640312_พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก ระบอบการปกครองของมนุษย์ ที่สุดยอด
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1k7-4BgzfQYbJbxhBIuFcEgRRGtC1nc8Zv2MZBGkad10/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1X_SppvFV0hX7DTZeAMLiIM1GeT_ivFg-/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/714689392532174
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 ที่บวรปฐมอโศก วันนี้พ่อครูได้มาพักอยู่ที่บวรปฐมอโศก มาแต่ละครั้งดูเหมือนว่าการสูญเสียชีวิต พ่อครูเดินทางมานี่ถือว่าการลงทุนมากเลย พ่อครูก็ยอมรับว่า เดินทางไกลเป็นการแสลงต่อสุขภาพ ช่วงนี่ก็เป็นการเยียวยา อาศัยการพักให้ยาวนานขึ้น วันนี้อาราธนาพ่อครูใช้เวลาสัก 1 ชั่วโมงครึ่งก็น่าจะเพียงพอ กำลังจะฟื้นสุขภาพให้คืนมาสู่ภาวะปกติ
ในช่วงนี้เราดูเหตุการณ์บ้านเมืองคิดว่ามีการลงตัวหลายด้าน แม้แต่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ประชาชนก็รู้สึกว่าดีมาก เพราะคำวินิจฉัยของศาลบอกว่าจะทำอะไรก็ให้ไปถามประชาชนก่อน ประชาชนเป็นผู้สถาปนารัฐธรรมนูญ เปลี่ยนแปลงแก้ไขมีสิทธิ์ได้แต่ต้องไปถามประชาชนก่อน
อีกเรื่องหนึ่งม็อบก็ดูแผ่วลงไปเรื่อยๆ พ่อครูเคยบอกว่า ยกความดีความชอบให้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ตำรวจไทยที่ทำคะแนนได้ดีจนม็อบไปไม่เป็น จะมายั่วอย่างไรตำรวจก็ไม่ทำรุนแรง จนเขาหมดความชอบธรรม แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดเพราะว่าพวกนี้สู้แล้วรวย ถูกจับให้พ่อแม่มาประกันทั้งที่ตอนทำไม่คิดถึงดีชั่วเลย
อีกเรื่องคือโควิด ตอนนี้ก็เอาอยู่ เหลือหลักสิบต่อวันแล้ว ถือว่าเป็นการบริหารบ้านเมืองที่ดีมาก แต่คนก็มองว่าเป็นความร้ายมาก
พ่อครูว่า…ก่อนจะได้ฟังระบอบการปกครองของมนุษย์อย่างไรที่เราจัดว่าควรหรือดีที่สุดก็ขอโอภาปราศรัยกับ sms ก่อน
sms วันที่ 10 มี.ค. 2564
_สวนลมไพร เกวี : กราบนมัสการค่ะรับชมที่กรุงเทพมหานคร ชมเป็นประจำทุกวัน ชอบค่ะที่ได้ฟังธรรมะทุกวันและนำธรรมะที่ได้รับชมและฟังไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันเป็นกำลังใจไฟชีวิต
พ่อครูว่า…อนุโมทนาสาธุนำธรรมะไปใช้สมควรแล้วเพราะธรรมะเป็นสาระของชีวิต พยายามพากเพียรฟังแล้วเอาไปทำที่เราให้มาก ธรรมะอันได้ควรฟังเป็นธรรมวาที แล้วเราก็ฟังได้ความเข้าใจเอาไปใช้ดีมาก
_สตาร์แอร์ ทุ่งคอก : คนทำดีแบบลุงจำลอง ทำไมได้มงกุฎหนามครับ กราบพ่อครูและสมณะด้วยความเคารพรักครับ
พ่อครูว่า…ตอบ สังคมที่มันวิปริต คือสังคมที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย ความดีเป็นความชั่วเห็นความชั่วเป็นความดี เห็นความทุกข์เป็นความสุข เห็นความผิดเป็นความถูกเป็นต้น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆสังคมที่วิปริตหรือวิปลาสในยุคนี้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆไม่ได้ใส่ความ งั้นคนที่ทำดีก็ไปเข้าใจว่าทำไม่ดี คนที่ทำถูกก็เข้าใจว่าไม่ถูกเพราะว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆมันเป็นสัจธรรม แล้วก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร มันก็เป็นจริงอย่างที่ว่านั้น เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญญามีความเฉลียวฉลาด ปัญญานี้เป็นความหมายที่ยากมากที่จะอธิบายว่า ความเฉลียวฉลาดแบบโลกุตระไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดวนอยู่ในกรอบของโลกีย์ แต่เป็นความฉลาดที่เข้าใจทั้งโลกียะและเข้าใจทั้งโลกุตระ แล้วความเข้าใจโลกุตระเอามาใช้อนุโลมปฏิโลมกับโลกียเขาได้อย่างดี เรียกว่าใช้สัปปุริสธรรม 7 กับมหาปเทส 4 เป็นความตรัสรู้สุดยอดของพระพุทธเจ้าให้คนเราเรียนรู้แล้วเอามาใช้ได้
คนเขาไม่รู้ก็เอา ทำดีแล้วเอามงกุฎหนามมาให้ก็คล้ายๆกับพระเยซู ได้มงกุฎหนามมา ก็เป็นธรรมดาของโลก
เราจะรักษาจิต ที่เป็นปัจจุบัน ได้อย่างไร
_สว่างแสง ขวัญดาว : เราจะรักษาจิต ที่เป็นปัจจุบัน ได้อย่างไรคะ
พ่อครูว่า…ต้องฝึกฝน ต้องเรียนรู้จริงๆ คำถามของคุณได้เป็นสุดยอด เราจะรักษาจิตให้เป็นปัจจุบัน สุดยอด คนที่สามารถเรียนรู้จิตเจตสิกของเราให้ไม่มีอดีต มันมีอดีตแต่เราไม่วอกแวกไปกับอดีตและอนาคต รู้ว่าอดีตก็เกิดแล้ว อนาคตก็มาไม่ถึงแต่เราอยู่กับปัจจุบันได้อันนี้สัมผัสอันนั้นอันนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราโง่ไม่รู้อดีตเรารู้เปรียบเทียบได้ และเราจะเปรียบเทียบได้เร็วขึ้นด้วย มันเป็นอย่างนี้อย่างนี้เปรียบเทียบกับอดีตที่เราเคยโง่ มันก็จะฉลาดขึ้นมาเรื่อยๆ เราเคยโง่อย่างไร อะไรที่มันดีมันฉลาดมันสมควร เราก็จะค่อยๆตัดสิน แล้วเราก็จะได้พัฒนาจิตของเราขึ้นมาสู่ความถูกต้องของสิ่งที่ถูกที่ควร และสิ่งที่ถูกที่ควรของแต่ละกาล แต่ละเวลา แต่ละวินาที มันไม่เที่ยงหรอก มันเกิดจากองค์ประกอบที่ปรุงแต่งกันอยู่ในทุกปัจจุบันที่เร็วที่สุด ที่เล็กที่สุด อย่างนั้น
รักษาจิตต้องดูองค์ประกอบที่เกิดในปัจจุบันและเรียนรู้เปรียบเทียบกับสิ่งที่ควรที่สุด ดีที่สุด ในทุกปัจจุบันนั้น
_มั่นใจพุทธ บุญเสร็จ : มีจิตยินดีทุกครั้ง ที่ได้เห็นบุคคลที่มีโอกาสดูแลพ่อท่านอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นท่านปัจฉาสมณะ ทุกๆท่าน รวมถึงญาติธรรมชายหญิงทั้งหลาย กราบขอบพระคุณทุกๆท่านที่ทำหน้าที่แทนพวกเรา
ความเห็นของคุณกับของเราคนละอย่างก็นานาส้งวาส
_เดชา อำพร : ไม่ใช่แต่แค่ผู้นำอโศกหรอก เพศหญิงเป็นเพศอ่อนไหวง่าย ชอบประจบประแจง,ชอบเอาอกเอาใจนายเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่เว้นแม้แต่ในเรื่องของศาสนา แม้แต่อดีตท่านยันตโร,ท่านอดีตภาวโนพุทธา,ท่านอดีตนิกรโณ,ฯลฯ ก็มีลูกศิษย์โดยเฉพาะที่เป็นหญิงแวดล้อมใกล้ชิดอยู่มากมาย(จนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมานั่นแหละ) ถ้าตัวอาจารย์ไม่เป็นผู้บอกห้ามลูกศิษย์ที่เป็นหญิงเองซะแล้ว ก็จะมีสาวกเพศหญิงมาแวดล้อมใกล้ชิดเป็นธรรมขาติ ไม่ต่างกัน ส่วนจะอ้างว่าเป็นอรหันต์แล้วจะต้องใช้”สติวินัย” ก็ประมาณว่าคนเขามองว่าท่านผู้นำอโศก”พูดเองเออเอง,ชงเองกินเอง”ประมาณนั้น นั่นแหละ ท่าน”หลวงตาบ.” ก็ประกาศอ้อมๆเหมือนกันว่า”ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายของเรา” ส่วน”อดีตเจ้าสำนักธรรมโกย”ก็บอกว่าเราเป็น “ต้นธาตุต้นธรรม”(ให้ไปตีความกันเอาเองว่าท่านต้องการสื่ออะไร?) ประมาณนั้นแหละเยอะแยะ แต่ส่วนมากก็รับรอง,ยอมรับกันเองในหมู่ลูกศิษย์ที่ถูกครอบงำจิตด้วยความศรัทธาในตัวอาจารย์แล้ว เท่านั้น ถ้าอย่างนี้พอถึงขั้นเป็นหัวหน้าสำนัก ก็จะพากันสรุปเอาเองว่าตนบรรลุแล้วทั้งนั้น ก็ไม่ต้องพากันยึดวินัยกันล่ะ ก็ลองใช้”มหาปเทส”ดูว่าเหมาะสมหรือไม่? มี”ปรโตโฆสะ” ฟังเสียงกู่ร้องจากบุคคลภายนอกเขาบ้างก็จะดีนะท่าน.. ด้วยความเคารพครับ…
พ่อครูว่า…อย่างนี้คุณไม่นับถือใครเลยไม่ชอบอันไหนเลยคุณก็ไปตั้งสำนักเองแต่คุณยังไม่มีจุดสำคัญที่จะตั้งสำนักเองเลยจะตั้งสำนักก็เป็นสำนักเละเทะ สำนักอื่นจะไม่ยึดถือวินัยก็เรื่องของคุณแต่สำนักเรายึดถือพระธรรมวินัย ไปขี้ตู่ว่าเขาไม่ยึดธรรมวินัยเอง คุณเก่งชะมัดเลย เราฟังเสียงภายนอกอยู่แล้ว ฟังแล้วก็เอามาวินิจฉัย แต่ฟังของคุณแล้วมันไม่เข้าร่องเข้ารอยก็ตัดสินแล้วว่าพวกคุณไม่เข้าร่องเข้ารอยแต่คุณว่าเราไม่เข้าร่องเข้ารอยก็โอเค คุณก็ต้องเห็นอย่างนี้ อาตมาก็ต้องเห็นอย่างนี้ จบแล้ว คุณเข้าใจไหม คุณยังไม่เข้าใจก็จะมาแหย่อาตมาอย่างนี้
_เดชา อำพร : ขอบอกตามตรงแม้แต่ท่านผู้นำอโศกให้มีปัจฉาสมณะถึง4ท่านแวดล้อม ซึ่งแม้แต่จะเป็นเพศชายเช่นเดียวกันก็ตาม แต่คนเขามองว่า ท่านมีลักษณะการยินดีใน”ระบบศักดินา”(ที่มีข้าทาสบริวารคอยติดตามรับใช้)นะครับ ถ้าท่านบอกบรรลุอรหันต์แล้ว น่าจะปล่อยวางในเรื่องสังขารร่างกายได้ มันจะถึงวาระอย่างไรก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติไป น่าจะดีกว่ามั้ยครับ?
คนภายนอกเข้าใจว่าอยู่ชุมชนอโศกเหมือน”มาติดคุก” แต่คนอโศกเข้าใจว่า”ชุมชนอโศก เป็นดินแดนอิสระของปัญญาชน” (ไม่ควรพูดว่า”ชุมชนอโศกเป็นคุกของปัญญาชน” แบบนี้ฟังแล้วเข้าใจผิดได้นะจ๊ะ..)
พ่อครูว่า…มาถามได้เลยสมณะทั้งหลายอาตมาจะใช้สมณะทั้งหลายหรือไม่ อาตมาไม่เคยจะใช้สมณะ มีแต่สมณะจะช่วยใช้ด้วยสติสัมปชัญญะปฏิภาณของท่าน อาตมาจะไม่ชี้ใช้ใครคุณรู้เสียบ้าง จริงอาตมาไม่ใช้ใคร ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็เอา ขอให้คนอื่นช่วยบ้างถ้าทำเองได้อาตมาทำเอง คุณไม่รู้จักอาตมาพอหรอก มาสมัครรับใช้เองอาตมาก็ไม่ได้ใช้เขาด้วย เขารับใช้เองจนอาตมาต้องห้ามหลายๆอย่าง บางอันบอกว่าพอแล้วมันมากไป อย่างนั้นด้วย คุณยังเข้าใจสัจธรรมเข้าใจความจริงยังไม่ครบได้แต่ขี้ตู่ไป เป็นการตู่ที่ผิด โดยเฉพาะเป็นการตู่พระอริยเจ้า อาบัติรับประทานหัวนะ
คุณเหมือนมารที่ว่าพระพุทธเจ้า บอกว่าเมื่อบรรลุแล้วตายเสียสิ เหมือนเปี๊ยบเลย คุณเองทำไมช่างเหมือนมารเลยใช่ตัวมารจริงๆ เป๊ะเลย พูดกันอย่างเดียวกับมาร เชิญคุณทำตามที่คุณว่าเลย อาตมาไม่ทำแบบคุณ
ในนี้ใครติดคุกยกมือขึ้น ยกมือขึ้นชาวอโศก ไม่มีสักคนเลย ทำไมคุณตาบอดขนาดนั้นพูดอยู่ข้างนอก นอกจากไม่ได้ติดคุกแล้วยังมาเรียนรู้วิธีออกจากคุกด้วย ฟังไว้คุณนี่คือคำตอบของชาวอโศกไม่ใช่คำพูดของคุณ คุณชักจะเลอะเทอะใหญ่เดาส่งพูดไปทั่ว ระวังนะมันบาป พูดผิดจริงที่กรรมเป็นของของตน ทำกรรมแล้วมันเป็นจริง คนอโศกเข้าใจว่าชุมชนอโศกเป็นดินแดนอิสระของปัญญาชน ไม่มีใครชวนหรอก อาตมาก็ไม่ได้พูดเชิญชวนชี้หว่านล้อมให้มาเยอะ ก็พูดถึงสัจธรรมทั้งนั้นว่าดีควรมาก็จะมีปัญญาคุณมาก็มาอย่างนี้เป็นต้น คนมีปัญญาเขาก็มั่นใจ อาตมามั่นใจว่าได้ให้อิสรเสรีภาพแก่คนทุกคน ไม่ได้ไปแคะออกมา ไม่ได้ไปปะเหลาะ ปะเหลาะหว่านล้อม
คุณฟังแล้วเข้าใจอย่างนี้ใช่คนที่เขาเข้าใจถูกเขาก็เข้าใจถูกแล้ว ส่วนคนเข้าใจผิด คนที่เข้าใจความถูกเป็นความผิดคนนั้นผิด คนที่เข้าใจความผิดเป็นความผิดคนนั้นถูก
ทิฏฐิของคุณเดชาก็ไปทางสายหลับตา มหาบัวจึงเป็นพระอรหันต์ ซึ่งตรงกันข้ามกับอาตมาเต็มร้อยเลย หันหลังชนกัน 180 องศา เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกประหลาดอะไรหรอกที่คุณเดชากับอาตมามันเห็นกันคนละทาง คนละพวกคนละเรื่อง ดาวคนละดวง แน่ๆเลยไม่น่าสงสัยอะไร คุณเดชากับอาตมาก็จบกันตรงที่ว่าเป็นนานาสังวาส คุณก็เห็นของคุณอย่างหนึ่งอาตมาก็เห็นของอาตมาอย่างหนึ่ง
คุณเดชาก็พิสูจน์ของคุณไป อาตมาเห็นเป็นคนละอย่างแล้ว คุณยังข้องใจสงสัยอาตมาในเรื่องผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนไหว แล้วไม่เชื่อว่าอาตมาแข็งแรงมากกว่า
เอาอาตมาไปเปรียบเทียบกับสมีต่างๆทั้งหลาย คุณไม่รู้จักอาตมาหรอก คุณเอาอาตมาไปเปรียบเทียบกับสมีทั้งหลาย คุณยังมีความคิดไม่เจริญเท่าไหร่ ยังไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของความจริง ว่าอาตมาคือใคร สมีทั้งหลายคือใครคุณไม่สามารถรู้ เอาอาตมาไปปนกันเละ เพราะคุณเดชามีทิฐิแบบ โลกียะแบบเดียรถีย์หลับตา เพราะฉะนั้นก็ปฏิบัติอยู่อย่างเทวนิยม ก็คงจะเป็นคนที่จะต้องมองอาตมาอยู่อย่างนี้จะเห็นแย้งไปอีกนานเพราะว่าคุณฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่เป็น ฟังแล้วไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักที่เข้าใจแล้วพอแล้วไม่มีคุณจะแย้งไปได้เรื่อยๆเพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างหนึ่งธรรมะของคนเห็นก็เป็นอย่างหนึ่งอาตมาจะพูดไปเท่าไหร่ คุณก็จะแย้งเพราะมันเป็นคนละกระแสคนละอย่าง อาตมาจะพูดธรรมะพุทธเจ้าเป็นอย่างไรคุณก็จะแย้งได้ทุกมุม เพราะของคุณก็กระแสหนึ่ง อาตมาก็กระแสหนึ่งก็ต้องแย้งกันไป อาตมาไม่ได้สงสัย แต่อาตมาก็ยินดีรับฟังความคิดของคุณ อาตมาก็วิจารณ์กันไปบ้าง คุณก็ว่าอาตมาสิไม่ฟัง ก็ไม่เป็นไรอาตมายินดีคบหากันนะ ไม่มีปัญหาอะไรก็ค่อยๆทำกัน สักวันคุณเดชาคงจะเมื่อยคงจะรู้เอง จนกว่าคุณจะรู้จักกันหยุดการพักแล้วรู้จักจบ จะเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์เป็นอย่างไร แล้วคุณก็จะฟังอาตมารู้เรื่องจะเข้าใจอาตมาในอนาคต
“ระบอบการปกครอง”ของมนุษย์
(๑) การปกครองมนุษย์นั้น แสนยาก
เพราะมนุษย์หลายจิตหลาก กิเลสล้น
แต่ละชาติต่างต้องพาก- เพียรสุด กำลังเฮย
ทั้งพูดทำคิดค้น เพื่อได้ทางเจริญ
(๒) ไม่เกินกว่ามนุษย์รู้ ศึกษา
ทุกประเทศล้วนเสาะหา ทิศก้าว
ตามภูมิแห่งเฉกา ที่ฉลาด สุดแล
ใครไป่ปรารถนาน้าว ชาติให้เลวเลย
(๓) แต่เคยสะดุดบ้าง มีไหม
ว่า“ระบอบ”ดีสุดใด นั่นแท้
มี“ทิฏฐิวิเศษ”ไหน สร้างโลกุตร์
ตรา“กฎธรรมนูญ”แล้ เลิศพร้อมเพ็ญพูน
(๔) “ธรรมนูญ”พุทธพิสุทธิ์แท้ รู้เถิด
สามหมวด“ศีล”สุดประเสริฐ ยิ่งล้ำ
“จุลศีล”หมวดหนึ่งเกิด อาริย- ชนเอย
“มัชฌิมศีล”สองย้ำ ขยายซ้ำละเอียดเสริม
(๕) เติม“มหาศีล”เข้าครบ หมวดสาม
ข้อกำหนดห้ามปราม วิเศษนี้
หากใครปฏิบัติตาม พุทธสุด สะอาดแฮ
ไร้“ดิรัจฉานวิชา”ชี้ ศาสน์แผ้ววิสุทธิ์ธรรม
ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้ามีอยู่จริง
พ่อครูว่า…เมืองไทยเราเลียนแบบการปกครองจากต่างประเทศมา 70 กว่าปี ในปีนี้ที่มีนายกเป็นพลเอกประยุทธ์ ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงงานวางรากฐานระบอบประชาธิปไตยมา 70 กว่าปีแล้ว นายกประยุทธ์จึงทำงานไปได้สะดวกดีเพราะทุกคนยังเคารพยอมรับในศาสตร์พระราชารับไว้ใส่เหนือใส่เกล้า แล้วพลเอกประยุทธ์มาบริหารจึงเป็นไปได้สบายเพราะฉะนั้นประเทศไทยจึงเป็นพุทธศาสนา เป็นแกนประชาธิปไตย คนจะรู้หรือไม่รู้ก็ช่าง อาตมาก็บอกเลยว่าเป็นเช่นนั้นจริง เป็นระบอบประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าหรือเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบพุทธศาสนา ซึ่งมีความรู้ในอนัตตา ไม่หลงอัตตา และมีความรู้เรื่องโลกไม่หลงโลกอยู่เหนือโลกและอัตตาเรียกว่าโลกุตระ นี่คือสภาพแท้ของศาสนาพุทธจะได้มากหรือน้อยเท่าไหร่ก็เป็นจริงตามที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นประชาธิปไตยของพุทธที่ดีที่สุดในโลก อาตมาบอกได้อย่างนั้นเลย
คนที่เขาฟังอาตมาพูดเขาก็บอกว่าเขาเรียนมา เรียนมาจากต่างประเทศประชาธิปไตยต่างประเทศทั้งนั้น ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า ไม่รู้เรื่อง มีด้วยหรือ พระพุทธเจ้าเป็นประชาธิปไตย ท่านเคยพูดไว้เหรอ จริงที่คำว่าประชาธิปไตยท่านไม่เคยพูดไว้ แต่คุณพอจะมีปฏิภาณรู้ไหมว่าที่ว่า พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก), พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก), โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) คือประชาธิปไตย หรืออายะ 3 ประชาธิปไตยต้องเพื่อมวลประชาชนเพื่อประโยชน์ประชาชนจริงหรือเปล่า นี่คือไม่ได้แปลออกจากคำพูดที่ว่า พหุชนะเลย คือ เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขเพื่อรับใช้โลก เต็มภาคภูมิเลยนี่คือความหมายประชาธิปไตยของพุทธเจ้ารู้ความแตกฉานใน อายะ 3 นี้ ของพระพุทธเจ้าหรือไม่ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก), พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก), โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) อายะคือ gain หรือประโยชน์ที่ควรได้รับของประชาชน
(๖) กำหนดได้ระบอบนี้ ดีวิศิษฏ์
หลักพุทธแสนสุจริต ประสิทธิ์แท้
ปกครองมนุษย์ชนิด “ธรรมาธิ- ปัตย์”เลย
ชัด“อัตตา-โลก”แก้ ปรับได้โดย“ธรรม”
(๗) สัมฤทธิ์“อธิปัตย์”ล้วน พิเศษผล
“ระบอบพุทธ”สัมมาชน สำเร็จได้
มี“ศีล”กำกับตน ตัดกิเลส
“สมาธิ-ปัญญา”ไซร้ ชี้มนุษย์เจริญจริง.
“สไมย์ จำปาแพง”
๑๒ ก.ค. ๒๕๖๐ [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ ๓๒๕ ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐]
พ่อครูว่า…ระบอบการปกครองที่ดีที่สุดในมหาจักรวาลพูดเป็น The Great Word เลย
ตราบใดโลกยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโลกไม่ว่างจากอรหันต์
ขออธิบายเข้าสู่ศีลสมาธิปัญญา การศึกษาพระพุทธเจ้าเรียกว่าไตรสิกขาเป็นคำสรุปที่จริงคืออธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เกิดอธิมุติ เกิดวิมุตติญานทัศนะเกิดความสะอาดของจิตตกผลึกเป็นสมาธิ พระพุทธเจ้าใช้คำว่า สมาหิโต
คำว่า สมาธิเป็นคำกลางๆเป็นภาษาทั่วไปดาษดื่นใช้กันทั่วไปกลางๆ ซึ่งเป็นของฤาษีแต่ถ้าเป็นของพระพุทธเจ้านั้นก็มี จะเรียกว่าสมาธิก็ได้แต่มันพิเศษมันไม่เหมือนกันกับของเขา ของเขาที่เรียกว่าสมาธินั้นเป็นของโลกียะ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นโลกุตระ บรรลุเสร็จท่านก็เรียกว่า สมาหิโต แปลว่าจิตตั้งมั่นแล้ว
สมาธิของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าสมาหิโต เกิดได้อย่างไร
เกิดได้ด้วยการปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 จนกิเลสหมดสิ้นเกลี้ยงอย่างแท้จริง จิตสะอาดบริสุทธิ์ตั้งมั่นเป็น สมาหิตัง สมาหิโต จิตสะอาดนั้นมีองค์ 5 บริสุทธิ์จากกิเลส พยัญชนะคือ ปริสุทธา
แล้วจะบริสุทธิ์สะอาดจากกิเลสไปมากยิ่งขึ้น ปริโยทาตา จิตก็ยิ่งเจริญขึ้นไปมุทุภูตธาตุ เป็นธาตุจิตที่เจริญ ทั้งแกน static, แกน dynamic เป็นสองสภาพ แกน static คือแกนเจโต, แกน dynamic คือแกนปัญญา ทั้งสองสภาพก็เจริญไปด้วยกันมากยิ่งขึ้น จึงเป็นจิตที่เจริญหาที่สุดมิได้เลย จะสุดสูงสุดก็ถือว่ามนุษยชาติทำได้เป็นสำเร็จสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ เจริญมุทุภูตธาตุ ดีที่สุดเก่งที่สุดเท่าพระพุทธเจ้า ถือว่าสุดยอดในความเป็นคนที่จะทำได้ อาตมาเป็นผู้หนึ่งที่สั่งสม มุทุธาตุ ปางนี้ สั่งสมมาเป็นโพธิสัตว์ปาง 7 ปางหน้าเป็นปาง 8 จึงขึ้นเป็นจาก 8 เป็น 9 เป็นพระพุทธเจ้า ก็สะสมไปอย่างนี้ ตามความเป็นจริงประกาศตนประกาศตัวว่าตนเองเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ประกาศอย่างมั่นใจจริงใจบริสุทธิ์ใจไม่มีอะไรเคลือบแฝงเลยในการประกาศ ไม่มีอยากอวดโอ่ อยากให้คนหลงนับถือ อยากให้คนมายอมสยบ ไม่มี ประกาศความจริงตามความเป็นจริงออกไปใครรับฟังแล้วจะไปเกิดคิดอย่างไรก็เรื่องของแต่ละคน
ซึ่งคนจะไม่เชื่อไปอย่างมาก ที่ไม่เชื่อเพราะเข้าใจศาสนาพุทธผิด เข้าใจสมาธิก็ผิด ฌานก็ผิด วิมุติก็ผิด ศีลยังเข้าใจผิดเลย เขาก็ไปถือเอาอย่างผิด ยึดถือเป็นคำสอนผิดเป็นคำสอนว่าถูก เมื่ออาตมาเอาอย่างที่ถูกมาประกาศ แล้วเขาจะเข้าใจจะมาเชื่อมั่นจะเป็นอย่างไร มันก็เป็นไปไม่ได้เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ที่อาตมาพูดจริงพูดทุกคำแต่คนก็หาว่าอาตมาพูดไม่ถูก ซึ่งคุณต่างหาก..ขออภัยเข้าใจไม่ได้ ภาษาไทย ภาษาบาลีก็คืออวิชชา แปลเป็นไทยอีกทีก็คือยังโง่อยู่ ยังเข้าใจไม่ได้
เมื่อคุณเข้าใจไม่ได้ก็แสดงออกตามที่คุณเป็นจริง ไม่ได้แปลก อาตมาไม่ได้แปลกอย่างคุณเดชา อัมพร แสดงออกมานี้ชัดเจน คุณจะรู้หรือไม่รู้ก็ชัดอยู่อย่างนั้น แสดงออกมาเถอะเผื่อจะได้ฉลาดบ้าง คนที่แสดงความโง่ออกมาแล้วเห็นว่าตัวเองโง่ คนนั้นเริ่มฉลาด คนที่แสดงออกมาจนเข้าใจว่าสิ่งที่เราแสดงออกมันโง่มันผิด เออ คนนี้เริ่มฉลาด คนเราเกิดมาจากรากฐานอวิชชา โง่มาก่อนฉลาดทั้งนั้นจนกว่าจะฉลาด แล้วฉลาดอย่างมีปัญญาฉลาดขึ้นๆ จนกว่าจะฉลาดสูงสุดให้เป็นพระพุทธเจ้า สูงรองลงมาก็เป็นโพธิสัตว์ระดับต่างๆ คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ อาตมาไม่มีสิทธิ์จะพูดให้ใครเชื่อ อาตมามีสิทธิ์จะพูดความจริงให้จริงที่สุดให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง จบในตัวมันอยู่ในความจริงเท่านั้น ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ หรือใครจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ อาตมาไปบังคับได้อย่างไร
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน…พ่อครูเป็นคนไม่มีความลับ แม้แต่มีปัจฉา 4-5 รูป ก็มีเพราะเขาช่วยมาทำหน้าที่
พ่อครูว่า…คุณเดชาฟังแล้วไม่เชื่อว่าจะมีคนปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้านี้เขาไม่เชื่อว่าจะมีในยุคนี้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าได้จริง แสดงว่าตัวเขาเองก็ไม่เชื่อว่าตัวเองปฏิบัติธรรมว่าพระพุทธเจ้าได้ แล้วเขาก็เชื่อมั่นว่าเขารู้ธรรมพระพุทธเจ้าได้มาก แล้วเขาก็รู้ว่าเขาไม่ได้บรรลุธรรมะเพราะฉะนั้นเขาก็ไม่เชื่อว่าใครจะบรรลุธรรมะได้ คุณเดชาแกคิดอย่างนั้น แล้วก็ไม่เชื่อไปจนถึงกระทั่งคนจะมาบรรลุธรรมะแบบกิเลสหมดจริงๆแน่ๆไม่เชื่อๆ คุณจะมาบอกว่าดับกิเลสเป็นอรหันต์หมดยิ่งไม่เชื่อใหญ่เลย จริงๆ เพราะฉะนั้นก็น่าเห็นใจคุณเดชา จะเชื่อได้อย่างไรเพราะคนเราลึกๆมันเชื่ออัตตาตัวเอง กูทำไม่ได้ใครจะทำได้ว่ะ ลึกๆอัตตามันจะเข้าใจอย่างนั้น เพราะว่าอะไรเพราะว่าเขาศึกษานะ คุณเดชาเขาศึกษา ก็เพราะว่ากูศึกษาขนาดนี้ก็ยังไม่ได้ แล้วเอ็งจะมาได้อย่างไร ยังคุณไพศาล พืชมงคล บอกว่าผมก็ศึกษามาจังเลยธรรมะทำไมผมไม่บรรลุโสดาบันเสียที
สมณะเดินดิน…สิ่งที่คุณเดชาเขียนเป็นความผิดของพ่อครู แล้วทำไมพ่อครูเอามาอ่านให้ลูกศิษย์ฟัง เพราะถ้ามันผิดจริงลูกศิษย์ก็จะรู้ทันก็จะไปไม่เป็น แต่สิ่งเหล่านี้พวกเรารู้อยู่พวกเราเห็นถึงความเหนือของสิ่งที่เป็นโลกุตระอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น อย่างนั้นพวกเราก็ไม่ติดใจ อาตมาเองก็ไม่รู้สึกไม่ชอบใจหรือโกรธคุณเดชา ถ้าเป็นเราคงจะคิดเพ่งโทษอย่างคุณเดชาแต่สิ่งเหล่านี้เราเข้าใจแล้ว มีอย่างที่ไหนเอาสิ่งที่เป็นความผิดตัวเองเอามาอ่านประจานตัวเองให้คนอื่นรู้ คนอื่นจะได้จับได้ไล่ทัน แต่นี่พ่อครูมาอ่านอย่างสบาย พวกเราฟังแล้วก็ยิ้มกันไม่เห็นมีใครฟังแล้วอึดอัดขัดเคือง
พ่อครูว่า…เป็นการพิสูจน์ว่าพวกเราใจดีใครจะว่าใครจะติเตียนก็ไม่โกรธตอบไม่รู้สึกโกรธเขา เข้าใจว่าเขาเข้าใจผิดนะมันเห็นแล้ว
ทิดโด่ง…กำลังอยู่ในประเด็น จรณะ 15 วิชชา 8
พ่อครูว่า…คุณเดชาอาจจะเชื่อว่ามีคนบรรลุธรรม แต่เขาจะไม่เชื่อว่าน้ำหน้าอย่างอาตมาจะบรรลุธรรม Concept ของคุณเดชาจะมองว่าผู้บรรลุธรรมจะไม่เป็นอย่างนี้ ทำไมเป็นอย่างลิง ว่องไวอย่างนี้ ไม่ใช่ พระอรหันต์ต้องสุภาพชาเย็นๆ ซึ่งเป็นความเข้าใจตรงกันข้ามและผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้านี่ อย่างพระสารีบุตรนี้ยิ่งกว่าลิง เพราะมันแววไว กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา นี่เป็นคุณสมบัติของพระอริยเจ้า
กายปาคุญญตา หมายถึง ทั้งภายนอกและภายในคล่องแคล่ว โดยมีเจตสิก 3 มีเวทนา สัญญา สังขาร เป็นหมวดธรรมที่คล่องแคล่ว ว่องไว ปราดเปรียว ยิ่งบรรลุยิ่งคล่องยิ่งไว ทั้งกายทั้งจิต เพราะจิตเป็นประธาน กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา มีพยัญชนะในบาลีไว้หมดแล้ว ไม่ได้คิดเอง แต่เขายังเข้าใจไม่รอบปฏิบัติยังไม่ถึงได้เขาอาจจะเรียนรู้พยัญชนะแต่เข้าไม่ถึงสภาวะ ไม่มีความจริง เพราะฉะนั้นเยอะส่วนใหญ่เรียนกันเป็นเปรียญ 9 ดร.ทางพุทธศาสนา พยัญชนะมีเยอะแต่ไม่รู้จักสภาวะ พูดไปแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก
เพราะฉันนั้นแน่นอน คุณเดชามีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อ ว่าน้ำหน้าอย่างอาตมาจะบรรลุพระอรหันต์ ซึ่งอาตมาพูดนี้นะมันไม่ใช่เรื่องธรรมดานะ อาตมาบอกว่าอาตมาบรรลุอรหันต์ ซึ่งอาตมาก็รู้ตั้งแต่อาตมาบอกว่าอาตมาบรรลุ ตั้งแต่ พ.ศ. 2512 เขียนหนังสือ มาประกาศว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ พ.ศ. 2558 อาตมาบรรลุธรรมตั้งแต่ พ.ศ. 2512 ไม่ใช่ว่าอาตมาอยากประกาศรีบร้อนประกาศ ไม่ใช่ คนอ่านหนังสือคนคืออะไรถึงรู้ว่าอาตมาประกาศอรหันต์ คนไม่ได้อ่านมีเยอะแยะมากมายก็ไม่ได้ฟังว่าอาตมาประกาศอรหันต์ ก็อาตมาได้มาประกาศเมื่อ พ.ศ. 2558 อย่างนี้เป็นต้นอาตมาเคยตอบบุคคลถาม
มีน้องอาตมาถาม และมีอาจารย์แสง จันทร์งาม ถาม ส่วนน้องอาตมาตายไปแล้ว อาจารย์ขวัญดีเขาก็ถาม พี่แป๊ก บรรลุอรหันต์จริงหรือไม่อาตมาก็บอกว่าจริงบอกไปก่อน 2558 สองคนนี้มาถามส่วนตัวเลยบอก มีสองคนเคยถาม ส่วน อ.สัญญา ธรรมศักดิ์ไม่ได้ถาม แต่คุยธรรมะกันเป็นชั่วโมง ตอนนั้นยังไม่เป็นนายก คุยกันอาตมานั่งคุยอยู่ที่ห้องภาพสุวรรณแล้วก็ออกไปพูดข้างนอก อาตมาได้ยินเสียงสะท้อนมาท่านบอกว่า ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ไปรับรองว่าองค์นี้เป็นอรหันต์ ก็พูดอย่างนี้
ก็เท่านั้นเองที่พูดนี้ก็พูดไปด้วยความจริงใจทั้งนั้น ซึ่งอาตมาขอบอกได้เลยนะว่าอาตมาไม่ได้มีจิตที่หลงในคำยกยอคำสรรเสริญยกย่อง พระพุทธเจ้าท่านตรัสแล้วก็อาตมาเห็นจริงท่านตรัสคำว่าสรรเสริญเยินยอเป็นความต่ำทราม ไม่พอแก่การบรรลุธรรม ท่านตรัสอย่างนั้นเลย คำตำหนิเท่านั้นเป็นคำที่ดีที่น่ายกย่อง แล้วจะพาให้บรรลุธรรมได้ ส่วนคำสรรเสริญนั้น
พระไตรปิฎก เล่ม 29 ข้อ 605
(พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า) ก็ความสรรเสริญนั้นเป็นของน้อย ไม่พอเพื่อสงบกิเลส ข้าพระองค์ย่อมกล่าวผลแห่งความวิวาทเป็น 2 อย่าง บุคคลเห็นโทษแม้นั้นแล้ว เห็นอยู่ซึ่งภูมิแห่งความไม่วิวาทว่า เป็นธรรมชาติเกษม ไม่พึงวิวาท.
[606] คำว่า ก็ความสรรเสริญนั้นเป็นของน้อย ในคำว่า ก็ความสรรเสริญนั้นเป็นของน้อย ไม่พอเพื่อสงบกิเลส ความว่า ความสรรเสริญนั้นเป็นส่วนน้อย ต่ำช้า นิดหน่อยลามก สกปรก ต่ำต้อย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความสรรเสริญนั้นเป็นของน้อย คำว่า ไม่พอเพื่อสงบกิเลส ความว่า ไม่พอเพื่อยังราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบหลู่ ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่ มารยา ความโอ้อวด ความกระด้าง ความแข่งดี ความถือตัว ความดูหมิ่น ความเมา ความมัวเมา กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง ความเดือดร้อนทั้งปวง อกุศลาภิขารทั้งปวง ให้สงบ เข้าไปสงบ ดับ สละคืน ระงับไปทั้งปวง อกุศลาภิสังขารทั้งปวง ให้สงบ เข้าไป สงบ ดับ สละคืน ระงับไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความสรรเสริญนั้นเป็นของน้อย ไม่พอ เพื่อความสงบกิเลส.
ระบอบการปกครองของมนุษย์ ที่สุดยอด
พ่อครูว่า…ตั้งใจจะพูดถึงเรื่องระบอบการปกครอง อ่านไปแล้วทีนี้ก็มาใช้ที่อ่านไปอธิบายดู
การปกครองมนุษย์นี้มันยาก แต่ก็แต่ละชาติๆก็ค้นหาวิธีการปกครอง ไทยมีกุศลมีบุญเก่า เพราะว่าเป็นประเทศที่มีศาสนาพุทธมีพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นโลกุตระเป็นอเทวนิยม มีมาเก่า มันจึงมีลักษณะของธรรมะพระพุทธเจ้า มันเป็นความรู้ที่ยิ่งยอดเป็นโลกุตระสูงส่งเป็นอาริยบุคคลที่แท้ ศิวิไล หรือภาษาอังกฤษเรียกว่าcivilize ภาษาไทยก็ไปเอาคำว่าศิวิไลซ์มาทับศัพท์ แม้จากภาษาอังกฤษก็คือ civilize ภาษาบาลีก็ศิวิไล ในภาษาบาลีท่านมาใช้ ศ แต่ใช้ ส ภาษาอังกฤษก็น่าจะเอามาจากภาษาบาลีเพราะภาษาบาลีเก่าแก่กว่าภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลว่าเจริญ หรืออาริยะ ทางโลกเขาใช้อารยชน ส่วนทางสายเจโตพระป่าใช้คำว่าอริยะ
ซึ่งอาตมาว่ามันเพี้ยนทั้งคู่ อาตมาเลยมาใช้คำว่า อาริยะ ซึ่งมันสภาวะเดียวกันแต่เพี้ยนกันไป
อาตมาอธิบายไปเป็นจิตที่เป็นความเห็นความรู้เป็นปัญญาของอาตมา ซึ่งเป็นแกนรากของโลกุตระหรืออริยะของพระพุทธเจ้า อาตมาพูดความจริงมั่นใจว่าถูกต้องความจริงของพระพุทธเจ้า ซึ่งทุกวันนี้มันเพี้ยนไปหมดจากของพระพุทธเจ้าแล้ว อาตมาพูดก็เลยเป็นอีกอย่างหนึ่งซึ่งต่างจากที่เขาเข้าใจยึดถือกันอีกอย่างหนึ่ง เมื่อประกาศเข้าไปแล้วสิ่งที่มันเสื่อมกันไปยึดถือผิดไปตามครูบาอาจารย์ ตามจารีตประเพณี ตามๆกันมา พออาตมาอธิบายบอกว่าเป็นอย่างนี้มันต้องคนละพวกคนละข้าง ก็เลยเข้าใจไปคนละอย่าง ว่าทำไมตรงกันข้ามอย่างนั้น เขาก็สงสัยว่ามันจะใช่หรือ
นอกจากเขาจะเข้าใจไม่ได้แล้วยังมาทำตามได้ยากอีก ก็มีแต่คนที่มีบารมีอย่างพวกคุณมีบารมี พอฟังเข้าใจแล้วเอามาปฏิบัติได้มรรคผล จึงกลายเป็นคนที่ได้มรรคผล ลดกิเลส ตัณหา อุปาทาน ลดมาได้จริง อาตมาขอยืนยันว่าชาวอโศกไม่มีใครมาดัดจริตว่าฉันได้หรอกไม่กล้าพูดด้วยซ้ำไม่กล้าอวดหรอก แต่รู้ว่าตัวเองได้ แล้วก็ยังอ่อนน้อมถ่อมตนด้วย เราได้ หลายคนเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ไม่กล้ารับรองตัวเอง สรุปไม่ลงหรือไม่รับรองตัวเองแต่มีคุณสมบัติเป็นอรหันต์แล้ว
ตัวเองคงจะเข้าใจว่าอรหันต์คืออะไรยากและควรจะจบตัวเองว่าเป็นอรหันต์แล้วยาก เพราะเป็นนัยละเอียดของจิต ซึ่งจิตมันจะรู้ระดับกลาง ละเอียด ในความกลางและละเอียดพระพุทธเจ้าก็สอนไว้หมดว่ามันมีระดับนอกเป็นกามภพ ระดับกลาง รูปภพ หมายความว่าข้างนอกกิเลสเราดับจริงๆ ข้างนอกจะมีอะไรที่เราสัมผัสสัมพันธ์อยู่มากระทบมากระแทกกระทุ้งมาอยู่ๆก็ไม่มีผลอะไรอยู่เหนือมันได้ จะมาเจตนายั่วยวนกระทบกระทั่งกระแทกกระทุ้ง แรงขนาดไหนก็อยู่ที่ฐานะของแต่ละบุคคลที่มีบารมี ก็สงบนิ่งไม่มีกระเพื่อมไม่มีอะไรหวั่นไหวเลย อเนญชา นี่เรียกว่าสมบูรณ์แบบของกิเลสกระทบภายนอก พวกเราก็รู้ก็เข้าใจฟังอธิบายตรวจสอบก็ตรวจตัวเอง อรหันต์เข้าขีดแล้ว ไปตรวจต่อ กิเลสขั้นกลาง ข้างใน
ข้างนอกไม่โต้ตอบ แต่ข้างในมันยังมีถือดี ว่าเออ คนที่ยังอดไม่ได้ก็โต้ตอบออกไปบ้างออกไปทางภาษาก็ยังหยาบอยู่ บางคนก็โต้ตอบไปด้วยท่าทีเท่านั้น บางคนภาษาก็ไม่โต้ตอบท่าทีก็สงบนิ่ง แต่ในใจเหมือนโต้ตอบว่า เอ็งว่าข้า เอ็งเข้าใจผิด เองยังไม่รู้ความจริงอะไรพวกนี้มันก็แย้งเขาอยู่ จนกระทั่งข้างในไม่โต้ตอบ เป็น อรูป ข้างในรูปแล้ว ขั้นปลาย ก็เข้าใจว่าเขายังเข้าใจเราไม่ได้ เป็นจิตที่สงบแล้ว จิตอรูป จะมีกระเพื่อมนิดๆว่า เอ็งยังมองคนไม่ออกมาว่าเรา แต่ไม่มีความรังเกียจไม่มีความผลัก ไม่มีความโกรธ สบายๆ จิตก็สงบ รู้ความจริงว่าเขาไม่รู้จักเรา ก็ไม่เป็นไร เราเองสงบได้เราก็รู้ความจริงของเรา พระอนาคามีรู้ชั้นของรูป เราก็ไม่มีแม้แต่อรูปเราก็ไม่มีก็เป็นอรหันต์ แต่อรูปมันยังมีอยู่ก็เป็นอนาคามี ไม่มีรูปแล้วเหลือแต่อรูปมันก็เป็นอนาคามีขั้นปลาย ไม่มีอรูปแล้วถือดีอยู่มีมานะ ก็ยังไม่สงบทีเดียวถือดีจนกระทั่งถือดีก็ไม่ถือดี มันยังมีวอบแวบอุทธัจจะกุกกุจจะก็อยู่กระดุ๊กกระดิ๊กของตน ไม่สงบจะก็เข้าใจอาการต่างๆของจิตตัวเอง
ผู้ที่รู้อาการของจิตที่อาตมาพูดมาคร่าวๆ ก็ละเอียดพอสมควรนะจะว่าไป คนที่รู้จริงๆเขาจะรู้ความจริงตามความเป็นจริง จะไปโกหกตัวเองทำไม แล้วคนที่มีได้เป็นได้ไม่โกหกคนอื่นหรอก นอกจากไม่โกหกคนอื่นแล้ว เมื่อชัดเจนแล้วพูดเป็นธรรมดาจะเรียกว่ากล้าพูด มันก็ไม่ใช่กล้า ก็มันจะไปกล้าหรือไม่กล้าไม่เห็นเป็นไรมันเป็นความจริงก็พูดได้ นอกจากคนที่มี สาเฐยจิต อยากอวดโอ่ เขาไม่รู้ก็ไปยัดเยียดให้เขารู้หรืออยากอวด ก็ไม่ได้อยากอวด แต่พูดความจริงถึงเวลาควรบอกก็บอกความจริงไป อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งจะเป็นสัจจะต่างๆในตัวบุคคลที่เป็นที่มี แม้เป็นอรหันต์ก็คือผู้จะหมดสิ่งที่จะบกพร่องต่างๆ จิตไม่มีกิเลสทั้งภายนอกภายใน
ข้างในก็เป็นการยึดถือตัวตนตอบโต้เป็นปฏิฆะ กับยึดตัวตน มันหมดแล้วก็เป็นพระอรหันต์ คนก็รู้ความจริงว่าจิตตัวเองไม่มีกิเลส ทั้งมีปัญญารู้จริงตามเป็นจริง แล้วก็ทั้งไม่ติดใจไม่มีมานะไม่ถือดีไม่อวดตัวอะไร ก็บอกความจริงไปดื้อๆง่ายๆ อย่างอาตมาบอกไปง่ายๆคนที่เขาไม่เชื่อก็จะบอกว่าพวกนี้อวดใหญ่อวดโตอวดมี มันง่ายที่ไหนล่ะ ใช่ มันไม่ง่ายแต่ท่านทำได้เขามีจริง ซึ่งคุณต่างหากคุณไม่เชื่อว่าโลกนี้จะมีคนที่เป็นอรหันต์เกิด คุณไปยึดถือตรงนั้นแล้วยึดถือว่าโลกนี้ยุคนี้ไม่มีอรหันต์ แน่นอน คุณก็จะไม่เจออรหันต์ เพราะคุณยึดเสียแล้ว ไม่มีหรอก แล้วคุณจะมีประตูรู้ได้อย่างไรเพราะคุณปิดประตูรู้ว่า แม้อรหันต์มีคุณก็ปิดประตูแล้ว ปิดประตูรู้แล้วก็ไม่มีแล้วอรหันต์ จะอะไรมีมาล่ะ มีมาอย่างไรคุณก็ต้องไม่รู้เพราะคุณไม่เปิดประตูรู้เลยไม่ยอมศึกษา แม้คุณจะศึกษาพยัญชนะศึกษาตำราไปเท่าไหร่ๆ คุณก็ปิดประตูรู้ไว้ก่อนว่าในยุคนี้ไม่มีแล้วพระอรหันต์ คุณไปเชื่อใครก็ไม่รู้ที่เขาพูดไว้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ตราบใดโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ แล้วคุณไปเอาคำสอนจากที่ไหนมาพูด นี่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าคุณก็น่าจะเคยได้ยิน อย่างนี้เป็นต้น
อาตมาไม่มีปัญหาในเรื่องที่ใครเขาว่าอาตมาไม่ใช่อรหันต์ อาตมาอวดตัวอวดตนหลงตัวหลงตน เขาจะว่าอย่างไรอาตมาก็ฟังเข้าใจ แล้วก็เห็น แล้วก็สงสารเขาเท่านั้น คุณปิดประตูของเรานั้นน่าสงสาร ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจะไปเปิดก็ไม่ได้ คุณปิดของคุณเองอาตมาก็ได้แต่ดูคนที่เขาเปิดรับเขาก็เปิด บอกแล้วว่าเขาเปิดรับแล้วก็ไม่ใช่จะรับได้ง่ายๆบางคนก็ไม่เปิดเต็มเปิดแง้มๆรับบ้างไม่รับบ้างกลัวคนจะเห็นว่าฉันก็แง้มดูอยู่นะ จะมีไหม …มี แอบฟัง แอบดูไม่ให้คนรู้ ถ้าคนรู้ก็จะรีบปิดกลบเกลื่อน ไม่สนหรอกโพธิรักษ์น่าสงสารมาก เขาน่าสงสารจริงๆ กลัวคนจะรู้
เขาเอาโลกเป็นใหญ่ คนเขาไม่เข้าใจ ความเป็นอาริยะ ความเป็นอรหันต์ ความเป็นโพธิสัตว์ แล้วเขาก็ไม่ยอมรับ แล้วเขาก็เลยไปตามคนส่วนใหญ่เขา อรหันต์หรือโพธิสัตว์ หรือสิ่งที่เจริญจริงๆก็เป็นยอดปิระมิดก็ต้องมีน้อย แต่คุณก็ไปหลงคนส่วนใหญ่เอาตามคนส่วนใหญ่ คุณหลงประชาธิปไตยมากไปหรือเปล่า ไปหลงว่าเอาคนส่วนใหญ่
คนส่วนใหญ่นี่แหละ ระบอบการปกครอง สมัยโบราณสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อำนาจใหญ่อยู่ที่คนผู้เดียว ระบอบการบริหารปกครอง ใหญ่ผู้เดียว เป็นแบบพระพรหม ข้านี่แหละใหญ่ รู้หมดทุกอย่าง เผด็จการ อำนาจใหญ่ สั่งฆ่าทั้งตระกูลอำนาจใหญ่ เสร็จแล้วก็ยืนอยู่บนฐานของลาภสรรเสริญโลกียสุข มีอำนาจเด็ดขาดจะริบสมบัติผู้ใด สั่งฆ่าทั้งตระกูล เอาสมบัติมายึดเป็นของพระเจ้าแผ่นดินเลย เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์เผด็จการเด็ดขาด ระบอบอย่างนั้นก็ถูกโค่นล้มกันเพราะใครก็อยากเป็นเจ้าอำนาจเผด็จการ เป็นเจ้าอำนาจเขาก็โค่นล้มฆ่าตัวเผด็จการ จนกระทั่งลูกออกมาก็พยายามฆ่าพ่อที่เผด็จการจะได้ขึ้นไปเผด็จการแทน มันก็เป็นอย่างนั้นมาแต่ไหนแต่ไร ลูกหลานบ้านข้างๆนั่นแหละข้าราชบริพารที่อยู่ใกล้ตัวโค่นล้มเลย สกุล เปลี่ยนราชวงศ์ใหม่กันไปเรื่อยๆ
ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติเป็นอย่างนั้นมา มาถึงเมืองไทยมันก็เป็นอย่างนั้นห้ามไม่ได้มาถึงเมืองไทยในยุคนี้ ผู้ที่เป็นผู้ดูแลปกครองเมื่อถึงยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คนทั้งหลายแหล่ต่างก็ไม่ค่อยจะอยากให้เป็นหรอก เมื่อยิ่งเข้าใจว่าตัวเองเกิดมาเป็นทาส นอกจากพระเจ้าแผ่นดินเป็นนายทาสใหญ่ก็มีนายทาสย่อย มีอำนาจรองลงมาก็สะสมอำนาจย่อยลงไปซ้อนลงไป ประชาชนไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชนไม่เข้าใจสิทธิความเป็นคน ก็เหมือนเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งเขาซื้อขาย เขาจะฆ่าแกงยังไม่มีกฎหมาย อยู่กันอย่างนั้นมา จนกระทั่งบอกว่ามีความรู้กันขึ้นมามันเกิดหลายชาติ อันนี้เป็นอจินไตย คนเกิดวนเวียนหลายชาติในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในยุคทาสเกิดวนเวียนขึ้นมา จนกระทั่งผู้มาตกเป็นทาสยอมสนิทไม่กล้าทำชั่ว ทำแต่ดี ให้นายทาสทำชั่ว นายทาสก็บังคับข่มขู่เอาเปรียบเอารัดกินแรงงาน จะฆ่าให้ตาย ก็เป็นหนี้บาป
จนกระทั่งกรรมวิบากเหล่านี้เปลี่ยนแปลงหลายชาติที่มา ลูกทาสที่ยอมสยบรับใช้ก็เป็นกุศลวิบากซ้อนให้คนเหล่านี้เกิดมาเป็นนายหนี้ของนายทาสที่ได้ทำบาปเวรภัย ทั้งเอาเปรียบเอารัดกินแรงทั้งฆ่า มันก็บาปทั้งนั้น นายทาสก็ลงมาเป็นลูกทาส ลูกทาสก็มาเป็นนายทาสตามวิบากบาป ก็วนเวียนไม่รู้กี่รอบแล้วก็ชักจะฉลาดรู้ระลึกชาติได้ถึงความวนเวียนว่ามันน่าเบื่อจริงๆ แต่ก่อนกูมาเป็นนายทาสเดี๋ยวนี้มาเป็นลูกทาส ซึ่งมันห้ามวิบากไม่ได้จะมาเกิดเป็นลูกทาส ยิ่งไปทำเขาหนักตัวเองก็ยิ่งได้รับหนัก ใช่ไหม หนี้บาป ตัวเองเป็นนายทาสทรมานทรกรรมอำมหิตโหดเหี้ยม ตัวเองก็ยิ่งไปเกิดเป็นลูกทาสที่หนัก ตัวเองเป็นนายทาสที่เหี้ยมโหดทารุณ ก็ต้องมาเกิดเป็นลูกทาสที่เหี้ยมโหดทารุณ มันก็เป็นสัจจะวนเวียนจนกระทั่งระลึกได้ว่าไม่เอาก็จะเข็ดก็ค่อยๆเพลา อย่างนี้ไม่ไดี จึงได้ค่อยๆเปลี่ยนแปลงตัวเอง
คนที่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ก็จะรู้วิบากตัวเอง เกิดมาอีกหลายชาติเข้า อันนี้เป็นอจินไตยที่นึกเอาเองไม่ได้ อาตมาอธิบายซ้อนถึงการวนเวียนเกิดใช้หนี้วิบากจนกระทั่งระลึกได้ จนกระทั่งได้เข้าใจ อ๋อ แท้จริงก็คือกรรมวิบาก กรรมเป็นของๆตน ตนเองก็ต้องมาทดแทนใช้หนี้กรรมอย่างนี้ ก็จะไม่พยายามทำกรรมชั่วกรรมบาปกรรม จึงดีจึงเกิดเป็นคนเจริญ เจริญสูงสุดก็เป็นศาสดาจนกระทั่งเป็นศาสดาสุดยอด ถ้าเผื่อว่า ศาสดานั้นยังไม่พัฒนามาเจอพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งพระพุทธเจ้าองค์ก่อน องค์ที่เกิดมาองค์แรกไม่รู้ว่าองค์ไหนเป็นองค์ต้น แต่มีแล้ว แล้วก็ไม่ได้เกิดประจำยุค แต่มียุคพุทธันดรที่พระพุทธเจ้าไม่เกิดเพราะมีสิ่งแวดล้อมมีอะไรที่ไม่สมควรเกิดเลย ยุคที่พระพุทธเจ้าไม่เกิดเป็นสังคม 2 ยุค คือ
-
ในยุคที่เป็นกลียุคเกิดมาก็สอนคนไม่รู้เรื่องเกิดมาเสียพระพุทธเจ้าหมดไม่คุ้มค่า พระพุทธเจ้าก็ไม่เกิด
-
ไม่ต้องเกิดเพราะไม่ต้องใช้ศาสนาพุทธ เขาก็ดีกันหมดแล้วอยู่กันอย่างสงบสบายดี แล้วพระพุทธเจ้าจะเกิดมาทำไม เขาสงบดีแล้ว แบ่งแจกกันกินกันใช้อยู่กันอย่างพี่น้องแล้ว มันก็เหมือนเป็นศาสนาพุทธนั่นแหละ มันมีอยู่แล้วตัวมันเอง ก็ไม่ต้องเกิดมาเป็นพระพุทธจ้า