640301_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 29
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่… https://docs.google.com/document/d/1ul-xislzqI8TtD17Kqa55TndW9cuYtYiY-paOzVgzhs/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1XTbWULCsNMMe0qtDAKq57BFpZQXJmkBU/view?usp=sharing
ยูทูปที่ https://youtu.be/1PZKz8X_QQc
_สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้ฤดูหนาวผ่านไปแล้วก็จะเข้าสู่ฤดูร้อน ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้จะมีพายุฤดูร้อนเข้า ภาคการเกษตรก็โปรดระมัดระวัง
เกิดมาเป็นคนสูงสุดที่ทำจิตเป็นอุตุนิยามได้
พ่อครูว่า…เราก็ไปเรื่อยๆ ตามทิศทางที่คนอย่างพวกเรา ที่มีทิฏฐิ มีแนวทาง มีเจตนารมณ์จุดหมายที่เราจะไปให้ถึงที่สุด หรือถึงที่สุดมันก็มีที่สุดแล้ว แล้วยังมีที่ต่อที่จะเป็นประโยชน์ เป็นคุณค่าขึ้นไปอีก เราก็ทำไป อย่างอาตมานี้คิดว่า เข้าใจสิ่งเหล่านี้ ว่ามันเป็นอะไรต่ออะไรก็ขยายให้ฟังไป เพราะว่าอาตมาดำเนินตามทางพระพุทธเจ้าที่พาเป็นพาศึกษา ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านเป็นไปจนถึงที่สุดของท่าน เป็นสยัมภูที่รู้ยิ่งยอด ในความเกิดมาเป็นคน สูงสุดเท่าไหร่ที่จะรู้ความจริงในความเป็นชีวิตมนุษย์ จะพบจะเห็นจะเป็นจะได้ ถึงที่สุดแห่งที่สุด ยืนยันอย่างนั้นเลยไม่มีใครจะรู้ที่สุดแห่งที่สุดได้เท่าเทียมความเป็นพระพุทธเจ้า
อาตมาก็เดินทางมาเป็นอรหันต์ แล้วก็มันท้าทายนะที่จะไปรู้ที่สุดแห่งที่สุด ที่เกิดมาเป็นร่างมนุษย์แล้ว กว่าจะเลิก เพราะมันรู้แล้วเป็นอรหันต์แล้วสามารถทำลายขันธ์ทำลายอัตภาพนี้ ให้เป็นอุตุธาตุเป็นดินน้ำไฟลมได้แล้ว ชัดเจนแล้ว จะทำเมื่อไหร่ก็ได้ หรือแม้แต่ความซับซ้อน อยู่ในวัฏสงสารนี้ สิ่งที่เราเกี่ยวข้อง จิตของเราก็สามารถทำให้เป็นอุตุ จิตนี่แหละทำให้เป็นอุตุ แล้วเราก็ไม่เกี่ยวไม่ข้องอะไรกับมัน แต่มันก็ยังอาศัยมันเป็นธาตุดินน้ำไฟลม ในร่างเรานี้ต้องมีดินน้ำไฟลมใช่ไหม อาศัย มันเป็นดินน้ำไฟลมแท้ๆ หรือมันไม่แท้ มันมีธาตุรู้มีวิญญาณ มีพีชะ เราก็ต้องอาศัยมันนั่นแหละ มันเป็นพลังงานเต็มๆเราก็รู้มันอีกอาศัยจิตเต็มๆที่ยิ่งเจริญ เป็นจิตเจริญเต็มที่เจริญมากยิ่งขึ้น ขนาดไหนๆ ก็จะเดินขึ้นไปได้เรื่อยๆจนกว่าจะเจริญที่สุดเป็นพระพุทธเจ้า
อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็รู้ความจริงพวกนี้มาก็พูดไป อธิบายความจริง พูดไปอะไรยืนยันได้อาตมาพูดความจริงทั้งนั้น แต่คนไม่เข้าใจก็จะหาว่าเอาอะไรมาพูด ใช่แล้วที่คุณไม่รู้ก็เลยต้องบอกอย่างนั้น เอาอะไรมาพูด แต่อาตมายืนยันว่าที่เอามาพูดนี่คือความจริง ที่เอามาพูดหรือว่าเป็นจริงอย่างนี้ก็เอามาอธิบาย ผู้สนใจ (มีเสียงเด็กร้อง) วันนี้มี Sound effect เสียงเด็กร้องมีเด็กชายดีดี เขาก็เบิกบานตามประสาเขา ไม่ได้ทำลายของอะไรหรอก ซนไป อาจจะโยนทิ้งขว้างบ้างเท่านั้นเอง
สู่แดนธรรม…พ่อท่านเคยบอกว่า สาเหตุที่ไม่ได้ห้ามเด็ก เพราะถือว่าทุกอย่างที่พูดไปมันpจะบันทึกในคลังสัญญา
พ่อครูว่า…เป็นการออสโมซิสที่คนรู้ได้ยาก เป็นเรื่องอจินไตย เขาไม่เจตนาแต่มันเข้าหู เหมือนกับเราเคาะในแป้นคอมพิวเตอร์ เราเคาะเข้าไปมันก็อยู่ในนั้น คุณใช้ไม่เป็นบางทีก็เป็นเศษเสียหายได้ แต่ที่เราพูดนี่มันเป็นของดีใช่ไหม อันนี้มันจะไปตกค้างในฮาร์ดดิสก์ ของเขา คือมันไม่ได้เสียหายเราไม่มีอะไรเสียหาย พูดอะไรทำอะไรได้บันทึกอยู่ในฮาร์ดดิสก์
สู่แดนธรรม…การบันทึก รายการโสเหล่โลกุตระมาถึงยุคที่ เหตุการณ์วันนี้เป็นอย่างไรในอดีต
_สมณะบินบน (ลานนาอโศก)…เราพึ่งเสร็จงาน พุทธาภิเษกไป แต่ในปีที่แล้ว วันนี้เริ่มงานพุทธาภิเษกเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2558 เป็นวันแรกของงานพุทธาภิเษกครั้งที่ 39(เริ่มงาน 1 – 7 มีนาคม 2558) ช่วงเทศน์ก่อนฉันเปิดงานพุทธาภิเษกฯ 10.45 น.พ่อท่านก็ได้ประกาศความเป็นอรหันต์เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ที่พุทธสถานศาลีอโศก ในเวลา 10.54 น. พ่อครูบอกเพิ่มเติมอีกว่า พ่อครูเป็นพระอรหันต์ที่มีปฏิสัมภิทาญาณ เป็นวันที่ต้องบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ได้ยากในยุคนี้ ที่คนเรากล้าประกาศว่าตัวเอง โกรธมากกว่าไม่โกรธ ประกาศว่าตัวเองโลภมากกว่าไม่โลภ โลกจึงขาดแคลนผู้กล้าประกาศว่าตนเองปราศจากความโลภโกรธหลงแล้วอย่างมีจริงเป็นจริงเป็นเอหิปัสสิโกในยุคปัจจุบัน
อรหันต์อภิญญาน้อยเพราะเกิดมาเป็นอรหันต์ไม่หลายล้านชาติเท่าไหร่
มีญาติโยมสงสัยว่า มีคำตอบของคำถามว่า พระอรหันต์ที่มีอภิญญาน้อยเพราะว่าอะไร คำตอบคือได้เกิดมาเป็นคนไม่หลายล้านปีเท่าไหร่
พ่อครูว่า…ก็หมายความว่าเกิดมาเป็นอรหันต์นี่ไม่หลายชาติ เป็นอรหันต์แล้วไม่กี่ชาติก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป หรือเป็นพระอรหันต์แบบสมสีสี เป็นอรหันต์พร้อมกับการปรินิพพานสิ้นไปเลย ปริโยสานไปพร้อมๆกัน ไม่มีอะไรต่อเลยก็จะไปมีปฏิสัมภิทาญาณอะไร เป็นอรหันต์ที่ไม่ได้บำเพ็ญปัญญาธิคุณมากชำนาญ ตามฐานานุฐานะ ผู้มีปฏิสัมภิทาญาณยิ่งขึ้นเท่าไหร่ พระพุทธเจ้าพระโพธิสัตว์สายปัญญาธิกะ ก็ยิ่งกว่าหน่อย ผู้เป็นสายศรัทธาก็สามารถมีขึ้นมาได้จนกลายเป็น ปัญญาธิกะได้ ถ้าเจตนา
พระอรหันต์สายสัทธาธิกะ บรรลุเป็นอรหันต์แล้วก็ได้เป็นอุภโตภาค แต่ก็ยังไม่ค่อยเฉลียวฉลาดอย่างปัญญาธิกะ มันยังมีอีกเยอะแยะที่ตนเองด้อยกว่าสายปัญญาธิกะ ก็บำเพ็ญตัวเองต่อ เพื่อสั่งสมปัญญาธิกะให้แก่ตัวเองได้อีกเหมือนกัน เพื่อจะได้เกิดเป็นปัญญาธิกะ กับผู้เป็นปัญญาธิกะ องค์ใดองค์หนึ่งนั้นจนพอใจ หรืออยากเป็นสมบูรณ์แบบเป็นพระพุทธเจ้าสายปัญญาธิกะเลย ก็เอาสิ ไม่มีใครห้ามกั้น
สมณะบินบน…บางที่ ภูมิต่ำกว่าโพธิสัตว์ระดับ 7 ยากจะเข้าใจได้
พ่อครูว่า…ไม่มีทาง เขตระดับ 7 จะเป็นเขตที่รู้อะไรกว้างลึก ซึ่ง 7 นี้เป็นรอบสุดท้ายของ 7 8 9 เป็นรอบสามเส้าอันที่ 3
อันที่1 มี 1 2 3 อันที่ 2 มี 4 5 6 อันที่ 3 มี 7 8 9 สามเส้าก็เป็นวัฏฏะหนึ่ง ก็ครบ 0 บริบูรณ์แล้ว จะขยายเป็นปัญญาที่ยกกำลังอีกเท่าไหร่ก็ได้ ก็ว่าไป เป็นสังขยาเลขที่จะบอกขยายสภาพซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
จะเอาสภาพซับซ้อนของตัวเลขที่ขยายสภาวะไปเท่าไหร่ล่ะ ในระดับพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะเป็นกี่ความซับซ้อน หมุนรอบเชิงซ้อนอันนั้นมันจะเท่าไหร่ไปคูณเอาซึ่งไม่ต้องไปคิดหรอกทำจริงก็แล้วกัน ทำไปเลย ทำจนลืมเรื่องเวลา ก็ทำไปเถอะ เอาแต่สภาวะ ถึงตรงไหน เราอยากจะปรินิพพานเป็นปริโยสานเท่าไหร่ก็เท่านั้น เราจะรู้ว่าดีกว่านี้ยังมีอีก สอุตตรังจิตตัง จะรู้
ลักษณะยึดได้แต่พยัญชนะไม่เข้าถึงสภาวะ
สมณะบินบน…ในงานพุทธาฯผมได้ถามพ่อท่านว่า สัตบุรุษทำไมไม่เป็นอัฏฐบุรุษ
มีคนรู้ภาษาลาลีว่า สัตบุรุษ มาจากคำว่า สัต กับ บุรุษ
พ่อครูว่า…เราเอาสภาวะไม่แย้งกับภาษาเขา อย่างคุณเราเข้าใจ คุณว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ แต่เราเอาความหมายอันนี้มาใช้ อย่างโน้นเราเข้าใจแล้วเขาไม่มีก็ไม่ได้ใช้เป็นการตัดทางของเขาเอง เขาไม่มีอย่างนี้ก็ไม่ได้ใช้อย่างที่เรามี เขาบอกว่าอย่างนี้ไม่ใช่ก็ไม่ได้ อันนี้เท่านั้นเองเขาก็ตัดทางเขาเอง ก็เป็นเรื่องน่าสงสาร ก็ตัดไปทำไม ก็มันยังมีอยู่แต่คุณรู้ยังไม่ได้ ขออภัยคุณยังโง่คุณยังไม่เข้าใจ ไม่สามารถรู้อันนี้ได้ อันนี้ที่จริงมันมีแล้วเป็นของดีด้วย แต่คุณปฏิเสธ คุณก็ไม่ได้สิเมื่อคุณปฏิเสธจะทำอย่างไร มันเป็นความไม่ยอมรับไม่รู้ ไม่รับไม่เอาตัดทิ้ง ทั้งๆที่มันเป็นของดีของจริง แต่ถ้ามันไม่เป็นสิ่งดีไม่เป็นสิ่งจริงก็แล้วไป แต่เรายืนยันว่ามันมีเป็นของดีด้วย เราก็ได้ใช้
สมณะบินบน…เลยได้เข้าใจคนที่ยึดถือภาษาเขาเรียนมาตรงนี้ไปยึดภาษา ไม่เอาสภาวะ เขาแปลว่าผู้แปลถูกนี้มั่วเข้าไปยึดถือคำบาลีพยัญชนะ
พ่อครูว่า…เข้าไปยึดถือแต่พยัญชนะสมมุติสัจจะเป็นบัญญัติภาษาบาลี เป็นอุปาทาน 1 อันที่ท่านแยกในอุปาทาน 4 ก็ได้ แต่ว่าถ้าได้แต่ภาษาได้แต่คำพูดลัทธิอยู่อย่างนั้น เข้าหาสภาวะไม่ได้ ซึ่งมีเยอะแยะทีเดียว เราไปบังคับเขาไม่ได้ มันมีอย่างนี้จริงๆก็น่าสงสารจะไปบังคับได้อย่างไรก็เขาไม่เอา ขณะที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เห็นได้แล้วนะแต่ไม่ได้มีความยินดี เริ่มต้นเป็นมูลกา ก็ยาก หากไม่มีตัวยินดีไปไม่รอดเลย ยินดี เป็นยาดำ ในอะไรๆ ก็มีความยินดีฉันทะเยอะ ในมูลสูตร ฉันทะเป็นที่1 ในอิทธิบาทก็ฉันทะมาก่อน แม้แต่สุริยเปยยาลก็อยู่อันที่ 3
สมณะบินบน…เลยมีความเข้าใจในคนที่อ่านหนังสือทางเอกในยุคแรกๆก็อาจจะไปยึดถืออย่างนั้น
อยู่กับกิเลสโดยใช้หลักไตรลักษณ์ทำเช่นไร
_ในปางฝัน…ที่ผ่านมาคือปฏิบัติธรรมฟังธรรมพ่อครู ก็เข้าใจเป็นลำดับ แต่วันนี้ก็ชัดเจนลึกซึ้งจากการได้ฟังธรรมอย่างต่อเนื่อง ก็มีความชัดเจนว่าเวลาที่กิเลสเราเกิด แต่ก่อนบางครั้งเราก็ไม่เท่าทันไม่รู้ว่ามันเกิดแล้วเราก็อยู่กับมัน โดยที่ไม่รู้ทุกข์ แต่มาถึงวันนี้ก็ชัดเจนอีกว่า กิเลสเกิดนี่เรารู้ทันมันมากขึ้น แล้วพ่อครูก็บอกอีกว่า เราต้องรู้จักการควบคุม ต้องรู้จักการปรับแต่งจิตของเราที่จะระงับกิเลส ก็เลยอยากถามพ่อครูว่า..เราจะอยู่กับกิเลสอย่างไรให้สัมมาทิฏฐิเวลาเราเกิดกิเลส
พ่อครูว่า…เราก็อยู่อย่างพยายามรู้จริงๆว่าเราอยู่กับกิเลสมันเป็นอาการอย่างไร กิเลสมันเป็นตัวเลวตัวไม่ดีอย่างไร ก็อ่านอาการมันให้ชัด จนเราชัดว่า อ๋อ.. กิเลสมันไม่ดีอย่างนี้ ตัวปฏิภาณปัญญาของคนรู้ว่าอันนี้เป็นตัวผีร้ายตัวเลวตัวไม่ดีจริงๆ ปฏิภาณคนรู้ว่าอันนี้มันอยู่กับเราเป็นตัวไม่ดีนะ ใครล่ะ ความฉลาดของตัวเองย่อมมีเป็นสามัญอยู่แล้ว ใครจะเอาความไม่ดีไว้ รู้ว่ามันไม่ดีก็ไม่ต้องพูดแล้ว รู้ว่ามันไม่ดีคุณจะเอาไว้ก็เอาเถอะ รู้ว่ามันไม่ดีจริงๆชัดเจนแล้วถ้ารู้แล้วยังจะเอาไว้ก็แล้วแต่คุณสิ อย่างนั้น แต่สามัญแท้ๆใครจะอยากเอาความไม่ดีไว้ตัวเอง ถ้ามันรู้ว่าไม่ดีมันจะไม่เอาไว้ ข้อสำคัญก็คือว่า จะไม่เอาไว้แต่มันยังอยู่จะทำอย่างไรจะไม่อยู่กับเราจะไม่เอาไว้ ตอนนี้แหละคุณจะต้องหาทางหรือหาวิธี ว่าจะทำอย่างไรวิธีหรือทางปฏิบัติเพื่อให้ไอ้กิเลสนี้ไม่อยู่กับเรา และก็ปฏิบัติตามที่เราจะเข้าใจวิธีนั้น จนกระทั่งมันไม่มี แล้วไอ้ที่จะให้ไม่มีมันมี 2 อย่าง
-
กดข่มหรือลืมมัน มันก็ไม่มีได้ แต่มันไม่ถาวร
-
มันต้องรู้ความจริงเลยว่า เอ็งไม่อยู่ถาวรไม่มีตัวตนหรอก เอ็งเป็นเหตุแห่งทุกข์ เอ็งนี่เป็นตัวผีเหตุเลย แล้วเอ็งไม่มีจริงหรอกและเอ็งก็ไม่อยู่ถาวรแน่นอนเที่ยงแท้อะไรหรอก ไปๆมาๆๆ ทำเป็นเล่น ภาวะไตรลักษณ์ จะเกิดขึ้นมาให้คุณได้เห็น ทีนี้ ความฉลาดหรือปัญญารู้จักไตรลักษณ์มันจะมีพลังฤทธิ์เอง ดับไปเลย พอพลังปัญญามี ถ้วนเต็มพอ ตัวนี้ก็จบอนัตตา มันไม่ใช่ตัวจริง มันไม่เที่ยงแท้ มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ด้วยมันชัดเจนเลย ตัวนี้ พลังรู้พลังปัญญาอันนี้ มันจะขจัดเลย ขจัดตัวกิเลสนี้หายไปเลย มันเป็นเช่นนั้นจริง อธิบายเป็นภาษาไทยง่ายๆ อธิบายสภาวะจริงให้ฟังตามที่อาตมาผ่านมา ได้มา เป็นมา มันเป็นอย่างนี้บอกให้ชัด พอเข้าใจไหม
สมณะบินบน…ศาสนาพุทธ มีอะไรเป็นแก่น ระหว่างวิมุติกับนิพพานต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า…วิมุติเป็นแก่น นิพพานเป็นภาษาไวพจน์ที่ซ้อนๆกันอยู่ จะมีละเอียดลึกซึ้งอย่างไรก็มีสภาวะของภาษาต่างกัน วิมานะ กับ วิมุตตะ มุตตะแปลว่ารู้ พานะแปลว่าข้องอยู่ นิพานะแปลว่าไม่ข้อง
วิมุตตะ ไม่รู้ หรือ วิ นี่รู้ยิ่งๆ วิ มีภาวะ 2
วิ ตัวนี้ มีภาวะ 2 ที่ยิ่งใหญ่มากเลย ถ้าจบคำว่า วิ แล้วไม่ขัดแย้งกันในตัว
-
มันแปลว่าไม่
-
มันแปลว่ายิ่ง ไม่ขัดแย้งกัน คำว่ายิ่ง กับไม่นี้ ไม่ขัดแย้งกันเลยในสภาวะ สภาวะที่ไม่คืนไม่มีสิ่งที่ไม่ดี ไม่จริงๆ ไม่ๆๆเลย สิ่งที่ดีจริงๆก็มียิ่งๆๆๆ เลย เป็น 2 สภาวะที่ชัดเจนอย่างนี้