640315_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 31 ที่สันติอโศก
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1We3gizU7rXu6xxf-GGSsgBN8gRy_N8BYRX3siT31BBE/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1pmhS9A3dv2H7kINFA4vnP32Ne3-HevQd/view?usp=sharing
ยูทูปที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1073744956438672
_สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 ที่บวรสันติอโศก
ทำได้แต่ไม่รู้ตัวเองว่าเป็นจะเป็นพระอาริยะได้ไหม
_สมณะบินบน (ลานนาอโศก)…วันนี้ในอดีตของชาวอโศกมีเรื่องระทึกใจ เมื่อปี 2540 วันที่ 15 มีนาคม เป็นเมื่อ 24 ปีที่แล้ว ช่วงค่ำขณะที่นายหินไทได้ขับรถตู้นำสมณะ สิกขมาตุ รถลันขง วิ่งตามหลังรถพ่อท่าน ปรากฎว่ามีรถปิคอัพวิ่งมาชน คนขับรถเมา ทำให้สม.ปลูกบุญ ขาหัก, สม.ผาแก้วเจ็บที่ไหล่, ส.ฟ้าไท และส.ชัญโญ บาดเจ็บเล็กน้อย พ่อท่านบอกว่าไมต้องมาเยี่ยมผู้บาดเจ็บ เพราะญาติธรรมจ.เลย ดูแลได้ดีแล้ว
ถาม..คนที่เขาเลิกอบายมุขได้ เลิกฆ่าสัตว์ เลิกรับทรัพย์ได้ ไม่มีชู้ ไม่พูดปด ไม่มีอบายมุข แต่เขาไม่รู้ว่าเป็นโสดาบันเ ขาจะเป็นโสดาบันได้หรือไม่
พ่อครูว่า…ยังไม่สมบูรณ์ ผู้จะเป็นอริยบุคคลระดับ 1, 2, 3, 4 ก็ตาม โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตนเองต้องเป็นผู้รู้ เป็นด้วย ที่ถามมาเมื่อกี้มีประเด็นตรงที่ว่า เป็นแล้วล่ะปฏิบัติได้ บรรลุศีล 5 ข้อมาได้จริง แต่ไม่รู้จักบัญญัติ ไม่มีปัญญาหยั่งรู้ อ่านรู้ในสภาพธรรมต่างๆ ก็ถือว่ายังไม่บริบูรณ์ ยังไม่เป็นเต็มตัวยังไม่เป็นแท้ ผู้ที่จะถือว่าเป็นโสดาบันแท้ก็ต้องรู้ตัวเองว่าตัวเองเป็น คนที่จะถือว่าเป็นสกิทาคามีแท้ ก็ต้องดูว่าตัวเองเป็น อนาคามีก็เช่นกันก็ต้องรู้ว่าตัวเองเป็น เป็นเช่นใด มีหลักเกณฑ์อะไรถึงเป็นได้จึงถือว่าเป็น หรือว่าเป็นอรหันต์ก็ต้องรู้ตัวเองว่าทำไมเป็นอรหันต์ เหมือนอย่างกับผมไง
คนก็บอกว่าทำไมท่านมาประกาศว่าตนเองเป็นอรหันต์ รู้ได้อย่างไร ก็ถ้าอาตมาไม่รู้ว่าเป็นอรหันต์จะบอกได้อย่างไร อาตมาต้องรู้สิว่าอาตมาเป็นอรหันต์เป็นอย่างไร อาตมาก็จึงได้อธิบายลักษณะจิตเจตสิกต่างๆ ให้เห็นชัดเจนว่า จิตตัวนั้นใช้บัญญัติภาษาของพระพุทธเจ้าบาลี เวทนา สัญญา สังขาร ต่างๆนานาหรือแม้แต่เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ หรือแม้แต่เจตสิกต่างๆ เจตสิก 108 เป็นต้น ที่แยกชัดเจน เคหสิตเวทนา หรือเนกขัมสิตเวทนา มโนปวิจาร 18 ฝ่ายโลกียะกับฝ่ายโลกุตระต่างกันอย่างไร ที่อาตมาได้อธิบายชี้แจง ยืนยันได้ว่าตามที่ตัวเองมีตัวเองเป็นตัวเองได้ ไม่ใช่เอาแต่ตำรามาพูด อะไรก็ยืนยันไปหมดแล้ว พวกคุณก็ฟังเข้าใจ แล้วยิ่งคบอาตมานานเข้าก็ยิ่งชัดว่า ใช่ท่านเป็น ยถาวาทีตถาการี หมายความว่า พูดอย่างไรทำได้อย่างนั้น
อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไรคนไม่เชื่ออาตมาจะข่มเขาโคขืนให้กินหญ้ามันไม่ยอม ไปบังคับกันไม่ได้ โคไม่กินหญ้า ไปข่มมันเดี๋ยวมันขวิดเอาตาย ไม่ต้อง มันจะเป็นจริงก็เป็นจริงของมันเองไม่ต้องไปบังคับใคร ไม่ต้องไปง้องอนใคร ไม่ต้องไปปะเหลาะให้ใครมาเชื่อให้มาเข้าใจ เขาเข้าใจของเขาเองเชื่อของเขาเองเห็นดีเห็นจริงของเขาเองเขายอมรับนับถือของเขาเอง นี่เป็นอิสระเสรีภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุดเลย ชัดเจน นี่คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆของพระพุทธเจ้า
_สมณะบินบน…ถ้าเช่นนั้นผู้ใดที่พ่อท่านพยากรณ์ ว่า เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ หรือแม้แต่เป็นโพธิสัตว์กลับมาเกิด ถ้าเขาไม่รู้ตัวของเขาก็ยังไม่บริบูรณ์ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…ก็ยังไม่บริบูรณ์ ถ้าเขารู้ตัวก็บริบูรณ์เท่านั้นเอง
_สู่แดนธรรม…ตอนพ่อท่านอธิบาย คนที่มีสภาวะแต่ไม่มีความรู้ว่าเป็น ก็ยังไม่บริบูรณ์ มีหลักฐานในพระไตรปิฎก แยกได้ 2 อย่าง จิตที่เจโตวิมุติ สิ้นทุกข์ในรอบของตน เป็นสัมภวะ เป็นการเกิดแล้วพร้อมแล้ว แต่ว่าปัญญาวิมุติ ยังไม่พ้นอวิชชา …อย่างเช่น ยายกิมตัง มีพฤติกรรมที่เป็นแล้วแต่ ยายยังไม่สามารถรู้ตัวเองได้ ก็ยังไม่เกิดปัญญาวิมุติ
_ในปางฝัน…เวลาเราได้ทำอะไรตามใจตัวเอง ตามภพตัวเองเราก็จะได้เห็นถึงความยินดี เห็นถึงความขยันที่มีมาก แม้ทำจนมือสั่น ปากสั่น ขาสั่น เราก็ยังรู้สึกว่าเราไหว แต่ในขณะเดียวกัน เวลาที่เราได้ทำในสิ่งที่มันขัดกิเลส หรือว่าไม่ชอบใจ เรารู้สึกว่ามันหนักมาก แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยแต่เราก็รู้สึกว่าเราต่อสู้มากกว่า คำถามก็คือ พลังงานที่เราได้ขัดใจตัวเองเหมือนมันจะทำยากกว่าทำตามใจตัวเองค่ะ
พ่อครูว่า…ก็ใช่แล้ว มันบำเรออัตตา บำเรอความชอบตัวเอง มันขัดใจตัวเอง มันก็ไม่ชอบ มันก็ไม่มีกำลัง แต่ถ้าชอบใจนั้น แม้ไม่มีแรงเมื่อยแล้วก็ยังอุตส่าห์ทำ จะตายจะเป็นก็ยังซมซานเข้าไปเอา เพราะว่ากิเลสมันดูดดึง มันเป็นธรรมดาธรรมชาติอย่างนั้น อย่างนี้อาการยังหนักอยู่นะ ที่ถามมา อาการยังหนักอยู่ เรียนให้ดีๆสภาวะจิตที่ถามมารู้สึกว่า มันไม่ประสีประสาเท่าไหร่ อาการหนักอยู่ ศึกษาให้ดีๆ พากเพียรฝึกฝนให้ดีๆตั้งใจ
ลักษณะกิเลสถือดี มีมานะ มีลักษณะอย่างไร
_ฟังฝน : กราบเรียนถามพ่อครู … พ่อครูอธิบาย “อาการกิเลสถือดี” เมื่อวาน วันที่ 12 มีนาคม 2564 ในรายการพุทธศาสนาตามภูมิ (ช่วงเวลาที่ 1-12-35 ช.ม.) … ความว่า … อาการกิเลสถือดีจะแสดงออกมาทางลีลาท่าทาง ภาษาคำพูด ไปจนถึงไม่มีอาการถือดีออกมาให้เห็นภายนอก แต่ภายในจิตยังมีอาการถือดีอยู่ … คำถามคือ
ข้อ 1. ลักษณะของรูป และอรูปในกรณีที่ยกตัวอย่าง คืออะไรบ้าง รบกวนพ่อครูอธิบายเพิ่มเติม
ข้อ 2. อรูป เช่น อาการว้อบๆๆ แวมๆๆ … อาการของกิเลสถือดีที่ยังไม่สงบสนิทในจิตใช่หรือไม่คะ
พ่อครูว่า…คำถามก็ชักจะปนๆกัน มันไม่คมเท่าไหร่
สู่แดนธรรม…คำถามข้อ 1 คือ รูปภายนอกที่ถือดี กับอรูปที่ถือดีเป็นอย่างไร
ส่วนข้อ 2 เขาถามว่าคืออะไร ไม่ได้ถามวิธีแก้
พ่อครูว่า…ลักษณะการถือดี คือ มานะ คำว่ามานะ มีสองนัย คำ มานะกิริยาคือ ความพากเพียรอุตสาหะ ตั้งอกตั้งใจจะทำให้ดีอย่างที่เรารู้ เราต้องการ จะต้องทำดีนี้ให้ได้ เรียกว่ามานะอุตสาหะ พากเพียรเพื่อจะให้ทำดีนั้นได้สำเร็จให้ได้
เมื่อได้ผลสำเร็จดีแล้ว ก็ยึดถือดีนี้เป็นตัวเป็นตน ยึดดีนี้เป็นเราเป็นของเรา ยึดดีนี้เป็นอำนาจ ยึดดีนี้ถือว่าใหญ่ว่ายิ่งก็หลง ก็ ยึดดีนี้เป็นลักษณะ ดีไม่ดีก็เอาดีนี้แหละ ไปข่มคนอื่นเลย จะแสดงออกข่มทางอำนาจบาตรใหญ่ ทางกายกรรมหรือทางวาจา ก็ตาม ก็คือยิ่งหยาบ ยิ่งเป็นการถือดี เป็นกิเลสแสดงออกภายนอก ที่ถามมาไม่ใช่ลักษณะหยาบอย่างนั้นแล้ว เป็นลักษณะภายใน มันรู้สึกตัวเองถือดี เข้าใจถูกต้องตรงหรือเปล่าว่าลักษณะอาการถือดี มันมีดีนั้นแล้ว แล้วเราก็ยึดถือตัวดีนี้เป็นอำนาจในตัวเรา ถ้าแสดงออกหยาบก็อย่างที่อธิบายไป ถ้าไม่แสดงออกภายนอกก็อยู่ภายในลักษณะเล็กๆน้อยๆ ก็มีอยู่ตามจริง จะไปแสดงออกภายนอกมันไม่เท่ เอาภายในดีกว่าหรือบรรลุอรหันต์เลยก็ได้ ก็ดี เป็นการกดข่ม
แต่ต้องรู้ด้วยปัญญา รู้ด้วยความเฉลียวฉลาดปัญญาทางธรรม รู้ว่าลักษณะพวกนี้ต้องแยกให้ออกว่าดีมันดีแล้ว แต่อย่าเอาดีเป็นเราหรือยึดดีเป็นของเรา แล้วก็เอาดีของเรานี้ไปเที่ยวได้ข่มคนอื่นเขา ไปบังคับคนอื่นเขา ไปใช้เบียดเบียนผู้อื่น
ดีของเราได้ดีแล้ว ถ้ายังยึดดีนี้ก็เป็นภัยเป็นพิษยังเป็นวิบาก ดีก็ดีแล้วไม่ต้องเอาดีไปข่มใครเบียดเบียนใคร ไปทวงหนี้ ทวงบุญคณใคร ก็เห็นว่าเราดีก็ยกย่องนับถือเองโดยอิสระเสรีภาพไม่ต้องไปอ้างอิง และเล็ม ให้เขา บอกความจริงได้ เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นสิทธิของเขา อย่างอาตมาพูดบอกความจริงยืนยันย้ำ จนกระทั่งเขาไม่เชื่อว่าจะต้องมาบอกอะไรมันเหมือนมาอวด อาตมาก็บอกว่าไม่ใช่ อาตมาไม่มีตัวนี้ ซึ่งมันซับซ้อน
อาตมาบอกว่าเป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ระดับไหน ยิ่งใหญ่ขนาดไหนอย่างไร อาตมาย้ำยืนยันเพราะว่า ต้องการให้รู้ครบทั้งภาษาหยาบ ทั้งภาษาละเอียด และแสดงออกตามความเป็นจริงของอาตมา และให้ครบๆ เลยว่า แรงก็แรงด้วยให้เห็นเลยว่าแรง แต่แรงออกไปนี้ไม่มีจิตอกุศลเลย จิตอกุศลแม้แต่เล็กแต่น้อยก็ไม่มี ซึ่งมันเป็นสภาพย้อนแย้งว่า แสดงออกก็แรง ธรรมะพระพุทธเจ้าจะต้องไม่แรง แรงไม่ได้เมา ซึ่งไม่จริงหรอก แรงก็คือแรง มันตรง ถ้าอันนี้มันแรงก็แสดงออกอย่างแรงให้เห็น อันนี้มันกลางๆ ก็แสดงออกกลางๆให้เห็น ถ้าอันนี้มันเบาก็แสดงออกเบาให้เห็น ตรงทั้งนอกทั้งในทั้งตัวมันเอง มันจะได้ไม่งง ไม่สับสน ทุกอย่างตรง อาตมาเป็นคนตรง มันยากตรงนี้
เพราะฉะนั้น อาตมาไม่สงสัยหรอกที่คนไม่เข้าใจ แล้วอาจจะเข้าใจผิดด้วย เพราะว่ามันเป็นจริง เขายังไม่มีตัวอย่าง ตัวอย่างของจริงมันหมดไปแล้ว นอกจากหมดไปแล้วยังไม่พอยังเข้าใจตัวอย่างของเทียมของเก๊มาเป็นของจริงซะอีก ยึดถืออย่างนั้นอย่างยึดมั่นถือมั่นเลยว่าอย่างนั้นจริง อย่างของอาตมานี้ไม่จริง อย่างนี้เลยเป็นต้น มันก็เลยยิ่งยาก แต่ในยุคนี้มันไม่มีแล้ว อาตมาเกิดมาหัวเดียวกระเทียมลีบ มีคนเดียวด้วย เรียกหาผู้พี่ก็ไม่มี ส่วนผู้น้อง บางทีก็ยืนยันว่าเป็นน้องไม่ได้ ก็พูดไป อธิบายไปเรื่อยๆ ก็เป็นไปตามที่เรามีผู้ช่วยกัน
จริงๆแล้วผู้ที่ช่วยกันทางธรรมะ แกนของศาสนาพุทธเมืองไทย มีกันเยอะ เพราะว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธมาแต่อ้อนแต่ออก และเป็นพุทธที่ดีที่ถูกต้องมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แล้วก็พัฒนามาเรื่อยๆ ซึ่งมันช้ามาก่อน จนกระทั่งถึงยุคนี้ แล้วมันก็มีโพธิสัตว์มาอุบัติ มีพลังของความเป็นโพธิสัตว์ที่แสดงออกอย่างเต็มรูปเต็มนาม ครบรูปครบนาม ถึงยุคครึ่งหนึ่งของศาสนาพระสมณโคดม 2,500 ปี สัจจะของมันต้องถึงกาลเวลาด้วย แล้วก็มีสภาพความเป็นจริงในตัว ไม่ใช่ว่าทุกอย่างมันบังเอิญ จะต้องมา ไม่ใช่ ทุกอย่างจะต้องลงตัว สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดจะต้องสมบูรณ์ทั้งรูปทั้งนาม ทั้งองค์ประกอบ ทั้งเหตุปัจจัยครบถ้วนในตัว มันถึงจะเป็นความจริงแล้วถึงจะมีพลังที่จะดำเนินไปได้ เพราะฉะนั้นถึงยุคนี้ก็จะมีความจริงเป็นไปได้
อาตมาทำงานมาถึง 50 ปีแล้ว ถ้าอาตมาทำงานไปถึง 80 ปี ที่จริงพระพุทธเจ้าทำงาน 45 ปี แล้วท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว ท่านทำงานตั้งแต่อายุ 35-80 ก็ปรินิพพาน อาตมาทำงานเกินท่านมา 5 ปีแล้ว ยังจะต้องทำต่อไปอีก ท่านทำมา 45 ปีอาตมาจะต้องทำถึง 90 ปี ตอนนี้ทำมา 50 ปีแล้ว ก็คงจะต้องทำไปอีก 40 ปีเป็นอย่างน้อยว่าอย่างนั้นตั้งใจนะ แต่อย่าประมาทนะ
_สู่แดนธรรม…ผมเห็นว่ากิเลสมานะ มานานุสัย เป็นมาตั้งแต่สัตว์แล้ว สัตว์ก็แสดงมานะให้เห็น
พ่อครูว่า…สัตว์มันถือดีไม่กลัวตายเลยนะบางที
_สู่แดนธรรม..แม้เด็กไม่แสดงออกกาม แต่มีมานะด้วย เช่นผู้ใหญ่คนนี้เด็กจะไม่ให้อุ้ม ก็เป็นตัวที่ลึกในสันดานพอสมควร
พ่อครูว่า…ก็ค่อยๆไป มันเป็นแกนหลัก มันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง ยากเย็นก็ต้องทำ เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าพาทำมันยากไม่ง่ายหรอก แต่มันเป็นสิ่งสุดยอดประเสริฐแล้ว
ทำงานหลายอย่างให้มีสติสัมโพชฌงค์ต้องทำอย่างไร
_พลังเพ็ญ…ปกติเราทำงาน หากมีหลายเรื่องทำให้เราเร่งรีบ สติเราหลุด วิญญาณเราไหลไปกับงาน ไม่มีสติสัมโพชฌงค์เลยในขณะที่เร่งการทำงาน จะใช้ปัญญาอย่างไร
พ่อครูว่า…มันไม่ง่ายนะ สติ นี่ อาตมาขยายความให้ฟังทั้งพยัญชนะและสภาวะ
สติ มาจากคำว่า สต คือ 100 คือ ความตื่นเต็มร้อย
สตะ ร้อยทั้งกาย วาจา ใจ จึงเป็นสติ คำว่า ติ คือ 3 ส่วน สต คือ 100 ส่วนสติ คือ 100 สาม 100 อาตมาเข้าใจพยัญชนะ สติมีเต็มร้อย ทั้งกายก็เต็มร้อยสติคือความตื่นเต็มทั้งกายกรรมก็ 100 วจีกรรมก็ 100 มโนกรรมก็100 ตื่นเต็มคือสติอันสมบูรณ์แบบ
สติที่ว่าเป็นความตื่นเต็มร้อย อันนี้พยายามเข้าใจแล้วก็ฝึกตรงนี้ ตื่นคือ
1.ไม่ใช่หรี่หลับเซื่องซึม แต่ตื่นโพลงให้รู้จักเลยว่า ตาเรากระทบรูปก็รู้รูปให้เต็มที่ หูกระทบเสียงก็รู้เสียงให้เต็มที่ จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส ผัสสะทางกายก็รู้ให้เต็มที่ ตื่นเต็ม นั่นเป็นอย่างหนึ่ง
อีกอย่างหนึ่งประเด็นที่คุณถามก็คือ เมื่อมีงานหลายอย่างก็สติตกไป อันนี้ก็คือจะต้องกำหนดให้เป็นหนึ่ง กับสิ่งที่เรากำลังมีเจตนามุ่ง สัมพันธ์กับสิ่งใด สัมพันธ์กับสิ่งนั้น มีเจตนากับสิ่งนั้น กำลังจะประกอบการ กำลังจะปรุงแต่ง กำลังจะทำงาน เป็นกรรมกิริยานั้นๆ อย่าให้อันอื่นมากวนมากมาย อย่ากระจายฟุ้งซ่านไปกับอันอื่นมาก บางทีเขาเรียกว่า รวบรวมสมาธิ สมาธิก็ หมายความว่า ให้เป็นหนึ่ง ในความหมายที่เขาพูดกัน ที่จริงสมาธินั้นมีความหมายอีกเยอะ สมะ กับอธิ ก็เป็นสมาธิ สมะคือความเหมาะสมที่สุด เจริญที่สุด
เพราะฉะนั้นเราอย่าไปกังวลมาก รู้มากยากนาน เราก็ควบคุมจิตของเรา ตามที่โบราณอาจารย์หรือคนอื่นเขาทำอย่างเรื่องง่ายๆก่อน สมาธิก็ทำให้มันรวม อย่าให้มันกระจายฟุ้งซ่านมาก ให้มันรวมเป็นหนึ่ง อยู่ 1 กับ 2 กับ 3 ได้ก็ดีแล้ว ควบคุมเรื่องที่เรากำลังทำ เก่งหน่อยก็ควบคุม 4 อย่าง เก่งขึ้นก็ควบคุมมี 5 มี 6 มันก็จะเจริญขึ้นเก่งขึ้นเรื่อยๆมี 7 ถ้าหากผู้ควบคุมมีตั้ง 7 เส้า แค่ 3 เส้าก็เก่งแล้ว 4 ก็เก่งขึ้น 5 6 ก็เก่งขึ้นเป็น 2 เส้าของ 3 ก็เก่งแล้ว เก่งขึ้นไปถึง 7 ที่นี้มันจะสมบูรณ์แบบขึ้นเป็น เส้าที่ 3 เรียกว่ายกกำลังเลย ถ้าหากครบ 7 8 9 ก็จะเต็ม ^ 3 เป็น 3 ^ 2 ที่จริง 3+3+3 นี่เป็นวิธีคิดทางคณิตศาสตร์ ทางสังขยาเลข ก็ค่อยๆศึกษากันไป
เอาสภาวธรรม ก็ค่อยๆทำไปจาก 2 3 4 เราอย่าไปอยากได้เร็วนัก ค่อยๆทำไปจะค่อยๆแข็งแรง จะค่อยๆก้าวหน้า คนเรามันจะมีปฏิภาณ เดี๋ยวเราก็รู้ว่า 3-4 คืออะไร โดยไม่รู้พยัญชนะหรอก แต่รู้โดยปฏิภาณว่าเป็น 4 เป็น 5 แล้วขยายความรอบรู้เพิ่มขึ้น มันจะรู้เพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปกังวลมากนัก ค่อยๆฝึกไปตามลำดับ อย่าอยากเร็ว ส่วนมากเราอยากรู้พยัญชนะมากก็อยากให้ได้เร็วๆ ก็ไม่ต้องให้ทำตามลำดับ
ของเราไม่ได้พาให้อยู่ที่เก่า วนอยู่ที่เก่า ไม่ใช่ พวกเรานี้รู้มากยากนาน ด้วยซ้ำไป
_จริยา มีประเสริฐ…เรื่องตัวไม่ยอม ได้ถามพ่อท่าน ได้ทบทวนตัวเอง รู้สึกเบากายเบาใจ มั่นใจในทางนี้มากขึ้น ขอรายงานแค่นี้ค่ะ
_หายโง่ : กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพ..เมื่อดิฉันอายุราว ๑๑ ขวบ มีครูที่สอนอยู่โรงเรียนเดียวกับพ่อของดิฉัน เขามีศักดิ์เป็นน้าเขย(คือสามีของน้าสาว)มาเกาะประตูหน้าบ้าน ซึ่งเป็นประตูเหล็กโปร่ง มองเห็นกันจากข้างนอก เขาท้าทายให้พ่อไปต่อยกับเขา คนที่ทำให้เขาเคืองมาก คือ แม่ของดิฉัน ทว่า แม่นั้นปากคมกว่ามีดโกน เขาจึงมาท้าพ่อซึ่งดูแหยๆ..พ่อนั่งบนบ้าน ดูเขาเต้นเร่าๆ ใช้วาจาหยาบคาย สักพักเขาก็กลับไปและทิ้งคำพูดว่า ‘ไอ้หน้าตัวเมีย’…ดิฉันถามพ่อว่า’ทำไมพ่อไม่ไปสู้กับเขา กลัวเขาหรือ’ พ่อตอบสั้นๆ’ไม่คู่ควร’ ตอนนั้นดิฉันชังชายคนนั้นมาก แต่ก็ไม่ได้ไปตอบโต้หรือแก้แค้นแต่อย่างใด….
ขณะนี้ดิฉันอายุ ย่างใกล้ ๖๙ ปี ฟังธรรมพ่อครูจนหยุดชังคนชั่วได้เด็ดขาด มีคนเขียนคำถามในเชิงท้าประลองพ่อครู แม้จะไม่หยาบคาย ทว่า มีลีลาปรามาส มากกว่าถามเพื่อความกระจ่างในการปฏิบัติ พ่อครูก็เมตตาเขาจัง…ความรู้สึกของดิฉันต่อคนที่ถามแบบท้าประลองพ่อครูนั้น…ดิฉันไม่ชัง แต่ สงสารและคงไม่อาจช่วยเขาได้..เห็นภาพคนที่ตัวเปียกเอามือเปล่าไปแหย่ปลั๊กไฟฟ้าแรงสูง หรือคนอวดดีจ้องตะวันยามเที่ยงด้วยตาเปล่า..ไม่ใช่ความผิดของไฟฟ้าแรงสูง ไม่ใช่ความผิดของดวงอาทิตย์ เป็นความเขลาของคนอวดดี เขาไม่ศึกษาให้ดีว่าพ่อครูเป็น’ใคร’ ภูมิธรรมระดับไหน…อย่างไรก็ตาม ความเมตตาที่พ่อครูกรุณาอ่านคำถามของเขาและกรุณาสอนสั่งอย่างเอ็นดู..ทำให้ดิฉันมี’พลัง’พากเพียรศึกษา ฟังธรรม ทบทวนธรรม ปฏิบัติธรรม ตราบชีวิตหาไม่ ตามแนวทางที่พ่อครูกรุณาสอนเพราะเป็นแนวทางโลกุตระแท้ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ และท้าทายให้มาพิสูจน์‘
_ทิดโด่ง…ผมเองมาอยู่ปฐมอโศกก็เกือบครบปี …เมื่อสองวันก่อน ไปกราบนมัการท่านติกขวีโร สัมผัสความอ่อนน้อมถ่อมตนของท่าน ต่างจากที่เคยสัมผัสในอดีต ผมรู้สึกเห็นกับตากับตัวเอง รู้สึกว่ามาสัมผัสคนที่เป็นญาติธรรมที่มีรังสีปกป้องตัวเอง แสดงว่าไม่ให้ใครมาแตะต้องได้ก็มีเหมือนกัน…ที่ปฐมอโศกขอชื่นชมเรื่องกสิกรรมที่ได้ปลูกผักกินเอง ปลูกข้าวกินเอง หมู่รวมส่วนใหญ่เป็นไปด้วยดีครับ
หลักสูตรพระพุทธเจ้าสอนคนให้ปรับวาทะกับลัทธิอื่นได้
_ถามว่าพ่อครูฯจะกลับถึงบ้านราชวันไหนคะ(คึดฮอดคึดเถิงค่ะ)ความคิดถึงแบบนี้เป็นกิเลสไหมคะ
พ่อครูว่า…เป็นกิเลส ..คงไม่นานหรอก ไม่อยู่ถึง 2 ปีหรอก ไม่นานขนาดนั้นหรอก เอาน่า เดี๋ยวนี้มันไม่น่าจะคิดถึงมากมาย ก็ว่าถึงจะคิดถึงก็เหมือนเห็นหน้ากัน ได้พูดคุยกันได้ทั่วโลก หลายแห่งชุมชนชาวอโศกกระจัดกระจายหลายสิบชุมชน ก็ไม่ได้ไปทั่วถึงเลย แต่ได้อย่างเก่ง 4-5 ชุมชน ไปๆมาๆวนเวียน ยิ่งอายุยาวขึ้นมาขนาดนี้แล้วคงไม่ได้ไปที่ไหนมากขึ้น ยังกะอยู่เลยว่า ต่อจากนี้ไปคงจะไม่ได้ไปหาลูกๆหลานๆที่ชุมชนนั้นนี้อีก ที่คิดว่าน่าจะไป ก็คงจะไปยากขึ้น จนกว่ามันจะมีปาฏิหาริย์ที่พิสดาร ปาฏิหาริย์ที่เป็นไปอย่างไม่น่าเชื่อก็คือ กลายเป็นหนุ่มใหม่ขึ้นมา แข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อขึ้นมา อายุ 100 ปีแล้วแทนที่จะดูง่องแง่ง แต่กลับเป็นอายุเหมือน 50 ปี 60 ปีก็คงจะมีอะไรประหลาดเพิ่มขึ้นได้
_สู่แดนธรรม…เรื่องที่พ่อท่านไม่ได้ไปบวรต่างๆ เป็นสิ่งยืนยันว่า แม้อนาคต พ่อท่านสิ้นไปแล้ว อโศกก็ยังเจริญได้
พ่อครูว่า…อันนี้เป็นหลักสูตรของพระพุทธเจ้า ท่านก็ใช้เป็นทฤษฎีของท่านเลยว่า ถ้าท่านสิ้นไปแล้ว ศาสนาก็ยังจะดำเนินไปได้ ไม่ใช่ว่าท่านสิ้นไปแล้วมันก็จะฝ่อลงไปหมด ลงไปไม่ใช่ เป็นลักษณะทฤษฎีของศาสนาพุทธเลย โดยการสร้างผู้อื่นที่ท่านใช้สำนวนว่า มารมาอาราธนาให้ตาย ท่านก็ยืนยันว่าเรายังไม่ตายจนกว่าเราจะสถาปนา ให้พวกสาวกทั้งหลาย พวกที่ได้ฟังธรรมะ สาวกแปลว่าผู้ได้ฟังธรรมะ ได้ฟังธรรมะแล้วจะต้องเข้าใจธรรมะแล้วเอาไปปฏิบัติจนกระทั่งเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ สามารถแสดงจำแนกเปิดเผย อธิบายจน ปรับปวาทะกับผู้อื่น ปร คืออื่น ปร ป วาทะ คือ วาทะของผู้อื่นที่เขามาท้วงติงค้านแย้ง
ปรับให้คนอื่นเห็นแจ้งชัดเจนเข้าใจ จนกระทั่งเขาสัมมาทิฎฐิ เขายอมรับ ถึงแม้ว่าจะเป็นสัมมาทิฏฐิยังไม่ได้ทีเดียว แต่เขาจะต้องจำนนต่อเหตุผลหลักฐาน ต่างๆนานาว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านเสนอว่าเป็นอย่างนี้อันนี้ถูกอันนี้ผิดอันนี้ดีกว่า อย่างจำนนหมด จนเขาจำนนได้ ท่านจะต้องสอนสาวกให้สามารถทำได้อย่างนี้ก่อนเราจึงจะตาย พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนั้นพูดกับมารอย่างนี้เป็นต้น แล้วท่านก็ทำจนสำเร็จเป็นสูตรทฤษฎีของพระพุทธเจ้า
อาตมาก็ดำเนินแนวทางเดียวกับพุทธเจ้า อาตมาพยายามลากสังขาร ของพระพุทธเจ้าท่านไม่ลากสังขาร แม้แต่กัป ท่านก็ตายก่อนกัป อย่างนี้เป็นต้น ท่านไม่เหมือนอาตมา อาตมาต้องลาก อาตมาไม่เชื่อว่าจะเก่งว่าพวกคุณแข็งแรงแล้วตายได้แล้ว อาตมาไม่เชื่อว่าตัวเองจะเก่งได้ขนาดนั้น พวกคุณจะรับรองอาตมาก็ไม่เชื่อเท่าไหร่ อาตมาเชื่อตัวเองมากกว่า จึงได้พยายามทำ
มันมีผลดีที่อาตมาพยายามลากสังขาร มีผลดีคือการพิสูจน์ธรรมะเป็นการยืดอายุขัยตัวเองได้ด้วยหรือ หมายความว่าท้าทายพญามัจจุราช ท้าทายเจ้าแห่งความตายได้ด้วยหรือ..ได้ ศาสนาพระพุทธเจ้าท้าทายพญามัจจุราช คือถึงเวลาตายควรตาย อาตมาเคยพูดก่อนอาตมาอายุ 72 ปีอาตมาบอกว่าถ้าอายุขัย 72 ปีจะต้องตาย แต่ก็เห็นว่าทำงานศาสนามายังทำได้อยู่ ตอนนั้นก็ยังแข็งแรง ยังไม่ควรตาย ก็เลยพากเพียร ทำความเข้าใจที่พระพุทธเจ้าบอกว่ามีโพชฌงค์ 7 จะยืดอายุได้ ก็ศึกษา จะต้องมีสติสัมโพชฌงค์ สรุปแล้วก็คือจะต้องพยายามตื่น พยายามวิจัยธรรมะ ด้วยความพากเพียร ให้มีปีตินำให้มีความยินดี มีความพอใจชื่นชอบ มีปิติยินดี แล้วก็ทำความสงบซ้อน ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เป็นทั้ง static และ Dynamic เป็นพลังงานต้นตอของทุกอย่างตั้งแต่นิวเคลียสให้เก่งขึ้น มีปีติปัสสัทธิแข็งแรงขึ้น ปีติปัสสัทธิ จนกระทั่งสามารถเป็นสมาธิ สองจิตตั้งมั่นทั้งกระแสบวกและกระแสลบทั้ง static และ Dynamic แข็งแรงขึ้น 2 ขา มันก็จะเก่งขึ้น เป็นจิตที่เก่งทั้งบวกและลบ เป็นจิตที่เก่งทั้งเจโตและปัญญา Dynamic คือปัญญา static คือ เจโต จนกระทั่งเก่งจริงเป็น มุทุภูตธาตุที่เจริญยิ่ง
ขยายฌาน 4 อุเบกขาสามารถยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ วสวัตตี จึงสามารถปรับปรุงจิตให้มีอัตราการก้าวหน้าเป็นสัมประสิทธิ์ เป็น coefficient เป็นอัตราเร่งจากคูณเป็นยกกำลัง
พลังงานจิตตัวที่เป็นได้ทั้ง มุทุภูตธาตุ สภาพบวกลบเป็นเจโตและปัญญาเป็นพลังงานเป็นความยิ่งใหญ่ช่วยได้จริงๆ ทำให้จิตมีสมาธิเจริญ สมาธิของพุทธเป็นสมาธิที่สะอาดจากตัวที่มันทำให้เสียหายคือกิเลสล้างได้เท่าไหร่มันก็ยิ่งมีพลังสูงๆ ตามที่ทำได้จริงตามลำดับๆ
สมาธิที่จิตสะอาดจากกิเลสเป็นอุเบกขา เป็นความบริสุทธิ์จากกิเลสทำอีกโดยทฤษฎีนี้ซ้อนเป็นปริโยทาตา สั่งสมเป็นมุทุภูตธาตุ เจริญเจโตปัญญา สูงขึ้นอีก แล้วเราก็ทำกัมมัญญา สั่งสม ขยันทำกรรม อย่าไปท้อแท้ เหนื่อยหน่าย ขี้เกียจ
คนที่ไม่ขี้เกียจ เห็นความก้าวหน้าของกรรม การกระทำที่ดีมีประโยชน์ และในภาวะ 2 เห็นแก่ตัวก็ยิ่งลดความเห็นแก่ตัวได้มากขึ้น ขยันเสียสละเพื่อผู้อื่นก็ยิ่งทำเพื่อผู้อื่นได้มากขึ้นตัวเองลดลงเพื่อผู้อื่นได้มากขึ้นๆ มันก็มีแต่ปิติ มีแต่กำลังที่เห็นความเจริญก้าวหน้า เสร็จแล้วปัญญาที่เฉลียวฉลาดนั่นแหละ ละล้างกิเลสละล้างตัวตน ปัญญาจะมีรู้จักลดกิเลส รู้จักลดตัวตน ปฏิภาณปัญญาของพระพุทธเจ้า มีประสิทธิภาพขนาดนั้น มันลดกิเลส มุทุภูตธาตุ ก็ยิ่งสูง กัมมัญญาก็ยิ่งเจริญ มีความปภัสสรา
ป ผ พ ภ ม คำว่า ปภ แล้วมี ส กับ ร เป็นพลังงานเศษวรรค ตัวที่ 2 กับตัวที่ 5
_สู่แดนธรรม…ได้ฟังพ่อท่านพูดเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้จะมีคุณเดชาคอยจับผิด
พ่อครูว่า…ดีนะมีคนคอยจับผิดให้
_สมณะลือคม (ศาลีอโศก)…ฟังดูพ่อครูคงไม่สะดวกไปเยี่ยมที่อื่นๆ แต่ผมก็ยังอยากให้มาครับ มีคำหนึ่งที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต แต่ในยุคปัจจุบันเราบอกว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็น…ถ้าใจผมก็เห็นทั้งพ่อครูและพระพุทธเจ้า ไปพร้อมๆกัน และจริงๆแล้วในปัจจุบัน สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ …สิ่งที่พ่อครูอธิบายไปเมื่อสักครู่ มีพุทธพจน์…ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่งแต่ได้ฟังพ่อครูทำให้เข้าใจลึกซึ้งกว่า
พุทธพจน์บอกว่าจงปล่อยวางทั้งอดีต อนาคตและปัจจุบัน และอยู่เหนือความมีความเป็น เมื่อใจหลุดพ้นจากทุกอย่างแล้วพวกเธอจะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตายอีกต่อไป
หากเราปล่อยวางอดีตกับอนาคต รู้สึกว่าไม่ยาก แต่ในปัจจุบันสามารถวางได้ ด้วยปัญญา ผมรู้สึกว่า ตัวนี้เป็นคำสอนที่ถ้าไม่ได้มาเรียนรู้จริงๆแล้ว สายดับก็จะเอาแต่ดับ แต่นี่รู้สึกว่าดับถึงจุดการเกิดได้จริงๆ
ความดื้อเป็นอัตตามานะหรือไม่ต้องล้างอย่างไร
_ด.ญ.เพ็ญน้ำฟ้า…หนูดื้อกับแม่เป็นอัตตาไหมคะ
พ่อครูว่า…เป็น อัตตา แปลว่า ตัวเรา ตัวเราถือดีที่ตัวเรา มันไม่ฟังแม่ ไม่ยอมแม่ก็ถือดีที่ตัวเรา เรามีมานะอัตตา แต่เรามีดีกว่าแม่หรือไง เรากับแม่ใครจะดีกว่ากัน ตอนนี้…(ตอบว่า แม่) ตอนนี้ดีแล้วตอบอย่างนี้ แสดงว่าไม่ติดอัตตาแล้วแม่เกิดก่อนเรา รู้อะไรก่อนเรา เราก็อย่าไปถือดีว่ารู้ดีกว่าแม่โตกว่าแม่ ก็ไม่ใช่ ก็ต้องฟังแม่ไปก่อนตามลำดับ
จริง ในอนาคตเราโตขึ้น แม่ก็แก่ลง เราก็อาจจะเจริญเลยแม่ได้ในอนาคต แต่ตอนนี้เราก็จะต้องแน่นอน เราจะยังโตกว่าแม่ต่อไป หรือ เดี๋ยวหลวงปู่จะบอกเผื่อไว้ก่อน
หรือเราอาจจะรู้ดีกว่าแม่จริง แต่วัยเรายังไม่โต คนอื่นๆก็จะคิดตามสามัญว่าเด็กคนนี้ยังโตประมาณนี้แหละโดยทั่วไป เราจะมีพิเศษนะรู้เกินวัยรู้มากกว่าวัยเป็นได้ บางคนมีพิเศษ ถึงแม้ว่าเราจะมีความรู้เป็นพิเศษ เราก็อย่าอวดดี อย่าถือดี พยายามถ่อมตนไว้ เพราะเรายังเด็กคนไม่เข้าใจเราง่ายๆหรอก แม้เราจะมีดีกว่า อธิบายเผื่อไว้แม้เราจะรู้ดีกว่าพ่อแม่ เพราะเรามีบารมีเก่าที่เราทำมาแต่เดิม รู้มา ชาตินี้ก็เลยรู้ว่าตัวมาได้ เราก็เลยดีก่อนดีกว่าไว้ เราก็จะต้องถ่อมตนไว้ก่อนดีกว่าไม่เสียหาย เสร็จแล้วมันจะค่อยๆเจริญ เราจะค่อยๆดูดีว่าการถ่อมตนเราจะรู้ดี เราจะรู้วิธีว่าทำยังไง สิ่งที่แม่ทำไม่ถูกที่เรารู้แล้วว่าไม่ถูก แต่เราก็ไม่ถือดีว่าเรารู้แล้วเราก็ว่าแม่ แต่เราจะรู้จักวิธีค่อยๆให้แม่รู้ว่าอย่างนี้ดีกว่า
ทุกคนนั้นพ่อแม่จะไม่ต้านถ้าเราไม่ได้อวดดี จะไม่ตั้งจิตข่มลูก แต่ถ้าลูกจะมีอะไรดีกว่าจะชื่นใจ จะยอมรับแล้วก็จะชื่นใจมาก ที่ลูกมันฉลาดกว่าเรา พ่อแม่ก็ชื่นใจ อันนี้ยิ่งลูกไม่อวดดี แม้เราดีกว่าพ่อแม่ก็ไม่อวดดีกับพ่อแม่ พ่อแม่ยิ่งจะชื่นใจ ยิ่งจะยอมรับนับถือ อย่างหลวงปู่นี้แม่ยอมรับหลวงปู่ พ่อก็เหมือนกัน พ่อไม่ค่อยได้เลี้ยงดูเท่าไหร่ ก็ไม่ค่อยได้ทำงานร่วมกันเท่าไหร่ แต่แม่นี้ทำงานร่วมกันมา แม่จะยอมรับ แม้หลวงปู่จะเป็นเด็ก หลวงปู่พูดแม่ก็ฟังจะเข้าใจแล้วทำไปด้วย อย่างนี้เป็นต้น
หลวงปู่ก็ไม่ไปข่มแม่นะ ซึ่งมันเป็นบุญเก่าบารมีเก่าที่หลวงปู่มีมา เราก็มีมาแม่ก็มีมาด้วยก็เลยไปด้วยกันได้ ไม่ต้องได้อธิบายกันด้วย หลวงปู่จะทำอะไรแม่ไม่เคยห้ามเลย จะทำอะไรก็ปล่อยให้ทำ บางทีชาวบ้านยังบอกว่าปล่อยให้ลูกจะทำได้อย่างไร เป็นกรรมกรทั้งที่แม่เป็นคุณนาย มีคนว่า แม่เขาก็เฉยๆ ปล่อยให้หลวงปู่ไปทำกรรมกรก็ทำ ทำอะไรตามที่คิดเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่เป็นสิ่งเสีย เป็นสิ่งตีกลับด้วย ทางโลกเขาว่าไม่ดีเป็นสิ่งต่ำ แต่ทางธรรมะเป็นเรื่องสูง เรื่องบริสุทธิ์ เรื่องสุจริตขยันหมั่นเพียรอุตสาหะ ขึ้นมาเป็นแต่เด็กจนมาโตแล้วก็มีอีกหลายอย่าง แม้ทุกวันนี้ก็มีสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ยังเข้าใจผิดในเรื่องของความใหญ่ หลวงปู่เป็นทุกวันนี้เขายังมีขนาดใหญ่ ก็ยังหลงติดความใหญ่ หลวงปู่ก็ได้พาทำสิ่งที่อันนี้มันดีกว่าเช่นถ้าให้มาจนอย่าไปหลงรวย ถ้ามาให้เป็นผู้ที่รวมตัวกัน ทุกคนอย่าไปเห็นแก่ตัวมารวมตัวกันเสียสละเข้ากองกลาง เป็นทุนรอนที่ได้ยิ่งใหญ่เลยนะ อย่างนี้เป็นต้น เอาสิ่งที่ซับซ้อนเหล่านี้ค่อยๆศึกษาไป
ทุกวันนี้ก็ได้ความซ้อนแบบนี้ คนก็ค่อยๆเข้าใจขึ้นมากันเยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านกสิกรรม ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมือง ก็ค่อยๆศึกษาไป เด็กๆเล็กๆพวกเราโตมาจะได้เห็นสิ่งเหล่านี้
_ด.ช.อิ่มบุญ…ผมดื้อกับผู้ใหญ่เป็นกิเลสไหมครับ ต้องล้างอย่างไรครับ
พ่อครูว่า…เป็น ก็ถามมาเอง ว่าดื้อดีไหม..ก็รู้อยู่แล้วว่าดื้อไม่ดีก็อย่าไปดื้อกับผู้ใหญ่ แม้แต่เด็กด้วยกันก็ไม่ควรดื้อ ดื้อมันไม่ดีอยู่แล้วด้วยตัวมันเอง อย่าเป็นคนดื้อ ให้เป็นคนฟังคนอื่นแล้วก็เชื่อกันนับถือกัน ถ้าดื้อใครคือคนไม่เชื่อใคร ไม่นับถือใคร มันเป็นอัตตาชนิดนึง ดื้อเป็นอัตตามานะอย่างยิ่ง มันเป็นกิเลสอย่างแรงเลย
โสดาบัน 4
_พ.ต.อ.ดุลเพชร (ราชธานีอโศก)… ผมก็เคยสังเกตตัวเองว่าถ้าคนมีภูมิโสดาบัน มีภูมิธรรมะทางโลกุตระ ผู้นั้นก็ต้องแสวงหาสัตบุรุษ ครูบาอาจารย์ มีความรู้ที่จะสั่งสอนเราอย่างเช่นพ่อครู เมื่อเจอแล้วก็จะเกิดความเลื่อมใสและปฏิบัติตาม อยู่ยงยืนนาน มั่นใจว่าทางนี้เป็นทางที่ถูกต้อง อย่างนี้จะเป็นโสดาบันได้
พ่อครูว่า…ที่พูดวนๆมา หมายความว่าอย่างนี้ ถ้าผู้ที่มีความเข้าใจ ความรู้ ความเห็นเรียกว่าทิฐิ มันเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความรู้ความเห็นที่เข้าร่องเข้ารอยเป็นครรลองโลกุตระ โสดาบันก็ต้องเป็นโลกุตระ ผู้ใดมีภูมิธรรมเป็นโลกุตระ โสดาบันที่สัมมาทิฏฐิเป็นโลกุตระจริง มาเห็นผู้ที่มี เช่นเป็นสกิทาคามี อนาคามี เป็นอรหันต์ มันก็จะต้องเข้าใจสิ มันจะต้องสอดคล้องกับที่ตัวเองมีทิฏฐิ ต้นทางแล้ว ก็จะต้องเข้าใจ
เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถเห็นสัตบุรุษ ผู้นั้นเป็นอาริยะในตัว สมมติคนนี้มีอริยะภูมิในตัวมีภูมิโลกุตระในตัวแล้ว มาเห็นสัตบุรุษก็จะต้องรู้ว่านี่เป็นสัตบุรุษ อย่างน้อยเป็นสัตบุรุษที่ต่ำกว่าเรา ยิ่งสูงกว่าเรา ก็ยิ่งจะเห็นชัดเจน เพราะมันเป็นแนวเดียวกัน แนวตรงกัน มันไม่ต่างกัน มันมีต้นทางที่ตรงกัน เพราะฉะนั้นมันจะเข้าใจได้เลย
คนที่ไม่เข้าใจอาตมานั้น จนถึงวันนี้ก็ยังเข้าใจไม่ได้นั้น เขาไม่มีต้นทางที่จะเข้าใจ ชัดเจนไหม ตั้งนานก็ยังไม่เข้าใจ ตัวอย่างของอาตมา ตัวอย่างของอาตมาบรรยายที่เขาก็ศึกษาภาษาบัญญัติเดียวกัน ตำราพระไตรปิฎกเดียวกัน จนป่านนี้ก็ยังเข้าใจไม่ได้ แล้วจะทำยังไง ก็เป็นของเขาเข้าใจไม่ได้ คนอื่นๆที่เขาเข้าใจได้แล้วเขาก็มาจนกระทั่งเขาหลายผู้คนไม่คิดว่าจะเข้าใจได้ขนาดนี้ด้วยซ้ำ ใช่ไหม พอมาแล้ว โอ้โห มาได้เข้าใจอย่างนี้ เราก็จะยิ่งชัดเจน แต่ก่อนเราหลงไปกับทางโน้น แต่เดี๋ยวนี้เราชัดเจนมากยิ่งขึ้นมาทางนี้ ความจริงสัจจะนี้ไม่มีวันจะตกต่ำ ถ้าเป็นโลกุตรธรรมที่เข้าร่องรอยจริงๆ ไม่มีวันจะตกต่ำ พระพุทธเจ้าถึงมีหลักชัดเจนเลยว่า เมื่อจิตเข้ากระแส โสตาปันนะ ก็จะมีอวินิปาตธรรม แล้วจะไปเป็นนิยตะ แล้วไปสู่สัมโพธิปรายนะ เป็นสูตรแรกของโสดาบันเลยนะ
โสตาปันนะ แปลว่า จิตเข้ากระแส บรรลุเข้ากระแสโลกุตระ พอเข้าไปได้ประมาณหนึ่ง
ท่านแบ่งเป็นสี่ส่วน
โสตาปันนะ 25% อวินิปาตธรรม 50% นิยต 75% สัมโพธิปรายนะ
ถึงขั้นที่ 2 อวินิปาตธรรม อาจยึกยัก แต่ยึกยักอย่างไรก็ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา ถ้ามันตกต่ำไปออกนอกกระแส มันก็ไม่ใช่สิ อะไรก็ดึงลงไปเลยมันก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น คำตรัสของพระพุทธเจ้าเรียกว่า อวินิปาตธรรม ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา มันก็ยึกยักเท่านั้น จนกระทั่งแข็งแรงขึ้นผ่าน 50% ก็แข็งแรงท่านตั้งชื่อว่า นิยตะ เที่ยงแท้แน่นอน ยึกยักน้อยลง จะไม่ยึกยักหนักๆแรงๆเหมือนขั้นที่ 2 ขั้นที่ 3 ก็จะเล็กๆน้อยๆ จะรู้ตัวเร็ว จะมีความปราดเปรียว มีความรู้ตัวทันที แต่ค่อยๆเป็นไป
สูงขึ้นไปถึง 75% นิยตะ เต็ม พอ 50% ก็จะเข้าทางตรงไปเรื่อยๆแข็งแรงไปเรื่อยๆ 60% 75% จึงเป็นขีดที่ 3 ที่ว่าแน่นอน นิยตะ แน่นอนแล้ว จะยึกยักอย่างไรก็ไม่หลุดลงมาเกินครึ่งแล้ว มีแต่จะไปสู่ที่สุดที่สูง สัมโพธิปรายนะ คือไปสู่ที่สุดที่สูงที่จบ ไปสู่สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แน่นอน
_หมอเขียว (แพทย์วิถีธรรม)…กราบนิมนต์พ่อครูอธิบาย ในสมัยพุทธกาลพบว่าหลายท่านที่มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดี อยากได้อะไรส่วนใหญ่ก็ได้ดั่งใจหมาย ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า พระยสะ หรือ อีกหลายๆท่าน ที่มีชีวิตปกติก็ฐานะดี ได้ดั่งใจ แต่พอถึงวันหนึ่งแต่ละท่านจะรู้สึกว่าชีวิตมัน ขัดข้องวุ่นวายหนอ จะรู้สึกว่าเห็นอะไรบางอย่างมันไม่ใช่ แล้วแสวงหาทางออก แสวงหาธรรมะ แต่ในขณะที่หลายคนมีฐานะคล้ายกัน ยิ่งได้อะไรดั่งใจหมายยิ่งไม่ออกเลย ยิ่งผูกมัดตัวเองไว้แน่น ไม่ออกจากสภาพนั้น ทำไมมันถึงเกิดความต่าง
พ่อครูว่า…เป็นลักษณะที่ซับซ้อน เป็นภาวะที่ รู้ยากหรือเป็นยาก
รู้ยากคือ แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่รู้ตัวเอง ว่าทำไมเรามีอันนี้แล้ว ก็ยังอยากได้อันนี้ มันซับซ้อนสับสนรู้ยาก
แล้วที่ยิ่งมาให้เป็นก็ยิ่งเป็นได้ยาก ธรรมะต้องเป็นให้ได้ เป็นลำดับที่ควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ไปเป็นก่อนรู้มันยิ่งช้า เหมือนอย่างที่ได้พูดมา เป็นแล้วแต่ไม่รู้ตัวมันก็จะช้านาน สายเจโต ไม่รู้ตัวง่ายมันก็จะช้ากว่า ผู้ที่เป็นแล้วก็รู้ เป็นแล้วก็รู้ สายปัญญาจึงเร็วกว่าตามธรรมดาธรรมชาติ นี่ก็เป็นแกนจิตเป็นแกนเดิมของทุกอย่าง สายปัญญา
คำว่า ปัญญา คำนี้ อาตมาก็ยังอธิบายไม่เก่ง จะเขียนเป็นหนังสือเล่มหนึ่งเลย กำลังเขียนต่อ คำว่าปัญญา ไม่ใช่ความรู้ที่ชาวโลกเขารู้กัน ความรู้ทางโลกเป็นความรู้โลกียะ ปัญญาเป็นโลกุตระ อาตมาก็ยังพูดได้แค่นี้ มันเป็นปัญญาอีกคนละตระกูล เป็นความเฉลียวฉลาดกันคนละตระกูลกับปัญญาโลกีย์ ซึ่งมันเป็นเทวนิยมเป็นโลกียะ วนเวียนอยู่ในกรอบ
ความรู้โลกุตระมันออกไปนอกกรอบ ของโลกโลกียะที่เขาวน เป็นเรื่องทวนกระแสซ้อน
_สู่แดนธรรม…ผมเองก็วินิจฉัยตัวเอง บางคนบอกว่ารู้ได้ด้วยปัญญา ผมฟังแล้วคิดว่ายังไม่ใช่ เพราะการรู้ด้วยธาตุรู้ตัวอื่น คุณก็รู้ได้ แต่ไม่ใช่เรียกว่า รู้ด้วยปัญญา ซึ่งมันจะต้องมีสัมมาทิฏฐิ ต้องมีการเห็นความจริงตามความเป็นจริง ซึ่งไม่ใช่ความจริงขั้นโลกียะที่ปรุงแต่งกัน อันนี้ได้ไหมครับพ่อท่าน
พ่อครูว่า…ได้ คำว่าโลกียะที่ปรุงแต่งกันขึ้นเป็นความมากหลากหลายจนนับไม่ถ้วน ภาษาบาลีว่า โลกจินตา เป็นอาจิณไปข้อที่ 4 แล้วคนหลงในโลกจินตานี้มาก
ในสายเถรสมาคมจะมี 2 สายคือ สายพระป่ากับสายปัญญา เขาเอาคำว่าปัญญาไปใช้ ที่จริงไม่ใช่ปัญญา มันเป็นความเฉลียวฉลาดแบบโลกีย์ เป็นเฉโก แล้วเขามีโลกจินตา มีเยอะมากแล้วหลงความรู้ โลกจินตา วน..จนกระทั่งไปไกล เป็นดาวหางวิ่งรอบเอกภพ เป็นวงรีไม่กลม มันมีส่วนโค้งยังไม่สามารถกลมด้วยซ้ำไป เขาก็หลงอันนั้น วิ่งแล้วก็ได้หน้าลืมหลังแล้วก็นึกว่าตัวเองได้อันใหม่ วนไปอีก แม้จะได้มากขึ้นก็เป็นโลกียะ สูงสุดสั่งสมจะได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของเทวนิยม จะได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของสายเทวนิยม แต่ก็ยังไม่เข้ากระแสโลกุตระ น่าสงสาร เดี๋ยวนี้ก็มีเยอะอยู่ในเถรสมาคม จะเอ่ยชื่อก็เกรงใจ
ปิดทองหลังพระเป็นเช่นไร
_คำว่า “ปิดทองหลังพระ” ถ้าการกระทำนี้มีคนกระทำและถูกเพ่งโทษ จึงมีคนอธิบายให้เขาเข้าใจ เพื่อไม่ให้เกิดวิบากไม่ดีแก่คนๆนั้น หรือเราต้องหยุดการกระทำนั้นเพื่อลดวิบากเขาวิบากตนเอง ถึงจะเรียกว่าปิดทองหลังพระ
พ่อครูว่า…อาตมาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจคำถามเลย
มันจะเป็นไปตามฐานะของแต่ละคน คำว่าปิดทองหลังพระ หมายความว่า
-
เจตนาปกปิด
-
ไม่เจตนาปกปิดอะไรหรอก แต่ทำแล้วคนไม่เห็น คนไม่รู้หรือคนไม่เข้าใจ จะเรียกตีขลุมเอาว่าเป็นปิดทองหลังพระก็ได้