640219_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยไทยดีที่สุดเพราะมีโลกุตระ
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1ihF3PQMwA9pqL2asUhKpr-sh9bE3YateghdYKrVHyj8/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/18qCpC5kLgl9vP2_B8UcIR5c_t7GfuKAc/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/LcbtR5r1pg8
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้จะถึงงานพุทธาภิเษกแล้ว พรุ่งนี้ก็เป็นวันสุกดิบ ปกติวันสุกดิบ ญาติธรรมก็จะทยอยกันมาทั่วทุกสารทิศ แต่ปีนี้มีโควิดห้ามมา ก็เลยเป็นงานพุทธาภิเษกเวอร์ชั่นใหม่ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 45 เราเคยจัดกลางถนนตอนไปชุมนุมก็มี ถ้าไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายก็จัดได้ทุกสภาพ
งานนี้พ่อครูจะเทศน์เรื่อง เปิดยุคบุญนิยม
เป็นโลกุตระได้เพราะเหนือมนุษย์โลก
พ่อครูว่า…ธรรมะนี่แหละจะทำให้พวกเราได้รู้แจ้งจบเลยว่า มนุษย์อยู่รวมกันเป็นสัตว์โขลง แล้วก็มีจิตวิญญาณเป็นธาตุรู้ที่สามารถรู้ว่า จะอยู่ด้วยกันอย่างดีที่สุดมีประโยชน์คุณค่าที่สุดอย่างไร ประเสริฐสุดอย่างไร
มนุษย์ดีที่สุดในตัวแต่ละคน แล้วก็ทำให้รวมตัวกันเป็นสังคมที่ดีที่สุดในโลก พระพุทธเจ้าค้นพบอันนี้จริงๆ ครบหมดทุกแขนงวิทยาครบศาสตร์ต่างๆ เท่าที่มนุษย์จะพึงมีในมนุษย์ แม้แต่เป็นศาสตร์ที่เป็นเรื่องเทคนิค ท่านก็รู้หมด แต่ท่านไม่ไปส่งเสริมศาสตร์ทางเทคนิค แต่ท่านมาส่งเสริมศาสตร์ทางจิตวิทยา
พระโพธิสัตว์ระดับ 7 ขึ้นไปจะรู้แจ้งชัดเจน อย่างอาตมา เราไม่ต้องไปเสียเวลาเลยที่จะไปมีความรู้ด้านโน้นด้านนี้ ปางนี้อาตมาก็มีความรู้ทางโลกด้านนั้นด้านนี้บ้าง แต่ป่วยการ มันสู้สอนอันนี้ไม่ได้หรอก สู้สอนสุดยอดของธรรมะสุดยอดของความรู้ เป็นความรู้ทางธรรมะอันเป็นโลกุตระ
ที่เป็นโลกุตระเพราะเหนือชั้นมนุษยชาติเลย เพราะมนุษยชาติส่วนใหญ่ในโลกก็เป็นมนุษย์ระดับโลกีย์ พอมันเหนือ ก็ต้องมีความรู้ที่เหนือกว่าก็ต้องคัดบุคคลที่มีความรู้ความฉลาดเฉลียวความเข้าใจธรรมะอันยิ่ง ที่จะยิ่งเหนือกว่าคนทั่วไปเข้าไปอีก มันก็คัดเฟ้นขึ้นมาจึงมีจำนวนน้อยคนเหมือนยอดพีระมิด ต้องมีน้อยกว่าฐานพีระมิดฉันใดก็เป็นธรรมดาธรรมชาติไม่ได้น่าสงสัยอะไร รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว
ผู้ที่รู้แจ้งจริงแล้วจึงช่วยผู้ที่ไม่รู้แจ้งจริงได้ และมีจิตใจที่หมดความโกรธความเคืองความถือสา มันดื้อด้านดึงดันโง่เง่าอย่างไรก็พยายามช่วยกัน
อาตมานี่เห็นจริง เขาก็พากเพียรอุตสาหะวิริยะนะ เป็นภิกษุเป็นพระหรือนักปฏิบัติธรรม อุตสาหะทั้งชีวิต หลายคนมีเชื้อธรรมะตั้งแต่เด็กจนแก่พากเพียรมา เห็นแล้วแต่ยังไม่สัมมาทิฏฐิก็ยังมีอีกเยอะ มากกว่าครึ่งหนึ่งของศาสนาในพุทธกัปของสมณโคดม 5,000 ปี
เป็นศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ไหนก็แล้วแต่ ถ้าครึ่งพุทธกัป หากจะยืนยาวเป็น 10 ปีก็ 50 ปีก็เป็นครึ่งพุทธกัป จะของกี่พระองค์มันก็เสื่อมกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละคิดซะมันก็พอรู้ได้ เพราะเมื่อเริ่มเติบโตมาเต็มที่ก็จะเริ่มเสื่อมลง แต่จิตใจเท่านั้นที่เจริญขึ้นได้เรื่อยๆแม้จะแก่ก็ตามก็ไม่เสื่อม อันนี้เป็นเรื่องพิเศษกว่าเป็นเรื่องจิตวิญญาณ
เพราะฉะนั้นคำว่าโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้า ภาษาอังกฤษก็ไม่มีคำที่เรียกตรงๆอนุโลมได้คำว่า Supramundane ธรรมดาธรรมชาติก็ mundane โลกียะทั่วไป สามัญมนุษยชาติ
อาตมามั่นใจว่ามีความจริง คนที่จะรังเกียจอาตมาก็ยิ่งน่าสงสาร มันยิ่งกว่าเด็กยิ่งกว่าคนดื้อดึงดื้อด้าน มันไม่มีอะไร มันมีอันนั้นจริงๆ ดื้อดึงดื้อด้านไม่เชื่อฟัง ทั้งด่าทอ มันก็ต้องเป็นจริง ยิ่งเห็นยิ่งน่าสงสาร ดื้อด้านดึงดันแล้วแทนที่จะตั้งใจฟังยินดีที่จะรับได้ กลับมาฟาดฟันเราอีก มันยิ่งกว่าเด็กที่ไม่ประสีประสาเลย มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้นจริงๆ เห็นแล้วยิ่งน่าสงสาร เมื่อไหร่จะโตสักทีน้อ.. เด็กเอ๋ย! อาตมาเห็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ค่อยๆทำไป อาตมาก็คงจะต้องอยู่ไปอีกนานพอสมควร ตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่ ก็ยังเชื่ออยู่ว่าน่าจะต้องเกิดอีก เพราะว่าขนาดนี้มันก็ยังยากอยู่เลย น่าจะต้องเกิดอีก แต่อย่าประมาทนะ พวกเรา พูดอย่างนี้แล้ว ต้องพากเพียรพยายามใช้เวลาที่เหลืออยู่ อย่าปล่อยปละละเลย
สิ่งที่เราเคยเสพมา มันเป็นเรื่องเสพอย่างโง่ อวิชชาทั้งนั้น เสพว่าเป็นสุข อยากได้อยากมีอยากเป็น น่าได้น่ามีน่าเป็น ทั้งนั้นที่เราเลิกมา ทบทวนดูสิ มาถึงขั้นมานั่งฟังอาตมาบางคน 10 ปี 20 ปี 30 ปี ทบทวนดูสิ่งที่เราทิ้งมา แต่ก่อนก็ยังว่าน่าได้น่ามีน่าเป็นทั้งนั้น จี๋จ๋ามาก่อนทั้งนั้น แต่เดี๋ยวนี้ก็จืดจาง และเห็นคนอื่นน่าสงสาร ไม่ต้องไปข่มคนอื่นหรอก คนไหนไปข่มคนอื่นก็ไม่ค่อยดี จิตใจมีมานะอัตตา ถ้าไม่มีมานะอัตตาก็จะไม่ข่ม จะเห็นว่าก็เค้าเล็กกว่าเราน่ะ
ธาตุอันนี้ไม่ใช่ธาตุคุณธรรม คุณธรรมอันนี้ในสัตว์เดรัจฉานก็ยังมี หมาใหญ่กับหมาเล็ก มันเห็นว่าหมาเล็กยอมแพ้แล้วมันรู้ตัวก็ไม่ข่ม มันจะทำกับเราแรงๆบ้าง ถ้าเผื่อว่ามันไม่รู้ตัวก็สอน อย่างเดรัจฉานสอนไม่เป็นมันก็กัดทำร้ายอย่างแรงบ้าง เพราะมันสอนไม่เป็น แต่คนก็สอน บางคนสอนไม่เป็นก็เพี๊ยะ!ให้ ลงมือแรงๆบ้างก็เป็นธรรมดา
_Bebe Phone : ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 จะหลับตาลืมตาก็มีค่าเหมือนกัน เกลือหยิบมาก้อนหนึ่งหรือเม็ดหนึ่งหยิบใส่ปากไม่ว่าลืมตาหลับตาก็เค็มเหมือนกัน ใช่รึเปล่า ชาวอโศกตอบซิจริงหรือไม่จริง อย่าเฉโกคำสอนของพระพุทธเจ้าพ่อครูของชาวอโศกไม่ใช่พระศาสดาของชาวพุทธทั้งโลก พวกคุณกำลังหลงทางไปนิพพานจากคำสอนของพระพุทธเจ้า จากการบอกทางของเทวทัต 2 ทิฏฐิพวกคุณละได้ยากเพราะมีธาตุอย่างเดียวกันช่วยไม่ได้
พ่อครูว่า…ตอบคำถามเรื่องเกลือ มันก็มีรสเค็มจะลืมตาหรือหลับตา มันคือทวารตา แต่ใส่ลิ้นมันคือทวารลิ้น เหมือนกับถามแพะกับแกะ ก็บอกว่าแพะกับแกะมันเหมือนกันไหม คุณอย่ามาลวงอาตมา อาตมาว่าแกะกับแพะ มันต่างกันอยู่หลายอย่างนะ แต่คนก็บอกว่าถ้า 2 ตัวกับแกะ 2 ตัวมันไม่เท่ากันหรือ ….ยกคำถามมาแล้วจะมีคำตอบอย่างนั้นแล้วอาตมาก็จะไปทำอะไรได้ ก็อย่างนี้
คุณชี้คนอื่นว่าผิด 1 นิ้วแต่คนชี้ตัวเอง 3 นิ้วนะ อาตมาไม่ได้พูดแม้ครึ่งคำว่าตนเองเป็นศาสดา
ส่วนคำว่าธาตุอย่างเดียวกันอันนี้ก็ถูกนะ แต่ขออภัยคนเข้ามาไม่มีใครอยากให้คุณช่วยหรอก เชิญข้างนอกก่อน นี่พูดอย่างสภาพเรียบร้อยนะเป็นอย่างนั้นจริงๆอย่ามาเสนอตัวช่วยเลย มันคงไม่สำเร็จหรอก คุณนั่นแหละ อาตมาก็น่าสงสารคุณ อย่าทิ้งกันนะ รักกันติดตามกันไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็นมุมเหลี่ยม วันนี้ก็ไขประเด็นให้คุณฟัง เอาเรื่องแพะกับแกะมายืนยัน ไปไหนมาสามวาสองศอก ถ้าไม่ได้บุญก็คงไม่ทำจึงขอความเมตตาหลวงปู่ช่วยอธิบาย เราก็บอกว่าคุณก็ยังสับสนอยู่
บุญกับฌานเป็นเรื่องทวนกระแสโลกีย์
_มั่น ผ่อง พุทธ : มีผู้ที่ได้แสดงคิดเห็นเกี่ยวกับคำสอนของอโศก ดังนี้ค่ะ
“เกลียดสโลแกนว่า “บุญนิยม” เหมือนทำอะไรก็จะงกแต่บุญ ถ้าไม่ได้บุญก็คงไม่ทำ”
จึงขอความเมตตาหลวงปู่ ช่วยอธิบายให้ความจริงของสิ่งที่หลวงปู่สอนในเรื่องนี้ให้หน่อยค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ
พ่อครูว่า…คงจะต้องอธิบายคร่าวๆแล้วติดตามฟังเปิดยุคบุญนิยม จะเอาหนังสือปัจจุบันนิยมนั่นแหละมาบรรยายในงานนี้
คำว่าบุญ ที่อาตมาเอามาแยก บุญก็ดี กายก็ดี ฌานก็ดี สมาธิก็ดี คำสำคัญๆทางศาสนา เหมือนกับคำง่ายๆ บุญ กับ กาย เขาคิดว่าเป็นคำสั้นๆใครก็รู้แล้ว กายก็คือร่างภายนอก ดินน้ำไฟลม มันก็จบเท่านั้น เพราะมันลึกซึ้งมากที่จะรู้ได้ แต่พอบอกว่าคำว่า ฌาน กับ สมาธิ เขาก็จะคิดว่าอันนี้ยาก
ฌาน คือ พลังงานความร้อน พลังงานไฟเผากิเลส ต้องสร้างได้ด้วยกระบวนการของจรณะ 15 วิชชา 8 ไปนั่งหลับตาเป็นของพื้นๆทั่วไปอยู่ในโลก ฌาน นั่งหลับตาเป็นของสามัญโลกีย์ปุถุชน สูงสุดของเทวนิยมตีธรรมะ 2 ไม่แตก เขาก็หันกลับไปเอา 1 การหันกลับทวนจริง มีทวนอย่างเป็นสัจจะกับทวนอย่างไม่เป็นสัจจะ
ทวนอย่างไม่ใช่สัจจะก็เป็นอย่างนักมายากล หลอก ที่จริง ไม่จริงก็หลอก
ส่วนของพระพุทธเจ้านั้น ทวนกลับ สิ่งที่คุณเห็นไม่จริงแต่มันเป็นเรื่องจริง
โลกจึงแบ่งระหว่างเทวกับอเทวนิยม ความเป็นเทวะ คือ สมบูรณ์แบบ, 2 ก็ได้ เป็น 1 0 เลยก็ได้ แต่คุณนิรันดรคุณไม่มีทาง 0, 2 ของคุณแล้วคุณก็ลองไปเป็น 1, แล้วคุณก็หลงเป็น 1 อย่างเป็นอัตตานิรันดร แต่ของพระพุทธเจ้ามีอนัตตา สลายหมดเลย ไอ้ที่มีอยู่คือสมมุติ ไอ้ที่มีอยู่คืออาศัย มนุษย์ที่ยังไม่รู้คือมันยังมี พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความไม่มี ไม่มีสูงสุด แล้วทุกสิ่งทุกอย่างสุดท้ายก็สลายเลยเป็นไม่มี สูญเลย จบ
สู่แดนธรรม…ที่พ่อท่านให้นิยามคำว่าบุญนิยม คือพวกเรานิยมการขัดเกลากิเลส การชำระกิเลส แล้วก็ทวนกระแสโลก อย่างนั้นได้มั้ยครับ
พ่อครูว่า…ได้ ติดตามงานพุทธาภิเษก ตั้งหัวข้อเอาไปแล้วเปิดยุคบุญนิยม
เพราะฉะนั้นคุณยังไม่เข้าใจคำว่า บุญ อย่างสัมมาทิฏฐิ อย่างดีจริงๆ คุณก็จะเอามาตู่มาท้วง ทุกอย่างนั้นอาตมาเห็นใจว่าคุณเข้าใจไม่ได้ มันยังมีมุมเหลี่ยมมีนัยยะสำคัญที่มันละเอียดลอออีกเยอะ บุญนี่นะ แค่มุมเหลี่ยม บุญกับกุศลนั้นคนละขั้วเลย กุศลนั้นต้องมีตลอดนิรันดร ส่วนบุญนั้นไม่เลย มีหนึ่งเดียวและต้องสั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้ ไม่ให้ยาวด้วย ตัวเองก็ไม่ยาว แล้วตัวเองไม่มีในอดีตไม่มีในอนาคต มีแต่อยู่ในปัจจุบัน และปัจจุบันที่สั้นที่สุดด้วยบุญ ทำงานต่อจากฌาน เหมือนกับอินทรีย์ ทำงานหมดจบ พละ ก็เป็นผลสุดท้ายจบ เหมือนกันตัวที่ตีสรุปบอก อันสุดท้าย แต่อันเดียวกันนั่นแหละ แต่อันนี้เป็นผลสุดท้ายผลสมบูรณ์แบบ
SMS วันที่ 17-18 ก.พ. 2564
_วาส ทองจันทร์ : เห็นนักปฏิบัติธรรมถามกันบ่อยๆว่าจะทราบได้อย่างไรว่า เราปฏิบัติธรรมถูกทางไหมนั้น มันก็กว้างเกินไป เอาง่ายๆว่า ถ้าคุณเสียเปรียบคนอื่น คุณไม่รู้สึกหงุดหงิดหรือเสียใจ และคุณมีความเต็มใจที่จะเสียเปรียบคนอื่นทั้งๆที่รู้ได้นั้นแสดงว่าคุณปฏิบัติถูกทางครับ
พ่อครูว่า…พ่อครูเล่าเรื่องการจุดประทัดบนมือเลยไม่บาดเจ็บเพราะมีทริก พวกนักเล่นกลก็มีทริกพวกนี้ทั้งนั้น เป็นความซับซ้อนของแสงสีเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า ก็เอามาเล่นกัน อาตมาก็มีเล็กๆน้อยๆ
_โกศล สุขเล็ก : กราบคารวะพ่อท่าน..กิเลสคือสิ่งที่ต้องเข้าถึงเข้าใจและทำลาย..สาธุครับ..
กามโทษ กามาทีนวะไม่ใช่ให้เสพกามคุณ
_วิเชียร ดวงเกิด : กามคุณมีประโยชอย่างไรครับตกลงเป็นคุณหรือโทษครับ
พ่อครูว่า…กามคุณ ภาษาบาลีท่านก็ใช้ว่า ธัมมกาโม เป็นความใคร่อยาก อยากในอะไร อยากในธรรมะ หรือธรรมะอันเป็นกาม ธรรมะไม่ใช่อธรรม เพราะฉะนั้นคุณจะต้องเข้าใจสภาวะ อย่าไปติดใจพยัญชนะกลับไปกลับมา มันหลอกเรา เป็นสิริมหามายา หรือเป็นมายาแท้ คุณจับมันไม่ถูกก็หลอกคุณอยู่ตลอดเวลาเป็นมายา หากว่าคุณจับได้ถูกแม่นแม้จะสลับเร็วอย่างไรมีมุมต่างอย่างไรคุณก็รู้ถ้วนรอบว่าอะไรคือมุมที่ถูกต้อง ส่วนที่ถูกต้องสิ่งที่ถูกต้องได้ครบ นั่นแหละคุณถึงจะครบได้
เพราะฉะนั้น กามคุณ คือ ความใคร่อยากที่จะมาบำเรออารมณ์ สั้นๆ อย่างนี้ก็แล้วกัน
กามนี่ หมายถึงข้างนอกเลยบำเรอทาง 5 ทวาร รสทาง 5 ทวาร ถ้าหมดรสอันนี้แล้วก็หมดหยาบแล้วเหลือแต่ข้างใน รูปราคะ ก็ลดในอาการบำเรอใจ จนเข้าไปถึงตรงปลายเป็น อรูปราคะ หมดเกลี้ยงจนเหลือเป็นเรื่องคุณธรรม เป็นทางมานะ ทางกระจายเป็นอุทธัจจะ หรือทางถีนมิทธะ ก็ลดลงไปอีก จะเหลือเป็น อรูปสุดท้าย คุณจะรู้ได้ด้วยตนเอง อาตมาพูดอย่างนี้คุณต้องรู้เอง จะกลับไปกลับมาเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนคัมภีราวภาโส หรือปฏินิสสัคคะ
มันจะสลับซับซ้อนเป็นมายา สิริมหามายา อาตมาอธิบายธรรมะอยู่ตลอดเวลา ติดตามดีๆแล้วค่อยๆปฏิบัติ ถ้าเอาแต่พยัญชนะไม่เข้าใจสภาวะแท้ คุณไม่มีวันรู้ ไม่มีวันบรรลุหรอก เอาแต่พยัญชนะ หลงแต่ความลึกซึ้งซับซ้อนที่มันมีเยอะมาก เยอะจนพ้นเกินกว่าสิ่งที่ควรรู้แล้วเอามาใช้ปฏิบัติเพื่อละลดกิเลสในอัตตากิเลสฐานะตัวเรา บรรลุนานแล้ว แต่ท่านผู้หลงความรู้หลงในพยัญชนะ ศึกษาจนเกินไปไกลมากเลย ไม่ปฏิบัติเข้าสภาวะเหมือนอย่างกับ ทางเถรสมาคมหรือนักศึกษาผู้ที่นับถือกันยิ่งใหญ่จะเป็นรู้ในพยัญชนะ รู้ปริยัติความรู้ แล้วทำก็จริงจังในความรู้สึกในความรู้มาก ยังไม่เข้าหาความจริงของจิตเจตสิกรูปนิพพาน ยังไม่เข้าหาสภาวะ แม้แต่ความเป็น กาย สังโยชน์ข้อที่ 1 ตัวตนก็ตาม อัตตาก็ตาม กายก็ตาม
ตัวตนของ กาย และ กายของตัวตน ยังจับสภาวะ จับมั่นคั้นตายยังไม่ได้ ยังดิ้นไปดิ้นมาอยู่ จะว่าไม่รู้ก็ไม่ใช่แต่รู้บ้างแต่ยังไม่พอครึ่งหนึ่งยังไม่พอ เพราะฉะนั้นจึงทำอะไรไม่ได้ท่านที่รู้ดังนั้น จะรู้พยัญชนะมากเกินไปทำให้ เบลอ เพราะฉะนั้นจึงต้องมาตั้งใจฟังอาตมา อาตมาก็ไม่ได้อธิบายต้นกลางปลาย แต่ทุกวันนี้จับเอาจรณะ 15 มาเป็นหลัก 3 เส้า
2 แล้วมี 3 เส้า แล้วเป็น 4 เป็น 5-6 ไปเรื่อย
ศีล อปันกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 สามอย่างนี้ สังเคราะห์กันก็จะเกิด ฌาน ปัญญา
ฌานสังเคราะห์จัดการไปทีละอย่างศีลแต่ละข้อ
ศีลแต่ละข้อ ก็จะเก็บมุมเหลี่ยมต่างๆ
ศีลข้อแรกเกี่ยวกับสัตว์ ข้อที่ 2 เกี่ยวกับ พีชนิยาม อุตุนิยาม แล้วประเด็นที่จะต้องแก้ไขคือทุจริต สัตว์นี้มันเสพ ทั้งเสพทั้งทุจริต รวมกันอยู่ตรงนี้ ตัวของกับพืช มันมีแต่ทุจริต มันไม่เสพหนัก เสพหนักมันอยู่ที่สัตว์
พอมาตัวที่ 3 เสพทั้งหนักทั้งเบาอยู่ตรงนี้หมด เสพทุจริต แล้วก็เสพ นี่แยกตัวที่ควรเลิกละล้าง เป็นพยัญชนะสภาวะของสิ่งเหล่านี้
เสร็จแล้วเราก็จะรู้กระบวนการ ตรวจรู้สภาวะลักษณะของมัน หยาบ กลาง ละเอียดไปเลยสุดท้ายก็จบที่รู้ละเอียด ครบ หมดเลย
ตัวที่ยากมากก็คือ 2 เมื่อเทวะแยกละเอียดมาที่คู่ก็ปฏิบัติที่ กาย เป็น 2 กับสัญญาเป็นตัว 1
จะปฏิบัติที่ กาย กับ สัญญา แล้วเอาที่ปัจจุบันเป็นวิญญาณฐิติ ไปหลับตาอยู่นอกปัจจุบันไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายเกิดภาวะ 2 ตาเป็นที่ตั้งของรูป หูเป็นที่ตั้งของเสียง จมูกเป็นที่ตั้งของกลิ่น ลิ้นเป็นที่ตั้งของรส และทางสัมผ้ส
และที่ตั้งของรสทางลิ้นนี่แหละ ลึกซึ้งที่สุด ถ้าปฏิบัติตัว รสทางลิ้นนี่ ได้ดี คุณจะเข้าใจหมดเลย นอกนั้น ทางตาทางหู ทางจมูก ทางสัมผัส ตัวลิ้นนี่แหละ สัมผัสก็สัมผัสทั้งตัวเลยคือโผฏฐัพพะทั้งนั้น แต่ลิ้นนี่เป็นภายในละเอียด แล้วไม่เปิดข้างนอกหรอก แต่ข้างในที่คุณสามารถเปิดได้ง่ายก็คือจิต
ที่จริงแล้วมันเป็นโทษเป็นกามทีนวะ ไม่ใช่กามคุณ แต่เพราะคนมันเสื่อม จึงไม่เรียกกามทีนวะ ทั้งที่เป็นอนุปุพพิกถา ท่านให้เรียนเป็นเบื้องต้นเรียกว่า กามทีนวะ ไม่มีคำว่า กามคุณ แต่ไม่เอาแล้ว ก็มันเสื่อมเลยไม่หยิบมาใช้เหมือนกับ เฉโก ความรู้ทางโลกียที่ตนเองหลงใหลก็ไม่หยิบมาใช้ แต่ใช้แต่คำว่าปัญญาเท่านั้น เลยลืมเฉโก มาเอาแต่ปัญญาใช้กัน สลับไปสลับมา ถ้าไม่มีสภาวะแท้ พูดไม่ถูกหรอกแล้วจะสลับไปสลับมาจับตัวไม่มั่นคั้นไม่ตาย
ติดตามดีๆแล้วจะรู้ว่าอาตมาเป็นผู้ที่รู้จริง
_กรรณิกา เสนาะนํา : กราบนมัสการค่ะขะน้อยฟังท่านฟ้าไทบอกว่าการที่เราเจริญขึ้น คือได้ฝืนตัวเองโดยการไม่ให้มีความสบาย..ขะน้อยฝืนทุกวันไม่เคยสบายแต่สูขใจที่วันๆหนึ่งได้ฝืนกิเลสตัวเองค่ะ..
พ่อครูว่า…ใช้พยัญชนะศึกษาสภาวะไปแล้วจะค่อยรู้ลึกซึ้งไป
_jai far (ใจฟ้า) : เมื่อเช้าได้ฟังที่พ่อครูเฉลยเรื่องโจรถูกธนู500ดอกไม่ตาย เหตุว่า ไม่รู้ว่าทุกข์ ฟังพระสูตรนี้หลายครั้งแล้ว พึ่งทราบวันนี้เองว่า ทำไมจึงไม่ตาย โอ ที่แท้เพราะเราไม่รู้ว่าทุกข์ นี่หนอ เราจึงเวียนว่ายไม่รู้จบนี่เอง วันนี้พระคุณท่านมาเปิดอีกครั้ง โยมได้ย้ำฟังอีกครั้ง สาธุ สาธุ สาธุค่ะ
พ่อครูว่า…ดี นั่นแหละมันไม่ใช่ของง่าย เป็นของที่ฟังจนชินหู ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นักธรรมะไม่มีใครไม่รู้ แต่จะรู้จริงๆไม่ใช่ง่ายๆ
เทวตาพลีคืออะไร
_ไพฑูรย์ : เทวตาพลี คืออะไรครับ ในพระไตรปิฏกมีกล่าวถึงหลายที่ครับ
พ่อครูว่า…เทวตาพลี มีคำพยัญชนะสองคำ คือคำว่าเทวดา กับคำว่าพลี
คำว่า พลี ก็ลึกซึ้ง พลี ก็คือ สละ เทวดา หมายความว่าผู้เจริญ ผู้มีจิตอันสูง แต่คุณไปหลงติดเทวดา หลงติดจิตสูง แต่เทวดาเก๊คือมาร เรียกเต็มๆว่าเทวปุตมาร บุตรจริงๆเป็นเทพบุตร แต่ทำไมไม่เรียกเทพมารเลย เอาตรงๆคือเทพหลอกคน เทวะ คือ มายา ไม่ใช่ความจริง ท่านจึงไม่เรียกว่าเทวะ ขออภัยต้องพูดตรงนี้ เหมือนพระเจ้าไม่เปิดตัวแต่ให้เทวบุตร เรียกเต็มๆว่าเทวปุตมาร ลูกของพระเจ้าคือมาร ขออภัย พูดสัจธรรมอย่าไปโกรธกัน
เพราะฉะนั้นเราจะต้องชัดเจนจริงๆต้องมาเรียนรู้จริงๆ มันเป็นสัจจะที่ค่อยๆศึกษา
เทวดาปลอมนั่นหลอกคนมาเยอะ ชั่วที่สุดในแผ่นดินคือหากินคำว่าช่วยเขา หลอกเขายังสนิทหลายท่าหลายทางมากมาย ธัมมชโยเป็นต้น ทักษิณเป็นต้น อย่างนี้แหละ เห็นชัดๆอยู่แล้วบอกว่าช่วยเขาช่วยเขา แม้แต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็เหมือนกันบอกว่า ช่วยเขา หาเงินไว้มากๆแล้วเอาเงินไปแจกจ่ายช่วย แต่อาตมาว่า ธัมมชโยนี่นะเก่งกว่าทรั้มป์ เก่งกว่าทักษิณ ทุกวันนี้ก็ยังจับไม่ได้ ธัมมชโยนี้ลึกซึ้งซับซ้อน เลวลึกกว่า น่าดูเลย ถึงเป็นมารที่เก่งกว่า เดี๋ยวนี้บริวารก็ยังมีเยอะ รัฐบาลก็ยังไม่กล้าทำอะไร เพราะไม่อยากให้บริวารเกิดศึกเพิ่ม รู้สึกทางธนาธรก็ยากอยู่แล้ว ก็เลยต้องพักไว้ก่อน
ธนาธรไม่พอก็ยังมีฝ่ายค้าน ตอนนี้ก็ชักรู้สึกว่าตัวเองมีคารม อย่างนายหนวดอภิปราย อาตมาฟังแล้วลิงตกต้นไม้เลย ชื่ออะไรนะ ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ นี่นายหนวด โอ้โห เขียนเป็นชาร์ทมา เสียงดัง น้ำหนักมันกำลังดีจริงๆ ต่อว่าประธานอีก เวลาผมยังไม่หมดนะ ยอดเยี่ยมจริงๆ
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : ลุงพล-ป้าแต๋น สายอโศกหรือป่าวครับ
พ่อครูว่า…ไม่ใช่ อย่าโมเมไม่เคยรู้จักกันเลย คนละสายกัน อาตมาก็เห็นอยู่ในข่าว นักข่าวก็อาศัยเขาหากินไป เหมือนกับอ.ปรีชา หากินไป ตอนนี้ก็ลุงพลว่ากันเรื่อยไป สังคมก็มีสารพัดอย่างนี้แหละ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดินว่า…คุณใจฟ้าว่า จับประเด็นได้ว่าเพราะไม่เห็นทุกข์ จะพ้นมิจฉาทิฏฐิ ก็คือเห็นว่ามันไม่ดีมันไม่เที่ยงควรลดละ แต่จะพ้นสักกายทิฏฐิต้องเห็นทุกข์
เรามาลองดูซิ เรื่องประชาธิปไตย มันจะต้องพูดอย่างพอสมควรเลยประชาธิปไตยนี้ ก็ต้องว่ากันเป็นซีรีย์ แต่ตอนนี้ก็พูดไปเรื่อยๆก่อน อาตมาเขียนกวี อันนี้ไว้
ประชาธิปไตยดีที่สุดต้อง“โลกุตระ”
(๑) ดีสุดของระบอบแท้ คือใด
เป็น“ประชาธิปไตย” เลิศหล้า
ซึ่งประกอบเงื่อนไข หลายหลัก
ต้องไม่ต่ำกว่า“ห้า” นั่นแล้จึงจริง
(๒) สำคัญยิ่ง“หนึ่ง”นั้น มีกษัตริย์
“สอง”ประมุขคู่รัฐ ชาติเชื้อ
“สาม”พระจริยวัตร สืบสันต-ติวงค์แฮ
“สี่”ทศพิธราชธรรมเกื้อ ราษฎร์พ้นภัยผอง
(๓) สองขา..รัฐศาสตร์พร้อม อธิปไตย
“ห้า”ขาดขาหนึ่งใด วิ่นแท้
“ประชาราชสมาศัย” นาม-รูป “หก”เฮย
ครบ“เลือด,วิญญาณ”แล้ จึ่งถ้วนการเมือง
(๔) เฟื่องประชาธิปัตย์แข้(แค่) หนึ่งขา
โดย“เลือก”ประธานา- ธิปติได้
เป็นใหญ่ปุ๊บขึ้นมา คัดสุ่ม เอาเลย
แล้วใหญ่ในรัฐไซร้ ยิ่งผู้ใดเทียม
(๕) ไม่เจียมเลยนั้นแค่ “วิธีการ”
ใช่“กฎมณเฑียรบาล” สืบสร้าง
“ทศพิธราชธรรม”ขาน ก็บ่ ได้..ฮา
สร้างรักปกปักอ้าง ราษฎร์เอื้อมีฤา
(๖) “สองขา”คือทั้ง“เลือด- วิญญาณ”
ก่อกษัตริย์ขึ้นบริหาร ทวิไท้
ต่างจากท่านประธาน อธิปติ มากแล
ใหญ่“ปุ๊บ”แต่ล้วนไร้ ชาติเชื้อ“กรรมพันธุ์”
(๗) รัฐศาสตร์ขั้นเทพนี้ “โลกุตระ”
ใหญ่“กฎมณเฑียร”ประ- สิทธิ์สร้าง
กับใหญ่“ปุ๊บ”ก้าวกระ- โดดปั๊บ ลัดเลย
โม้..“เพื่อประชา”อ้าง เท็จแท้ปลอมจริง
“สไมย์ จำปาแพง” ๑ ก.ค. ๒๕๖๐
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ ๓๒๔ ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐]
พ่อครูว่า… (๑) ดีสุดของระบอบแท้ คือใด
เป็น“ประชาธิปไตย” เลิศหล้า
ซึ่งประกอบเงื่อนไข หลายหลัก
ต้องไม่ต่ำกว่า“ห้า” นั่นแล้จึงจริง
(๒) สำคัญยิ่ง“หนึ่ง”นั้น มีกษัตริย์
“สอง”ประมุขคู่รัฐ ชาติเชื้อ
“สาม”พระจริยวัตร สืบสันต-ติวงค์แฮ
“สี่”ทศพิธราชธรรมเกื้อ ราษฎร์พ้นภัยผอง
พ่อครูว่า… แม้ว่าเป็นกษัตริย์ต้องมีพระจริยวัตร อย่างกษัตริย์ไทยบางองค์ไม่มีทศพิธราชธรรมเขาก็คว่ำลงได้
(๓) สองขา..รัฐศาสตร์พร้อม อธิปไตย
“ห้า”ขาดขาหนึ่งใด วิ่นแท้
“ประชาราชสมาศัย” นาม-รูป “หก”เฮย
ครบ“เลือด,วิญญาณ”แล้ จึ่งถ้วนการเมือง
พ่อครูว่า… เลือดอาศัยหัวใจเป็นอุปกรณ์ จิตวิญญาณอาศัยสมองเป็นอุปกรณ์ ต้องคู่กันอย่างนี้เสมอมา
(๔) เฟื่องประชาธิปัตย์แข้(แค่) หนึ่งขา
โดย“เลือก”ประธานา- ธิปติได้
เป็นใหญ่ปุ๊บขึ้นมา คัดสุ่ม เอาเลย
แล้วใหญ่ในรัฐไซร้ ยิ่งผู้ใดเทียม
(๕) ไม่เจียมเลยนั้นแค่ “วิธีการ”
ใช่“กฎมณเฑียรบาล” สืบสร้าง
“ทศพิธราชธรรม”ขาน ก็บ่ ได้..ฮา
สร้างรักปกปักอ้าง ราษฎร์เอื้อมีฤา
ประชาธิปไตยไทยดีที่สุดเพราะมีโลกุตระ
พ่อครูว่า… อาตมายังนับถือประธานาธิบดีองค์ที่ 1 ของอเมริกา คือ จอร์จ วอชิงตัน เป็นทหารนำรบ อเมริกายึดประเทศจากอินเดียนแดงแล้วก็มารบกันเอง นานจนกระทั่งสุดท้าย จอร์จ วอชิงตัน เป็นผู้นำกองทัพชนะ เสร็จแล้วเขาก็จะให้ขึ้นครองเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่จอร์จ วอชิงตันไม่เอา ก็จึงไม่ได้ ก็เลยเอา แต่ไม่เป็นกษัตริย์ ขอเป็นประธานาธิบดี คือมันเข้าใจผิด จอร์จ วอชิงตัน ซ้อนลึกอยู่ที่ จอร์จ วอชิงตัน ว่าไม่เอา แบบกษัตริย์กับในหลวง คือมันยังยากที่จะเข้าใจว่า ในหลวงกับประธานาธิบดี เขาก็เข้าใจประธานาธิบดีมาจากประชาชน มีความเสมอภาคกันทุกคน ไม่เป็นการสืบสันตติวงศ์มา อย่างอังกฤษเก่าแก่มาจนถึงทุกวันนี้ เขาถือว่าอย่างนั้นมันเอาเปรียบ เขาก็จะเอาอันนี้ นี่คือความจริงซึ่งเขาไม่ลึกซึ้งพอว่า การสืบสันตติวงศ์มีกฎมณเฑียรบาล มีการฝึกหัดอบรม ประยูรญาติมาตลอดหมดเลย ลูกหลานเหลน ต้องฝึกฝนเพื่อที่จะเป็นผู้ที่ปกครองบริหารมีทศพิธราชธรรม จะต้องศึกษาอยู่กับประชาชนอย่างไม่ต้องไปข่มประชาชน ไม่เอาเปรียบประชาชน เสียสละให้ประชาชน อย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นยอดประชาธิปไตยสูงสุด ทุกวันนี้ต่างชาติก็ยังเข้าใจให้รางวัลท่าน
นี่คือนิมิตดีที่เราเข้าใจมากขึ้น จึงมีความหวังมากเลยว่า ประเทศไทยนี้ไม่ได้ขาดทั้งกษัตริย์ ไม่ได้ขาดทั้งธรรมะ กษัตริย์กับธรรมะจะเป็นคู่กันตลอดไป
เมื่อมีกษัตริย์ ก็ต้องมีกำกับเงื่อนไขว่า ต้องมีทศพิธราชธรรม ขาดไม่ได้
เพราะฉะนั้นทั้งเลือดทั้งวิญญาณ 2 ลักษณะ
(๖) “สองขา”คือทั้ง“เลือด- วิญญาณ”
ก่อกษัตริย์ขึ้นบริหาร ทวิไท้
ต่างจากท่านประธาน อธิปติ มากแล
ใหญ่“ปุ๊บ”แต่ล้วนไร้ ชาติเชื้อ“กรรมพันธุ์”
พ่อครูว่า…“กรรมพันธุ์”ไม่ใช่สืบทอดแค่ทาง DNA แต่กรรมนี้สืบสายทางวิญญาณเป็นของของตน จะไปยืนยันว่าเป็นของพระเจ้าเป็นลูกพระเจ้าไม่ใช่ เป็นของเราเอง เดี่ยวๆเป็นของเราเราเป็นผู้กำหนดกรรมนี้
-
กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
-
กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)
-
กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
-
กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)
-
กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)