640303_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1uZeV3jDSbDJ5QnsmhnnQ_MizLUYnq5rnlKgD_wtNnSo/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1aNg-lXYzPFTeTtkK5izFOUfsTjlrHdAd/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/uMLdkjmG1Jo
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก แรม 5 ค่ำเดือน 4 ปีชวด เราเพิ่งผ่านงานพุทธาภิเษกครั้งที่ 45 เท่ากับพระพุทธเจ้าเผยแพร่ศาสนามาพอดีๆ เท่าที่ได้สรุปกันฟังทั้งฆราวาส สมณะ ว่าพ่อครูเทศน์ตอนทำวัตรเช้า 06.00 น.กำลังดี ไม่รีบเร่งมากแต่เขาตั้งข้อสังเกตว่าพ่อครูเทศน์ 1 ชั่วโมงครึ่ง กำลังดี แต่ถ้าเกินมา 15 นาทีกำลังเหมาะ แต่ถ้า 2 ชม. เกินกำลังไป ก็ต้องการรักษาร่างกายพ่อครูให้อยู่ได้นานที่สุด เพราะพ่อครูเป็นนักขับรถมือฉมัง เหยียบคันเร่งมิดเลย แต่รถของพ่อครูเก่าแล้ว เราก็รักษารถคันนี้เพื่อให้อยู่กับพวกเรานานๆขึ้น งานพุทธาภิเษกฯที่ผ่านมาไม่มีรายการเทศน์ก่อนฉัน ไม่มีรายการเทศน์ภาคบ่ายถือว่าดี ตอนบ่ายมีย่อยธรรมะดีกว่า ส่วนรายการภาคค่ำ ระบบออนไลน์ มี 2 ประเภท แบบสดกับแบบแห้ง แบบแห้งเหมาะกับคนหมดแรง นอนฟังได้ แต่แบบสดก็ตื่นเต้นดี ได้ลุ้นแต่ละที่ อาตมาว่าการสัมภาษณ์ปฏิบัติการแบบออนไลน์นี้ดีมีองค์ประกอบให้ดูเยอะ แต่ถ้างานมาอยู่ที่นี่ทั้งหมด องค์ประกอบมีน้อย ไม่เห็นรูปธรรมมาก
ส่วนกระบวนการกลุ่ม เป็นผลดีมากในการทำงานการปฏิบัติธรรม มีทั้งเด็กผู้ใหญ่และนักบวช ออกมาหมด คนที่ไม่ออกคือคนที่เป็นลูกหมูเหลือนม ถ้าไม่พัฒนาตอนนี้จะตกภพจะยากเพราะเป็นยุคที่ดันออกมา ทุกคนต้องออกมาพัฒนาตัวเอง เห็นการพัฒนาการ อย่างเด็กสมุนพระรามได้ตั้ง 70 กว่า % เขาตอบอัตนัยได้มากด้วย งานพุทธาฯออนไลน์ครั้งนี้ เป็นการพัฒนาทั้งรูปธรรมและนามธรรมได้ดี
พ่อครูอ่าน SMS ต่อจากวันก่อน
คำว่าบาปกับวิบากต่างกันอย่างไร
_ธิดา : คำว่า บาปกับวิบากแตกต่างกันอย่างไรคะ
พ่อครูว่า…บาปคือกรรมที่ทำลงไปประกอบด้วยกิเลส กิเลสที่ประกอบด้วยกรรม เรียกว่ากรรมสำเร็จเป็นบาป บาปเป็นวิบากของกรรม เป็นผลของกรรมที่ทำแล้วมีกิเลสร่วม ก็เลยเป็นบาป บาปคือผลของกรรม ถ้ากรรมที่ทำแล้วไม่มีกิเลสร่วม การกระทำไม่มีกิเลสร่วมไปกับกรรมนั้น กรรมนั้นก็ไม่มีวิบากไม่เป็นบาปเป็นบุญ มันดีที่สุด ไม่เป็นบาปไม่เป็นบุญโดยไม่มีกิเลสร่วม
ที่นี้ผู้ที่เจริญยิ่งกว่านั้นอีก นอกจากทำกรรมไม่เป็นบาปไม่เป็นบุญแล้ว ทำกรรมให้เป็นกุศล ทำกรรมให้มันดียิ่งๆขึ้น สามารถจัดการกับจิตตัวเองได้ จนจิตตัวเอง ไม่มีกิเลสเข้าไปร่วมเลย เป็นอรหันต์ เมื่อจิตไม่มีกิเลสเข้าไปร่วมเลย จิตก็สะอาดบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นกรรมก็จะมีแต่กรรมที่ไม่มีบาปไม่มีบุญด้วย เพราะว่าบุญคือพลังงานที่ฆ่ากิเลส เมื่อฆ่ากิเลสเสร็จก็ไม่มีบุญอยู่ที่ไหนอีก ซึ่งต่างจากกุศลที่เป็นคุณงามความดีที่ไม่เป็นโลกุตรธรรม
คนไม่มีความรู้ไม่เกิดหรอกบุญ ทำบุญไม่สำเร็จ ไม่มีปัญญาที่เป็นโลกุตระ ไม่สามารถทำจิตให้เกิดบุญ คือ จิตทำให้เกิดการลดละกิเลสได้จนกิเลสหมด บุญจึงเป็นอาวุธฆ่ากิเลสที่สำคัญ เดี๋ยวนี้มันฟั่นเฝือ คำว่าบุญก็กลายเป็นกุศลไป ไม่รู้จักนิยามความหมายของบุญแท้ๆ
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครู ท่านสมณะและสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ โยมอยู่บ้านไม่ได้เข้าสอบ วันนี้มานั่งฟังท่านสมณะเฉลยข้อสอบ โยมได้ประโยชน์มากค่ะ เหมือนได้ฟังเทศท์เลยค่ะ เอาประโยชน์จากข้อที่ถูก กราบนมัสการค่ะ
ทำใจอย่างไรเมื่ออยู่กับแม่ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์
_จาก สิรินภา ลำพูน : ครอบครัวดิฉันมี 4 คน คือพ่อแม่ดิฉันและน้องชาย ต่อมาน้องชายเสียชีวิตตั้งแต่อายุน้อยๆด้วยอุบัติเหตุ หลายสิบปีต่อมาพ่อก็จากไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บไปอีกคนหนึ่ง
ในครอบครัวของเราจึงเหลือแม่และดิฉันเพียง 2 คน ภายหลังแม่เริ่มเป็นอัลไซเมอร์กระทั่งถึงทุกวันนี้แม่จำดิฉันไม่ได้ เวลาที่หาเงินไม่เจอ(เพราะลืมวางไว้ตรงนั้นตรงนี้)ก็จะบอกว่าดิฉันขโมยไป ดิฉันจึงบอกว่าดิฉันเป็นลูกแม่ แม่ตอบว่าไม่ใช่ เพราะลูกของแม่ตายไปนานแล้ว
อีกอย่างหนึ่งแม่เป็นคนขี้โมโหเป็นปกติอยู่แล้ว ถึงเวลานี้ก็ยิ่งมีความช่ำชองในการแสดงอารมณ์โกรธออกมาได้มากมายจริงๆ
นอกจากการร้องไห้เป็นกิจวัตรแล้ว ดิฉันไม่ทราบจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ขอความกรุณาหลวงพ่อให้ทางออกกับดิฉันด้วยเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ก็น่าสงสารเนาะ คุณก็เรียนรู้ความจริง แม่คุณนั้นสมองมันผิดปกติแล้วสมองไม่ดีแล้วเราก็ต้องรู้ความเสื่อม ความไม่ปกติของสมอง ก็ย่อมทำอะไรต่ออะไรที่มันเป็นดังที่ใจเราเจตนาว่าเป็นอย่างนี้ไปทำไม ตามที่จิตของเราคิดไม่ได้หรอก มันก็ต้องเป็นอย่างที่แม่เขาเป็นกับเรานั่นแหละ แม่คงไม่อยากจะเป็นอย่างที่ท่านเป็นหรอก ใช่ไหม แม่ก็อยากจะเป็นปกติดีๆเหมือนคนสามัญทั่วไปทั้งหลาย แต่มันเป็นแล้ว คุณก็ต้องเข้าใจความจริงอันนี้ ซึ่งมันสุดวิสัย เมื่อเข้าใจอันนี้ดี คุณจะเฉยๆ คุณจะไม่ประหลาดอะไร แล้วคุณก็จะไม่มีจิต..ทำไมแม่เป็นอย่างนี้ อยากให้เป็นอย่างนี้ มันก็จะเกิดการไม่ปกติ จิตมันก็ดันไปดันมามันก็ทุกข์ ก็เข้าใจความจริงตามความเป็นจริงให้ได้ว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นไปได้สารพัดแล้วมันก็มาเกิดกับตัวเรา ใกล้ชิดติดอยู่กับตัวเรา ก็ต้องรู้ชัดเจนว่านี่แหละคือวิบาก คือสิ่งที่เราไม่อยากได้เลย แต่มันก็เกิดอยู่กับเรามันเลี่ยงไม่ได้ เป็นสิ่งที่ต้องจำนนจะต้องรับทำหน้าที่กับสิ่งนี้ไปตามควรที่สุด ทำดีที่สุดควรที่สุดเท่าที่ได้ เราต้องชัดเจนว่าอันนี้มันบกพร่อง อันนี้มันเสื่อม อันนี้เป็นไปอย่างนี้ อันนี้ปกติดี อันนี้เกินกว่าปกติ อันนี้แย่กว่าปกติ ไม่สามารถทำอะไรได้เกินกว่านี้เราก็รับสภาพนั้นไป ซึ่งมันไม่เสียหายหรอก รับสภาพนั้นไปให้มันดูเหมาะควร อะไรไม่ดีเราก็ทำให้สมบูรณ์ขึ้น อะไรที่มันเกินก็ทำให้พอเหมาะพอดีอย่างนี้เป็นต้น มันจะได้เรียนรู้ว่า กรรมกิริยาต่างๆ ที่มันมีอยู่ในโลกมันมีอยู่ในสมมติ ในมนุษยชาติ มันก็เป็นอย่างนี้ คนอื่นเขาก็มีของเขาต่างไป บางคนอาจจะหนักกว่าเราอีก แต่เราก็หนักหน่อย คนทั่วไปเขาไม่มีก็เพราะเขาไม่มีวิบากนี้ก็เป็นของเขา แต่ของเราต้องมีวิบากนี้ก็ต้องจำนน เราจะไปปฏิเสธว่าอันนี้ไม่ใช่แม่เราไม่ได้ มันปฏิเสธไม่ได้ อันนี้มันเป็นความจริงที่มันต้องจริงปฏิเสธได้อย่างไร เพราะแม่จริงๆ ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงนี้ ดีนะบางคนเขาไม่ได้เป็นแม่เป็นพ่อจริง แต่เขาจะต้องรับ มีเช่นนั้นเหมือนกันนะเขาจะต้องรับภาระนี้ ก็ต้องจำนนรับ คนที่เขาจิตใจดีเขาก็รับโดยไม่เกี่ยงว่าแม้ไม่ใช่แม่พ่อเราจริงๆ เห็นไหม ก็ยังมีเลย คุณมีแม่จริงๆอย่างนั้นก็ให้ทำใจยอมรับ
_ธรรมกระจาย บุญยัง : กระผมขอกราบเรียนถามว่า
-
ระหว่างคำว่า นิโรธ วิมุติ นิพพาน และคำว่ารู้จริง รู้แจ้ง รู้จบ จะเรียงจับคู่ดังนี้
นิโรธ – รู้จริง วิมุติ – รู้แจ้ง นิพพาน – รู้จบ
พ่อครูว่า…ก็ใช้ได้
อนุสัยกับพลังงานบุญ
-
อนุสัย ไม่ต้องอาศัยพลังงานบุญแล้ว แล้วจะละได้อย่างไร
พ่อครูว่า…อนุสัยเป็นเรื่องลึกซึ้งมากเลย
อนุ กับ สยะ
สยะ คือตัวเรา ตัวตนของเรานี่มันมีสิ่งที่เล็กๆ อนุ อณู เป็นพลังงานเล็กๆที่ติดอยู่กับตัวเรา จะว่าเล็กหรือละเอียดก็ได้ ที่คนจะรู้มันได้ยาก เมื่อมันเป็นลักษณะของกิเลส กิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ที่ละเอียดเรียกอนุสัย เป็นตัวปลาย
ทีนี้เมื่อหมดกิเลสแล้ว หมดอนุสัยแล้ว แต่เรายังมีสยะ อณูของสยะ อาศัย ในชีวิตที่เรายังไม่ตาย อันนี้แหละ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครจะพูดกันเท่าไหร่ แต่อาตมาจะพยายามพูด เพราะมันเป็นเรื่องมีจริงที่มนุษย์จะต้องอยู่ เพราะว่าสิ่งที่ต้องอาศัยเป็น อนุสยะ
ผู้ที่ไม่ได้ศึกษา ก็ไม่สามารถที่จะอาศัยขั้นนี้ได้ ขั้นอนุสยะ ก็ได้แต่อาศัย ตัวตน ที่มีกิเลส หยาบ กลาง ที่เหลือน้อยละเอียดนั้น ไม่มีทางเข้าถึงไม่มีทางทำได้ เพราะหยาบคุณก็ไม่ได้เรียนรู้ หยาบคุณล้างแล้ว เหลือกลางกับอนุสยะ ก็เรียนรู้ตามต่อ ขนาดกลาง เรียกปริยุฏฐานกิเลส
กิเลสต้นทำล่วงไปแล้วเรียกวีติกมกิเลส วีติกมะ แปลว่าล่วงพ้นไปแล้ว ผู้ที่สามารถเป็นผู้ที่มีกิเลสเหลือ เรียกว่า ปริยุฏฐาน คือกิเลสที่เหลือ ก็จะเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างน้อย ก็ล้างกิเลสที่เหลือต่อ ปัญญา ของพระโสดาบันข้อที่ 1 ที่บอกว่า
พระโสดาบันมีปัญญาคือ รู้จักปริยุฏฐานกิเลส เพราะได้รู้จักกิเลสเบื้องต้นแล้วทำล่วงผ่านไปแล้ว คือวีติกมกิเลส จึงมีปัญญารู้จักสภาพนี้ ถ้าไม่ใช่โสดาบันไม่มีสิทธิ์ที่จะไปรู้จักปริยุฏฐานกิเลส เพราะกิเลสหยาบมันคลุมไปหมด คนไปนั่งหลับตาดับกิเลสตัวปลาย ซึ่งมันเป็นโมฆะไม่ได้เรื่องอะไร นั่งหลับตาแล้วเข้าไปทำอะไรกับกิเลสภายใน ศาสนาพุทธไม่ได้อาศัยการหลับตาปฏิบัติ ต้องลืมตารู้ในสิ่งที่หยาบแล้วออก เอาข้างนอกออกก่อน สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งภายนอกแล้วกิเลสก็ไม่มีแล้ว เหลือกิเลสขั้นกลางคือปริยุฏฐานกิเลส ก็ค่อยไล่ต่อไป
แม้เป็นพระโสดาบันขั้นกลางก็ยังมี หยาบ อบาย ที่แย่กว่าเพื่อนหมดไปแล้วก็ขั้นกลาง ภายนอก สกิทาคามีเหลือภายนอกอีกเหมือนกัน หมดภายนอกเป็นอนาคามี
พูดถึงสายหลับตาทีไรแล้วก็น่าสงสาร ไม่รู้จะทำอย่างไรเขาไม่ประสีประสาเหมือนเด็กดื้อ นอกจากดื้อแล้วยังตาบอดหูหนวกอีก พูดทีไรก็ไม่ได้ยิน ทำให้ดูอย่างไรก็ไม่เห็นแล้วก็งมงายอยู่กับที่ตัวเอง ยึดอย่างเดิม มันน่าสงสาร ไม่รู้จะทำอย่างไรพวกหลับตาปฏิบัตินี้ จะได้ตื่นขึ้นมา มีมรรคผลมีธรรมะมีสิ่งที่ตัวเองก็ต้องการ เสียเวลาเป็นชาติๆ หลายคนก็มาตั้งแต่เด็กจนแก่ จริงๆน่าสงสารจริงๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร นี่พูดด้วยใจจริงนะไม่ได้เกลียดชังเลย เห็นเป็นคนดี เจตนาดี ปรารถนาธรรมะจะไปชังได้อย่างไร แต่ดื้อก็น่าสงสาร ก็ได้แต่พูดซ้ำซากจ้ำจี้จ้ำไช อยู่นั่นแหละ ก็ไม่รู้จะทำยังไงได้แค่นี้
ด็อกเตอร์ทางโลกุตระที่แท้จริงต้องลงมือทำไม่ใช่เอาแต่คิดกับพูด
_ทำไม ด็อกเตอร์โลกุตระที่ส่งไปเรียน ด็อกเตอร์แต่ละคน มีแต่ฟุ้งซ่านกันทั้งนั้น คิดทำโน้นทำนี้ ทำให้เราทุกคนปวดหัวกันนะคะ น่าจะทำตัวให้คนอื่นเขาเคารพและศรัทธาหน่อยค่ะ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่น่านับถือก็น่าจะดีนะคะ (มี ด.ช.ดีดี มาส่งเสียงดังกระโดดข้างเวที) เด็กที่นี่ก็อิสระเสรีภาพแสดงออก
พ่อครูว่า…ก็ตอบได้ว่า ด็อกเตอร์ก็ฟังไว้ มันมีอะไรที่บอกว่ามีแต่ฟุ้งซ่านมันก็เป็นอย่างไรมีแต่โครงสร้าง คิดทำโน่นทำนี่ ก็คนคิดทำโน่นทำนี่มันก็ดี มีอะไรแฝงๆอยู่ที่คิดทำโน่นทำนี่ ทำให้เราทุกคนปวดหัวกันนะคะ ก็คงได้แต่คิดแต่ ด็อกเตอร์ไม่ทำ คิดให้คนอื่นทำ อันนี้อาตมาว่ามีนัยแฝงตรง ถ้าด็อกเตอร์คิดทำแล้วก็ลงมือทำ ใครมาช่วยเราก็ทำ เพราะว่าเราเห็นว่าดีเราก็ทำ ถ้าอย่างนี้ด็อกเตอร์อย่างนี้จะไม่เกิดคำถามอย่างนี้เลยอาตมาว่า ที่อาตมาให้ไปเรียนด็อกเตอร์มานี้ ไม่ต้องการเอาตำแหน่งด็อกเตอร์ไปตีราคากับโลกเลย แต่ให้เป็นด็อกเตอร์มาเพื่อที่จะให้รู้ว่า ไอ้โลกนี้เขายกย่องกันนักหนา ด็อกเตอร์ๆ คนอย่างพวกเรานี้ ก็เรียนได้วะ เพราะฉะนั้นเรียนมาแล้วก็ทิ้งไปอย่างนั้นแล้วก็มาทำงานของเราไปนี่ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ..สุดยอดเลย เป็นแต่เพียงว่า ไอ้อย่างคุณ เราไม่มีปัญหาหรอก เราทำได้ แต่อย่างเรานี้คุณทำไม่ได้ จบ เป็นด็อกเตอร์มาก็ทำอย่างนี้ไม่ได้ แต่ถ้าเกิดของเราทำอย่างนี้ได้ แต่อย่างที่คนคนนี้พูด มันจะกลายเป็นด็อกเตอร์ทางโน้น อันนี้ก็น่าเสียดาย เอ้าฟังไว้ จะแก้ไขปรับปรุงตัวเองอย่างไร ก็เอา
จริงๆแล้วนี่ ไอ้เรื่องลงมือทำงานกับเอาแต่คิดกับพูด โรคที่น่ารำคาญที่สุดคือ เอาแต่คิดกับพูด แต่คนทำงานนี้ไม่น่ารำคาญเท่าไหร่ พูดไม่เป็นเลย คิดก็ไม่ค่อยเก่ง แต่ทำได้ สิ่งที่เขาทำได้นั้นเขาก็ทำได้ สิ่งใดเขาทำไม่ได้ทำเสียๆหายๆ คุณรู้คุณก็บอกเขาแล้วก็ช่วยกันทำ มันก็จะเจริญ ยิ่งคนไม่ได้เรียนอะไรมาก เขาก็ทำตามที่เขาทำได้ ก็ดีแล้ว แต่ไอ้เรียนมากๆ แล้วไม่ได้ทำอะไรได้เลยนี่ คิดเอาเองก็แล้วกัน
sms วันที่ 1 มี.ค. 2564
_คนสู้ สุดใจธรรม : น้อมกราบนมัสการพ่อท่านครับ เด็กถามคำถาม แต่เหมือนโดนด่าทุกคำเลยครับ สาธุครับ
พ่อครูว่า…ก็ดี เป็นการสำนึกในตัวเอง เป็นประโยชน์
เอาอาหารไปเลี้ยงสัตว์หรือคนจะได้บุญอย่างไร
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : คนที่ชอบเอาอาหารเลี้ยงสัตว์ กับเอาอาหารมาเลี้ยงคน อย่างไหนได้บุญกว่ากันครับ
พ่อครูว่า…คำว่าได้บุญ คุณจะเอาอาหารไปเลี้ยงสัตว์หรือคนก็ตาม จะได้บุญหรือไม่ก็อยู่ที่จิตของคุณมีกิเลสมั้ย กับการเอาอาหารไปเลี้ยงคนหรือเลี้ยงสัตว์ ผู้มีกิเลสกับการเอาไปเลี้ยงมั้ย เอาไปเลี้ยงแล้วคุณก็ต้องการจะได้การเคารพนับถือ ได้รับการยอมรับ ให้เขาถือว่าเป็นบุญคุณอะไรก็แล้วแต่กิเลส ต่างๆนานา คุณมีไหม นั่นคือคุณรู้แล้วคุณก็อย่าทำอาการใจของคุณ ให้ไปอยากได้อย่างโน้นอย่างนี้ เอาไปเลี้ยงเขาคุณก็เลี้ยงเขา ให้เขาได้รับประโยชน์นี้ ก็จบในตัวไม่มีสาเปกโข ไม่มีความหวังเจตนาเกิดต่อ เจตนาแต่เพียงให้แล้วจบในตัวเอง เจตนาให้เขาได้รับเป็นประโยชน์เหมาะสม สัตว์ก็เหมาะสมกับอาหารอันนี้ คนก็เหมาะสมกับอาหารอันนี้ เรามีเราก็จะช่วยเขาเราก็ไปให้ ก็จบ
จะได้บุญมากหรือบุญน้อยกว่ากัน ก็อยู่ที่ตัวเองปฏิบัติละกิเลสเป็นหรือไม่เป็น ถ้าละกิเลสไม่เป็นก็ไม่ได้บุญสักอย่าง ถ้าละกิเลสกำจัดกิเลสขณะทำการเอาอาหารไปเลี้ยงสัตว์หรือคน คุณทำแล้วก็ทำใจในใจของคุณ รู้จักกิเลสลดกิเลสได้ ทำกรรมกิริยาอันนี้ให้หรือทาน แล้วก็ได้ลดกิเลส การทานนั้นก็มีผลมีอานิสงส์ แต่ทีนี้คนทานหรือคนให้ ให้อาหารเลี้ยงสัตว์หรือเลี้ยงคน เสร็จแล้วก็อยากได้ๆ คุณเรียกว่าบุญ แต่ที่จริงมันไม่ใช่ บุญ บุญคือการลดละกิเลส คุณก็ไม่รู้เรื่อง คุณก็อยากได้อะไรก็แล้วแต่มันก็เป็นกิเลสทั้งนั้น เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ทั้งนั้น ก็ซวยทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นทำทานแล้วอยากได้อะไรก็พูดเป็นภาษา ได้วิมาน ได้บุญ ได้กุศลได้สวรรค์ ได้คุณงามความดี ดีไม่ดีได้เป็นยศศักดิ์ ได้แล้วจะรวยได้ลาภกลับมาอีกเลอะเทอะใหญ่ ทำหวังสิ่งตอบแทน ต้องการสิ่งที่แลกมา ไม่ได้ทำอย่างบริสุทธิ์
เพราะฉะนั้นการให้คำเดียวนี้ยิ่งใหญ่ที่สุด
จะเลิกติดเกมยิงปืนได้อย่างไร
_จักรแสงเพชร : ผมเป็นเด็กติดเกมยิงปืน ผมเลิกไม่ได้ ผมจะทำอย่างไร
พ่อครูว่า…ก็ตายไปกับเกมยิงปืน คนที่ตายไปกับเกมมีแล้ว แล้วก็จะมีอีก ถ้าคุณจะโง่ตายไปกับเกม แต่ดีนะคุณมีสำนึก ที่ถามมาก็เพราะมีสำนึกว่ามันไม่ดี คงอยากเลิก จะทำอย่างไรก็ให้พิจารณา
ไปเล่นเกมไปติดเกมนี้มันได้สาระอะไร มันก็เสียเงินเสียเวลา แล้วก็ไปติดแต่ลมๆแล้งๆ เขาก็เอามาหลอกไป คือเรื่องต่างๆคนที่ปรุงแต่งขึ้นมาให้คนติดนี้ เขาทำขึ้นมาหลอกคนโง่จะได้เงินได้ทองได้อะไรจากคนโง่เท่านั้น เป็นเหยื่อ พวกคนโง่ เพราะฉะนั้นคุณก็เป็นเหยื่อของคนฉลาดแกมโกง ที่เขาหลอกให้คุณมาติด คุณก็เป็นทาส เป็นเบี้ย เป็นบริวาร เป็นผู้ที่เขาจูงจมูกให้เป็นอยู่อย่างนั้น อยากเป็นไปตลอดนิรันดรก็เชิญ คิดเอา
ถ้าคิดว่ามันไม่เป็นอิสระในตัวเองเลยที่จะต้องมาเป็นทาส เสียเวลา เสียแรงงาน เสียทุนรอน ไปจมอยู่กับอันนี้ ไปทำงานอื่นที่เป็นสาระ มีคนพาทำกันเยอะ ยิ่งอยู่ในแวดวงของพวกเราจะไปนั่งจมอยู่กับเกมทำไม เลิกได้เลยชีวิตนี้ไม่มีเสียหายไม่ตกต่ำหรอก เลิกเถอะ ไปจมอยู่กับสิ่งที่มันจะทำให้เราตกต่ำมันจะไม่ได้ดี เลิกมาได้แล้วจะเจริญ จะได้ดี จะได้สูงได้เจริญ คิดให้ได้
จะทำอย่างไร คิดได้แล้วมันก็จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคุณ ถ้าคุณคิดไม่ได้คุณไม่เปลี่ยนหรอก
อักษรไทยบางตัวที่ไม่ใช้แล้วเพราะอะไร
_อักษรไทย ที่ไม่มีในวรรค หรือเศษวรรค เช่น ฃ.ขวด ด.เด็ก ฅ.คน ษ ศ ฎ อย่างนี้เป็นต้น จะมีวิธีการเปรียบเทียบอย่างไร จะใช้ประโยชน์อย่างไร
พ่อครูว่า…มันละเอียดลึกซึ้งนะอันนี้อาตมาก็ไม่อยากจะฝืนคืนความรู้อันนี้ขึ้นมาพูดให้มันวุ่นวายกันเปล่าๆ เพราะพยัญชนะที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ก็มีพอใช้ ก็ใช้ไปตามที่เขาเอามาใช้แล้ว แล้วบางทีก็ไม่ได้ใช้กันแล้วที่เติมขึ้นมามันก็มากเกินจนกระทั่งไม่ติดตลาด เช่น ฃ.ขวด ไม่ใช้แล้ว ก็ไม่ติดตลาด
ด.เด็ก คิดขึ้นมาแล้วติดตลาดคุณก็ใช้ก็แล้วกัน
ค.คน ก็เช่นกัน คุณจะนิยมใช้ก็ใช้ตามเขา ไม่นิยมก็ไม่ใช้ เข้าใจกันอยู่แล้วใช้ ค.ควาย ตัวเดียวก็ได้
ษ หรือ ศ ก็ใช้กันอยู่แล้วในคนไทย บางที่ เป็นอักษรของภาษาสันสกฤต ของบาลีมี ส.เสือ อันเดียว แต่สันสกฤตไปแยก ศ.ศาลา กับ ษ.ฤาษี คำว่า ศ.ศาลา กับ ษ.ฤาษี มันเป็นภาษาไทย แล้วก็เอาใช้ให้ความหมายต่างกัน จากคำเดียวกันแยกเป็นภาษาสันสกฤตบ้างภาษาไทยบ้าง แล้วไทยก็ให้มีความหมายต่างกันเล็กน้อย บางอันต่างกันมากเลยนะ เอ้าก็ดี มันเป็นพัฒนาการของภาษา มีคำมากขึ้นใช้แทนกันได้ คุณเข้าใจตามนั้นก็ใช้กับเขาได้ ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกันให้มากหรอก รู้ว่าเขาเองหมายถึงอะไร ก็ใช้ให้ตรงกับที่จะใช้สื่อให้รู้กันเท่านี้เอง เราก็ใช้ จะต้องไปคิดเปรียบเทียบกันทำไม เขาคิดมาให้ใช้กันแล้ว เหมือนเขาทำชาม ทำช้อน ทำตะเกียบ คุณไม่ต้องคิดหรอกว่าเขาคิดมาอย่างไร คุณใช้ก็แล้วกันก็ใช้การ ใช้ช้อน ใช้ตะเกียบ ใช้มีดพร้า ก็ใช้ไปเถอะ เขาใช้อย่างนี้ถูกหน้าที่ของมัน ถูกลักษณะของมัน มีดพร้าเอาไว้สำหรับฟันแรงหน่อย ยาวไปสักหัวกะโหลกคนก็แล้วกัน ไม่ใช่หน้าที่มันเป็นบาป ก็ทำให้มันถูกต้องหน้าที่ก็ใช้ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นมันคิดเกินไปมันเรียกว่าฟุ้งซ่าน ดีไม่ดีเป็นโทษ ใช้ไม่ได้
นี่ก็มีผู้ที่ขยันชอบเขียนพยัญชนะมา อาตมาก็ไม่เอาดีกว่า 3 หน้า ก็รู้ๆกันนัยๆ ทำอะไรมาก็คุยด้วยบางทีก็ไม่มีเวลาคุยด้วย ก็ชอบ ติดอย่างโน้นอย่างนี้ บางทีมีเวลาบอกก็บอกอันนี้ผิดไม่ค่อยเข้าที่ก็บอก อันไหนใช้ได้ก็ผ่านไป ไม่ค่อยมีเวลาก็ไม่ได้อะไรนัก ก็เท่านั้น ผ่านไป
บุญฉุดให้พ้นจากความเป็นพญานาค
มาเข้าสู่เรื่อง… เรื่องที่อาตมาเอามาพูดในธรรมะต่างๆ ของพระพุทธเจ้านี้ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกวันนี้ เขาไม่เข้าใจตามที่อาตมาพูดนี้ มันได้ผิดเพี้ยน มันได้หาย มันได้เลือนไปเหมือนกลองอานกะ ในอานีสูตร
เช่นคำว่า ฌาน คำว่า สมาธิ
แม้แต่คำว่า กาย คำว่า บุญ (ปุญญะ) หรือแม้แต่คำว่า ปัญญา ก็เข้าใจเพี้ยนไป จนอาตมาต้องพยายามดึงกลับเข้ามาหาเนื้อแท้ของมัน เพราะถ้ามันใช้เพี้ยนจากเนื้อแท้ของมันมันก็เสื่อม ก็ต้องดึงกลับมา ไม่ดึงกลับมาก็ไม่ได้เพราะท่านหมายอย่างนั้น มันก็เพี้ยนไป ก็ออกนอกลู่นอกทาง ก็ไม่ได้สาระสัจจะที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการ
เช่น บุญ นี่ เป็นคำที่สุดยอดเลย ที่ไม่มีอะไรจะเหมือนได้ง่ายๆเลย บุญ มันต่างจากกุศล กันคนละโลกเลย แต่ตอนนี้ปนเปไปหมด บุญกับกุศล เอาไปเรียกเป็นกุศลหมดเลย ดีไม่ดีเอาคำว่าบุญไปแทนกุศลด้วย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้มันไม่ใช่กุศล กุศลมันไม่สูญ แต่บุญนี้สูญ บุญนี้แม้แต่ยังไม่เกิดก็สูญแล้ว มันจะเกิดในปัจจุบันนั้น ชำระกิเลสหน้าที่เดียวด้วย บุญนี่ ชำระกิเลสได้ยังไม่จบเป็นเสขบุคคลก็เป็นส่วนบุญ หากหมดก็เป็นอเสขบุคคล จบหมดเลย หายไปเลยเป็น ปุญญปาปริกขีโณ อรหันต์คือคนที่ไม่มีบุญอีกแล้ว อรหันต์ขึ้นไปจนถึงอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้สิ้นบุญได้ เป็นผู้ไม่มีบุญ
ซึ่งก็คงเคยได้ยินคำว่า “ไม่มีบุญแล้ว สิ้นบุญหมดบุญ” ก็อาจจะได้ยินนะคำนี้ แต่ไม่รู้ว่าจริงๆหมายถึงอะไรก็เป็นคนหมดกิเลสเลย คนสิ้นบุญคนหมดบุญคือคนสิ้นกิเลสไม่มีกิเลสเกิดอีกเลย เป็นอรหันต์ขึ้นไปถึงอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ หรือพระโพธิสัตว์ทุกองค์ก็เข้าใจเรื่องบุญ ถ้าไม่พระโพธิสัตว์จริงๆไม่เข้าใจจริงๆหรอก คำว่าบุญนี่ ไม่เข้าใจ
ความหมายแท้ของคำว่า “บุญ”
ปุญญะ = สันตานัง อุนาติ วิโสเธติ
บุญ คือ การชำระสันดานให้สะอาดบริสุทธิ์
“สิ้นบุญสิ้นบาป” (ปุญญปาปปริกขีโณ) คือ การชำระบาปได้หมดสิ้นแล้วจึงไม่ต้องอาศัยบุญเพื่อละบาปอีก
เพราะฉะนั้นยิ่งไปแปล บุญ กลับไปเป็นบาปอีก เป็นไปไม่ได้ บุญมีเอกังสะ บุญมี One way Traffic วิ่งไปฆ่ากิเลสอย่างเดียว บุญมีแต่หนึ่งไม่มีสอง ไม่ได้ บุญนั้นคู่กับบาปไม่ได้ แต่ตัวบาปนั้นเป็นคู่ที่ต้องจัดการ บาป คือ การเกิดกิเลส บุญนี่แหละ คือศัตรูของบาป กำจัดบาปหมดบุญก็หมดด้วย จริงๆ บุญกับบาปเป็นคู่กันเหมือนสุขกับทุกข์ แยกกันไม่ได้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เข้าใจละเอียดลออครบถ้วนได้ยากมากเลย อาตมาก็ได้แต่พยายามบรรยายอธิบายทำความหมายให้มันชัด คนที่ติดตามฟังก็จะรู้ความหมายชัด ก็จะละเอียดลออลงไปได้เรื่อยๆ อ๋อ.. ทีนี้ก็มารู้สภาวะ สภาวะละเอียดอย่างนี้ก็ทำได้ ก็ทำไป ถ้ามันไม่รู้เลยก็ไม่ทำ เพราะมันไม่รู้ว่าจะต้องมีละเอียดลงไปอย่างนี้ด้วยหรือ คนเราก็ไม่ทำ แต่ถ้ารู้ว่ามันมีรายละเอียดลงไปอีกก็ต้องทำ มันมีละเอียดกว่านั้นอีก ทำไปแล้วมันก็ดี มันยิ่งสะอาดบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มากยิ่งขึ้นไปเรื่อย
อาตมาเอาสภาวะมาอธิบายเป็นภาษาธรรมะ เอามายกตัวอย่างอ้างอิงประกอบ ฟังดีๆ ทั้งพยัญชนะทั้งสภาวะ อาตมาพยายามใช้ให้ครบ อยู่เรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ
ทุกวันอาตมาก็ชัดเจนในพยัญชนะมากขึ้นเอามาใช้ได้ อาตมามีสภาวะของธรรมะเป็นหลัก อาตมาปฏิบัติมามีสภาวะได้ มาถึงยุคนี้พยัญชนะมันก็เลือนๆหายๆไป อาตมาก็จำไม่ค่อยได้ก็ต้องมาฟื้นขึ้น ฟื้นได้ก็เอามาอธิบายขึ้นไปเรื่อยๆก็ได้มากขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นจนบางคนบอกว่าโอ้โห โพธิรักษ์ ทำไมรู้มากจังเลย
แต่คนเขารู้มากกว่าอาตมาเขาก็บอกว่ารู้ไม่เหมือนเขา เขารู้มากกว่านี้ นั่นก็จริง มีคนที่รู้มากพยัญชนะพวกนี้รู้มากกว่าอาตมาอีกเยอะ อาตมาก็รู้แล้วเอามาทำจริงๆ ไม่ใช่รู้เอาไปอวดอ้าง รู้เพื่อเอาไปโชว์คนอื่น ไม่ใช่ รู้เอามาใช้ในการอธิบายเอามาสื่อ ให้คนได้รับรู้รับฟังแล้วหยั่งเข้าไปถึงสภาวะและปฏิบัติ ให้ได้มรรคผล ให้ได้ประโยชน์จากที่รู้นี้ ซึ่งพวกเราก็ทำได้ ไม่เสียเปล่า อาตมาก็ยังภูมิใจว่า ไม่เป็นหมันในการที่นำพยัญชนะ นำธรรมะพวกนี้มาสื่อ อธิบายมา 50 กว่าปีแล้วมีผลขนาดนี้ ทั้งๆที่มันสูญหายไปแล้ว คว้าขึ้นมาได้อย่างยากเย็น แต่ได้ ไม่สูญเปล่า
เคยพูดไปหลายทีแล้วว่า อาตมาสบายใจแล้วว่า มันได้มาขนาดนี้ คนแค่อาตมาดึงเอาโลกุตรธรรมมาได้ขนาดนี้ ซึ่งมันจมลงในมหาสมุทรเกือบไปอยู่กับพญานาคใต้ก้นบาดาล ดีมันไม่ไปเข้าไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ถ้าเข้าไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั่นมืดหมดเลย อาตมาจมไปด้วย มันมีแรงดูดด้วยนะสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า นี่ดีว่ายังเป็นแค่ไปหลงอยู่กับพญานาค
พูดถึงพญานาคนั้น มันเป็นภาษาที่แทนสภาวะของคนที่นอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น นอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นอยู่ใต้ก้นบึ้งของบาดาล เฝ้าอยู่ที่กองของถาดทองคำ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์กว่าจะตรัสรู้ก็ลอยถาดทวนกระแส ซึ่งมีความหมายว่า ถาดทองคำคือพระธรรม แล้วธรรมะขอพระพุทธเจ้าจะทวนกระแส อยู่ตรงนี้ก็จะมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ซ้อนๆๆๆกันอยู่ สูง ลึกมาก พญานาคอยู่ใต้ก้นบึ้ง อยู่ลึกมาก ลึกจนกระทั่งไม่น่าจะได้ยินเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงพระพุทธเจ้าลอยถาดมากระทบกันดัง กริ๊ก เสียงนี้ยิ่งใหญ่มาก จนพญานาคอยู่ใต้บาดาลนอนเฝ้าก้นบึ้งใต้บาดาล ได้ยินเสียงนี้ ถาดจะลอยอีกกี่ใบ ๆ ก็ลอยซ้อนอยู่ด้านบน เสียงนี้ต้องยิ่งใหญ่ถึงปลุกให้พญานาครู้สึกว่า พระพุทธเจ้าเกิดอีกองค์หนึ่งแล้วหรือ
แล้วคำว่าพระพุทธเจ้าเกิดอีกองค์ก็คือ ชั่วระยะที่จะมีพระพุทธเจ้าเกิดอุบัติขึ้นในโลกแต่ละองค์นี้นาน ขนาดพญานาคก็หลับไปจนกระทั่งพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งเกิดแล้วก็หลับมา จนพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งเกิด ถึงได้ตื่นขึ้นมาอีกทีนึง
_สมณะฟ้าไท…พระโพธิสัตว์ระดับ 7เกิดมา พญานาคจะตื่นขึ้นมาหรือป่าวครับ
พ่อครูว่า…ยากไง ยากๆ ต้องพระพุทธเจ้าเท่านั้นทำให้รู้จักเสียงว่าพระพุทธเจ้าเกิดแล้วก็รู้เท่านั้นนะ พอได้ยินว่าพระพุทธเจ้าเกิดแล้ว กริ๊ก แล้วก็หลับต่ออีก พญานาค คล้ายๆกับพวกหลับตาที่พยายาม หลับอยู่นั่นแหละ คล้ายๆกัน แม้แต่พยายามเปรียบเทียบว่า เป็นโจรปล้นศาสนา แล้วพระราชาให้เอาหอกไปแทงเช้ากลางวันเย็น ก็พวกนี้ทำลายศาสนา หลับตามันไม่ใช่ของพุทธ เอามาทำอยู่อย่างนั้นก็เท่ากับฆ่าศาสนาอยู่ตลอดเวลา ขออภัยที่อาตมาพูดความจริง มันลงโทษเลยเพราะเป็นโทษจริงๆ ถ้าเผื่อว่า พระปฏิบัติหลับตาตื่นขึ้นมา มาเรียนรู้จรณะ 15 วิชชา 8 แล้วรู้จัก ฌาน สมาธิแบบของพุทธเลยนะ เมืองไทยนี้ จะเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่จริงๆเลย
มันน่าสังเวชใจ น่าสงสาร ปรารถนาดีกันนะ แต่งมงาย ไปหลงลมเดียรถีย์ ไปเป็นทาสเดียรถีย์ จม โงหัวไม่ขึ้น ปลุกอย่างไรอย่างไร ก็พอๆกับพญานาค คือรู้แต่สมมุติว่าพระพุทธเจ้าเกิด อาตมาเป็นโพธิสัตว์เป็นลูกพระพุทธเจ้าเกิด เขาก็น่าจะรู้สักหน่อยนึง ก็ไม่ ขนาดพระพุทธเจ้าเกิดก็คงไม่รู้ ลูกพระพุทธเจ้าเกิดไม่มีอะไรจะไปทำให้เขารู้หรอก มันยากมาก
ในจรณะ 15 อาตมาก็พยายามอธิบายโดยความหมาย ท่านระบุบัญญัติไว้ถูกต้องหมดแล้ว ในจรณะ 15 มีศีลเป็นหลักธรรม แล้วก็ปฏิบัติตามศีลนี่แหละ โดยการปฏิบัติ
การปฏิบัติที่ปฏิบัติไม่ผิดก็มีการสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ แค่ 3 ข้อเท่านี้ จำไม่ได้หรืออย่างไรไม่รู้จักหรืออย่างไร ไม่เอา ไม่มีอันนี้ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ต้องครบ 3 องค์นี้ด้วยคือสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ต้องครบ 3 องค์นี้ นี่คือพุทธคุณของพระพุทธเจ้า วิชชาจะระณะสัมปันโนถึงจะเข้าถึงศาสนาพุทธ ถ้าไม่มีอันนี้ไม่เข้าถึงศาสนาพุทธเพราะฉะนั้นจะไปหลงว่าได้ฌาน แต่ฌานไม่มี 3 องค์นี้ก็เป็น ฌานของเดียรถีย์ออกนอกรีต มันไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้า ฌานพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติ 3 องค์นี้
สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ แล้วจะเกิดสภาพธรรมเรียกว่าสัจธรรม 7 จะเกิดสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นขึ้นมาว่า อ๋อ.. พุทธเป็นอย่างนี้หรือ
สัมผัสกับสัตว์แล้วมันจะต้องเกิดมีเวทนามีตัณหามีอุปาทานอย่างนี้หรือ แล้วก็เรียนรู้ตัณหาอุปาทานจากเวทนาที่ได้รับผัสสะนี่แหละ แต่คุณก็หลับตาไม่ได้รับผัสสะกับสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะสัตว์คน ที่ทำให้เกิดโลภโกรธหลงเก่งนัก คุณก็ไม่มา
หัด สำรวมอินทรีย์หรือแม้แต่ข้าวของที่จะต้องสัมผัสของกินของใช้ วัตถุหรือพืชพันธุ์ธัญญาหาร ของกินของใช้ คุณก็ไม่มาสำรวมอินทรีย์ สัมผัสสิ่งนี้แล้วเกิดกิเลส ก็ไม่เรียนอันนี้ แล้วจะเอาหลับ เอาไม่ตื่น ไม่ชาคริยา เอาแต่หลับๆๆ ยิ่งกว่าพญานาคอยู่ใต้บาดาล หลับ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าเกิดกี่พระองค์จึงจะตื่นสักทีนึง แล้วมันจะหลับไปถึงไหน เห็นใจอาตมาบ้างไหม
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…แสดงว่าพญานาคแสนจะขี้เซา พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วก็นอนต่อ อย่างพระพุทธเจ้าไปโปรดชฎิล 3 พี่น้องสายหลับตา ยังต้องต่อสู้กับทิฏฐิของชฎิล ตอนแรกก็ใช้ฤทธิ์สู้กัน สุดท้ายใช้ธรรมะให้เขาเข้าใจ เขาก็เปลี่ยนแปลงได้
สู่แดนธรรมเสนอพระสูตร
มิตรดีทำให้ไม่มีเพื่อน 2
พ่อครูว่า…เอาพระสูตรนี้มาอธิบายเลย
เล่ม 25 ข้อ [๘๘]ฝ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรเมฆิยะ ธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุติที่ยังไม่แก่กล้า ๕ ประการเป็นไฉน ดูกรเมฆิยะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี นี้เป็นธรรม
ประการที่ ๑ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุติที่ยังไม่แก่กล้า ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในพระปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระแลโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษมีประมาณเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย นี้เป็นธรรมประการที่ ๒ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุติที่ยังไม่แก่กล้า ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งกถาเครื่องขัดเกลากิเลส เป็นไปเพื่อเป็นที่สบายในการเปิดจิต เพื่อเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อเข้าไปสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน คือ อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา นี้เป็นธรรมประการที่ ๓ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุติที่ยังไม่แก่กล้า ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม นี้เป็นธรรมประการที่ ๔ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุติที่ยังไม่แก่กล้า ฯ
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเครื่องพิจารณาความเกิดและความดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลสให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ นี้เป็นธรรมประการที่ ๕ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุติที่ยังไม่แก่กล้า
ดูกรเมฆิยะ ธรรม ๕ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความแก่กล้าแห่งเจโตวิมุติที่ยังไม่แก่กล้า ดูกรเมฆิยะ ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังคุณข้อนี้ได้ คือ ตนจักเป็นผู้มีศีล … จักสมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังคุณข้อนี้ได้ คือ ตนจักได้ตามความปรารถนาได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งกถาเครื่องขัดเกลากิเลส … วิมุตติญาณทัสสนกถาภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังคุณข้อนี้ได้ คือ ตนจักเป็นผู้ปรารภความเพียร … ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม ภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังคุณข้อนี้ได้ คือ ตนจักเป็นผู้มีปัญญา … ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ฯ
พ่อครูว่า…เอาคำว่าเป็นผู้มีมิตร เป็นข้อต้นในสุริยเปยยาลสูตร กัลยาณมิตโต กัลยาณสหายโย กัลยาณสัมปวังโก แปลว่า มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี สหายแปลว่าผู้ร่วมประโยชน์ มิตร คือเกี่ยวกับจิต สัมปวังโก อาตมาแปลในวงการพวกเราเอง ว่า สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นสัปปายะ 4 เลย
ศาสนาพุทธนั้นต้องอยู่กับบัณฑิต อยู่กับมิตรสหายดี ท่านบอกว่าอย่าไปคลุกคลีด้วยหมู่ (อสังคณิกะ อสังสัคคะ ไปแปลว่าไม่คลุกคลีด้วยหมู่) มันบื้อๆ แปลง่ายๆว่าไม่ข้องเกี่ยวกับใคร อยู่ผู้เดียวไม่มีเพื่อน 2 คืออยู่ผู้เดียว ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าท่านแปลหมดเลยว่า ไม่มีเพื่อน 2 นั่นหมายถึง จิต จิตไม่มีกิเลสคือไม่มีเพื่อน 2 แต่จิตมีกิเลสอยู่คือมีเพื่อน 2 แม้จะอยู่กับมหาอำมาตย์ ท่ามกลางสังคมอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่จิตของคุณไม่มีกิเลสคือคุณอยู่แต่ผู้เดียว แต่คุณอยู่ในป่าเขาถ้ำผู้เดียวแต่คุณยังมีกิเลสก็ยังมีเพื่อน 2 มีเพื่อนเป็นกลุ่มเป็นหมู่อยู่นั่นแหละ มันไม่อยู่แต่ผู้เดียวหรอก อันนี้เป็นนัยสำคัญที่ ถ้าเข้าใจไม่ตรงตามที่อาตมาว่า ก็จะผิดๆไปได้แต่ความหมายตื้นๆ
ในสุริยเปยยาลสูตร ข้อ 1 เลยต้องมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ก็ตรงกัน คือแสงเงินแสงทองก่อนจะพบพระอาทิตย์ ความหมายชัดดีมากเลยนะ ก่อนจะพบพระอาทิตย์ จากความมืดก็จะต้องมีแสง แสงของพระอาทิตย์เป็นแสงเงินแสงทอง คือ แสงจากพระอาทิตย์เป็นต้น มีรังสีมาอ่อนๆไรๆ มาเรื่อยๆก่อน
ถ้าคุณไม่พบแสงเงินแสงทองก่อน คุณไม่มีสิทธิ์จะพบพระอาทิตย์ แล้วก็ทำงานร่วมกับพระอาทิตย์ ท่านหมายถึงมรรคองค์ 8 พระอาทิตย์ท่านหมายถึงมรรคมีองค์ 8 คุณจะทำงานร่วมกับพระอาทิตย์ที่เป็นมรรคมีองค์ 8 คุณต้องพบ ผ่านแสงเงินแสงทองทั้ง 7 ข้อนี้ 7 หลักนี้ก่อน
ถ้าคุณไม่เข้าใจเลย 7 หลักนี้คุณก็ไม่ผ่านเลย คุณลัดพลั๊วไปมรรคองค์ 8 เลย โมฆะ ไม่มีอะไรได้เลยหรอก มีแต่บัญญัติ มีแต่ความเพ้อฝัน มีแต่แพะกับแกะ เอาแพะมาชนแกะ ไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรเป็นสาระสัจจะเลย เพราะคุณไม่มีสภาวะที่ครบครัน ตัดลัดทิ้งหมดแล้วนึกว่าตนเองได้แก่นได้เนื้อคือมันมักง่าย ใจเร็วด่วนได้ ไม่มีลำดับเลย ไปไม่ออก
พระพุทธเจ้าถึงขั้นตรัสว่า เรานี่แหละเป็นมิตรดี สหายดีของพวกเธอ ก็หมายความว่าต้องมาพบพระพุทธเจ้าก่อน เอ้า ไม่มีพระพุทธเจ้าก็ต้องมีสัตบุรุษก่อน หรือต้องมาพบกัลยาณมิตรทุกคนที่มีสัมมาทิฏฐิ อันอยู่ในฐานะของครูที่จะสอนได้ถูกต้อง มีต้นรากของศาสนา ต้นรากของโลกุตระ ถ้าไม่อย่างนั้นคุณก็ไม่ได้อะไรที่ถูกต้อง
อาตมาพูดนี้เหมือนคนอวดดี แต่มันถูกต้องอาตมามีดีให้อวด แล้วท่านมีแต่สิ่งที่ไม่ดีไม่ถูกต้อง อาตมาพูดความจริงไม่ได้ไปใส่ความ ไม่ได้ไปว่าก็น่าสงสาร แต่เขาฟังแล้วก็ยิ่งหมั่นไส้อาตมา เรามันคนซื่อพูดตรงๆพูดไม่ตรงก็ไม่เป็น เขายิ่งฟังก็ยิ่งหมั่นไส้ ทำไมไม่ลดเลี้ยวเหมือนคนอื่นเขาบ้าง อาตมาพวงมาลัยมันล็อค ตั้งตรงเลย พอเหยียบคันเร่งก็เลยผ่าไม่เลี่ยงหลบเลย ตรงไปเขาก็ไม่ไหว เพราะเขาก็ต้องเลี้ยวลดบ้างสิ อาตมาก็ไม่ได้ยอมพวกนั้นก็เลย ผู้ใดไม่ตรงชอบเลี้ยวลดหลับไหล ก็ไปที่ชอบๆ เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรนะ
โลกุตระนั้นดับสุขดับทุกข์ให้สูญ
อาตมามาทำงาน 50 ปีก็ยังชื่นใจอยู่ว่ามีผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อย คือยังมีปัญญา มีภูมิธรรมที่จะรับแสงสว่างของพระพุทธศาสนา แล้วธรรมะของพระพุทธเจ้าหรือของพระพุทธศาสนานี้ เนื้อแท้คืออะไร?.. เนื้อแท้คือโลกุตระ โลกียะนั้นศาสดาทุกพระองค์ เทวนิยมก็สอนกันอยู่ทั้งนั้นสอนให้ละชั่วประพฤติดี เป็นสมมุติสัจจะเท่านั้นมันไม่ใช่โลกุตระเลย
โลกุตระนั้นรู้จักสุขทุกข์ แล้วมาดับให้หมดสุขหมดทุกข์เลย ไม่เหลือเลย จึงเป็นนิพพานเป็น 0 นี่ก็ไม่มีใครพูดหรอก เขาไม่กล้าพูดว่าจะดับสุข เพราะเขายังไม่รู้ว่าสุขมันต้องทิ้งด้วยเหรอ ก็แปลว่าไม่สุขไม่ทุกข์ อทุกขมสุข เป็นฐานกลางอุเบกขา ซึ่งอาตมาก็อธิบายว่าไม่สุขไม่ทุกข์ไม่ใช่อุเบกขาทีเดียวนะ มันบอกถึงสภาวะสมมติ สุขทุกข์นั้นมันเป็นสมมติ ไม่ใช่ปรมัตถ์
ปรมัตถ์นั้นไม่มีกิเลส ไม่มีกิเลสก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ อุเบกขาเป็นปรมัตถ์ ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นพยัญชนะที่เป็นโลกียะอยู่ ยังเป็นสมมติอยู่ มาใช้คล้ายๆกันแทนกันเป็นไวพจน์กันเป็นซินโนนีมกันอยู่แค่นั้นแหละ ใช้แทนเฉยๆ แต่มันไม่ใช่อันเดียวกันนะ ไม่สุขไม่ทุกข์กับอุเบกขา เป็นคำที่พอถูไถใช้แทนกันได้
เอาพยัญชนะเพื่อให้รู้ว่า คุณยังหลงความสุขความทุกข์อยู่ เพราะยังมีกิเลส คุณดับกิเลสหมด สุขก็หมดทุกข์ก็หมดจึงจะเป็นอุเบกขา จึงจะเป็นนิวตรอน ว่างจากผลักดูด ไม่ผลักไม่ดูดแล้ว ก็อธิบายไปโดยความหมายเหล่านี้
คุณจะเรียนรู้ก็ต้องรู้อาการของจิต อาการที่มันเคลื่อนมันดูดเป็นอย่างไร อาการผลักเป็นอย่างไร อาการสุขทุกข์เป็นอย่างไร คนยังมีอวิชชาก็ยังมีอาการของสุขทุกข์ สุขทุกข์มันแยกกันไม่ได้มันเป็น 2 จนกระทั่งไม่มี 2 หรอก อย่างน้อยที่สุดก็ให้มันเหลือ 1 อยู่ที่ มันไม่ควรจะไปเป็น 2
1 มันก็ยังตอบอะไรไม่ได้ทีเดียว ที่จริงมันไม่มี 1 เลยมันเป็น 0 แล้วปุโลปุเลคือ 1 ไม่เอาสุขไม่เอาทุกข์ แต่ทุกข์มันยอมหรือไม่มันเป็นคู่กัน เอากระดาษแผ่นหนึ่งมาเอาแค่หน้าเดียวนะ และอีกหน้านึงคุณไม่เอา จะเอากระดาษนี้ไปได้อย่างไร เอากระดาษหน้าเดียวนะ อีกหน้าหนึ่งไม่เอา อาตมาว่ายกตัวอย่างนี้ชัดดีนะ แล้วไม่เอาได้อย่างไร มันต้องมีสองหน้า คุณจะผ่ามันอย่างไร ถึงผ่าให้บางอย่างไรขนาดไหน กระดาษมันต้องมี 2 หน้าอยู่ดี คุณจะผ่าให้บางให้ขนาดไหนได้ มันก็มี 2 หน้าอยู่ดี มันแยกกันไม่ได้ อาตมาว่าพูดจนหมดแล้วถ้าอย่างนี้ไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้ศึกษากัน
เพราะฉะนั้นต้องรู้อาการ คือการเคลื่อนไหวของจิต เคลื่อนไหวเป็นสุขเคลื่อนไหวเป็นทุกข์ เป็นอาการตั้งแต่ หยาบ ก็ลดได้ ไม่มีอาการแล้วสุขทุกข์ในความหยาบ ลดลงเหลือกลางๆ สุขทุกข์อย่างกลางๆ อย่างหยาบๆ เลิกเลย ไม่เสพ ไม่อร่อย ไม่สุข ไม่ทุกข์ เลิกเลยอาการจิตอย่างนั้นจนกระทั่งลดลงมีทุกข์นิดนึง ปลาย ดุกดิกๆ เป็นวิรชะ อโศกะ
อโศกะ คือไม่โศก แต่ยังมีส่วนโศก, วิรชะ คือส่วนเสพ เสพรส, วิรชะ เป็นรสอย่างยิ่ง เสพอย่างยิ่ง, รชะ เป็นรสโลกีย์อย่างยิ่ง เหลือนิดนึง คุณก็ต้องรู้ให้ได้ จนไม่มีเลย ผลักดูด โศกะก็ผลัก รชะ ก็ดูด ไม่มีทั้งผลักทั้งดูดถึงจะเป็นเกษม เขมัง บริสุทธิ์สะอาดหมดเลยไม่มีอะไรอีกสูงสุดอย่างนี้เป็นต้น
ถ้าเรียนรู้แล้วไม่รู้อาการของมัน อาการมันจะเกิดตอนกระทบสัมผัสกับอันนู้นอันนี้ ถ้าไม่กระทบสัมผัสมันก็เป็นความจำ เอาความจำมาระลึก ความจำขยำขี้อยู่นั่นแหละ ซึ่งมันก็ไม่ใช่ความจริง ความจำไม่ใช่ความจริง ความจำคืออดีต ความจำสิ่งที่เกิดแล้วหายไปแล้ว ความจำไม่ใช่ความจริง ความจำไม่ใช่ความจริง ความจริงคือปัจจุบันไม่ใช่อดีต อนาคตยังมาไม่ถึงไม่ใช่ความจริงใหญ่เลย ความจริงอยู่กับปัจจุบัน มีเท่านี้
คนที่หลับไปกับปัจจุบันไม่มีทิฏฐกาละ ไม่มีปัจจุบันชาติ คนนี้นอกรีตศาสนาพุทธหลับตานี้ไม่มีปัจจุบัน ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีจักษุ ไม่มีสิทธิ์ที่จะมีญาณ ปัญญา วิชชา ไม่ได้เกิดการบรรลุธรรมของพุทธได้เลย
อาตมาว่า พูดซ้ำซากวนมาเยอะ แต่ก็เข้ามาหาเนื้อ จะพูดเฟ้อ ภาษานอกๆ เอานิยาย Harry Potter , Lord of the Rings , Star Wars หรือเขามีหนังพิสดารอะไรอย่างอื่นมาก็ไม่รู้ เราก็ไม่ได้ตามเขาแล้วแค่นี้ก็เมื่อย แค่ Harry Potter แค่ Star Wars เราก็เมื่อยสุดเมื่อยแล้ว เอาอะไรมาผสมผเสหลอกกันไป มอมเมากันไป ได้แต่สิ่งแปลกๆพิสดารเอามายำเละ อธิบายให้เชื่อมต่อกันอย่างโน้นอย่างนี้ พิลึกกึกกืออะไรต่ออะไรโดยพิสดาร สนใจดีสนุกดี
แต่เราย่อเข้ามาหาสภาวะ 2 เรียนรู้จักภาวะ 2 ตั้งแต่บวกลบ ดีชั่ว โดยเฉพาะโลกุตระกับโลกียะ เรียนรู้เนื้อแท้ของพวกนี้ให้จริงแล้วเปรียบเทียบกัน อันนี้มันเป็นโลกียะ อันนี้เป็นโลกุตระ ก็ทำให้เป็นโลกุตระ ถ้าดีชั่วก็เอาก่อนได้ เอาแต่ดีไม่เอาชั่ว ได้มันไปด้วย ได้ดีแล้วไม่เอาชั่วแล้วก็อาศัยกันทั้งโลกียะและโลกุตระ
ถ้าโลกุตระต้องมีสุขมีทุกข์ เอ้า..ไม่ต้องมีทั้งสุขและทุกข์ มีอยู่ในโลก มีก็ต้องมีแต่ส่วนดีไม่มีส่วนชั่ว ถ้ามีที่เป็นโลกุตระก็เอาแต่สุข แต่สุขของพระพุทธเจ้าจริงๆ สุดท้ายมันไม่มี ก็เลยเอาปรมังสุขัง ยิ่งกว่าสุขก็แล้วกัน แต่เขาแปลว่าสุขอย่างยิ่ง สุข เราก็รู้ว่ามันเป็นโลกียะอยู่ความสุขกับความทุกข์ ทั้งคู่ ถ้าโลกุตระมันยิ่งกว่าสุข ทุกข์ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์จึงเรียกว่า ปรมังสุขัง สภาวะมันเป็นอย่างนั้น ถ้าใครไม่รู้ก็วนเวียน ปรมังสุขัง ไปวนเวียนก็คือ มีสุขอย่างยิ่ง แต่นี่มันยิ่งกว่าสุข คือไม่ทุกข์ไม่สุข พอเข้าใจไหมใช้พยัญชนะมาพูด พูดได้เท่านี้เพราะมีพยัญชนะเท่านี้
ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌาน 4
_สู่แดนธรรม…จากพระสูตรเมื่อกี้นี้ ข้อ 1 มีมิตรดี, ข้อ 2 มีศีล, ข้อที่ 3 คือเป็นผู้ไม่ยากในการจะพูดเรื่องกถาวัตถุ 10 แปลว่ากถาวัตถุ 10 ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆก็จะพูดได้ แต่เพราะว่าพวกเรามีมิตรดีมีศีล นิมนต์พ่อท่านพูดขยายความข้อที่ 3 ได้มั้ยครับ
พ่อครูว่า…ได้ เพราะฉะนั้นก็อธิบายตามข้อ 3 ว่า ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก สำนวนนี้คงติดหู ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4
คำว่าฌานทั้ง 4 คือ สภาพของพลังงานที่เผากิเลส ฌานคือพลังงานไฟ อุณหธาตุ เผาไฟ ราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งเขาพูดมาก่อนแล้ว ฌาน เขาก็พูดมาแล้วแต่เขาไม่พูดกัน ฌานคือไฟ เขาก็ไม่พูด ฌาน เขาพูดกันไปว่าเป็นความเย็นด้วยซ้ำไป ถ้าจิตเป็นฌานก็เย็น ที่จริงแล้ว ฌานมันเป็นไฟ ดีนะ พจนานุกรมบาลีเขายังแปลว่าไฟ แปลว่าเพลิง แต่เขาไปแปลว่าเพ่ง อันนั้นของฤาษี ใช่ฌานฤาษีเอาแต่เพ่ง แต่ของพระพุทธเจ้านั้นไม่เพ่ง ปรุง พัดไฟให้ร้อนเลยไม่ใช่เป็นนั่งนิ่งให้เย็น แต่ทำให้เกิดไฟมากเลยตรงกันข้ามคนละขั้วเลยของพระพุทธเจ้า ฌานปรุงแล้วเป็นไฟ ไม่ใช่ฌานแล้วทำให้เย็น ท่านพุทธทาสก็เหมือนกันบอกว่าเย็น นิพพานแปลว่าเย็น..ไม่ใช่
ผู้ที่บรรลุธรรมะ กำจัดราคะโทสะโมหะได้ ก็มีไฟฌานที่เผาได้สำเร็จ ฌานต้องมีปัญญา มีคู่หู พอฌานกับปัญญาร่วมกันเมื่อไหร่ก็เกิดบุญ เกิดเป็นพระเพลิงใหญ่เลย เผาราคะโทสะโมหะ บุญ คือตัวสำเร็จผลของฌาน กับปัญญา ร่วมมือกัน มีวิธีเผา จนทำพลังงานปัญญาพลังงานฌาน เป็นพลังงานบุญ สลายราคะ สลายโทสะ สลายโมหะได้ ก็ยิ่งเป็นฌานยิ่งใหญ่ เป็นไฟกองใหญ่เลย
ร้อนไหม? ผู้ที่เป็นฌานเสียเองจะไปร้อนทำไม เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับฌาน แต่ คนที่ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ ฌาน แน่นอนทนยาก ใครทนโพธิรักษ์ได้เก่งก็เยี่ยมเพราะโพธิรักษ์สาดฌานอยู่เรื่อย สาดไฟอยู่เรื่อย ไม่หยุดหรอก เพราะฌานนี้เป็นสุดยอด
จะได้ฌาน ก็ต้องรู้จักกระบวนการของธรรมะพระพุทธเจ้าคือ ศีล อปันกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 รวมแล้ว 11 องค์ เป็นกระบวนการใหญ่ที่ก่อให้เกิด ฌาน 1 2 3 4 ของพระพุทธเจ้าเป็นพุทธคุณ 9 แต่ฌาน ฤาษี นั่งหลับาเป็น ชานหมาก หรือชานเรือน หรือนอกชาน มันไม่ใช่ ฌาน ไม่ใช่สภาวะอันนี้ นี่ไม่ใช่พูดเล่นนะ พูดจริงไม่ได้ใส่ความใส่ใคร้ ไม่ได้พูดออกนอกเรื่อง พูดเข้าหาแก่นแท้เนื้อหาสาระธรรมะของพระพุทธเจ้าเลย
_สู่แดนธรรม…พ่อท่าน อธิบายการได้ โดยไม่ยากไม่ลำบาก ในฌาน
แต่คราวนี้ในข้อที่ 3 คำพูดที่เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส
พ่อครูว่า…ที่กำลังพูดนี่แหละเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส สภาวะใช่หมดเลย แต่สู่แดนธรรม กำลังทวงพยัญชนะ แต่ที่พูดนี้พูดเครื่องกำจัดกิเลสแล้วให้เกิดจิตที่สบาย พวกคุณปิดหมดเลยแต่อาตมาทะลุทะลวงเพื่อเปิดจิต เพื่อให้เลิกยึดถือเสียอันนั้นแหละเบื่อหน่าย ไปยึดอยู่นั่นแหละเบื่อหน่ายซะที เพื่อจะได้คลายกิเลสกำหนดต่างๆ จะได้ดับ เพื่อความดับความสงบจากกิเลส ไม่สงบแล้วมานั่งแข็งมานั่งไม่พูดมานั่งไม่คิดไม่ใช่ สงบของพระพุทธเจ้านี้ปราดเปรียวคล่องแคล่วว่องไว เป็นกายปาคุญญตา เป็นจิตปาคุญญตา คล่องแคล่วว่องไวไม่ใช่ไปเฉื่อยเนือย นั่นไม่ใช่ของพุทธ พุทธปราดเปรียวคล่องแคล่วว่องไวทั้งนอกและในเหมือนอย่างโพธิรักษ์ ยังปราดเปรียวน้อยไปนะ แล้วหาว่า เรานั้นยิ่งกว่าลิง แต่จริงๆแล้วมันเร็วยิ่งกว่าแสง นี่ยังน้อยนะ ถ้าถึงแสงเมื่อไหร่คุณเอ๋ย ไหม้คุณไม่เหลือ
ซึ่งมันเข้าใจผิดจริงๆเลยคนละเรื่อง เป็นไปเพื่อการสงบระงับกิเลส กิเลสยิ่งหมดไปเท่าไหร่ยิ่งแคล่วคล่องว่องไวยิ่งปราดเปรียวยิ่งแรงและเร็ว ธรรมะของพระพุทธเจ้ามันจึงเป็นความรู้ยิ่งเร็วไวหมดเลย เป็นความตรัสรู้เพื่อนิพพาน เพราะฉะนั้นกิเลสมันจะแอบมาเล็กน้อยอย่างไรไม่เหลือหรอความเร็วของเรารู้ทันหมด
หลักกถาวัตถุ 10
ทีนี้หลักของ กถาวัตถุ 10 คือ อัปปิจฉกถา, สันตุฏฐิกถา, ปวิเวกกถา, อสังสัคคกถา, วิริยารัมภกถา, ศีลกถา, สมาธิกถา, ปัญญากถา, วิมุตติกถา, วิมุตติญาณทัสสนกถา
อัปปิจฉะ มักน้อยไม่เอามาก ปรารถนาน้อย น้อยที่สุดเท่าไหร่คือ 0 อัปปิจฉะ นี่แปลความหมายก่อน สันตุฏฐิ แปลว่าใจ พอ ยิ่งน้อยเท่าไหร่ยิ่งพอ ใจพอ ไปหา 0 อัปปิจฉะ ไม่ต้องไปมีมากมายหรอก 0 ก็พอ คนนี้เจริญ หรืออนุโลมได้แค่ 1 หรือ 2 ก็พอ อัปปิจฉะ เป็นตัวกำกับอยู่แล้ว ใจที่พอคู่กับอัปปจิฉะ สันตุฏฐิ
ไม่ใช่ไปหาให้มากแล้วพอแต่พึ่งพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ไปถามคุณธนินหรือคุณเจริญได้ เขามีของเขาเขาพอใจของเขาที่มีอยู่ไหม เขาก็ว่าพอใจ เขาก็เป็นคนที่ สันตุฏฐิ สันโดษแล้วสิ ไปถามบิลเกตส์ เพราะฉะนั้นมันไม่พอมันไม่หยุด
ปวิเวกะ แปลว่า ตั้งอยู่ในฐานของวิเวก
วิเวก จากอะไร? วิเวกจากอุปธิ
อุปธิมีอะไรบ้าง?.. 1.กิเลส, 2. ขันธ์, 3. อภิสังขาร ในคุหัฏฐกสุตตทิสเทส
ไกลจากกิเลส ไกลจากความเป็นขันธ์ ที่จริงไม่ใช่ไกลหรอก กิเลสนั้นไกล แต่ขันธ์นี้ต้องรู้จัก อภิสังขาร ต้องทำได้
กิเลสนี้ต้องรู้จัก ต้องจัดการมันด้วย อยู่ในไหน อยู่ในขันธ์ 5 นี่แหละ
ในขันธ์ 5 นี้แยกให้ออก จับตัวให้ได้ จับให้มั่นคั้นให้ตายตัวมันให้ได้แล้วใช้อภิสังขารโดยมี ปุญญาภิสังขาร บุญ เป็นเครื่องมือ ฆ่ากิเลสในขันธ์ประหารกิเลสในขันธ์ ประหารเสร็จบุญก็หายไป ปุญญปาปปริกขีโณ แล้วทำในทุกปัจจุบัน ทิฏฐกาละ ปัจจุบันชาติ
ถ้าไม่มีปัจจุบันไปทำหลับตาในอดีตในอนาคตไม่ได้ ศาสนาพุทธไม่ใช่ ศาสนาพุทธเป็นทิฎฐธรรมนิพพานทิฐิ จะต้องมีความเห็นรู้ว่าจะต้องทำได้ผ่านจะได้นิพพานต้องทำในทิฏฐกาละ ปัจจุบันชาติ ไปทำในอดีตอนาคตไม่มี ทำในปัจจุบันจะต้องมีการตื่นรู้พร้อมกับทุกๆคน ปัจจุบันต้องลืมตา มีตา หู จมูก ลิ้น กาย มีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก แสงสว่าง ครบพร้อมหมดกระบวนการ
อาตมาจะอธิบายละเอียดไปถึงไหนเขาถึงจะค่อยๆตื่นรู้
เพราะฉะนั้นการทำวิเวกนี่แหละจึงเป็นเรื่อง คุหัฏฐกสุตตทิสเทส ที่ท่านอธิบายแล้วเขาไม่รู้เรื่องวิเวกเลย คนที่ปฏิบัติไปสู่นิพพานแต่หยั่งลงจมลงไปอยู่กับความหลง ขึ้นต้นคำอย่างนี้เลยพระพุทธเจ้าตรัส อย่างที่มันเป็น ที่เขาเป็นอยู่พระพุทธเจ้าก็เอาอย่างนั้นมาตรัสว่าไว้ เดียรถีย์ เดี๋ยวนี้ก็กลับไปสู่เดียรถีย์ อาตมาต้องพูดเป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธเจ้าอาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่เป็นลูกเป็นสาระหนึ่งเดียวกันกับพระพุทธเจ้า ก็ต้องเอามาพูดเพราะเขากลับไปเป็นเดียรถีย์อย่างเก่า อาตมาก็ต้องพูดอย่างไม่ผิดเพี้ยนไปจากพระพุทธเจ้าท่านตรัส ก็ลงหยั่งลงสู่ความหลง ไกลจากวิเวก เพราะเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ(คุหัฏฐกแปลว่าถ้ำ) กิเลสเป็นอันมากปิดบังไว้อย่างมืด อยู่ในถ้ำแล้วมีกิเลสเป็นเหมือนก้อนหินปิดอยู่ในถ้ำอีก ตัวเองมีกิเลสติดแน่นเลยยิ่งกว่ากองหินปิดปากถ้ำปิดหมดแล้วรูถ้ำหมดเลย ไปตั้งและจมอยู่ในความหลง พระพุทธเจ้าตรัสไว้หนักแต่เขาไม่รู้สึก ทั้งๆที่เขาเรียนรู้บาลียิ่งกว่าอาตมา แต่เขาก็ไม่รู้สึกรู้สา
ไกลจากวิเวก ไม่รู้จักวิเวกแล้ว เพราะไปหลง สังสัคคะ คือ ประกอบไปด้วยสวรรค์ แล้วใช้พยัญชนะว่าอสังสัคคะ แปลว่าไม่คลุกคลีกับหมู่ แต่ที่จริงว่าไม่คลุกคลี ไปหลงกับสวรรค์ไม่หลงประกอบสวรรค์อยู่ คือ อสังสัคคะ คือสภาวะแท้สภาวธรรมที่อาตมาแปลให้ฟัง ท่านเรียนแต่พยัญชนะแล้วเมากับพยัญชนะไม่ได้เรื่องได้ราว อาตมาก็เจาะลงไปถึงเนื้อแท้
เพราะไม่ได้เรียนรู้เรื่องกถาวัตถุ 5 ทาน ศีล สัคคะ กามาทีนวะ เนกขัมมะคือ อนุปุพพิกถา 5 เป็นเบื้องต้น ของลำดับที่จะต้องควรรู้เสียก่อน
แสดงธรรมไปโดยลำดับ (อนุปุพพิกถา)
-
ทาน การสละ การให้
-
ศีล การชำระขัดเกลา ด้วยเจตนางดเว้น
-
สัคคะ (สวรรค์) .
-
กามานัง อาทีนวัง โอการัง สังกิเลสัง
โทษของกาม ความต่ำทรามของกาม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย . .
-
เนกขัมมะ อานิสัง อานิสงส์การออกจากกาม
คือ ทาน กับศีล คนทำทาน ปฏิบัติศีลเพื่อจะให้เกิด ไปหลงทานหลงศีล แล้วไปหลงว่า ทานได้สวรรค์ ศีลได้สวรรค์ แล้วไปติดยึดสวรรค์ เป็นกามคุณ สมความใคร่อยากได้สมใจ สวรรรค์เป็นกามคุณ ท่านก็บอกว่าไม่ใช่ สัคคะ ไม่ใช่คุณเป็นโทษ เป็นกามโทษ ตัวที่ 4 ของอนุปุพพิกถาคือ กามาทีนวะไม่ใช่กามคุณ 5 กามาทีนวะ คือโทษ แต่ไม่กระดิกหูเพราะติดอยู่ในสวรรค์ กามาทีนวะไม่ศึกษา มันมีคู่เป็นกามคุณก็ไปหลงอยู่ในกามคุณเป็นสวรรค์ สวรรค์ของกามทั้งหมด
สวรรค์ทั้ง 6 คือแหล่งของพญามาร ตั้งแต่ จตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี
สวรรค์ 6 ชั้นเป็นแดนของคนบ้า เป็นแดนของคนเมา เป็นแดนของคนโง่ เป็นแดนของคนที่หลงมีสวรรค์ ศาสนาพุทธไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก หมดสวรรค์หมดนรก นี่เขาไม่กล้าพูดกันหรอกเพราะเขาไม่รู้จริง อาตมารู้จริงอาตมาพูดได้พูดอย่างไม่แคร์ไม่กลัว พูดอย่างไม่เกรงฟ้าเกรงดิน
เพราะฉะนั้นคนที่จะเริ่มต้นสวรรค์ ท่านก็พูดเป็นภาษาที่น่ากลัวไว้แล้วเป็นจตุมหาราชิกา
จตุมหาราชิกา คือพวกยักษ์พวกมาร เขี้ยวโง้ง ตาโปน จะกินๆ ดุ แล้วก็เต็มไปด้วยดาบด้วยหอก ไล่แทงไล่ฆ่าเขาทั้งนั้น พวกยักษ์มาร 4 ทิศ จตุมหาราชิกา พอไปแย่งฆ่าแกงใครเขาได้ก็หลงว่า ตาวติงสา แปลว่าอะไร แปลว่าอาการที่ 33 ตาวติงสะ แปลว่า 33
33 คืออะไร คือวิมานคนบ้า วิมานคนเมา เป็นแดนสวรรค์เป็นแดนที่มันไม่มี ธรรมดามนุษย์นั้นมีแค่ 32 มีทวัตติงสาการ มีแค่อาการ 32 อาการสมดุลของความเป็นอยู่ลักษณะอาการร่างกายทั้งหมดด้วย จิตใจควบคุมอยู่ มีอาการอยู่อย่างสมดุลกลางๆ 32 อาการ
เพราะฉะนั้นอาการที่ 33 คือมะเร็ง คือเนื้องอก มะเร็งพิษเป็นเนื้องอกพิษ ตั้งแต่จตุมหาราชิกาคือยักษ์คือมาร แล้วก็ไปเที่ยวไล่แย่งชิงโลกเขาโลกียะลาภยศสรรเสริญโลกียสุขบ้าๆบวมๆ ไปแย่งสวรรค์ แต่ที่จริง ตัวเองทำเหตุแห่งทุกข์ สวรรค์เป็นเหตุแห่งทุกข์
ฟังอาตมาอธิบายนี่ไม่เขยื้อนไม่รู้จักฟังไม่ขึ้นไม่เข้าใจก็คงหมดแล้วล่ะ อาตมาว่าพูดแรงแล้วนะ พูดจนแหลกละเอียดจนไม่รู้จะเอาหัวหางอันไหนมาอธิบายแล้ว
ทีนี้ยิ่งสวรรค์ต่อจากชั้นดาวดึงส์ คือชั้นที่งมงายใหญ่ ยามา แปลว่า ระยะเวลา คุณอยากได้ไปเลย ยามหนึ่งก็ไม่พอ ยามสองก็ไม่พอ ยามสามก็ไม่พอ เอามายามๆ ยามาคือ เวลาที่ไม่จบ จะไปหลงสวรรค์ดาวดึงส์ เป็นวิมานบ้า
ส่วน ดุสิต เป็นแดนแห่งความพัก มันควรหยุดบ้าง แต่มันไม่หยุด พวกนี้บ้า ดุสิตไม่หยุดไม่พัก ผู้ที่รู้ว่าดุสิตคือแดนพักเป็นโพธิสัตว์ ดุสิต จึงเป็นแดนพักของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์คือผู้ที่รู้โลก รู้อัตตาแล้ว รู้จักพักรู้จักเพียร ถ้าไม่ใช่เป็นโพธิสัตว์ไม่รู้จักดุสิตหรอก ให้พักไม่รู้จักพัก (ไฟดับ แต่ออกอากาศได้)
ดุสิต ยิ่งงมงาย ไม่รู้จักพัก นิมมานรดีก็เนรมิตเอาใหญ่เลย ไม่เอาก็เนรมิตเอาเองเลย ตามที่ต้องการ ตามความประสงค์ต้องการ รติ เนรมิตเองสร้างเอง
จนสุดท้ายไม่พอ มีบริวาร ปรนิมมิตวสวัตตี มาร่วมสร้าง เลยกลายเป็นพวกบ้าทั้ง 6 ทั้งบ้าทั้งเมาทั้งมืดทั้งโง่ สวรรค์นี้คือแดนคนโง่ ฟังไว้ นี่โพธิรักษ์ เป็นคนปากกล้าคนเดียวที่พูดอย่างนี้
ถ้าคุณรู้เข้าใจเลยคุณหยุดสวรรค์หยุดนรก คุณหยุดสวรรค์ก็หยุดนรก รู้ให้ได้ว่า อารมณ์ชอบ อารมณ์ยืนยันเสพความระเริง ทุกอย่างมีหนึ่งเดียวความจริงตามความเป็นจริง ไม่มีหรอกสุข ไม่มีหรอกอร่อยไม่มีหรอกน่าชื่นใจ มีแต่คู่ มีชื่นใจก็มีไม่น่าชื่นใจอยู่ในนั้น มีแต่คู่ทั้งนั้นเป็นภาวะ 2 ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถ้าหากรู้อะไรตามจริงหมด รูปอย่างนี้คืออย่างนี้ เสียงอย่างนี้คืออย่างนี้ กลิ่นอย่างนี้คืออย่างนี้ รสสอย่างนี้คืออย่างนี้ หนึ่งเดียว หนึ่งเดียวรู้ความจริงตามความเป็นจริงจบ อย่าแส่ออกมาจาก 1 ต้องทำดุๆอย่างอาตมาทุกวันนี้ไม่ยังงั้นไม่รู้สึกรู้สา มันยังน้องแนร้ง ไม่รู้จักจบ
ผู้ที่รู้จักรสอัสสาทะโลกีย์ที่มันอร่อย มันหลอกเป็นจอมมารอย่างยิ่งรู้ทันแล้วก็ทุกอย่างมันก็ไม่มีอะไรสัมผัสแล้วก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงมันจบมัน 1 ๆๆ รู้ว่าไอ้ตัว 2 เป็นตัวหลอกทั้งนั้นเสร็จแล้วเราก็รู้ว่าโลกมันมี 2 กับคนอื่นใครจะมาติดมากก็ช่วยกันใครติดน้อยก็ช่วยกันเท่านั้นเท่านี้อยู่ก็ช่วยกัน มันก็เหลือแต่จะช่วยกัน
ไฟมันดับเหลืออีก 11 นาที
อสังสัคคะ อย่าไปหลงประกอบสวรรค์
วิริยารัมภะ ความเพียรของคุณ ความวิริยะพากเพียรคุณก็เอามาใช้ประโยชน์ได้ ประโยชน์ที่จะขนจะทำจากนั้นก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุต วิมุตติญาณทัสสนะ ซึ่งเป็นกระบวนการของกถาวัตถุ 5 ของศาสนาพุทธ
ถ้าคุณปฏิบัติสมาธิไม่มีศีลเป็นตัวตั้ง เช่น ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ หรือเกี่ยวกับคนก็คือสัตว์นั่นแหละ เมื่อสัมผัสสัมพันธ์กับคน คุณก็จะต้องอ่านจิตของคุณให้ได้ว่าคุณรักคุณชัง คุณโลภโกรธ อะไร มีหยาบ กลาง ละเอียดเล็กน้อยก็ล้างให้หมด
จิต จะเป็นสมาธิ ในจรณะ 15 ไม่มีคำว่าสมาธินะ จรณะ 15 วิชชา 8 ปฏิบัติเต็มกระบวนการของจรณะ 15 วิชชา 8 ให้เกิดจิตอุเบกขา ให้เกิดจิตสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลส แล้วจิตตัวอุเบกขานั่นแหละถึงจะมาตกผลึกเป็นจิต จิตสะอาด ตกผลึกเป็นจิตตั้งมั่น เป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์จากจรณะ 15 วิชชา 8 จึงจะก่อเกิดสมาธิได้
นี่สมาธิของพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาจึงได้ฌานสมาธิ มันก็เป็น ฌาน แท้ฌานจบ อุเบกขาเป็นฌานที่ 4 จึงนับเอาบริสุทธิ์ปริสุทธาเป็นตัวแรก ในกระบวน 5 ของอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จึงจะมาสั่งสมเป็นสมาธิ นี่คือสมาธิของศาสนาพุทธเรียกว่า สมาหิโต
สมาธิเป็นคำที่ใช้กลางๆ จนกระทั่งฟั่นเฝือเลอะเทอะ ของพระพุทธเจ้านี้ สมาหิตะหรือสมาหิโต สั่งสมลง ต้องทำจิตอุเบกขาให้ได้เสียก่อน จึงจะมารวมเป็น อัปปนา พยัปปนา ตกผลึกลง แน่วแน่ แนบแน่น เจตโสอภินิโรปนา เป็นลำดับลำดา
ศีลข้อที่ 1 ไปสัมผัสกับคนแล้วเกิดกิเลสอย่างไร แล้วก็ล้างกิเลสทำให้เกิดจิตที่สะอาดขึ้น ทำอธิจิต โดยมีอธิปัญญาช่วยทำ ก็เกิดอธิมุติ หลุดพ้นออกๆ โน้มเน้นไปหานิพพาน อธิมุติ จนมาเป็นวิมุติ อธิเจริญๆมาถึง วิ ไม่มีแล้ว วิเศษ ไม่เหลือแล้ว ทั้งไม่ทั้งวิเศษแล้ว เป็นวิมุติ
เสร็จแล้วก็ทบทวน ตรวจสอบ ให้มี ให้เห็น ให้รู้ ให้ชัดเจน ว่าที่ทำนี้ครบทั้งรูปทั้งนาม ครบทั้งสะอาดบริสุทธิ์ มันสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลสจนแข็งแรงถาวรเป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จริงหรือเปล่า วิมุตติญาณทัสสนะก็ตรวจความจริงอันนี้จนสมบูรณ์แบบครบหมดวิมุตติญาณทัสสนะเลย
สู่แดนธรรม…กถาวัตถุ 10 ก็มี อานิสงส์มาจากการอยู่กับมิตรสหายดี ทำไมท่านสมณะเดินดิน ท่านสิกขมาตกล้าข้ามฝัน จึงได้พูดได้ดี มีการขัดเกลาได้อย่างมีหลากหลายมิติเพราะได้อยู่กับมิตรสหาย มีปฏิภาณเป็นไปพูดเพื่อกถาวัตถุ 10
พ่อครูว่า…เราเอาตำราพระพุทธเจ้า เอาอนุสาสนีพระพุทธเจ้ามากลางอธิบาย มหาบัวก็ดี พวกนักหลับตาปฏิบัติก็ดี พวกฟุ้งไปไม่ได้อยู่ในร่องรอยคำสอนพระพุทธเจ้า เอาพระไตรปิฎกมาขยายความอย่างอาตมาอธิบายพูดนี้ไม่เป็นหรอกพูดไม่ได้ ได้แต่พิลึกพิลือออกป่าสู้กับเสือกับงูใหญ่ มันมีที่ไหนในศาสนาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ที่ไหนเป็นพวกพระล่องไพร เป็นระพินทร์ ไพรวัลย์ มันไม่มี เป็นศาสนาล่องไพร ศาสนาระพินทร์ ไพรวัลย์ เป็นศาสนาเพชรพระอุมา มันไม่มี ศาสนาวิตถาร มันไม่มีอะไรของพระพุทธเจ้า อาตมาก็พูดแรงแล้วนะ มันน่าจะพูดแรงแรง เพราะหอก 300 เล่มแทงเช้ากลางวันเย็น มันไม่กระดิกเลย ไม่แรงไม่รู้จะทำอย่างไร นี่หอกอาตมาก็หักไปอีกเยอะแล้วนะ ไม่ใช่ว่าอาตมาแทงแล้วจะได้ผลนะ จะได้ผลบ้างไหมนี่ ในระยะอีก 100 ปีคงจะกระเตื้องบ้าง
ผลที่คาดว่าจะได้ก็อีกประมาณ 100 ปีคงจะได้อีกสัก มีกำไรสัก 10 บาท 20 บาท
เมื่อไหร่จะเกิดหิริโอตตัปปะ เมื่อไหร่จะเกิดสัทธรรม 7
อาหารสู่วิชชา – วิมุต
-
การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .
-
การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
-
ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
-
การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
-
สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
-
ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
-
สุจริต 3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์
-
สติปัฏฐาน 4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
-
โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)