640225_พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1bbRuI8y_VqX_5B2RKQnqRxguF7_ZlFOGfPO7vexWFuo/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1IlqIWUTbMoIA8BfR-1Jlu_Y9slfeQ8jQ/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://www.youtube.com/watch?v=mNeAbX_LkDQ
พ่อครูว่า…วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
ทำใจในใจกับคำตำหนิคำชม
_ ได้ยินพ่อครูพูดแรง ..อย่าจู้จี้กับอาตมามากนัก …ฯลฯ… ดิฉันพอได้ยิน ได้ฟังกระแสการดูแลอาหารการกินของพ่อครูมาโดยตลอด หลายคนคนห่วงใยพ่อครู … ดูพ่อครูผอมลง อาหารถูกจำกัดให้ฉัน … ดูเหมือนทีมสุขภาพไม่เปิดรับฟังความคิดเห็นต่าง ดิฉันก็ได้เสนอความเห็นให้เขาวางใจกับทีมดูแลสุขภาพพ่อครู (เพราะเขามีน้ำใจตั้งใจทำงานนี้ ถวายพ่อครู) โดยการเรียนรู้กิเลสจากผัสสะที่มากระทบ และจัดการกับกิเลสของตน … แต่กระแสนี้ก็ยังคงมีอยู่ พอมาวันนี้ได้ฟังพ่อครูพูดแรงมาก .. ได้เห็นว่าการดูแลพ่อครูตามอัตตาของทีมผู้ดูแลด้วยเจตนาดี จะให้เป็นไปตามความรู้ทางการแพทย์และพยาบาล .. แต่สังขารพ่อครู ไม่ใช่ Normal standard …
พ่อครูว่า…เราก็ทำใจของเราให้สบายเป็นกลางให้รู้ความจริงตามความเป็นจริง อันนี้เขาก็ทำดีอันนี้อันนี้เขาก็ชมอันนี้ ก็มีแค่นั้น มี 2 ด้าน 2 ทาง แล้วเราก็ปรับใจทำใจหัดวางใจให้รู้ความจริงตามความเป็นจริงจนใจเราสงบ แต่เราก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงไม่มีวูบวาบอะไรจิตสบาย ใครจะดีใครจะอะไรก็เออ จะแรงด้วยการชมเจริญด้วยการติต่างๆ ใจเราเข้าใจความจริงอย่างเดียวอ่านอาการจิตให้เป็นก็แล้วกัน ว่าจิตของเราขึ้นลงมีไปซ้ายไปขวา หรือวูบวาบอะไร ดูจิตของเรานิ่ง เขาตำหนิก็ตำหนิ เขาชมก็ชม รู้ความจริงอย่างนี้ ไม่มีอะไรในโลก นี้ก็ 2 ประการ เมื่อจิตเรานิ่งสบาย รับได้ด้วย เขาตำหนิเรานั่นแหละเขาจะตีแรงตีเบาเราก็รู้ความจริง ตรวจสอบ ถ้าเราเป็นจริงก็ขอบคุณเขา เราไม่ดีเขาตำหนิ เขาเป็นตำรวจตรวจสอบให้ก็ขอบคุณเขา แล้วเราก็แก้ไขตัวเอง อย่าลำเอียงเท่านั้นเอง อย่าลำเอียงเข้าข้างตัวเอง เราต้องแก้ไขไม่อคติแล้วเราก็จะมีปัญญา ตรงๆ เราไม่ลำเอียงเข้าข้างตัวเรา เพราะรัก เพราะชัง เพราะหลง เพราะกลัวด้วย ไม่กลัว คนที่มี ภยาคติ ใครตำหนินิดหน่อยก็กลัว มีแต่เสื่อมกับเสื่อมต้องกล้าฟังคำตำหนิแล้วดู ว่าเราอย่าโมหะ แล้วอย่าไปชังไปชอบ คนเจริญด้วยถูกติถูกชม
การชมพระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นเรื่องเลว เป็นเรื่องต่ำ เป็นเรื่องทรามมาก ท่านตรัสอย่างนี้เลย คนเปราะบางที่ได้รับคำชมเชย อ่อนแอมาก ต้องการความชม ต้องการความต่ำ ความทราม เพราะงั้นคนที่แข็งขันแข็งแรง ต้องการติ คนนี้เจริญ คนนี้พัฒนาได้ คนที่ติไม่ได้ พัฒนาไม่ได้ จำไว้ชีวิตแล้วก็อย่าให้เป็นคนเช่นนั้น แล้วอย่ามีอคติเข้าข้างตัวเอง
_ดิฉันขออนุญาตแสดงความคิดเห็น ดังนี้
-
พ่อครูเป็นผู้สูงอายุ ควรรับฟังท่าน และให้อิสระท่าน เหมือนเราเลี้ยงดูพ่อแม่ (พ่อครูเป็นที่เคารพบูชายิ่งกว่าพ่อแม่)โดยเอาพ่อครูเป็นศูนย์กลาง รับฟังความเห็นของท่าน ตัดสินใจร่วมกัน ไม่เอาตามความรู้ทางการแพทย์เป็นหลักในบางครั้งหรือหลายๆครั้ง
-
ไม่ขอ (บังคับ)ให้พ่อครูทำแบบโน้น แบบนี้ … เพื่อให้พ่อครูมีอายุยืนยาวอยู่เพื่อมวลมนุษยชาติ … ดิฉันว่าพวกเราเห็นแก่ตัวมากไปไหม … (เพราะปกติพ่อครูก็ปฏิบัติ 8 อ. อยู่แล้ว ) …
พ่อครูสร้างเมือง สร้างอาหาร สร้างวัฒนธรรม สอนให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์มาหลายสิบปี …พระคุณของท่านหาค่าประมาณมิได้ …
เวลาที่เหลือต่อแต่นี้ไป เราควรปฏิบัติธรรมเอาจริง ไม่รู้แต่ตำราตามที่พ่อสอน แต่มีมรรคผลด้วยซึ่งเป็นผลให้ปัญหาต่างๆ ลดลง คนรอบข้างผาสุก ส่งผลให้พ่อครู สมณะ สิกขมาตุมีงานลดลง รวมทั้งช่วยงาน กิจการงานต่างๆ ที่พ่อครูสร้างไว้ และที่สำคัญที่สุดคือ ช่วยดูแลท่านให้อยู่อย่างผาสุก สมดุลย์ ร่างกายแข็งแรง สมวัย
-
พ่อท่านบอกว่า … ทำงานเพลินอยู่ในอิริยาบทท่าเดิมๆ นาน… ภาวะจิตที่เป็นอรหันต์มีเพลินด้วยรึคะ … พ่อครูพูดผิดหรือเปล่าคะ
พ่อครูว่า…มีอภิปโทมยังจิตตัง คือจิตของอรหันต์มันสบายเบิกบานร่าเริงไม่มีการเศร้าหมอง อโศกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส ไม่มี คิดที่เป็น อภิปโมทยังจิตตัง ไม่ใช่มีจิตยินดีแบบนันทิ
-
สภาวะจิตที่เป็นอรหันต์ เป็นภาวะที่สมดุลย์สูงสุด รู้ตื่น เบิกบาน แววไว และมีการประมาณที่ดี กินพลังงานน้อย ทำงานได้มาก ดังนั้นการนั่งทำงานของพ่อครูน่าจะเป็นการประมาณที่ดีและเหมาะควรแล้วใช่หรือไม่ …
พ่อครูว่า…ใช่อาตมานั่งทำงานต่อเนื่องกันไปบางวัน 10 ชั่วโมงก็ได้ ไม่มีปวดหลังปวดเอวปวดแข้งปวดขาปวดไหล่ เป็นมาแล้ว หลาย 10 ปีก็สังเกตตัวเอง เพราะอะไร เพราะอาตมาเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยๆขณะทำงาน ไม่ใช่นั่งเกร็ง อาตมาทำงานไม่ได้เกร็ง เคลื่อนไหวอยู่เรื่อย กระดุกกระดิก
_เราในฐานะที่ยังไม่ถึงอรหันต์ อาจตีความตามภูมิของตนว่า พ่อครูอยู่ในท่าเดิมนาน อาจเสียสมดุล และพ่อครูควรทำแบบโน่น แบบนี่
พ่อครูว่า…ก็ดี เขาท้วงมา ก็เป็นความปรารถนาดี เขาก็ช่วย บางทีมันอาจจะเกินก็ได้จริงมันทีมันอาจจะขาดก็ได้ จริงบางทีมันก็ไม่เป็นไร อาตมาก็ฟังแล้วก็ปรับตัวเอง อะไรมันเป็นอย่างเขาว่าก็ปรับ อะไรไม่เป็นอย่างเขาว่าอาตมาก็เฉย
-
การตัดสินแต่ละเหตุปัจจัยที่เราจบและยังไม่จบ เราต้องใช้หลักเจโตปริญญาญาณ 16 มาตรวจสอบใช่หรือไม่คะ
พ่อครูว่า…ใช่ เจโตปริยญาณ เป็นสูตรในการปฏิบัติ และตรวจสอบ
อุเบกขา 5 กับ ฌาน 4 เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
-
องค์คุณของอุเบกขา 5 กับ ฌาน 4 เป็นสภาวะเดียวกันใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…อุเบกขา 5 กับฌาน 4 พอเวลาคนปฏิบัติธรรมแล้ว ทุกวันนี้เป็นมิจฉาทิฐิกันซะเกือบหมด อาตมาว่า ใช้คำว่าเกือบนี่ยังดีนะ น่าจะพูดว่าหมดเลย มันไม่เข้าใจกันถูกเลย แม้แต่ปฏิบัติธรรม ฌาน ก็เข้าใจไม่ได้ว่าปฏิบัติ ฌาน นี้ต้องปฏิบัติศีล และอปันกปฏิปทา 3 จึงจะเกิดสัทธรรม 7 แล้วจึงเป็นกระบวนการที่เป็นเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิด ฌาน 1 2 3 4
ฌาน ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเลย นั่งหลับตานั้นเอาทิ้งขุดหลุมฝัง ของเน่า ตอนพระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ ก็ไปนั่งหลับตาออกปากเขาทำกับพวกเดียรถีย์ ก็เป็นวิบากของท่าน เมื่อท่านตรัสรู้แล้วจะมาสอนแบบตัดรอนเลยไม่เอื้อเขาเลย ก็ไม่ได้ ส่วนอาตมานั้นเกิดมาในยุคที่มีศาสนาพุทธแล้ว ความถูกมันมีอยู่แล้ว ต้องมาล้างความผิดที่มันเกิด
กว่าจะเป็นฌาน 4 ก็มีเหตุมีศีลเป็นที่ตั้ง
เช่นศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ คนนี้แหละเป็นสัตว์ที่สำคัญ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ก็ต้องอ่านจิตอ่านใจกับคนทั้งหลายนี่แหละ เพราะคนมีสารพัดที่จะยึดถือ เหมือนกันแต่ไม่เหมือนกันทีเดียวมันมีเล็กมีน้อยมีตะแบง หลากหลายนับไม่ถ้วน แล้วเราก็รับลูกให้เป็น ปฏิบัติแล้วก็วางใจ วางใจเก่งขึ้นเรื่อยๆ มุมนั้นมุมนี้ ก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ
จิตเราก็จะเป็นฌาน ฌานคืออะไร คือพลังงาน มันเผากิเลส รู้กิเลสดับกิเลส ทำลายกิเลส เป็นอินทรีย์ของ บุญ
บุญคือ พละของการดับกิเลสตัวเด็ดขาด อินทรีย์กับพละ ฌาน จึงมี 1 2 3 4 บุญจึงมีอันเดียว อินทรีย์ จึงมีหลายอัน พละ ก็มีอันเดียว อินทรีย์ก็มี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ สุดท้ายเป็นปัญญา ปัญญาคือพละ พละคือปัญญา อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น แม้ฌาน 4 ก็ยังยากมากที่จะเข้าใจกัน แล้วก็กลับมาปฏิบัติให้ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า จะได้มีพุทธคุณ จรณะ 15 วิชชา 8 8เป็นพุทธคุณของศาสนาพุทธ อันนั้นมันเป็นเดียรถีย์คุณ ไม่ใช่พุทธคุณ ทำความเข้าใจคำว่าพุทธคุณกับคำว่าเดรัจฉานกันให้ชัด เดี๋ยวเขาเข้าใจเชื่อกันว่าอย่างนั้นพระศาสดาสอนไว้ซึ่งมันไม่ใช่ พระพุทธเจ้าสอนไว้ในจรณะ 15 วิชชา 8 ต้องมีปัญญา ต้องมีฌานให้สมดุล ปัญญารู้ว่าเราปฏิบัติศีลหรือยัง เป็นศีลข้อไหนลักษณะไหนจุลศีลมี 16 ข้อ ข้อไหนบ้างอย่างไร เราปฏิบัติแต่ละข้อก็มีมุมเหลี่ยมต่างๆในการปฏิบัติ ท่านถึงแจกออกเป็น 16 มีศีล 5 ก็ปฏิบัติให้ตรง มาปฏิบัติศีลข้อ 1 2 3 ก็ให้มันตรงให้มันถูกต้องดี เมื่อคุณเข้าใจแล้วอันนี้เราปฏิบัติอันนี้กับสัตว์แล้วก็ปฏิบัติอันนี้ แล้วปฏิบัติได้แล้วผลมันจะเป็นอย่างไร สัตว์เป็นจิตนิยาม ส่วนศีลข้อที่ 2 พีชนิยาม คือของ กับวัตถุ กับพืช ซึ่งไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ เป็นนัยยะที่ละเอียดลึกซึ้งที่อาตมาอธิบายธรรมะ ไม่มีวิญญาณไม่มีเวทนา แล้วเป็นไง คุณก็ต้องทำจิตของคุณให้เป็นชีวะเหมือน พีชะ ไม่มีวิญญาณไม่มีเวทนานั่นแหละแต่จิตของเราเป็นจิต เพราะฉะนั้นจิตของเราก็เป็นวิญญาณอยู่ด้วยธรรม แต่ทำให้จิตไม่ต้องไปโง่หลงเหมือนอย่างกับจิตที่มันโง่(อวิชชา) จิตนิยามมันเกิดมาก็มีอวิชชามันโง่ไม่รู้ตั้งแต่สังขารวิญญาณตัวเองก็ไม่รู้แล้วแยกเป็นนามรูปปฏิบัติแล้วเกิดเป็นอายตนะมีวิญญาณแล้วก็รู้เหตุมีตัณหาดับตัณหาได้ ตัณหาไม่ดับลงได้ตกผลึกเป็นอุปาทาน ก็ก่อภพชาติใช่ตัวเองไปนี่คือปฏิจจสมุปบาทชัดเจน
มันเป็นเหตุปัจจัยเกี่ยวข้องกันและกัน อธิบายเป็นสภาวะอยู่ในตัวของมันจับพยัญชนะมันก็ง่ายมันสะดวก นี่คือความจริงที่อาตมามี อาตมารู้เอามาขยายให้ฟังอาตมาเป็นอรหันต์อาตมาเป็นโพธิสัตว์ ที่พูดนี้ไม่ได้อวดตัวอวดตน ย้ำให้รู้ว่าฟังดีๆ อาตมามีแต่ความจริง ไม่ได้พูดโกหก ไม่ได้พูดเหลาะแหละอะไร คนที่มาดูถูกอาตมา ฟังแล้วเหมือนดูถูกคนอื่น มันก็จริงก็ดูถูกเขาได้ แต่ดูถูกอาตมานั้นมันไม่ดีหรอก มันไม่ได้ประโยชน์ ดูถูกอาตมาคุณจะเสียประโยชน์เยอะ เพราะว่ามันไม่ได้ประโยชน์จริงๆ อย่ามาดูถูกอาตมาเลย ควรฟังอาตมาอย่างตั้งใจ อาตมาพูดจริงๆว่า อาตมาเป็นสยังอภิญญา เป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ แม้แต่มากอบกู้ศาสนาในยุคนี้ ก็เป็นความจริงหมดทุกอย่าง ไม่ได้โกหก ไม่ได้เป็นบาปเป็นภัยอะไรเลย อาตมาจะไปทำบาปทำไมอาตมาจะเป็นอรหันต์ก็รู้เรื่องบาป เป็นโพธิสัตว์รู้เรื่องบาปเรื่องกรรมต่างๆ กรรมเป็นบาปเป็นบุญหรือกรรมเป็นกุศล อกุศล อาตมาก็รู้จริงๆเข้าใจจริงๆแล้วจะไม่ทำสิ่งนั้นที่ไม่ควรทำ ก็ทำแต่สิ่งที่ควรทำ ฟังที่อาตมาอธิบายพยัญชนะ มันคือสภาวะอะไร มันละเอียดลออชัดเจนทุกอย่างนะ
ที่นี้ความเป็น อุเบกขา 5 กับฌาน 4
อันนี้เป็นแกนนิพพานเลย ฌานที่ 4
ฌาน 1 ยังไม่มีอุเบกขา ฌาน 2 ชั้น 3 ก็ยังไม่มี ฌาน 4 จึงจะมีอุเบกขา หากเรารู้อาการของจิตเจตสิกต่างๆ ว่าอาการอย่างนี้เป็นอาการอย่างนี้ ก็จะรู้อาการวิตกวิจาร รู้อาการของปิติ สุข คือมีฌาน 1 มันกำลังทำงานก็มีปิติแต่มันยังไม่มีมีอุเบกขา ก็ปฏิบัติดีขึ้นเรื่อยๆปีติก็ลดลง วิตกวิจารคือ มันต้องเคร่งคุม เหมือนฝึกหัดอะไรใหม่ๆยังไม่ค่อยคล่อง จะเอาอันนี้ใส่อันนี้จะเอาอันนี้หมุนใส่อันนี้จะประกอบกับอันนี้ เหมือนกับช่างทั้งหลายแหล่มันก็จะเป็น พอเป็นแล้วก็คล่องปุ๊บปั๊บได้ไวขึ้น ฉันใดก็ฉันนั้น ทำได้ดีขึ้น
ตอนแรกก็ดีใจทำได้ดี ก็ปิติ พอทำได้คล่องแล้วก็ลดความปิติลงทำได้ก็ชินชา ก็สงบสุข จนเป็นอุเบกขา หมดอุปกิเลส
อุปกิเลสคือ กิเลสที่ซ้อนอยู่ มันเป็นเชิงดีใจ ที่จริงไม่ใช่จิตที่เสีย จิตที่ดี แต่ดีเกินไป มันก็เสียพลังหรือไปหลงติดเสียเวลา หลงติดยึด ถ้าไม่ได้แล้วก็ไม่สบายใจ กลายเป็นอุปทานซ้อน มันโง่ซ้อนไม่ดี ท่านก็ให้รู้ตัว แล้วก็เลิกอาการพวกนี้เสีย มันเป็นธรรมดา พอรู้แล้วก็เลิกได้จนกระทั่งเป็นธรรมดา
เสร็จแล้วจิตฐานอุเบกขา 5 อาการนี้
ลักษณะที่บริสุทธิ์ ปริสุทธา
ปริโยทาตา ลักษณะที่เจริญด้วยความบริสุทธิ์
แต่ละอาจารย์เข้าใจสภาวะต่างกันก็แปลไปตามภูมิ ส่วนอาตมาก็แปลไปตามอัตโนมัติของอาตมา ใครจะว่าไม่ตรงกับที่เขาแปลก็ไม่มีปัญหา ใครจะเอาตามที่อาจารย์คนไหนแปลก็ลางเนื้อชอบลางยาอาตมาไม่มีปัญหาไม่ได้ไปแย่งชิงอะไร
จิตบริสุทธิ์เป็นอย่างนี้ก็ทำการสัมผัสสัมพันธ์กับคนต่างๆ เราก็เกิดอาการอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนนี้ยังไม่เก่งยังรับลูกไม่เป็น เจอคนนี้ก็เกิดจิตไม่สงบไม่บริสุทธิ์เกิดกิเลส ดีไม่ดี นึกว่าเราดีแล้ว เจอคนนี้ซัดเข้าไป แรงเลย เรารู้สึกแรงวูบวาบของเราเองเรา อย่างต่ำนะนึกว่าเราเก่ง เก่งแล้วสัมผัสอย่างไรก็ได้ไม่เป็นไร เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนั่งหลับตาไม่รู้ไม่ชี้ไม่สัมผัสอะไร อันนั้นอาตมาว่า พวกดักดานไปอีกนาน มันไม่ใช่ อย่างนั้นมันไม่มีทางรู้กิเลสและไม่มีทางเข้าใจไม่มีทางเกิดปัญญาที่จะรู้ทันว่า กระทบสัมผัสอย่างนี้ อย่างนี้เป็นกิเลส คนนี้มันมามุมนี้มิตินี้เหลี่ยมนี้ มานัยยะลึกซึ่งแบบนี้ แต่เราก็สะดุด มามุมนี้เราเจอเข้าแรง แสดงว่าเรานี้ไม่เก่งเลย อย่างนี้เป็นต้น ก็ต้องรู้ความจริงพวกนี้เกิดจากการกระทบสัมผัส
ปฏิบัติธรรมไม่มีการกระทบสัมผัส หมดท่าเลย โมฆะ ปิดประตูที่จะเจริญไปตามธรรมะของพระพุทธเจ้า มันน่าสงสาร นั่งหลับตากัน พูดกันอย่างไร เหมือนอาตมาแทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็น แทงพวกนั่งหลับตา ด้วยปากหอก มุขสตี พูดทิ่มแทงเขา แต่ก็นิ่งอยู่อย่างนั้น จะพูดมุมไหนจะเอาภาษาไหนมาอธิบายเป็นภาษาแทงให้จิ๊กเข้าบ้างว่า โพธิรักษ์มีอะไรดีเหรอ ให้สะดุดบ้าง แต่นี่ไม่รู้ไม่ชี้ ดีไม่ดีพลอยจะรำคาญพลอยโกรธเราด้วย ว่าเราทำไมวะ เอ็งเป็นใคร เราก็บอกว่าเราเป็นโพธิสัตว์ เป็นอรหันต์นั่นหละที่คุณต้องการ แต่นี่ อรหันต์ จริง อรหันต์เก๊นั่นไปนั่งพูดฝอยอะไร ไปเอาพยัญชนะภาษาอะไรมาพูดก็ไม่รู้ ทั้งที่เรียนบาลีนะ อาตมาไม่ได้เรียนบาลีแต่ก็เอามาพูดได้ อธิบายให้ฟัง ถ้าเข้าใจอุเบกขา 5 สมบูรณ์แล้วคุณทำตามนี้ได้ก็เป็นพระอรหันต์ ถ้าคุณไม่รู้อุเบกขา 5 ลักษณะ แล้วคุณก็ทำให้มันเป็น ปริสุทธา ปริโยธาตา จิตคุณก็เป็น มุทุ ทำการงานอะไรได้ดีก็เป็น กัมมัญญา เพราะคนต้องทำกรรมการงานกับการงาน ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ และจิตประภัสสรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปภัสสรา อุเบกขา 5 จึงเป็นแกนหลักที่ใช้ตรวจสอบความเป็นอรหันต์ พูดอย่างนี้เลย แล้วยืนยันว่าไม่ผิดถูกต้องด้วย
ผู้ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พระพุทธเจ้าสอนอะไรไว้ มีคำสอนเหล่านี้หมด แต่เอาไปใช้ไม่เป็น เพราะไม่รู้เอาไปออกนอกลู่นอกทางไม่เข้าทางพระพุทธเจ้า แล้วมันจะรู้อะไร ถ้าเข้าทางอาตมาพูดนี้ ถ้าพูดได้สัมมาทิฏฐิเข้าทาง จะอ๋อๆๆ ไปตลอดเลย แล้วจะเข้าใจว่าอาตมาคือใคร ก็จะค่อยๆมี คนก็เริ่มรู้ มัวแต่ไปหลงงมงายอาจารย์เก๊เชื่อคนสอนที่ผิด ไม่ถูกต้องอยู่อย่างนั้นยึดถืองมงาย ฟังบ้าง ก็เริ่มฟังอาตมาบ้าง แล้วเปิดจิตรับ จะได้ประโยชน์
อาตมาก็อธิบายประกอบไปแล้วอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
7.จิตที่เป็นอุเบขาทำให้แตกสลายไม่ไห้เกิดการจับตัวเป็นจิตวิญญาณได้อย่างไรคะ
พ่อครูว่า…อุเบกขาเป็นการสลายตัวปลอมไม่ใช่ไปดับสลายจิตที่ใสสะอาด แต่จิตใจยิ่งใสสะอาดเป็นจิตไม่มีอะไรหมองไม่มีอะไรปนเปื้อนเลยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ไปสลายจิต แต่ไปสลายกิเลส ล้างสิ่งที่ไม่ใช่จิตนั่นแหละออก ที่เป็นตัวปลอมเป็นตัวมาร พระพุทธเจ้าบอกว่าเราหักขั้วเรือนยอดเธอแล้วมารเอ๋ย ไม่ให้เกิดจับตัวเป็นจิตวิญญาณได้ อย่างไรคะ ก็ฟังอาตมาพูดไปเรื่อยๆ ทำความเข้าใจกับคำอาตมาพูด ตลอดอาตมาไม่พูดอย่างอื่นหรอก พูดให้ล้างกิเลสทำจิตให้เป็นอุเบกขาทั้งนั้น
สัจญาณ กิจญาณ กตญาณ
_เทศน์เช้านี้วิเศษที่สุด รู้วิธีตรวจสอบตนว่าจบกิจหรือไม่ ตรวจด้วยวิชชา3 วิชชา8 เจโตปริญญาญาณ16 … หาบทสรุปให้แก่ตนเองแต่ละปัจจัย ตรวจสอบความจริงตามศีล … อยากฟังต่อ .. หลวงปู่พูดนิดเดียว .. ไม่ได้ขยายไปที่สัจจญาณ กิจญาณ และกตญาณ
พ่อครูว่า…หาว่าอาตมาไม่ขยาย ต้องพูดว่าหาว่า พูดอยู่อธิบายอยู่แต่ไม่ได้อธิบายมาก เติมก็ได้
สัจจะ คือความจริง กิจ คือการกระทำ กต ก็เสร็จ
สัจจะอะไร พระพุทธเจ้าเรียนรู้สัจจะ สัจจะ มีนานาที่เขาเถียงกัน ในจูฬวิยูหสูตร สัจจะชนิดต่างๆ คนก็เถียงกันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าบอกว่าสัจจะมีหนึ่งเดียวไม่มีสอง เอกังหิสัจจะนัตถิทุติยมถิ ไม่มีสองมีหนึ่งเดียว เอกังหิสัจจะ สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น คืออะไร
สัจจะที่เถียงกันนั้นคือเถียงกันไป เพราะจับสัจจะหนึ่งเดียวไม่ได้ สัจจะหนึ่งเดียวคืออริยสัจจะ
อริยสัจจะมี 4 หลักเกณฑ์คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่คือ สัจจะมีหนึ่งเดียว อริยสัจจะ นี่คือสัจจะ เรียนรู้สัจจะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่แหละแล้วปฏิบัติ กิจ หรือกระทำการปฏิบัติ ปฏิบัติสัจจะนี่แหละ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้เรื่องเดียวทั้งชีวิต แล้ว จะบรรลุ อริยสัจ 4 เป็นอรหันต์ บรรลุสัจจะหนึ่งเดียว คุณเจริญหมดทุกอย่างเลยเท่าที่มี ถ้าคุณจะหันไปหางานใดๆในโลก ดีทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นคนก็ทำตามถนัดเป็น กัมมัญญา ฝึกงานที่คุณจะทำ คุณถนัดงานอะไรมีหลากหลายงาน บรรลุอรหันต์แล้วก็ทำงานที่ตนเองถนัด ที่จริงแล้ว ผู้บรรลุอรหันต์ สุดท้ายก็จะมาทำงานสอนคนนี่แหละ แต่งานที่เราถนัด เราก็ทำด้วย เป็นงานเคียงงานสร้างสรร ส่วนการสอนคน คือสอนให้คนเป็นคนดีที่สุด คือเป็นพระอรหันต์ แล้วก็จบ ผู้มาเป็นอรหันต์ก็มาทำงานที่ตัวเองทำได้ถนัดได้ดี หรือทำรองลงไปได้ หรือใครทำได้หลายอย่าง ก็ดีทั้งนั้นเป็น กัมมัญญาทั้งนั้น
คนที่ทำกรรมที่เป็น อัญญะ อัญญา ก็คือปัญญา คือญาณ ของที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ โลกุตรธรรม เป็นความเฉลียวฉลาดอย่างโลกุตระ อัญญา ที่เรียกเต็มคือปัญญา คือสิ่งที่สูงสุด จบ
ผู้ที่เข้าใจความหมายของธรรมะที่อาตมาขยายความอุเบกขา 5 ก็ตาม ฌาน ก็ตาม
ฌาน 4 ถ้าจับ เหตุของการเกิดฌานไม่ถูก เหมือนอย่างที่ไปนั่งหลับตามันเสียเวลาไปเป็นชาติๆ ไม่ชาติเดียวนะที่ไปติดยึด ชาติต่อไปก็งมงาย กว่าจะรู้สึกตัวแต่ละคน ก็ยังมีผู้เป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ก็ช่วย อย่างอาตมาก็ช่วยกระตุกไป จนกว่าจะค่อยๆ เหรอ? กลายเป็นพญานาคอยู่ใต้ก้นบาดาล นี่ อย่างนี้ ยิ่งกว่านะ พญานาคอยู่ใต้ก้นบาดาลเป็นผู้ที่มืด หนัก ดิ่งดับ ไม่รับรู้อะไรนานอยู่จนกระทั่ง พญานาคที่นอนอยู่ก้นบาดาลจะรู้สึกตัวจากการตื่น ชาคริยา เขาจะนอนอยู่อย่างนั้นหลับไปไม่รู้กี่ล้านปี บางทีห่างกันเป็นล้านปี กว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลกองค์นึง เมื่อพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นก็จะลอยถาดทองคำ ตรงที่พญานาคนอนเฝ้านี่แหละ นอนเฝ้าคือผู้ที่เป็นศาสนาพุทธแต่เป็นพวกจับกังแบกลังทอง ไม่ได้แอ้มทองหรอก ได้แต่แบกลังทองแต่รับเศษเงินไปนิดหน่อยจนตายเกิดมาก็มาแบบใหม่ หรือพญานาคที่นอนอยู่เมื่อถาดทองคำของพระเจ้ากระทบกัน เป็นเสียงพิเศษเสียงดังมาก จนพญานาคนั้นต้องตื่น ต้องรู้สึกตัวชาคริยา เสียงนี่พระพุทธเจ้าเกิดอีกพระองค์แล้วหรือ กว่าพระพุทธเจ้าจะเกิดแต่ละองค์มันนาน อ้อ.. เกิดอีกแล้วหรือ แล้วก็หลับต่อไปยิ่งกว่า หอก100เล่มเช้าแทง ยิ่งกว่าหอกกลางวัน 100 เล่มแทง ยิ่งกว่าหอกตอนเย็น 100 เล่ม แทงนะพญานาคนี่ พอเข้าใจมั้ย ทำอย่างไรจะช่วยพวกสัตว์พญานาคที่นอนเอือกอยู่อย่างนี้ไม่ชาคริยา
พระพุทธเจ้าท่านสอนชาคริยานุโยคะจากสำรวมอินทรีย์ ก็ไม่รู้เรื่อง แปลว่าฉันจะเป็นพุทธ แล้วคุณพูดอะไร ชาคริยานุโยคะคืออะไร สำรวมอินทรีย์คืออะไร โภชเนมัตตัญญุตาคืออะไร ฉันเป็นพุทธนะ ไม่รู้จะพูดอย่างไร
สรุปแล้ว สัจญาณคือรู้ แต่กตญาณคือเสร็จแล้ว จะอยู่นานอยู่ที่ กิจญาณ จะนานหรือไม่นานก็ของใครของมัน เรียนให้ดีแล้วตีกรอบให้ดี เริ่มต้นเรียนรู้ชัดเจนว่า
ศีลข้อ 1 2 3
3 ข้อนี้ทำความเข้าใจให้ได้จะครบแล้ว
เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ 2 เกี่ยวกับของกับพืช 3 เกี่ยวกับทวารทั้ง 6 ศีล 3 ข้อนี้ มันมีอันนี้ต้องระมัดระวังต้องเรียนรู้ มีเท่านี้จริงๆ กระทบสัมผัสกับของ กับพืชผักกระทบสัมผัสกับสัตว์โดยเฉพาะมนุษย์ แล้วก็ตาหูจมูกลิ้นกายใจ นี่คือการปฏิบัติธรรม คุณต้องรู้กระทบกับสัตว์กระทบกับของ กระทบกับพืช แล้วต้องเปิดตาเปิดหูเปิดจมูกลิ้นกาย ไปดับเสีย หลับหูหลับตาหมดแล้วมันจะเหลือศาสนาพุทธได้หรือ งเขาก็บอกว่า กูเป็นพุทธ
จะพูดอยู่อย่างนี้นานเท่าไหร่ กูเป็นพุทธ เอ็งเป็นใคร ..เราก็ว่านี่แหละตัวเราเป็นพุทธแท้ คุณนั้นเป็นพวก มุดๆๆ แล้วหลงว่าวิมุติ แต่มุดเป็นพญานาค นอนหลับไม่รู้ ตื่นมาฟังบ้าง ตื่นมาศึกษารับรู้บ้าง แล้วก็จะเข้าใจธรรมะ
เมื่อเรียนรู้ กิจญาณ ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 นี่แหละปฏิบัตินี้แล้วจบสิ้นอาสวะก็คือกตญาณ ญาณรู้จักจบ
เพราะฉะนั้นถ้าเอาหลักของศีลมาตรวจสอบเกี่ยวกับสัตว์ เราก็กระทบกับคนทุกวันนี้แล้ว ตกลงกระทบกับคนข้างนอกก็ไม่มีอะไร กระทบคนข้างในเราก็ถือสา ตกลงแม้แต่ในพวกเราเองกระทบแล้วก็สบายเข้าใจเขาทุกอย่าง คนนี้เป็นจริตนี้แบบนี้ เขาก็ต้องเป็นแบบนี้ ประทับตรา มันก็เป็นเช่นนี้เอง เราก็อุเบกขาจิตของเราก็สบายไม่มีกระเพื่อมไม่มีกิเลสเลย จิตก็สะอาดอยู่เรื่อย บริสุทธิ์ ปริสุทธา ประภัสสร คุณก็จบได้ รู้จบตัวจริงตัวเองได้ว่าตัวเองเป็นอรหันต์
คนที่ถามอาตมา พูดได้อย่างไรรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองเป็นอรหันต์ อาตมาก็ต้องรู้ตัวเองว่าอุเบกขาแล้ว ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ทำการงานอยู่จิตก็ ปภัสสรา อาตมาไม่ได้ดูถูกดูแคลนคนตำหนิคนด่า แต่รับฟัง แล้วเอามาตรวจสอบ อาตมาตรวจสอบแล้วเขาท้วงผิดเกือบหมด มีถูกบ้าง
สู่แดนธรรม…ตอนนี้ขอสลับปัญหา มีปัญหาจากทางบ้านก็ส่งมาด้วย ปัญหาใน sms ในมือพ่อท่านก็มีเยอะ ในกล่องก็มีเยอะ แต่บางปัญหานั้นผมไม่สามารถอ่านปัญหาได้นะครับ โดยเฉพาะมีโทษมีภัยมาถึงพวกเราด้วย…
_คำถามจากสีมาอโศกมี 2 ข้อ
_1. การที่พ่อครูบอกให้พระเลิกนั่งหลับตาปฏิบัติ ทางพระเถรสมาคมมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามหรือไม่
พ่อครูว่า…ตอบเถรสมาคมเขาไม่ฟังอาตมาหรอก เขาจะปฏิบัติตามนั้นเมินเสียเถิดอย่าคิดถึง เพราะว่าเขายึดมั่นถือมั่นแล้ว จะมีบางคนที่แหกคอก เถรสมาคมออกมาบ้าง จะฟังแล้วจะเอาตามบ้างแต่ไม่มากอาตมาเชื่อว่าอย่างนั้น แต่เท่าไหร่อาตมาก็เอาเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน เพราะเกิดมาในยุคนี้มันเป็นยุคแล้วคนมันหน้าด้านมันโง่เง่ามาก ขออภัยที่พูดความจริงมันไม่ค่อยกระเตื้องไม่ค่อยรู้ตัว อาตมาพูดคำใดก็ขอยืนยันว่าเป็นคำจริงไม่ได้หลงไปว่า ที่ว่านี้เป็นความจริงบอกว่าดักดานโง่มากนี้ก็จริง เพราะฉะนั้นรู้ตัวเถิดแล้วก็พยายามทำตัวเองให้หายโง่ ให้ฟื้นขึ้นมาบ้าง แล้วจะได้ประโยชน์ เพราะว่าอาตมาพูดจริงเป็นคนจริง อธิบายสิ่งที่จริงให้ฟังทั้งนั้น
_2. ผู้ที่จะมีความรู้ถึงขั้นอรหันต์ ท่านก็มีความรัก 10 มิติตั้งแต่ขั้นใด
พ่อครูว่า…เป็นระดับที่ 8 ระดับที่ 7 เป็นเทวนิยมเต็มรูป จะแยกไม่ออก แล้วก็แยกความรักจากข้อที่ 7 นั่นแหละ มาเป็นความรักมิติที่ 8 ตีแตกแยกแยะในข้อที่ 7 นั้นออกได้ก็เป็นข้อที่ 8 เมื่อตีแตกแยกเทวะออก แยกแยะค่อยๆแยกไปทีละคู่ๆ คำว่าเทวะนี่แหละแปลว่า 2 ทีละคู่ๆ เทวนิยมปรมาตมันเต็มรูปก็เป็นระดับที่ 7 เป็นศาสดา เป็นศาสนาเทวนิยมและจะมีประจำโลก มีมาก
เพราะฉะนั้นคนที่จะมารู้โลกุตระนั้นมีจำนวนน้อยในโลก ที่เหลือศาสนาทั้งหลายคือ 1-7 ศาสนาที่จะเป็นศาสนาพุทธก็คือ 3 ใน 10 เป็นเทวนิยมไปเสีย 7 ใน 10
คนเป็นพระโสดาบันต้องรู้ว่าตนเป็นพระโสดาบัน
_จากลูกอยากรู้
_1. การไม่รู้ตัวว่าเป็นอรหันต์ กับการไม่รู้ตัวว่าเป็นพระโสดาบันแล้ว มีความต่างกันอย่างไร เพราะเคยได้ยินพ่อท่านพูดว่า คนไม่รู้ตัวเอง เป็นพระโสดาบันก็คือคนที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบันใช่หรือไม่คะ
พ่อครูว่า…ก็ใช่สิ คนที่ยังไม่รู้ตัวว่าเป็นพระโสดาบันก็คือยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน หรือแม้แต่เป็นพระโสดาบันแล้ว แต่ตัวเองไม่ได้ตรวจให้ดีว่าเป็นพระโสดาบันแล้ว ก็มีเยอะ ไม่ใช่น้อย แต่คนที่ไม่ได้เป็นพระโสดาบันเลยตรวจให้ตายก็ไม่เป็น อันนี้ก็กำปั้นทุบดินจะไปถามทำไม เพราะฉะนั้นก็ลองตรวจดูตัวเองบ้าง ว่าเป็นอย่างไรก็อธิบายเสริม
ว่า โสดาบันเป็นอย่างไร
ที่จริงโสดาบันนั้น มันสำคัญมาก ตรงที่จะต้องรู้ความเป็นกาย ตอบชัดๆเลยก็คือ โสดาบันรู้เริ่มรู้ความเป็น กาย ถูกต้อง ความหมายของภาษาบาลี ภาษาพระพุทธเจ้าคำว่า กาย คืออย่างไร คำว่ากาย..อาตมาก็อธิบาย เป็นความเข้าใจผิดกันจริงๆ มันเข้าใจกันผิดมาได้อย่างไร อาตมาก็งงๆ เหมือนกัน กายมันมีสภาพ สอง ไปเข้าใจ กายเป็นหนึ่ง แล้วไปเข้าใจ กาย เป็นวัตถุด้วยมันออกนอกไปไกลๆ
แต่กายจะต้องเป็นสอง สองกาย เน้นจิตเป็นหลักด้วย แต่ไม่เข้าใจ แต่เข้าใจว่า กาย เป็นหนึ่งแล้วเอาวัตถุเป็นหลักด้วย เป็นมิจฉาทิฏฐิของศาสนาพุทธ ตรงกาย คำเดียวนี้หมดเลยศาสนาพุทธไม่มีโลกุตรธรรม เพราะฉะนั้นสังโยชน์ข้อแรก
อาตมาอธิบายวนเวียนอยู่ตรงนี้ สังโยชน์ข้อแรกคือ คือกาย
-
แล้วมาเรียนรู้ตัวเอง สักกะ เออ กายเรารู้แล้วว่าเป็น 2 แต่อย่างไร 2 อย่างไรจึงจะปฏิบัติธรรมได้ 2 คือภายนอกภายใน รูปนาม จิตกับกาย แล้วก็ต้องแยกจิตแยกกายนี้ให้ละเอียดเป็น เมื่อเรียนรู้แยกจิตแยกกายได้แยกจิตมา จนทำให้จิต พีชะได้ แยกจิตจากพีชะ ให้เป็นอุตุได้ สรุปง่ายๆสั้นๆ อย่างนี้แหละจบเลย ทำให้จิตอุตุได้ก็สบายแล้ว แต่จิตของเราเป็นจิตเสียแล้ว มาถึงเลิกได้เพราะพลังงานจิตเป็นพลังงานสุดยอดของสัตว์โลก สามารถที่จะมี วสวัตตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จะให้เกิดจะให้ตาย จะให้มีกรรมอย่างไร อกุศลกรรมไม่ทำเลยเพราะ จิตไม่มีตัวปลอมไม่มีกิเลสในจิตแล้ว
เพราะฉะนั้นกรรมทุกกรรมที่ทำจึงไม่มีเลยที่จะเป็นอกุศลเป็นบาป ไม่มี บาปนั้นไม่มี เพราะว่าบุญมันฆ่าบาปหมดแล้ว บุญคู่กับบาป กุศลกับอกุศลคู่กัน จริงๆบาปมันก็หมดแล้วกับบุญเลย แต่ที่จริงคนมันติดคำว่าบาปหนักกว่าอกุศล ถ้าบอกว่าบาปนี้หนักกว่าคนมันกลัวกว่ากุศลคนก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าบอกว่าบาปลงนรก แต่ถ้าบอกว่าอกุศลก็ไม่เกี่ยวกับนรก ที่จริงแล้วมันก็เกี่ยวกับนรกด้วยนั่นแหละ
เพราะฉะนั้นเข้าใจภาษาเป็นสื่อในการรู้จักเป็นสภาวะ
โสดาบันรู้กาย เรียนรู้กายที่มีรูปนาม มี 2 มีนอกมีใน แล้วก็มารู้จักสภาวะเป็นจิตมี แต่ต้องมีปัจจัยคือข้างนอกเกิดด้วย มีวัตถุมีทุกอย่าง ที่กระทบสัมผัสข้างนอกแล้วก็มีข้างนอกปฏิบัติด้วยเสมอ พวกปฏิบัติหลับตาจึงเป็นพวกโมฆะ เลิกได้ โง่อย่างเดียรถีย์เท่านั้นไปยึดถืออยู่ แล้วคุณก็จะเป็นเดียรถีย์ไปตลอดกาล คนที่ไปหลับตา พูดแล้วก็นึกถึงพวกที่นั่งหลับตา ท่านเอาชีวิตมาทิ้งเลยนะบางทีบวชมาตั้งแต่เป็นเณร จนทุกวันนี้เป็นพระแก่อายุ 90 จะร้อยก็มี บางคนก็เป็นร้อย แล้วก็หลงหลับตาอยู่นั่นแหละ จะทำอย่างไร อาตมาพูดนี้เขาไม่ฟังหรอก พวกที่หลับตา นอกจาก ไม่ฟังแล้วออกกฎระเบียบด้วยว่า เถรสมาคมห้ามฟังโพธิรักษ์ เขาบาปมากเลยนะ ห้ามคบหา เขาทำบาปขนาดไหน เขาปิดประตู โง่ตัวเองไม่ว่า ตัวเองอยู่ในนรกไม่ว่า แล้วไปบอกคนอื่นว่า อย่าไปออกจากนรกนะ ให้อยู่ในนรกด้วยกัน อย่าไปมองสวรรค์ มองสวรรค์มันบาปนะ ที่จริงเรียกสวรรค์มันก็ไม่ถูก เพราะว่าศาสนาพุทธไม่มีทั้งสวรรค์และนรก อันนี้ก็ไม่มีใครเอามาพูดหรอกในศาสนาพุทธทุกวันนี้ เขาก็จะไปสวรรค์ทำทานก็จะไปสวรรค์ ปริภุญชิตสามีติ ทำทานแล้วจะต้องได้เสวยในชาติต่อไป ส่งให้ผู้ตายได้อีก อยู่ไหนก็ไม่รู้ทั้งที่กรรมเป็นของของตน ทำอย่างงมงายเต็มไปหมด
โสดาบันรู้จักกาย แล้วรู้ให้หมดวิจิกิจฉา นี่คือสังโยชน์ข้อที่ 2 จะบอกว่าไม่สงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ตีขลุมไปหมด ที่จริงหมดสงสัยในคำว่า กาย นี่แหละ หมดกังขา เข้าใจดีว่า กายคืออย่างไร แล้วมารู้จักสักกาย ปฏิบัติกับสักกาย รูปนามภายนอกภายในแล้วมีภาวะ 2 ไปกระทบสัมผัสกับอะไรๆ เรียนรู้แล้วจับมาพิจารณา ว่านี่กิเลสร่วม ลดกิเลสๆ ตรงนี้เท่านั้นแหละศาสนาพุทธ ต้องมีสัมผัสแล้วมีกิเลสเกิด แล้วก็รู้กิเลสให้ทัน รู้จักวิธีทำให้กิเลสลดๆๆ จนเก่ง พอกิเลสแหลมหน้ามา เจอมาเจอหน้าปัญญาเราปั๊บก็ดับ จนกระทั่งกิเลสไม่กล้าแหลมหน้า จนกระทั่งเข้าใกล้ไม่ได้ กิเลสเข้ามาถูกรังสีหายหมด ไม่เข้าใกล้ เป็นอย่างนั้นจริง สุดท้ายก็สบาย กิเลสไม่เข้ามาวอแวเพราะมีรังสีห้อมล้อมไว้เข้ามาไม่ถึงตัวเรา กิเลสเข้าไม่ถึงตัวหรอก นี่คือเรามีฤทธิ์ มีราศี กิเลสเข้ามาไม่ถึงตัวเรา
ซึ่งอันนี้อาตมาพูดจากตัวเอง กิเลสมันมีสารพัดอาตมาเห็นเต็มไปหมด แต่มันเข้าไม่ถึงตัวอาตมา เข้ามาไม่ถึงหรอกเข้าไม่ได้ เข้าอาตมาไม่ได้ ภาษาง่ายๆชัดๆ แต่ทุกคนก็ต้องคิด เพราะคุณยังไม่เป็นอย่างอาตมา มาเจอมันเล่นเดี๋ยวก็มีเดี๋ยวก็มี มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น ก็พูดให้ฟังเท่านั้นก็ทำไปแล้วจะเหมือนอาตมาได้ ก็ต้องมาเป็นอย่างอาตมามาเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นพระโสดาบันเมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็เรียนรู้วิธีเรียกว่า ศีลพรต ก็ปฏิบัติจรณะ 15 นั่นแหละคือ ศีลพรต จรณะ 15 วิชชา 8 นั่นแหละคือ ศีลพรต มันก็ย่นย่อและสรุปลงสู่เป้า ของศาสนาพระพุทธเจ้าแล้วนะที่อาตมาพูด
ปฏิบัติเป็นพระโสดาบันผ่านสังโยชน์ 3 ข้อ เข้าใจและปฏิบัติได้จึงจะเกิดผลลดกาม ลดปฏิฆะ สังโยชน์ข้อต่อไป จากนั้นก็เป็นอุทธัมภาคิยสังโยชน์ เป็นรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
คุณก็ปฏิบัติตั้งแต่ต้นก่อน แล้วคุณจะไม่ต้องเป็นห่วงหรอกสำหรับสังโยชน์สูง เอาตั้งต้นไปปฏิบัติถึงเวลาวาระก็จะรู้เอง อาตมาอธิบายอยู่ตลอดเวลา มันรู้อยู่ตลอดเวลาพาดพิงอยู่ตลอดเวลาไม่ต้องห่วงเลย นั่นคือโสดาบันอธิบายไปถึงสังโยชน์ 10 แล้ว
2.ถึงวันนี้พ่อท่านคิดว่าได้พบพระโพธิสัตว์ผู้พี่ ที่จะมาช่วยงานศาสนาของพ่อท่านหรือยังคะ
พ่อครูว่า…ไม่มีไม่พบ อาตมาก็เลยกลายเป็นโพธิสัตว์ตัวพี่อยู่ในยุคนี้ ที่จริง อาตมาก็รู้อยู่แล้ว แต่พูดไปเพื่อให้ครบ อาตมาเกิดมาเป็นไก่ตัวพี่ก็พูดไปแล้วเคยพูดแล้ว ว่า โพธิสัตว์ ก็บอกแล้วว่ามีพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง เกิดมาก่อนอาตมา 7 ปี
ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านตามหน้าที่ตามปางของท่านสำเร็จไปแล้ว อาตมาก็ทำไปเรื่อยๆช่วยกัน นอกนั้นก็มีโพธิสัตว์น้อง ๆ มาเรื่อยๆยังไม่เด่นนักหรือมีมาตามสมควร
_ปุจฉาจาก บัวสายธรรม(ป้าย่านาง พวธ.) :
สูตร Co-efficient ที่พ่อครูค้นพบ ที่ว่า E = C(mc2)+A นั้น คำว่า C ตอนนี้พลังที่ขับเคลื่อนของหมู่ชาวโลกุตระ มี C จาก Covid เข้ามาเกี่ยวข้องในสูตรนี้ ณ.ช่วงเวลานี้ด้วย ใช่ไหมเจ้าคะ? เพราะได้รับรู้ถึงพลังตัวนี้ได้เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ทั่วไปนี้เราไม่รู้ว่ามี Covid อยู่หรือไม่ แต่เราไม่รู้ตัวมัน มันจะอยู่ตรงไหนเราไม่รู้ อาตมาก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะหายไป บ้านเมืองจะสะอาด อากาศอวกาศบรรยากาศมันจะไม่มีแล้ว ทุกคนก็ไม่ต้องไประมัดระวังอะไรกันแล้ว อาตมาก็ไม่ได้ไปพยายามวิจัยตามดูว่ามันจะหมดไปอย่างไร ก็ดูเขาไปเพราะเราไม่มีหน้าที่ เขาก็จัดการเราก็ฟังเขา เขามีหน้าที่เขาเข้าใจพวกนี้ก็ทำตามเขาก็แล้วกัน ยังไม่มีใครกำหนดได้ว่ามันจะหมดไปเมื่อไหร่ก็ทำตามไป ถามว่ามันเข้ามา มันก็แทรกตัวเข้ามา ตอนนี้มันไปทั่วโลก มันก็เข้ามาทุกที่เราก็ระมัดระวังเท่านั้นเอง เกี่ยวกับสรีระร่างกายเราระวังว่าจะตายเพราะมันเท่านั้นเอง
คำว่า สัตบุรุษ เกี่ยวข้องอย่างไรกับโพธิสัตว์ระดับ 7
_ส.บินบน : ขอถามพ่อท่านว่า คำว่า สัตตบุรุษ เหตุใดจึงใช้คำว่าสัตต ไม่ใช้คำว่า ปัญจบุรุษ หรือ อัฏฐบุรุษ หรือ นวบุรุษ เกี่ยวกับเลข๗(สัตต)อย่างไรครับ ในการเป็นสัตตบุรุษ
พ่อครูว่า…คำถามอันนี้ลึกซึ้งอีก สัตตะคำนี้แปลว่า 7 ถูกต้อง ท่านบินบนก็เลยชักสะดุดใจว่า ทำไมไม่เอาคำว่า อัฏฐะ หรือนว
นวบุรุษแปลว่า 9 อัฏฐบุรุษ แปลว่า 8 ทำไมเอาคำว่าสัตบุรุษคือ 7 มาเรียก แล้วน้อยกว่านั้นก็ไม่เรียก ไม่ใช่ ฉฬ คือ 6 แล้วก็ปัญจะก็ไม่เรียก 4 จตุก็ไม่เรียก ทำไมมาเรียกตัวสัตตะ
ก็เคยพูดแล้วว่าเลข 7 นี้เป็นเลขที่ยิ่งใหญ่ เลข7 เป็นเลขไข แสดงถึงสภาวะ สังขยาเลข 3 กับ 3 มันไม่ออก ถ้าเป็น 7 จะเริ่มสามเส้าใหม่ มาเป็น 8 9 ก็สามเส้า สามอันครบ เป็นวงกลมครบ ทางศาสนาพราหมณ์ฮินดูเรียกว่า กัลกิยาวตาร
คือผู้จบกัลกิยาวตาร จบฐานที่ 9 สุดยอด คนที่จบเป็นอรหันต์จะเกิดหรือตายก็ได้เองเป็นอมตะ เป็นมูลสูตรข้อที่ 9 จะปรินิพพานเป็นปริโยสานหรือไม่ก็ได้ ถ้าไม่ คุณจะอยู่นิรันดรเป็น กัลกิยาวตาร สายฮินดูเทวนิยมที่เป็นนิรันดร เขาไม่ตายเขาเป็น กัลกิยาวตาร เขาก็จะอวตารเป็นอื่นเป็นอีก เป็นพระรามเป็นพระอิศวร เป็นอะไรต่ออะไร เยอะแยะ อวตาร ไม่มีจบมีนิยายของเทวมากมาย แต่ของพุทธ ไม่ไปวุ่นวายอย่างนั้น เรียนรู้จบแล้วก็จบเป็น เพราะมันมีสัจจะตรงที่ว่า มันรู้ว่า การเกิดมาคืออะไร เกิดมาทำไม เกิดมาเกิดมาเพื่อศึกษาจุดสูงสุดของโลกุตระ เมื่อได้โลกุตระแล้ว คุณก็จะรู้จักที่จบ
เมื่อรู้จักที่จบแล้ว คุณก็จะทำงานช่วยมนุษยชาติ พัฒนาบำเพ็ญตัวเองไปเรื่อยๆเป็นโพธิสัตว์ มนุษย์ที่จบเป็นอรหันต์ระดับที่ 4 จากนั้นก็เป็นระดับ 5 6 7 8 9 สุดยอด ช่วยโลกมนุษย์จนสมบูรณ์แบบทุกอย่างแล้ว สุดท้ายพระพุทธเจ้าไม่มี 2 สมัย ประกาศศาสนาเป็นของตนเป็นศาสดาแล้ว จบแล้วเลิก สมัยเดียว ปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่มีใครจะไปนิมนต์ให้พระพุทธเจ้าอยู่ทำงานเป็นสมัย 2 เพราะท่านทำมาจนสุด หนักหนาสาหัส นานแสนนานแล้วจนพอแล้ว เลิกสักที
เป็นอรหันต์จบแล้วมาเป็นโพธิสัตว์ลองดูมันก็เหนื่อย ผู้ที่มีใจอยากจะต่อเป็นพระพุทธเจ้าเลยสูงสุด หรือกัลกิยาวตาร แต่สายฮินดูสายเทวนิยม เขาไม่รู้ สายพราหมณ์เขาไม่รู้ สิ่งที่มีสูงสุดคือ 9 สิ่งที่เลย 9 เป็น 0 คือไม่มี แต่เขาไม่รู้ว่าความไม่มีคือไม่มี เขาก็ยังหลงว่ามีมันก็เลยวน เท่านั้นเอง
พระเจ้าสูงสุดแล้วรู้ความมีความไม่มี ก็จบที่ความไม่มี ที่เขาพูดคือคนไม่รู้ คนอวิชชาคนเทวนิยม คนรู้สิ่งเดียว ไม่รู้ 2 อัน แล้ว 2 อันนี้รู้จักการทำจบ ทำเป็น1เป็น0ได้ สมบูรณ์แบบ อาตมาก็อธิบายสังขยาเลขอธิบายให้ฟัง ใช้สภาวะอธิบายบ้างจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไรแล้วทุกวันนี้ก็วนอยู่ตรงนี้ พวกเราก็ฟังดี เพราะว่าฟังธรรมะแล้วรู้สาระเป็นสาระ ชีวิตก็มีสาระดีกว่าอันอื่น เพราะเทศน์ก็ไม่มีเทศน์ตลอดกาลหรอก เดี๋ยวนี้ก็มีเครื่องมืออัด วนซ้ำไปซ้ำมา เบื่อบ้างไม่เบื่อบ้าง ฟังซ้ำฟังซากก็ไม่เป็นไร คนฟังธรรมะโลกุตระฟังแล้วไม่เบื่อ แม้พระอรหันต์แล้วก็ฟังธรรมะไม่เบื่อ จนกระทั่ง เป็นพระพุทธเจ้าก็ฟังธรรมะโลกุตรธรรมไม่เบื่อ
ฟังแล้วก็เอามาใช้ เพราะชีวิตมนุษย์ได้โลกุตรธรรมได้จบโลกุตรธรรม จบแล้วชีวิต จบแล้วจะไปเรียนวิชาอะไรอื่นก็ง่ายสบาย เรียได้สบายทุกวิชา
คนที่ไม่มีหน้าที่เป็นโพธิสัตว์ จบอรหันต์แล้ว ก็ออกไปเป็นนู่นนี่ ทำงานไปเพราะว่าต้องการทำความเป็นโพธิสัตว์ให้แก่ชีวิต แต่ความจบแล้วก็ทำงานช่วยมนุษย์ก็ไปเรียนวิชาที่ตัวเองถนัด ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน รู้แล้วก็ทำเอาไป มันก็จะเป็นตัวสมบูรณ์แบบเลยของศาสนาพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นหน้าที่ของศาสนาพุทธพระพุทธเจ้าก็สอนให้คนเป็นอรหันต์ เมื่อคนเป็นอรหันต์แล้วคือปริญญาบัตรรับรองมนุษย์ คุณจะเป็นอรหันต์ไม่ทำงานอื่นไปทำงานโพธิสัตว์คุณก็ดีที่สุดแล้วจะทำงานอะไรก็ไม่มีบาปไม่มีอกุศลมีแต่ กัมมัญญา มีแต่การงานที่ดีที่เหมาะที่ควรทั้งนั้นเลย นี่คือปริญญารับรองความเป็นคนของพระพุทธเจ้าเป็นวิชาของพระพุทธเจ้า สอนเรื่องนี้อย่างนี้
เพราะฉะนั้นเป็นการสอนให้คนในโลก เป็นคนดี รับใช้มวลมนุษยชาติ ผู้จบแล้วก็รับใช้มวลมนุษยชาติ การเมืองเขาทำอวดดีเขาบอกว่าเขาจะมารับใช้มนุษยชาติ คุณมาศึกษาธรรมะจนเป็นอรหันต์ให้ได้แล้วคุณจะไปรับใช้การเมือง
อาตมากำลังรับใช้การเมืองเต็มที่ กำลังช่วยประเทศชาติ แต่เขาไม่ค่อยจะชัดเจน เขานึกว่าคนช่วยประเทศชาตินั้นคือคนมีวิชานู้นนี้เป็นการเมืองไปรับตำแหน่ง ไม่ใช่ ผู้ช่วยประเทศชาติไม่ต้องการอะไรตอบแทนเลยจริงๆ คือผู้เป็นอรหันต์ แล้วก็รับใช้ประเทศชาติ รับใช้สังคม ทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ช่วยกัน พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ก็อยู่อย่างนี้
เพราะว่าเป็นผู้ที่รู้จัก รู้จักโลกกับรู้จักอัตตา สองอย่างนี้
เป็นผู้ที่รู้จักโลกาธิปไตยรู้จัก อัตตาธิปไตย มีธรรมะที่เป็นโลกุตระธรรม จึงสามารถจัดการกับอำนาจ อธิปไตยคืออำนาจพลังของโลก กับ พลังของ อัตตา ของแต่ละคน
คนกับโลก แยกกันไม่ได้ โลกปั่นป่วนก็เพราะคน โลกสงบก็เพราะคน โลกจะอยู่ดีกินดีก็เพราะคน เพราะฉะนั้นเรามีความรู้เราก็เอาวิชาที่รู้มาเปิดเผย โดยไม่ต้องไปหาบริวาร อย่างอาตมาไม่หาบริวาร คนฟังเอารับรู้ด้วยเห็นดีก็มาเอา
มีที่โน้ตไว้…อำนาจ ของลาภของข้าวของ ยศ สรรเสริญ อำนาจกามคุณ 5 นี่สรุปย่อๆเอาไว้ (ลายมืออาตมาไม่สวยแต่อ่านง่าย พยายามเขียนให้คนอ่านไม่ผิดจะไม่เสียผล)
อำนาจของลาภ หรือ ข้าวของเงินทองในโลก
ลาภ คือสิ่งที่ได้มา พอได้มา เป็นข้าวของเงินทองเรื่องของความหยาบ คนก็หลงมัวเมาอยู่ในข้าวของเงินทองในโลกอย่างเช่นธัมมชโย หลงลาภ ข้าวของเงินทอง เสียเวลาให้คนมาลงแล้วก็ใช้เงินทองนี้บำเรอตัวเองตามชอบ เอาไปปู้ยี่ปู้ยำ ทำไปเรื่อยด้วยสารพัด ก็ ไม่รู้ว่าตัวเองสอนอะไร สอนเฟ้อหลงงามหลงใหญ่มโหฬารเป็นเจ้าโลกจะแพร่หลายไปทั่วโลกเพื่อจะดูดเงินมาและธรรมชาติ ถ้าเผื่อธัมมชโยอายุสัก 500 ปีแล้วไม่ถูกสกัดไปก่อน ก็คงจะสร้างให้มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ ยิ่งกว่าสตาร์วอร์ ยิ่งกว่า Harry Potter จะเป็นพวกวิตถารประหลาดอะไรไป Star Wars ออกไปนอกโลกเจอมนุษย์เจอสัตว์ต่างๆ คิดไปว่าฝันเพ้อไป ทางด้าน Harry Potter ก็ไปต่างๆนานามีคาถาอาคม ฤทธิ์เดชเลอะเทอะไป เขาคิดได้อย่างนั้นแล้วคนคนนี้ก็ไปชอบให้รี่พอตเตอร์ไม่ชอบ Star Wars เดี๋ยวนี้ไปถึงไหนแล้วไม่รู้ยิ่งกว่า Star Wars มันก็โง่งมงายหนักไปเรื่อยโดยไม่รู้ตัว ดูซินี่ JK rowling เดี๋ยวนี้รวยเละเลย ทางอเมริกามีค่าลิขสิทธิ์สูงมาก นี่แหละทำเรื่องเดี๋ยวนี้เลย จนแก่ตายแกก็กินไม่หมด คนมันโง่งมงายจริง
อาตมาสอนเรื่องสัจจะสาระไม่สนใจจะไปสนใจ Harry Potter สนใจ Star wars คนเรามันโง่ได้ระดับ ขออภัยที่ไปว่าเขาจริงๆแต่ว่าไม่ผิดหรอกขออภัย
คำว่า อาโลก คืออย่างไร
_อยากฟังพ่อครูอธิบายคำว่าอาโลกครับ
พ่อครูว่า…อาโลก หมายถึงแสงสว่างโลกที่ครบบริบูรณ์ คนที่ไม่มีแสงสว่างจะรับรู้โลกด้วย ถ้าเรามีแสงสว่างมีการรับรู้ได้ก็จะศึกษาได้เต็ม พระเจ้าสอนว่าจะต้องมีจักษุญาณปัญญาวิชชาแสงสว่างต้องมีอาโลก แต่เขาก็งมงายหลอกหลับตาหนีจากคำสอนพระพุทธเจ้าไปไกลจากวิเวก ไปงมงายจมอยู่ในถ้ำ พระสูตรพระพุทธเจ้าออกมาตีเท่าไหร่เหมือนแทงด้วยหอกร้อยเล่ม แทงเท่าไหร่ตีเท่าไหร่ ยิ่งกว่าพญานาคอยู่ใต้บาดาล รอพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาที่ 1 ค่อยได้ยินเสียงสาดทอง ดังกริ๊ก พระเจ้าเกิดมาอีกแล้วหรือ เอาเท่านั้นดูเท่านั้นเสร็จแล้วก็หลับได้บาดาลต่อไปไม่ได้อะไรจากพระพุทธเจ้าเลย รู้แต่ว่าพระพุทธเจ้าเกิดองค์หนึ่งเท่านั้นเองที่เขารู้ ตื่นขึ้นมาดู คิดดูซิว่าคนนี้มันจะดักดานไปถึงไหนพญานาคนี่ แล้วก็เชิดชูพญานาคกันจังเลย สร้าง เอาสัตว์ดึกดำบรรพ์ ดักดาน มาเป็นสนุกสนานพญานาคยิ่งใหญ่ แล้วก็ไม่รู้ว่าพญานาคคืออะไร
พญานาคคืองูที่ดักดานที่นอน งูนอนงูหลับ งู อยู่ใต้บาดาล เอาเข้ามาอีกเหมือน Harry Potter เหมือนสตาร์วอร์จริงๆแต่เป็นแบบไทย ก็งมงายไปอย่างนั้น แล้วจะมาพูดสัจจะสาระให้ฟังไม่กระดิกไม่รู้เรื่องสาระ ไปเอาที่บ้าบออะไรไป น่าสงสารจริงๆ
อาโลก คือแสงสว่างเปิดหูเปิดตารับรู้และปฏิบัติศึกษาอย่าไปหลับตา นั่น เท่านั้นแหละ
_กราบขอโอกาส ที่พ่อครูพูดถึงหมอพ่อครู ที่สังเกตคือคุณนิ่ม น่าจะห่างจากพ่อครูบ้าง พ่อครูก็สอนให้อยู่กับการเกษตรก็อยากให้คุณนิ่มลดตัวลดตนมาอยู่กับการเกษตรบ้าง เห็นควรอย่างไรแล้วแต่ท่านทั้งหลาย
พ่อครูว่า…ก็รับฟังแก้ไขปรับปรุงได้ก็ดี คนเราแก้ไขปรับปรุงอะไรได้บ้างก็ควรก็เป็นคนพัฒนามากขึ้นเท่านั้นเอง อาตมาว่า ดูแลอาตมาก็ดีมันก็มากไปเขาก็ตึงบ้างเท่านั้นเอง
_เด็กนักเรียนดื้อโดนลงโทษอย่างไร หมอพยาบาลดื้อควรลงโทษหรือไม่
พ่อครูว่า…ทีนักเรียนลงโทษและหมอพยาบาลไม่ลงโทษ ก็ฟังไว้ใครจะลงโทษได้ก็ลง พูดไปนี้มันมีสำนึกของแต่ละคน คนก็สำเร็จก็แล้วกันก็ปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้น
_ขอความกรุณาพ่อครูช่วยขยายความคำว่า จักษุ และอาโลก
พ่อครูว่า…อาตมาพูดพาดพิงไปแล้วก็เก็บมาเอา
_เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ่อครูพูดถึงสุขภาพพ่อครูว่าร่างกายของอาตมาพร่องมาโดยตลอด ขอความกรุณาพ่อครูช่วยบอกความประสงค์ที่แท้จริงว่า เพราะเหตุอะไรพ่อครูต้องการอย่างไร อาหารมากมายที่ทุกคนพยายามจัดสรรมาถวายนั้นเป็น อย่างไร เช่นปรุงแต่งมากเกินไปไหมเมนูอาหารมากอย่างเกินไปไหมควบคุมอาหารเกินไปไหม (จึงขาดสิ่งที่ถูกห้าม เช่น ผลไม้ ซึ่งผู้สูงวัยชอบทาน) ดิฉันเห็นด้วยว่าร่างกายคนเราจะส่งสัญญาณครับว่าต้องการอะไรไม่ต้องการอะไรมากรออยู่แล้ว ซึ่งดีกว่าเครื่องมือทางการแพทย์มากมาย ขอความกรุณาบอกลูกๆตามจริงอย่าได้เกรงใจเลยค่ะ
พ่อครูว่า…บอกไปตามจริงแล้ว แต่เขาก็เชื่อตัวเองมากกว่า จะให้ทำอะไรได้อย่างไร ว่าอาตมาให้มาเท่าไหร่มันเหลือเฟือ อย่างใดอย่างไรก็มากเกินเหลือเฟือ มันก็ได้ทุกวันแหละ เพราะว่ามันเกิน ไม่ต้องไปกังวลหรอกมันจะเกิดการขัดเกลากันเองก็ให้มันเกิดไป เพราะพวกนี้เป็นประโยชน์ อันนี้ควรจะขัดอันนั้นอันนี้ นี่ก็แสดงมา นี่คือการศึกษาของสัจธรรมโดยธรรมชาติ อย่ารำคาญอย่าไปกังวลอะไร มันเป็นอย่างนี้แหละนี่คือการศึกษาของชาวอโศกถูกต้องแล้ว
_ด.ช.เชิญชัย(ดูดีขึ้น) : ชาตินี้หลวงปู่คิดว่าจะกินเนื้อสัตว์ไหมครับ ถ้าหลวงปู่แก่ตัวไปมากกว่านี้
พ่อครูว่า…จะแก่ตัวอย่างไรก็ไม่กินเนื้อสัตว์
วาสนาต่างกันเป็นตัวเปิดบุญ
_พ่อครูคะ วาสนาแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ละคนอาจมีวาสนาติดนิสัยมาไม่เหมือนกัน อนึ่ง แกนเจโต ปัญญา อันนี้ทำให้เกิดความไม่พอใจซึ่งกันและกัน เหตุนี้ปิดกั้นตัวบุญที่เกิดขึ้น
พ่อครูว่า…เป็นตัวเปิดให้เกิดตัวบุญเกิดขึ้นต่างหากเล่า มันกระทบกันแล้วเกิดการขัดเกลากันคุณต้องรู้ตัวเลยว่ามาแล้วโจทย์ๆ ยินดีกับโจทย์สิ คุณจะไปตีทิ้ง ไม่ได้จ้างเขานะ เขามาเอง เขามากระทบเราเอง ไม่ได้จ้างสักหน่อย เราต้องรู้จักรับลูกให้เป็น มันมาเยอะนักก็หลีกมันหน่อย มะรุมมะตุ้มเยอะก็ต้องหลบไปในมุมที่น้อยหน่อยเราก็ต้องฉลาดรู้ที่เราสิ มาเยอะเกินก็ต้องหลบ ไม่ถึงขนาดต้องหนีต้องหลบหรอกก็รับลูกให้เป็น รู้ตัวทันแล้วแก้ไขปรับปรุง เราก็จะได้ทำโจทย์ทำงานปฏิบัติธรรมด้วยการทำงานปฏิบัติธรรมด้วยการกระทบสัมผัสกันไป นพวกเรานี่แหละมันไม่จัดจ้านเท่าไหร่แล้ว
_ถ้าเลิกละตัวนี้ ทำให้เกิดเมตตาในศีลข้อที่ 1 จะช่วยให้เราสว่างสงบตัวนี้ใช่ไหมคะ คือเป็นคำถามโง่ๆ แต่ฟังเมื่อวาน เข้าใจอย่างนี้ถูกไหมคะมีอะไรมากกว่านี้ไหมคะ
พ่อครูว่า…เออโง่จริงๆ พูดไปหมดแล้ว
_น้อมยอดธรรม : รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กามโทษ 5 นามกาย จิตเวทนา รู้สึกชอบไม่ชอบ เฉยๆ อุเบกขา มุทุ สังวร รู้รายละเอียดมี กราบถามพ่อครูว่า เจตสิก รูป นิพพาน คิดพอปฏิบัติได้มั้ยคะ
พ่อครูว่า…คุณก็เรียนรู้อยู่ ปฏิบัติอยู่ ก็ค่อยๆรู้ไป มันอาจจะช้าสำหรับแต่ละคน ค่อยๆทำแล้วจะเร็วขึ้นเอง ตั้งใจศึกษาฟังธรรมะแล้วเอาไปทำอย่างนี้แหละ ไปเรื่อยๆก็ได้ดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เร่ิมเกิดเป็นตัวเราของเราที่จิตนิยาม
_พลังงานที่ยึดเป็นตัวเราของเรานั้น เริ่มตั้งแต่ตัวใดระหว่าง อุตุ พีช จิต กรรม ธรรมะ
พ่อครูว่า…พลังงานที่เริ่มเป็นตัวเราของเราเกิดตั้งแต่เมื่อใด จิตนิยาม เป็นตัวกลางที่รู้ เกิดเมื่อใด ยึดเป็นตัวเราของเราเริ่มที่ตัวไหน ก็เริ่มที่ตัวจิตนั่นแหละเป็นตัวกลาง เป็นตัวที่เป็นธาตุรู้ รู้ว่า มันมีการเคลื่อนที่มันมีการเกิดปฏิกิริยา เรียกว่า กรรม จิตต้องมีการกระทบมีการเคลื่อนที่ ทำจิตให้นิ่งหยุดอยู่ มันตรงกันข้ามกับการปฏิบัติธรรมการศึกษาฝึกฝนของพระพุทธเจ้า
นั่งหลับตาสะกดจิตมันเป็นโมฆะให้เลิกซะที ต้องมีกรรมกิริยามีสัมผัสเป็นปัจจัย ถ้าไม่มีสัมผัสเป็นปัจจัยไม่มีฐานในการปฏิบัติพระพุทธเจ้าสอนไว้ในพระสูตรแรกของพระไตรปิฎกเล่ม 9 พระสูตรบทแรกเลย พรหมชาลสูตร ต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัยเกิดเวทนาจึงจะมีฐานแห่งการปฏิบัติคือสถานที่ตั้ง คำว่าที่ตั้ง เป็นภาษาไทยคุณต้องมีที่ตั้งมีที่ยืน ที่ทำ ถ้าคุณไม่มีที่ยืน
-
คุณมีที่ยืน 2. จิตวิญญาณของคุณจะต้องมีอะไรกระทบสัมผัส แล้วก็ถึงมีสองสภาพได้ปฏิบัติ เพราะฉะนั้นที่ยืนที่ตั้ง ก็ไม่มี จิตวิญญาณก็ไม่ให้มันกระทบสัมผัสอะไร เป็นสัมภเวสี นั่งหลับตาไปนี้จิตเป็นสัมภเวสีทั้งนั้น ไอ้ที่ตั้งที่จะปฏิบัติคือจะต้องมีวิญญาณฐีติ ต้องมีวิญญาณเปิด ต้องมีธาตุวิญญาณ สัมภเวสีไม่ใช่วิญญาณฐีติ แต่มันคือวิญญาณล่องลอย ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย หลับตาเข้าก็ลอยไปได้ไหนๆ ต้องลืมตา มีตา หู จมูก ลิ้น กาย จึงจะมีที่ตั้งของวิญญาณเรียกว่าวิญญาณฐีติ จึงจะเรียนรู้กายโดยมีสัญญาคู่กับกาย มีกาย กับสัญญาสัญญากับการเรียนรู้ความเป็นสัตว์ 9 ชนิด สัตตาวาส 9 แล้วเลิกความเป็นสัตว์ 9 ชนิดนี้ให้จบเป็นอรหันต์
นี่ กาย ก็ไม่รู้ สังโยชน์ข้อที่ 1 ก็ไม่รู้ ตัวเราก็ไม่รู้ ตัวเองทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ บอกว่าคุณอย่าไปทำอย่างนั้น ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ สอนยากจริงๆ
ก็เริ่มต้นที่จิต แล้วทำกรรมให้เป็นประโยชน์คุณค่าให้ได้ดี และก็จะทรงไว้เรียกว่า ธรรมะ ตั้งไว้ ตั้งไว้ มีที่ตั้งคือวิญญาณ แล้วทำเป็นวิญญาณให้เป็นพีชะ อุตุ
จัดการกรรมการปฏิบัติให้เป็นโลกุตรธรรม เมื่อเป็นโลกุตระธรรมก็ทำให้จิต เป็นพีชะ อุตุได้ ถ้าทำได้ก็จบ อธิบายนี่คืออธิบายทั้งหมดของศาสนาเลยนะ
_เด็กนักเรียนหลายพุทธสถานมักจะผิดศีลข้อที่ 3 อยู่เสมอ อาจเป็นเพราะว่าเขาเห็นตัวอย่างของผู้ใหญ่ ที่เป็นคนคู่ เป็นแบบไม่อยากมีคู่บ้าง อยากจะฝากให้คนมีคู่แต่ละชุมชนสังวรขึ้น กรุณาลดและพฤติกรรมคู่ในสาธารณะบ้าง เช่นเดินคู่กันกินข้าวคู่กันบ่อยอยากให้สังวรบ้างค่ะ
พ่อครูว่า…อย่ารำคาญ อันนี้เป็นธรรมชาติของคน เด็กมันมีฮอร์โมน มันเป็นธรรมชาติคุณหลีกพ้นไม่ได้หรอก อย่ารำคาญอย่ากังวลกัน พวกเรามีวิธีสอนกัน มันจะมีหรือไม่มีก็ตามจะมีคนเป็นตัวอย่างนี้ก็ตาม ไม่มีตัวอย่างนี้ก็ตาม เด็กมันก็จะต้องมีอาการพวกนี้ทั้งนั้นแหละไม่ต้องไปว่า ฟังการตำหนิติติงบ้าง ทำได้ก็ดี ทำไม่ได้ก็ยอมให้เขาว่าไป
_แผ่นดินพุทธนี้ เท่ากับเมืองหลวงชาวอโศก กิจวัตร กิจกรรมกิจการดำเนินไปได้ด้วยดี จนมี ตัวอย่างของชุมชนที่ดีที่สุดในโลกจากองค์ประกอบที่สมบูรณ์ที่สุดของบวรคนวรรณะ 9 แล้วหลักธรรมของสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7
คำถามคือ จำเป็นหรือไม่ที่ชุมชนบุญนิยมนี้ควรมี
-
กฎระเบียบของชุมชนที่อัพเดท
-
การทบทวนกฎระเบียบ แก่ที่ประชุมชุมชน…
-
การมีบอร์ดติดประกาศกฎระเบียบให้รับรู้ศึกษาร่วมกัน