640226_พ่อครูเทศนาวันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1-7q1WLt2s1Pf51lkhidVyHAK0T2_LoD7SawMeP1F4EA/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Ns6h8l7hAaudpwNM6Je8jxIBMV7QT6A6/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/_uKIS4nq-A8
พ่อครูว่า…ก่อนเริ่มรายการ พ่อครูว่า…ที่บวรราชธานีอโศก พวกเรานี่ก็มีทั้งศีล 5 บางคนก็ศีล 5 ไม่ค่อยเคร่ง บางคนอาจจะหน้าใหม่ข้างนอกมาก็เป็นได้ ข้างนอกมาเลยนี่ก็ยังไม่มีศีล มีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 43 บางคนถือวินัย 227 ก็มี …บนโต๊ะจึงมีทั้งดอกไม้ทั้งพืชพันธุ์ธัญญาหารรวมกันด้วย ถ้ามันเคร่งเกินไปแล้วก็อนุโลมกันไปไม่ได้ เราก็เลยต้องมีประมาณนั้น ผู้ที่เคร่งเกินไปเห็นประดับดอกไม้ก็ทำใจกันเองนะ ท่านถือเคร่งก็ดีแล้ว แต่ก็ต้องเห็นใจผู้อื่นบ้าง
พ่อครู กับ 625 คนที่แผ่นดินพุทธ
วันนี้วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 เจริญธรรมทุกคนที่อยู่มาพร้อมกันในวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันที่สงฆ์เห็นเป็นวันสำคัญ ในที่ประดา 12 เดือน มีเดือน 3 คือมาฆะ มันเป็นประเพณีของศาสนาพุทธมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ พอถึง 15 ค่ำ เดือน 3 ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ จะมารวมกัน โดยไม่ได้นัดหมายเลยมารวมกัน มาแต่ทุกพระองค์พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พอถึงวัน 15 ค่ำ มากันโดยไม่ได้นัดหมาย พระพุทธเจ้าไม่ต้องเรียกประชุม จะเป็นครั้งที่มามาก มากที่สุดในพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
เริ่มต้นเป็นครั้งแรกที่พอประกาศศาสนาแล้ว ก็จะเกิดพระอรหันต์ ที่จริงพระอรหันต์มีมากกว่า 1,250 รูป แต่มาโดยไม่ได้นัดกันมากที่สุดได้ 1,250 รูปสำหรับสมณโคดม สำหรับพระพุทธเจ้าอื่นก็มีมากกว่านั้น เป็นหมื่นเป็นแสนก็แล้วแต่แล้วแต่กาละ จะว่าเป็นบารมีก็เดี๋ยวจะหาว่าพระพุทธเจ้าสมณโคดมมีบารมีน้อยกว่าพระพุทธเจ้าองค์อื่น ที่มีมาฆบูชาหลายครั้ง แล้วยังมีพระอรหันต์มาน้อยรูปด้วย แล้วในขณะที่ยังไม่ปรินิพพาน จะมีปรินิพพานตั้งเป็นหลายพันครั้ง มีพระอรหันต์มากันเป็นแสนเป็นล้าน
ส่วนพระสมณโคดมนี้ เป็นหลังสุดที่จะไม่มีพระพุทธเจ้าอีกแล้วต่อไปนี้ หมดอีก 5,000 ไปนี้ ศาสนาพุทธจะไปเป็นช่วงพุทธันดร เป็นช่วงที่ว่างจากศาสนาพุทธไปอีกนาน นานเท่าไหร่ไม่รู้เพราะจะเกิดกลียุค หลัง 2,500 กว่าปีไปจะเลวร้ายไปเรื่อยๆ โลกจะเลวร้ายจะฆ่าแกงกัน นี่มันเตรียมระเบิดปรมาณูไว้เดี๋ยวมันก็พลิกล้างโลก ตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไร รุ่นต่อไปก็จะกดดันเพิ่มขึ้น ต่างคนต่างหมกสร้างอาวุธต่างๆมันจะร้ายแรงกว่าไอ้ที่มันคิดได้อยู่เดี๋ยวนี้ มันจะคิดให้ยิ่งร้ายแรงไปเรื่อยๆเลย ทิ้งลูกเดียวประเทศทั้งประเทศนั้นหมดเลยกวาดทิ้งหมดเลยตายเรียบหมด ไปเรื่อยๆ ตอนนี้พวกเรายังไม่ถึงกาละนั้น แต่ในยุคนั้นพระพุทธเจ้าไม่มาเกิดเพราะเสียของ เพราะจะโปรดคนได้แค่นี้ มาฆบูชาก็ได้ 1,250 รูปแค่นี้ อย่างอาตมาไม่เกี่ยวเลยก็ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้าก็ได้อย่างพวกคุณ อรหันต์ยังไม่รู้ตัวเลย ใครเป็นอรหันต์บ้าง สรุปยังไม่รู้ตัวเลย แต่ก็มีอนาคามีเยอะ อนาคามีแก่จนเป็น อรหัตตมรรค จนเป็นพระอรหันต์ก็ไม่รู้ตัวเพราะสรุปไม่เป็น อาตมาก็ไม่เก่งกว่านี้ที่จะบอก เพราะฉะนั้นก็เป็นไปตามยุคสมัย
ยุคนี้อาตมาก็เป็นผู้พากเพียร เป็นโพธิสัตว์ที่จะมุ่งไปสู่พุทธภูมิเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งตามที่พูดไป ไม่ได้เป็นเรื่องมุข โมเม ศาสนาพุทธปางบรรพ์ก็มีอย่างนี้เป็นลำดับแต่ในยุคนี้คนไม่รู้มีอวิชชามิจฉาทิฏฐิกันไป ไม่รู้จัก แล้วก็ไปเป็นพวกมิจฉาทิฐิเข้าใจผิด เป็นพุทธด้วยกันนะ แต่เขาเข้าใจไม่ได้ ว่าจริงๆพฤติกรรมจริงความรู้จริงที่จริง ที่เป็นโลกุตระสัจจะเป็นอย่างไร เขาไม่รู้กันจริงๆ อาตมาพูดไป เขาไม่รู้เขาฟังไม่เป็น มีพวกคุณนี้ฟังเป็น จะว่าไปแล้วมีคนที่ฟังธรรมโลกุตระได้อย่างพวกคุณนี่แหละ จะเรียกว่า 1,250 รูป ของพระพุทธเจ้านะ ของอาตมานี้ 625 ครึ่งของ 1,250 มิน่าล่ะ อาตมาต้องการ 777 ก็เลยไม่ได้ แต่มันผิดความเป็นจริง สัก 625 พอเข้าท่า เกณฑ์นี้ก็ยังพอได้ 625 น่าจะพอได้ ไปหลงเกณฑ์ 777 อยู่ตั้งนานไม่ได้สักที นี่ก็ประมาณ 625 แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นอรหันต์นะ หมายความว่าอยู่ในหมู่กลุ่มของคนที่จะต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหมู่บ้านที่คนมีศีล
หมู่บ้านคนมีศีล อันเป็นโลกุตระ
พูดถึงหมู่บ้านของคนมีศีลศีล ในเถรสมาคม เขาจะสร้างหมู่บ้านมีศีล จ้างก็เป็นหมู่บ้านไม่มีศีลไม่มีหรอก ได้แต่ปาก ไม่ได้หรอก ไม่เหมือนพวกเรา พวกเราประพฤติธรรมจริงๆ ถือศีล 5 จริงๆแล้วเป็นศีล 10 ด้วยอย่าว่าแต่ศีล 8 เลย มีศีล 8 ศีล 10 กันจริงๆและถือได้ด้วย เป็นสามัญ คนศีล 8 เป็นสามัญก็มีเยอะ คนศีล 10 เป็น สามัญก็มีเยอะ แล้วเป็นศีล 10 จริงๆยิ่งกว่าภิกษุที่อยู่ในเถรสมาคมด้วย ภิกษุในเถระสมาคมนั้นต้องเกินกว่าศีล 10 แน่ แต่ไม่มีทางหรอกศีล 8 ก็ยังไม่ได้ ยังเลอะเทอะอยู่เลย ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสพวกนี้ อะไรต่างๆนานา ในวงเถรสมาคมไปเอานิยายอะไร แต่พวกเราในฆราวาสโอเคไม่มีปัญหา ศีล 8 ได้ศีล 10 ยังได้เลย
เรื่องพวกนี้มันจะมีสภาพว่า อนุโลมและปฏิโลม เราได้ก็เคร่งที่เรา อย่าไปเคร่งที่คนอื่น เราต้องอนุโลมคนอื่น ถ้าเราไม่รู้จักอนุโลมคนอื่นเราก็จะเป็นหมู่เล็กหมู่น้อย แคบ คนจะมาเข้ากับพวกเราไม่ได้เพราะพวกเรามันเคร่ง ขนาดอาตมาอนุโลมขนาดนี้ยังได้ขนาดนี้เลย เห็นไหม
เพราะฉะนั้นมันต้องรู้จักอนุโลมปฏิโลม ตามสัปปุริสธรรม 7 ให้เข้าใจ แล้วเราก็จะได้ประมาณอย่างพอเหมาะพอดี
พวกเรานี่ยินดีในสิ่งที่เรายังยินดีอาศัย ไม่ใช่ยินดีเพราะดูดดึงชื่นชอบ ยินดีเป็นความพอใจที่เป็นฉันทะ เป็นความยินดีในเกณฑ์ที่อาศัย อาศัย ถ้าไม่มีความยินดีเป็นมูลกา เป็นต้นรากเลย ปฏิบัติศาสนาพุทธไม่ได้ ต้องมีฉันทะ มีความยินดี ยินดีในเนื้อหาสาระยินดีในโลกุตรธรรม ยินดีในการปฏิบัติธรรมกับหมู่ แล้วก็มีหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี
แล้วหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ก็มีหลายฐานะ โสดา ประมาณศีล 5 แม้ในนี้จะมีศีล 5 มากด้วย แต่จริงๆแล้วพวกเราศีล 5 มากแต่ศีล 5 ที่มากค่อนแก่ไปทางศีล 8 พวกเรานี่ เพราะฉะนั้นจะเป็นพวกที่มีคู่น้อย พวกมีคู่จะมีน้อย นี่พวกเรา จะเป็นคนโสดเสียเยอะ
ลองถามตอนนี้ก็ได้ (โยมถามว่า.. โสดรอบสองหรือรอบหนึ่ง) โสดโดยไม่ต้องแต่งงานเลยทั้งชีวิต กับสองโสดที่แต่งงานแล้วเป็นหม้าย หรือหย่าก็แล้วแต่ หรือตายไปข้างหนึ่งก็แล้วแต่เป็นโสดอย่างนั้น ก็มีรายละเอียด ไม่เป็นไรถือว่า 1 แล้ว จะว่าตายก็แล้วแต่ หรือจะหย่าก็แล้วแต่ ถือเอาปัจจุบันเป็นหลักเป็นโสด
เอาไล่มา ใครแน่ใจว่าตนเองถือศีล 10 ยกมือขึ้น ….มีคนเดียวยกมือ
ไม่ติดใจในเรื่องเงิน อนาคามีไม่ติดใจในเรื่องเงิน แต่ก็ใช้เป็นสามัญในส่วนกลางสาธารณโภคี อาตมาอุตส่าห์พูดว่าพวกเราเป็นสาธารณโภคีไม่ใช้เงินมีเยอะแยะ แต่มีคนเดียว หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลย แต่คนเราก็ต้องใช้เป็นธรรมดาธรรมชาติ แม้แต่พระเขา เขาเป็นพระนะ เอาข้อปฏิบัติก็ยังมีเงินใช้ในสาธารณโภคีของพระของวัดเลย ไม่ถือเงินก็มีลูกศิษย์ลูกหาไปจ่าย สะพายย่ามสะพายกระเป๋าใส่ไป
หากเล่นไม่แตะเงินเลย…แต่คุณเถาว์เข้าใจถูก เขาก็เอาเงินใช้ประโยชน์ แต่พวกเราเข้าใจเคร่งเกิน พาซื่อแบบนี้เยอะนะ ส่วนกลางเขามี ส่วนกลางเขาต้องมี แต่พระก็ตีกิน ไม่มีเงินไม่ได้ แต่เขาให้เงินเป็นส่วนกลาง มีไวยาวัจกรที่เป็นฆราวาสก็ว่าไป จะใช้ก็บอกฆราวาสเขา คุณไม่ต้องแตะเงินเลยเป็นพระไม่ต้องแตะเงินเลย แต่คุณเป็นฆราวาสจะไม่ใช้เอง ก็ไปกับเพื่อนให้เพื่อนถืออย่างนั้นมันก็แอ็คไป
แต่หมายถึงว่าจิตใจเราไม่ได้ติด จริงๆ เงิน อยู่ในสังคมมนุษยชาติจะทำเป็นไม่ใช้เลยมันไม่ใช่ ถ้าเข้าใจพาซื่ออย่างนั้นมันไม่ได้เลย ขนาดคุณเถายกมือคนเดียว แต่คุณเถาก็ใช้เงิน เคยขออาตมาไปทำงาน ไปซื้อสายท่อมาทำน้ำตั้งเป็นพันเป็นหมื่นก็ยังเอาใส่ซองธนบัตรไป อาตมาก็ยังถือเงินไปให้เลย ก็เอาจากไวยาวัจกรไปให้เขา ที่จริงมันก็ไม่งามหรอกแต่พวกคุณก็เข้าใจกันแล้วอาตมาไม่ได้มีปัญหาในเรื่องเงินทองพวกเราไว้ใจ อาตมาไม่ได้มีความเสียหายในเรื่องเงินอาตมาก็บริสุทธิ์สะอาดไม่มีปัญหา
ที่จริงอาตมาไม่ได้เจตนาจะมาเทศน์วันนี้ในเรื่องของพวกนี้ แต่ขี่ม้ารอบค่ายพูดถึงเรื่องพวกนี้ก่อน
มาถึงพวกเรารวมกันปฏิบัติธรรมตั้งแต่ พ.ศ. 2527 อาตมาเริ่มจะทำชุมชน ก็รวมกันกับคุณจำลองนี่แหละ ไปหาที่ไปหาทางอะไรกัน เริ่มแรกบุกเบิกที่ปฐมอโศก พ.ศ. 2527 ปฐมอโศกเริ่ม พ.ศ. 2527 ก็เกิดเป็นชุมชนมา ตอนแรกก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำสาธารณโภคีได้สำเร็จ
ในความหมายที่เราทำได้นี่แหละ ทุกวันนี้ก็เป็นสาธารณโภคี ผู้ที่เคร่งในนี้เป็นสาธารณโภคีก็ได้จริงๆไม่ต้องมีเงินส่วนตัวเลย จะใช้ก็บอกส่วนกลางเอาไปใช้เหลือก็คืน แล้วก็สบายอยู่ในนี้ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ จะซื้อข้าวของส่วนกลางบางทีเป็นแสนเป็นล้านก็ซื้อ เช่นซื้อโซลาร์เซลล์เป็นล้าน หรือซื้อเครื่องกลหนัก ราคาหลายล้าน อย่างนี้เป็นต้น ซื้อที่ดินอย่างนี้เป็นต้นก็เป็นธรรมชาติธรรมดา
แต่ว่าสภาวะธรรมของจิตใจนั้น ไม่เป็นปัญหา แต่ในเรื่องรูปแบบพวกนี้ ก็ต้องอนุโลมพอประมาณ มารวมกันอยู่เป็นสังคมกลุ่มเรามีศีล 5 เป็นต้น ก็ต้องอนุโลมศีล 5 บ้าง อนุโลมศีล 8 บ้าง ศีล 10 บ้าง จะเคร่งที่ตนผ่อนปรนผู้อื่น ไม่ใช่เป็นสังคมไม่มีศีลเลย ถ้าต่ำกว่าศีล 5 เกินไปก็ยังไม่ให้เข้ามา แสดงออกจัดจ้านในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเกินไปไม่เอา อย่างนั้นมันน่าอาย เราก็ทำได้ก็อยู่ได้มาถึงทุกวันนี้ แล้วก็เป็นสังคมที่อาตมาว่าคนอื่นก็เข้าใจ แต่เขาทำไม่ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเถรสมาคมทำอย่างอาตมาไม่ได้ง่ายๆหรอก เพราะว่ามันยาก ทำได้ก็จะดีนะ แต่ว่า ผู้นำเขาเองเขายังทำไม่ได้ ก็ต้องไม่ได้ก็ได้แค่นั้นเพราะ 2,500 กว่าปีมันแย่แล้ว มันแย่จนกระทั่งเข้าใจเรื่องโลกุตระไม่ได้
โลกุตระคืออะไร ความหมายที่ลึกซึ้งที่สุดก็คือ โลกุตระคือ ผู้นั้นมีปัญญา
ปัญญาคือความรู้ ทุกวันนี้ ชาวพุทธยังไม่ค่อยมีปัญญา มีแต่เฉโก มีแต่ความรู้ความฉลาดแบบเทวนิยมแบบโลกีย์ ยังไม่ข้ามเขตของโลกุตระ ยังไม่ข้ามมาหาเขตโลกุตระ เพราะยังอ่านจิตตัวเองไม่ได้ ยังจัดการกับจิตตัวเองไม่ได้ได้รู้แต่บัญญัติภาษา นั่นน่ะมีเยอะแยะเป็นมหาเปรียญ 9 เป็นดร.ทางจิตวิทยา เป็นสมเด็จเป็นอะไรก็แล้วแต่ แยกจิตตัวเองไม่ได้
แม้ไปเป็นพระปฏิบัติ ไม่รับเงินรับทองนะ แต่ไม่มีใครรู้ว่า ก็เห็นพระกรรมฐานมีเงินพอตายแล้วเงินทองอยู่ในห้องมหาศาลเลย เพราะว่ามันซับซ้อนมันหลอกตัวเองด้วย
ส่วนผู้ที่ไม่หลอกตัวเองแม้ดูเหมือนอย่างอาตมาไม่เคยปิดบังเลยก็รับเงิน เขาบริจาคมา อาตมาก็รับเห็นๆไม่ได้กระมิดกระเมี้ยน แต่อาตมาไม่ได้มีบัญชีของอาตมา ไม่เคยเอามากักตุนสะสมก็มีไวยาวัจกร กองสงฆ์ก็มีอยู่ตลอดเวลา เงินผ่านมือจริงๆไม่ได้ขาดมือเท่าไหร่หรอก เดี๋ยวก็มีมาบริจาค เพราะสงฆ์ ของอาตมาไม่รับเงินทุกองค์ก็เอามาให้อาตมาหมด ฆราวาสอยากให้อาตมามากกว่าสงฆ์องค์อื่น แต่ท่านได้มาก็เอามาให้อาตมาหรือเอาไปให้ไวยาวัจกร อยู่ใกล้ๆก็เอามาให้อาตมา หรือไม่อยู่ใกล้อาตมาก็ไปให้ไวยาวัจกรไม่ผ่าน ก็เพรราะสงฆ์เราไม่ได้รับเงินรับทองไม่ได้สะสมเงินทอง อันนี้อาตมาภูมิใจ ในภิกษุของชาวอโศก
อย่าว่าแต่สงฆ์เลย แม้แต่สิกขมาตุ ก็มีศีล10 บริสุทธิ์ยิ่งกว่าพระ เจ้าคุณ ยิ่งกว่าสมเด็จ สิกขมาตุเราสะอาดเรื่องเงินทองกว่า ขออภัยที่พูดดูไปข่มเบ่ง แต่เป็นอย่างนั้นจริงๆนี่คือสัจจะที่มันรู้จักความจริง จิตมันรู้ว่า มาบวชอะไร ก็ต้องมาล้างมาละ สิ่งของ เงินทองข้าวของ ลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข แล้วมันมีความเข้าใจจริงๆจนสามารถเลิกละได้ แล้วอยู่ตามฐานะพวกเราก็เข้าใจ ฐานานุฐานะกันและกัน จนอยู่กันได้เป็นสาธารณโภคีเป็นพี่เป็นน้อง
สุดท้ายก็เป็นของส่วนกลางเป็นเงินส่วนกลาง อยู่ได้แม้กระทั่งกลายเป็นสังคมหมู่บ้านชุมชน ถึงขั้น มันซับซ้อน ซับซ้อนอย่างไร(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) มีถึงขั้นมีคู่ ศีล 5 นะ แล้วก็มีลูก แม้มีลูก เหมือนเป็นลูกสาธารณะ ใครก็เลี้ยง ปล่อยเลี้ยงกัน บางทีมา มันเหมือนลูกของญาติกันจริงๆ มันเหมือนญาติ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันลึกซึ้งเรื่องจิตวิญญาณมันลึกซึ้ง เด็กๆอยู่ที่นี่ไม่มีปัญหาหรอก เด็กเล็กเด็กน้อย แต่เด็กอ่อนก็อยู่กับพ่อกับแม่ก่อน บางทีเล่นได้มันก็ไป แต่ก่อนนี้ นิ่ม(ดอมไพร) มีเจ้าขนุน คะนิ้ง แม่ก็ไปทำงาน เช้า ปล่อยให้ลูกไปไหนก็ไม่รู้ ลูกสามคน เย็นกลับมา ก็บอกคะนิ้ง ขนุน กลับบ้าน เรียกหาลูกกลับบ้าน ลูกก็ใครเลี้ยงกันบ้างก็ไม่รู้ บางคนเข้าโรงเรียนบางคนไม่เข้าโรงเรียนก็วิ่งเล่นไป โรงเรียนก็อยู่ในนี้ โรงเรียนตอนนั้นก็มีสมุนพระรามกับอนุบาลก็ไม่ทีเดียว ใครก็เลี้ยงกันไป อย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งพวกเรานี้มันเป็นไปโดยธรรม ศีล 5 น้อย ศีล 8 จะเยอะ คนที่ไม่ได้แต่งงานก็เออ พอใจจะมาอยู่ ไม่ได้เคยแต่งงานก็มาอยู่ที่นี่คนแต่งงานแล้วเกิดเป็นโสด คู่ตายไปหรือหย่ากันก็แล้วแต่ เข้าอยู่ชุมชนนี้ก็เข้ามาอยู่ ก็อยู่กันเยอะก็เลยกลายเป็นคนไม่มีคู่เยอะในชุมชนชาวอโศกเป็นคนไม่มีคู่เยอะ คนที่มีคู่มีน้อย วันสำคัญนี้ก็จะมีคนมาเยอะบ้าง เรื่องอย่างนั้นก็เป็นไปตามธรรมชาติของศาสนา
ศาสนาพุทธเราของพระพุทธเจ้าท่านแบ่งแยกสิ่งเหล่านี้ ทั้งเรื่อง กาม ทั้งในเรื่องของลาภยศ ในเรื่องสภาพที่โลกเขา ยังเข้าใจไม่ได้พระพุทธเจ้าเข้าใจได้แล้วให้คนปฏิบัติดับกิเลสจนกระทั่งเป็นไปได้จริง กลายเป็นมนุษยชาติที่รู้จักกิเลส กิเลสโลกียะ กิเลสกามารมณ์กิเลสรูปราคะ อรูปราคะ อุปกิเลสต่างๆ สารพัดสารพันก็รู้จักการเลิกกันล้างออก จนกระทั่งสามารถรู้จักตัวอาการเรียกว่าตัวตน อาการของกิเลส แล้วก็รู้อาการนั้นๆ อ๋อ!.. อาการอย่างนี้เรียกชื่อมันว่าอย่างนี้
เช่นอาการอย่างนี้เรียกว่าราคะ อาการอย่างนี้เรียกว่าโทสะ อาการอย่างนี้เรียกว่าโมหะ ถ้าสามารถที่จะแจกไปอีก เป็นเจตสิกต่างๆ ว่าระดับหยาบ ระดับกลาง ระดับละเอียดลงไปไม่ว่าจะเป็นสายกาม สายโทสะ หรือสายโมหะ ก็มี หยาบ กลาง ละเอียด ลงไปๆ แยกทีละ 2 ทีละ 3 เปรียบเทียบกันทีละ 2 ทีละ 3
คำว่า ทีละ 2 ภาวะ 2 ที่ต้องเปรียบเทียบกันนี่แหละสำคัญเป็นคำใหญ่ที่ภาษาบาลีเรียกว่า เทวะ หรือ ดะเว ที่เขาอ่านกัน จะออกเสียงอย่างนั้น ถ้า ท จะมี ทฺ จะอ่าน ดะเว คือไม่อ่านเต็ม ถ้าอ่านเต็มก็เป็น เดวะ หรือดะเว
ความเป็น 2 นี่แหละเป็นเรื่องที่เรียนรู้จบกระบวนธรรมเลย ถ้ารู้ 2 ทีนี้ ศาสนาเทวนิยมแยก 2 ไม่เป็น แล้วเทวนิยม เป็นเจ้าของเทวะคือจิตวิญญาณ กับ กาย คือ กายกับจิต เทวะ 2 คือกายกับจิต แต่คำว่า กายนี้ จะต้องหนักมาทางจิต มโน วิญญาณ ภาษาคำว่า กาย นี่ แม้เรียกว่ากาย ก็ต้องหนักเน้นมาทางจิต เพราะกิเลสมันอยู่ที่จิต กิเลสไม่ได้อยู่ภายนอกหรือวัตถุ วัตถุมันไม่มีกิเลสแม้แต่ พีชะ มันก็ไม่เป็นกิเลส
โอ้โห! นี่เจ้าผักกาดใช่ไหมนี่ ผักกาดหอมหรือนี่ หัวมันใหญ่กว่ากะหล่ำปลีอีก
พูดถึงเรื่องพืชพันธุ์ธัญญาหาร อาตมาก็ชื่นชมชื่นใจว่า พวกเรารู้จักว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก แล้วก็สำคัญในสิ่งที่สำคัญ รู้จักสาระในสิ่งที่เป็นสาระ ก็ช่วยกันทำขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้มันเหมือนประชด ปลูกอะไรก็งาม ปลูกอะไรก็สวยหัวใหญ่หัวโตใบใหญ่ใบโต มันดูง่ายๆไปหมดเลยนะ คนไม่เคยปลูกก็สวยเมื่อมาปลูกที่นี่ แต่ปลูกที่บ้านไม่ได้อย่างนี้นะ ปลูกที่นี่พืชพันธุ์ธัญญาหารแต่ละอย่างมันอุดมสมบูรณ์มันสดมันสวยมันใหญ่มันงามมันโต ทุกอย่างมันน่ากินไปหมด นั่นก็เป็นเรื่องของผู้ที่รู้แล้วมาเห็นความสำคัญมาร่วมมือกัน อย่าว่าแต่ต้นใบพืชพันธุ์ธัญญาหารที่กินเลยนะ แม้แต่ไม้ที่ต้องมีดอก แม้แต่ที่สุดไม้ดอกที่ลูกมันไม่ได้เอาไว้กิน อย่างดอกมะลิดอกกุหลาบที่เอามาประดับก็งามใช้ได้ แต่พวกเราไม่ค่อยเอาเรื่องเอาราว มีบ้างคนที่เอามาปักปลูกบ้างนิดหน่อย ก็เลยมีบ้าง ก็ไม่เป็นไร คนที่อาศัยเรื่องนี้มีเล็กน้อย อาตมาทุกวันนี้เขาเอาดอกกุหลาบโรยข้าวแช่มาก็กิน อาตมาก็ฉัน ดอกดาวเรืองอาตมาก็ยังเคยฉันเลยมันเหม็นเขียว กุหลาบมันไม่เหม็นเหมือนอย่างดอกดาวเรือง ดอกเหลืองไม่หยุดดอกทองอุไรอาตมาก็กิน เอามาก็กิน เขาลองกันก่อนว่าฉันได้จึงเอามาให้อาตมา แต่ไม่รู้ว่ามีที่ให้อาตมาลองก่อนไม่ได้เดี๋ยวเจอไซยาไนด์ แต่คงจะไม่มีบารมีคงจะไม่ซวยถึงขนาดนั้นหรอกนะ
ดับสังขารโลกในปฏิจจสมุปบาทได้อย่างไร
อาตมาตั้งใจว่าจะอธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาทให้ฟังดีๆในวันมาฆบูชานี้ ก็ลองฟังมา เรื่องปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาทเป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ไม่อุบัติความเป็นปฏิจจสมุปบาทไม่เกิด พระพุทธเจ้าตรัสรู้จึงมีปฏิจจสมุปบาทในโลกหรือมีอริยสัจ 4 ซึ่งในความไม่รู้ อวิชชา 8 นี้ อวิชชา 8 จะมี
-
ไม่รู้..ทุกข์ (ทุกฺเข อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขสมุทัย (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขนิโรธ (ทุกฺขนิโรเธ อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์ 8)
-
ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง) ปุพพันเต อัญญาณัง
-
ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง) อปรันเต อัญญาณัง
-
ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต อัญญาณัง)
-
ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท (หรืออิทัปปัจจยตา)
(พตปฎ. ล.34 ข.691 ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)
พ่อครูว่า…เป็นห่วงที่เป็นปัจจัยแก่กันและกัน เริ่มต้นด้วยอวิชชา แปลว่าไม่รู้ คนที่ไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง มันมีสภาวะของ 11 อย่างนี้แหละ เกิดอยู่ เริ่มต้นด้วยคุณอวิชชาเป็นอันแรกเลย เป็นความไม่รู้ ไม่รู้ในการปรุงแต่งเรียกว่าสังขาร ไม่รู้ในการปรุงแต่งของสรรพสิ่ง
ความปรุงแต่งในสรรพสิ่งเริ่มต้น หยาบๆท่านเรียกว่ากายสังขาร ปรุงแต่งเป็นวจีสังขาร อยู่ในมโนสังขารหรือจิตสังขาร แต่ไม่รู้ว่ามันปรุงแต่งสังขารอยู่ คนเรียนรู้สังขารการปรุงแต่งแล้วสามารถมีโพชฌงค์ 7 มีสติสัมโพชฌงค์ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์แยกธรรมะ 2 ออก แยกกายแยกจิตแยกรูปแยกนาม แยกธรรมะ 2 แยกละเอียดไปถึงเวทนาในเวทนาเป็นต้น หรือแยกตัณหาออกจากเวทนาได้ แล้วก็รู้ว่า เวทนาก็เป็นสามัญของมนุษย์ที่มันมีตัณหาเป็นเจ้าเรือน มีตัณหาเป็นตัวที่เข้ามาปรุงแต่งสังขารปรุงแต่งจนกระทั่งกลายเป็นสังขารที่มี กาม กายสังขารที่มีปฏิฆะ แล้วก็เรียนรู้กิเลสกามกิเลสปฏิฆะ ล้างออกไปจนมันลดลง เหลือเป็นระดับกลาง ปลาย จนมันตายสิ้นเกลี้ยงได้ไม่เหลือเลย
ท่านก็มีพยัญชนะในปฏิจจสมุปบาททั้ง 11 เมื่อเริ่มมีวิชชา รู้จักคำว่าสังขารมันปรุงแต่งกัน รู้ละเอียดขึ้น เป็นกายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร แยกได้ แล้วสังขารต่างๆนี่แหละ มันปรุงแต่งกันอยู่ มีตัวธาตุรู้ที่เรียกว่าวิญญาณ
วิญญาณเป็นธาตุรู้ที่เรียกองค์รวม วิญญาณก็ขันธ์ 5 กอง มีกอง รูป เวทนา สัญญาสังขาร มันประชุมกันอยู่เป็นกองเป็นขันธ์เป็นหมู่ ก็เข้าใจอาการของจิตเราเองที่มันเป็นหมวดเป็นหมู่ มันประชุมกันอยู่ ก็แสดงว่าไม่ได้อยู่อย่างเดี่ยวๆ
ธรรมชาติของความเป็นมนุษย์เกิดมานี้ คุณต้องรู้สิ่งสอง ถ้ารู้แต่สิ่งเดียวทำอะไรแต่สิ่งเดียวโดยไม่เข้าใจความเป็น 2 แต่คุณสามารถที่จะรู้หนึ่ง แล้วอีกหนึ่งคุณก็รู้สภาพรอง อีกอันหนึ่งเป็นสภาพหลัก มี 2 สภาพสภาพหลักกับสภาพรอง แต่ถ้ามันสภาพรองไปคบหากับมาร คบหากับผีร้าย ต้องรู้อันนี้แหละเป็นตัว กลิ เป็นตัวโทษตัวภัย ท่านให้เรียนตั้งแต่ภายนอกเรียกว่า กายกลิ ประชุมข้างนอกหยาบก่อน รู้กายกลิรู้โทษ แล้วก็จัดการรู้ให้ได้ว่าพวกนี้มันเกิดมาเป็นคนจริงๆมันต้องมีกาย แต่กายนั้น ไม่คบกับกลิแล้วรู้อาการทางจิตที่เป็นกลิอย่างไรเป็นโทษเป็นภัยอย่างไร แยกกิเลสชัดคือ กิเลสกามกับกิเลสปฏิฆะ
กิเลสดูดกับกิเลสผลัก คุณรู้อาการของมันแล้วเรียนรู้จนกระทั่งรู้ว่ามันเป็นอาการที่เกินไป เป็นอาการที่เป็นโทษภัย ลดอาการของมัน ลดพลังงานของมัน ลดได้แล้วนี่ เราจะเป็นคนที่ไม่ต้องไปบำเรอไม่ต้องไปเสียแรงเสียเวลาเสียทุนรอน ต้องไปเผื่อเจ้านี่ เจ้านี่มันเป็นอาคันตุกะ เป็นพวกแฝงพวกปรสิต มันไม่ใช่ตัวเราเลย มันเป็นอันอื่นชีวิตอื่นพญามารอื่นมาแฝงในตัวเราจริงๆเราก็เปลืองไปกับตัวที่เราโง่เอง ให้พวกปรสิตมาดูดมาเกาะมาพึ่ง ที่จริงมันพึ่งเกินไป มันพึ่งเกาะเข้าไปข้างในนั่นแหละ
ที่จริงผู้ที่ล้างตัวที่มันเป็นปรสิต พยาธิ หรือเป็นเชื้อโรค มันไม่ควรจะมีอยู่ที่เรา ก็เรียนรู้พวกนี้แล้วก็ มันเป็นตัวที่เจอปัญญาที่เป็นพลังงานที่เป็นไฟ เป็นยอดไฟเลยปัญญา ปัญญากับบุญนี่ตัวเดียวกัน
บุญ เป็นตัวสุดท้ายเป็นตัวสำเร็จแล้ว แต่ตัวปัญญาเป็นตัวที่เหลืออยู่เป็นตัวทำงานอยู่แต่ถึงขั้นบุญเป็นนิพพานแล้ว ถ้าถึงขั้นบุญต้องสูญ นิพพาน แต่ปัญญานี้มี 2 มีทั้งรูปนาม ปัญญาเป็นเทวะ
เพราะฉะนั้นเทวะที่ใหญ่ที่สุดก็คือปัญญา พลังงานจิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือปัญญาคือเทวะ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าปัญญานี้เป็นอุตตระ ปัญญาเป็นอาการความฉลาดที่อยู่เหนือโลกสามารถที่จะมีโลกหรือไม่มีโลก ไม่ใช่โรคนะ เราไปทำอะไรมันไม่ได้หรอกโรค พระพุทธเจ้าก็มีโรค แต่โลกท่านไม่มี แต่โรคา พระพุทธเจ้าก็ยังมีเรียกว่าพยาธิทุกข์ ทุกข์ขันธ์
แต่เราอยู่กับความปรุงแต่งของโลกที่ยังเกี่ยวข้องกันต้องทำงานร่วมกัน ต้องอนุเคราะห์กันต้องอนุโลมปฏิโลมต้องช่วยเหลือกัน เพื่อที่เราจะเป็นผู้ที่มีประโยชน์เป็นผู้ที่ไม่เป็นภาระ ไม่เป็นโทษไม่เป็นภาระแก่ผู้อื่นเลย ชีวิตของคน พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ว่าเราจะทำตนอย่างไรให้เป็นคนที่ไม่เป็นโทษเป็นภัยกับผู้อื่น นอกจากไม่เป็นโทษไม่เป็นไรกับผู้อื่นแล้วต้องไม่เป็นภาระ แต่ไอ้ภาระนี้ มันถึงครั้งคราวก็จะต้องให้เขาช่วย อย่าสะดีดสะดิ้งมากนัก
เช่น เด็ก มันเลี้ยงตัวเองไม่ได้ต้องเป็นภาระของผู้ใหญ่ต้องเลี้ยงดูแล ถ้าไม่เลี้ยงมันตายนะ สัตว์คนนี้ประหลาดเกิดลูกมาไม่เลี้ยงมันก็ตายแหงๆ สัตว์หลายชนิดถ้าพ่อแม่ไม่เลี้ยงก็ตาย ยิ่งเป็นคนแล้วไม่ได้เลย ลูกเลี้ยงตัวเองไม่เป็นเลย พอเกิดมาหากปล่อยทิ้งขว้างเหมือนเต่านี้ไม่ได้ สัตว์คนนี้เกิดลูกมาปล่อย ไม่เลี้ยงมันก็ตายง่ายๆ ต้องเลี้ยงเป็นภาระ หรือเจ็บป่วยก็ต้องเป็นภาระ ดูแลช่วยเหลือกัน แก่ไปก็ไม่ไหวแล้ว พึ่งตนเองก็ไม่ค่อยรอดแล้วเดินง่อกแง่ก ดีไม่ดีนอนติดเตียง ก็ต้องช่วยกันเอาภาระกัน เป็นคนต้องช่วยกันเอาภาระกัน สุดท้ายมันต้องตายจากกันจนได้ จะติดเตียงอย่างไร มันก็ไม่อยู่นิรันดรหรอก มันก็ต้องตายจากกันไม่ต้องไปแกล้งไม่ต้องไปอยากให้ตาย มันต้องถึงวาระขันธ์ของเขาสุดสิ้นวิบากของเขาสุดสิ้นก็ต้องตาย ไม่ต้องไปอยากให้ตาย แล้วก็ไม่ต้องไปอยากให้อยู่
ทุกวันนี้มันเกินธรรมชาติอยากให้อยู่ ควรตายนานแล้วก็ต่อท่ออาหารใส่ลมใส่อาหาร จริงๆแล้วมันไม่ใช่คนแล้วนะ ไอ้ธาตุข้างใน มันยังปรุงแต่งได้ เป็นพีชะ ให้อาหารให้ลมไป 2 อย่าง มันก็อยู่ได้เป็น 10 ปี 20 ปี 30 ปี 40 ปี 50 ปี โอ้โห เป็นภาระตาย นี่คือความเจริญทางแพทย์ ซวยๆ มันเกินขอบเขตมันก็ซวย
ธรรมชาติเขาก็พอดีของเขา คนนี้ มันควรตายแล้วก็ตายไปมันก็พอดีตาย ที่จริงเป็นพืชนั้นพลังงานเป็นพืชมันหมดแล้วที่จะจองเวรจองกรรมไม่มีพยาบาท มนุษย์เหมือนกันแต่จิตวิญญาณมัน Drop มันตกลงพลังงานมันไม่ขึ้นแล้วมันจะทำงานอยู่แค่ระดับพืช ทีนี้คนมันมีเมตตาแม้ระดับพืชก็เลี้ยงไปเถอะมันก็ยังไม่ตาย ก็เลยเป็นภาระ รู้จักวิธีเลี้ยงไปจนกว่าจะหมดพลัง ไม่มีปัญหาอะไรพวกเราก็ต้องทำกันไปมันรู้มากก็เลยยากนาน ลำบากนาน รู้มากลำบากนาน
เสร็จแล้วคนเรารู้ความพอเหมาะพอดี ความพอเหมาะพอควร คำว่าพอเหมาะพอควร ความพอเพียง ของในหลวง ร.9 คำตรัสคำพูดของแต่ละคนพูดออกมาเราจะรู้ได้ว่า อ๋อ ในหลวง ร.9 ท่านตรัสพวกนี้ เพราะท่านเป็นโพธิสัตว์จริงๆก็ต้องรู้ได้จริง อาตมาฟังแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา คนรู้จักเขตขีดของความสันโดษพอเพียงนี่คือสันโดษ รู้จักความพอ
คำว่าความพอคำเดียวนี้ รู้จักคำว่าพอ แล้วผู้ที่สอนเศรษฐศาสตร์ หรือกำลังอย่าว่าแต่สอนเลย กำลังจัดการ เป็นผู้บริหารสังคมประเทศทางด้านเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ ถ้าสามารถรู้อันนี้ได้แล้ว นี่ไปเอาความรู้เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์แบบโลกีย์มันไม่มีวันจบ แบบโลกีย์ เศรษฐศาสตร์ทุกคนจะต้องให้รวย ทุกคนจะต้องมีมากต้องให้ฐานะคนมีความเป็นอยู่ในระดับรวยเหลือกินเหลือใช้ ไม่ใช่พอนะ แต่เหลือกินเหลือใช้ แล้วมันมีพอหรือ มันเกินกินเกินใช้แล้วสุรุ่ยสุร่าย เอาอำนาจความมีมาก เอาไปข่มคนอื่น เอาไปซื้อคนอื่น เอาไปหาพวกจากคนอื่นถึงอย่างนั้นเลย เลยกลายเป็นเรื่องเป็นราวกลายเป็นมุมกลับจนเกิดคำพูดว่า
ลัทธิทุนนิยม ทุนก็คือเงินทองที่ตัวเองมีเงินทองและมีวิธีการโครงการกองหุ้นต่างๆ แล้วเงินกองต่างๆ อยู่ในองค์กรต่างๆ จนกระทั่งกลายเป็นวิธีเล่นหุ้น อะไรต่างๆนานา ลัทธิหุ้น หรือพวกประกันชีวิต มันเอาชีวิตมาเป็นเครื่องประกัน ประกันชีวิต พูดไปว่าตายไปแล้วจะได้เท่านั้นเท่านี้ ตายไปจะได้อะไรวะ นี่ประกันชีวิตคือโง่ จนกระทั่งว่าประกันชีวิตแล้วไม่ให้ตายถ้าตายแล้วจะได้เท่าไหร่ ได้มากด้วยนะ หลอกอย่างนี้ คุณจะประกันให้ตายหรือประกันไม่ให้ตายเพราะจึงมีการฆ่ากันเพื่อเอาเงินประกันชีวิต ซวยไหม
พ่อแม่ประกันชีวิตไว้ ลูกก็บอกว่าดีเหมือนกัน ผัวประกันชีวิตไว้ เมียก็เอายาพิษไปให้ค่อยๆกิน แต่ผัวถ้าเกิดมีภูมิคุ้มกันต่อพิษเลยเก่งขึ้นเรื่อยๆ เมียเลยตายก่อน หรือผัวเอายาพิษให้เมียกินมีไหม ไม่ค่อยมี แต่เมียเอายาพิษให้ผัวมีเยอะ ยิ่งผัวมีประกันชีวิตแล้วโอ้โห เมียจะได้อยู่ ยิ่งเมียอายุน้อยผัวอายุน้อยก็อยู่ได้นาน ผัวไม่ค่อยทำกับข้าว
ดับภพชาติเทวนิยมในปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาทต่อ ..วิญญาณธาตุรู้ แยกไปเป็น 6 มีทางตาหูจมูกลิ้นกาย กายวิญญาณมโนวิญญาณ กายวิญญาณ หูวิญญาณ จมูกวิญญาณ ลิ้นวิญญาณ กายวิญญาณ ซึ่งเป็นลักษณะจิตวิญญาณ พระพุทธเจ้าท่านรอบรู้ลึกซึ้ง ก็เรียนรู้ให้เข้าใจอาการของมันเลย จะเรียนรู้ได้ด้วยวิธีแยกเป็นนามรูป
สิ่งที่ถูกรู้คืออาการจิต แล้วก็มีตัวธาตุรู้คือสัญญากำหนดก็คือปัญญานั่นแหละ ปัญญาที่แยกธาตุเป็นเจตสิกทำงานกำหนดรู้ว่าอาการอย่างนี้ของจิต อาการของทางกายเกี่ยวข้องกับทางวัตถุก็รู้ง่ายอยู่แล้ว อาการประกอบกับกาย เป็นสองธาตุ ไม่ได้แยกเป็นชิ้นส่วนข้างนอกก็ถูกรู้เป็น กายกรรม โดยวจีก็เป็นวจีกรรม ก็สามารถกำหนดอาการเหล่านั้นควบคุมได้รู้ได้ว่ามีกิเลสร่วมหรือไม่ร่วม ทางกายก็ดี วาจาก็ดี สามารถไม่ทำให้เกิดกิเลส
กิเลสเป็นตัวเลวตัวโทษตัวภัยตัวไม่ดีไม่งามก็จัดการตัวนี้ไม่ให้มันมีให้ได้ โลกุตระสามารถอ่านอาการของกิเลส ซึ่งท่านแยกเป็นตระกูล ถ้าโมหะ ก็คือสับสนไม่รู้เรื่องไปหลงผิดหลงถูกไม่เข้าท่า พอชัดเจนก็เรียกว่ามีสองตระกูล กามกับโทสะหรือกามกับปฏิฆะ ผลักกับดูด
ต้องเรียนรู้แล้วเลิกตั้งแต่ภายนอก ต้องโลภมาเป็นวัตถุ คือลาภ เนื่องกันด้วยวัตถุของตำแหน่งยศศักดิ์ มาจนกระทั่ง ทุกวันนี้ไม่ต้องพูดถึงประวัติศาสตร์ ตำแหน่งทุกวันนี้หมายถึง ลาภในตัว ยศในตัว สรรเสริญในตัว แล้วก็หลงเสพว่าเป็นสุข ลาภก็เป็นสุข ยศก็เป็นสุข สรรเสริญ ก็เป็นสุข
สุขนี่แหละ เป็นตัวมหามายา ที่จริงไม่น่าจะเรียกมหามายา น่าจะเรียกยักษ์ขมูขีมายา รากษสมายา ไม่ควรจะเรียกมหามายา
เมื่อแยกนามรูปแล้ว จะสามารถรู้วิญญาณได้ด้วยนามรูป พระพุทธเจ้าท่านตรัสอาหาร 4 ไปถึงวิญญาณก็จะต้องรู้ได้ด้วยนามรูป ต้องศึกษาวิญญาณ เป็นตัวทั้งหมด
ต้องรู้จักจิตวิญญาณด้วยนามรูปก็ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรอีก ที่ท่านตรัสไว้ในอาหารข้อที่ 4 ท่านตรัสตัวจบไว้เลย เมื่อวิญญาณรู้นามรูปก็ไม่ต้องรู้อะไรอีก ที่จริงมันจะเรียนรู้อะไรต่ออะไรได้ทั้งหมด วิญญาณอันสุดท้ายนี้ ท่านตรัสเอาไว้ชัดเจน เป็นอันว่ารู้อันนี้แล้วก็จบ ในพระไตรปิฎกจะมีพยัญชนะชัดเจนอย่างนั้นเลย
ตัวนามรูปนี้แหละ เมื่อมี 2 ตัวนี้ปฏิบัติกระทบสัมผัสกันขึ้น เรียกว่าผัสสะ ก็จะเกิดสะพานต่อเนื่องเรียกว่าอายตนะ พอผัสสะ จะมีอายตนะต่อเนื่อง อายตนะคือพลังงานเมื่อเกิดกระทบกัน 2 ตัวก็จะเกิดสภาวะเชื่อมรู้
อายตนะคือเชื่อมรู้ รู้ระหว่างสิ่ง 2 สิ่งคือ 1 สิ่งที่ถูกรู้กับอีกหนึ่งคือจิตวิญญาณของเรา เป็นธาตุรู้ของเราเข้าไปรู้ เมื่อรู้แล้วกระทบกันเข้าไปแล้ว ผัสสะ เข้าไปแล้วมันปรุงปุ๊บเวทนา สังขารนั่นแหละมันปรุงแต่งเป็นเวทนา เป็นอาการของความรู้สึก เราเรียกภาษาหนึ่งว่าเป็นอารมณ์ ปรุงแต่งด้วยอวิชชา ถ้ามีวิชชาก็รู้แล้วไม่ปล่อยให้เป็นไปตามอารมณ์ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามความรู้สึก จะรู้สึกต้องเอาความรู้สึกที่บริสุทธิ์ ความรู้สึกที่ไม่บริสุทธิ์คือมี ตัณหาเข้าไปร่วมมันเป็น กลิ กิเลส ตัณหาที่มันพักยกไว้เรียกอุปาทานนิ่งไว้เป็นอุปาทาน เคลื่อนออกมาเป็นตัณหา อาตมาพูดถึงอาการของจิตเจตสิกมันเป็นเช่นนั้นถ้าเข้าใจก็อ่านเถอะ
ที่อาตมาอธิบายเป็นภาษาไทยง่ายๆ ฟังดีๆ คุณจะเข้าใจได้ปัญญาแล้วก็ไปปฏิบัติได้เลย เออ พวกนี้ตัณหา เป็นอาการเห็นแก่ตัวเอามาเสพที่เป็นสุขเป็นทุกข์อยู่ มาเสพ แล้วอำเภอใจที่ต้องการ อย่างไม่ชอบอย่างนี้ไม่ชอบ ไม่ชอบอย่างนี้ก็เป็นทุกข์ดีด ทะเลาะกันแย่งกันฆ่ากัน ทะเลาะกัน ก็บอกว่าเอามามากๆๆ มันไม่ให้ก็แย่งมัน ไม่ให้อีกก็ฆ่ามันเลย ฆ่ามันตายแล้วมันก็หมดสิทธิ์เราก็แย่งได้ จบแล้วก็แค่นั้นโหดร้าย เดี๋ยวนี้ในโลกก็ดีขึ้นแต่มันก็ยังทำกันอยู่
เมื่อเราสามารถรู้ตรงนี้แล้ว พอถึงขั้นมีตัณหาอุปาทานแล้ว เสร็จแล้ว ผู้ที่มีตัณหา อุปาทาน ถึงเรียกว่าเกิดภพชาติ
ภพ แปลว่า แดนที่มันยังเกิดอยู่ไม่จบ อย่างเทวนิยมไม่รู้จักภพชาติ ไม่รู้จักความเกิดที่ยังมีแล้วยังบอกว่าพระเจ้าเป็นภพนิรันดรเลย ไม่รู้จักการทำลายภพชาติไม่หมดภพไม่หมดชาติ ภพก็ยังมีอยู่เพราะมันยังมีความเกิดมีการเกิดการตาย เป็นพระเจ้าก็ยังเกิดอีก ใหญ่เท่าไหร่ก็ไม่มีการตายเลย พระเจ้ามีนิรันดรด้วย ศาสนาพระเจ้าจึงไม่สามารถทำให้จิตวิญญาณดับภพจบชาติ เป็นนิพพาน เทวนิยม พระเจ้าใหญ่ขนาดไหนศาสดาใหญ่ขนาดใดเทวนิยมก็ไม่สามารถมีนิพพาน ไม่สามารถทำให้จิตวิญญาณ เป็นเทวะหรือเป็นสภาวะ 2 หมดไปเลย
ไม่เหลือสภาวะ 2 เลยกลายเป็นหนึ่งไม่เป็นจิตวิญญาณแล้ว กลายเป็นพืช กลายเป็นดินน้ำไฟลม ไม่เหลือความเป็นชีวะระดับจิตวิญญาณ ไม่เหลือแล้ว ไม่รู้เรียนไม่ได้ เข้าใจไม่ได้อย่างนี้เป็นต้นก็เลิกเลย เทวนิยม เขาก็มีความรู้ได้เท่านั้น เขาสามารถเรียนรู้ได้เท่านั้น เขาเรียนรู้อะไร
สายเทวนิยม เขาเรียนรู้ดีและชั่ว ดีคือสมมุติของเขา ชั่วก็คือสมมุติกัน ในกลุ่มไหนก็แล้วแต่สมมุติว่าอย่างนี้ดีสมมุติว่าอย่างนี้ชั่วก็สมมุติกันไป สมมุติว่าฉันนี้ฆ่าใครได้หมดใครสู้ฉันไม่ได้ดีที่สุด เขาก็เป็นจตุมหาราชิกา เป็นจอมจักรพรรดิ์ ใครอย่าแหยมฆ่าตายหมด ฉันใหญ่ที่สุด หยาบๆอย่างนั้นก็ยังเหลืออยู่เลยในยุคนี้เป็นยักษ์ขมูขี ตัวจิตวิญญาณเลวร้าย จะทำร้ายทำลายแทนที่จะช่วยกันไป
เสร็จแล้วแม้จะไม่ต้องไปฆ่าแกง ไม่ต้องไปตี ไม่ต้องไปเบียดเบียน ช่วยเหลือกันก็ยังต้องตายจากกันเลย ไม่เบียดเบียนกันเลยมีแต่ช่วยเหลือกัน ก็ยังตายจากกันเลย แต่ไม่รู้จักวิธีที่จะตายจากกันแล้วจะต้องมาเกิดกันอีกหรือไม่ ไม่รู้จัก วิบาก ไม่รู้จักการเกี่ยวพันเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติเป็นตระกูลต่อกัน เป็นย่าเป็นยายเป็นตระกูลต่อเนื่องกันไปอีกตั้งเท่าไหร่ไม่มีความรู้ ไอ้ทีเรียกพวกนี้ของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสรู้ เทวนิยมไม่เข้าใจ
ไม่รู้เรื่องญาติ ต่อชีพชีวะ ไปอีกไม่รู้กี่ชาติ หรือเทวนิยมก็เรียนรู้เลอะเทอะกันสับสนผิดๆไปเลย ไม่รู้แจ้งว่าจะทำจิตวิญญาณอย่างไร ให้รู้จักว่านี่ ปู่ย่าตายายตอนเป็นเป็น ตายไปแล้วคุณไม่ต้องไปพูดเลย ไม่มีใครสามารถที่จะไปช่วยจิตวิญญาณของปู่ย่าตายายหรือพ่อแม่ลูกก็ตาม ช่วยไม่ได้ เพราะจิตวิญญาณของใครเป็นของตนเองช่วยไม่ได้ ช่วยได้แต่เป็นๆนี่แหละ
ทีนี้ การจะช่วยคนเป็นๆนี่ ช่วยด้วยการให้อาหารให้เงินให้ทองให้ข้าวให้ของให้อะไร มันยิ่งเป็นตัวตีกลับทำให้คนไม่สามารถที่จะรู้ รู้สึก รู้เรื่องที่ลึกๆ ไม่สามารถรู้เรื่องการเกิดตัณหาอุปาทานการเกิดภพชาติ ไม่รู้ ไม่สามารถที่จะรู้
เพราะฉะนั้นจึงอย่าไปประคบประหงมอะไรกันมาก ให้รู้จักความพอดี ให้รู้จักความสมดุล ในการที่จะยังชีพ ถ้าได้สมดุลแล้วชีวิตร่างกายก็จะอยู่สมดุลดี พฤติกรรมกายวาจาก็จะอยู่สมดุลกันดี จิตวิญญาณก็จะรู้จักความสมดุลพอ แล้วก็จะรู้ลึกขึ้นเรื่อยๆ ว่า น้อยๆก็พอ แม้ที่สุด ไม่เหลือของเราเลย เหลือของกลางเหลือของสาธารณโภคี แล้วต่างคนต่างไม่ยึดกองกลาง สาธารณโภคีนี้เป็นของตนทุกคนก็ใช้จ่ายกับกองกลางนี้ได้ ทุกวันนี้พิสูจน์ได้อโศกพิสูจน์ได้
เมื่อเกิดเศรษฐศาสตร์หรือเกิดเศรษฐกิจสาธารณโภคี ไม่ต้องแย่งกัน ทุกคนมีจิตพอ และมักน้อย แล้วเป็นคนไม่โลภมาก ไม่บำเรอลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่บำเรอรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่บำเรออัตตา ไม่บำเรอตนเอง รู้จักความเป็นอยู่ที่ชีวิตแข็งแรงดูแลร่างกายพอสมควรแข็งแรง อย่างอาตมานี่นะ
อาหารเป็นหนึ่งในโลก โอ้โห เหลือพอเลย อันอื่นๆยิ่งเกินทั้งนั้น ชีวิตจึงสบาย แม้ที่สุด ชีวิตนี้คืออาหารนอกนั้นไม่มีก็ได้ คุณไม่ต้องมีเงินไม่ต้องมีลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ต้องมีวัตถุอะไรได้ คุณมีแต่กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่ดี คุณไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เอาลาภ ยศ สรรเสริญกับใครไม่ไปแย่งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสกับใคร คุณไปอยู่ที่ไหนก็ได้ อาศัยกิน เลี้ยงชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นจะมีในสังคมนี้ บางทีเขาก็เอามาให้ดู คนที่ทำงานไม่สะสม บ้านก็ไม่มีอยู่ที่ตลาดช่วยเข็นของไปชีวิตก็สบาย คนอย่างนี้เป็นคนที่สุดยอดเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย เป็นคนมีวรรณะ 9 สุดยอดเลยนะ เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย มักน้อย สันโดษ อาการน่าเลื่อมใส กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมไม่เป็นภาระใครเลย อปจยะ ไม่สะสมอะไร ขยันทำงานไป กินอยู่รักษาชีวิตไป ไม่สะสม ก็เป็นคนกระจอกอยู่ในตลาดนั่นแหละ ก็เคยมีคนเอาชีวิตตัวอย่างอย่างนั้นตัวจริงเอามาออกอากาศกัน ชีวิตง่ายเลี้ยงง่ายจริงๆบำรุงง่ายอยู่ง่ายมักน้อย จิตใจพอ ที่อื่นก็เคยทำสกู๊ปกันมาให้ดูชีวิตแบบนี้มีหลายคนมาเป็นตัวอย่าง
นั่นแหละเป็นชีวิตคนชั้นสูงคนมีวรรณะ วรรณะเป็นคนมีชั้นสูง แต่คนตีลังกากลับ พวกเลี้ยงยากอยู่ยากมีเงินน้อยก็ไม่ไหว เดี๋ยวเงินพร่อง ยศศักดิ์ ใครไม่นับถือก็ไม่ไหวแล้ว พวกนี้เป็นพวกอวรรณะ เป็นพวกเลี้ยงยากบำรุงยากมักมาก เป็นพวกเกียจคร้านอาศัยแต่เงินทุนเงินก้อนออกดอกออกผลวันๆนึงไม่ต้องทำอะไร กินแต่ดอกแต่ผลก็อยู่ได้แล้ว คนนี้เป็นพวกคนชั้นต่ำ อวรณะ คนกินแรงตนเองแต่ละวันแต่ละวัน ไม่ต้องสะสมเลยเป็นคนชั้นสูง คนคนนี้ไม่ทำให้เศรษฐกิจสังคมเดือดร้อน คนที่กักเงินของตัวเองไว้ เงินเป็นของส่วนกลางของสังคม คนก็ต้องแบ่ง แต่คนนี้ก็กักกันไว้ เงินในสังคมก็ขาดแคลน
สังคมนี้มีคนแสนคน พิมพ์เงินออกมาแสนบาทก็ควรจะต้องมีใช้คนละ 1 บาท แต่เสร็จแล้วคนนี้เอาไปกองไว้ 100 คนนี้เอาไปกองไว้ 1,000 ของข้า คนก็ขาดแคลนไปอีกทีละเท่าไหร่ ก็เดือดร้อนกันไปหมด เศรษฐกิจนี้ง่ายๆ แต่เพราะกิเลสมันบังตามันแก้ปัญหาไม่จบ ถ้าแก้ปัญหามาให้คนจน อย่างที่ในหลวงของเราบอกว่ามาเอาแบบคนจน อย่าไปเอาแบบคนรวย มาขาดทุนอย่าไปเอากำไร การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแก้อย่างนี้ แม่ว่าจะจบด็อกเตอร์เป็นผู้บริหารทั้งหลายแหล่ก็แก้ไม่ได้ แม้แต่ของเมืองไทยเป็นเมืองพุทธมีพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระโพธิสัตว์ บอกทฤษฎีวิเศษ มาทำให้ตนขาดทุนอย่าทำให้ตนมีกำไร คนเรามีสมรรถนะมีความสามารถทำอย่างไรมันก็ได้มาก คุณทำตนให้เป็นคนเปลืองน้อยใช้น้อยไม่ต้องสะสมไม่ต้องเอาไว้มากคุณเหลือทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นส่วนเหลือนี่แหละคือการสะพัด
พลังงานของคุณสร้างมากเป็น product ของคุณ เป็นผลผลิตของคุณ จะเป็นวัตถุขึ้นมาเลย หรือจะเป็นแรงงานความรู้ เป็นพลังงานความรู้ก็ตาม ก็ต้องมีราคาค่าความรู้ให้แก่สังคม อย่างอาตมามีความรู้ ไม่เก่งในการปลูกผักกาดก็เอาความรู้มาให้คนอื่น แล้วเราก็พึ่งพากินอยู่ในนี้ ยิ่งความรู้ลึกซึ้งสูงส่งเป็นโลกุตระยิ่งราคาแพง เป็นธรรมชาติไม่ใช่ไปตีราคาให้
โลกุตระยิ่งเป็นความรู้พระพุทธเจ้ายิ่งราคาแพง อย่างราคาของอาตมานั้นแพงเขาตีค่าไม่ได้หรอก แต่เขาไม่รู้ค่า แต่พวกคุณนั้นรู้ค่า ที่พูดนี้ไม่ได้ใช่ว่าอาตมาจะมาทวงค่าบุญคุณ
ผู้ที่รู้ธรรมะพระพุทธเจ้ารู้ปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธเจ้า อาตมาพูดถึงอวิชชา 8 ท่านสรุปไว้ที่อาริยสัจ 4 แล้วสรุปลงที่อดีต อนาคต และส่วนอดีตส่วนอนาคต
คนไม่ใช่จะรู้ได้ง่ายๆ เอาอดีตมาพูดประกอบเพื่อให้คุณศึกษาเพื่อให้คุณเข้าใจ ว่าคนนี่มันมีวิบาก มันมีสิ่งที่สั่งสมเป็นพลังงานจิต มีตัวกูของกู มีความโลภของกู คุณยึดคุณรักษาเอาไว้ ไม่กล้าจะสละออกในชาตินี้ให้หมด อย่างพระอรหันต์พระโพธิสัตว์จะกล้าสละให้หมด เป็นอรหันต์ธรรมดาก็สละ แต่ยังเหลือติ่งของตัวเองมากหน่อย เป็นโพธิสัตว์สูงขึ้นก็จะไม่เลยของตัวเอง เป็นพระพุทธเจ้าเลย เกิดมาท่านก็มีสมบัติตามบารมี เมื่อท่านออกมาเป็นพระพุทธเจ้าทิ้งหมดเลย ไม่มีสมบัติอะไรเป็นของตัวเอง ไม่สะสมสมบัติอะไรเป็นของตัวเองอีกเลยเป็นพระพุทธเจ้า นี่ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันพิสูจน์อ้างอิงได้ชัดเจน แล้วมีชีวิตอยู่ได้ไหม คุณไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย อยู่ได้ไหม
อย่างน้อยที่สุดมาอยู่ในที่นี้คุณไม่ได้มีบ้านเป็นของตนเองเลย ไม่มีเสื้อผ้าของตัวเองเลย ไม่มียารักษาโรคของตนเองเลย ไม่มีอาหารของตนเองเลย อยู่ได้ไหม …ได้ ขนาดปัจจัย 4 ยังไม่มีของตัวเองยังอยู่ได้เลย แต่เอาล่ะ อย่าอุจาดจนไม่ถึงต้องห่มเลยไม่เอานะ งั้นมันเลยเถิดไป แต่ว่า บ้านคุณไม่ต้องมาอยู่ที่นี่คุณอาศัยอยู่ที่ไหนก็ได้บ้านมันเหลือเฟือในนี้ เรามีเรือนเรือ เรือเรือน ตอนนี้เรือนเรือ อยู่ข้างบนบกเอาเรือมาทำเรือน ไม่รู้กี่ลำตอนนี้ยังไม่มีใครจองยังไม่มีใครอยู่ เรือหลากสี มีลีอยู่ อยู่ 4 หลังหรือ สีเขียวสีม่วงสีเหลืองสีฟ้า ลีอยู่สีฟ้า สีเหลืองพัดบุญอยู่ สีม่วงไม่มีใครอยู่ลำเบ้อเร่อเลย สีเขียวก็ยังไม่มีใครอยู่ คือ พวกเรานี้มันสบายสร้างขึ้นมาเถอะ สร้างเป็นสโตนเฮ้าส์ ข้างบนก็เป็นชั้น 2 ชั้นล่างเป็นสโตนเฮ้าส์ เป็นเรือนหิน ทำซะ อย่างไม่มีใครเขาทำเหมือนนะ อยู่สบายนะ หน้าร้อนก็เย็นหน้าหนาวก็อุ่น มันไม่ใช่อิกลูนะ
สรุปแล้วชีวิตของคนนั้นรู้จัก โดยเฉพาะคนเอเชีย เป็นเสนาสนะสัปปายะ ดีกว่าทั่วโลกเลยดีกว่าขั้วโลกเหนือดีกว่าแอฟริกา ดีกว่ายุโรป ถ้าจะว่าไปแล้วอยู่ในย่านเอเชียหรืออินเดียส่วนกลางอินเดียค่อนมาทางเอเชีย อุณหภูมิจะดี จะอบอุ่นไม่มีหิมะ จะออกไปทางเนปาลทางเหนืออินเดียมีหิมะก็หนาว ที่นี่ไม่มีหิมะ หนาวก็ประมาณนั้น มีแม่คะนิ้งก็ดีแล้ว ตื่นเต้น ถ้ายิ่งหิมะโปรยมา สงสัยถือเฮลซ์บลูบอยคนละขวด เอ้าจริงนะ สนุก ไปถึงไหนก็ราด คนเคยไปอยู่หิมะทำไหมล่ะ ไม่กล้าทำ มันสกปรก ทำไมหิมะสกปรก รองเอาหิมะมากินสิเอาเฮลซ์บลูบอยราด
เราศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว เลยเป็นชีวิตที่อาตมาว่า อาตมาประสบผลสำเร็จที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้า
ทำไมเขาไม่มาเอาสาราณียธรรมชาวอโศก
อาตมาอธิบาย ให้พวกเราศึกษาเข้าใจแล้วเอาไปใช้กับชีวิต เลยเอาชีวิตมาอยู่กันอย่างนี้ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน กลายเป็นชีวิตมนุษย์วรรณะ 9 สบายจังเลย อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ประเทศไทยนี้เป็นประเทศเมืองพุทธ ชาวไทยตั้ง 95% เป็นชาวพุทธ แต่ความรู้โลกุตระมันเสื่อมไปหมด อาตมาก็เอาความรู้โลกุตระมาสถาปนาขึ้นใหม่ ก็พวกเรามีตาดีมีปัญญาเข้าใจได้ก็มาเอา ก็เกิดคืนมา มีโลกุตระคืนมา เกิดสังคมที่เป็นอาริยะแบบพระพุทธเจ้าจริงๆ ยืนยันได้เลย เป็นคนมีวรรณะ 9 จนเกิดเป็นสาราณียธรรม 6
สาราณียธรรม 6 (ธรรมเป็นเหตุให้อยู่ร่วมกันอย่างมีเอกภาพ)
-
เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
-
เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
-
เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
-
แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ลาภา ธัมมิกา – มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี)
-
มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (สีลสามัญญตา)
-
มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ทิฏฐิสามัญญตา) (ล.22 ข. 282-283)