั้งคนดีและคนชั่ว
_มีผู้ไม่เห็นด้วยกับพ่อท่านว่า…ศาสนาควรเป็นที่พึ่งของทั้งคนดีและคนชั่ว เมื่อพ่อท่านเลือกอยู่ฝ่ายคนดี คนชั่วก็ขาดที่พึ่ง พ่อท่านคิดเห็นอย่างไรคะ
พ่อครูว่า…เห็นขัดแย้งกับคุณ คุณพูดอย่างนี้หมายความว่า ความเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างคนดีและคนชั่ว ถ้าไปช่วยคนดี คนชั่วก็จะขาดทุน ถ้าไปช่วยคนชั่ว คนดีก็จะขาดทุน ตกลงคุณอธิบายรอบเดียวสั้นๆตื้นๆ
ถ้าเราไปช่วยคนดี ไปเข้าข้างคนดี คนชั่วเขาจะเห็นว่า ทำไมเราไปเข้าข้างคนดี คนชั่วเขาก็จะได้สะดุดใจ ทำไมล่ะ? ถ้ายิ่งเขารู้จักเราว่า เป็นคนที่น่านับถือ เป็นคนเป็นกลางนะ น่านับถือนะ ถ้าคนชั่วนั้นเขาเข้าใจถูกว่า ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดีก็จบ แต่ถ้าคนชั่วนั้นเขายังชั่ว เขายังโง่ ว่าเอ๊! คนเป็นกลางคนนี้เรานับถือนะ เราถือว่าเป็นคนเป็นกลางแล้วทำไมไปเข้าข้างคนดี ทำไมไม่มาเข้าข้างคนชั่ว ขออภัย ทำไมไม่มาเข้าข้างเรา ก็เรานี่ดี คนชั่วเราก็จะไม่ว่าเขาชั่วหรอก เขาก็ต้องว่าเขาดี ใช่ไหม เขาก็ต้องเชื่อว่าเขาดี เขาก็ไม่เชื่อว่าเขาชั่วทำไมไม่มาเข้าข้างเรา ถ้าบอกว่าความเป็นกลางต้องข้างคนดี แล้วทำไมไปเข้าข้างทางโน้นมันแปลกหรือเปล่าไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร
แต่ถ้าคนชั่วนั้นเขามีไหวพริบ นอกจากจะเชื่อว่าเราเป็นคนดีน่านับถือแล้ว ต้องนับถือให้จริงด้วย ว่าท่านทำไมไม่มาเข้าข้างเรา ต้องเกิดความสะดุดแล้วว่า เอ้..เราชั่วหรือไม่ หรือเราชั่ว ถ้าบอกความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดี แต่ท่านไปเข้าข้างทางโน้นไม่เข้าข้างเรา จะสะดุดใจว่าเราชั่วหรือเปล่า? เขาก็ต้องตรวจตัวเองอย่างนี้เป็นต้นก็ได้ผลขึ้นมา
แต่ถ้าคนชั่วนั้นเขายึดมั่นถือมั่นว่าเราดี และเขาเข้าใจด้วยว่าผู้ที่เรานับถือนี้จะต้องเข้าข้างคนดีเมื่อไม่มาเข้าข้างเราอันนั้นโง่แน่นอน เราต้องฉลาดกว่า เขาไม่ได้รับการเข้าข้างก็ต้องว่าอย่างนั้น อย่างนี้เป็นนับถือคนโง่ก็เลิกนับถือเป็นได้ อย่างนี้นัยยะต่างๆจะสลับซับซ้อนมากมาย
พระพุทธเจ้าให้ศึกษา เอามาเทียบกันทีละคู่ หยาบ กลาง ละเอียด คนดีจะดีตลอดไม่สับสนจะเลือกได้ ดีได้ไปทีละคู่ ได้ดีหมด อย่างหยาบ กลาง ละเอียด อันนี้ดีตลอด เราก็ได้หมดความดีสะสมเป็นหลักฐานเป็นเหตุปัจจัยที่จะใช้ตัดสินความดี ความถูกต้องไปได้มาก
_สู่แดนธรรม…คนชั่วจะได้เป็นที่พึ่งอย่างไร
พ่อครูว่า…เป็นที่พึ่งคือคนชั่วเขาจะได้รู้ว่าทำไมท่านไม่เข้าข้าง เขาจะได้สะดุด ว่า ทำไมไม่เข้าข้างข้า ถ้าเขายึดมั่นถือมั่น เขาก็ไม่นับถือแล้วคนนี้ แต่ถ้าเขามีปฏิภาณปัญญาสะดุด ก็จะต้องพิจารณาตัวเองใหม่ ถ้าเขายังนับถือคนนี้ มันก็เป็นประโยชน์ต่อเขาแล้ว จะให้เขาหลงความชั่วว่าดีเขาก็ไม่ได้พึ่งคนถูก ไม่ได้พึ่งคนดีที่จะให้เขาสะดุดเข้าข้างคนชั่วหรือไม่เข้าข้างคนชั่วก็มาตีกันเองอยู่อย่างนั้นตลอดกาลอีกเท่าไหร่ไม่รู้ไม่มีใครตัดสิน เพราะฉะนั้นคนเป็นกลางก็ต้องช่วยเขาตัดสินใช่ไหม จบ เดี๋ยวสับสนอีก
_ศีลพระโพธิสัตว์มีอยู่ข้อหนึ่ง เมื่อเจ็บไข้ไม่ปรารถนาจะหายป่วยโดยเร็ว รู้สึกแปลกมากให้ร่างกายเยียวยาตัวเองหรือให้ตั้งตนอยู่บนความลำบากก่อน ขอคำอธิบายด้วยครับ
พ่อครูว่า…ไม่เคยได้ยินมาก่อนสักองค์ไหนเป็นพระโพธิ์สัตว์องค์นี้ ว่าเจ็บไม่ต้องรักษา ให้มันหายเอง ไม่เคยได้ยิน มันมีหลากหลาย โพธิสัตว์ก็ไปตั้งกฎเกณฑ์ ตั้งปณิธานของตัวเอง บางคนก็บอกว่าจะช่วยคนให้บรรลุอรหันต์ให้หมดโลกก่อน ท่านจึงจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ดับขันธ์ไปเลย ก็เป็นปณิธานของท่านไปเป็นสิ่งหนึ่งของสมมติในโลก อันนี้เป็นปณิธานของพระอวโลกิเตศวรเป็นปณิธานอันหนึ่งของโลก ซึ่งคำตอบก็คือนิรันดร ก็ไม่มีปัญหา คุณอยากจะสมมติก็สมมติไป เช่นพระเจ้าสมมติว่าเป็นผู้รู้ที่สุดอยู่ไหน ..ไม่รู้ แต่พระเจ้ามีคำสอนให้คุณก็แล้วกัน อยู่ที่ไหน..ไม่รู้ ก็เหมือนกัน
วิปัสสนาเป็นเช่นไหรในทางปฏิบัติ
_ใจฝน…เตวิชโช วิปัสสนา นัยยะเดียวกันหรือไม่คะ
พ่อครูว่า…ไม่ ไม่ใช่นัยยะเดียวกัน แต่มันก็เป็นการสร้างความรู้แล้วเกิดความรู้ทั้งคู่ วิปัสสนา กับเตวิชโช ก็เป็นอยู่ในวิชชา 8
วิปัสสนา เป็นข้อที่หนึ่งของวิชชา 8 ซึ่งมีวิปัสสนาอยู่เป็นยาดำทั้ง 8 ข้อ
วิปัสสนา แปลว่า รู้เห็นแจ้งยิ่ง ตั้งแต่ตัวต้นจนถึงตัวจบ วิ แปลว่าวิเศษ ปัสสนะ แปลว่าการรู้เห็นเข้าไปในเนื้อ (นะ)
วิปัสสนะคือการรู้ๆที่ตาเปิด เห็นมีการกระทบของรูปนาม มีภายนอกภายในกระทบกัน มีสภาวะ 2 ไม่ใช่มีแต่สภาวะอย่างเดียวภายในซึ่งเขาเข้าใจผิดว่าอยู่แต่ข้างใน ไปเข้าใจวิปัสสนาเป็นการพิจารณา ซึ่งผิด พิจารณาไม่ใช่วิปัสสนา
ปัสสะ แปลว่า เห็น จารณะ แปลว่าพฤติกรรม การเคลื่อนที่บทบาท ปัสสะ แปลว่าเห็น แค่พยัญชนะก็ต่างกันแล้ว พิจารณากับวิปัสสนา
นัยยะของสภาวะกับพยัญชนะ มันเถียงกันหูแตก ตาบอด
วิปัสสนา แปลว่าเห็น แปลว่ารู้แจ้ง
มโนมยิทธิ…ก็หมายความถึงขั้น บทบาทความสำเร็จเห็นแจ้ง ที่ได้ทำงานทางจิต ที่มีเรื่องใหญ่ยิ่งคือรู้จักกิเลส 2 ต้องทำอย่างไรมีอุบายเครื่องออก ที่จะทำให้กิเลสมันฝ่อลง มันตายไปเลยหรือดับสิ้นไปได้
คำศัพท์อุบายเครื่องออก คือ พลังงานของฌานและบุญ
สภาวธรรมที่อาตมามีเอง เป็นเอง มั่นใจเองว่านี่คือความจริงแท้ๆ
เมื่อเรามีปัญญาหยั่งรู้แยกจิตกับกิเลส สองตัวเป็นเทวะคู่แยกให้ออก เมื่อแยกจิต แม้จะย่อยลงว่า เวทนา จิตหรือเจตสิกส่วนหนึ่งคือความรู้สึก กับกิเลส มันจะเกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดชอบ เกิดชัง เกิดผลัก เกิดดูด ก็ดูตัวเหตุที่มันทำให้เกิดอาการนี้
กิเลสตัวนี้เป็นได้ทั้งผลักกับดูดทั้งชอบและชัง ชอบก็เรียกกาม ชังก็เรียกปฏิฆะ จับตัวมันได้ก็มาใช้อุบายเครื่องออก
อุบายเครื่องออกของพระพุทธเจ้าไม่ทำร้ายไม่ข่ม แต่ ไม่รู้ความจริงตามความเป็นจริงว่าเอ็งเป็นมายา ผีหลอก เอ็งไม่มีตัวจริงหรอก เอ็งเกิดจากความโง่ของข้าเอง
เอ็ง เกิดจากความโง่ของข้าเอ็ง ข้าจับเองได้แล้ว เจ้าโง่ เจ้าโง่ของใครของข้าเอ็งจะโง่เองไปเสีย เอาตัวอัตตาโง่ตัวอวิชชาโง่ทิ้งออกไปจากตัวเองเลย อวิชชาก็ดี ตัวข้าโง่ๆ ก็หายไปจากตัวเอง ตัวเองก็ใสสว่างสะอาดใจ
อธิบายสภาวะด้วยพยัญชนะ ไม่ได้ไปทำร้ายทำให้บาดเจ็บ ทำให้มันเสียหายอะไรเลย เอาความรู้ ความจริง ความเฉลียวฉลาดให้จำนนด้วยความรู้ความเฉลียวฉลาดจริงๆ แล้วไอ้เจ้ากิเลสไอ้เจ้าความโง่นั้นนั้นพูดดีพูดดี (โยมว่า แล้ววันอื่นมันก็มาอีก )
ถ้าหากว่ากำลังของความรู้นั้นมีประสิทธิภาพเพียงพอ เจ้าโง่นั้นก็จะไม่มาอีกแล้ว หายวับเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่นไปเลย หายจ้อยเลย
เจ้าโง่ หายตรงไปอย่างเดียวไม่มี loop ไม่มีโค้ง หายลิ่วเลย ให้ไปออกนอกโลก ออกจักรวาลไปไหนไม่รู้ออกทะลุไปสามเหลี่ยมเมอร์บิวด้าเลย (โยมว่า.. หลังมีตัวเก่งกว่านี้มาอีก)
พ่อครูว่า…ตัวไหนมาก็จัดการอย่างนี้หมด หมดสิ้นเลย ถ้ามีแถมอีกก็ไม่รู้จบ ก็ต้องรู้จักจบมันหมดสิ้นแล้ว หมดสิ้นแล้วใช่ไหม ใช่ก็ต้องจบสิ ถ้าหมดสิ้นแล้วก็ยังไม่จบอีกจะไปพูดอะไรอย่างนั้นอีกเหมือนกับคนเข้าใจว่า ปุญญะ พอมาอปุญญะ ก็แปลว่าบาป วนกลับไปอีก
ก็ปุญญะ มันไม่มี 2 มี 1 เดียว อปุญญะ มันก็เป็นนิวเคลียพิชชั่นสูญหายไปเลยแล้วจะบอกว่ากลับมาอีก มันจะจบได้อย่างไร ก็จะเป็นนิพพานเป็นศูนย์ไปไม่ได้
นัยยะนี้ลึก เด็ดขาด หากเข้าใจอย่างนี้ไม่ได้ เข้าใจนิยามประเด็นของคำว่าบุญไม่ได้ คุณจบไม่ได้หรอก คุณจะไม่มีนิพพานเลย ฟังดีๆนะ เจ็บแสบนะคำนี้
อาตมานึกถึงท่านปราญช์ของไทยที่ท่านแปล อปุญญะ เป็นบาป สงสารท่านขึ้นมาจับใจเลยถ้าท่านเองท่านยึดมั่นถือมั่นไม่คลายไม่เปลี่ยนแปลงท่านจะมีอัตตามานะ ว่า โพธิรักษ์พูดไปข้าก็ไม่เชื่อเอ็งหรอก อาตมาขอกราบไหว้ด้วยความเคารพ อย่าคิดเช่นนั้นเลย ก็ได้แต่ขอร้อง อย่างเคารพที่สุด สงสารจับใจเลย ท่านใฝ่การศึกษาท่านต้องการบรรลุอรหัตตลผ แต่ท่านติดอยู่ตรงนี้ก้ไม่บรรลุอรหัตตผล
_ฟังฝน…เรียนถาม 3 คำถามค่ะ
-
พ่อท่านรู้สึกอย่างไรเมื่อมาสันติอโศก พวกเราแก่ลงไปเยอะไหม
-
ปีนี้รับกลด จะมี นร.ม.6 ปวช. ปวส. รับกลด 2 รุ่น อยากกราบเรียนขอชื่อรุ่น
-
ในกรณี นร. นศ. ปิดเทอมก่อน แล้วกลับบ้าน แล้วต้องไปรับกลดกับพ่อท่าน ควรทำอย่างไร
พ่อครูว่า…จะไปยากอะไร ก็เอามือมา ก็รับไป จะต้องไปหาเรื่องยากทำไม
ส่วนชื่อรุ่น อาตมาตั้งแล้วนะ ..(ไม่มีใครจำได้)
รู้สึกอย่างไร เพราะว่ารู้สึกมันเป็นความไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปมานี้ก็เป็นการมางานศพของสิกขมาตุทองพราย
ก็มาเห็นความเปลี่ยนแปลงไปมันไม่เที่ยง คนที่แก่ลง คนตายไป คนที่ยังมาใหม่ ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ อยู่ในไตรลักษณ์
สู่แดนธรรม…ถ้ายังไม่ตั้ง ก็มีความหมายเหมือนกันว่า ยังตั้งไม่ได้
พ่อครูว่า…ชื่อรุ่นไม่ตั้งอีกแล้ว หากมาอีกก็ชื่อรุ่นไม่ตั้งอีกแล้วไง ไม่จบสักทีก็ไม่รู้จะทำไง
ปัญญาที่ไม่มีตัวตนกับปัญหา ที่จอดรถซอย 44 นวมินทร์
_กรณีรถจอดที่ซอยเทียมพร พวกเราไม่ให้ความร่วมมือกับคุณน้อย เพราะไม่ชอบนิสัยส่วนตัวของคุณน้อย และเห็นว่าคุณน้อยทำด้วยธุรกิจส่วนตัว จึงไม่ให้ความร่วมมือ จะแก้ไขปัญหาจราจรที่เกิดขึ้น (พ่อครูว่า…จะเสียประโยชน์ตัวเองนั่นแหละ ) เราจะสามารถใช้ปัญญาอนัตตาแก้ไขปัญหานี้ได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…อาตมากำลังพูดถึง ปัญญาที่ไม่มีตัวตน อนัตตาคือไม่มีตัวตน ปัญญากับไม่มีตัวตน 2 ตัวนี้สุดยอดแล้ว
ใช้ปัญญาที่ไม่มีตัวตนที่ยิ่งใหญ่ คือเหลือแต่ปัญญาตัวตนเราไม่มี ไม่มีตัวตนเราเข้าไปเป็นคู่มีแต่ปัญญา ถ้าเอาแต่ปัญญาจริงๆแล้ว อาตมาก็ว่า อย่าไปเอาที่ประเด็นกลัวคุณน้อยได้ประโยชน์ก็ให้เขาทำงาน จริง เขาได้ประโยชน์ด้วยบ้างแต่มันก็เป็นประโยชน์ส่วนรวมด้วย ถ้าเผื่อว่า ถนนนี้โล่ง สะดวกดี มันก็จะเกิดความเร็วซึ่งจะไม่ปลอดภัยกับเด็กเล็กหรือแม้แต่
คนแก่ คนเฒ่า เพราะมันซิ่งกันมา ก็จะไม่เหลืออะไรกั้น หากไม่กล้าซิ่ง สำนึกรวม รู้สึกโล่งเลย แล้วรถก็ไม่เร็วได้ เป็นเหตุปัจจัยที่ชัดเจนไม่ให้เร็วได้มันก็ดี แต่ถ้าเผื่อว่ามันโล่งสะดวกดีมันก็ดี แต่มันจะอดหรือจะทำให้มันช้าลง ก็อันนี้มันมีการขวางทางอยู่ มันก็ต้องช้าอยู่ดี จะว่าไปแล้ว ตำรวจเขาก็ไม่รู้จะทำไง เขาก็ให้เกียรติ ก็อยู่ที่พวกเราเองจะมีเกียรติตามที่เขายกให้หรือเปล่า ถ้ามีเกียรติก็จัดการกันเอง
ที่จริงถนนเส้นนี้เป็นถนนส่วนบุคคล แต่เดี๋ยวนี้เขาก็ยกให้ทางการไป แต่ก็ยังให้เกียรติพวกเราอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้นพวกเราก็ต้องรับเกียรตินั้นไว้บริหารตัวเองด้วยความดีอย่าไปขัดข้องเลย จะสะดวกอย่างไร จริงๆแล้วอาตมาขอวิจัยเรื่องนี้
ถ้าจะว่าไปแล้วขอวิจัยเรื่องคุณน้อยนี้รวยเอาๆ รวยขึ้นๆ รวยขนาดนี้น่าจะพอ น่าจะทำเพื่อประโยชน์ส่วนกลาง เพราะว่าคุณน้อยไปเปิดอันโน้นแล้วก็ไปเจาะช่องตรงซอยสุวรรณก็จะเกิดถนนต่อเนื่องไปถึงซอยโน้น วนไปหาซอยสุวรรณ ออกไปได้ จะเกิดความสะดวกคล่องตัวขึ้น (เขาไม่ให้ผ่าน) เราเคยเจรจามาแล้ว น้อยมาทำซ้ำที่เราเคยทำ มันเป็นไปไม่ได้ เอาละเรื่องนี้พอ
สัมประสิทธิ์การเพิ่มน้ำหนักของพ่อครู
_ในฐานะพ่อท่านเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 พ่อท่านสามารถเพิ่มน้ำหนักให้ตัวเองได้ไหมอย่างไรคะ เพื่อสุขภาพและอายุยืนนานของพ่อท่านค่ะ
พ่อครูว่า…มันก็พยายามจะเพิ่มแต่มันไม่ง่าย เพราะเป็นเรื่องของสังขารให้อวัยวะต่างๆทำงาน ตับเพิ่ม ไตเพิ่ม ปอดเพิ่ม หัวใจเพิ่ม น้ำย่อย น้ำเลี้ยง น้ำเหลือง อะไรเพิ่ม มันไปบังคับไม่ได้ อาตมาไม่เก่ง อันนี้ยอมรับว่าอาตมาไม่มีความสามารถ ไม่เก่งขนาดจะไปบังคับให้สรีระแต่ละส่วน สรีระหรืออวัยวะทุกอย่างโดยเฉพาะอวัยวะที่มันเป็นอัตโนมัติภายใน 32 ประการ ที่มันทำงานอยู่ภายในแม้แต่ภายนอกก็มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อาตมาไม่ได้ฝึกไม่ได้เรียนรู้ไปใช้อำนาจอย่างนั้น เรียนรู้แต่ทำจิตวิญญาณกลางๆ ให้มีพลังงานเข้าไปขับเคลื่อน โดยปริยาย ให้มีอัตราเร่งโดยรวม ไม่ได้เข้าไปกำกับหัวใจ กำกับไต กำกับตับ กำกับม้ามกำกับส่วนอวัยวะสำคัญอะไรแต่ละส่วน ไม่ได้ทำถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นไม่มีความสามารถปานฉะนั้นได้ มีพลังงานรวมเท่าที่มันเป็นไปได้ เท่าที่อาตมารู้ พลังงานนี้เรียกว่าสัมประสิทธิ์ ใช้ภาษาฝรั่งว่า coefficients เป็นพลังงานอัตราเร่ง ตามคำศัพท์ทางคณิตศาสตร์ เป็นอัตราเร่งที่เพิ่ม จนกระทั่งดัดจริตให้เกิดสูตรทางคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ E=C(mc2 + A)
ก็ยังเข้าใจยากแม้แต่แค่คำว่า E=mc2 สูตรของไอสไตน์ ไอสไตน์ก็ยังสารภาพกับลูกสาวว่าเป็นสูตรที่คนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จริงๆแล้วมันเป็นพลังงานนิวเคลียร์ของนิวเคลียส เป็นพลังงานระเบิดของนิวเคลียส ก็เรียกว่าพลังงานนิวเคลียร์ คนเอาไปใช้งานได้
ความเข้าใจที่อาตมาอธิบายมันเอาพลังงานจิตของคน คนที่เข้าไปควบคุมนิวเคลียสควบคุมพลังงานนิวเคลียร์ได้ เอามาเป็นพลังงานต่างๆมาใช้เป็นประโยชน์เป็นโทษ แม้แต่เป็นอาวุธอะไร ที่ใช้ข่มขู่กันอยู่ทุกวันนี้ ก็เกิดจากความรู้อันนี้
ที่นี้สูตรที่อาตมาว่า E=C(mc2 + A) ก็เป็นการขยายจาก E=mc2
ตัว A ก็คือ mc2 อีกอันหนึ่ง A มาจาก abstract ก็คือ mc2
เอาไปบวกกันไปเรื่อยๆก็เป็นยกกำลัง 2 หากถอด A เอาไว้ข้างนอก เป็น C หรือจะมีมากกว่านั้น เป็นยกกำลังเพิ่มก็เอามาไว้ข้างหน้าไปเรื่อยๆ เขาก็จะได้รู้จักสูตรที่เกิดซับซ้อนเป็นชั้นๆต่อไป ย่อตัวอักษรให้สั้นที่สุด ผู้ที่รู้ก็จะเอาไปขยายได้
แต่แม้แต่ mc2 ก็ยังเอาไปใช้กันได้ขนาดนี้ หากว่าคิมจองอึนเอาสูตรของอาตมาไปใช้ แต่เอาไปใช้ไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นนามธรรมส่วนความรู้ทางด้านเกาหลีเหนือนั้นเป็นความรู้ทางด้านวัตถุนิยมแท้ๆ หนัก ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ค่อยมีความรู้ทางนามธรรม นี่เป็นสัจจะที่ไม่ใช่ไปว่าเขา แต่มันเป็นสัจจะอย่างนั้น
ถ้าเขาเข้าใจเรื่องนามธรรม และมีจิตวิญญาณหรือว่าเขาก็มีจิตวิญญาณเหมือนกันมันก็จะรู้ว่าเราหรือเขา เขาหรือเรามันเหมือนกันนะ มันจะลดความอำมหิต ลดความเห็นแก่ตัว ลดความรุนแรงลงไปได้ แต่นี่เขายังไม่ได้หรอก เขายังโง่ เขายังไม่รู้ เขาจะต้องไปอย่างนั้นเป็นความรู้ทางเดียว อยู่อย่างนี้ไปอีกนาน เป็นธรรมดาธรรมชาติของสิ่งที่เขาเป็นเช่นนั้น
สู่แดนธรรม..มีคนให้ข้อมูลคิมจองอึน เขาบอกชาวเกาหลีเหนือไม่ต้องนับถือพระเจ้าที่ไหน ตัวเขาเองเป็นพระเจ้าเอง
พ่อครูว่า…เขาต้องทำอย่างนั้นและในเกาหลีเหนือก็ไม่มีศาสนา ศาสนาก็คือคิมจองอึน เอาเป็นเผด็จการอย่างนั้น ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ ถ้าใครไม่อยากอยู่ก็ต้องหนีจากเกาหลีเหนือ อยู่ตรงนั้นไม่เป็นอย่างนั้นก็ต้องตาย
สรรพสิ่งย่อมมีผลต่อกันและกันเมื่อสิ่งหนึ่งขยับสิ่งอื่นก็ขยับ
_ใหม่เสมอ…รัฐบาลเมียนม่าใช้อาวุธฆ่า ทำร้ายประชาชนที่ออกมาชุมนุมประท้วง จนมีผู้คนต้องอพยพไปประเทศอื่น พ่อครูมองปรากฏการณ์นี้อย่างไร
พ่อครูว่า…ก็เป็นเหตุการณ์ที่มันขยับตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่งมันก็ต้องขยับอีกตัวหนึ่ง ถ้าหากในกระดานหมากรุกไม่ขยับเลยมันก็จะนิ่ง แต่ถ้าขยับตัวหนึ่งเริ่มตั้งแต่ตัวเบี้ย ตัวอื่นก็ต้องขยับ ขยับซ้อนกันไปมันเป็นโดยธรรมชาติ ธรรมชาติของ 2 สิ่งในมหาจักรวาลคือบวกกับลบ บวกคือตัวนิ่ง ลบคือตัวเคลื่อน แล้วก็ทำหน้าที่นะ
บวกนี่ ไม่ได้หมายความว่านิ่งๆๆ หนึ่งเดียวเฉยๆนะมันดูเหมือนหนึ่ง แต่มันหนึ่งๆๆๆ นิ่ง บวกนี่ เพราะฉะนั้นบวกจึงมี 2 ขีด แล้ว 2 ขีดเข้าไปให้ดูเห็นว่ามันเป็นอย่างนี้นะ แต่ถ้าจริงๆก็คือ 0 ตัวศูนย์นี้ยิ่ง 00000 นั่นคือบวกหรือ 1
ส่วน 2 นี้แทนคือขีดเดียว นี่เป็นความขัดแย้งกันในที ซึ่งแต่ไหนแต่ไรแล้วแต่คนจะเรียก สมมติสร้างเครื่องหมายบวกกับลบ สร้างความเป็น 2 ขึ้นมา แยกเป็นคู่มา แต่ไหนแต่ไรคนที่ฉลาดที่สุดคนแรกจนกระทั่งเดี๋ยวนี้อันเดียวกัน อันเดียวกันแต่เขาเข้าใจรายละเอียดไม่ได้ แต่อาตมาอธิบายรายละเอียดได้
ใหม่เสมอ…เป็นเลขคอมพิวเตอร์ฐาน 0 กับ 1 ได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…ใน 0 มีทั้ง 1 ทั้ง 2 ทั้ง 0
0 คือ อม 1 กับ 2 ไว้
0 คือเขียนเป็นลูก
1 คือ ถ้าดิ้นไม่ออกจากผนังวงกลม nich ก็มีอีกอันตรงกลางดิ้น ถ้าดิ้นออกมาก็เป็น 2 ตัวเป็น 3 4 5 6 7 ยกกำลัง ทวีคูณไป เรียกสิ่งที่ขยายตัวเป็นอยู่ข้างในเรียกว่าไซโตพลาสซึม ก็มีกรอบของมันเรียกว่าโพรโทพลาสซึม
เจตนา อาตมาอธิบายให้เอาไปใช้กับตัวเอง พัฒนาตัวเองได้ ไม่ใช่อวดใหญ่อวดดีอวดรู้อะไรหรอก พวกคุณก็ได้รับความเข้าใจเพิ่มเอาไปทำได้จนกระทั่งกลายมาเป็นอริยบุคคล เป็นโลกุตระบุคคล อยู่เหนือโลกลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขที่เขายึดติดกันในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสในโลกโลกีย์ แล้วพวกคุณก็หลุดพ้นจากตรงนั้นมา พวกคุณก็ตัดสินเอง รู้เองว่ามันดีไหม ไม่ดีคุณก็กลับไปเอาใหม่ มาทางนี้ไม่ดีก็เอาคืน แต่ถ้ามันดีคุณก็มาเลย คุณก็มาทางนี้ ก็ยังเหลืออยู่ คนที่จะมาเอาทางนี้อยู่อาตมาก็อยู่กับคนที่เอาอาตมาไม่ได้เหลาะแหละ ก็เห็นว่าทางนี้ทางเดียวนี่แหละ”ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น”(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) ไม่มีทางอื่นดีกว่านี้หรอก อาตมาทำอย่างนี้จนที่สุดที่สูง จนกระทั่ง 0 ส่วน 1 กับ 2 นี้อยู่อย่างอาศัย 2 คืออะไร 1 คืออะไร อาตมาก็ใช้การอยู่กับ 1 กับ 2 แต่ว่าอาตมาทำ 0 ได้แล้ว เพราะฉะนั้นจะสูญเมื่อไหร่จะตายปรินิพพานเลิกเป็นจิตนิยามเลยแยกถ้าตัวเองออกเป็นอุตุนิยามได้ นี่แหละคือประเด็นที่อาตมาเอามาเปิดเผยในโลก ซึ่งอาตมาว่าอาตมาเป็นคนพูด ในยุคนี้ไม่มีใครพูดอย่างนี้ได้ ขออภัยดูเหมือนพูดใหญ่
ไม่มีใครพูดได้ว่าต้องแยกธาตุจิตนิยามออกเป็นอุตุได้ ให้เป็นธาตุดินน้ำไฟลมได้ และคุณก็จะจบความเป็นจิตนิยามเลิกเลย อัตภาพนี้ที่เป็นจิตนิยามไม่มีอีกแล้วในมหาจักรวาลหรือในกาละ ที่ดวงอาทิตย์เลื่อนไปจักรวาลเลื่อนไปเรื่อยๆจะไม่มีอีกแล้ว ในอัตภาพของตัวของใครสัตว์ใดตัวใดตัวหนึ่ง จะไม่มีอยู่ในมหาจักรวาลหรือในกาละ
กาละ คือ การเคลื่อนที่ของมหาจักรวาล ไปข้างหน้า ไม่ถอยหลัง จะไม่มีธาตุรู้ ที่เรียกว่าจิตนิยามอีกเลย ถ้ารู้อันนั้นแยกออกไปเป็นดินน้ำไฟลม ถ้าคุณจะจับตัวมันก็เริ่มจับตัวเป็นดินน้ำไฟลมและพัฒนามาตั้งแต่วัตถุเป็นพลังงานมา จนกว่าจะพัฒนาตัวเองเป็นพลังงานสามารถกลายเป็นเริ่มมีอาการจับตัวเองรู้ตัวเองแล้วก็บังคับตัวเองได้ในตัวอะไรต่ออะไรมาถึงขั้น พีชะ ไม่ต้องนับวันเวลาว่ากี่ล้านปี จากมหาภูตรูป ก้าวหน้ามาเป็น พีชะ จาก พีชะ ระดับต่ำจนเป็นระดับสูงจนกระทั่งเป็น พีชะที่มันรู้กำหนดตัวเพศ กำหนดตัวที่จะต่อพ่อพันธุ์ได้ จนหมดพันธุ์พืชพันธุ์ก็ได้ จนกระทั่งพัฒนาพันธุ์เพศของพืชมาเป็นสัตว์เริ่มมาเป็นแบคทีเรีย
เป็นสัตว์เล็กจนกระทั่งค่อยๆพัฒนาขึ้นมาแค่พูดยังเมื่อยแล้ว
_สมณะกล้าจริง…เคยมีบทกวีที่พ่อครูเคยว่าไว้
ฝกต๋นมีชะข้า ไหมหลู
หมบตะเหล็นเฉ่นหมู ท่านบั้ว
เควลนเข่วคนลู ใลเหญ่ว
ด๊อนเหรือดแท่นทั้งควั้ว ห่ายร้าเลืองมง
ฝนตกมาชะขี้ หมูไหล
เหม็นตลบฉู่เหม็น ทั่วบ้าน
คนเลวขู่คนเลว เลวใหญ่
เดือดร้อนทั่วทั้งแคว้น ห่าร้ายลงเมือง
ถามว่าพ่อครูแต่งได้อย่างไร
พ่อครูว่า…คือที่พูดอันนี้ขึ้นมา จริงๆแล้วตัวเองก็ได้ยิน จำได้คลับคล้ายคลับคลา ว่า อันนี้มันมีมาเก่านะ เขาเป็นคำผวน ฝนตก ก็ว่า ฝกต๋น มาชะขี้ ก็ว่า มีชะข้า
อาตมาเห็นว่าคมมาก ก็เลยเอามาทบทวน เรียบเรียงให้ครบ จึงได้พูดและเขียนบันทึกไว้จนพวกคุณก็พอจำได้อาตมาก็พอจำได้ก็ทบทวน วันนี้เอง ไม่รู้ว่าอาตมาเคยแต่งไว้ในปางไหนก็ไม่รู้ หรือใครแต่งไว้ก็ไม่รู้ไม่เห็นมีใครแสดงตัว
ปัญญาเกิดจากหิริโอตตัปปะอันแรงกล้าได้อย่างไร
_อมร ณ สุวรรณ…พ่อท่านบอกให้เราแยกจิตกับกิเลส แล้วเราก็จะทำให้มันอ่อนกำลังลงไป พ่อท่านว่ามันเป็นพลังงานของฌาน
จะทำให้มันเกิดเป็นสัมประสิทธิ์ จะทำอย่างไร
พ่อครูว่า…อันนี้อาตมาก็จนปัญญา ที่ยังไม่มีปัญญาอธิบายซับซ้อน อย่างที่คุณถาม มันเป็นนามธรรมเกินไปจนกระทั่งอาตมาไม่เก่งจะใช้พยัญชนะ พระพุทธเจ้าท่านมีพยัญชนะบาลีเยอะ ละอียด ขนาด สติสัมปชัญญะ ก็มีอีกเยอะ ภาษาบาลี อาตมาไม่เก่ง
ผู้ที่ท่านศึกษาภาษาบาลีได้เยอะ แต่ท่านไม่รู้เหมือนอาตมา หากว่าท่านมีสภาวะเหมือนอาตมา แล้วท่านก็จำภาษาได้เยอะ แต่พยัญชนะของอาตมามีไม่เยอะ
_อมร…ดีที่พ่อครูพูดแล้วพวกเราเข้าใจได้ มันเป็นความโง่ของเราเองพูดกับมันดีๆแล้วมันไปเอง รู้สึกว่า มันได้เนื้อหา
พ่อครูว่า…พูดดีจริงๆไม่ต้องไปใช้แรงอะไรใช้ปัญญา
พวกที่มาเป็นลูกอาตมา จะมาเป็นผู้ดีอย่างนี้ ผู้ที่พูดอย่างไรก็ไม่มาเป็นอย่างนี้ก็ไม่ใช่ผู้ดีอย่างอาตมา พูดอย่างไรก็จะย้อนแย้ง ผู้ที่มาเป็นลูกจริงๆก็จะเข้าใจก็จะได้ มันเป็นเรื่องของสัจจะ มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ สอดคล้อง
พระพุทธเจ้าท่านใช้คำศัพท์ว่า ติปปัง คือ แรงกล้า เพราะฉะนั้นผู้ใดที่พอเข้าใจแล้วว่าเราไม่ควรดื้อด้านดึงดันต่อพ่อท่าน คนที่ดื้อด้านแล้วจับได้ว่าตัวเองดื้อด้าน อย่างหยาบด้วยนะ จะละอาย มันเป็นความโง่ที่มาดื้อด้านกับพ่อท่าน ใครที่เกิดความรู้สึกตัวนี้ ตัวนี้คือตัวเริ่มรู้สึกฉลาดมีสัทธรรม ตัว ศรัทธา หิริ ละอาย หากละอายแรงมากยิ่งขึ้นถึงขั้นกลัวแล้ว ละอายต่อบาป กลัวต่อบาป มันจะแรงขึ้นเป็นเท่าตัว จะเกิดสภาวะจริงของจิตอย่างนี้นั่นแหละคือตัวคนที่มีธาตุปัญญา รู้สว่างแจ้ง รู้จักความจริงว่าตัวเราเองทำไมถึงโง่ดักดานหยาบกระด้างขนาดพ่อท่านชี้ความจริงตัวหยาบ เบ้อเร่อ ขนาดนี้ยังไม่มีดวงตาเห็นเลย แล้วดีไม่ดีเราเคยลบหลู่ดูถูกว่าพ่อท่านด้วย จะเกิดสำนึกเกิดความรู้สึกละอาย ผู้ที่เกิดสภาวะละอายอย่างแรงกล้า พยัญชนะมันซับซ้อน มันมีความสำนึกละอายอย่างแรงกล้าจริง ติปปัง หิโรตัปปัง
หิโรตัปปัง คือ ทั้งหิริ ทั้งโอตัปปะคู่กัน 2 ละอาย ทั้งเกรงทั้งกลัว ติปปัง แรงกล้าทั้งหิริโอตตัปปะเลย ซับซ้อนยิ่งใหญ่ลึกซึ้งมากมายเลย
ผู้ที่รู้สึกละอายอย่างนี้จึงเกิดความเคารพอย่างแรงกล้า ต้องใช้ ติปปังคารโว เคารพอย่างแรงกล้าเลย เคารพเลย มุดหัวเอาเช็ดพระบาทเลย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆเลยเคารพอย่างแรงกล้า เกิดความรักอย่างแรงกล้า นับถืออย่างแรงกล้า
_สู่แดนธรรม…ผมเห็นอีกมุม ลูกๆของพ่อท่านมีหิริโอตตัปปะอยู่ แต่ความแรงของดีกรีมันยังไม่ถึง เพราะว่าเคยมีความสั่งสมมา มีความสามารถมีไฟคุกรุ่น จะสรรสร้างศักยภาพออกมา หิริก็หยาบ แต่ความสามารถพุ่งพล่านเป็น อภิชัปปา ตัวเองก็เลยสู้กับตัวเองด้วย
พ่อครูว่า…พูดถูกมีหลายคนเป็นอย่างนี้ นี่แหละเป็นความรู้ความสำนึกต่อธรรมาธรรมะสงครามของแต่ละคนที่เกิดความรู้สึกเองได้ซับซ้อนอย่างนี้จริงๆ พูดถูก
_สู่แดนธรรม…ต้องคบกับสิกขมาตุอ่านตน เอาชื่อ อ่านตน มาใช้เป็นกรรมฐาน
พ่อครูคือโพธิสัตว์ที่สร้างคนให้เป็นอาริยะด้วยการลงมือทำเกิดผลจริงทุกขั้นตอน
_ทอธรรม…ในโลกนี้ ดิฉันยังไม่เคยเห็นพระองค์ไหนที่สร้างคนเหมือนอย่างที่พ่อท่านทำ 40 ปีนี้ พ่อท่านต้องลงมือทำเองทุกเรื่อง ต้องทำอย่างนี้หรือจึงเปลี่ยนคนได้
พ่อครูว่า…ใช่ มันต้องทำอย่างนี้ไม่อย่างนั้นเขาไม่อยากจะเชื่อ มันต้องครบเครื่องอย่างนี้พอได้
_ทอธรรม…อยากถามว่า พ่อท่าน โพธิสัตว์ระดับ 7 จะไปเป็น 8 เป็น 9 ไป ตอนที่เกาหลีใต้มอบรางวัลให้พ่อท่าน เขาเป็นคนดีใช่ไหม
พ่อครูว่า…ประเด็นที่เขามอบให้คือ เขาบอกว่าเป็นผู้ที่สร้างสันติภาพให้แก่โลก องค์กรที่เขาให้รางวัล Manhae ยังเป็นองค์กรที่ยังไม่รู้จักกันเป็นกว้างขวางเหมือนกับ nobel รางวัลแมกไซไซ ยังไม่มีชื่อเสียงขนาดนั้น
_ทอธรรม…ตอนนั้นดิฉันมองว่า พ่อท่านมีที่วิเศษกว่าเขาคือ พ่อท่านดึงเข้ามาหาพุทธ
พ่อครูว่า…เขาก็เป็นองค์กรศาสนาพุทธก็เลยเข้าใจความยิ่งใหญ่ พยายามที่จะยืนยัน ยกย่องอาตมาต่อโลก เขาเจตนาประกาศไปต่อโลก แต่เขาไม่มีอิทธิพลใหญ่อะไรก็เท่าที่เขาดัง
_ทอธรรม…ที่พ่อท่านสร้างคนอย่างอโศก ไม่มีใครเขาทำได้ เพราะว่าพ่อท่านต้องลงไปทำเองทุกอย่าง อย่างนี้จึงสร้างคนได้ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…ใช่ เวลาของอาตมามีน้อย ถ้าหากมีเวลามากอาตมาจะทำได้ละเอียดได้นานได้มากกว่านี้ เช่นทำงานทางออกแรงทางระดับล่าง อาตมาจะต้องไปทำมากกว่านี้ ยาวนานกว่านี้ แต่เวลาอาตมามีไม่ยาวนานพอ จึงได้มาทำงานเฉพาะนามธรรมเนื้อของโลกุตระให้ละเอียดจนบัดนี้ก็ยังไม่จบ ยังไม่มากพอ ถ้ามันมากพอคนจะจำนน คนจะเข้าใจได้ แต่อาตมาอธิบายขนาดนี้คนก็ยังเข้าใจไม่ได้ ที่ใช้ศัพท์เป็นอุทาหรณ์ของพระพุทธเจ้าเองมาอธิบายซ้อนลงไปว่า เหมือนอาตมาใช้หอก 100 เล่มแทง เช้า มันก็ไม่รู้สึก แทงอีกตอนกลางวัน มันก็ไม่รู้สึก ไม่รู้สึกสำนึกไม่รู้สึกเจ็บสะดุดอะไรเลย มันเหมือนกับอะไรมาถูกเป็นลมพัดผ่านผิวหนังอย่างนั้นหรือเปล่า ไม่รู้เรื่องอะไรมันซับซ้อน
แต่มันไม่สูญเปล่าไม่เป็นหมัน ยังมีพวกคุณเข้าใจได้ไงว่ามีมวลขนาดนี้ ในยุคกาลนี้ก็ถือว่าได้ผล อาตมามักน้อยอาตมาไม่ได้มักมาก ได้ขนาดนี้ก็เป็นเครื่องรองรับ ใช้ได้
_ทอธรรม…ดิฉันมองดูพ่อท่านมา 50 ปีพ่อท่านทำเองทุกอย่าง ตอนนี้มันเกิดเรื่องตลกขึ้นมาว่ามี สส.สอบตกคนหนึ่งตั้งตัวเป็นพระศรีอารย์ แต่ดูพ่อท่านสิ กว่าจะสร้างคนมาได้ ทำทุกกระเบียดนิ้วที่สุดเลย แต่อันนี้มานั่งโบกมือ ให้คนมาบอกว่าจะช่วยคนทั้งโลก ดิฉันว่ามันจะเลอะกันใหญ่เจ้าค่ะ ถามพ่อท่านว่า ที่ดิฉันเข้าใจพ่อท่านเข้าใจผิดไหม พระโพธิสัตว์ต้องทำทุกสิ่งต่อไปให้ปรากฏความจริง อยากจะถามพ่อท่านว่าพระศรีอารย์คนใหม่บ้าหรือไม่เจ้าคะ
พ่อครูว่า…เราไม่ต้องไปด่าเขา มีหน้าที่ดูไปโดยไม่ต้องดูไบ คำว่าดูไปเป็นคำกริยา คำว่าดูไบเป็นคำนาม ดูไบนั้นอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อน ส่วนดูไปนั้นก็เคลื่อนไป ก็ดูเขาไป ไม่ต้องไปดูถูกดูแคลน เดี๋ยวก็เห็นก็รู้ เขาจะเป็นอย่างนั้น
ยกตัวอย่างอาตมาประกาศตัวเองเป็นอรหันต์ ประกาศตัวเองเป็นโพธิสัตว์ อาตมาประกาศคำว่าโพธิสัตว์อยู่ในประเทศไทยก่อนคำว่าอรหันต์ เพราะเมืองไทยเขาไม่รู้จักโพธิสัตว์ เขาไม่รู้ก็มาประกาศก่อน ถ้าหากอาตมาประกาศตัวเป็นอรหันต์มาตั้งแต่ต้น ป่านนี้อาตมาตายอย่างเขียดเยียดขาตายไปไม่รอด เขากระทืบตายแล้ว แต่เพราะเขาไม่รู้ตัว อาตมาประกาศโพธิสัตว์เขาก็ยังงง เทวนิยมหรือว่าสายเถรวาทเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องโพธิสัตว์ ถ้าหากมหายานจะรู้เรื่องโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้นเขาก็เลยปล่อยมันบ้าเป็นโพธิสัตว์ไป อธิบายโพธิสัตว์เหนือชั้นกว่าอรหันต์อีก เขาก็ดูถูกดูแคลน ปล่อยให้อาตมาบ้า โพธิสัตว์บ้า จนกว่าเขาจะรู้ตัวว่าเขารู้ตัวอาตมาประกาศอย่างนี้มา โดยประกาศพฤติกรรมไม่ได้ประกาศภาษา ว่าอาตมาเป็นอรหันต์ แต่อาตมาประกาศเป็นโพธิสัตว์มาก่อน จนกระทั่งถึงพุทธศักราช 2532 เขาถึงค่อยรู้สึกว่าไม่ได้ต้องปราบ ปล่อยไปอีกไม่ได้หรอก เขาก็เลยขึ้นมารวมตัวกันทั้งธรรมยุตและมหานิกาย รวมกันเป็น 2 คณะ ซึ่งเอามารวมกันเป็นทางการเรียกว่าสังฆกรรม มาเล่นงานอาตมานั้นมันผิดพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว คณะปูรกะ นอกนิกายกันไม่ได้ เพราะว่าธรรมยุตกับมหานิกายเป็นคนละนิกายกันจริงๆเขามาทำก็ผิด รวมกันเป็นจำนวนพันรูปเลย พูดกันวิเคราะห์วิจัยอภิปรายกันจนใช้เวลาเป็นวันๆ เสร็จแล้วก็มีการลงมติก็ ไม่มีการ
กล้าเอาอาตมาเอาไปร่วมในนั้นเรียกว่าทำแค่ สัมมุขาวินัย ไม่กล้าเอาตัวจำเลยเข้าไปในนั้น ตัดสินทรัพย์ประกาศ ปกาศนียกรรมว่าผิดอย่างนั้นอย่างนี้
อาตมาก็ยืนยันว่าอาตมาประกาศถูกต้องทุกอย่าง ตั้งแต่ประกาศนานาสังวาสตามพระธรรมวินัย สมเด็จพระสังฆราชเจริญ ญาณสังวร ท่านก็เป็นองค์หนึ่งในประวัติที่ร่วมกับธรรมยุต ลงชื่อร่วมประกาศนานาสังวาสกับมหานิกาย ซึ่งมีรัชกาลที่ 4 เป็นองค์ประธาน
ที่จริงอาตมาเองฝืนสังขารให้ยืนยาวมันก็เมื่อยนะ มันไม่ใช่สบายเท่าไหร่ แต่ก็จะต้องทำเพื่อที่จะยืนยัน ถ้าหากขาดช่วงอาตมาตายตอนนี้ ไปเกิดอีกกว่าจะได้เริ่มต้น มันจะยาวยืนไปอีกตั้งเป็นร้อยปีหลายร้อยปี เพราะฉะนั้นจะขาดตอนจะพูดกันต่อไม่ติดไม่ได้เรื่อง อาตมาก็ไม่อยากให้ความรู้อันนี้มันขาดช่วงขาดตอน อยากจะให้มันต่อติดไปพอสมควร มากที่สุดเท่าที่จะฝืนได้ ไม่เช่นนั้นจะยากในอนาคต นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง
หากขาดตอนไปแล้วจะไม่ถึง 5,000 ปีของศาสนาพุทธ เพราะว่าอำนาจของอวิชชามันสูง มาก จึงจำเป็นต้องสืบทอดอันนี้ให้ได้ สรุปคือมันเป็นงานหลักของโพธิรักษ์ที่จะต้องทำ มันต้องเป็นเรา ทำไมต้องเป็นเราต้องเป็นอย่างนี้
_การที่เขาปฏิบัติธรรมแนวอโศก กับ เข้ามารับประทานอาหารมังสวิรัติเฉยๆ แต่ไม่ใช่ชาวอโศกจะเป็นแนวร่วมกันหรือไม่
พ่อครูว่า…ก็ค่อยๆเริ่ม มีจุดร่วม ไปเรื่อยๆ ก็จะเพิ่มไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปบังคับ ไม่ต้องไปล่อหรอก ไม่ต้องไปและเล็มเลียบเคียง ให้เป็นไปตามธรรมชาติทำดีที่เราที่สุดมันจะเป็นมาเองให้เห็นตามเหตุปัจจัยเองแล้วได้ของจริงมาด้วย มันไม่จำเป็นต้องได้ตามใจเรา ให้มันถ้วนถึงเมื่อคุณธรรมปัญญาเขาถึงก็จะมาเองก็จะสบายง่ายสะดวกและเป็นของจริง
_วิญญาณจะเกิดได้ต้องมีผัสสะคืออย่างไรคะ
พ่อครูว่า…ค่อยๆเข้าใจไปเรื่อยๆ ถ้าคุณเองคุณมีธาตุรู้ มีวิญญาณไม่มีผัสสะมันจะไม่มีอะไรก้าวหน้าที่จะมารู้เพิ่มอีกเลย เพราะฉะนั้นคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่าต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงจะมีจุดตั้งต้นที่เรียกว่าฐาน หรือ ฐีติ
เพราะฉะนั้นวิญญาณล่องลอยวิญญาณไม่มีผัสสะเลิกเลยคนนี้ไม่ได้มีการศึกษา เมื่อวิญญาณมีจุดตั้งมีที่ตั้งทางตาหูจมูกลิ้นกาย ทวารนอก ถือว่าไม่ใช่วิญญาณล่องลอยไม่ใช่สัมภเวสี เป็นวิญญาณที่มีสัมภวะ มีจุดเริ่มต้นจุดตั้ง สัมผัสทางตาเกิดรูป สัมผัสทางหูเกิดเสียง สัมผัสทางจมูกเกิดกลิ่น สัมผัสทางลิ้นเกิดรส สัมผัสทางกายทั้งหมดเกิดความรู้สึกเย็นร้อนอ่อนแข็งขึ้นมา จึงใช้จับความรู้สึกตรงนั้นๆเป็นที่พูดกัน ศึกษาการขยายความกันต่อไป ตอบไว้แค่นี้ก่อนละกัน เรียนรู้ต่อไป
_เมื่อเรามีพ่อท่านเป็นโพธิสัตว์เราจะวางใจอย่างไร
-
ไม่อยากเห็นพ่อท่านในเมื่อท่านเทศน์นานๆ
-
ไม่อยากเห็นพ่อท่านน้ำหนักลดลงเพราะน้ำหนักน้อยหรือเพราะฉะนั้นอาหารที่ไม่สมดุล ดิฉันควรวางใจอย่างไรพ่อท่านเป็นโพธิสัตว์ต้องมีกรรมดีคุ้มครองทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับพ่อท่านต้องดีที่สุดคิดอย่างนี้ได้ไหมคะ