640307_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เป็นคนจนแบบเป็นไท จึงมีประชาธิปไตยดีสุด
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1J1TB4-1w5cqcjaCmSI-4_-8cVKCimXNFccrgqw8PiSA/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1vvEbXHzUX-CKh6C2wTDnQcYEDC40sEKc/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/WeZwvbRXjKs
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ชีวิตคนเราเกิดมากาละนี้ ดินแดนนี้ มีสิ่งที่ดีเกิดในแดนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นในหลวง ร.9 หรือมีพระโพธิสัตว์ระดับ 7 คือพ่อครู เราควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุดคือ ปรมัตถธรรม หากเรามาอยู่ในหมู่นี้ แต่ไม่ได้รับสิ่งดีๆเหล่านี้ ก็น่าเสียดายมาก ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้ใส่แว่นสีชมพูพูด แต่เพื่อเป็นข้อเตือนใจแก่ชาวอโศก
พ่อครูว่า…เนื่องจากภาวะโควิดระบาด ทำให้ร้านหนังสือธรรมทัศน์สมาคม ต้องปิดไปหลายเดือน เราจึงสร้างร้านค้าในเพจเฟสบุค ชื่ออโศกอักษร จึงอยากให้ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมร้าน มีหนังสือธรรมะที่เขียนโดยพ่อครู และท่านอื่นๆด้วย มีหนังสือสุขภาพด้วย
หนังสือเล่มแรกที่อาตมาเขียนคือ คนคืออะไรทำไมสำคัญนัก เล่มต่อมาตอนบวชคือหนังสือทางเอก เดินจาริกไปเขียนไป มีพยัญชนะที่ผิดอยู่มาก แต่อาตมาจะไม่แก้ไข มันเป็นพยัญชนะที่สลับกับสภาวะบ้าง ตอนนั้น ยังไม่มีความรู้เรื่องพยัญชนะมาก ซึ่งท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์มหาประยุทธ์ ก็เอาอันนี้มาวิจัยอาตมาที่ทิ้งอาตมาหนักมากเพราะท่านยึดถือพยัญชนะนี้มาก1 ท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ก็ขอบคุณท่านที่ทักท้วงอาตมาก็ได้พยายามสังวรและพยายามศึกษา ก็จึงค่อยยังชั่วขึ้นมา มีความรู้ขึ้นบ้าง ก็ทำไป แล้วก็ช่วยกันไป
SMS วันที่ 05 – 06 มี.ค. 2564
_ชายพงไพร บุนิตระกูลพุทธ : ชายสามโบสถ์หญิงสามผัว หมายความว่ายังไงครับท่าน.สงสัยครับไม่เข้าใจ
พ่อครูว่า…หมายความว่าผู้ชาย ก็ไปบวชแล้วสึก บวชแล้วสึก 3 ครั้ง อย่างนี้เขาว่า ชักเป็นคนไม่ค่อยน่าไว้ใจ ไม่เอาจริงเอาจังไม่ค่อยจะได้เรื่องอะไร เหมือนกับผู้หญิง 3 ผัว ก็ไม่น่าจะไว้ใจ อาจจะเพิ่มไปสัก 4 และ 5 ถ้าอย่างนั้นก็เหมือนกัน ชายสามโบสถ์ อาจจะมีโบสถ์ที่ 4 ที่ 5 สึกออกไปอีกก็มี เขาก็เลยถือว่า มันไม่ค่อยมั่นคงไม่ค่อยเอาจริงเอาจังเลย คงจะเป็นที่ หวังว่าจะมั่นคงได้ยาก ก็เท่านั้นเอง
_kittima Ekmapaisarn กิตติมา เอกมาไพศาล : กราบนมัสการพ่อครูค่ะ ถ้าเราจะทำบุญในทุกวันของเราทีละประเภทได้ไหมคะ เช่น เราตั้งเป้าจะทำบุญในศีลข้อ 1 ให้บริสุทธิ์จนหมดบุญ จะเป็นไปได้ไหมคะ?
พ่อครูว่า…ได้ คุณต้องเข้าใจคำว่าบุญให้ดีๆก่อน คำว่า จะทำศีลข้อที่ 1 บริสุทธิ์จนหมดบุญ ต้องมีพื้นฐานจึงใช้คำว่าหมดบุญได้ ถ้าไม่ฉะนั้นจะไม่กล้าพูดคำว่าหมดบุญหรอก เขาจะนึกว่าหมดบุญก็แย่สิจะไม่ได้อะไรต่อ เขานึกว่าบุญคือสมบัติ ไม่ได้นึกว่าบุญคือวิบัติ บุญคืออาวุธฆ่ากิเลส เขาจะไม่เข้าใจสัมมาทิฏฐิอย่างนั้น เขาเข้าใจบุญอย่างมิจฉาทิฏฐิว่าคือสมบัติกุศลเป็นเช่นนั้น คนนี้ก็ถามถูก
ได้นะ จะทำศีลแต่ละข้อให้หมดบุญแต่ละข้อก็ได้ แล้วทำไมต้องทำทีละข้อ เอาทีละ 3 ข้อก็ได้พระพุทธเจ้าบอกว่าศีลมี 5 ข้อ ศีลข้อ 4 เป็นพฤติกรรมศีลข้อ 5 เป็นมนุษย์ ก็คือกายวาจาใจใจนั่นแหละ ศึกษาให้ดีๆ
_ตุ๊ก อัศวิน : ขอโอกาสเจ้าค่ะ อวินิพโภครูป ๘ มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์อย่างไรกับรูป ๒๘ เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…อวินิพโภครูป เป็นรูปที่แยกออกจากกันไม่ได้ เช่นสุขกับทุกข์แยกออกจากกันไม่ได้ แต่แยกให้มาศึกษาได้ มันมีคู่ของมันคือวินิพโภคะ คือรูปที่แยกกันได้ แยกมาวิจัยวิจาร ด้วยความหมายพยัญชนะได้หรือแยกกันออกเป็นอาการได้ เช่นสุขทุกข์ คนที่ติดในสุขก็จะเอาแต่สุข มีทุกข์มาก็พยายามมาออกจะเอาแต่สุขซึ่งมันไม่มีวันจบ มันเป็นภาวะอวินิพโภครูป เป็นรูปที่แยกไม่ได้จริงๆเลยคือสุขกับทุกข์ แต่อยากมาศึกษาเป็นอาการลำลองได้เป็น dialactic เป็นสิริมหามายา มันแยกกันจริงๆไม่ได้เลย แยกได้จริงๆ ก็ต้องดูด้วยปัญญาชัดๆว่าสภาวะอย่างนี้เป็นอย่างนี้แม้ที่สุดได้ถึงขั้นที่มันแยกได้ รูปที่แยกได้ มีลักษณะ 8
อวินิพโภครูป 8 ประกอบด้วย มหาภูตรูป 4 และ อุปทายรูป 4
มหาภูตรูป (รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน) 4 ได้แก่
-
ปฐวีธาตุ (ธาตุดิน) เป็นรูปที่อ่อนหรือแข็ง
-
อาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) เป็นรูปที่เอิบอาบหรือเกาะกุม
-
เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) เป็นรูปที่ร้อนหรือเย็น
-
วาโยธาตุ (ธาตุลม) เป็นรูปที่ไหวหรือตึง
มหาภูตรูป 4 นี้ ต้องอาศัยกันเกิดขึ้น จึงแยกกันไม่ได้เลย และมหาภูตรูป 4 นี้เป็นปัจจัย โดยเป็นที่อาศัยเกิดของรูปอีก 4 รูป ที่เกิดร่วมกับมหาภูตรูปในกลาปเดียวกัน คือ
อุปาทายรูป 4 ได้แก่
-
วัณโณ (แสงสี) เป็นรูปที่ปรากฏทางตา
-
คันโธ (กลิ่น) เป็นรูปที่ปรากฏทางจมูก
-
รโส (รส) เป็นรูปที่ปรากฏทางลิ้น
-
โอชา (อาหาร) เป็นรูปที่เป็นปัจจัยให้เกิดรูป
_โพธิ์ศรี ราชสีห์ : ส.ศิวลัก โง่หรืออัตตา
พ่อครูว่า…ตอบทางวิชาการเลยก็เป็นทั้งสองอย่าง ตอบทางวิชาการนะ ท่าน ส.ศิวรักษ์จะฟังจะมาพูดจะถือสาก็ถือสาเอง ถ้าไม่ถือสาฟังเอาสภาวะวิชาการก็เป็นเรื่องวิชาการ ถ้าไปถือสา มีตัวมีตนก็เป็นเรื่องของ ส.ศิวรักษ์เองนั่นแหละ
สมัยตอนนั้นทำหนังสือแสงสูญ เราทำแล้วก็เอาบทความของทางด้านคุณ ส.ศิวรักษ์เอาไปใช้เราก็เห็นว่าดี เอามาลงในหนังสือแสงสูญ เขาก็มีหนังสือร้องเรียนมาว่าล่วงละเมิดลิขสิทธิ์ จะต้องเสียค่าเสียหาย ตอนนั้นอาจารย์อาภรณ์ พุกกะมาน เป็นบรรณาธิการอยู่ เราเห็นแล้วก็ตอบจดหมายไปเลย ว่า โดยบอกไปว่า ประเด็นสำคัญคือ บอกไปเลยว่า แหม ขออภัยนะ ท่านอาจารย์ ส. เราก็นึกว่าท่านเข้าใจเรื่องบุญนิยมดีแล้ว แต่เราคาดผิดถนัดว่า ตกลงท่านยังไม่เข้าใจบุญนิยมเลย ก็เลยติดใจที่จะเอาค่าลิขสิทธิ์ กรุณาบอกราคามาก็แล้วกันเราจะให้ เท่านั้นแหละเงียบเลย ทีนี้เราเอาอะไรมาอีกก็ไม่พูดอะไร เราจริงใจที่จะเผยแพร่ให้ เราไม่ได้เอาไปค้าขายได้เงินทองโฆษณาอะไร เราไม่มี เราทำงานเผยแพร่ให้ ที่จริงมันเป็นกุศลด้วยซ้ำ ช่วยคุณด้วยซ้ำไป เผยแพร่ของคุณนี่แหละต่อไปอีกให้คนรู้ เราไม่ได้ยึดถือเป็นของเรา เราเอามาแพร่ต่อ เราเห็นว่าดี ถ้าไม่ดีเราไม่เอานะ เราไม่ช่วยแพร่ให้นะ แต่นี่มันดี ไปคิดอย่างนี้ได้อย่างไร นี่ก็เล่าให้ฟัง ขออภัยเล่าความหลัง
_วินิตา : การจะสมัครบวชและเป็นครูที่สันติและทำงานต้องสมัครจุดไหนคะ
พ่อครูว่า…ไปสมัครที่สันติอโศก ถ้าจะเป็นครูที่สันติ แต่จะไปสมัครที่ธรรมกายก็ไม่ได้เรื่อง หากจะสมัครก็ไปเลยที่สันติอโศก มีทั้งผู้อำนวยการ มีทั้งเจ้าหน้าที่ช่วยดูแล
_เกษม สันทอง : มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของการปฏิบัติธรรมจริง ๆ ครับ เช่น กลุ่มของชาวอโศกเป็นตัวอย่างทางรูปธรรมได้อย่างชัดเจน ครับ
พ่อครูว่า…ดี คุณเข้าใจก็ดีแล้ว
พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ทำรัฐประหาร แต่ประชาชนต่างหากที่ทำ
พ่อครูว่า…ทีนี้มาเข้าเรื่องที่อาตมาตั้งใจจะพูดเลย คืออยากจะพูดถึงเรื่อง การเมือง ใครจะว่าสะเออะก็ตาม อาตมาก็เป็นนักการเมืองคนหนึ่ง แล้วอาตมาเห็นความจริงว่า อาตมาเป็นนักการเมืองที่พอใจน่าพอใจ เพราะอาตมาเป็นนักการเมืองที่แสดงการเมืองหรือไปทำงานการเมืองได้ผล จนกระทั่งทุกวันนี้ คนก็ไม่นับถืออาตมาว่ามีตัวตนเป็นนักการเมือง แหมดีจังเลย อาตมาก็เลยเป็นคนไม่มีตัวตนในเรื่องการเมือง แต่อาตมาก็ร่วมไปกับการเมือง แต่ไม่ได้ทำเป็นงานหลัก
ธรรมะต้องไม่แยกกับการเมือง ถ้าธรรมะแยกกับการเมือง อธรรมก็จะเข้าไปหาการเมือง อธรรมมันแทรกอยู่ตลอดเวลาไม่เคยหยุดหย่อน มันเป็นธรรมาธรรมะสงคราม เรียกได้อย่างนั้นเลย ตลอดเวลาเลย แม้จะสงบดีที่สุดก็ยังมีนิดหน่อย จึงเรียกว่าสงบ มันก็ยังมี แต่ทำอะไรไม่ได้ อย่างในประเทศไทย ที่จะพูดต่อไปนี้คณะรัฐบาลนั้นดี แต่อย่าเหลิง รักษาสถานะไว้ ท่องคำว่า “ความบริสุทธิ์เท่านั้นจะชนะทุกสิ่งทุกอย่าง” แล้วทำให้จริงอันนี้ให้ได้ ทำให้จริงตรงนี้ให้ได้ แล้วรับรองชนะตลอด ความบริสุทธิ์เท่านั้นจะชนะทุกสิ่งทุกอย่าง
อาตมาได้เขียนเรื่องการเมืองเป็นบทกวีและบรรยายตลอดมาเรื่อยๆ ในหนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร มีกวีหน้าปกนำเรื่องเลย
อธิปไตยคือพลัง พลังที่ดีที่สุดคือ พลังที่สงบที่สุด สุภาพที่สุด ไม่รุนแรงที่สุด แล้วมีความจริง เป็นพลังที่มีความจริงความถูกต้องมากที่สุดได้ นั่นแหละ พลังนั้นแหละเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมันเป็นลักษณะสิริมหามายา มันจะแรงจะมากเลย แต่มันเบามากเลย มันจะมีฤทธิ์มีอำนาจแรงมากเลย แต่เป็นภาวะที่ไม่มีแรง ไม่มีกระทบ ไม่มีความรุนแรงอะไรเลย สุภาพเบา(ลหุตา) มากเลย นิ่มนวลจนเบา เป็นเรื่องที่เข้าใจยากมากเลย
ขอพูดถึงปรากฏการณ์จริง ประเทศไทยที่อาตมาเข้าไปร่วมปฏิวัติ
ตั้งแต่พุทธศักราช 2549 อาตมาพาพวกเราตั้งขบวนที่ถนนราชดำเนินในแล้วเดินนำเข้าไปสู่สนามหลวง ไปถึงก็กราบพระก่อนเลย… ตอนนั้นรัฐบาลทักษิณก็ยังไม่ทีเดียว มันยังมีหางส่งต้องไปไล่ให้เสร็จกระบวนการก่อน แต่ทักษิณก็จบอาชญวิทยาเก่งจริงๆ เอานอมินีสมัคร เข้ามาได้ สมัคร สุนทรเวช ก็เป็นตัวแทนนอมินีได้ เราก็ไปจัดการไล่ แล้วทีนี้ก็มีตุลาการภิวัฒน์ อาตมาใช้คำนี้เองแหละ ใช้คำว่าตุลาการภิวัฒน์ ช่วยตัดสินให้สมัครแพ้คดี แค่ไปหาเงินทางโทรทัศน์ซึ่งผิดกฎหมาย ในรายการชิมไปบ่นไป คว่ำหลุดจากการเป็นนายกฯ อาตมาถือว่าเป็นผลงานที่ชัดเจน แต่เขาก็ว่าไม่ใช่ฝีมือประชาชนปฏิวัติ แต่มันมีองค์รวมของตุลาการภิวัฒน์ ก็ร่วมด้วย เพราะทุกอย่างมันต้องเป็นองค์รวมของสังขารธรรม อันนี้เป็นธรรมะที่ต้องศึกษาดีๆ ต้องเห็นร่วมกันและมีจุดอะไรที่จะช่วยกันได้ เอาจุดนี้ที่ไปทำอาหารหาเงินมันผิดกฎหมายก็จัดการ ตกไปตามกฎหมาย หลุดออกจากเก้าอี้ได้
ทักษิณก็เก่งอีก เอานอมินีสมชายขึ้นมาได้อีก สมชายก็สุดยอด ถูกประชาชนไล่จนเข้าทำเนียบไม่ได้เลย เป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่ไม่ได้เข้าปฏิญาณตนในทำเนียบรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรีเร่ร่อน สัมภเวสี เรามีประชาชนที่ไปประท้วงอย่างปราศจากอาวุธ ไม่รุนแรง
ภาพอันนี้โดนแก๊สน้ำตา….การปฏิวัติจึงมีประชาชนทั้งหมดโดยมีสมณะนักบวชไปร่วมด้วยสมบูรณ์แบบ ทำอย่างเปิดเผย พาทำให้เกิดความสงบ ป้ายอะไรต่างๆตัวหนังสืออหิงสาอโหสิ เราเขียน เราทำกระจายทั้งนั้นเลย มีสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา เป็นองค์แรก ไปแสดงฤทธิ์ พวกสายเจโตเห็นท่านปล่อยแสงออกจากหัตถ์เลยนะ มันเป็นธรรมดาธรรมชาติของพวกสายเจโต ทำกันอย่างซับซ้อนลึกซึ้ง กินอยู่หลับนอน ไม่แคร์เรื่องเวลาเลย ใช้เวลาตั้งหลายร้อยวัน รวมหลายวาระ ดูเหมือนจะสามร้อยกว่าวัน …นี่ก็ทรมานทรกรรม เขาจะปิดทางไม่ให้เข้าออกเลย ซึ่งมันเป็นการต่อสู้ เป็นตัวอย่างที่ไม่เคยมีในโลก เป็นความสงบจริงๆ ไม่รุนแรง
หลักฐานพวกนี้เป็นตัวอย่าง ที่นักรัฐศาสตร์ในอนาคตจะได้ศึกษาเพราะเป็น Pioneer เป็นหัวเจาะของประชาธิปไตยของโลกุตระ ประชาธิปไตยแบบโลกุตระ ที่สุภาพเรียบร้อย สงบ จริงใจ จริงจัง และเป็นพลังของประชาชนจริงๆ ไม่มีนายทุนใดมาเลย มีแต่เฉลี่ยเข้ามาเป็นส่วนกลางร่วมกันทำอย่างสมบูรณ์แบบจริงๆเลย ซึ่ง อาตมาว่า ในอนาคต มันจะจริงจังหรือมันจะชัดเจนอย่างนี้ไม่ได้ แต่มันไม่ชัดเจนด้วยความรู้ แต่มันชัดเจนด้วยสภาวะจริงใจจริงจัง ทั้งหมดเกิดโดยไม่มีใครวางแผนไม่มีตำรากางทำ มันทำด้วยสัจจะของมันเองเป็นตถตา เป็นความจริงที่เป็นเช่นนั้นเองของมัน เลียนแบบอีกทีก็จะไม่เหมือน ได้ครั้งเดียวในโลก อะไรที่มันเป็นจริงจะมีครั้งเดียวจริงๆเลย ครั้งที่วิเศษที่สุด จะไม่มีครั้งอื่นเท่าเลย นี่เป็นเรื่องสุดยอดที่จะค่อยๆศึกษากันให้ดีๆ แล้วจะเห็นรายละเอียด นี่เป็นรัฐศาสตร์ที่ขอยืนยันว่า เมืองไทยเป็นเมืองแรกในโลก ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในโลกที่มีประชาชนทำรัฐประหาร ไม่ต้องใช้ลูกปืน ไม่ต้องใช้อาวุธเลย ไม่ต้องใช้แม้แต่ไม้หน้าสาม ที่จะต้องไปตีหัวฆ่ากันทำร้ายร่างกายกัน ไม่ แต่มีปากหอกอย่างเดียว
พูดเสียบ แต่ที่จริงพูดในสิ่งที่เป็นทุจริต มิจฉาของเขามันเสียบแทงเขา เรียกมุขสตี
เพราะฉะนั้นนายกฯประยุทธ์นี้ ไม่ได้มาทำปฏิวัติอะไรเลย บอกให้ทราบพวกที่เห่าๆอยู่นี่ ไปลงโทษว่า นายกฯประยุทธ์เป็นหัวหน้าปฏิวัติ ไม่ใช่ เป็นหัวหน้า คสช. ที่มารับตำแหน่งที่ จะต้องมาทำตามหน้าที่ในขณะนั้น อย่างสมรูปสมรอย ต่อเชื่อมอย่างสมรูปสมรอย เท่านั้นเอง พอมาทำแล้วก็พิสูจน์ตัวเองจนถึงทุกวันนี้ พูดอย่างสง่าเลย แน่นอนมีข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆ แต่อยู่ในเกณฑ์เกรด A ทั้งนั้น ขอยืนยัน อยู่ในเกณฑ์เกรด A ทั้งนั้น ไม่มีใครเลียนแบบได้อย่างนี้ทีเดียว ไม่ได้ ขอยืนยันเลย
สรุปแล้ว อยากจะให้คนที่ไม่รู้เรื่องก็ตาม พลเอกประยุทธ์ก็ตาม รู้ตัวบ้างว่าตัวเองไม่ใช่หัวหน้าปฏิวัติ ไม่ได้ทำปฏิวัติ แต่ประชาชนต่างหากเป็นผู้ปฏิวัติ แล้วพลเอกประยุทธ์มารับช่วงไม้ต่อจากประชาชน อันนี้คือสัจจะ ไม่ใช่ภาษา ไม่ใช่รูปแบบ แต่เป็นสัจจะที่เป็นนามธรรมสภาวะธรรมที่แท้จริงของประชาธิปไตย สวยที่สุด ไม่มีอะไรสวยเท่าอีกแล้ว เลียนแบบไม่ได้ง่ายๆ คุณจะไปสร้างหนัง ทำลีลาอย่างไรก็ไม่เหมือน เหตุปัจจัยทุกอย่างมันสุดยอด
ซึ่งขณะนั้นจะว่าไปแล้ว ไม่มีอำนาจอะไรของรัฐบาลเหลือแล้ว แม้กระทั่งผู้รักษาการคือนิวัฒน์ ธํารงบุญทรงไพศาล ก็ไม่มีอำนาจแล้ว เพราะโดยกฎหมายขาดจากตำแหน่งหน้าที่ทุกอย่างหมดแล้ว เป็นแต่เพียงว่า มันมีชื่อสุดท้าย อยู่เท่านั้นเอง พลเอกประยุทธ์ก็ไปต่อรูปแบบชื่อสุดท้ายว่า ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอยึดอำนาจ ซึ่งจริงๆในโลกนี้มีได้เหรอ เข้าไปแล้วก็บอกหัวหน้าคณะรัฐบาลว่า ถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจ แล้วหัวหน้ารัฐบาลก็ทำอะไรไม่ได้ ง่ายๆอย่างนี้มันมีด้วยหรือในโลก ใช่ไหม ถ้ามันไม่มีเหตุที่บริบูรณ์โดยตัวมันเอง อาตมาไม่ใช่นักรัฐศาสตร์ พูดภาษาวิชาการการเมืองไม่ค่อยเก่ง ขอให้นักรัฐศาสตร์ทั้งหลายศึกษาให้ดีๆ ไปศึกษาเหตุปัจจัยที่มันมีให้ดีๆ
โดยสภาวะจริงไม่ใช่เรื่องของบัญญัติภาษาหรือรูปแบบ หรือแม้แต่ตามพิมพ์เขียวใดๆที่มีอยู่ มันไม่มี มันเป็นชะตาของมันแท้ๆโดยเนื้อแท้ มาจากประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน โดยตรงเลย 100% แล้วก็เกิดอันนี้ เป็นกระบวนการที่เป็น relation สืบต่อกันมา เป็นตัวที่เรียกว่า continuum ไม่ใช่แค่ relation ไม่ใช่หยาบแค่ connect เป็นเรื่องที่ละเอียดเนียนต่อเชื่อมกันจริงๆเลย
สรุปก็คือ มิน่า นายกจึงมีนิคเนมว่า ตู่ เพราะคนขี้ตู่ท่าน ท่านไม่ใช่หัวหน้าเผด็จการหรือไม่ใช่หัวหน้าปฏิวัติ แต่ท่านมารับช่วงจาก ประชาชนเป็นหัวหน้าปฏิวัติ ซึ่งรวมหลายผู้หลายคน หัวหน้าหลายหัว มารวมกันเป็นหัวเดียว
ตั้งแต่หัวที่ไม่มีหัว อย่างโพธิรักษ์ โพธิรักษ์ไม่มีตัวตน แต่ก็ไปร่วมเป็นหลักยืนหยัดยืนยันไปตลอดเลยตั้งแต่ พ.ศ. 2549 และ พ.ศ. 2557 ที่พลเอกประยุทธ์จะไปรับไม้ต่อ พ.ศ. 2557 จะเป็นหัวหน้า ผบ.ทบ. หัวหน้า คสช.มาก่อนก็แล้วแต่
อาตมาต้องการพูดแยกให้ชัดเจนว่า นายกประยุทธ์ไม่ได้เป็นไปตามที่เขาขี้ตู่เลย ว่า
-
เป็นเผด็จการ นายกประยุทธ์นั่นเหรอเผด็จการ..ไม่ได้เผด็จการเลย
-
เป็นผู้ปฏิวัติ หรือเป็นผู้ทำรัฐประหารก็ไม่ใช่อีกด้วย ประชาชนปฏิวัติประชาชนทำรัฐประหาร ประหารรัฐบาลมาตั้ง 4 รัฐบาล จนถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประชาชนทำทั้งนั้น ประชาชนปฏิวัติประชาชนทำรัฐประหารเลย ประหารรัฐบาลลงไปเรียบร้อย ด้วยความสุภาพสงบไม่ใช้อาวุธ ถูกต้องตามหลักกฎหมายสากลโลกเลย สำเร็จเรียบร้อย จนกระทั่งแสดงมวล
สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็นำกำลังพลมาสมทบ มาตั้งหลักตั้งแต่ สถานีรถไฟสามเสนแล้วเคลื่อนขบวนมาสู่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พวกเราก็อยู่แล้วก็มาสมทบ พอเคลื่อนมาประชาชนก็คึกคัก รวมกันจนกระทั่งเขาว่าเป็น 10 ล้านเต็มไปหมดในประเทศไทย แล้วสุเทพเขาจบรัฐศาสตร์ด้วย ปริญญาโท ก็เลยทำอะไรได้ถนัดมือ ก็เกิดวิธีการที่เข้าท่า ก็เลยรวมพลได้ตั้งโอ้โห.. ประมาณเป็น 10 ล้านซึ่งไม่เคยมีในโลก ประชาชนมาด้วยความสงบ ออกมาช่วยกันแสดงมวล แค่นี้ก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มันสงบทั้งนั้นเลย เรียบร้อยหมดเลย มันถึงจะแสดงทั้งปริมาณของประชาชน ทั้งคุณภาพของความสงบเรียบร้อย เอาความจริงมายืนยัน ที่อาตมาออกมอตโต้ ว่า “ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมด”
ประโยคทองอันนี้ต้องเอามาศึกษาให้ดีๆเถอะ นักรัฐศาสตร์ทั้งหลาย เอาความจริงที่ว่ารัฐบาลคุณผิดอย่างไร ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณจนถึงยิ่งลักษณ์ ผิดๆๆอย่างไรไม่เหมาะสมที่จะบริหารประเทศอย่างไร เราก็ไขความจริงออกมา มีอะไรบ้าง อย่างนี้เป็นต้น เรื่องเอาความจริงกับความถูกต้อง สิ่งดีงามมาชนะสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ผิด สิ่งที่ไม่ถูกต้องทั้งนั้นเลย ไม่ได้ไปใช้เลือดเนื้ออาวุธ แต่อาวุธนั้นพวกคุณพวกรัฐบาลที่มาทำ พวกเรามีเสียหายล้มตายไป คนสงบทั้งนั้นเลยคิดดูสิ
แม้แต่ที่เราตั้งหลักทำเต็นท์ เราก็ทำกันเอง เต็นท์ต๊นท์ขาวเต็นท์เต๊นท์ใหญ่ช่วยกันสร้าง ตอนนั้นเกือบ 10 เต็นท์ใหญ่ เต็มถนน เป็นแบบอย่างที่ทำกัน คนที่ทำช่วงนั้นก็มี ตูน เป็นตัวหลักในการทำ ที่ศีรษะอโศก ช่วยกันทำ นั่นคือประเด็นที่อาตมาต้องการบอกความจริงให้ฟังว่า มันไม่ใช่เข้าใจอย่างคมชัดลึกได้ถูกต้องง่ายๆ มันต้องมีความเข้าใจ มันต้องมีความรู้จริงๆเลยว่า
คำว่า ประชาธิปไตย ที่อาตมานำมาจากความรู้ของพระพุทธเจ้าก็คือ พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) บวกกับคำว่า โลกาธิปไตย อัตตาอธิปไตย ธรรมาธิปไตย
มีคำว่าอธิปไตยมา แต่อธิปไตย 3 พระพุทธเจ้าท่านเอามาจากความเป็นโลกที่หมายถึงทุกอย่างในองค์รวมที่กว้างที่สุด อย่างเดี๋ยวนี้สื่อสารสนเทศน์ ฟ้าบ่กั้น Globalization มันก็เลยเปิดไปร่วมได้หมด ผู้ใดจะปรารถนาร่วมก็เข้าร่วมได้หมด จะอยู่ฝ่ายใดก็ได้ ร่วมกันทั้งหมดโลก เป็นยุคที่ฟ้าบ่กั้น Globalization ไม่มีอะไรปิดกั้น เชื่อมโยงกันได้หมดเลย สื่อสารสนเทศน์ มันติดต่อกันได้หมด เร็วไวด้วย อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นอธิปไตย 3 ผู้ที่มีภูมิปัญญารู้จักความกว้างคือโลก กับตัวเรา อัตตาธิปไตย ตัวเราเอง ประเทศเราเอง ร่วมกันประเทศอื่นอีก ก็มีทั้งโลก มีทั้งอัตตาที่ประสานกันด้วยธรรมะ ธรรมาธิปไตย อำนาจของธรรมะ ซึ่งบริสุทธิ์สะอาดมาก ไม่มีอธรรมเข้าไปแฝงเป็นธรรมฤทธิ์เต็มรูป เพราะฉะนั้นจึงเกิดอธิปไตย 3
เป็นอำนาจมวลประชาชนที่เต็มใจทำไม่มีอัตตา มีแต่ปัญญากับความไม่มีตัวตน เป็นเทวะคู่สำคัญคือ ปัญญากับไม่มีตัวตน เป็นคู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย เรียบร้อย ยิ่งใหญ่ สูงส่งที่สุดเลย 2 สภาวะ ปัญญากับความไม่มีตัวตน
ฉะนั้นผู้ที่เข้ามา ประชาชนก็เข้ามาด้วยความรอบรู้ว่าอันนี้ใช่อย่างไรต้องมาร่วม ตายเป็นตายบางคนก็อาจจะมีกลัวอยู่บ้าง บางคนว่าไม่มีปัญหา ตายเป็นตาย เต็มที่เลยมันถึงได้พลังรวมที่บริบูรณ์ที่สุด เกิดอธิปไตย 3 ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ทีนี้ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก), พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก), โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) นี่เป็น อายะ 3
พหุชนะ คือ ประชาชน มวลประชาชนเป็นอันมาก คนจำนวนมาก หิตะ แปลว่าประโยชน์ ผลได้ กำไร เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมา เป็นปฏิลาโภ เป็นส่วนได้ จะเรียกเป็นภาษาน่าเกลียดว่าเป็นกำไรก็ได้ เรียกว่ารายได้ก็ได้ ประโยชน์ก็ได้ เป็นสิ่งที่เกิดเป็นคุณค่าขึ้นมาเรียกว่า หิตะ เป็นประโยชน์แก่ประชาชนโดยตรง อายะ นี่แหละ ยืนยันคำว่า รายได้ ประโยชน์
คำว่า Gross ก็คือ องค์รวม รายได้องค์รวม ใน GDP
ของประชาชน นี่ เป็นประโยชน์เป็นรายได้ทั้งหมดของมวลประชาชน
พหุชนสุขายะ สุขมาเน้นอธิบายว่าเป็นลักษณะความสุข แล้วสุขที่ลึกด้วย เป็นสิ่งที่ว่างเบา นิ่ม มุทุตา อ่อน ซึ่ง สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดา ท่านแปลมุทุว่า นิ่ม อ่อน ละเอียด เป็นพลังงานที่เล็กละเอียดแววไวปราดเปรียวและมี 2 มีสภาพ 2 อย่างอยู่ในนี้
อะ อิ อุ เป็นลักษณะสระ ที่รวมสามเส้า แข็งแรงด้วยพลังเจโตด้วย
สรุปอีกทีนึงว่า สิ่งที่เขาเข้าใจพลเอกประยุทธ์ไม่ได้ยังมีอีกหลายมุม มุมที่ว่า เผด็จการนี้ยิ่งไม่ใช่ แม้จะมาเป็นหัวหน้ารัฐประหารก็ไม่ใช่ ประชาชนทำรัฐประหาร เพราะฉะนั้นในความถูกต้องก็คือ เป็นผู้ที่เป็นหัวหน้าประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์แบบ พลเอกประยุทธ์ ซึ่งไม่ใช่ว่าจะเข้าใจได้ง่ายๆว่าประชาธิปไตยโลกุตระนั้นมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน
ลองรวบรวมจากที่อาตมาแสดงเป็นกวีบ้าง…
ประชาธิปไตยดีสุดต้องโลกุตระ
มีหลักประชาธิปไตย 5 ประการ
-
ประชาธิปไตยต้องมีกษัตริย์
-
เป็นกษัตริย์เป็นประมุข
-
มีพระจริยวัตร มีการประพฤติจริง มีบทบาทจริงด้วย สืบสันตติวงศ์
-
มีทศพิธราชธรรม แล้วยิ่งสูงยิ่งละเอียด
-
ประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์ เป็นประชาธิปไตย 2 ขาคือ มีกษัตริย์กับประชาชน เรียกว่าราชประชาสมาสัย รวมเรียกสรุปอีกอันเป็นกระบวนการ 5
หากเป็นระบบที่มีขาเดียวมีแต่ประธานาธิบดี ก็จะเป็นการโกงมีวิธีการเข้าสู่อำนาจอย่างขี้โกงได้ง่าย แต่หากสืบสายสันตติวงค์ ก็จะมีทศพิธราชธรรมอย่างดี แล้วก็มีบทบาทแสดงออก ทำงานเพื่อราษฎร ปกป้องราษฎรอย่างมีเลือดและวิญญาณจริง ไม่ใช่เอาการเลือกตั้งเป็นที่ตั้ง คุณจะมีกลวิธีการมีสภาพซับซ้อนสะสมค่ายกลมาอย่างไรจนกระทั่งได้มาเป็น ประธานาธิบดี มันไม่จริงหรอกมันไม่แท้เท่าหรอก
ระบอบการปกครองของมนุษย์ เป็นระบอบที่ดีที่สุดก็ต้องมีทิฏฐิ มีกฎรัฐธรรมนูญ นี้อย่างของพระพุทธเจ้าก็มีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เรียกเป็นธรรมนูญ ในประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้ามีธรรมนูญคือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล สามหลัก เรียกว่ามีธรรมนูญ แล้วก็จะเห็นได้อย่างง่ายดายที่สุดก็คือ ในธรรมนูญของพระพุทธเจ้าไม่มีเดรัจฉานวิชา ไม่มีวิชาที่มีอาชญวิทยาเลย ใช้ศัพท์นี้แทนได้เต็มรูปเลย เดรัจฉานวิชาคืออาชญวิทยาเต็มรูป ซึ่งเขาไปเรียนสำเร็จอาชญาวิทยามา เขาจะเรียนมาเพื่อปราบพวกที่ทำอาชญากรรม แต่เขาเอาความรู้ที่มันจะอยู่เหนือพ่ายแพ้กันของวิชาการทฤษฎีอาชญากรรม มาพลิกใช้เป็นประโยชน์ตนเอง แทนที่จะใช้เป็นประโยชน์ประชาชนของทางการ ปราบอาชญากร กลายเป็นตัวเองเป็นอาชญากร ตัวควบคุมอาชญากรรมทั้งหลายแหล่ เป็นอาชญากรที่รู้ทันอาชญากรรมต่างๆ เป็นดอกเตอร์ที่เป็นอาชญากรเองเลย วันนี้บอกพฤติกรรมของคุณทักษิณที่จบอาชญวิทยามาทางดอกเตอร์นี้ชัดเจน ไม่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลอกซับซ้อน มาพูดดีพูดเห็นแก่ประชาชน เป็นผู้ที่ทำงานไม่เพื่อตัวตน แต่ทำเพื่อผู้อื่น แต่ตัวเองซับซ้อนทุกประการทั้งวิธีการทั้งการที่โกงเอาเงินเอาทอง ไปทำทั้งหมด แล้วตัวเองก็ไปเสวยสุขต่างๆนานา ไม่กล้าสู้ ขี้ขลาดด้วย
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…ในสังคมที่ควรเป็นอยู่มันเป็นกาละยุคสมัยแต่ละสิ่งๆ ในประเทศไทยตั้งข้อสังเกต ถ้าเราเป็นคนดีแล้วมีสิ่งแรงมากระแทก ทำให้คนดีแสดงความดีได้เต็มที่
พ่อครูว่า…ดูจากบทกวีที่เขียนตั้งแต่ พ.ศ. 2561
“ประชาธิปไตยไทยนิยม”คือไฉน?
(1) “ไทยนิยม”นั่นไซร้ ไฉนใด
เป็น“ประชาธิปไตย” ชัดแท้
มีอัตตลักษณ์ใน ใจลึก กันเฮย
จึงยากที่จักแก้ เปลี่ยนเชื้อ“นิยม”เดิม
(2) แต่มาเสริมรูปให้ หลงสมัย
ปรุงแต่งกันออกไป ซ่านฟุ้ง
เพื่อลบ“ราก”จากไทย นั้นไป่ ได้เลย
“เศรษฐกิจ”ชาติเรื้องรุ้ง เลิศแล้ว“ไทยนิยม”
(3) ไทยคมค่าพุทธด้วย “วิญญาณ”
ยิ่งกว่า“ยีน”สืบสาน ชาติเชื้อ
“ฝังรากจิต”ไทยจาร โลกุตร มาแฮ
“อธิปไตย”ไทยเอื้อ ประเทศไว้เป็น“ไท”
(4) ใครบ่แจ้งสัจจ์แท้ ว่าพุทธ
นั่น“ประชาธิปัตย์”สุด วิเศษแล้ว
แต่บ่ชัด“โลกุต- ระ”เลอะ เองพ่อ
จึ่งออกนอกทางแคล้ว คลาด“เนื้อพุทธ”ไป
(5) ชาติไทยมีผ่านเผ้า ทรงวัตร
พระจริยะยืนสัตย์ ยิ่งไซร้
“ประชาธิปไตย”ชัด ตามหลัก พุทธเลย
“ไทยนิยม”จึงได้ อยู่ยั้งยืนยง
(6) ผู้หลง“ต่างชาติ”ล้วน 17 ก.พ. 2561
[วรรณะเก้า* ได้แก่ สุภร,สุโปส,อัปปิจฉ,สันโดษ,สัลเลข,ธูต,ปาสาทิก,อปจย,วิริยารัมภ]
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 332 ประจำเดือนมีนาคม 2561]
พ่อครูว่า…คานธีเอาสัตย์ นี้ไปใช้ เรียกว่า สัตยาเคราะห์
เรื่องกรรม
-
กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
-
กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)
-
กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
-
กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)
-
กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 581)
ประชาธิปไตยไทยไม่ใช่ทุนนิยม
กรรมของเรากำหนดตัวเรา ไม่มีพระเจ้าที่ไหนมากำหนด เป็นกรรมพันธุ์ แล้วอาศัยกรรมของตนเป็นกัมมปฏิสรโณ ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าจึงประชาธิปไตยที่ลึกซึ้งที่สุด
คนไทยมีเชื้อโลกุตระ คือมี bomb of love ในหลวง ร.9 คือยอดนักประชาธิปไตยเป็นที่รับรองของโลกเลย เมื่อท่านสวรรคต พลังรวมมาเห็นได้ชัดเจนเลย นี่แหละคือสิ่งที่ไอน์สไตน์เขียนจดหมายบอกลูกไว้ ว่า ต่อไปลูกจะได้เห็น bomb of love จะเห็นระเบิดของความรัก ความรักมันระเบิดออกมาอย่างมหาศาล รักอะไร รักสิ่งที่เขารัก เขารักในหลวงร.9 ไม่ใช่ญาติโกโยติกาแท้ของเขาทางสายเลือดเลย แต่รักสุดยอดยิ่งกว่าพ่อแม่ แสดงออกเต็มรูป ถึงเรียก ระเบิดแห่งความรัก ซึ่งไอน์สไตน์เองก็บอกกับลูกว่าไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ถึงได้เขียนจดหมายฝากทิ้งไว้ ก็มารับรองสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ในเมืองไทย พระมหากษัตริย์ของไทย เป็นไปได้จริง เมื่อสิ้นพระชนม์ คนไทยมาจากไหนก็ไม่รู้ มาแสดงตัวจริงใจจริงจัง สุดรักสุดบูชา เสียของที่สุดยอดหายไป คือสิ่งจริงไม่มีใครเสแสร้ง ไม่มีใครวางแผน ไม่มีใครบอกใครแต่เขาเป็นของเขาเอง มันเป็นสัจธรรมที่แท้ เป็นสิ่งที่ลอกเลียนแบบไม่ได้ เสแสร้งทำไม่ได้ มันเป็นสัจจะแห่งสัจจะเลย สุดยอด
ท่านทรงงานถ่ายทอดพฤติการณ์ของท่าน มาให้ ประชาชน จนคนไทยบอกว่าจะทำตามศาสตร์พระราชา ทุกวันนี้ยังพูดกันอยู่และจริงใจจะทำให้ได้ นี่คือสัจจะของจริงในโลกมีในประเทศไทยเกิดจริงเป็นจริง เป็นประชาธิปไตยชัดตามหลักพุทธเลย ไทยนิยมจึ่งได้ อยู่ยั้งยืนยง
ทุนนิยมในไทยก็คาคอ ไม่สามารถยิ่งใหญ่ได้ เพราะอย่างน้อยในหลวง ร.9 บอกว่าต้องมาเอาแบบคนจน ต้องไปอ่านหนังสือ แบบคนจน ที่อาตมาเขียน ซึ่งก็คงจะเข้าใจยาก ในเรื่องว่าจะมาอยู่อย่างไร ก็ต้องมาอยู่แบบชาวอโศกแบบคนจน พวกเรามาเป็นคนจนจริงๆแล้วก็ลดลงๆ จนกระทั่งอยู่ได้อย่างนี้ เอาไปเปรียบเทียบไปวัดกับกลุ่มไหนในโลก หรือกลุ่มอื่นๆของประเทศไทยก็ได้หรือในโลกก็ได้ อยู่กันอย่างไร จนแบบไหน ก็จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ จนอย่างยิ้มย่องผ่องใส จนอย่างขยันหมั่นเพียร จนอย่างเสียสละออก มันจึงจน ก็ทำได้มากๆแล้วเอาไว้แต่น้อย ให้หมุนเวียนได้เท่านั้นเอง นอกนั้นก็สละแจกจ่ายไป แล้วไม่กลัวจน เพราะมั่นใจว่าพลังงานและความสามารถของเรา มีพอ ที่จะทำงานเกินกว่าที่เรากินใช้แล้วไม่ยึดถือเป็นของตัวเอง เอาไปรวมกับกองกลาง ช่วยกันบริหารส่วนกลางเผื่อแผ่ผู้อื่นๆ มันสุดยอดเศรษฐศาสตร์เลย
ทีนี้ ไปนิยมทุนนิยม เศรษฐกิจเลยเตี้ยตื้น ซึ่งไม่ใช่ไปด่าเขานะ ไม่ได้ใส่ความเขานะ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆเลย เพราะฉะนั้นประเทศไหนที่มีคนรวยมากๆ ประเทศนั้นคือประเทศที่เสื่อม หรือแม้แต่ประเทศเองก็มีทุนกองกลาง รวยเกินไป รวยกว่าเขาจนกระทั่งไม่หาทางสะพัดออก ถ้าหากจะสะพัดออกก็ต้องมีการแลกกลับเข้ามาเป็นทุนเป็นกำไร อย่างนี้มันหัวทุนนิยม ไม่ใช่หัวบุญนิยม ซึ่งมันตกยุคแล้ว
แม้แต่ปัญญาชนในโลกทุกวันนี้เขาเข้าใจแล้วว่า ไม่ดี เอาเงินไปฟาดหัวคนนี่ไม่ดี นี่ง่ายๆตื้นๆ ใช้อำนาจเงินเบ่งข่มไม่ดี รู้กันทั่วโลกแล้วในระดับปราชญ์ แม้แต่ในผู้รู้ กิเลสตัวเองหนาแต่รู้แล้ว ตัวเองก็เลยต้องเอามากอยู่ ทั้งๆที่รู้แล้วแต่มันยังลดกิเลสไม่ลง ลดกิเลสไม่ได้ มันก็เลยต้องเป็นจริงอย่างนั้น คนที่กิเลสมันลดจริงๆ แล้วรู้ดีด้วยก็จะสมบูรณ์ด้วยทั้งรู้จริงและทำได้จริง กิเลสน้อยจริงตัวเองก็รู้จริงชัดเจนจริง จึงอยู่ในจำนวนที่ยังไม่มากนัก แต่ไม่มีปัญหา แต่อาตมาว่าอันนี้แหละเป็นคุณธรรม เป็นค่าของมนุษยชาติ จะได้รับความนิยมความก้าวหน้าต่อมาเอง เพราะฉะนั้นเมื่อหลงผิดไปหลงทุนนิยมจึงมีเศรษฐกิจเตี้ยตื้นอยู่อย่างนั้น ไทยนิยมจะคมลึกด้วยความจน วรรณะเก้าแบบยอดคนสละได้ เราจะได้มาพูดกันที่คำว่า วรรณะ9 นี่ให้ดู
ไม่โง่งกพาตนต่ำตก แสวงรวย หยุดจริงๆจะแสวงรวย พอไม่รวยขณะนี้ผู้รู้แล้วยังรู้เลยว่า ยังสะสมยังรวยอยู่ แต่เพราะเขาไม่กล้าก็ว่าไป
ประชาธิปไตยที่มี อายะ 3 พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
“อธิปไตย”จักเกิดจาก“ธรรมาภิบาล”
(1) อ่านพุทธประวัติต้อง แตกฉาน
จับแก่น“ธรรมาภิบาล” แม่นได้
“ธรรมาธิปไตย”ขาน กันอีก คำแฮ
แจ้งชัดสัจจะไซร้ ต่างขั้นกันไฉน
(2) “อธิปไตย”อำนาจนี้ คือพลัง
โลกิยะหลงกันจัง ชอบสร้าง
“ใส่ตน”ทุกเล่ห์หวัง “อำนาจ..
..บาตรใหญ่”ใน“โลก”กว้าง เก่งด้วย“อัตตา”
(3) แต่“ธรรมา”นั้นแตก ต่างนัย
ทั้ง“อภิบาล-อธิปไตย” *วิกัติล้ำ
สำคัญสุดขานไข รู้ยาก ยิ่งแล
ปุถุชนถูกกิเลสขย้ำ อสัตย์ล้วนเลวลึก
(4) หากศึกษา“โลก”ทั้ง “อัตตา”
โลกุตระ-โลกิยา แยกได้
จึ่งชัดทุก“ธรรมา” ตามพุทธ ศาสตร์แฮ
ว่า“อธิปไตย”นั้นไซร้ จากผู้“อภิบาล”
(5) อย่าพาลสร้าง“อำนาจ”ไสร้ ใส่“ตน”
ประชาชาติแต่ละคน จักให้
แก่เราที่เขายล เป็นสิทธิ์ ประชาเอง
หน้าที่เราใช่ใช้ “อำนาจ”ล้น“ตนมี”
(6) ที่แท้ต้อง“รับใช้ ปวงชน”
“อธิปไตย”ถ้าคน อยากได้
อ่อนน้อมถ่อมตัวตน เสียสละ แท้เทอญ
หาก“อภิบาล”วิสุทธิ์ให้ วิศิษฏ์แล้วจริงเลย
(7) คนไทยเคยสัมผัสซึ้ง ตรึงตรา
จริยวัตรพระราชา ที่เก้า
“อภิบาล”สุดวิเศษหา ใดเปรียบ ได้ฤา
เกิด“อธิปไตย”ผ่านเผ้า เทิดเกล้าคนสยาม
“สไมย์ จำปาแพง” 28 ก.พ. 2561
[*วิกัติ=ชนิด,อย่าง;การประดิษฐ์ทำ;การจัดทำให้เป็นแบบต่างๆ]
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 332 ประจำเดือนมีนาคม 2561]
พ่อครูว่า…พวกที่ออกมาเย้วๆ มันน่าสงสาร เขาไม่รู้ถึงคุณวิเศษของในหลวง ร.9 เมืองไทย มีตัวอย่างของทางผู้งมงายก็พอมีตัวอย่างให้เห็น ก็ตัวอย่างดิ้นกันไปก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเป็นจริงที่เขาเองมีความคิดมีภูมิธรรมเท่านั้น เขามีธาตุรู้ของเขา ความรู้มีภูมิธรรม จะเรียกภูมิธรรมก็ได้แต่ไม่เป็นธรรมเท่าไหร่หรอก เขาก็เป็นอย่างที่เขาเป็น
สรุปว่าเมืองไทยจะเป็นตัวอย่างที่สุดยอดที่สุดเลย เรื่องของการบริหารประเทศก็ดีเศรษฐกิจก็ดี ทำให้เกิดสังคมที่เป็นสังคม ที่สุดยอดก็ดี ยังเหลือแต่ว่ามันจะดียิ่งขึ้นตรงที่พวกเรามาพยายามศึกษา เอาสิ่งที่เรามีตัวอย่าง จะเป็นในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานมา 70 ปีเป็นตัวอย่าง ของท่านทำรูปธรรม แล้วของอาตมาพาทำ อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า ในหลวงท่านก็เป็นโพธิสัตว์ทำตามอย่างพระพุทธเจ้า แต่ท่านทำอย่างเป็นรูปธรรม อาตมาทำอย่างนามธรรมซึ่งต้องรับแบกหามมากกว่า ทำทางนามธรรมนี้ยาก ละเอียดบางเบาจับต้องไม่ได้ด้วยแล้วมันลึกซึ้งละเอียดซับซ้อน มีสิริมหามายา ยากกว่าที่จะรู้ ของในหลวงยังรู้ชัดที่รับใช้ประชาชนช่วยเหลือกันเห็นนั้นง่าย แต่ของโพธิรักษ์นี้ คนยังข้องใจสงสัยโพธิรักษ์ก็มีอยู่อีกเยอะ สงสัยว่ามันพูดอวดตัวตนจะจริงหรือ พูดอย่างนี้มันขัดแย้งอยู่นะจะมาอย่างไร จริงๆพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ท่านตรัสว่า มาเอาแบบคนจน ขาดทุนของเราต้องเสียสละช่วยเหลือประชาชน ท่านก็ตรัสในเชิงของท่าน แต่อาตมาลงถึงเนื้อหาความรู้ ถ้าอยากจะรู้ว่า ความจนนี้มันมีกระบวนการสูตร 9 ข้อของพระพุทธเจ้า ทำความเข้าใจให้แตกฉาน
9 ข้อของวรรณะ 9
-
เลี้ยงง่าย (สุภระ)
-
บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
-
มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ)
-
ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
-
ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
-
เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
-
มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
-
ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ๙
-
ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)