640305_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1cpXGudJytQjSOsUdjTouTvVzlQuo_dEnBuKEjp08DaY/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1D7AFTtMqx3mrZ9Rrjsv_IXIXpkFTw0_2/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/Dzp7jEZO3gQ
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก เหตุการณ์บ้านเมืองไทยก็มีการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประเทศพม่า ของเรามีการชุมนุมมา 6-7 เดือน แต่ยังไม่มีใครตาย พม่าประท้วงไม่กี่อาทิตย์ตายไป 40-50 คนแล้ว ทำให้เห็นความเป็นประชาธิปไตย ความสงบเรียบร้อยของประเทศไทย มีแต่ฝ่ายพวกชุมนุมอยากให้ตำรวจโมโห ยั่วยุด้วยวิธีการต่างๆ จะให้ตำรวจโกรธ ตอนนี้พวกนักศึกษาชักจะฝ่อและหมดแรง พวกเสื้อแดงก็เลยจะออกมาบ้างแล้ว และพวกนี้แนวโน้มกระทำความรุนแรง ยิ่งรุนแรงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งขาดความชอบธรรม
ตอนนี้นโยบายรัฐบาลพยายามให้แต่ละตำบลแต่ละอำเภอสร้างโคกหนองนาโมเดล ให้งบประมาณลงไป ทางจังหวัดก็กำหนดให้พวกเราไปทำ เพื่อให้เป็นตัวอย่างของจังหวัด อ.ข้าดิน ก็เป็นตัวแทนพวกเราไปอบรม ซึ่งคำตอบอยู่ที่คน จึงจะประสพผลสำเร็จได้ อย่างเพลงสันติภาพ ที่มีประโยคว่า คั้นมาเป็นบุญ
พ่อครูว่า…ฝากคำว่า บุญ คำว่าบุญนี้ยิ่งใหญ่มาก อาตมาจึงเปิดคอลัมน์เปิดยุคบุญนิยมในหนังสือเราคิดอะไร ตอนนี้อาตมาก็กำลังตรวจแก้ความเรียบร้อยอันสุดท้ายเพื่อจะขึ้นแท่นพิมพ์ เล่มหนึ่งออกมาแล้ว เล่ม 2 กำลังจะออกมา เล่ม 3 กำลังทำตามไป แล้วยังมีเล่ม 4 หนาเล่มละไม่น้อยกว่า 500 หน้า คิดดูเถอะ คำว่า “บุญ” คำเดียว มันจะต้องขยายความ
คือมันเป็นความลึกซึ้งซับซ้อน สภาพคัมภีราวภาโส เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ขนาดอาตมาพยายามให้สู่แดนธรรม เขียนแผนภาพ แต่ทำไม่ได้ เพราะมันมากซับซ้อนจนกระทั่ง เครื่องหมดปัญญา ที่จริงเครื่องไม่หมดปัญญาหรอก แต่เราไม่สามารถตั้งโปรแกรมให้มันซ้อนมากขนาดนั้น หากมันซ้อนมากขนาดนั้น คนก็จะดูไม่รู้เรื่องอีก เพราะเส้นมันจะซ้อนจนไขว้จนกระทั่งหารูไม่ได้เลย อาจจะเจอรู แต่หาเส้นต่อกันไม่เจอเลย มันซ้อนกันหลายชั้นมากเป็นร้อยพันหมื่นแสนล้านชั้น เป็นอย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เกินกว่าจะคิด มันเกินสุดที่จะคิดไปได้เลย มันเป็นไปได้อย่างไง incredible
เริ่มต้นด้วย sms
SMS วันที่ 03 – 04 มี.ค. 2564
โมฆบุรุษ และเดรัจฉานกถา ใช้ได้ทั้งนักบวชและฆราวาส
_ฟอด เทพสุรินทร์ : ขอน้อมกราบนมัสการ พ่อครู ด้วยความเคารพยิ่งครับ ผมขอกราบเรียนถาม พ่อครูในคำว่า โมฆบุรุษ จะใช้ได้ทั้งนักบวชและ ฆราวาส แต่คำว่าเดรัจฉานกถา นั้นจะใช้เฉพาะนักบวช หรือเปล่าครับ
พ่อครูว่า…โมฆบุรุษ คือ คนที่เกิดมาในชาติหนึ่งใช้เวลาทิ้งไปเปล่า ไม่ได้คุณธรรมที่ควรจะเป็นโดยเฉพาะโลกุตรธรรม โดยเฉพาะเกิดมาในชาตินี้ สัมมาทิฏฐิยังไม่ได้เลยอย่างนี้ก็มีเยอะ อาจจะรู้ดีรู้ชั่ว แล้วพยายามสร้างความดีในแต่ละชาติ แต่ไม่ได้โลกุตรธรรม เข้าใจโลกุตรธรรมไม่ได้ โดยเฉพาะชาวพุทธ ที่พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของโลกุตรธรรมที่ค้นพบและเอามาประกาศแก่มนุษยโลก เพราะฉะนั้นชาวพุทธนี่แหละเป็นโมฆะบุรุษแท้ ส่วนพวกที่ไม่ใช่ชาวพุทธนั้นต้องเห็นใจเขา เขาไม่รู้เรื่องโลกุตรธรรม ตามประสาของเขา เขาไม่รู้เรื่อง เขาเกิดมาก็เอาแต่ดีๆๆ ดีมากสุดแล้วตายไปชาติหนึ่ง ได้ดีมากๆก็ลืมดีลืมต้น ได้ดีปลายก็ลืมต้น วนมาทำชั่ว หลงว่าชั่วเป็นดี วนเวียนดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดีอย่างนั้น เพราะคนเรามีสิทธิ์ลืม ซ้ำของเดิมได้เพราะโลกมันก็หมุนอยู่ 2 อย่าง ดีกับชั่ว ไม่รู้จักจบแล้วยาวนานมากมาย ไม่มีอื่น
โลกุตระจึงมีอื่นออกมาว่า หยุดทีเถอะภาวะสอง คือหยุดดีชั่ว เลิกเลย ดีก็เป็นมายา ชั่วก็เป็นมายา แต่เอาละ ในประเด็นว่าดีมันดีกว่าชั่วไหมล่ะ ก็ใช่ แต่ดีที่ดีกว่าชั่ว มันจำเพาะในแต่ละกาละ แต่ละยุคๆ แต่ละหมู่ชนที่สมมุติกันไป มันมีความแตกต่างซ้อนอยู่ในความไม่เที่ยงแท้ นี่มันลึกซึ้งไปอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้รู้ว่ามันซ้อน สอนให้รู้ทั้งว่า 1 ที่ดีคืออะไร จึงสอนทีละคู่ๆ เทวะ แล้วให้รู้จักกาละ เทศะ ฐานะ ตามสัปปุริสธรรม 7 ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ธัมมัญญุตา อัตถัญญุตา มีทั้ง 2 อย่าง แล้วก็จะต้องรู้จักการประมาณ รู้จักการจัดสรรว่า 2 อย่างนี้เมื่อใดแล้วก็ต้องไปถึง กาลัญญุตา แล้วก็ต้องไปถึงหมู่กลุ่ม ปริสัญญุตา แต่ละหมู่แต่ละหมู่กลุ่มก็จะกำหนดกัน ตามกาละโอกาส หรือแต่ละบุคคล ปุคคลปโรปรัญญุตา ต้องรู้ธรรมะ รู้อรรถะ เรารู้ตัวเอง อัตตัญญุตา มัตตัญญุตาค่าเฉลี่ยทั้งเหตุผลตัวเราเองทั้งกาละเวลาและหมู่กลุ่มทั้งแต่ละบุคคล นี่เป็นสูตรสำเร็จของพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่มากเลย ถ้ามาจัดสรร เอามาสรุป 7 ตัวนี้ ยิ่งใหญ่มาก แต่ขนาดนั้นก็ยังมีมหาปเทส 4 ขึ้นอยู่กับแต่ละยุค ยุคที่มีการกำหนดซ้อนกันอีก กัปหรือกาละที่รวมเอาขนาดไหน ย่อลงมาน้อย จนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้าองค์เดียว พุทธกัป มีเท่านี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายพระองค์ ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม เป็นพุทธกัป ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม 5,000 ปี ขององค์อื่นก็มีตั้งเป็นแสนปี ก็แต่ละองค์ ซึ่งก็เป็นการกำหนด แล้วเราก็จะรู้ตามกำหนดว่ามันชัดเจน ตามสื่อภาษาที่บอกทุกอย่างเป็นสภาวะต่างๆ
โมฆบุรุษ ก็มีทั้งนักบวชและฆราวาสได้ทั้งคู่
เดรัจฉานกถา ก็มีได้ทั้งคู่เหมือนกัน ไม่ได้มีเฉพาะนักบวช แต่นักบวชนั้นจะต้องศึกษา ฆราวาสไม่ได้ศึกษา เขาก็จะพูดไม่ได้ง่ายๆ คำว่าเดรัจฉานกถา คือคำพูดที่เป็นเดรัจฉาน ไม่ได้ด่านะ แต่เป็นคำพูดที่ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน มันไม่ถูกต้องตามทางที่จะพาไปนิพพานหรือขวางทางนิพพาน เป็นคำพูดที่ไม่สอดคล้อง พาไปหานิพพานเลย มันหมุนวนเป็นโลกียะไม่เป็นโลกุตระเลย นั่นคือเดรัจฉานกถา โมฆบุรุษ ก็เป็นได้ทั้งฆราวาสและพระนักบวช สูญเปล่า เกิดมาชาติหนึ่งๆ หรือพูดไม่เป็นไปทางเพื่อนิพพาน ก็เป็นได้ทั้งพระทั้งฆราวาส และไม่จำเป็นต้องให้เฉพาะพระเท่านั้น ฆราวาสนี่แหละ ยิ่งตัวดี ถ้าพวกเราศึกษาแล้วก็ไม่พูดเดรัจฉานกถา พูดไปอย่างนั้นเสียเวลา อาจจะอนุโลมพูดกับเด็กเล็กๆ เขายังไม่รู้เรื่องไม่ประสีประสา หรือแม้แต่คนข้างนอกคนนี้ยังไม่ได้เข้าโลกุตระ ยังไม่เข้าใจทางไปนิพพาน ก็เอาแค่ความดีความชั่วกับเขาพูดอนุโลมไปกับเขา ถ้ามีเวลาไม่มากก็พูดพอประมาณ มีเวลามากก็พูดกับเขามากหน่อย คนนี้ควรช่วยมากหน่อย หรือคนนี้น่าจะเข้าสู่โลกุตระได้ก็ลงทุนหน่อย ถ้าใครที่ไม่น่าลงทุนเลย ยังเอาอัตตาเป็นใหญ่ ถ้าไม่ได้สมใจแล้วลาออกจากอโศก ไอ้อย่างนี้อาตมาว่า ก็คงจะไปที่ชอบที่ชอบ วนเวียนอยู่ในนรกอเวจีนานเลยนะ
ผ้าจีวรของภิกษุต้องมีขันธ์ หรือไม่
_เมตตา โพธิสุทธิ์ : กราบนมัสการพ่อเฒ่าด้วยความเคารพบูชายิ่งค่ะ ขอกราบเรียนถามพ่อเฒ่าเกี่ยวกับเรื่องผ้าจีวร หรือ ผ้าไตรจีวร ซึ่งเป็นเครื่องนุ่งห่มสำหรับพระภิกษุ และสามเณร 3 ข้อดังนี้
-
พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ ในพระธรรมวินัย หรือไม่คะ
-
มีหลักการตัดเย็บ ให้เป็นไปตามพระวินัย. และมีแบบที่เป็นมาตรฐานแน่นอนหรือไม่คะ
-
คำกล่าวว่า “หากตัดเย็บไม่เป็นไปตามวินัย นั้นก็ถือว่าไม่ใช่ ผ้าไตร พระใช้ก็เป็นอาบัติ”
ข้อความนี้ถูกต้องหรือไม่คะ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า…เอาละอาตมาขอตอบรวมๆไปก่อนว่า เรื่องจีวรคุณอย่าไปยุ่งอะไรมากนัก ผ้านุ่งห่มก็มีโตใหญ่พอสมควร มีขนาดกว้างยาวเท่านั้นเท่านี้ ที่พระพุทธเจ้าท่านกำหนดเอาไว้ประมาณไม่ใช่เอาตายตัวเป๊ะๆ มากกว่าหน่อย ยาวกว่าหน่อยแล้วแต่ละคน คนนั้นตัวใหญ่ไม่เท่ากัน เช่นตัวเล็กก็ไม่ต้องกว้างยาวใหญ่มาก คนตัวโตก็กว้างยาวใหญ่มาก สิ่งที่พอเหมาะพอควร พระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้ในพระธรรมวินัยหรือไม่..ก็ไม่ได้กำหนดตายตัวในผ้านุ่งห่ม มีนัยยะกำหนดคือว่า ให้หนักไปในทางผ้า อย่าไปหลงโลก ผ้าราคาแพงหรูหราฟุ่มเฟือยสดสวยงดงาม อย่าไปหลงอย่างนั้น ถ้าใครสามารถใช้ผ้าสีหมองผ้าที่เขาทิ้งแล้วเรียกว่า บังสุกุล (ผ้าไม่มีเจ้าของแล้วเขาทิ้งแล้วคลุกขี้ฝุ่น บังสุกุละ คือ ขยะแล้ว) แต่ผ้ามันยังดี พอจะใช้ได้ เช่น ผ้าห่อศพมันเปื้อนน้ำเลือดน้ำหนองแต่ผ้ามันดีนะ ส่วนมากเขาจะเอาผ้าใหม่ๆห่อศพ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าชอบกัน ถ้ามันยังดีอยู่เป็นแต่เพียงเปื้อนน้ำเลือดน้ำหนอง เขากลัวเรื่องวิญญาณเรื่องของผีความสกปรกก็ไม่ใช้ เรามาเอาใช้น้ำย้อมสีคล้ำก็กลบสีน้ำเลือดน้ำหนองได้แล้ว จึงกลายเป็นผ้าย้อมน้ำฝาด แต่ทีนี้ไปกำหนดเป็นตารางอย่างนั้นอย่างนี้
อันนี้มันมีเรื่องว่าพระอานนท์ท่านเป็นนักเก็บผ้าบังสกุลมา มีกฐินหรือจอสดึง ไปเก็บผ้ามาได้ ผ้าทิ้ง ท่านก็เอามาตัด ตัดให้มันเป็นสี่เหลี่ยม มันก็จะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัส เอาที่มันจะได้ขนาด ก็เอามาเย็บต่อกันไว้ ตรึงไว้ ได้มาอีก เอามาเย็บต่อ กว่าจะได้ผ้าเต็มจอผืนใหญ่มันก็เป็นช่องๆๆๆ มันไม่ได้เท่ากันทีเดียวหรอก แต่ทีนี้ คนก็ว่าไม่ได้รูปร่างดีก็มาจัดให้เป็นแถวเป็นแนว มันก็เรื่องเป็นความประดิษฐ์ประดอย ตอนหลังไม่ใช่ผ้าบังสกุล แต่ก็มาตัดเย็บเป็นช่องๆก็กำหนดเอาเองพระพุทธเจ้าไม่เคยกำหนดหรอก เขาบอกว่าต้องเป็นผ้ามีขันธ์ ก็เอาเลขสวยๆมากำหนด มันเป็นเรื่องวุ่นวายของคนคิดมาก คนกำหนดมาก ก็หลงติดยึดกันไปเอง
อาตมาว่า อย่างชาวอโศกมีผ้าผืนเดียว ก็เย็บขอบหน่อยไม่ต้องมีขันธ์ ดีไม่ดี พวกผ้าตัดใหม่ แต่เขาไปตัดให้เป็นช่อง นี่เรียกว่าพวกโง่แต่ขยัน เขาบอกว่าถ้าไม่มีช่องก็ถือว่าไม่ถูกต้องเป็นอาบัติ ซึ่งกำหนดเอาเอง ไม่มีคำสอนพระพุทธเจ้ากำหนดให้เป็นอาบัติ
_อุ่นเรือน เกิดพินธ์ : สาธุพ่อครูคือกุญแจดอกสำคัญที่จะไขความจริงเจ้าค่ะ
ญาณ 3 ข้อแรกของ ญาณ 7 พระโสดาบัน
_สติพล จนพัฒนา : **ญาณข้อที่1ของพระโสดาบันมีอยู่ 3 ประเด็นคือ..1กำจัดปริยุฏฐานกิเลสคือนิวรณ์ทั้ง5อย่างได้ 2ไม่สงสัยโลกนี้โลกหน้า และ 3ไม่ทิ่มกันแทงด้วยหอกคือปากอยู่..สาธุ.
พ่อครูว่า…อาตมาก็ขอไขความจริง ที่มันละเอียดกว่านั้น
ข้อ 1. กำจัดปริยุฏฐานกิเลสคือนิวรณ์ทั้ง 5 อย่างได้ จริงๆแล้วนิวรณ์ 5 นั้นถูก
ปัญญาข้อที่ 1 คือกำจัดกิเลสวีติกมกิเลส 2 ปริยุฏฐานกิเลส 3 อนุสัยกิเลส
ขั้นแรกคือหยาบ ถือว่าขั้นต้น ขั้นหยาบ อบายหรือขั้นกามต้นๆ ปัญญาขั้นที่ 1 ต้องรู้ขั้นต้น แล้วก็ทำให้กิเลสขั้นต้นล้างหายไป เรียกว่า วีติกมกิเลส เรียกว่าหมด เหลือขั้นต่อไปคือปริยุฏฐานกิเลส ผู้ที่สามารถทำให้กิเลสขั้นต้นหมดไปเรียกว่าพระโสดาบัน นับตั้งแต่พระโสดาบัน เป็นต้นไปได้เป็นผู้ที่หมดกิเลสวิติกมกิเลส มันพ้นกิเลสอันหนึ่งได้แล้ว เหลือกิเลสขั้นที่สองคือปริยุฏฐานกิเลส โสดาบันคือผู้ที่ทำปริยุฏฐานกิเลสอยู่ คุณคนนี้ว่าทำปริยุฏฐานกิเลสได้แล้วซึ่งไม่ใช่
-
ไม่สงสัยโลกนี้โลกหน้าคือโลกโลกียะกับโลกุตตระก็โอเค
-
ไม่ทิ่มแทงกันด้วยหอกปากอยู่ ก็ผิดอีก โสดาบัน ยังทิ่มแทงกันด้วยหอกปากอยู่ เอาให้ชัดๆ ยังมี ยังมีปริยุฏฐานกิเลสอยู่คือนิวรณ์ 5 ย่อมวิวาทกันด้วยหอกหรือปากอยู่ อย่าว่าแต่โสดาบันเลย เลยโสดาบันแล้วยังทำอยู่เลย ไม่ต้องพูดแล้วโสดาบันยอดนักหอกแต่ไม่ทำร้ายร่างกาย อาวุธทำร้ายคนอื่นมีแต่ปากเป็นหอก จะไม่กระทบร่างกาย จะไม่ไปทำร้ายร่างกายผู้อื่น ไม่ มีแต่ปากหอก จะเจ็บกันก็คือปากหอก ไม่ได้ถูกเนื้อถูกหนังก็เจ็บตรงใจที่ยึดมั่นถือมันเจ็บตรงใจ เจ็บใจ ซัดหอก กันไปกันมา ถ้าโสดาบันก็มีสงครามคือปากหอก
สกิทาคามีก็ลดลงไปตามลำดับ อนาคามีก็เข้าใจแล้ว คนที่มีหอกก็ชอบซัดหอก อย่างโพธิรักษ์ชอบซัดหอก แต่ไม่ไปแย่งซัดกันไปกันมา หากเห็นว่าเขาซัดกันไปกันมา อาตมาจะหลบ แต่ถ้าอาตมานั้นจะซัดช่วยเขา ยิ่งเขาไม่ตอบโต้เลยก็จะรู้ว่าเขาเข้าใจ อาตมาก็จะให้เขาด้วยเจตนาปรารถนาดี จะดูเหตุการณ์ที่จะเกิดโต้ตอบอย่างไรพอเหมาะอาตมาก็จะรู้ ว่าควรทำไม่ควรทำเท่าใด
กลียุค กับ บุญเก่าและบุญใหม่เป็นเช่นไร
_นุช ไทยเจริญพร : โลกนี้ช่วงนี้วุ่นวายนักเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…โลกยุคนี้ใกล้กลียุค ก็ย่อมวุ่นวายเป็นธรรมดา ก็จะไม่สงบเรียบร้อยกันหรอก ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่สบาย นานๆจะมีคนกระเหี้ยนกระหือรือกิเลสแรง เลยไปรุกรานคนอื่นเขา ทุกวันนี้ก็เลยมีความต้องการกันเยอะ รุกรานกันเยอะ ต้องการเป็นใหญ่ ต้องการที่จะโลภโมโทสัน เอาเปรียบใครให้ได้ ต้องการที่จะ ชนะคะคานกันอะไรก็แล้วแต่ซับซ้อน
ถ้าไม่ศึกษาโลกุตรธรรมที่มีความ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
พยัญชนะของพระพุทธเจ้าเก็บเอามาไล่รายละเอียด ซาบซึ้งทั้งนั้น มันลึกซึ้ง ซับซ้อนต่างๆนานา ยากที่คนสามัญปุถุชนจะหยั่งรู้กันได้ง่ายๆ ผู้มีภูมิธรรมระดับอริยะขึ้นไปจึงจะค่อยๆรู้ และไม่ได้รู้หมดทีเดียว ก็ค่อยๆรู้ไปตามลำดับๆ โลกวุ่นวายจริง เพราะมันใกล้กลียุคดังกล่าว เราอยู่ในเสนาสนะที่เป็นชมพูทวีปอย่างประเทศไทย เป็นแดนชมพูทวีปที่มีฤทธิ์ มีธรรมฤทธิ์ มีราศี รังสี กัมมันตภาพรังสี กันความรุนแรงวุ่นวายจากภายนอกเข้าได้ ซึ่งเป็นความลึกซึ้งอจินไตย ขบคิดเอาเองไม่ได้หรอก เป็นความลึกซึ้งมากเลย ว่า เราไม่มีความรุนแรงโต้ตอบ แต่มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่ต้านความรุนแรงได้ นี่เป็นเรื่องไม่ใช่ปากพล่อยพูดพล่อยนะ แต่เป็นเรื่องที่สุดลึกซึ้ง มันต้องมีเองแล้วก็ปรากฏได้ อันนี้อาตมาเอง เป็นผู้ที่รู้จักอันนี้ แล้วก็พาทำอันนี้มา ในประเทศไทยนี่แหละ ตั้งแต่เริ่มไปทำในรอบกว้าง ตั้งแต่ออกไปสู่สังคมการเมืองพาทำกันไป แล้วอาตมาก็ไม่ได้กำหนดตัวว่า เป็นเจ้าลัทธิเป็นเจ้าใหญ่เป็นเจ้าของ ก็มีคนอื่นมีแสดงตัวเด่นกว่าอาตมาเยอะแยะ มีสุเทพ เทือกสุบรรณ มีพลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ แต่ดูเหมือนจะเป็นสุเทพ เทือกสุบรรณ เด่น ในงานนั้น ก็คืองานปราบรัฐบาลยอดแย่ จริงๆคือ รัฐบาลทักษิณ จนเดี๋ยวนี้ก็ยังมีเหลือเศษๆเหลือๆอยู่เลย ยังไม่หมด
คืออาตมาว่า ถ้าทักษิณ ขออภัยพูดตรงๆถ้าทักษิณยังไม่ตาย อาตมาว่าแกไม่หยุดหรอก
-
แกหมดทรัพย์ หมดแรง หมดอำนาจที่จะมายุแหย่ให้คนอื่นด้วยอำนาจเงินอำนาจคนหลง คนหลงทักษิณก็ยอมสู้ตายด้วยไม่ต้องให้เงินก็ได้ตายแทนได้ก็เขาก็ทำ ก็เป็นธรรมชาติธรรมดาของคน ที่หลงยึดติดหลงยกย่องกัน ก็เป็นไป แต่เห็นได้ว่าโรยราลงเรื่อยๆ แต่ก็ยังมีพวกที่คิดว่า ถ้าทักษิณตายไปข้าจะแทนทักษิณ จะพยายามเป็นตัวตายตัวแทนก็มีอยู่บ้าง ก็แอคอาร์ทกันไป
คุณลองคิดดูดีๆเถอะอาตมาจะบอกความซับซ้อนลึกซึ้ง อย่างหนึ่ง คนไม่ฉลาดพอไม่รู้ คือ ผู้ที่ปฏิบัติการเหมือนว่าจะทำตัวให้เหมือนทักษิณ คุณไม่ได้จบวิชาการอาชญวิทยา คือ วิทยาการทางอาชญากรรม ความเลวร้ายซุกซ่อนวิธีการซับซ้อนของคนเลว อาชญะ เขาไปจบด็อกเตอร์อาชญวิทยามานะทักษิณ คุณเป็นใคร คุณจบอาชญวิทยา ปริญญาตรีหรือโทหรือปริญญาเอกเท่าทักษิณไหม อย่าผยองเลย คนที่เป็นตัวอย่างชัดเจน คนระดับปริญญาเอกอาชญาวิทยามาทำแล้วเห็นไหมมีฤทธิ์เดชมาก จนป่านนี้ยังไม่เสร็จสิ้น แล้วคุณจะเอาอย่าง คุณไปเรียนอาชญวิทยาให้จบด็อกเตอร์เช็คก่อนสิ แล้วโกงเอาเงินมาให้มากๆ หาพวกให้ได้มากๆสร้างบุญคุณให้คนนับถือให้มากๆ คุณลองทำดู ยังไม่มีเหตุปัจจัยในคุณเลยอย่าแอคเลย เห็นช้างขี้อย่าขี้ตามช้างเลย บ่มีไก๊หรอก
เพราะฉะนั้นในเรื่องรัฐทั้งหลายแหล่ ที่อาตมาหยิบเอามายืนยันเอามาพูด ใช้ศึกษาเถอะแล้วจะรู้ความซับซ้อนอีกเยอะมากในมนุษยชาติ อาตมาเองอาตมาไม่ยุ่งเกี่ยวจะไปแย่งอำนาจโลกีย์ หรือแม้แต่อำนาจทางธรรมก็ไม่แย่ง แต่อาตมาเต็มใจทำงานทางธรรม โลกีย์นั้นตัดทิ้งเลย ไม่แย่งไม่อะไรทั้งนั้น ไม่ไปออกฤทธิ์ออกแรงอะไรทั้งนั้น มีตามบารมี
คำว่า บารมี ไม่ใช่บุญ แต่คำว่า บารมี นี่ เป็นเรื่องของผู้ที่สามารถเข้าใจบุญ และทำบุญมีผลสำเร็จ บุญ เป็นปัจจุบันธรรม เป็นพลังงานที่สร้างขึ้นได้ในปัจจุบันธรรม แล้วมีหน้าที่ล้างจิตวิญญาณตัว กลิ จิตวิญญาณที่เป็นตัวโทษตัวภัยในมนุษยชาติ ตั้งแต่ของตัวเองล้างหมดเป็นอรหันต์แล้ว ก็ให้คนอื่นรู้ตัวแล้วล้างของตนเอง ล้างให้กันไม่ได้ ไม่มีใครจะล้างกิเลสให้ใครไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ล้างกิเลสให้ใครคนอื่นไม่ได้ ได้แต่บอกให้เข้าใจแล้วไปทำอย่างนี้ ไปสร้างพลังงาน ฌาน เป็นไฟ เป็นอำนาจฤทธิ์แรง แล้วในฌานมีปัญญา
ปัญญามันจะรู้แจ้งว่ากิเลสมันตัวนี้ตัวภัย แล้วฆ่ากิเลสแท้ๆ ตัวปัญญา ไม่ทำให้ไประแคะระคายเคืองแก่จิตสะอาด ไม่เลย บุญมีปัญญา ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิจัยได้ละเอียดมากเลย แล้วทำลายแต่สิ่งที่ควรทำลายได้อย่างมีสัดส่วน ยอดเยี่ยมเลย นี่เป็นความละเอียดลึกซึ้งที่อาตมาพยายามขยายความจริงให้ฟัง มันไม่ง่าย แต่มันได้จริงๆ มันเป็นจริงไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไรแก่อะไรเลย ตั้งแต่ หยาบ กลาง ละเอียด ทั้งหมดเลย หยาบก็ไม่มีไปละเมิด ยิ่งกลางเข้าไปก็ละเอียด ไม่ละเมิด ยิ่งละเอียดก็ยิ่งไม่ละเมิด ที่จริงละเอียดก็ไม่มีอะไรที่ละเมิดอีกแล้ว เข้าไปหาความหมด นี่คือนัยยะสำคัญของบุญ
และบุญเก่า บุญใหม่ ก็ยากที่จะเข้าใจกัน เมื่อกี้พูดถึงบุญเก่า บุญใหม่
เช่น บุพเพกตปุญญตา คนเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ บุพพะ กับ กตนะ
กตะ ที่บุญ มันจัดการมาแล้ว กตะ แปลว่า เสร็จแล้ว จบแล้ว
บุญที่ทำหน้าที่แต่ก่อน ชาติไหนก็แล้วแต่ คุณได้ทำพลังงานเป็นบุญกำจัดกิเลสนั้นหมดมาแล้วเสร็จแล้วนะ กตญาณ เสร็จแล้วจบแล้วได้แล้วนะ คุณไม่ต้องใช้บุญอีกแล้ว บุญไม่มีมานะ ซับซ้อนไหม คุณเสร็จแล้ว บุพเพกต บุญสำเร็จเรียบร้อยแล้วไม่มีมาอีกนะ มีแต่จิตสะอาดจากกิเลสอันนั้นมาอย่างแข็งแรง นี่คือบารมีของผู้ที่ทำ บุพเพกตปุญโญ
เพราะฉะนั้นคำว่า ปุพเพกตปุญญตา คนไม่มีความรู้ละเอียดอย่างนี้ จะบอกว่าบุญมีแท่งมีก้อนมีแต่บุญเก่ามา ซึ่งบุญไม่มีตามมา ยากไหม? …เงียบ แสดงว่ายาก บางคนบอกไม่ยาก เห็นไหมยาก ตรงที่ว่า ถ้าว่าไม่ยากทำไมไม่รีบตอบ แสดงว่า ยาก
ขนาดพวกคุณนะฟังเรื่องนี้มาถึงพันถึงแสนครั้งหรือไม่นะ อาจจะถึงหรือกว่าแล้วก็ได้ ใช่ไหม เห็นไหมว่ามันไม่ง่าย คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ไม่ง่ายที่จะเห็นตามรู้ตาม มันสงบเนียนลึกซึ้งซับซ้อนหลายชั้นมากเลย สุขุมประณีตละเอียด เดาไม่ได้ อตักกาวจรา คาดคะเนเอาไม่ได้ต้องเจอสภาพเอง มันละเอียด นิปุณา อาตมาไม่รู้จะแปลภาษาไทยว่าอะไร มันละเอียดขั้นนิพพาน ไม่รู้จะใช้พยัญชนะอะไรมาสื่อ คนที่เข้าไปถึงสภาวะของนิพพาน ซึ่งเริ่มตั้งแต่มีจิตสะอาดจากกิเลสเป็น ปริสุทธา แล้วจะมีปริโยทาตา แล้วจิตจะมีสภาวะ 2 มุทุภูตธาตุ จะได้มากได้ดีได้แนบเนียนเก่งทั้งสองสภาพสะสมจึงสามารถทำกรรมได้ดี เหมาะควร ไม่มีผิดพลาด ทุกกรรมทำได้เหมาะสม จึงเป็นกรรมที่ไม่มีโทษเลยรับรอง รับรองด้วยคุณสมบัติพิเศษ ไม่มีใครรับรองต้องของคุณวิเศษเอง ของผู้นั้นเอง เจ้าของเองรับรองเป็นจริง ซื่อสัตย์จริงใจทำได้ เป็นจริงอย่างนั้นเรียกว่ากัมมัญญา จะทำกรรมอีก เจอกับโจทย์อีกเท่าไหร่ก็ไม่มีเพลี่ยง ไม่มีพล้ำ ไม่มีเสียหลัก ไม่มีเสียท่า ผ่องใสสะอาดอยู่ตลอดกาลนาน ประภัสสร
อาตมาหยิบสภาวะมาขยายเป็นภาษาไทยๆแปลให้ฟังแต่ละคำ บุญเก่า มันเป็นคำสองคำ คำว่า บุญตามมาใหม่ บุญเก่าตามมาไม่มี บุญเก่าไม่มี บุญมีแต่บุญปัจจุบัน จะเรียกว่าใหม่ก็ใหม่ปัจจุบัน หมดปัจจุบันแล้วไม่มีบุญ อนาคตยังมาไม่ถึง คุณกำลังทำพลังงานฆ่ากิเลส ขณะนี้มันกำลังทำสงคราม สรณะ ประกอบสงครามกันอยู่เลย กำลังทำปฏิกิริยาของเหตุปัจจัยที่กำลังเกิดทันทีทันใดบัดนี้ คุณก็ล้างกิเลสขณะนี้ปัจจุบัน มันก็คือพยายามสร้างพลังงานให้เป็น ไฟฌานขึ้นมาล้าง สู้กับกิเลสทำลายกิเลส คุณทำลายกิเลส จบได้ เผด็จศึกได้ จึงชื่อว่าบุญ ฌานกับบุญ ตัวเดียวกัน แต่คำว่าบุญมันคือตัวสำเร็จงานของฌาน ไฟเท่านี้ จัดการสลายกิเลสสำเร็จเรียกว่า บุญ
เพราะฉะนั้นคุณทำได้เสร็จจบ บุญมันหมดอาสวะสิ้นก็จบเรื่อง แต่ถ้าบุญคุณไม่สำเร็จยังไม่จบ อาสวะยังเป็นได้แค่เพียงบางส่วน 100 คุณได้สัก 20 ได้สัก 30 ได้สัก 50 มันก็เลยอีกส่วนหนึ่งเพราะคุณเป็นแค่เสขบุคคลต้องทำต่อ สร้างบุญให้ล้างก้อนกิเลสก้อน 100 นี้ให้หมด 100 ถ้ายังไม่หมด 100 ก็คือมีส่วนบุญ ได้ทำไปบางส่วน ที่เหลือก็ทำให้หมด เป็นเสขบุคคล หมดแล้วก็ อเสขบุคคล ก็ไม่ต้องทำอีก การศึกษาจบกิจ หมดกระบวนการที่จะรบ อรณะ ไปเป็นส่วนๆ ไม่มีสงครามอีกเรื่อยๆ อย่างนี้ต่างหาก
เพราะฉะนั้นคำว่าบุญเก่าและบุญใหม่เป็นพยัญชนะที่คลุมเครือ ถ้าไม่รู้สภาวะแล้วอ้างอธิบาย บุญเก่าบุญใหม่ จะอธิบายไม่ได้ง่ายๆ
พลังงานสัมประสิทธิ์ระดับคูณและยกกำลังของพ่อครูในการขยายอายุขัย
วันนี้วันที่ 5 มีนาคม 2564 วันนี้จึงเป็นวันที่อาตมามีอายุมาถึง 86 ปี 9 เดือน เต็ม พรุ่งนี้ก็ 1 วัน เลย 9 เดือน 1 วัน ไปถึง มิถุนายน 2564 เต็ม 86 ปี ขึ้น 87 ปี ก็จะไล่อายุ 87 ปี ไปในปี 2564
จนถึง 6 เดือนของ 2564 ก็จะถึงครึ่ง พอมกราคม 2565 ก็จะเป็น 7 เดือน ข้ามกรอบของ 6 อะไรจะต้านทานยากมันจะฉลุยไปเป็น 8 เป็น 9 นะ เพราะฉะนั้นจะไปเต็มเอาตามที่อาตมาพูด
ถ้ากำหนดไม่แม่นจะเหลื่อมหน้า เหลื่อมหลัง เหลื่อมบนเหลื่อมล่าง ได้ง่าย เป็นการกำหนดอายุยังชีพ อาตมามีชีวิตขนาดนี้ ก็ยังนึกอยู่ว่า เราประคองขันธ์ 5 นี้มาได้ ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองตายแล้ว 72 ปี แต่ก็พยายามสร้างพลังงานสัมประสิทธิ์พิเศษ ตามที่มีความรู้ซึ่งก็ยากที่จะเข้าใจ พวกเราก็พยายามทำความเข้าใจทั้งพยัญชนะ 8 อ. เป็นต้น เรื่องของจิตวิญญาณยิ่งยากใหญ่ ก็พยายามประสมส่วนรูปนาม มีทั้งสภาพสภาวะของวัตถุ สภาวะของอีกอันหนึ่งที
ถูกรู้เรียกว่ารูป กับสภาวะจิตของเราร่วมกันเป็น mc ทำงานร่วมกัน ผสมผสานสังเคราะห์ให้เกิดการก้าวหน้ามีอัตราการก้าวหน้ามีพลังงานที่จะต้อง มีผลเจริญ มีอัตราการก้าวหน้ามีผลเจริญ
เจริญอย่างไร เจริญแบบสร้างสรร สร้างสรรต่ออายุขัย ทั้งกำลังกาย กำลังใจ ทั้งองค์ประกอบดินน้ำไฟลมที่ปรุงแต่งในร่างกาย โดยเฉพาะจิตวิญญาณมีกำลังแข็งแรง มีความตั้งใจ มีเจตนา มีความมุ่งมั่น แล้วก็สร้างพลังอภิสังขาร ปรุงแต่งให้ยิ่งๆๆๆ ใช้พยัญชนะว่า ปรุงแต่งจัดการ ให้มันประสมส่วนๆขึ้นไป ให้มันมีประสิทธิภาพ ที่จะเป็นพลังงานที่จะก้าวหน้าหรือว่าทำให้ขับเคลื่อนเป็นพลังงาน สามารถทด ภาษาทางวิศวกรก็คือมี Resistance ที่สามารถทำให้เกิดพลังงานปะทะกัน เสร็จแล้ว บวกลบคูณหารเป็นพลังงานที่เกิดพลังใหม่ขึ้นมา Resistance พลังงานสังเคราะห์กันเสร็จแล้วเกิดพลังงานใหม่ขึ้นมาทำให้มีอัตราการก้าวหน้า เพิ่มขึ้นกว่าเก่า จะเป็นจุดทศนิยมเพิ่มขึ้นมา .01 .02 .05 .10 หรือเป็น 1 อัตราการก้าวหน้าเป็น 1 หรือเป็นคูณ ถ้าระดับความมั่นใจว่าจะก้าวหน้าทวีขึ้นได้เรียกว่าปฏิภาคทวี ถ้าแค่บวกนั้นยังไม่ แต่ถ้าคูณเชื่อได้ว่าจะก้าวหน้า ถ้ายิ่งเป็นขั้นยกกำลัง ก็ชัวร์
2 + 2 เป็น 4, 2 คูณ 2 เป็น 4, ยิ่งกว่า 2 เป็น 3, 3 กับ 2 คูณกันเป็น 6, 3 กับ 4 คูณกันเป็น 12, ถ้า 3 กับ 3 คูณกันเป็น 9 ก็เอายกกำลังมาแทน ซึ่งเป็นสังขยาเลขที่จะรู้ปฏิภาคทวีบวกลบคูณหารกัน ทวีขึ้นๆ
จะมีเหตุรูปนาม m กับ c มวลกับแรง เขาก็เลยเรียกแรงว่าอัตราเร่ง เพราะเป็นระดับคูณ ไปหายกกำลัง จึงเป็นอัตราเร่งไม่ใช่อัตราบวก 2 + 2 เป็น 4, 4 + 4 เป็น 8 ไม่ใช่ ต้องเป็นอัตราการก้าวหน้า คูณขึ้นไป จนถึงยกกำลัง ถ้าถึงขั้นยกกำลังขึ้นไป ของอาตมาทำในระดับคูณ หรือยกกำลัง.. มันดูๆเหมือนจะยกกำลัง ไม่ใช่แค่ขั้นคูณ
เพราะว่า ช่วงนักษัตรหนึ่งมาแล้ว จาก 72 ปีมา 84 ปีมันยังไปดีอยู่นะ ถ้าจริงๆแล้ว 72 ปีมันจบ ถ้าไม่มีอัตราคูณ อัตรายกกำลังเนี่ย อาตมาคงหง่อมงอกแงกกว่านี้เยอะ กำลังวังชาจะไม่เท่านี้ แต่นี่อาตมาว่า นี่ไม่พยายามจะทำว่าฉันแข็งแรงกว่านี้ หนุ่มกว่านี้ ปรูดปราดกว่านี้ มันจะดูน่าเกลียด ถ้าอาตมาจะทำใกล้ๆกับนายภูมิ นายดีดี มันจะดูน่าเกลียด มันจะเหมือนเด็กๆ มันจะดิ้นเหมือนลิงเกินไป ขนาดนี้เขายังหาว่าเป็นลิงเลย ไม่นิ่งเลยไม่สงบเลย พวกมิจฉาทิฐิยังไม่เข้าใจความสงบแบบของพุทธเจ้า ซึ่งกิเลสมันดับแล้วมันจะยิ่งคล่องแคล่วว่องไว ปราดเปรียวเป็น กายปาคุญญตา จิตก็ยิ่งคล่องแคล่วปราดเปรียวทั้งนั้นเลย นี่คือความสงบของพระพุทธเจ้า คนที่ไม่เข้าใจก็จะเดาว่าสงบต้องอยู่เฉยๆอย่าไปเร็วแรงไว อยู่เฉยๆมันก็ยิ่งสงบใหญ่เลยก็บื้อๆซื่อๆเป็นอย่างนั้น เธอเห็นไหมว่าเป็นสภาวะสิริมหามายา คนไม่มีสภาวะ ไม่มีปัญญารู้ความจริงอันนี้อยู่ ยากเดาไม่ออกหรอก แต่คนที่พอเข้าใจอย่างนี้หรือ ต้องมาสร้างของตนเองจริงๆถึงจะรู้ อ๋อ.. ตัวนี้อย่างนี้เองหรือ นี่คือสามารถพ้น โลกียะ มาเป็นโลกุตระอย่างนี้ จะเห็นว่าโอ้โห อย่างนี้หรือ อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ เป็นอย่างนี้หรือที่ไม่เหมือนกับที่เคยเข้าใจมาทั้งหมด มันแปลกใหม่อย่างนี้หรือ
อาตมาจึงเป็นคนใหม่เสมอ เก่าสมัย เป็นคนที่ใหม่เสมอทุกวินาทีหายใจเข้าออก ใหม่เสมอ นายใหม่ก็เลยเอาไปตั้งชื่อจริงๆของตัวเองเลย เดิมเขาไม่ได้ชื่อนี้ เขาได้เปลี่ยนชื่อในทะเบียนราษฎร์เลยเป็นชื่อว่า ใหม่เสมอ แต่ยังไม่กล้าเอาเก่าสมัยมาใช้เป็นนามสกุล สมัยมันเก่านะก็เก่านั่นแหละซับซ้อน แต่เก่าของสมัย ทันสมัย ใหม่เสมอมันกำกับคำว่าใหม่เสมอ เก่าทันสมัยใหม่เสมอ เก่าอย่างไรๆก็เก่าเอี่ยม เก่าอย่างไรก็ทันสมัยใหม่เสมอ สั้นดี ไม่งั้นนามสกุลของคุณก็จะยาว … วชิรวิทย์ หรือ จนสุขสำราญ ยาวยืดยาด ถ้าเป็นเก่าสมัยใหม่เสมอนี้ตรงเป๊ะเลย นี่คือนามปากกาอาตมานะ เขียนหนังสือเปิดยุคบุญนิยม แต่ดีนะ คุณไม่ตะกละ ตะกลาม ตัวเองยังไม่ถึงขั้นก็เลยไม่ใช้ ก็เลยระมัดระวังตัวเองอยู่ ก็ดี
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดิน…พ่อครูมีศัพท์ใหม่อีกคำว่า อรหันต์ลิง พวกที่จะโจมตีคงพอใจ
ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย
พ่อครูว่า…เรามาทวน อาตมาเทศน์มาฆบูชาปีนี้ ก็มีเวลาแค่นั้น โดยอาตมาหยิบเอา ปฏิจจสมุปบาทมาไล่ ตั้งแต่อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหาอุปทาน ภพชาติ ชรา มรณะ โศก…
จนกระทั่งสามารถเข้าใจคำว่า ชาติ สมบูรณ์แบบ คำว่าชาติ มันก็ซ้อน ในตัวท้ายของปฏิจจสมุปบาทก็คือ จับเอาตัวคำว่าชาติ หลังจากชาติก็คือชรามรณะซึ่งเป็นโลกียะวนเวียน ซึ่งคุณก็จะตกอยู่ในสภาพของ โศกปริเทวะ ทุกข โทมนัสอุปายาสะ ไม่มีสิ้นซากไอ้พวกนี้หรอก
ถ้าไม่รู้จักชรา มรณะ การเกิด การตาย โดยการทำ มรณะนี้ การทำคือ ต้องพยายามพัฒนา มรณะด้วยสรณะ ด้วยการทำสงคราม ส คือประกอบขึ้น ประกอบสงคราม สงครามที่ทำให้เราต้องมรณะแล้วมรณะเล่า สงครามทีไรก็เป็นสงครามตัวแพ้ทางจิต จิตเราก็ถูกฆ่าทุกชาติ แล้วก็ไม่เคยชนะสักที จนให้เราสามารถที่จะไม่ถูกฆ่า จิตของเราไม่ถูกฆ่า กิเลสถูกฆ่า แล้วเราชนะเรียกว่า อรณะ
สรณะ มรณะ อรณะ
มรณะคือ จิตตายแล้วตายเล่า จิตก็ยังไม่ยอมตาย แทงด้วยหอกเช้า 100 เล่ม เที่ยงอีก100 เล่ม เย็นอีก100 เล่ม ก็ยังไม่ตาย นั่นแหละคือมรณะ สงครามมรณะ ไม่มีวันจบ จิตไม่ตาย ฆ่าอย่างไร จิตก็หนังเหนียว ฆ่าไม่ตาย โง่อยู่อย่างเก่า กูก็จะทำ ไม่เปลี่ยนแปลง สัตบุรุษจะให้เลิกก็ไม่ฟัง ยึดถือสิ่งเก่ามรณะแล้วมรณะเล่า สงคราม สรณะ
อะไรคือสงครามที่ชนะแท้ อะไรที่สงครามที่แพ้แท้ ก็ต้องแยกกิเลสออก คุณจะแยกกิเลสได้ก็จะต้องแยกธรรมะ 2 แยกเทวะได้ เป็นนาม รูป จิตวิญญาณ ผู้ไม่รู้ อวิชชา ก็จะเกิดการปรุงแต่งเป็นสังขาร
สังขาร นั่นแหละคือวิญญาณเป็นปัจจัย คุณก็ไม่สามารถที่จะเรียนรู้สังขารได้เพราะคุณไม่มีวิญญาณมาเรียน เพราะฉะนั้นคุณจะต้องมีวิญญาณมาเรียน
วิญญาณ จะเกิดได้อย่างไร?.. วิญญาณจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อวิญญาณนี้รู้ว่าวิญญาณคือเทวะ พระเจ้าคือเทวะ เป็นวิญญาณ เทวะแปลว่า 2 เทวนิยมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นสภาพ 2 แต่หลงว่ากูนี่แหละเป็นหนึ่ง ใหญ่ ใครอย่ามาแตะใครอย่ามาแยก ห้ามด้วยนะ กูใหญ่ใครอย่ามาแยกกูเป็น 2 ไม่ได้นะ คนนี้ก็เลยเป็นหนึ่งนิรันดร ไม่สามารถแยกสภาพ 2 ได้เป็นเทวนิรันดร พระบุตรเอาคำสอนมา 1 อย่างไรก็อย่างนั้น โลกมันจะพลิกแพลงเปลี่ยนไปเป็นองค์ประกอบไม่เหมือนเดิมหรอก ก็เอาสูตรเก่านี่แหละทำ ตะบี้ตะบันอยู่อย่างนี้ เขามีเหตุปัจจัยไปตอนไหนแล้วพูด เหตุ ปัจจัย อยู่อย่างเก่ามันคร่ำครึอยู่อย่างเก่ามันเป็นเศษสวะหมดแล้ว ก็ยังงมงายอยู่อย่างนั้น เทวนิยมคือโง่งมงาย ขออภัยที่ต้องพูดสัจธรรม เทวนิยมมีเยอะยังไม่เข้าใจสัจธรรมโลกุตรธรรม สมัครเป็นอเทวนิยมโลกุตระที่สัมมาทิฏฐิ
ทุกวันนี้ก็ยืนยันชาวอโศกเป็นหลัก จนอาตมายืนยันว่าที่นี่เป็นแผ่นดินพุทธ เป็นชมพูทวีป เป็นมวลชาวพุทธแท้ ที่มีโลกุตระธรรมจริง รู้จักโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ที่เป็นสภาวะในชีวิตจริง ไม่รู้นามธรรมแยกรูปไม่ได้ แยกภาวะ 2 ไม่ได้ วิญญาณก็แยกไม่ได้ จิตก็แยกไม่ได้ พระเจ้าไม่ให้แยกจิตวิญญาณ ห้ามเด็ดขาด ก็จึงจมเป็นหนึ่งอยู่นิรันดร
จึงต้องมาแยกให้รู้สภาวะธรรม พระพุทธเจ้ารู้จุดที่จะให้แยกคือ เวทนา นามรูป ก็เป็นสภาวะ 2 อันหนึ่งเป็นตัวถูกรู้ อันหนึ่งเป็นธาตุรู้ของตัวเอง วิญญาณมีแยกเป็น 2 คือนามรูป พอผัสสะ มีผัสสะ ภายนอกกับภายใน เอาหยาบก่อน จึงเกิดเวทนา เกิดอารมณ์ เกิดความรู้สึกจากอันนี้แหละ มาแยกนามรูป
สัมผัสกันก็จะเกิดอายตนะเกิดความเชื่อมต่อระหว่าง 2 อายตนะอยู่ที่ไหนจะเกิดได้ต่อเมื่อมีนามรูปกระทบกัน หากว่านามรูปไม่กระทบกันอายตนะไม่เกิด อายตนะเกิดในระหว่างที่มีนามรูปทำงานร่วมกัน สะพานเชื่อมต่อ พอนามรูป เหลือ หนึ่งเดียวไม่กระทบกัน อายตนะก็ไม่มีหายไป อายตนะ จึงไม่เกิดในที่ไหน ไม่ตั้งอยู่ในที่ไหน ต่อเมื่อมีผัสสะจึงจะเกิดอายตนะ
ผัสสะกับอายตนะ จึงคล้ายกันมากตรงประเด็นที่ต้องมี 2 อันกระทบสัมผัสกันจึงมีอายตนะเกิด เพราะผัสสะมีอายตนะจึงเกิดมี อายตนะมีเพราะมีเหตุจากผัสสะ ก็ถึงรู้ว่ามีวิญญาณ แล้วต้องเกิดอายตนะ เกิดผัสสะสองตัวขึ้นมา
ต้องเอาหยาบก่อน หมดหยาบชนะก่อน จนกระทั่งเหลือรูป ก็ลดลงไปให้หมดรูป เหลืออรูป กามก็ยังเหลืออยู่แต่มันทำอะไรเราไม่ได้เลย จะมาหักล้างเราให้เป็นอื่นไปอีกไม่ได้เลย นี่คือประสิทธิภาพอันวิเศษของธรรมะพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นถ้ารู้พยัญชนะแล้วมารู้สภาวะดังที่อาตมาขยายความให้ฟัง วิญญาณสภาวะเป็นอย่างนี้ นามรูปเป็นอย่างนี้ พอแยกนามรูปกระทบกันผัสสะก็จะมีอายตนะอย่างนี้ คือมันต่อเนื่องในปัจจุบัน มีผัสสะจึงมีเวทนา คนไม่รู้ก็แยกเวทนา แยกวิญญาณ แยกสังขารไม่ออก จะแยกไม่ออกหรอก เวทนาคืออย่างไร สังขารคืออย่างไร วิญญาณคืออย่างไร แยกไม่ออก
วิญญาณคือองค์รวมของทั้งหมดทั้งมวล วิญญาณคือคำต้นกับคำท้าย หรือเรียกอีกภาษาว่าจิต อาตมาไม่อยากลงลึกถึงพยัญชนะ มันจะยาก อาตมาสามารถแยก วิญญาณ กับจิต ในวรรค จ แต่ไม่เอามาแยก เพราะมันยาก คนจะไปยุ่งในรายละเอียดเปล่าๆ เอาสภาวะมาก่อน คุณได้สภาวะแล้วก็เอามาแปะชื่อทีหลังได้ เพราะงั้นมาเรียนรู้สภาวะก่อน ทางโลกีย์ ทางเถรสมาคม เขาไม่ได้เรียนสภาวะ เขาเก่งโก้พยัญชนะ เอาพยัญชนะมาข่มขู่อาตมา เอ้าข่มก็ข่มไป อาตมาก็ว่าให้คุณชนะก็แล้วกัน แต่อาตมาเอาสภาวะมาพูดให้คนรู้เรื่อง คนเห็นอาตมามีสภาวะจริงกว่าพยัญชนะก็มาเอาสภาวะ แต่คนหลงยึดในพยัญชนะก็ให้เอาแต่พยัญชนะไป ซึ่งก็น่าสงสาร ผู้ติดพยัญชนะ จนกระทั่งไม่รู้จบไป พยัญชนะของเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็พาไปเป็นโลกจินตายาวไกล หลงโลกจินตา หลงความคิดโลกๆ พยัญชนะบอกสภาวะของโลก ไปกับโลกไกลเกิน สรุปไม่ลงว่าคุณ จะจบเมื่อไหร่ คุณจะรู้จักตัวเองเมื่อไหร่ คุณจะรู้จัก กาย จนทำกายไม่เหลือกายแล้ว คุณเข้าใจไหม ไม่มีกายแล้วตั้งแต่พีชะ อุตุ ยิ่งไม่มีกายใหญ่ ยังมีกายอยู่แต่จิตนิยาม หมดจากจิตไปไม่มีกายแล้วนะ
โอ้โห! กายของบักหุ่งลูกนี้ผ่องแผ้วจังเลย จะเป็นอย่างนั้นไหม มะละกอลูกนี้สีนวลผ่องแผ้วเลย หยิบมาดู โอ้โห ด้านนี่นวลสีเหลืองดี แต่ถ้าอีกด้านหนึ่งผิวขรุขระ คุณติดแต่เฉพาะเปลือกๆก็จะได้เฉพาะเปลือกๆ ผู้ที่สามารถรู้พยัญชนะ รู้กรอบ เรียกว่าปริเฉท แต่ละกรอบเราทำความรู้ในแต่ปริเฉทให้ได้ เป็นสามเส้า ก็จะเกิดวงวน ก็ลดวงวนโดยลดเหตุที่เกิด
กระทบผิวผ่องมะละกอ สวยจังเลย อาการสวยเป็นสภาวะ ชอบสวย คุณก็ชอบพยัญชนะสภาวะนั้น ติดตรงเปลือกที่สวย แล้วข้างในเป็นอย่างไร ข้างนอกขรุขระข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง หรือข้างนอกสดใสข้างในเป็นโพรง สวยแต่ข้างนอกแต่ข้างในเป็นโพรง ไม่ได้เรื่องได้ราว ดีไม่ดีมีแต่แมลงหวี่ มีแต่หนอนเจาะอยู่ข้างใน ลองสาวข้างในหรือข้างนอก คนติดอยู่ข้างนอกง่ายเยอะ ยังไม่เข้าลึกไปหาเนื้อ เพราะฉะนั้นติดผิวโดยเฉพาะไม่รู้จักสิ่งที่ว่าตัวเองติดผิวตั้งแต่อุปาทาน 4
-
กามุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในกามภพ บำเรอรูปรสฯ) .
-
ทิฏฐุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในทิฏฐิ เช่น เห็นว่าผีมีตัวตน)
-
สีลัพพตุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในศีลและวัตรปฏิบัติธรรม)
-
อัตตวาทุปาทาน (ถือมั่นเข้าใจในอัตตาหรืออาตมันได้แค่ วาทะ แต่ไม่เคยรู้เห็นอัตตาตัวปรมาตมันจริงๆนั้นเลย) . . .
(พตปฎ. เล่ม 11 ข้อ 262)
ติดอัตวาทุปาทาน คนที่ติดอัตวาทุปาทานยังไกล ผู้ที่ติดอยู่ในอัตตวาทุปาทานมีอีกเยอะไม่รู้หลักเกณฑ์ที่จะมีศีลเอาไปปฏิบัติยังไม่มี ขออภัยพูดชัดๆสายเปรียญ 9 เป็นพยัญชนะวาทะทั้งนั้น ติดกันเป็นกระบุงโกยทั้งนั้น นึกว่าเก่งนึกว่ารู้ แล้วเอามาหากินได้เพราะรับรองว่าเป็นผู้รู้ รู้อะไรรู้พยัญชนะเป็นราชบัณฑิตกันเยอะ ได้เงินเดือนกินไป นานๆทีก็ประชุมกันที มันก็เป็นตัวอย่างให้ศึกษาขออภัยที่เอาทุกอย่างมาพูด ให้เป็นวิชาการให้รู้ว่าเป็นสาระอะไรบ้างมันได้ประโยชน์จะคุ้มกันไหม เงินเดือนได้ไปแล้วทำงานคุ้มเงินเดือนไหม น่าจะรู้ควรจะปรับให้เข้าเรื่อง ถ้าคุ้มมันก็ดี ราชบัณฑิตก็มีทำงานคุ้มไหม ยกย่องกันสูงส่งนะ เงินเดือนเท่าไหร่อาตมาไม่รู้หรอก
ความรู้ที่พูดถึงปฏิจจสมุปบาท เทียบจากสองไปเป็นหนึ่งคนรู้ก็จะมีประธานเป็นตัวรู้รู้ว่าอะไรควรเอาไว้อะไรไม่ควรเอาไว้เปรียบเทียบทีละคู่ 2 อันนี้อะไรควรเอาไว้ อะไรควรเป็นหนึ่ง อะไรเป็นเรื่องรอง ก็เลิกจากเรื่องรอง แล้วไปเปรียบเทียบคู่ใหม่อีก ก็จะได้ละเอียดเป็นลำดับ เรียกว่าแข่ง Champion ทีละคู่ๆ ก็จะได้เป็นแชมป์เปี้ยน ไม่เช่นนั้นก็ไม่ได้แชมป์ จะได้ Champion แบบนี้แหละ
เพราะฉะนั้นเมื่อนามรูปวนเข้ามาหาผัสสะ ก็จึงเกิดอายตนะ เกิดผัสสะ จึงเกิดสภาพองค์รวมเรียกว่า สังขารหรือเวทนา
สังขารหรือเวทนา ก็ดี มันก็คือวิญญาณ แยกเป็นนามรูปเป็นสภาวะ 2 กระทบสัมผัสกันแล้วเกิดการปรุงแต่งเรียกว่าสังขาร เรียกว่าอารมณ์เป็นความรู้ลึกเข้าไปอีก กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร รู้กายสังขารก่อนแล้วคุณก็ยังติดรูปหยาบๆอยู่เลย หยาบคุณควรจะเลิกแล้วก็ไม่ทำ คุณก็จะลัดไปเอากลาง ลัดไปเอาแก่นกันเลย มันไม่ได้ มันตลก อาตมาก็มาคิดได้เหมือนคุณจะไปอยู่กลางภูเขา คุณไม่ทะลุเปลือกภูเขาก่อน เข้าไปหาในภูเขา แล้วก็จะเข้าไปถึงใจกลางภูเขาได้ คุณจะหายตัวเข้าไปได้อย่างไร เนรมิตอย่างไร มันเป็นเรื่องไม่จริง เพราะฉะนั้นคุณจะต้องทะลุก่อน จนกระทั่งสลายไม่มีแล้ว คำว่าข้างนอก ถ้าภูเขาก็สลายภูเขาออกหมดเลย เหลือแต่แกนกลางของพวกภูเขา คุณก็เอาแกนกลาง เปลือกนอกออกหมด สลายแกนกลางของภูเขาหมด ก็เหลือเนื้อใน จึงเข้าไปสู่กลางของเนื้อในได้ ไม่เช่นนั้นคุณพูดเป็นเล่นเกมมายาหลอกคน ความจริงสภาวะต้องเป็นอย่างนี้ นั่งหลับตาหลับไปอยู่ข้างในเลย เป็นโมฆะแท้ๆ เป็นไปไม่ได้เลย
อาตมาเคยอธิบายซ้อนด้วยซ้ำว่า ภูเขาลูกนี้คุณจะเข้าไปในกลาง คุณก็พยายามทำจิตให้เป็นทิพย์ หายตัวปั๊บเข้าไปอยู่ตรงกลางเลย คุณคิดเอาเอง คุณก็จะทำพิธีนั่งสะกดจิตนั่งหลับตาเข้าไปถึงใจกลางภูเขา คุณเข้าไปตั้งภพใหม่ ตั้งชาติใหม่ ตั้งภูเขาลูกใหม่ แต่ภูเขาลูกนั้นเป็นภูเขาลมๆแล้งๆ เป็นนิรมาณกาย เป็นรูปนามที่ปรุงแต่งกันเอง เจ้าของรูปนามปรุงแต่งเป็นวงวนเป็นรูปภูเขาเอง คิดเอาเอง เพ้อพก สร้างสิ่งที่ไม่มีให้มามีเอง พวกนั่งหลับตาจึงเป็นพวกนิรมาณกายทั้งหมด และพวกนี้ก็เชื่อว่าอย่างนั้นจริงจึงเป็นสัมโภคกาย ก็ไปร่วมกลุ่ม ร่วมสมาชิก ร่วมเอาด้วยว่าอย่างนี้ใช่ อย่างนี้ดี ไม่ต้องไปนั่งเสียเวลากับของหยาบ เอาไปอย่างนี้แหละดีแล้ว คุณก็เป็นสัมโภคกายก็ร่วมกันด้วยกันไป แต่ตาบอดทั้งหมด อาทิสมานกาย พวกนี้ตาบอดหูหนวกไม่รู้จักความจริง ต่างคนต่างมืดบอด หลงเลอะไปกับสิ่งสมมุติ ไม่มีแก่นแท้จริงจังอะไรเลย อาทิสมานกายเป็นคนไม่มีเหตุไม่มีรู้อะไรหรอก ดับไม่มีเหตุไม่มีรู้อะไร
แล้วนั่งทำกันอยู่อย่างนั้น พวกหลับตาทั้งหลายแหล่คือพวก กาย 3 นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย อาตมานำมาฉีกหน้าว่า พวกคุณคือพวกนี้ทั้งหมดไม่รู้กาย ไม่รู้จักนิรมาณกาย ไม่รู้จักสัมโภคกาย ไม่รู้จักอาทิสมานกาย แต่คุณเป็นครบทั้ง 3 กายเลย น่าสงสารจริงๆ
พูดไปแล้ว ถ้าเกิดว่าคนไทยเป็นพุทธศาสนิกชน ยอมรับศาสนาพุทธ เชื่อมั่นในพระไตรลักษณ์พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อาตมาเป็นพระสงฆ์แต่เขาไม่นับว่าเป็นพระสงฆ์นี่คือความซวย อาตมานี่ยอดสงฆ์ พูดแล้วน่าหมั่นไส้ ยกตัวยกตนอวดอ้างยืนยัน จริง แต่เขาก็เข้าใจผิด ไปเข้าใจผิดไปนึกถึงพวกโมฆะเดียรถีย์เป็นหมู่สงฆ์ แล้วไปหลงยึดติดนับถือวิธีการผิดๆอยู่อย่างนั้น
ผู้ใดเข้าใจแล้วนะ แม้ทุกวันนี้มันจะตกกระไดพลอยโจนไปอยู่เป็นสมเด็จ เป็นเจ้าคุณ ตั้งแต่ชั้นราชไปจนถึงขั้นสมเด็จก็ตามใจ ก็เอา อันนั้นเป็นสมมติ ให้ตั้งใจมาเอาสาระแท้ ก็แล้วกัน
เพราะฉะนั้นในปฏิจจสมุปบาท ถ้าคุณรู้ละเอียดละลออจริงๆ อาตมาพูดถึงหมู่ระหว่าง อายตนะ ผัสสะ เวทนา
เวทนาคือวิญญาณ เวทนาคือสังขาร งงไหม? เห็นไหม เราก็จะเข้าใจ ไม่สับสนในสิริมหามายาพวกนี้
เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้แล้ว สังขารคือความปรุงแต่งขึ้นมา แล้วยึดถือเป็นวิญญาณ มันก็บื้ออยู่อย่างนั้น ไม่แยกรูปนาม ไม่เรียนรู้ผ้สสะ คุณก็ไม่มีตัวเหตุปัจจัยที่จะไปถึงขั้นมีเวทนามาเรียนรู้ แกนหลักของศาสนาจึงเอาที่เวทนา ศึกษาเวทนา แล้วคือหัวใจของศาสนาคือเทวคือสุขทุกข์ 2 อย่างนี้ เป็นแกนหัวใจของธรรมะเลย ดีชั่วนั้นเป็นโลกีย์
สุขทุกข์จึงเป็นหัวใจของศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นๆก็หลงสุขเป็นทุกข์ หลงทุกข์เป็นสุข เป็นพวกวิปลาส วิปลาส หลงไปเห็นทุกข์ว่าสุข ก็เลยติดความสุข เพราะมันเป็นกระดาษแผ่นเดียวแยกกันไม่ได้ ก็เลยไม่มีสิทธิ์ที่จะไปละลายล้มสุขล้มทุกข์ ก็กลัวจะไม่มีสุข ไม่ได้นะ หมดสุขแล้วจะอยู่อย่างไร หมดสุขก็ซวยตายสิ เห็นไหม ยังติดหลงอยู่ในความสุข ทั้งๆที่ในพยัญชนะอาตมาก็เคยแยกให้ฟัง
สุข คือ สุ กับ ข
ทุกข์ทำไมมี ก.และ ข. แต่สุข มี ข.ไข่ตัวเดียว
สุ กับ ข เขาก็แยกไว้ในพจนานุกรมดี ตัว ข แปลว่าว่าง สุ แปลว่าดี ว่างจากกิเลสไปนี่แหละดี สุขใช้ได้
แต่ทุกข์ไม่ว่าง ทุกข์ ไปหลงเอาตัว ทุ มันเป็นตัวไม่ดีไม่ถูกมาเป็นแกนแก่น อักข คือแกน ไปติด ก ข เป็นคู่ กะ มี, ขะ ไม่มี คุณแยก กะ ขะ ไม่ออก ก็มี กะ ขะ แล้วเอา กะ ขะ มารวมกันเป็น กะขะ ก็ติดยึด กะขะ เอา อุ ใส่เข้าไปที่ ท.ทหาร ทุกข์ เสร็จอีด่างเลย นี่คือการขยายพยัญชนะให้ฟังอาตมามีสภาวะจึงอธิบายได้ พวกเรียนเปรียญมาฟังแล้วหูหัก
เมื่อมาเรียนรู้แยก กลุ่มแค่นามรูป อายตนะผัสสะไม่มี นามรูปสภาวะ 2 แล้วก็อายตนะ ผัสสะไม่มี เมื่อไม่มีผัสสะ เวทนาก็ไม่มีให้เรียน ถ้ามีผัสสะ มีนามรูป มีอายตนะเกิด มันก็จะมีสภาพ1 ขึ้นมาคือเวทนา 3 ตัวนี้ ผัสสะอายตนะนามรูป สัมผัสกันอายตนะเกิด เกิดผัสสะอายตนะเกิดมันก็เกิดตัวที่ 4 คือเวทนา
หัวใจของศาสนาในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )
ทำ 2 เวทนาให้เป็นเวทนาเดียว เวทนาอันหนึ่งเป็นเวทนาเก๊ วิธีการแบ่งเป็นเวทนาแท้ คุณยังมีตากระทบรูปก็ต้องเห็นรูปแท้ สีแท้ ผิวแท้ รูปรางแท้ มิติแท้ เมื่อตากระทบรูป
หูกระทบเสียงก็จะได้ยินเสียงอยู่ ของแท้เป็นอย่างไร ถ้ามีของเทียมก็จะมีความชอบไม่ชอบ มีผลักมีดูด มันเป็นของปลอมของเก๊ แล้วก็ไปหลงรสชาติของมันดีเว้ย สนุกเว้ย ชอบเว้ย คนเขานิยมอันนี้เว้ย ก็ไปนิยมตามโลกเขา ให้มานิยมทางโลกุตระสิไปนิยมทางโลกทำไม นี่แดนโลกุตระมานิยมอันนี้มาตามทางนี้ดีกว่า อย่าไปตามทางโลก พอพูดอย่างนี้เข้าเขาจะบอกว่าคนพวกนี้หลงตัวหลงตน ที่นี้ทางนี้ไม่มีตัวตนหรอก มันหลงตัวตนที่ไม่มีตัวตน มันรู้ตัวตนที่ไม่มีตัวตนต่างหาก แต่คุณใส่ความว่ามันหลง เรารู้ตัวตนอาศัยตัวตน พูดอยู่กับคุณเท่านั้นเอง จริงๆแล้ว สูญมันก็ไม่มีตัวตนหรอก ต้อง อาศัยพยัญชนะเพื่อเข้าใจสภาวะ
เมื่อมาจับฐานสุขทุกข์ได้ เวทนานี่เป็นแก่น ล้างสุขทุกข์ได้ เข้าใจสุข เข้าใจทุกข์ว่าเป็นมายาคู่ที่แยกไม่ออก เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องไปเรียนความสุขหรอกมันยากไม่มีใครอยากจะทิ้งความสุข แต่ความทุกข์มีคนอยากทิ้ง ก็มาเรียนเหตุแห่งทุกข์ แล้วก็ดับเหตุที่มันเป็นตัวพาทุกข์ ดับเหตุได้ ความทุกข์มันก็ดับ พอดับทุกข์ได้ความสุขมันก็ไปด้วย เพราะมันเป็นอันเดียวกัน ใช่ไหม อาตมาเปิดเผยความจริง พระพุทธเจ้าท่านสอนแต่ทุกข์อริยสัจ ท่านไม่สอนสุขัลลิกะ ท่านก็บอกว่าเป็นของหลอก อัลลิกะ แปลว่าเท็จ แปลว่าเก๊ ไม่จริง หลอก พวกเปรียญก็บอกว่า เขาไม่ได้เรียนมาอย่างนี้ เขาก็ว่าอาตมาพูดเอาเอง ก็ใช่ อาตมามีเอง อาตมาเอาสภาวะมาพูด ไม่ได้เอาพยัญชนะมาพูดอย่างเดียวเท่านั้น
เมื่อรู้ของเก๊ เราก็รู้ว่าตัวเก๊ ไม่มีตัวจริงเป็นตัวอนัตตาเป็นตัวมายาหลอก ให้เราหลงตามอยู่อย่างนั้น มันไม่จริงหรอก มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ด้วย เอาสุขมาหลอก สุขก็ไม่ใช่ตัวจริง มันหลอกอยู่ทั้งนั้นแหละ นอกจากไม่ใช่ตัวจริงแล้วพวกนี้ไม่มีอะไรอยู่นานหรอก เดี๋ยวก็เปลี่ยนไปเดี๋ยวก็เคลื่อนไปตามภาวะของสิ่งที่กำหนดว่ามันมีเท่านั้นเองในตามกาละ จริงๆ ในกาละมันไม่มี มันเป็นอนัตตา คุณก็มาลดสภาวะนี้ให้หมด คำว่าหมดไปจากจิต มันหมดจริงๆ
คำว่าอุเบกขา คำว่าบริสุทธิ์ คำว่าเฉยๆกลางๆ จิตของคุณต้องกำหนดรู้อาการกลางๆ กับ อาการที่ยังมีแม้น้อยแม้นิด คุณต้องเทียบคู่กันให้ได้ นิดนึงน้อยหนึ่ง มันไม่มีอากิญจัญญายตนะ นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี มันอันเดียว กลาง 0 เป็นอันเดียวไม่เป็น 2 นะ คุณต้องชัดเจนในความรู้สึกในเวทนาอารมณ์อย่างนี้ อุเบกขาอันนี้อ่านดีๆ พวกที่ยังมีสุขน้อยนึงนิดนึงมันยังไม่ใช่
วิญญาณฐิติ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เปิดตา มีทุกอย่างครบครันชัดเจน ก็ทำแค่นิดนึงน้อยนึง ให้ไม่มี ก็จบเลยชัดเจน ก็เรียนรู้ตามลำดับมาชัดเจนหมดทั้งกายและสัญญา จนกระทั่งมาถึงตัวที่ 7 วิญญาณฐีติ 7 อากิญจัญญายตนะ จบ
มีคนสงสัยว่าทำไมไม่มีเนวสัญญายตะนะ ก็มันไม่มีวิจิกิจฉา มันไม่มีที่เหลือว่าใช่หรือไม่ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ มันไม่มี มันใช่ๆๆๆ มาเป็นลำดับจนใช่ตัวที่ 7 จบกิจเลย จะพูดว่าสัญญาเวทยิตนิโรธ มันก็นิโรธอยู่ในนั้นแหละ มันดับมันไม่มี นิโรธ ดับสนิท ไม่เหลือแม้แต่นิดนึงน้อย นึง เลย เพราะฉะนั้นอากิญจัญญายตนะกับนิโรธ จึงเป็นซินโนนีมใช้แทนเป็นไวพจน์กันได้ ในสภาวะที่แท้จริง
ผู้ใดรู้สภาวะจึงรู้จัดลำดับให้ครบทั้งพยัญชนะทั้งสภาวะเป็นอนุปุพพวิหาร 9 คนจะสงสัยว่าในอนุปุพพวิหาร 9 ทำไมมีเนวสัญญายตนะอีก อนุปุพพะ แปลว่าตามลำดับ ฌาน 4 แล้วอรูปฌาน 4 ซึ่งจะมีสัญญาเวทยิตนิโรธ อรูปฌาน มีแตเนวสัญญานาสัญญายตนะด้วย
แต่ของวิญญาณฐิติไม่ต้องมีเนวสัญญานาสัญญายตนะ มันจบที่น้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มีเป็นไวพจน์ของนิโรธแล้ว มันดับแล้ว ไม่มีวิจิกิจฉา เพราะฉะนั้นตัววิจิกิจฉากับตัวทิฐิในอาสวะ วิจิกิจฉาตัวที่ 2
วิจิกิจฉา ในอนุสัย 7 เป็นตัวที่ 4 ตัวกลาง
-
กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม)
-
ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด)
-
ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา)
-
วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า)
-
มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)
-
ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด)
-
อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)
(พตปฎ. เล่ม 23 ข้อ 11)
ส่วนอาสวะ คือสังโยชน์ 10
เดาไม่ได้นะ ต้องมีสภาวะและรู้พยัญชนะจึงจะพูดได้
ภวตัณหา ไปอยู่ในตัวที่ 6 ของอนุสัย 7 หรืออยู่ในตัวที่ 2 ของ กาม (กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา)
อยู่ในสังโยชน์ 10 ภวตัณหาต้องหมดกาม ปฏิฆะก่อน มีสามเส้า คือกาย ต้องรู้กายอย่างพ้นวิจิกิจฉา ต้องรู้ตัวตนสักกะ ต้องรู้กาย ความเป็นนอกเป็นใน ความเป็นรูปเป็นนามความเป็นภาวะ 2 อย่างพ้นวิจิกิจฉา ไปอธิบายวิจิกิจฉาว่าเราไม่สงสัยในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์นั้นก็ใช่ยกยอดไปเลย แต่ในสภาวะปฏิบัติคุณต้องหมดวิจิกิจฉาใน กายในตัวตน สักกะคือตัวตนกาย คือสภาวะ 2 ต้องมีทิฐิความรู้ความเห็นเข้าใจพ้น สักกายะ คือคุณจับมั่่นคั้นตายระหว่างตัวตนระหว่าง กาย ชัดเจนแล้วไม่สงสัย พ้นวิจิกิจฉา ว่าตัวเองรู้จักกายชัดเจนเอามาใช้งานได้แล้วจึงปฏิบัติศีลพรต ปฏิบัติตามข้อหลักปฏิบัติและประพฤติจริง ศีล คือหลักปฏิบัติ พรต คือ คือประพฤติจริง อย่าทำแค่ลูบๆคลำๆเล่นหัวต้องทำเอาจริง
สีลัพตปรมาส ต่างกับสีลัพพตุปาทาน ที่ยังยึดถือผิดๆ ยังเป็นผีไม่เป็นผู้เป็นคน แต่สีลพัพตปามาส งั้นเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาแล้วพ้นวิจิกิจฉาขึ้นมาแล้ว รู้จักตัวตนแต่ยังเหลือไม่เอาจริงปรามาสลูบๆคลำๆเล่นหัวอยู่กับโจรเลี้ยงโจรไว้ใช้งานอยู่อย่างนั้นแหละ ฆ่าโจรซะบ้างสิจะได้สำเร็จสักที นี่ก็ยกตัวอย่างไม่รู้กี่อย่างแล้ว
จัดการ โอรัมภาคิยสังโยชน์เสร็จ จึงเหลือกามราคะกับรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
-
กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม)
-
ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด)
-
ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา)
-
วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า) พ้นจากความสงสัยไม่มีที่ไม่รู้ก็จะเหลือสภาพของมานะที่ยังมีกับรายละเอียดของภพ รายละเอียดใน ภวานุสัย
คนจบ ภาวนุสัย มานานุสัย อาศัยภพ กับวิชชา พอจบแล้วไม่มีอวิชชา เป็นวิชชากับภพ ภพลำลอง
-
มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)
-
ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด)
-
อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)