640221_พ่อครูปฐมนิเทศ พาปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกฯ ปี 2564 ครั้งที่ 45 ออนไลน์
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1QmFpElMl07g5uL1jA20WwUoC7y1PvwxwzD4Z2Fpb_PE/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1R3xI4etHKFlxqDdSNjHKBkxhOHcMufJ-/view?usp=sharing
และยูทูปที่
พ่อครูว่า…เจริญธรรมพวกเราทุกคน มีคนเขียนกวีมา
พุทธาภิเษกฯ 2564 จากข้อสรุปของข้าพเจ้า
พุทธาภิเษกให้ รวมพลัง
สลายภพแดนคุมขัง จิตไว้
ล้างความชอบความชัง อคติ
ยัง “อิสรภาพ”ให้ เกิดพร้อม กิเลสสูญ
พุทธาภิเษกให้ สืบสาน
อาชีพแต่โบราณ กสิแล้
หยุดยั้งวิกฤตการณ์ ด้วยสัจ-จพจน์นา
ข้าวเปลือกคือทรัพย์แท้ สัตถุเจ้า ตรัสสอน
พุทธาภิเษกให้ ร่วมแรง
เพื่อสื่อสารสำแดง ค่าแท้
ยัง “สมรรถนะ”ให้แพง ยิ่งกว่า
มูลค่าทองคำแล้ ไป่สู้ ความขยัน
พุทธาภิเษกให้ รวมพล
สร้างพืชพันธุ์เพิ่มผล ผลิตไว้
เพื่อเผื่อแผ่ผองชน ยืนหยัด
ความ”มั่นคง”เกิดได้ ใช่ด้วย เพราะสั่งสม
พุทธาภิเษกให้ จิตวิญญาณ
ประเสริฐกว่าดิรัจฉาน สัตว์ผู้
นอนนั่งบ่เอางาน เช่นดาบส
ไร้ประโยชน์หารู้ พฤตินั้น เดียรถีย์
อโศก สัมปวังโก
สาธารณโภคี สิ่งมหามหัศจรรย์สูงสุดของมวลมนุษยชาติ
พ่อครูว่า…จริงๆแล้วสัจธรรมอย่างนึงเราจะตกผลึกได้จะต้องด้วยการสั่งสม แต่เขาบอกไว้ ให้รวมพลังรวมพล รวมจากกว้างมา สร้างพืชผลแล้วไม่เอากักเก็บไว้แต่ให้เผื่อแผ่กระจายสู่ผองชน มีทั้งสองลักษณะ สร้างให้มากแล้วกระจายออกไป แต่จะเกิดความมั่นคงของสังคม มันซับซ้อนอยู่ อันนี้เป็นสภาวะที่ยากจะเข้าใจ สภาวะอันนี้เป็นสภาวะของสาธารณโภคี เป็นสภาวะของเศรษฐศาสตร์ที่ทั้งโลกยังเข้าใจไม่ได้ เศรษฐศาสตร์บทนี้ สภาวะที่สร้างขยันสร้างแล้วไม่มีตัวตน ไม่เอาไว้เป็นเราเป็นของเราเลย แต่กระจายออกไปหมดเลย เหมือนไม่มีอะไรเหลือเลย แต่เกิดความมั่นคงของสังคมมนุษยชาติ เศรษฐกิจนี้ยิ่งใหญ่ เศรษฐศาสตร์บทนี้ยิ่งใหญ่ พอจะเข้าใจชัดขึ้นไหม บทนี้ยังยากอยู่ในเรื่องนี้
อันนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเศรษฐศาสตร์อันนี้ที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ แล้วเราก็บอกว่าเราทำได้แล้วสาธารณโภคีของเราทำได้แล้ว ซึ่งอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่โลกจะเข้าใจได้ นี่คือสิ่งที่มหาประหลาด มหาพิสดาร มหามหัศจรรย์ สูงสุดในมวลมนุษยชาติ อันนี้เศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี เราพูดนี้ คนข้างนอกก็ยังไม่เข้าใจ
พวกเราบางคนก็ยังไม่เข้าใจแต่เราทำได้ อาตมาพามาทำได้สำเร็จแล้ว คือทุกคนมาทำงาน ล้วนรู้ดีว่า เอาเข้ากองกลาง ทุกคนไม่ได้รับส่วนได้ส่วนแบ่งอะไรเลย นอกจากใครจะมุบมิบก็เรื่องของใครของมัน ถ้ายิ่งมุบมิบเอาของส่วนกลางไปเป็นของส่วนตัวก็บาปใครบาปมัน เขาก็ทำไป ซึ่งก็คงจะมีบ้างแน่นอน ก็พ้นกรรมวิบากไม่ได้ กรรมเป็นอันทำ ก็เป็นวิบากของใครของมันซึ่งไม่มีใครจะจัดสรรได้ นอกจากกรรมเป็นของตนเอง อันนี้ก็เป็นเรื่องสุดวิสัย มันก็ต้องมี Error บ้าง แต่ผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์อยู่ในนี้สบาย ทำงานเอาเข้ากองกลางแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ แม้แต่เงินทองไม่ต้องใช้ ไปเบิกเขาให้บ้างไม่ให้บ้าง ได้เท่าไหร่ก็ใช้ ข้าวมีกินดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน ส่วนบุญต่างคนก็ทำให้สำเร็จของตน
นี่คือ สัจจะที่ต้องพิสูจน์ให้สำเร็จแล้วยืนยันต่อโลก แล้วสังคมโลกก็จะเข้าใจได้ ก็จะเป็นอยู่สุขกันทั้งโลก แต่ทุกวันนี้..ยัง อาตมาถือว่าประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งของโลกประเทศไม่ใหญ่ประเทศเล็กๆ ทั้งเสนาสนะคือพื้นที่ ก็ไม่ได้ใหญ่ เทียบเคียงกับโลกทั้งโลก ประเทศอื่นที่เขาใหญ่กว่า แอฟริกาตะวันออกกลางมีพื้นที่ใหญ่โตแม้แต่อเมริกาก็มีพื้นที่มหาศาล ไทยมีอยู่ส่วนหนึ่งในเอเชีย ส่วนหนึ่งในอินโดจีนนี้นิดน้อย มันก็แค่นี้เอง แต่มันมีพฤติกรรมของมนุษยชาติ อาตมาว่า ที่เป็นไปได้ก็เพราะเรามีพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า เรามีทฤษฎีของมนุษย์โลก ซึ่งอาตมาก็สรุปให้ฟังไม่รู้กี่ทีแล้วว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงศึกษาอะไรยิ่งใหญ่ ท่านศึกษาความเป็นมนุษย์ชาติและสังคม ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด วิชาการนอกจากนั้นท่านก็ศึกษา วิชาในยุคของท่านมี 18 วิชาในตักกะศิลาท่านศึกษาจบหมด ได้เกียรตินิยมทั้งนั้น เสร็จแล้วท่านทิ้งหมดเลย 18 วิชา มาเอาวิชามนุษยชาติวิชาเดียว ตลอดพระชนม์ชีพเลย นอกนั้นใครจะเอาไปทำก็ทำไป ท่านไม่ไปแข่ง ไม่ได้ไปเอา ไม่ได้ไปแวะเวียน มาเอาอันนี้
อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย โพธิสัตว์ระดับ 7 ขึ้นไปแล้ว ไม่เคยเอาถ่านในเรื่องของวิชาอื่นๆแล้ว จะเอาแต่วิชามนุษยชาติและสังคม โพธิสัตว์ระดับ 7 ขึ้นไปอย่างอาตมา ชัดเจน ไม่เอาหรอกอันโน้น เพราะฉะนั้นอาตมาจึงสงสัย เคยสงสัยตัวเองว่าทำไมเราต้องไปเรียนวิชาศิลปะ แล้วก็ไม่ต้องเรียนมากถึงปริญญาตรีโทเอกกับเขา ศิลปะ ก็เรียนแค่ปวส. ไปเรียนแค่ขั้นนั้น อนุปริญญา ยังไม่ได้ระดับปริญญาตรีเลย แค่นั้น อาตมาก็เข้าใจเรื่องศิลปะแล้ว เข้าใจขั้นศิลปะโลกุตระเลย เข้าใจแล้ว มันมีหลักการมีพื้นฐาน หลักการกลางๆขนาดนั้น เอามาใช้ได้หมดแล้ว จะใช้ให้วิจิตรพิสดารอย่างไร รากฐานมีหมดแล้ว ส่วนรายละเอียดอาตมามีปฏิภาณพอที่จะใช้ เหตุปัจจัยตั้งแต่วัตถุ จนถึงกรรมกิริยา จนมาถึงจิตวิญญาณ อาตมาเรียนรู้จิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นมีวัตถุเท่านี้ มีพฤติกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเท่านี้ อาตมาก็เอามาสังขารปรุงแต่ง เอามาเรียนรู้ เอามาทำกับคนได้
พุทธาภิเษกให้ จิตวิญญาณ
ประเสริฐกว่าดิรัจฉาน สัตว์ผู้
นอนนั่งบ่เอางาน เช่นดาบส
ไร้ประโยชน์หารู้ พฤตินั้น เดียรถีย์
อโศก สัมปวังโก
วิบากของอรหันต์ที่อภิญญาน้อย
พ่อครูว่า…อันนี้อาตมาก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์ทั้งตีทั้งแทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็น หมดไป 300 หลายชุดแล้ว กี่ชุดแล้วไม่รู้ ที่เขายังไปหลงเดียรถีย์ หลงยึดถือไม่เอาการเอางานอะไร เข้าป่าหลับตา หรือนั่งอยู่บ้านก็ตาม หลับตาเป็นหลัก คำว่าหลับตาคำเดียวนี้จบหมดเลยปิดทวารทั้ง 5 มันเท่ากับไม่มีวิญญาณฐีติตามพระพุทธเจ้าสอน วิญญาณไม่ได้ตั้งอยู่ทางตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นวิญญาณสัมภเวสี มันอยู่ในภพข้างใน ล่องลอยไม่มีที่ตั้ง
คำว่าวิญญาณมีที่ตั้ง ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายครบ มีทั้งภายนอกมีทั้งภายใน มีทั้งรูปมีทั้งนาม สัมผัส สัมพันธ์กันอยู่ครบถ้วนเป็นภาวะ 2 ตลอดเวลา ไปหลับตาเสีย ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย มันเหลือหนึ่งเดียวไม่มีสอง แค่นี้แค่สองกับหนึ่งแค่นี้ ทำไม่ได้ เพราะยึดมั่นถือมั่น ว่า อาจารย์ของข้าพเจ้าสอนให้อย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะต้องหลับตา เอามาอ้าง พระพุทธเจ้าตรัสกับ อุตรมานพ ที่ไปเรียนกับอาจารย์มา อาจารย์สอนว่าอย่างไร จงหลับตาเสียอย่าให้เห็นรูป จงปิดหูเสียอย่าให้ได้ยินเสียง อ้อ…. อย่างนั้นเธอก็เหมือนสอนให้ทำลายตาหูจมูกลิ้นกายเสีย อุตรมานพฟังแค่นั้น เขามีความเฉลียวฉลาดปฏิภาณก็เข้าใจ แต่นี่แทงด้วยหอกร้อยเล่ม เช้ากลางวันเย็น ขออภัยที่พูดแรง มันก็เหมือนไป กระทบกระทั่งกระทุ้งแรงนิดนึง มันก็สุดวิสัย อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็สงสาร
เป็นวิบากเหมือนกัน เขาไม่เข้าใจเขาก็บอกว่า ไปว่าเขาทำไม เขาก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเหมือนกัน แต่อาตมาก็สงสาร แล้วแต่เป็นพลังงานของศาสนา มีมากในเมืองไทย ขณะนี้ก็ยังมาก ไปนั่งหลับหูหลับตา เถรสมาคมตาบอดตาใสนะ เรียนพุทธศาสนาบัณฑิตเป็นด็อกเตอร์เปรียญ 9 ทางศาสนากันเต็มเยอะแยะ แต่ไม่เข้าถึงจิต ก็ยังยึดว่า จิต ต้องสัมผัสหลับตา ซึ่งพระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่มีอปันกปฏิปทา 3 อาตมาจะต้องพูดซ้ำซากเรื่องทางนี้อีกนานเท่าไหร่หนอ เอ้า ทนๆๆ โพธิรักษ์ทนเอา อย่าเบื่อๆ ช่วยเขาหน่อย มันทำไงได้
ถ้าเผื่อว่าท่านที่นั่งหลับตาชัดเจน ว่า หลับตาคำเดียวนี้มันเป็นโมฆะเลย เพราะมันไม่มีโภชเนมัตตัญญุตา ไม่มีสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 มันไม่มีชาคริยานุโยคคะ มันไม่ตื่น มันอยู่ในภพหลับตา แม้ว่าคนหลับตาปิด แล้วจะตื่นอยู่ภายในก็ตาม มันก็ไม่มีทวาร 5 แล้ว ก็หลับตามีแต่ทวารใจทวารเดียว มันไม่ตื่นภายนอก กายกรรมก็ต้องตื่นเต็ม วจีกรรมก็ต้องตื่นเต็ม มโนกรรมก็ต้องตื่นเต็ม คุณจะเอาแต่มโนกรรม กายกรรม วจีกรรมคุณไม่ตื่น ก็เอาแต่นิ่งไม่กระดุกกระดิก หายใจให้เบาลงๆ เหมือนฤาษีเดียรถีย์ดาบส กินแครอลี่ให้น้อยๆ เขาเอาไปฝังดิน 26 วันก็ทนได้ยังไม่ตาย กินอาหารให้น้อยที่สุด พลังงานก็สังเคราะห์ร่างกายอยู่เหมือนมนุษย์พืช มันก็ไม่ตาย ไม่ได้อาหารมันก็ทนได้ 26 วัน เขาพิสูจน์กันมีหลักฐาน อาตมาก็เล่าตามที่เขาพูด อย่างนี้เป็นต้น
ที่พูดย้ำซ้ำซากเพื่อแคะท่านที่นั่งหลับตาปฏิบัติ ทั้งสายเถรสมาคม บริหารสงฆ์ ก็ยังยึดถือการนั่งหลับตา เพราะไปยึดถือ พระไตรปิฎกที่พระมหากัสสปะเก็บเรียบเรียงมามันก็หนักไปทางพระป่าและดีนะที่มันไม่ออกมาทางมหายานมันไปทางเดียรถีย์
คำว่าเถรวาท คือ คำสอนของพระเถระรุ่นที่เกิดพร้อมกับในยุคพระพุทธเจ้า นอกนั้นเป็นอาจาริยวาทหมด เป็นคำสอนของอาจารย์หมด ไม่ถือว่าเป็นเถระวาทะ แล้วเขาก็ยึดถือเถรวาทะ ท่านยึดถือไว้ดีมาก เพราะว่าพระสมณโคดมสอนไว้น้อย ท่านสอนใบไม้ใบไม้กำมือเดียว สอนไว้แต่อรหัตตผล จบบุคคลเดียว
คนที่จะเป็นอรหันต์ ผู้ที่ไม่ได้ไปติดยึดอะไรมามาก เป็นพระอรหันต์พื้น ๆ ที่สุด ไม่มีอภิญญาไม่มีความรู้อะไรมาก ตัดกิเลสเฉพาะตนได้หมด คือตนเองติดหลงโลภมาน้อย ก็เลยมีกิเลสน้อย ของตนเองติดมาน้อย แต่คนอื่นติดมาเยอะแยะมาก จะไปเอาอย่างได้อย่างไร พระอรหันต์รูปนี้ อาตมาเรียกอรหันต์ขี้กะโล้โท้
คือเป็นพระอรหันต์ที่เคยเป็นเดรัจฉานมา แล้วมาเป็นมนุษย์ ก็ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์หลายล้านปีเท่าไหร่ ไปติดที่มนุษย์เขาหลอกมา ไม่เท่าไหร่ มันก็ล้างได้ง่าย แล้วก็เลิก เป็นพระอรหันต์ไป แต่ที่มันเหลือมาอยู่ป่านนี้ยาวนานมานี่มันน้อยหรือไง ไปถูกเขาหลอกสะสมมาไอ้นี่ก็น่าได้ ไอ้นี่ก็น่าเป็น มนุษย์ต้องเอา ตั้งเท่าไหร่มาจนป่านนี้ มันจึงไม่เหมือนกัน นี่พอเข้าใจไหมว่า อรหันต์ขึ้กะโล้โท้ มันดี แต่ทำไมคุณไม่เอาอย่างท่านล่ะ ก็แต่ละคนติดมามากเท่าไหร่
จริงๆแล้วอาตมาไม่ได้มีญาณหยั่งรู้ที่เก่งเฉพาะบุคคล เกิดมาหลายคนอาจจะมากชาติกว่าอาตมาก็ได้ แต่จิตมันเขรอะกว่าอาตมา พวกคุณมีสายปัญญา สายวิตักกะ ปนๆมาในนี้ ถ้าเข้ามาจุดนี้ก็คือว่าผ่าน วิตักกะ ดูไม่เหมือนวิตักกะทีเดียว แต่จะเป็นสายปัญญาได้
อจินไตยของกรรมวิบาก
เข้าสู่โหมดของพุทธาภิเษกฯ เมื่อกี้นี้ก็พูดขี่ม้ารอบค่ายมา ตอนนี้เราจะจัดงานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 45 จัดมาครั้งละ 1 ปี 1 ปี มีปีที่ไม่ได้จัดงานพุทธาภิเษกไหม …ไม่มีเลย แต่ปลุกเสกฯมี ไม่ทำอยู่ปีหนึ่ง ไม่เท่ากันแล้ว พุทธาภิเษกกับปลุกเสก เพราะโควิด น้ำท่วม ไม่ได้จัด
พูดกันขึ้นถึงจุดสำคัญที่อาตมาอยากจะย้ำอีก พูดแล้วก็ซ้ำซาก ย้ำ เหมือนกับจะหลงตัวหลงตน เอาแต่ตัวเองมาโชว์ เอาแต่พวกของตัวเองมาอวด ซึ่งจริงๆมันก็ต้องโชว์ก็ต้องอวดเพราะมันเป็นตัวอย่างที่หายาก มันเป็นตัวอย่างที่มีอันเดียวในโลก ไม่ใช่พูดหลง เพราะโลกุตรธรรมขนาดนี้ในโลกนี้ ในประเทศไหน ของโลกนี้ มันยังไม่มี มันมีเทวนิยมไปกว่าครึ่งของมนุษย์ในโลก แม้จะเป็นแต่ละประเทศบางประเทศ มีทั้งศาสนาพุทธเข้าไป มีประเทศที่ไม่มีพุทธเลย 200 ประเทศ ประมาณนั้น ประเทศที่ไม่มีไม่รู้จักศาสนาพุทธด้วยซ้ำ เป็นศาสนาอิสลามกับศาสนาคริสต์ เยอะมาก นอกนั้นก็มีศาสนาฮินดู ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนาบาไฮ ศาสนายิว ก็ว่าไป
เพราะฉะนั้น พุทธ ว่ากันจริงๆ เกือบจะน้อยที่สุดของศาสนาที่สำคัญสำคัญ นอกนั้นยังไม่ถึงขั้นศาสนา เป็นแค่ลัทธิอย่างนี้เป็นต้น ถ้าเรียกเป็นศาสนาแล้วจะต้องมีคนประมาณนึงที่ควรจะต้องนับขึ้นเป็นศาสนา ตอนนี้ก็ยอมรับกันทั่วโลกแล้วว่า พุทธ นับเป็นศาสนา ไม่ใช่แค่ลัทธิเท่านั้น แต่เป็นศาสนาแล้ว น้อย แต่เขายอมรับก็เพราะว่า พระพุทธเจ้าของเรานี้เขาจำนนว่าเขาเองเขายังเข้าใจไม่ถึง และพอเข้าใจได้ ที่จะเข้าใจได้นั้นก็ โอ้โห เทวนิยมเขาไม่มีนะ ยอมรับว่าอันนี้ถูกต้อง ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าถูกต้อง ยอมรับ จำนน เขายังไม่ได้ เขาจึงยอมรับจริงๆ ยังไม่ครบถ้วนนะ ที่เขาจะรู้จักคำสอนพระพุทธเจ้าทั้งหมด แม้แต่พวกเรายังรู้ไม่หมดใช่ไหม กล่าวไปไย เทวนิยมจะไปรู้ครบ ไม่ใช่ดูถูกเขานะ มันเป็นเรื่องอจินไตยจริงๆ
อจินไตย 4
-
พุทธวิสัย ยกไว้ อย่าเพิ่งพูดกัน ขนาดอาตมาก็พูดในภูมิของอาตมาตอนนี้ยกไว้ก่อน
-
โลกจินตา ก็ยกไว้ อย่าเพิ่งพูด
-
กรรมวิบาก
-
ฌานวิสัย
เอาเรื่องกรรมวิบากก่อน จะไม่พูดรายละเอียดทั้งหมด เพราะมันคือทั้งหมดเลย จะไปพูดทั้งหมดได้อย่างไร มันรองลงมาจากโลกจินตา ซึ่งโลกคิดกันมันเก็บมาไม่ไหวหรอก คนมันคิดกันทั้งหมดในโลก พระพุทธเจ้าก็รู้มากที่สุดแล้ว แต่ท่านก็ยังบอกว่ารู้ไม่หมดหรอก และพุทธวิสัยที่ว่ารู้มาก แต่โลกจินตารู้ไม่หมด ไหนว่าเป็นบุคคลที่รู้มากที่สุดคือพุทธวิสัย ก็ยกไว้ก่อน
กรรมเป็นของของตน วิบากเป็นผลของกรรมที่ทำแล้ว ไม่มีขาดหกตกหล่น ไม่มีระเหิดไม่มีระเหย วิบาก มีเท่าไหร่สะสมเป็นของเราหมด ทั้งชั่วทั้งดี ทั้งโลกุตระทั้งโลกียะ วิบากของคนที่ยังไม่มีโลกุตระนั้น นั่นแหละมากกว่ามาก เท่าฐานปิรามิด เลยกลางปิรามิดขึ้นมา โลกุตรธรรมนั้นมีส่วนยอดของปิรามิดเท่านั้น
เพราะฉะนั้นกรรมวิบากของพวกที่เป็นโลกียจึงมหาศาลเยอะ กรรมวิบาก ของพวกที่เป็นโลกุตระก็มีแค่ยอดปิรามิด
-
กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
-
กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน) ตนเองต้องเป็นทายาทรับมรดกกรรมของตนเองทั้งหมด จะแบ่งใครไม่ได้ จะเป็นอย่างไรก็ของตนทั้งนั้น แล้วกรรมพาเป็นไป ไม่ใช่พระเจ้าบันดาล แต่กรรมบันดาล มนุษย์ไม่ใช่พระเจ้าบัญชา แต่กรรมบัญชา ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าคือกรรมบัญชา ไม่ใช่พระเจ้าบันดาล แต่กรรมบันดาล เราทำแล้วทำอีกก็เป็นเผ่าพันธุ์ของเราเอง
-
กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
-
กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)
-
กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ) (พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 581)