640217_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เรียนอาหาร 4 ให้ถึงนาม รูป ทะลุสุภกิณหา ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1X7oVnqpAzvWkAXDxOJ1ti_srgqGPsSrTRQDAnj8NcGs/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/13xBTvBzQWI1GA2__nF8bF0tlFiB0cN49/view?usp=sharing และยูทูปที่ https://youtu.be/32lA1Rtp_58 สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ถ้าเราเปิดโทรทัศน์หรืออินเตอร์เน็ตจะเห็นบรรยากาศการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายกประยุทธ์ เราก็จะเห็นสิ่งที่ไม่ดีและดีเกิดขึ้น เช่น ประธานรัฐสภาบอกว่าสภาไม่ใช่ที่ที่ใครโกหกเก่งคนนั้นชนะ พูดไว้เมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2564 แล้วเขากล่าวหาว่า นายกฯประยุทธ์รับเงิน ท่านก็บอกว่าท่านไม่รับเงินชั่วแต่ท่านรับเงินที่ถูกกฎหมายที่ท่านควรได้รับ วันนี้เขาก็ว่าท่าน แล้วท่านก็บอกว่าท่านรักทุกคน แม้บางท่านจะเกลียดก็ตาม เห็นเป็นการโต้ตอบอย่างมีอารมณ์ขันกัน ส่วนฝ่ายค้านคนก็วิจารณ์กันว่าไม่มีน้ำยาเพราะไม่มีข้อมูลจริงมาอภิปราย เป็นเพียงเหมือนกันโต้วาที พ่อครูว่า…โต้วาที เขาเคยมีญัตติที่ว่าขี้ดีกว่าข้าว ฝ่ายเสนอว่าขี้ดีกว่าข้าว ฝ่ายค้านก็ค้านว่าข้าวดีกว่าขี้ สรุปแล้วฝ่ายเสนอขี้ดีกว่าข้าวนี้ชนะฝ่ายข้าวดีกว่าขี้ เพราะเขาเตรียมข้อมูลมาครบ ชนะเลิศ กรรมการหมดทาง เพราะว่าไปไม่เป็นเลย ข้าวดีกว่าขี้ สู้ขี้ดีกว่าข้าวไม่ได้ มีประดิษฐ์คำอธิบายคุณประโยชน์ของขี้ เช่นบอกว่าถ้าคุณไม่ขี้ก็ตาย ถ้าปวดขี้หนักเข้าไม่ขี้ก็ตาย แต่อดข้าวสักเดือนหนึ่งก็ไม่ตายนะ เป็นต้น สมณะฟ้าไทว่า…เข้าใจแต่คารมเฉยๆแต่ประชาชนจะได้ประโยชน์หรือไม่ก็อีกเรื่อง ก็คงเป็นยุคสมัยของคนยุคนี้ เรียกว่ารัฐบาลตั้งหลักดีๆก็สามารถผ่านไปได้สบายๆ เหมือนม็อบราษฎร มาชุมนุมก็เหมือนได้ผลประโยชน์อะไรสักอย่าง ตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่รู้ว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไรหรือเปล่า รัฐบาลก็ทำงานเพื่อประชาชนไป ฝ่ายค้านเห็นว่าอะไรบกพร่องก็บอกไปก็ดีเหมือนกัน เราก็มาฟังพ่อครูดีกว่า โดยเฉพาะใกล้งานพุทธาภิเษกแล้ว เขาก็จะออกข้อสอบจากการเทศนาของพ่อครู ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาจนถึง 22 กุมภาพันธ์ แต่ที่แน่ๆเมื่อเราเอาไปลดกิเลสได้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ประเทศไทยเป็นตัวอย่างการปกครองที่ลดอัตตา พ่อครูว่า…ก็เป็นเรื่องที่อาตมาว่าเป็นตัวอย่างนะ เป็นตัวอย่างของหลายๆประเทศที่เขากำลังขับเคี่ยว ระหว่างฝ่ายที่หาอำนาจให้แก่ตัวเอง ประชาชนเขาหาอำนาจให้แก่มวลประชาชนเอง ผู้ที่จะสร้างอำนาจมาเป็นใหญ่ยึดอำนาจก็สร้างอำนาจให้แก่ตัวเองไป สารพัดสารเพ อย่างที่เห็นกันศึกษาให้ดีเถอะ สิ่งที่จริงที่สุดดีที่สุด ผู้ที่มีอำนาจคือผู้ไม่สร้างอำนาจ แต่ไม่พยายามทำให้คนอื่นเข้าใจว่าเราเป็นผู้ที่จะไม่ยึดอำนาจ เป็นผู้ที่ไม่ใช้อำนาจเลย นี่แหละคนนี้ทำให้ประชาชนเขาเห็นชัดเลยว่าเราเป็นคนไม่ใช้อำนาจเลย ใช้แต่ความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม บูรณะให้เกิดแต่สิ่งที่ดีงามจริงๆที่ถูกต้องทั้งนั้น ไม่พยายามใช้พลังกดดันหว่านล้อม ไม่เลย เอาแต่ความจริงเพียงเอาแต่ความดีเพียวๆที่เป็นประโยชน์คุณค่าเสียสละต่อมวลมนุษยชาติรับใช้มวลมนุษยชาติ ทำไปจริงๆตรงๆ ประชาชนเขาจะมีปฏิภาณปัญญารู้เองเห็นเอง ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อย่างอาตมามั่นใจว่าได้ทำอย่างที่กล่าวมาไม่มีปัญหาอะไรเลย เขาจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่เราทำความจริงใจมั่นใจแต่ความจริงของเราอย่างซื่อสัตย์สุจริต เราอาจจะมีความด้อยที่เห็นความจริงผิดพลาด เห็นความถูกต้องผิดพลาดไปบ้าง มันก็เป็นความจริงของภูมิของเรา มันจะไปเกินกว่าภูมิจริงของเราไปได้อย่างไร แต่ถ้าเผื่อเราจริงมีภูมิที่ถูกต้องจริง ไม่ได้มีขบถ คด ความจริงนี่แหละ มีแต่จริงๆๆๆ มันก็ไม่มีอะไรจะแย้ง ไม่มีอะไรที่จะมาต้านมาลบล้างได้เลย อย่างอาตมานี่ก็สบายใจ ไม่ว่าคนจะด่าจะว่าอะไร เราไม่ใช่มานั่งมากดข่ม อย่าไปโกรธเขาอย่าไปโกรธเขาไม่ใช่ เรารับรู้ความจริงเสมอ แล้วเอามาตรวจสอบตัวเอง มันมีเล็กน้อยมีละเอียดก็ได้นะ ที่เรายังไม่รู้จริงที่เขาตำหนิเขาท้วง ตรวจสอบอย่างอย่ามีอคติเข้าข้างตัวเอง ตรวจแล้วเจอก็ต้องขอบคุณเขา แล้วก็แก้ไขๆๆ คนที่ติให้เรานี่นะ เขามองผิดก็ได้เขามองถูกก็ยิ่งดี เราก็ตรวจจริงๆเท่าที่เราจะมีภูมิปัญญาไม่ลำเอียงเข้าข้างตัวเอง เอาให้จริงเลย มันเจริญถ่ายเดียว เพราะฉะนั้นตั้งใจศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าเถิด อาตมาว่าไม่มีอะไรหรอกที่จะชนะความถูกต้องดีงาม ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราตรัสรู้สิ่งที่ประเสริฐสุดยอดแล้วในเรื่องความเป็นมนุษย์ ถ้าคนที่ไม่รู้จักจริงๆไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ต้องใช้เวลายาวนานเท่าไหร่พากเพียรจนกว่าจะบำเพ็ญตนบารมีจนกระทั่งได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ อาตมาเข้าใจดี ซาบซึ้งความจริงอันนี้ ขนาดแค่อาตมาเป็นระดับ 7 นี่ก็ซาบซึ้ง พวกคุณจะซาบซึ้งเท่าอาตมาได้อย่างไร ที่อาตมาพูดไปเป็นแต่พูดความจริงว่าเราเป็นผู้ที่ได้พากเพียรจริงๆ SMS วันที่ 15-16 ก.พ. 2564 _อุ่นเรือน เกิดพินธ์ : กราบนมัสการพ่อท่านลูกรับฟังรับชมอยู่ทางบ้านกำลังปฏิบัติตามอยู่เจ้าค่ะแค่ทานมังสวิรัตินี่ก็แทบทำไม่ได้แล้วแต่ลูกจะตั้งใจพยายามปฏิบัติตามเจ้าค่ะ หากลูกมีบุญคงได้มากราบเท้าพ่อ ขอให้พ่อท่านจงมีอายุยืนนานเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรเป็นที่พึ่งของลูกๆและชาวอโศกเจ้าค่ะสาธุ พ่อครูว่า…ก็อย่าให้อาตมารอนานนัก พยายามพัฒนาตัวเองให้ไวขึ้น อาตมาก็จะรอไม่ไหว ประชาธิปไตยไทยขณะนี้ถูกต้องดีงามเป็นที่สุด _0015 : อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นสัญลักษณ์แห่งความถูกต้องความดีงามหรือเป็นตราบาปของระบอบการปกครองของไทยครับ พ่อครูว่า…ก็คุณมองอย่างไร คุณดูรายละเอียดของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเขาไหม เขาพยายามปั้น สร้างขึ้นมา เป็นสถาปัตยกรรมที่มีรายละเอียด มีทั้งสื่อแทน เป็นรูปปีกนกพิราบ เอามาพัฒนา ปีกนกพิราบแบนแข็งหน่อย แต่เป็นภาพปีกนกพิราบแล้วก็มีพานรัฐธรรมนูญ มีอะไรประกอบใต้ปีกนกพิราบ มีรูปของ คอมโพซิชั่นของคน ประกอบรายละเอียดของประชาชนที่ได้ทำงานเพื่อประชาธิปไตยต่างๆนานาอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นคุณดูดีๆแล้วก็จะเห็นว่า เป็นสัญลักษณ์แห่งความถูกต้องดีงาม หรือเป็นตราบาป คุณมองอย่างไรว่าเป็นตราบาป คุณคิดไปเองว่าขณะนี้ความเป็นประชาธิปไตยไทยนี้มันไม่เป็นประชาธิปไตย อาตมาว่านะ อาตมาเก็งความคิดของคุณเอา ว่าคุณคงเข้าใจว่าขณะนี้ประชาธิปไตยไทยไม่เป็นประชาธิปไตย มาสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนี่มันเสียของเปล่ามันไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเลย มันเป็นตราบาปว่าอุตส่าห์ทำเป็น แหม แต่เสร็จแล้วมันไม่จริงอะไรเลย คงจะเป็นอย่างนั้นอาตมาว่า ซึ่งไม่เหมือนอาตมามอง อาตมามองเห็นประชาธิปไตยของไทยขณะนี้ดีที่สุดในโลก อาตมาพูดมานานแล้ว พูดมาตั้งแต่พลเอก ประยุทธ์เป็นนายกฯ ได้ตั้ง 6-7 ปีนี้ ก็ยังดีใช้ได้ แม้ทุกวันนี้ก็ยังเห็นว่าเหน็ดเหนื่อยหนักหนา พยายามพากเพียรอยู่เลย ก็ขอยังไงๆ… ก็ขอ แต่ขอไม่ได้หรอก ให้ท่านพยายามดูแลสุขภาพให้ดีๆให้แข็งแรงไว้ อาตมานี่แหละ ก็คอมเม้นๆ ไม่ใช่คนมีปากศักดิ์สิทธิ์อะไร ให้เป็นอย่างนี้ไปได้หรอก ก็แนะนำนิดหน่อยไปตามประสาเรา ก็ขอให้ดูแลรักษาสุขภาพดีๆ อย่าให้โอเวอร์โหลด อย่าให้มันมากนัก ตั้งใจดีๆ ซึ่งที่จริงดูแล้วดูหน้าตาก็ผ่องใสดีนะ อาตมาว่าสดชื่นผ่องใสดี เท่าที่ดูตามประสาการดูโหงวเฮ้งของอาตมานะ มันได้แค่นี้ ก็ดูดี ชัดเจน ต่อสู้กับศึก อภิปรายไม่ไว้วางใจก็ดูร่าเริงเบิกบาน มีฮิวเมอร์ สนุกสนานสบาย แล้วก็มีคารมคมคายแหย่นิดแหย่หน่อย สนุกนะ อาตมาว่า หานายกรัฐมนตรีอย่างนี้ได้ยากจริง ไม่เคร่งเครียดเอาเป็นเอาตาย ขออภัยขอเปรียบเทียบนิดนึง นายกฯ ชวน หลีกภัย ตั้งแต่เคยเป็นนายกฯเนาะ ไม่เหมือนกัน นายกฯชวนไม่ค่อยมี ฮิวเมอร์เลย ไม่ค่อยมีอารมณ์ขันเท่าไหร่ นี่ท่านยังมีอารมณ์ขันเสมอ สบายๆ แล้วก็มีคารมด้วย ขัน โต้ตอบนิดหน่อย ไม่ถึงกับเป็นโจ๊ก เป็นขนาดฮาตกเก้าอี้ ก็ไม่ถึงขนาดนั้น สนุกสนานรื่นเริงบันเทิงดี ทำให้บรรยากาศเคร่งเครียดผ่อนคลาย คนที่เป็นเอาเอาตาย ฝ่ายค้านเหงื่อหยดย้อย ก็ทำให้บรรยากาศมันคลี่คลายลงดีมากเลย ก็ค่อยๆดูไป อาตมาอาจจะดูผิดก็ได้ แต่เป็นความเห็นตรงๆจริงใจ แล้วก็ขอสรุปลงตรงนี้ว่า ประเทศไทยเป็นตัวอย่างของประชาธิปไตยที่มี 2 ขา มีทั้งกษัตริย์และประชาชน เป็นราชประชาสมาสัยจริงๆ ที่ดีที่สุดในเรื่องมนุษยชาติที่ต้องมีคู่ช่วยกันตลอดเวลา ไม่เดี่ยวๆ มันจะหนักไปทางเผด็จการ ถ้ามีประชาธิปไตยขาเดียว มันจะหนักไปทางเผด็จการ แต่ถ้ามีประชาธิปไตย 2 ขา มีกษัตริย์เป็นรัฏฐาธิปัตย์ด้วย มีประชาชนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ด้วย นี่แหละสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว ถูกธรรมชาติ ถูกสัจธรรมของความเป็นชีวะ คน ต้องมีกายมีจิต ต้องมีกายมีวิญญาณ เป็น 2 อย่างต้องมีธาตุรู้ มีรูป มีนาม ซึ่งมันสมบูรณ์แบบตามสัจธรรม ขั้นปรมัตถธรรมเลย สูงสุด ค่อยๆศึกษาตามไปก็แล้วกัน _Nadam Sakon (นาดาม สาคร) : ผู้ใหญ่ต้องปรับตัวหาเด็ก เด็กก็ต้องพยายามระลึกตระหนักเข้าใจผู้ใหญ่บ้าง พ่อครูว่า…ฟังไว้ก็ถูกต้อง เด็กก็น่าจะต้องเป็นผู้ที่ยังมีวัยวุฒิ มีอะไรต่ออะไรได้น้อยกว่าผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ต้องพยายามตระหนัก ต้องพยายามเข้าใจผู้ใหญ่ดีๆ แต่ผู้ใหญ่จริงๆโดยสามัญมีอะไรรู้ดีๆกว่าเด็ก ก็ต้องปรับตัวลดหย่อน หรือว่าอนุโลมให้แก่เด็กไป ไม่ใช่ว่าจะเอาดั่งใจเรามันก็แข็งขืนไปมันก็ไม่ดี ความโกรธแม้น้อยเท่าไหร่อย่าให้มีเลยในจิตใจ _Danuthum Virulhsirikul (ดนุธรรม วิรุฬห์ศิริกุล) : “พ่อท่านแสดงธรรมะเป็นท่านแรกก็ว่าได้ ที่รู้พ่อท่านก็บอกว่ารู้ ที่ไม่รู้พ่อท่านก็ตอบว่าไม่รู้ ผิดกับพระบางรูปหรือแม้แต่นักแสดงธรรมบางคน คนที่เขาไม่รู้เขาก็อยากรู้แต่กลับไปถามย้อนกลับเขาอีก.. เพื่ออะไร..กลัวเสียฟอร์มหรือ บางครั้งก็ตอบแบบดำน้ำไปเลยแบบผิดก็มีเยอะ..คนที่ฟังก็เข้าใจผิดไปอีก ที่เชื่อเพราะเป็นพระเป็นผู้แสดงธรรม.. ใครว่าพ่อท่านหนักแค่ไหน? พ่อท่านไม่เคยโกรธใคร แถมขอบใจอีกที่ติเตียนมา..เพราะพ่อท่านคือ.พระอรหันต์แท้.. พ่อครูว่า…อาตมาไม่มีตัวตนจริงๆ รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ อาตมาพูดมาตั้งนานเมื่อถามสิ่งที่ไม่รู้ก็ตอบง่ายๆไม่ยากเลย ถามอันที่มันไม่รู้ ก็ง่ายสิ ก็บอกให้รู้ก็จบแล้ว ไม่เห็นต้องเสียหน้าเลย ไม่ต้องเห็นจะเสียศักดิ์ศรีเลย เป็นธรรมดา ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ คุณคนนี้จับประเด็นนี้ได้ อาตมาหยุดโกรธแล้ว อารมณ์โกรธในจิต อาตมาไม่เคยมีโกรธ ถ้ารู้อย่างหยาบกลางละเอียด ขนาดเล็กบรรจุซองละอองธุลีเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม ถ้ารู้ว่าเป็นตระกูลโกรธ เอามันออกไปจากจิตใจ อย่าให้มันเหลือเลยอย่างหยาบ อย่างน้อยเล็กบรรจุซองละอองธุลีก็เอาออกไป ถ้ามันยังอยู่ในตระกูลนี้ เอามันออกไปเลยไม่มีประโยชน์อะไร นี่ก็เคยเป็นโศลกที่อาตมาให้ไว้แล้วอาตมาก็ปฏิบัติมาจริง จิตที่ไม่มีความโกรธนั้นมันสบาย จะบอกว่ามีความโลภ ความโลภที่จะทำงาน ความโลภที่จะทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น ความโลภที่จะเสียสละรับใช้มนุษยชาติมันก็ดี นี่ก็ใช้ภาษาธรรมดาธรรมดา อาตมาก็จริงใจนะ ไม่ใช่ทำแบบเป็นคารมคมคาย เขาตำหนิมาก็ทำเป็นขอบใจที่ตำหนิมา แต่ด้วยใจจริงๆ ว่าคนติเตียนมาเราก็ได้ประโยชน์ พระพุทธเจ้ากล่าว สรรเสริญนี้เป็นเรื่อง อันตรายอันแสบเผ็ด คำหยาบช้า ทำไมคนไม่เบื่อกินเหล้า และ กินน้อยหน่ามีบาปไหม _อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : คนกินเหล้าทำมัยถึงไม่เบื่อครับท่าน / ถ้าเรากินน้อยหน่าแล้วกินหนอนไปด้วยจะบาปใหมครับ พ่อครูว่า…คนกินเหล้าทำไมไม่เบื่อเพราะมันโง่ จะโง่ดักดาน กินเหล้าแล้วก็ไม่เบื่อ ..เขาพยายามนะ พยายามที่จะไล่เลียงลิสต์โทษภัยของการกินเหล้า กินแล้วจะทำเลวทำชั่วไม่ดีไม่งามอย่างไร มาเป็นหน้ากระดาษเลย กินเหล้าพาให้เสียหายตั้งเท่าไหร่ๆๆ มันทำชั่วได้มหาศาล จะมองในแง่ดี มันก็เป็นยาบ้างเล็กน้อยอันพอเหมาะพอดี แต่เขาส่วนมากกินกันไม่พอเหมาะพอดีเขากินกันอย่างงมงายมันก็เสีย ไม่เบื่อ ตอบได้คำเดียวว่ามันโง่ ดื่มเหล้าเบียร์วันนี้ตายฟรี ด้วย 3 โรคร้าย แค่นี้น้อยไป มีเป็น 100 100 โรค เลิกได้เป็นดีที่สุดอย่าไปโง่ต่อเลยกินเหล้า ยิ่งแหม คอแข็ง คอทองแดงกินไม่รู้จักเมา นั่นแหละตัวดี ถ้าเผื่อว่ากินเหล้าแค่นี้ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่เลวทราม อาตมาว่าก็ยังยากคนนี้ “ถ้าเรากินน้อยหน่าแล้วกินหนอนไปด้วยจะบาปไหมครับ?” พ่อครูว่า…คุณกินน้อยหน่ามีหนอนผสมโดยไม่รู้ตัวไม่เป็นไร ไม่มีเจตนาจะกินหนอน มันไม่บาปในเรื่องของวิบากที่คุณจะไปผูกพันกับคู่บาปคือหนอน แต่หนอน มันจะรู้ไหมว่าคุณกินมัน แล้วคุณกินอย่างไม่มีเจตนา หรือกินด้วยความรักอะไรอย่างนี้ มันจะรู้อย่างนั้นน่ะ มันก็รักคนกินชีวิตเข้าไป มันก็เลยอนุโมทนากับคนที่กินมัน มันจะเป็นหรือเปล่า มันเป็นเดรัจฉานนะ เพราะฉะนั้นยากที่จะไม่ให้สัตว์เดรัจฉาน ทั้งหลายแหล่ มันไม่ผูกพยาบาทเมื่อเราไปทำร้ายมัน เมื่อเราไปฆ่ามัน เมื่อเราไปกินมัน เอาเนื้อมันมากิน ต่างๆนานา เพราะวิญญาณมันไม่ได้จบแค่ว่า สัตว์ที่ตายแล้ววิญญาณก็ไม่รับรู้อะไรเลยไม่ใช่ มันมีปฏิสัมพันธ์เยอะแยะที่ยาวยืด มันมีปฏิสัมพันธ์ที่ว่าอันนี้มันตัวกูของกู เอ็งมาทำอะไรตัวกูของกู มันก็ต้องโกรธต้องพยาบาทผูกพยาบาท ไม่อย่างนั้นมันไม่มีโรคผูกพยาบาทแก้แค้นกันตั้งเท่าไหร่ นิยายไม่รู้ตั้งกี่เรื่องก็คือของจริงที่ เป็นคำตอบที่ไม่มีใครจะมาบิดเบี้ยวความจริงนี้ได้เพราะความผูกพัน มีแต่จิตยึดมั่นถือมั่น ไม่อโหสิมีพยาบาทกันมันไม่จบ ยกตัวอย่างโยสิโมมนสิการอย่างเป็นรูปธรรม _Kru Sa (ครูสา) : กราบนิมนต์ยกตัวอย่างโยนิโสฯที่เป็นเหตุการณ์ให้เป็นรูปธรรมค่ะ พ่อครูว่า…ตัวอย่างสั้นๆ โยนิโสมนสิการที่เป็นรูปธรรม เวลาคุณกระทบสัมผัสพืชพันธุ์ธัญญาหาร มันสวยมันน่ากินทั้งนั้นเลย พอเราสัมผัสด้วยตา โอ้โห บร็อคโคลีก็น่ากิน ดอกกะหล่ำปลีก็น่ากิน อะไรก็ทั้งนั้น ดูมันสมบูรณ์เต่งตึงดีเลยมันน่ากินนะ จิตเราก็ต้องอ่านจิตเรา อันนี้แหละ มนสิการ แปลว่าทำใจ คุณจะทำใจในใจเป็นคุณจะต้องมีตัวสัญญากำหนดหมายเข้าไปรู้ใจ อ่านอาการของใจ ใจมันตอนนี้กำลังอยู่อย่างไรอยู่อย่างนิ่ง อยู่อย่างเคลื่อนไหว อย่างไร มันกระทบสัมผัสพวกนี้แล้วมันเคลื่อนไหวอาการเคลื่อนไหวแล้วมันเคลื่อนอย่างไร มันมีอาการอย่างนี้อ่านได้ว่าชอบหรือไม่ชอบ นี่ก็เป็นเวทนาที่คุณจะต้องรู้ ชอบไม่ชอบแล้ว อาการอย่างนี้เองอาการใจ อาการของวิญญาณ อาการของจิตหรือแยกเป็นเจตสิกมันก็อย่างนี้ เราก็พยายามใช้ตัวสัญญาหรือการกำหนดหมายรู้กำหนดหมายตัวนี้ต้องใช้เป็น คุณใช้สัญญาไม่เป็นกำหนดรู้กำหนดหมายสำคัญมั่นหมายในอะไรในการเรียนรู้ปรมัตถธรรมไม่ได้เลย ตัวสัญญาเป็นตัวสำคัญมากที่สุดในการเรียนรู้ พระพุทธเจ้าสรุปไว้ มีกายกับสัญญาเป็นเทวะคู่สำคัญ ในวิญญาณฐิติหรือสัตตาวาส 9 ก็คือ กาย กับ สัญญา 2 ตัวนี้แหละเป็นตัวเรียนรู้อะไรตั้งแต่ต้นจนจบ จบด้วยสัญญาเวทยิตตังนิโรธังโหติ สัญญาเวทยิตนิโรธเคล้าเคลียอารมณ์อย่างสมบูรณ์แบบ จบ มีความสมบูรณ์แท้ลงตัว เรียกว่าใช้สัญญาเป็นแหล่งเรียนรู้มีเวทนาเป็นกรรมฐานหลักของศาสนาพุทธ แล้วก็เรียนรู้เวทนา 108 จนกระทั่งสมบูรณ์จบเลย เป็นอุเบกขา 5 เจริญแล้วเจริญอีก อย่างเที่ยงแท้ นิจจัง(เที่ยงแท้), ธุวัง (ถาวร), สัสตัง(ยืนนาน), อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน), อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้), อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ด้วยการปฏิบัติ เวทนา 36 ในปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีต 36 อนาคตจะมาอีก 36 มันมีทั้งหมด 36 นั่นแหละ มันจะมาอีกกี่ 36 มาถึงปัจจุบันก็เด็ดขาด เป็นวสวัตตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จัดการให้ จิตเป็น 0 เพราะฉะนั้นปัจจุบันเป็น 0 สามารถทำให้เป็น 0 สั่งสมเป็นอดีต อดีตจะไม่ 0 ก็ช่าง แต่จากปัจจุบันที่เก่งแล้วสำเร็จและเป็นจิตที่มี วสวัตตีแล้ว ทำเวทนาให้เป็น 0 เพราะฉะนั้นมีแต่สูญสะสมตกผลึกลง ไปในอดีตตลอดกาลยิ่งตั้งมั่นๆๆ ด้วย 0 อนาคตจะมากี่อนาคตก็มาเลย สามารถเด็ดขาดมีฝีมือทำให้ 0 ได้ทั้งนั้น นี่คือจบ อดีต 36 ปัจจุบัน 36 อนาคต 36 ของเวทนา 108 ทำอย่างนี้ อาตมาทำมาอย่างนี้ก็เอามาพูดสู่ฟัง อ่านดีๆ เรียนดีๆแล้วจะชัดเจนรู้ชัดเจนได้ เพราะฉะนั้นโยนิโสมนสิการก็คือเรียนรู้อาการของจิตเจตสิก โดยเฉพาะเรียนรู้ที่เวทนานี่แหละ แล้วคุณก็แยกได้ แยกกิเลสออก พิจารณา โยนิโสคือ พิจารณาอย่างแยบคายถ่องแท้เห็นความจริง ไม่ใช่พิจารณาอย่างไม่มีตัวสภาพรองรับ แต่มีสภาพที่จิตรองรับเห็นอาการของจิตเลย พิจารณาเห็นอาการของจิต เอามาพิจารณาเทียบกันเรียกว่า ลิงคะ อะไรมันถูกเทียบทีละคู่ทุกมุมเหลี่ยม จะมีทีละคู่ทุกมุมเหลี่ยม ทุกนัยยะ ทุกมิติ ทุกอย่าง เลือกได้ที่สุดแห่งที่สุด ถูกต้อง ดีงาม ครบหมด ทีละคู่นี่แหละ ไม่ใช่ไปเลอะเทอะเยอะแยะแล้วจะไปเปรียบเทียบเด็ดขาดได้อย่างไร เด็ดขาดก็ต้องมี 2 เท่านั้น เปรียบเทียบอะไรดีที่สุด ตัวที่หมดกับตัวที่เกือบหมดแล้วนิดนึงมันก็ 2 เห็นไหม? ตัวที่หมดเกลี้ยงสะอาดเลย กับ เหลือเลอะอยู่นิดนึง ต้องเอาให้ชัด สัญญาให้ชัด เนวสัญญานาสัญญา สัญญากำหนด สัญญาที่ไม่เต็มที่ไม่เต็มเต็งพิการ เนวสัญญา นาสัญญา ถ้าสัญญาได้แค่ เนวสัญญา คือใช่ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่อย่างนี้ไม่เอา ต้องให้เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ ให้สัญญานี้กำหนดสะอาดบริสุทธิ์เคล้าเคลียอารมณ์ ปฏิเวธธรรม ซอกแซกไปทุกมุมเหลี่ยม ชัดเจนหมดทุกอย่างเลยว่าไม่มีอะไรเหลือ อากิญจัญญายะ ไม่มีอะไรนิดนึงน้อยนึงเศษธุลีละอองของกิเลสไม่มีเลย แล้วสำเร็จได้นานๆๆ อเนญชาๆๆๆๆ สั่งสม อเนญชาภิสังขารไปถ่ายเดียว กว่าจะอเนญชา ต้องเอาที่สะอาดสมบูรณ์ๆๆๆๆนะ มันก็จะได้ของจริงที่มีแต่ของสะอาดสมบูรณ์เท่านั้น สั่งสมลงเป็นอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา จิตก็ยิ่งดียิ่งเก่ง มุทุ เอามาทำงาน (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) เอามาทำงานเพิ่มเติมอีกก็ยิ่งดี ได้ยิ่งดี ยิ่งเก่งขึ้น เจริญขึ้น สามารถขึ้นๆๆ ทุกกัมมัญญา มีแต่ทำให้พัฒนาให้สูงส่งขึ้น จิตก็ยิ่งเป็นประภัสรา ยิ่งประภัสสรผ่องแผ้วผุดผ่อง แล้วแต่ภาษาไทยที่จะไปแปลพยัญชนะบาลีเขา ปภัสสระ แยกพยัญชนะให้ฟัง มีทั้ง ป ภ ส ร ส ร เป็นเศษวรรค ละเอียดลออ เอาแค่นี้ก่อนเดี๋ยวจะไปหาพยัญชนะมากไป เอาไว้มีความรู้ความสามารถที่ดีแล้วก็ลงไปหาพยัญชนะ พยัญชนะเป็นตัวสื่อสำหรับรองรับสภาวะที่ท่านตั้งขึ้นมา โบราณาจารย์ผู้ที่บัญญัติ สุดยอด ภาษาบาลีเป็นรากฐานของพยัญชนะธรรมะ นี่เขายังแย้งกันอยู่ว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้ภาษาบาลีเป็นหลัก ใช้ภาษาอื่นอะไรต่างๆนานา ซึ่งบาลีนี่แหละเป็นภาษาที่เป็นแกนเลย อโหสิกรรมอภัย นัยที่ต่างกัน _หายโง่ : กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพ เราโน่ถามดิฉันว่า’อโหสิ’เหมือนหรือต่างจาก’อภัย’อย่างไร ดิฉันตอบไม่ได้..ขอความกรุณาพ่อครูอธิบาย(เป็นภาษาไทย)ด้วยค่ะ..กราบขอบพระคุณค่ะ.. พ่อครูว่า…คำว่าอโหสิกับอภัย เอาพยัญชนะมาเลยดีกว่า อ กับ โห กับ สิ แล้วก็ อ กับ ภย อ กับ อ เหมือนกัน คำปฏิเสธ ไม่ ไม่ โหสิ กับไม่ ภยะ โห นี่เป็นลักษณะของ ที่มันฟุ้งขึ้นมา มันจะมีอาการของจิต อโห อย่างนี้เป็นต้นเป็นคำอุทาน เหมือนจิตมีวาบๆ อะไรขึ้นมา ให้ดูตัวนี้แล้วเลิกเรียกว่าอโหสิ เพราะฉะนั้นจิตของเราจะไปสะดุดอะไรมันก็คือจิตยังไม่สงบจิตยังไม่นิ่ง จิตยังมีตัววิจิกิจฉา จิตยังมีความไม่รู้ถ้วนรอบไม่รู้จริงมันก็จะมีจิตกระเพื่อม อโหสิ รู้ให้ได้แล้วเลิก อโหสิจึงเป็นตัวละเอียดลออกว่า อภยะ ภยะ คือ ภัย ก็เข้าใจได้ไม่ยากอะไร อภัย คือโทษคือทำไม่ดี เป็นทุกข์เป็นความไม่สุขก็อย่าให้มี อภัย ไม่เป็นคำใหญ่คำหยาบคำรวม ส่วน อโหสิเป็นนัยยะสภาวะของจิตที่ละเอียดอย่างที่อธิบายให้ฟัง นี่เอาพยัญชนะ ราก เป็นตัวอธิบายเลย อโหสิ เป็นการยกเลิกสิ่งที่มันจะเป็นอย่าว่าแต่ภัยเลย สะดุด อะไรที่ยังไม่ลงตัวไม่สงบไม่เรียบร้อย ต้องทำให้เรียบร้อย อย่าไปเหลืออยู่ เรียกว่าอโหสิ ส่วนอภัยนั้น หยาบ แรง อย่าให้เกิดสภาพที่จะต้องเป็นโทษภัยแก่ใครๆ สู่แดนธรรม…ผมเคยจำไว้ เมื่อปี 2532 พ่อท่านให้ความหมายคำว่าอภัย พ่อท่านว่า มีความล้ำลึกไม่ใช่แค่จะยกโทษให้เท่านั้น มีความหมายไปถึงว่า ไม่มีภัยทั้ง 3 ไปเบียดเบียนเขา ก็คือ ราคะ โลภะ ก็เป็นภัยแบบหนึ่ง โทสะ ก็เป็นไปแบบนี้ โมหะ ก็เป็นไปแบบนี้ อภัยก็คือ การไม่มีภัยความรักโลภโกรธหลงไปเบียดเบียนเขา พ่อครูว่า…ได้ แม้ถึงขั้นละเอียดสุดโลภโกรธหลงเป็นภัย พวกกลิ เป็นตัวโทษภัย เป็นกิเลส สู่แดนธรรม…ส่วนอโหสิ คุณตุ๊กอาจหมายถึงอโหสิกรรม ก็จะแปลอีกแบบ อโหสิกรรมคือกรรมที่ต่างฝ่ายต่างเลิกแล้วต่อกัน ไม่เอาบาปกรรมแก่กัน เป็นกรรมที่ไม่มีผล ส่วนอโหสิ ท่านแปลว่า ได้เป็นแล้ว ได้มีแล้ว พ่อครูว่า…ก็มีการสำเร็จไงบอกว่ามีอะไรนิดอะไรหน่อยก็ไม่ต้องไปถึงขั้น ขยายให้เห็นว่ามัน หยาบ คือ อุทาน อโหสิ ไม่ต้องมีอะไรเกิดขึ้น จิตสบายเข้าใจความจริงให้ชัดเจนว่าไม่มีอะไรต่อใคร ไม่มีอะไรต่อกัน เราก็ 0 คนอื่นจะ 0 ก็ตัวใครตัวมันสำหรับเรารับผิดชอบตัวเราเองว่าเราไม่มีพยาบาทไม่มีการติดใจอะไรทุกอย่าง เลิกแล้วต่อกันหมด เรียกว่าอโหสิ คนจะดีไม่ดีหรือยิ่งแม้มีดีๆ ก็อย่าไปติดใจว่าจะต้องสัมพันธ์ผูกพัน ต้องเกี่ยวเกาะอะไรกัน รู้ความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้นว่าถ้าเผื่อว่าเรายังจะเกิดอีก เราก็จะต้องสัมพันธ์กับสิ่งที่ดีกันนี่แหละ สิ่งที่ไม่ดีเราก็ห่างกันไว้อะไรอย่างนี้เป็นต้น เราก็กำหนดหมายให้ละเอียดลออสำหรับตัวเราที่จะไม่มีโทษภัยต่อกัน เรียนอาหาร 4 ให้ถึงนาม รูป ทะลุสุภกิณหา พ่อครูว่า… มาเข้าสู่อาหาร 4 ปุตตมังสสูตร อาตมาจะอธิบายจากท้ายขึ้นไป [๒๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า พวกเจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้แล้วแสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด พ่อครูว่า…โจรปล้นชาติก็ว่าร้ายแรงแล้ว แต่นี่โจรปล้นทำลายศาสนา เพราะไปเข้าใจผิดในศาสนา ไปเอาบทปฏิบัติซึ่งอาตมาเน้นย้ำคือบทปฏิบัติหลับตา ไปเอาบทปฏิบัติหลับตามาปฏิบัติกันอย่างยึดมั่นถือมั่นว่านี่แหละคือทางปฏิบัติอันเอก ก็หลับตากันเป็นตุเป็นตะ หลับตากันอย่างไม่โงไม่เงยเลย อาตมาพูดมา 50 ปีแล้วก็ยังนั่งหลับตากันนั่นแหละไม่สะดุ้งสะเทือนเลย แย้งอาตมาไม่ได้ แต่ทำไมไม่มีปฏิภาณไหวพริบเลย ก็แย้งไม่ได้ก็ลองฟังอาตมาแล้วปฏิบัติตาม เริ่มต้นตั้งแต่ปฏิบัติ ศีล อปันกธรรม 3 สัทธรรม 7 จะได้ ฌาน แบบลืมตาทั้ง 4 ฌานคืออะไรอาตมาก็อธิบายไว้แล้วจนซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่เขาไม่มี ปรโตโฆษะ ไม่ฟังอาตมาเลย จึงเป็นโจรที่ดื้อด้าน ดื้อด้านอย่างไร ฟังต่อ (ปุตตมังสสูตร ต่อ) ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ลงโทษโจรผู้นี้ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ช่วยประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า ต่อมาเป็นเวลาเที่ยงวันพระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวัน ต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอีกอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็นเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ประหารนักโทษคนนั้นด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายยังเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขากำลังถูกประหารด้วยหอกร้อยเล่มตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหาร นั้นเป็นเหตุเท่านั้น มิใช่หรือ ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกแม้เล่มเดียว ก็พึงเสวยความทุกข์โทมนัสซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า จะพึงเห็นวิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ พ่อครูว่า…มันจะไม่ทุกข์ได้อย่างไรเจอหอกตั้ง 100 เล่ม แต่ประเด็นก็คือคนไม่รู้จักทุกข์ นอกจากไม่รู้จักทุกข์แล้วยังวิปลาสเห็นทุกข์เป็นสุข จบ เขาหลงทุกข์เป็นสุขจริงๆ อาตมาไขแล้ว ทุกข์กับทุกข์เป็นตัวเดียวกันมันเป็นจอมมายา บอกว่าเป็นสุขเป็นสุขแท้จริงมันเป็นทุกข์ แยกไม่ออกด้วย สุขกับทุกข์เหมือนกระดาษแผ่นเดียวแยกไม่ได้ มันหลอกตัวเองสนิทเลย แล้วคนผู้นี้ คนที่โง่ขนาดเห็นทุกข์เป็นสุขนี่ มันไม่ได้โง่อะไร เท่าที่จะโง่อีกแล้ว เพราะฉะนั้น อริยสัจ 4 จึงมีทุกข์เป็นตัวที่จะต้องรู้ให้ได้ จะรู้ทุกข์ได้อย่างไรก็ต้องรู้ด้วยนามรูป ทุกข์เป็นอาการของเจตสิกคือเวทนา เวทนาเป็นส่วนของวิญญาณ เรียนรู้วิญญาณด้วยนามรูป อาการ 2 มีรูปอันนึง กับนามอันนึง เพราะฉะนั้นผู้ใดกำหนดรู้ว่า เทวะ คู่สำคัญที่สุดในโลกคือ รูปกับนาม แล้วก็ใช้รูปกับนาม ศึกษาทุกอย่างที่เรียกว่าวิญญาณ แจกวิญญาณออกเป็นรายละเอียดของเจตสิก ไม่ต้องเอาไกลหรอกเอาแค่เจตสิก 108 คือจากเวทนา แล้วก็จับประเด็นสำคัญก็คือ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป เพราะฉะนั้นดับทุกข์ก็ดับตรงไหน ดับเหตุคือความโง่ ดับเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ไม่ใช่ไปดับทุกข์เฉยๆ พวกนักสะกดจิตคือดับแต่ทุกข์ดับอาการทุกข์ ไม่เอาๆๆ เอาแต่ความสงบ สงบของเขาก็ช่าง บื้อๆ แบบสะกดข่ม ไม่ได้หาเหตุของมันด้วยปัญญาอันยิ่ง นี่คือพวกหลับตาสะกดจิตหรือพวกสะกดจิตลืมตาก็ตาม แม้ว่าสะกดจิตลืมตาก็ไปหลงความใส อภัสรา เหมือนอย่างกับสายธัมมชโย สายที่ไปทางมืด กิณหา คือ สายหลับตาทั้งหลาย เช่นของอาจารย์มั่น มีเยอะหลับตาไปทางมืด แต่ทางใส ก็พวกดื้อตาใส มันหลับตาแท้ๆก็บอกว่าใส ก็ไปสร้างอุปาทานว่า ใส โสดาบันก็ใสเท่านี้ สกิทาคามีก็ใสอย่างนี้ยิ่งกว่า อนาคามีใสยิ่งกว่า อรหันต์ก็ใสยิ่งกว่า เป็นการเนรมิตเอาเอง เป็นการสมมติเอาเอง เป็นการสร้างนิรมาณกาย หลงเองทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นสายที่นั่งหลับตาก็ดี หลับตานี่แหละ สายดำ สายหลับมืด เรียกว่ากิณหะหรือกัณหะ ส่วนสายลืมตามาสร้างความใสเรียกว่าอภัสรา มี 2 ชนิด เทวดาอาภัสรากับเทวดาสุภกิณหา กิณหา แปลว่ามืด ดำ ชั่วเลวด้วย ไปหลงความดำว่าเป็นดี คนถ้าจะทำให้มืด เราหลับตามืด ก็รู้ความมืดตามความเป็นจริงที่เราเจอ ตอนนี้จะมืดจะดับแสงสว่าง หลับดับ เพื่อจะได้หลับตา เพื่อจะไม่ต้องใช้ทวารสว่าง ทวารรู้ ทวารคิด หยุดหลับ ดับ ก็รู้อย่างดี สุภะ รู้ว่าเราจะทำดับ ในวิญญาณฐิติ 4 หรือสัตตาวาสตัวที่ 4 ก็รู้ว่า เราจะทำดับก็ทำความรู้จริงเราก็ทำดับนั้น เราเจตนา จะทำความมืดดับ ไม่ใช่ดับกิเลส แต่จะทำให้เกิดภพดับ หลับตาลงไปมันก็มืดถ่ายเดียว มันไม่มีแสงสีอะไรหรอก คนใด ยังหลับตาและมีแสงสีอยู่ ไปไหนที่มันมืดจริงๆหลับตาลงก็มืดถ่ายเดียว หากมีแสงสีแดงสีเขียวสีมืดสีน้ำเงินสีขาวอะไรวูบวาบอยู่ อุปาทานทั้งนั้น ยังหลงเหลือว่า มันต้องมีแสงสี ที่จริงแล้วไม่มีแสงอะไรหรอก อาโลกก็ไม่มี แสงตะเกียงแสงไฟฟ้าก็ไม่มี..คุณดับ คุณปิดม่านตาของคุณดับหลับปี๋ จะไปเห็นอะไร มันก็มืดอย่างเดียว เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อเจตนาจะหลับตาเพื่อทำจิต มืด เราก็รู้ว่าเราทำ เราต้องการดับพักมืดดำไปเลย เราก็พัก ก็น่ามีน่าได้น่าเป็นแล้วก็พัก สุภกิณหา หมายถึงเทวดา ถ้าเป็นเทวดาที่รู้ชัดเจน อยู่ที่เราเราเจตนาจะดับจะมืด เราก็กำหนดความมืดแล้วทำความมืดนั้นให้แก่ตัวเราเอง สำเร็จ มันก็ดีแล้ว ส่วนพวกที่อวิชชา ซ้อนอยู่ตรงนี้ อวิชชา เขาก็ต้องการความมืดอย่างไม่รู้ว่ามืดนี่แหละดี โดยเขาไม่รู้ว่าความมืดความดำ หลงว่า มืดนี่แหละคือนิโรธ คือการดับกิเลส เขาหลงผิด เป็นความเห็นผิดของเขา ส่วนฝ่ายสัมมาทิฎฐิรู้ว่าดับดำมืดก็ทำได้ทำให้แก่ตัวเองได้ดี ทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายสัมมาทิฏฐิก็ดับความมืด ทำความมืด ก็เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็ถูกแล้วก็ทำได้ตรง ส่วนคนที่หลงเป็นมิจฉาทิฎฐิ เขาก็นึกว่าได้นี้นิโรธ สุภะทั่งคู่ น่าได้น่ามีทั้งคู่เป็น ความดับความมืดเท่านั้นไม่ใช่การดับกิเลส อันนี้แหละกายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน ทั้งสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิคู่นี้ มันอยู่ที่มิจฉากับสัมมาก็ต่างกันแล้ว เขากำหนดเหมือนกัน แต่มันไม่เหมือนซ้อนอยู่ในนั้นว่ามิจฉาทิฏฐิมันเป็นนิโรธที่มีกิเลส แต่สัมมาทิฏฐิรู้ว่าไม่ใช่นิโรธ แต่เป็นความมืด เทวดาชั้นที่ 4 จึงลึกซึ้งกว่าเทวดาชั้นอาภัสรา อาภัสราก็ใสเฉยๆ แต่คนที่ใส ต่างคนต่างใส มันไม่ใสเหมือนกันหรอก ใสของใครก็ใสของมัน ยังเป็นสัตตาวาสระดับที่ 3 อาภัสรา เขากำหนดอย่างเดียวกันคือ ใส สัญญาต่างกัน แต่ว่า กาย ที่เขาได้ อย่างเดียวกัน สัญญาที่เขากำหนดในจิตคนละคนของใครของมัน คนละใส แต่กาย เขาบอกว่ารูปนามต้องเอา ใสๆๆ ตามสัญญากำหนด เขาก็ใสของใครของมัน แต่มันคนละใส มันไม่ใช่ใสตรงกัน มันอย่างกับลืมตา เห็นใสขนาดนี้ เช่นน้ำใส เอาไปแยกธาตุดูได้มีธุลีเท่าไหร่ ตรงกันได้ แต่นี่มันต่างกันคนละภพของใครของมัน นี่คือลักษณะของสัตตาวาสข้อที่ 3 กับข้อที่ 4 นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ สมณะฟ้าไท…ฟังถึงโจรถูกฆ่า โจรคนนี้ถ้าพูดเป็นอมตะก็ได้ใช่ไหม…ไม่ตาย ถ้าพูดเป็นมิจฉาสุดแสนจะด้าน มันน่าจะส่งไปรบฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่ตาย น่าจะส่งไปรบอยู่ชายแดนคนเดียวแทนทหารทั้งหมดเพราะฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่ตาย อย่างเราฟังธรรมพ่อครูอธิบายเรื่องหลับตากับเรื่องลืมตา มันจะมีภาวะที่ใช้ภาษาเดียวกัน แต่เจตนาคนละอย่าง วิญญาณาหาร อย่างพิสดาร พ่อครูว่า…วิญญาณอาหารเรียนรู้ด้วยรูปและนาม ถ้าไม่รู้รูปนามกำหนดภาวะ 2 นี่แหละเรียนรู้ วิญญาณเป็นธาตุรู้รวมทั้งหมดไม่ว่าเป็นเทวนิยม ไม่ว่าเป็นอเทวนิยม ก็ใช้คำว่าวิญญาณเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าภาษาหนึ่งเป็นภาษาบาลี ส่วนภาษาฝรั่ง ชาติอื่นๆในเทวนิยมต่างๆ หรือแม้แต่ภาษาทางด้านตะวันออกกลางก็แล้วแต่ เขาก็ใช้ภาษาของเขาก็คือวิญญาณ ธาตุรู้ นี่แหละ ธาตุรู้ ตัววิญญาณ เป็นที่รวมทั้งหมดเลยทั้งด้านเทวนิยมเขาว่า ผู้รู้วิญญาณก็คือพระเจ้า God ซึ่งเทวนิยมเป็นรากฐานเดิมที่เขายึดถืออันนี้อยู่แต่ไหนแต่ไร และเขาไม่แยกแยะเป็น 2 แยกไม่ได้ห้ามแยกด้วย อย่าไปแยกเป็น 2 นะ พระเจ้าองค์เดียวนี้แยกเป็น 2 ไม่ได้ พระเจ้าเป็นหนึ่งเท่านั้น พระเจ้าของเทวนิยมแต่ละองค์ ของข้าก็หนึ่ง ของคนอื่นก็ 1 ใครมาแยกของข้าก็ไม่ได้ก็เลยต่างคนต่างแย้งกันอยู่ มันก็เลยมีหลายหนึ่ง ก็เลยหลายทะเลาะกัน แย้งกัน ไม่รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้จริงๆ ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า สัจจะ มีหนึ่งเดียว ลงท้ายก็คือ สัญญา ย นิจจานิ สัญญากำหนดหมาย ว่าเที่ยงแท้แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงเลยในโลก พวกนี้ไปยึดถือผิดก็ได้ยึดถูกก็ได้ สองอย่าง พุทธเจ้าตรัสไว้ใน จูฬวิยูหสูตร สัญญาเป็นได้ทั้งสัมมาและมิจฉา ถ้าสัมมา กำหนดสัญญาว่าเที่ยงได้ในโลก แต่โดยที่ท่านไม่ได้ยึดถืออะไร จะมีความเที่ยงและจริงอย่างเดียวกันคือผู้ที่บรรลุอรหันต์ ปฏิบัติโดยมรรคมีองค์ 8 หรืออริยสัจ 4 ด้วยกันบรรลุด้วยกันเท่านั้น ที่จะไม่มีอะไรแย้งกันเลย ในความเป็นหนึ่ง สัจจะมีหนึ่งเดียวกันไม่มี 2 นอกนั้นแย้งกันหมด อาตมาถึงทำไมแทงด้วยหอกร้อยเล่มไม่ตายสักที อาตมาพูดมา ใกล้จะถึง 51 ปีแล้ว บวชมา 51 ปี หอกมันยังไม่ถึงร้อยเล่มนะ อาตมาต้องลากสังขารไปอีก 49 ปี เป็นอย่างน้อยจึงจะครบ 100 เล่ม ถ้า 300 เล่มมันไม่ไหวนะ เอาล่ะพอสู้นะ ให้มันครบ 100 เล่มก็อีก 49 ปีก็ได้แล้ว ตอนนี้ 87 ปีบวกอีก 49 ปีเป็น 136 ปีอายุ 136 ปี ถ้าจะครบ 100 เล่ม น่าจะชาคริยาตื่นเบิกบานกันมานะ ลองดูนะ อายุอาตมา 136 ปี ก็คงจะเป็นได้ ก็อยู่ดูกันด้วยกันนะ อย่ารีบไปไหนนะ นี่พูดแล้วก็พูดอีก สุด ทำไมถึงได้ยึดมั่นถือมั่นเหนียวแน่นกันว่าหลับตาๆๆนะ มันไม่ง่ายเลย ไม่มีรูปไม่มีนามไม่มีสภาวะ 2 สะกดจิตเป็นหนึ่งเดียวมันจบเห่เลย มันไม่ถูกธรรมะพระพุทธเจ้า ต้องมาเรียนรู้สภาวะ 2 ตลอดเวลา ทเวธัมมา ต้องเรียนรู้ในสอง โดยเฉพาะกรรมฐานคือเวทนาจะต้องมีผัสสะจึงมีฐานที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ วิญญาณฐีติ คือ วิญญาณเกิดในขณะที่มีที่ตั้ง ทางตาหูจมูกลิ้นกาย มีที่ตั้งแล้วก็มีองค์ประกอบ ตาก็จะเกิดเรื่องรูป หูก็เป็นเรื่องของเสียง จมูกเรื่องกลิ่น ลิ้นเรื่องรส กายกระทบสัมผัส แต่นี่ไม่มีที่จอดไม่มีที่ลงไม่มีที่ไป เป็นสัมภเวสี น้ำมันไม่หมดสักที ลอยไป ใช้น้ำมันอะไร บินอยู่ได้ ลอยอยู่ได้ไม่รู้จักหาที่จอดที่ลง ก็เลยพูดกันไม่รู้เรื่องปฏิบัติไม่ได้ แต่เขาก็ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่นั่นแหละ อาตมาแจก จรณะ 15พอมาถึงอปันกธรรม 3 ก็ต้องปฏิบัติ 3 อย่างนี้ เป็นข้อปฏิบัติ 3 อย่าง ถ้าไม่มี 3 อย่างนี้เป็นการผิดจากศาสนาพุทธ ก็บอกอยู่แล้วตรงๆ อะไรจะไปทางด้านหน้าทุกอย่าง จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นพุทธคุณ 9 อย่างนะ วิชชาจะระณะสัมปันโน เป็นพุทธคุณ เป็นเนื้อแท้ของศาสนาพุทธเลย นอกนั้นอีก 8 ชนิดนั้นเป็นคำชมเชยยกย่องพระพุทธเจ้านะ ในพุทธคุณ 9 ท่านเป็นอรหันต์ เป็นภะคะวะโตเป็นสารถีผู้ฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่าง ไม่มีใครยิ่งกว่า ตัวทฤษฎีเนื้อแท้คือจรณะ 15 วิชชา 8 ปฏิบัติจนถึงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ในกระบวนการของจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นกระบวนการของศาสนาพุทธที่ครบถ้วนเลย แม้ตัวแรกก็มีศีลเป็นตัวตั้ง คุณก็ไม่เอา ทิ้งไปเลยศีล ไปหลับตาปฏิบัติแล้วศีลจะบริสุทธิ์เอง เก่งเกินพระพุทธเจ้า ไม่ลืมตามีข้อ 1 2 3 เลย ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ สัตว์มันก็อยู่ส่วนสัตว์เราก็หลับตาไป ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับของกับพืช เราจะไปยุ่งกับมันทำไมเราก็หลับตา ถึงเวลาก็ตื่นมากิน กินมังสวิรัติด้วยนะ กินพืชด้วย ไม่กินสัตว์ด้วย อะไรอย่างนี้ คือแหม มันเลี่ยงไปหมด ยิ่ง ตาหูจมูกลิ้นกาย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็ไม่มีแล้ว ปิดตา ดับหู จมูกไม่เกี่ยว ดับแล้วจบแล้ว มันดับเอาง่ายๆอย่างนี้เหรอ ดับไม่รับรู้แล้วบอกว่าจบ เขาเข้าใจอย่างนั้นยึดถืออย่างนั้นจึงพูดกัน เมื่อไหร่จะคลายความยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้สักทีนะ อันนี้พูดไปอาตมาก็ยิ่งเห็นตัวเองเลยว่า เออ เราเกิดมาปางนี้ชาตินี้ มันมีวิบากที่จะต้อง อย่างไรเราจะต้องทำให้เขาเข้าใจ ให้เขาเห็นชัดเจนได้ อ๋อ อย่างนี้หรืออย่างโพธิรักษ์ อ๋อ เป็นสัตบุรุษจริงนะ เมื่อใดผู้ที่เขาเห็นว่า อ๋อ เราลบหลู่มานาน โพธิรักษ์ เป็นอสัตบุรุษมาทำลายศาสนา เป็นคนวิปริตมาทำลายศาสนา พอผู้นี้ได้สำนึกเมื่อไหร่ ก็จะเกิดความละอายอย่างแรงกล้า จะต้องเข้าไปคารวะเคารพอย่างแรงกล้ากับสัตบุรุษ ในอนาคต เมื่อใดก็เมื่อนั้น ถ้าเขารู้ว่าเป็นสัตบุรุษ พูดไปแล้วเหมือนอาตมาไปโฆษณาตัวเองว่าเป็นสัตบุรุษ แต่อาตมาพูดสัจจะทุกคำ ไม่ได้มาโฆษณาตัวเอง พูดความจริงทุกคำ ยืนยันได้ว่าอาตมาเอาที่มีหลักฐานยืนยันคือพระไตรปิฎกเล่มนี้ โชคยังดีที่ว่า หมู่ใหญ่ของเถรวาทเราก็รับรองพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี่เหมือนกัน แม้จุฬาฯแม้มกุฏ ก็รับฉบับสยามรัฐนี่ไป แต่แปลคนละสำนวนไป มันก็ต่างกันได้ เพราะต่างไม่ใช่อรหันต์ก็แยกเป็น 2 เมื่อเป็นอรหันต์ทั้งคู่จะไม่แย้งเลย ก็เอาสัจจะก็แล้วกัน อาตมาก็พยายามมารวม หาว่าอาตมามาแยกอีก เขาหาก็แล้วไป ไม่จริงก็เป็นอย่างนั้น สรุปตรงที่ว่าคำว่าวิญญาณจะต้องมีเทวะมีนามรูปมี 2 คือ จะเป็นภายนอกภายในจะเป็นกายเป็นจิต ก็เป็น 2 ทั้งนั้น โดยให้มีสภาวะ 2 อย่างแล้วกำหนดรู้ จะเป็นมิติใด นัยยะใด เอามาเทียบกันหมดด้วย 2 นี่แหละ คำว่าเทวะ ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะฉะนั้นเมื่อแยก 2 ออกมา และเปรียบเทียบกันไปตั้งแต่ต้นจนสุดท้ายก็จบด้วย 2 หากคุณไม่ทำอย่างนี้ คุณนึกเลยว่า 1 เลย 2 ไม่ได้ ห้ามแยกห้ามเปรียบเทียบ ก็จะเป็นเทวนิยมยึดถืออย่างเดียวตลอดกาลนิรันดรอย่างที่เป็นอยู่ ทีนี้ คนที่เป็นหนึ่ง ยึด 1 นิรันดรคือคนที่ไม่ค่อยรู้ หรือไม่รู้จริงๆคือ อวิชชา ที่แปลเป็นไทยว่ายังโง่อยู่ ก็จึงเป็นคนอย่างนั้น เพราะเราจะต้องโง่ก่อนมาฉลาด เป็นธรรมดาธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก จะมาฉลาดกว่ายังไม่ได้ คนเป็นสัตว์เดรัจฉานตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวมันก็โง่มาทั้งนั้น จนกว่าจะมาเป็นสัตว์มนุษย์ จากสัตว์มนุษย์จึงเจริญเป็นเวไนยสัตว์ ศึกษาได้สอนได้เรียนได้ เจริญไปเป็นอริยะ จนเป็นพระอรหันต์ จนเลยจากพระอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์ ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 ระดับ 8 จนถึง 9 ถือว่าสูงสุด นัยยะสังขยาเลข เลข 9 ถือว่าสูงสุด ถ้าเราเข้าใจอย่างที่อาตมาว่านี้ ก็วิญญาณเป็นแกนของธาตุรู้ทั้งหมด ต้องแยก 2 เป็นนามรูป ถ้ารู้นามรูปแยกนามรูปเป็น ตัวหนึ่งคือสิ่งที่ถูกรู้ ถูกรู้ตั้งแต่เป็นวัตถุเป็นอุตุธาตุ จนถูกรู้มาเป็นสิ่งที่เป็น พีชะ เป็นสิ่งที่เป็น ชีวะแล้ว จนถูกรู้ด้วยจิต เป็นชีวะที่ครบ 3 เส้า ถ้าพืชก็เป็น 2 เส้า มีแต่สัญญากับสังขาร จิต ของพระพุทธเจ้า สูงกว่าพีชะเป็น 3 เส้า มีเวทนา สัญญา สังขาร 3 เส้า เป็นนามเจตสิกของวิญญาณซึ่งมีคู่ก็คือรูปอยู่นั่นเองเป็น 2 รูปกับนามอีกเป็น 3 เจตสิก 3 วิญญาณเป็นประธานขององค์รวมของเจตสิก 3 แล้วก็กระจายเจตสิก 3 ไปทำงานทั้งหมด สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ เวทนาเป็นตัวมาพิจารณา ก็เอาสังขารนี้มาแยกแยะให้เรียนรู้สังขารทั้งหมด จบอภิสังขารทั้งหลายแหล่ ทำให้เกิดสังขารที่สมบูรณ์ มันจะปรุงแต่งอย่างไรก็รู้ว่า อนุโลมหรือว่ายอม มันต้องปรุงแต่งอยู่ตราบที่เรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน อย่างเก่งก็อนุโลม ทำเป็น1 ทำเป็น 2 ได้ ทำเป็น 0 ได้ นี่ใช้สังขยาเลข สามารถที่จะทำได้จริงคุณก็อาศัยสิ่งที่จริงพวกนี้อยู่ในชีวิต อรหันต์ต้องทำอย่างนี้ได้ เพราะฉะนั้นก็มีตัวหนึ่งอาศัย จะปรุงเป็น 2 เป็น 3 เป็น 4 เป็น 5 จน Infinity นับไม่ถ้วนก็ได้ สรุปลงมาเป็น 0 ก็ได เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ ทำ 1 เป็น เป็นหลากหลายเท่าไหร่ก็ได้ ทำหลากหลายให้เป็นหนึ่งก็ได้ เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ไม่ใช่เป็นเนรมิตคน อันนั้นก็เป็นบุคลาธิษฐาน เวลาไปชุมนุม คุณก็ไปเนรมิตคนขึ้นมา เป็นพันคน จากคนเดียว คนไปชุมนุม 100 คน ก็ได้เป็นล้านคนเลย เก่งจะตาย ก็ไปทำสิ ถ้าสร้างวิชชาพวกนี้ ชุมนุมชนะ เป็นการพูดเล่นไปซะอีก พระพุทธเจ้าสรุปวิญญาณนั้นให้เรียนรู้นามรูปชัดเจนแยกเป็น 2 ได้และก็เป็นตัวหลักของรูปนาม จะเรียนรู้อะไรก็ใช้รูปนามเป็นหลัก วิญญาณก็มีนามรูปเป็นปัจจัย ในปฏิจจสมุปบาท แยกภาวะ 2 ให้ออกแล้วก็เรียนรู้วิญญาณ จะเรียนรู้สังขาร จะเรียนรู้เวทนา ก็เรียน จนกระทั่งแยกตัณหาออกได้ ตัณหากับอุปาทาน เป็นคู่นึง ตัณหาคือตัวเคลื่อน อุปาทานคือตัวStatic ตัวนิ่ง ตัณหาเป็นตัวเคลื่อน ดับตัณหาก็เท่ากับดับอุปาทาน ก็ดับอุปาทานก็เท่ากับดับตัณหา แต่ว่าดับอุปาทานมันยากกว่า ก็เหมือนกับดับทุกข์ดับทุกข์ดับเหตุแห่งทุกข์ง่ายกว่าดับสุข ดับเหตุแห่งทุกข์มันยากกว่าชั้นเดียวกัน ก็เป็นผู้รู้ควรว่าทำอะไรก่อน นามรูปก็เป็นเทวะ กายกับจิตก็เป็นคู่หนึ่งที่เป็นเทวะ กายกับจิตนี่แหละ แยกกายกับจิต เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก เพราะในจิตแยกแยะเป็นเจตสิกต่างๆมากมาย กาย แยกเป็น 2 ทีละ 2 ๆ ง่าย กาย แยกทีละ 2 เพราะฉะนั้น 2 คู่ที่สำคัญตัวหนึ่งก็คือกาย ตัวหนึ่งก็คือจิต กายคืออย่างไร จิตคืออย่างไร อันนี้แหละลึกซึ้งที่ยากที่สุดที่จะรู้ จิตก็ยังพอรู้ แต่กายนี่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ที่เบื่อหน่าย กาย นั่นมันง่าย แต่อาตมากำลังอธิบายว่า กายนี่แหละรู้ได้ยาก ถ้ามาเรียนรู้จิต จะเอาเป็น 2 โดยไม่เริ่มต้นตั้งแต่ กาย ปิดประตูเลย ไม่เริ่มต้นโดยลำดับเบื้องต้น กาย เป็นต้น เพราะฉะนั้นพวกหลับตานี้ปิดประตูเลยเลิก เหมือนจะเข้าไปทะลุในภูเขาในกลางภูเขา คุณไม่ได้ถ้ารู้จักนอกพวกเขาก่อนแล้วก็ค่อยๆไชเข้าไปถึงภายในกลางภูเขา คุณก็ได้อย่างเดียว เล่นอิทธิปาฏิหาริย์หายตัวแว๊บเข้าไป ก็ไม่ต้องพูดกันแล้ว คนละเผ่าคนละเรื่อง ไอ้นั่นเป็นอิทธิปาฏิหาริย์เป็นเดียรถีย์เดรัจฉานวิชา ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่เอาเรื่องแบบนี้ มันพิสูจน์ร่วมกันไม่ได้ แล้วมันก็ไม่หมดเรื่องของทุกข์สุข อย่างนี้ต่อให้คุณหายตัวเข้าไปในนั้นได้จริง มันก็ไม่จบความที่จะปรินิพพานเป็นปริโยสานได้เลย คุณก็จะวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนี้อยู่ อย่างเก่านี่แหละ ดีไม่ดีก็จะหลงปาฏิหาริย์ของตัวเอง หลงจริงๆนะ เพราะคุณไม่ได้เรียนรู้กิเลส ลดกิเลส ตั้งแต่เบื้องต้นคุณก็ไม่ได้ลด คุณได้แต่เอาเก่ง ก็เหมือนคนเก่งใน ลาภยศสรรเสริญ ทุนนิยม เก่งในอำนาจบาตรใหญ่ มันยากเลย จะไปลด ให้เขาเลิกไม่เป็นใหญ่เป็นโตไม่มีอำนาจบาตรใหญ่ มันยากมากเลย อันนั้นมันยากมันไม่จบ คุณจะไปแก่งแย่งอันนั้น ที่จริงแล้วคนทั้งหลายแหล่น้อยกว่าน้อยนัก ที่ไม่ทะเยอทะยานอยากจะเป็นใหญ่มีอำนาจแบบนั้น น้อยกว่าน้อยนักที่จะไม่ทะเยอทะยาน เพราะฉะนั้นพวกที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะนี้ทะเยอทะยานอยู่ไม่รู้จบทั้งนั้น ชาติหน้าก็ลืมแล้ว ทะเยอทะยาน ถ้าผู้ที่ทะเยอทะยานสร้างกุศลไว้กุศลจะช่วยให้คุณทะเยอทะยานได้ เสร็จแล้วถ้าคุณสร้างกุศลได้อีก ชาติต่อไปคุณก็จะทะเยอทะยานได้ยิ่งกว่าเก่า ถ้าคุณสร้างอกุศล อกุศลจะทำให้คนทะเยอทะยานไม่ออก มันเหน็ดเหนื่อย มันก็จะลดทอนกำลัง เพราะฉะนั้นคนที่สร้างอกุศล สร้างกุศลได้ไม่เก่ง ได้กุศลบ้างอกุศลบ้าง ไม่นานก็จะเบื่อ ไม่นานก็หาทางออก ถ้าทางออกอย่างโลกีย์ ก็ได้แต่สร้างกุศลอย่างเดียวกัน อย่างเดียวเท่านั้น ก็สร้างกุศล สูงสุดก็ได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งในทางเทวนิยม เท่านั้นเอง เสร็จแล้วไม่เที่ยง คุณจะต้องวนเวียนกลับไปในวัฏสงสาร ถ้าล้างกิเลสเป็นลำดับๆ มันจะไม่วน มันไม่มี 2 มันทำลาย 2 ให้เป็น 1 ได้และเป็น 0 ได้ ไปหา 0 ได้สำเร็จ ทำ 4 ให้เหลือ 2, ทำ 2 ให้เหลือ 1, ทำ 1 ให้เหลือ 0 อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นรู้ตามพระพุทธเจ้านี่แหละ เรื่องวิญญาณนี้ เริ่มต้นด้วยนามรูปอย่างถูกต้องสัมมาทิฏฐิ คุณก็ไม่ต้องเรียนอะไร ถ้าคุณยังไม่รู้อันนี้อย่างบริบูรณ์ คุณก็เป็นคนที่ทำลายศาสนาเป็นโจรที่ฆ่าไม่ตาย ฆ่าเช้าหอกร้อยเล่มก็ไม่ตาย ฆ่าเย็นหอกร้อยเล่มก็ยังไม่ตาย ปล่อยให้ถูกคนฆ่าไปอีก กี่ล้านๆเล่มก็ว่ากันไป ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจเป็นปากเปิด ฆ่าเช้ากลางวันเย็นก็ไม่ตาย มี 3 กาละนี้ ยามเช้า ยามเที่ยง ยามเย็น เท่านี้แหละ ก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ว่าฆ่าไม่ตาย ปากกรวยบานไม่รู้จักจบ หากคุณจะเอาไม่รู้จักจบก็ว่ากันไป เป็นนิรันดร คุณก็เป็นอย่างนั้น ฆ่าไม่ตาย เป็นโจรที่ถูกฆ่าไม่ตาย นิรันดร ใครจะเอายกมือขึ้น เป็นโจรที่ไม่แก้ไขเลย จะเป็นโจรให้หนักมากขึ้น นิรันดร ยกมือขึ้น ….ใครมันจะเอา แต่ไม่เอาก็อย่าโง่ เลิกโง่เสียที นะ อาตมาถึงบอกว่าเมื่อไหร่เขาจะลืมตาได้ ถ้าเผื่อว่าพวกนั่งหลับตานี้นะ โดยเฉพาะอาจารย์ใหญ่ๆ เป็นหัวหน้าเผ่า พระพุทธเจ้าท่านสอน หัวหน้าชฎิล 3 พี่น้องก็ได้บริวารทีละ1,000 พรวดๆ ก็มาเป็นปฏิภาคทวี แต่อาตมาไม่มีบารมีขนาดนั้นพยายามไปหาเผ่าไหนเขาก็ไม่รับ หน้าไม่หล่อ พ่อไม่รวย ยศศักดิ์ไม่มี อาภัพจริงๆ แต่ไม่เป็นไรหรอกอาตมาสู้ อาตมาไม่ถดถอย เพราะอาตมารู้ความลงตัวว่า เออ เราจะต้องอุตสาหะวิริยะ มันไม่ขาดทุนหรอกนะ อาตมาไม่ขาดทุน อุตสาหะวิริยะ แม้จะเหน็ดเหนื่อยอย่างไร และพยายามฝืนสังขารร่างกายให้มัน อย่าเพิ่งตายๆ พยายามอยู่นี่ ก็พยายามจริงๆ ไม่ใช่พยายามเล่นๆ ก็ต้องพิสูจน์ว่าความพยายามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราจะอายุเกินกว่า 100 หรือเกินกว่ากัป ก็ได้อานนท์ เรื่องจริง อาตมามาชาตินี้ปางนี้ ขอพิสูจน์ว่า ได้ เพราะอาตมาพูดจริงว่า อายุขัยของอาตมาหมดไปนานแล้ว ผ่านไป 1 นักษัตร ตอนอายุ 72 ปีจะต้องตาย แต่นี่ 84 ปีแล้วเพิ่งได้นักษัตรเดียว นี่เลย 84 ปีมา 3 ปีเอง ถ้าไป 96 ปีก็เป็น 2 นักษัตร อาตมาจะพยายามแข็งแรงไปให้ถึง 96 ปี มันจะแข็งแรงไปขนาดไหน ตอนนี้ห้องที่เขาพยายามตกแต่ง ให้อาตมาเป็นห้องออกกำลังกาย มีเครื่องมือออกกำลังกาย ยังขนมาไม่หมดนะ ให้อาตมาออกกำลังกายเพื่ออายุยืนยาว คือ คนไม่อยากให้อาตมาตายจริงๆ ก็พยายาม สนองศรัทธา พยายามทำเท่าที่ควร ทางบ้าน หากเห็นอาตมาออกกำลังกายอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เข้าใจเจตนาก็แล้วกัน อาตมาไม่ได้อยากมีเจตนามีร่างกายให้ไปแข่งนักกล้ามหรือแข่งเป็นนักมวย มีพันชิ่งบอลกระโดดฟุตเวิร์ค เขาพยายามให้ภาพเล็ดลอดออกไป แต่ถ้ามันเล็ดลอดออกไปอาตมาก็เพียงเจตนาให้อายุขัยมี 8 อ. ที่สมบูรณ์ ออกกำลังกาย ต่างๆนานาพวกนี้ เป็นการเสริมร่างกายให้มันได้ทั้ง รูป วัตถุ ทั้งดินน้ำไฟลมในร่างกาย ทั้งพลังงาน พลังงานที่จะช่วยเอามาสังเคราะห์สังขารดินน้ำไฟลม ให้มัน fresh up ให้มันสดใสเจริญงอกงามขึ้นได้เรื่อยๆ ให้มันเจริญก้าวหน้า อาตมาพยายามจริง ไม่ได้พยายามให้ได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ไม่ใช่ แต่พยายามเพื่อจะมีสังขารร่างกายขยายธรรมะ ทุกวันนี้ก็พยายามขยายธรรมะให้ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปอีก พวกคุณก็ตั้งใจฟัง บรรยายรอบไหนก็เต็มห้อง นอกจากจะติดงาน ถ้าไม่ติดงานก็จะเต็มห้องอย่างนี้ ทางบ้านก็จะมีด้วย มีมากมีน้อยก็แล้วแต่ ทุกวันนี้มั่นใจว่า จุดหมายปลายทางของกระแสสังคมโลกเข้ามาแล้ว ดูสาระธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่หลงตัวเองหลงพระพุทธเจ้า แต่อาตมาว่ามันเป็นสัจจะที่จริง ก็ต้องขออภัยทางอเทวนิยม อเทวนิยมมีพระพุทธเจ้าองค์เดียวจริงๆ โดยที่ท่านไม่บอกนะว่าท่านเป็นหนึ่ง แต่เทวนิยมนั้นแยกพระเจ้ามากมาย เทวะจะมีนิกายมากมายจนกระทั่งไม่นับนิกายกันเลย เรียกว่าอย่าเจอกันนะ ถ้าหากเจอกันก็จะฟาดฟันกัน ซึ่งมันผิดไปหมดแล้ว คนเราจะไปฟาดฟันกันทำไม ช่วยกันต่างหาก ไม่มีฟาดฟันกันมีแต่ช่วยกัน เขาเป็นศัตรูเราเราก็ช่วยให้ศัตรูเจริญได้ดีๆ โดยเฉพาะให้จิตของเขาเป็นสัมมาทิฏฐิให้ได้ ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิแล้วก็จะไปได้ ถ้ายังไม่ สัมมาทิฏฐิ ก็ต้องช่วยกันให้เกิดสัมมาทิฏฐิ เหมือนอย่างที่อาตมาช่วยพวกหลับตาให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ กลุ่มมาก กลุ่มที่หนัก อาหารตัวที่ 3 คือ มโนสัญเจตนาหาร [๒๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มโนสัญเจตนาหารจะพึงเห็นได้อย่างไรเหมือนอย่างว่า มีหลุมถ่านเพลิงอยู่แห่งหนึ่ง ลึกมากกว่าชั่วบุรุษ เต็มไปด้วยถ่านเพลิง ไม่มีเปลว ไม่มีควัน ครั้งนั้นมีบุรุษคนหนึ่งอยากมีชีวิตอยู่ ไม่อยากตายรักสุข เกลียดทุกข์เดินมา บุรุษสองคนมีกำลังจับเขาที่แขนข้างละคนคร่าไปสู่หลุมถ่านเพลิง ทันใดนั้นเอง เขามีเจตนาปรารถนาตั้งใจอยากจะให้ไกลจากหลุมถ่านเพลิง ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเขารู้ว่า ถ้าเขาจักตกหลุมถ่านเพลิงนี้ ก็จักต้องตายหรือถึงทุกข์แทบตาย ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่าพึงเห็นมโนสัญเจตนาหาร ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดมโนสัญเจตนาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ตัณหาทั้งสามได้แล้ว เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ตัณหาทั้งสามได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ พ่อครูว่า…บุรุษ 2 คนที่จะช่วย แทนที่จะดึงขึ้นมาจากหลุมถ่านเพลิง ดันคร่าฉุดให้ลงหลุมถ่านเพลิงไปอีก คือโง่ด้วยกันทั้งคู่ พวกเขามีเจตนาปรารถนาตั้งใจจะให้ไกลจากหลุมถ่านเพลิง ก็อยากจะหนีจากหลุมถ่านเพลิง เจตนามี 3 กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา … สำหรับการเรียนรู้เจตนาหรือมโนสัญเจตนา ก็เรียนรู้ตัณหา 3 นี่แหละ จะลึกซึ้งซับซ้อนอยู่ที่วิภวตัณหา มโนสัญเจตนาเป็นจิตมุ่งหมายนี้ มันยึกยักซับซ้อนหลายชั้น ไม่อยากตกหลุมถ่านเพลิง วิ่งออก แล้วดันมี 2 คนดันลงไปอีกให้ไปลงหลุมถ่านเพลิง มันก็เลย 2 แรงกับ 1 แรง มันก็สู้ 2 แรงไม่ได้ ก็เลยต้องตกลงในหลุมถ่านเพลิง แล้ว 2 คนที่หลงผิดก็กระโดดลงไปด้วยกันเลยไม่รู้ว่าใครจะช่วยใคร นี่คือมโนสัญเจตนาหารที่พระพุทธเจ้าท่านยกอุทาหรณ์ขึ้นมา ไม่มีใครช่วยใครได้เพราะต่างคนต่างหลงผิดซับซ้อนด้วยกันทั้งคู่ แล้วก็เลยกอดคอกันลงหลุมถ่านเพลิงหมด ท่านก็เอาไว้แค่ 3 คน 2 คนช่วย 1 คน แต่เข้าใจผิดทั้ง 3 ลงหลุมถ่านเพลิงไป มโนสัญเจตนาของเขาก็คือจมไม่มีลอยเลย ถ้าคุณสามารถรู้ว่ามโนสัญเจตนาหารมี 3 กาม ภวะ วิภวะ 3 นี้เเท่านั้นเป็นจบก็เท่ากับไม่ต้องเรียนรู้อะไรอีก เรียนรู้แล้วแก้ไขปัญหาทั้ง 3 ให้หมดให้จบ ให้จบในความเป็นตัณหา ตัณหาแปลว่าความอยากความต้องการ มันก็ดำรงความต้องการอยู่นั่นแหละแม้จบแล้ว พ้น ไม่มีกามตัณหา ดับภวตัณหาหมดสิ้นคุณก็ไม่มีภพ 3 กามภพ วิภวภพ (รูปภพ อรูปภพ) คุณก็ไม่มีภพแล้วแต่คุณยังมีชีวิตไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานคุณก็ยังต้องมีภพอาศัยด้วยปัญญาอันยิ่ง คุณไม่ได้หลงภพ คุณมีภพ โดยไม่ต้องมีภพ วิ เป็นสิริมหามายาตัวยิ่งใหญ่ วิ เป็นวิเศษ กับ วิ ไม่ คุณก็อยู่กับภพ อย่างวิเศษ คำว่าวิภวตัณหา อาตมาเคยพูดว่าพระพุทธเจ้าท่านมีวิภวตัณหา คนจะเอาอาตมาตายหาว่าพระพุทธเจ้ามีตัณหา นี่คืออธิบายอย่างสิริมหามายา อย่างผู้ไม่ติดยึดในพยัญชนะ สภาวะที่บริบูรณ์แล้วไม่ได้ติดยึด ใครจะว่าอย่างไรเขาไม่เข้าใจก็จะแย้งเถียง หากเข้าใจอาตมาก็จะหยุด อย่างพวกคุณเข้าใจอาตมา อาตมาพูดโดยเข้าใจสัจจะ เพราะฉะนั้นใน จูฬวิยูหสูตร ไปอ่านเถอะ อันนี้ไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆ ไปอ่านให้ดีๆอ่านสัก 100 เที่ยวไปทำความเข้าใจให้ดีๆเลยพิจารณาให้ดีๆ อาตมาว่า 100 เที่ยวคุณก็ยังจะเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ คุณต้องมีสภาวะรองรับซึ่งจะเข้าใจได้ดี ผู้เข้าใจได้ดีก็มาอธิบายก่อน อาตมาเข้าใจดีนี่ไม่ใช่ดีที่สุดนะ แต่ดีที่ขนาดพอไหวนะ ใครจะมาดูละเอียดลออลึกซึ้งลึกล้ำยิ่งกว่าอาตมาก็มาช่วยหน่อยเถอะไม่มีปัญหาอะไร อาตมาจะรู้ อ๋อ พระโพธิสัตว์ผู้พี่มาช่วย ก็ประกาศอยู่ อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ เจาะกระเปาะไข่ออกมาได้ก่อนใครในยุคนี้ ก็ประกาศ คนไหนที่เป็นพี่จะมาช่วยอาตมาก็มาเลย แล้วอาตมาจะรู้ว่าเป็นพี่ แต่พูดที่ไม่ใช่พี่ก็ไม่มา ซื้อมาแล้วอวดตัวว่าเป็นพี่มาถึงก็ลองดูให้พวกคุณตัดสินก็ได้ ไม่ต้องเอาอะไรมากหรอกแยกแยะวิจัยวิจารณ์สภาวะกับพยัญชนะ เป็นเทวะชนิดหนึ่ง แยกแยะวิจัยอย่างอาตมาที่วิจัยตลอดมา มีหลักฐานยืนยัน ไม่ใช่ว่าพูดโดยไม่มีหลักฐานอ้างอิง อย่างนั้นมันก็เลอะเทอะไป แต่ที่มันมีหลักฐานอ้างอิง อาตมาก็ยืนยัน จนกระทั่งอธิบายในพยัญชนะ กะขะคะฆะงะ สาเหตุที่เกิดขึ้น ในแง่ของยาและสารอาหาร จนกระทั่งถึงเศษวรรค ก็ยังไม่ใช่ฐานที่พวกคุณจะเอาก่อน เอาสภาวะที่อยู่กับตัวก่อน สิ่งเหล่านั้นไปเอาทีหลังได้ พยัญชนะ ซึ่งอาตมาก็ยังไม่ใช่ว่าจะรู้เก่งไปหมดในพยัญชนะ แต่ก็รู้ได้พอสมควร สรุปตรงข้อที่ 3 เป็นเจตนา 3 ผู้ที่สามารถรู้ด้วยกามตัณหา ภวตัณหา ซึ่งเป็น 3 ภพ ภพ กาม ภพรูป กับอรูป หมดก็เป็นวิภวภพ ก็ใช้วิภวะ เป็นสิริมหามายา หมดแล้วแต่ก็มีอยู่ ไหนว่าหมดแล้ว แต่ก็อยู่เหนือมัน ก็อนุโลมปฏิโลมกับคนอื่นทำงานไป สมณะฟ้าไท…สรุปจบ Category: ศาสนาBy Samanasandin17 กุมภาพันธ์ 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:640215_รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 28NextNext post:640219_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยไทยดีที่สุดเพราะมีโลกุตระRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024