640212_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เรียนรู้ อาหาร ให้บรรลุถึง อรหันต์
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1fwlYE2IoSAFGicDG3x3S6El4DHVrSTn4XNlME3zFgTU/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1B86zN2aw0Hw_EcyuLgQmQ9dcGslmvKVE/view?usp=sharing
และยูทูปที่
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
วันนี้มีคนบอกเมนูอาหารอันหนึ่งมา ให้เดาว่าของใคร
รายการอาหารประกอบด้วย
1.ไก่ย่าง 130 บาท
2.ข้าวสวย 2 จาน 20 บาท
3.ข้าวเหนียว 20 บาท
4.กุนเซียงทอด 70 บาท
-
ไข่พะโล้ 40 บาท
6.ไส้อั่วมุนไพร 80 บาท
-
หมูปิ้งนมสด 5 ไม้ 50 บาท
8.หมูยอปิ้ง 2 ชิ้น 80 บาท
9.ขนมปังไส้ลูกเกด 56 บาท
-
ขนมปังไส้หมูหยอง 56 บาท
11.ถุงพลาสติกใหญ่ 16 x 26 4บาท
Total: 626.00 ผู้รับเงิน……12 ก.พ.64- หลังนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำม็อบราษฎรและผู้ต้องหาคดี 112 ถูกส่งเข้าเรือนจำ เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา ล่าสุดมีการแชร์ใบเสร็จรับเงินของร้านสงเคราะห์ผู้ต้องขัง เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ลงวันที่ 10 ก.พ. ชื่อผู้รับคือนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ แดน 2 ซึ่งกำลังรวมพลคนอดอยากมาประท้วงรัฐบาล
พ่อครูว่า…น่ามาอยู่ที่นี่นะ พ่อครูโชว์หอมใหญ่ มะเขือใหญ่ ให้ดู มะเขือเปาะใหญ่มาจากศีรษะอโศก แล้วหอมใหญ่ปลูกที่บ้านราชฯ อาตมาว่า เกี่ยวกับองค์ประกอบทุกอย่างดินน้ำไฟลม ที่ที่นี่นั้นแรกๆก็ไม่ได้ดีอะไร เป็นที่เขาทิ้งร้างไม่ได้เรื่อง แต่เมื่อเรามาอยู่แล้วทำให้มันดีขึ้น เมื่อปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารก็ใหญ่โตเหมือนมันแกล้งประชด เริ่มต้นกล้วยยังไม่ขึ้นเลย
นี่แหละ เราก็พูด ที่พูดนี้ไม่ใช่อะไร แต่มันออนซอน! ภาษาอีกสาน คือมันสุดชื่นชม ชีวิตเราก็อยู่กับ อาหาร 4
SMS วันที่ 10 -11 ก.พ. 2564
_เหนือ กาลเวลา : อยู่บ้านราชได้ทั้งเลือกกินและกินเลือก เพราะอาหารเยอะมากครับ..แม่ครัวบางท่านดุไปนิด แต่ก็ยอมรับได้..ทำอาหารอร่อย..?
พ่อครูว่า…ไม่ดุมันก็หมดง่ายสิ เท่าไหร่ก็ไม่เหลือสิ ดุหน่อยสิจะได้หมดช้าลง
กรรมฐานของพ่อครูต่างจากพระสงฆ์อื่นๆอย่างไร
_Aitthidet Suwanphot (อิทธิเดช สุวรรณโภชน์) : กราบนมัสการครับ ธรรมะรักษาโรค กรรมฐานของพระครู กับกรรมฐานของพระสงฆ์รูปอื่นๆ ต่างหรือเหมือนกันอย่างไรครับ
พ่อครูว่า…ถามมาเข้าเป้าเลย กรรมฐาน(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
กรรมฐานที่เอามาไม่ใช่อาตมากำหนดกรรมฐานแต่เป็นกรรมฐานของพระพุทธเจ้า ท่านตรัสเอาไว้เลยว่าไม่ใช่ฐานแห่งการปฏิบัติ ฐานแห่งการกระทำถ้าไม่มีเวทนา เวทนาเป็นกรรมฐานของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาพุทธ มีเวทนาเท่านั้นเป็นกรรมฐาน เป็นฐานของการปฏิบัติ
ที่นี้กรรมฐานของพระสงฆ์รูปอื่นๆ พระสงฆ์ใหญ่ๆที่เขาเป็นนักปฏิบัติเลยมีกรรมฐาน ออกก็จะไปยึดถือเอา ป่าเป็นกรรมฐาน ได้ออกป่าเป็นกรรมฐานโดย เดินลุยป่าดงเป็นกรรมฐาน ซึ่งออกไปเป็นเดียรถีย์ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ไม่รู้จะทำอย่างไรเขาจึงจะรู้ตัว เขาจึงจะเข้าใจว่าทำไมไม่เข้าใจอย่างนี้ได้ 2,500 กว่าปีออกไปนอกรีต 180 องศาเลยจากความเป็นพุทธ ออกนอกจากจรณะ 15 วิชชา 8
พระพุทธเจ้าปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ปฏิบัติฌาณ ปฏิบัติสมาธิ ปฏิบัติจิตจากกิเลส กิเลสต้องมีเหตุพร้อมองค์ประกอบพร้อมมีตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีเงินมีทองมีข้าวของ มีลาภยศสรรเสริญ มีสิ่งที่กระทบตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นเหตุเป็นปัจจัยชัดๆแท้ๆ อยู่ในปัจจุบันธรรม ทิฏฐกาละ เป็นกาลปัจจุบันกระทบกันอยู่ก็จะเจอของจริงที่เป็นกรรมฐานคือเวทนา มีฐานแท้แห่งการปฏิบัติ เป็นกรรมฐานคือเวทนา
เมื่อตากระทบรูปก็เกิดผัสสะเกิดเวทนาให้ปฏิบัติ ถ้าไม่มีกาย ไม่มีตากับรูปกระทบกันก็ไม่มีเวทนา ก็ไม่มีอะไรเลยที่จะพูดกันในโลกนี้ ไม่มีรูปไม่มีนามก็ไม่มีอะไรจะพูดในศาสนาพุทธ ศาสนานอกรีตก็เอาอะไรมาพูดเลอะเทอะ ไม่มีหัวใจของศาสนา ไม่มีเป้าที่จะปฏิบัติเลยมันเป็นอย่างนั้น
ที่อาตมาพูดไม่ใช่อวดดิบอวดดีอะไร ไม่ใช่พูดไปข่ม ไปดูถูก ไปว่า ไปตำหนิอะไรเขาเฉยๆเล่นๆ ไม่ใช่ เป็นเรื่องที่ต้องตำหนิ เป็นเรื่องน่าตำหนิที่ไปหลงใหลกันได้ถึงปานนั้นได้อย่างไร หลงใหล หลงผิด หลงเพ้อ หลงละเมอ หลงติดยึดกัน งมงายจนไม่รู้จะงมขึ้นมาได้อย่างไร ส่วนใหญ่นะน่าสงสารเลย
อาตมาเห็นเจตนาของท่านทั้งหลาย ต้องการเดินทางไปสู่ที่หมาย แต่หลงอยู่ในทางกันดาร
ทางกันดาร คือ “กันตารมัคคัง”
หลงอยู่ในทางกันดาร ซึ่งมันยิ่งกว่าเขาวงกต ยิ่งกว่าป่ารกชัฏ วนหลงอยู่ในนั้นไม่มีทางออก แล้วก็น่าเห็นใจนะ อยากจะออกอยากจะไปสู่ที่เจริญที่สูงสุดที่จบที่ดีคือนิพพาน และคนรู้จักนิพพาน รู้จักที่ออก รู้จักที่ออกจากทางกันดารนั้นได้แล้ว มาบอก เขาก็ว่า หรือ ไม่รู้ ยิ่งกว่ากามนิตที่พระพุทธเจ้าอธิบายธรรมะให้ก็ยินดี อันนี้ไม่ฟังเลยยิ่งกว่ากามนิต กามนิตฟังธรรมพระพุทธเจ้าทั้งคืนยังยินดีเลย แต่นี่ไม่ฟังเลย ตีทิ้งเลย หลงว่าที่ตัวเองปฏิบัติเป็นของพระพุทธเจ้าทำอย่างกับเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง มันเกินกว่าที่พระพุทธเจ้าท่านทำ มันไปไกลเกินกว่าที่พระพุทธเจ้าท่านจะคาดคิด หากพระพุทธเจ้ามาเกิดในยุคนี้ ท่านจะตรัสอย่างไร จะยกอุทาหรณ์อย่างไร อื้อหือ นี่ เป็นอย่างนี้จริงๆเลย อาตมายิ่งพูดยิ่งเห็นหลักฐาน ยิ่งเห็นคำจัดเนื้อหาสาระของพระพุทธเจ้า
กรรมฐานของพระพุทธเจ้ากรรมฐานของพระที่เขาหลงกันอยู่ ไม่เหมือนกันเลย ต่างกันอย่างไรเดี๋ยวจะได้อธิบายอีกหลายปี ยาวนาน
_เดชา อำพร : สม.กล้าฯยังยกยอแบบมีชั้นมีเชิงอยู่บ้าง แต่ฟังท่านฟ้าไทยกยอนี่ มันเหมือนได้ฟังรีวิวสินค้า -ไดเร็คทีวีของช่อง 3579 ยังไงยังงั้น(อะไรก็ดีไปโม้ดดด… หาที่ติไม่ได้เลย ถอดแว่นสีชมพูออกบ้างนะท่าน) มันช่างหวานเยิ้มหยดย้อยจนเลี่ยน เหมือนที่น้องชายของผู้นำอโศกเคยพูดกับผู้นำอโศกประมาณว่า ดีก็รู้ว่าดีอยู่หรอก(น้ำตาลก็รู้อยู่ว่าหวาน) แต่พูดบ่อยๆ(กินมากเกินไป)มันก็เลี่ยนก็เอียนได้เหมือนกัน ประมาณนี้ ดังนั้น ก็ขอให้ท่านฟ้าไทเพลาๆการยกยอปอปั้นครูอาจารย์ลงบ้างเถิดนะท่าน ช่วงเวลาอาหารเย็นพอดี เกรงว่าบางท่านที่อยู่ทางบ้านฟังแล้วเขาจะผะอืดผะอมได้นะท่าน ยังไงท่านก็ไม่ตกงานอยู่แล้ว ท่านเป็นตัวเอก(ใกล้จะได้เป็นตัวพระเอกแล้ว) ขาดท่านซักคน อโศกก็คงเริศร้าง,เหงาหงอย ขาดรสชาติของ”ผงชูรสฟ้าไท”ไปหมดก็เป็นได้
_ดินงาม นาวาบุญนิยม : ฟังเทศท่านทั้งสามแล้ว(ส.ฟ้าไท,ส.ด่วนดี,สม.กล้าข้ามฝัน)เห็นตัวเองเป็นอย่างนั้นเลยโดนทั้งซ้าย ทั้งขวาทั้งขึ้นทั้งลงจะลุกขึ้นยืนให้แข็งแรงให้ได้ขอบคุณค่ะ
_แก่นนวน มาลัยขวัญ : กราบนมัสการท่านสมณะ. ท่านสิกขมาตุมาด้วยความเคารพเจ่าค่ะ. เจริญธรรมสำนึกดีญาติธรรมค่ะ. ดิฉันมีวิภวตัณหาอยากอรหันต์อย่างพ่อครูค่ะ. เพราะแค่เรามาปฏิบัติธรรมตามท่านลดละกิเลส. โลภโกรธหลงได้บ้าง(เล็กน้อย). ก็เบาสบาย. ญาติธรรมท่านอื่นๆเห็นด้วยมั้ยค่ะ. งานพุทธาภิเษก. 21-27กพ.64 มาเข้าเรียนอรหันต์กับพ่อครูนะคะ. ดิฉันเข้าเรียนที่อวส.แก่นอโศก. 06.00น.ทำวัตรเช้า. ฟังธรรมจากพ่อครูทุกวัน. และถือศีลแปดตลอด7วัน. เตรียมพร้อมนะคะอีกไม่กี่วันค่ะ
_feelgood my (ฟีลกู๊ด มาย) : ท่านนี้เรียกภิกษุณี ได้ไหมครับบบ (สม.กล้าข้ามฝัน)
พ่อครูว่า…ไม่ได้ ..ผิดกฎหมายนะ อย่าไปเรียกเข้า เรียกไม่ได้ ให้เรียกสิกขมาตุ เป็นนักศึกษาหญิงทางพุทธศาสนานี่แหละไม่ใช่ภิกษุณี ภิกษุณีต้องมีวินัย 311 ข้อ ซึ่งเขาเรียกกันว่าศีล เขาว่าพระมีศีล 227 ข้อ ส่วนภิกษุณีมีศีล 311 ข้อ เขาเรียกกันเป็นศีลเลย ที่จริงเป็นวินัย
_คอยใคร : กราบเรียนถามครับ มีคนว่าถ้าทำงานวันตรุษจีน จะต้องทำงานเหนื่อยไปตลอดปี แต่ผมมองสวนกลับว่าถ้าผมได้งานวันตรุษจีนผมก็จะมีงานไปตลอดปีอย่างนี้ดีไหมครับ เพราะผมเดินตามชาวอโศกคือ ไม่ขี้เกียจ
ไม่มีผัสสะก็ก็ไม่มีเวทนาเป็นฐานให้ปฏิบัติ
พ่อครูว่า…มาต่ออาหาร 4
ท้ายข้อกวฬิงการาหาร ว่า เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้กวฬิงการาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณเมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณได้แล้ว สังโยชน์อันเป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีกก็ไม่มี ฯ
เมื่อผู้ที่กำหนดรู้ความยินดีเป็นเครื่องชักนำมาสู่โลก โลกนี้ อยังโลโก ที่หมุนเวียนในโลกโลกีย์ ถ้ากำหนดรู้ตัวกามฉันทะ เรียกว่าความยินดี ผู้มีฉันทะในกาม รู้ว่าตนเองยังมีฉันทะในกาม ซึ่งเกิดแต่ตาหูจมูกลิ้นกาย เบญจกามคุณ
เมื่ออาริยสาวกใด อาริยสาวก ไม่ได้หมายความแค่พระภิกษุ แต่ฆราวาสก็เหมือนกัน พุทธสาวกทุกองค์ ทุกคน ผู้ที่กำหนดความยินดีที่เกิดในเบญจกามคุณไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรยิ่งกว่านี้ที่จะกำหนดรู้ได้ยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว คำว่าไม่มีอะไรยิ่งกว่านี้ ภาษานี้ ไม่ได้หมายถึงว่าไม่มีแล้ว แต่ไม่มีสิ่งที่เกินกว่าจะกำหนดรู้อะไร การกำหนดรู้กาม
“กาม” เป็นคำใหญ่ เป็นความใคร่ใหญ่ในโลก โลกนี้ โลกโลกียะ ทั้งหมด ซึ่งในกามใหญ่ มีกามกลาง กามน้อยเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นเมื่อรู้จัก กามใหญ่ ก็จะได้รู้กามกลาง กามน้อยไปด้วย เพราะฉะนั้น กามกลาง กามน้อย มันอยู่ข้างใน แต่กามใหญ่ อยู่ข้างนอกเหมือนเปลือกไม้ คุณต้องถากเปลือกกระพี้ออกไปก่อน ก็จะหมดความยินดีกับกามนอกได้ แล้วจึงเป็นที่เหลือก็มาถากทำลายกามต่อไปอีก เรียกว่า รูปราคะก็ตาม แล้วจึงจะเหลือกาม ภายในเลย ก็ทำลายให้จนหมดจนหมดแก่น พระพุทธเจ้าต้องทำลายให้หมดเลย กามใหญ่ กลาง เล็ก หมดสูญเลย
ผู้ที่ศึกษาผิดไม่ทำตามลำดับอย่างที่ว่านี้ไปนั่งหลับตา เลยผ่านเข้าไปเลย ผ่านเข้าไปนึกว่า ตนเองเข้าไปอยู่ในกลางแก่นเลย เอาตรงนี้คือพวกมักง่ายมักได้ จะเอาเร็วๆ มักได้มักง่ายเอาเร็วๆ แล้วไม่มีปัญญารู้อะไรเลย บอกว่าหมดตรงนี้จะได้หมดจบ แต่ไม่ได้ทำตามลำดับ
เวลาเขานั่งหลับตาเขาจะนั่งสะกดจิตตัวเอง แล้วก็นึกว่าจิตเป็นอย่างนี้ เอาตัวที่มีอาการรับรู้เป็นจิต แล้วก็ให้เรียนรู้จิตนี้แล้วทำให้มันสูญ
ที่เขากำลังคิดกำลังสร้างอยู่เป็นการสร้างภพชาติใหม่ โลกนี้ทั้งโลกเขาไม่ได้แตะตั้งแต่ เบื้องนอกเข้าไปเลย เขานั่งหลับตาเข้าไปข้างในเลย สร้างขึ้นมา ซึ่งมันเป็นความเพ้อเจ้อเหลวไหล ไม่มีของจริงเลย เป็นเรื่องสูญเปล่า น่าสงสาร ไม่มีโลกนี้ให้เขาทำ มีแต่โลกฟ่ามๆเฟ้อๆ ให้เขากำหนดรู้ได้อาศัยถ้าตรงที่ตัวเองมี ธาตุรู้ แล้วเอาหน้าที่ของธาตุรู้ เช่นสัญญามีกำหนดหมายอย่างไรก็ขึ้นมา มันรู้สึกระลึกได้ก็เอาความจำเก่าๆจากสัญญาที่ระลึกได้นี้ ก็เป็นความรู้สึกใหม่ไม่ใช่เวทนาตัวที่มันมีจริง จะเป็นของจริงตากระทบรูป เกิดเป็นความรู้สึก แล้วความรู้สึกนี่แหละคือสังขารปรุงแต่ง มันปรุงแต่งกับกิเลสเรา กับธาตุรู้ของเราปรุงแต่งสังขารกัน เพราะฉะนั้นเวทนา สัญญา สังขาร ก็มีตัวจริงของมันทั้งนั้น กระทบจึงเกิดเวทนาจริง ปรุงแต่งจริงเป็นสังขาร นี่แหละคือเจตสิกของวิญญาณ นี่แหละวิญญาณมันมีอย่างนี้ต้องรู้ด้วยนามรูปแล้วจึงจะเกิด สัญญาเวทนาสังขารปรุงแต่ง แต่อันนี้ไม่มีสักอย่างเดียว ไม่มีของจริงพวกนี้เลย
คนหลับตาเข้าไปไม่มีอะไรเป็นจริงมีแต่อดีตกับอนาคต ทิฏฐิต่างๆที่คิดปรุงแต่งอยู่ในจิตเป็นสิ่งเฟิร์สฝันอยู่ในอดีตกับอนาคต ในทิฏฐิ 62 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพรหมชาลสูตร
ช่างน่าสงสารมากเลยมันไม่เข้าใจได้ง่ายๆนะ ความจริงจะมีในปัจจุบันเท่านั้น ทิฏฐิธรรมกาละ ความจริงอยู่ในปัจจุบันชาติ ทิฏฐกาละ แปลเป็นไทยว่าการเกิดในปัจจุบันนี้ มีความเกิดมีสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยประกอบเกิด มีที่ตั้งแห่งการเกิด ตาหูจมูกลิ้นกายถึงสิ่งของที่มีอยู่ในตัวเราเป็นอวัยวะเป็นรูปนาม ที่จะต้องสัมผัสกันมีประสาทมีรูปข้างนอก มีตามีประสาทกระทบกัน มีโคจร กระทบกันแล้วเกิด วิสยรูป เป็นสยะ เป็นตัวตน แต่นี่ไปหลับตาเสียไม่มีอะไรไม่ได้ใช้อะไรในอวัยวะ ไม่ได้ใช้อะไรเป็นสิ่งภายนอกที่เขามีอยู่ในโลกไม่ได้ใช้ คุณไปสร้างลมๆแล้งๆเอาเอง
อาตมาอธิบายละเอียดละออให้ฟังเลย เพราะฉะนั้นสายหลับตานี่เป็นสายที่..(ขออภัย)ใช้ภาษาชัดๆ โง่ได้ที่จริงๆ.. สายหลับตา หลงใหลติดยึด ผู้ที่รู้ดีมาพูดก็ไม่เคยฟัง หรือฟังแล้วก็ไม่เคยรู้สึกว่า เอ..มันน่าเอามาคิด ไม่งั้นเราก็หลงจมอยู่กับความไร้สาระไร้แก่นสารไร้สภาพมีจริง ไม่มีอะไรจริงสักอย่างในการนั่งหลับตา ในธรรมะ ในสัจธรรมนะ มันไม่มีรูปนาม ไม่มีวิญญาณ มีแต่สัญญากำหนดรู้เท่านั้น แล้วสัญญาตัวนั้นก็ไปกำหนดอะไรขึ้นมาเอง สัญญายนิจจานิ แล้วหลงเที่ยงแท้อยู่กับสัญญานั้น ในโลกที่เขาสร้างขึ้นมาเอง
ยังไม่มีโลกนี้ เพราะฉะนั้นจะไปหาโลกต่อไปที่เรียกว่าโลกหน้า ปโรโลโก เป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่ศาสนาพุทธเรียนรู้เป็นดาวอีกดวงหนึ่งเรียกว่า “ดาวโลกุตระ” มันไม่มีสิทธิ์จะไปเรียนรู้ เมื่อไม่มีพื้นฐานของโลกนี้ ไม่มีโลกนี้ให้เรียน
ไม่มีผัสสะ ไม่มีการปฏิบัติกามในกวฬิงการาหารได้
ล. 16 3. ปุตตมังสสูตร
[240] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4 อย่าง เพื่อความดำรงอยู่ของสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิดอาหาร 4 อย่างนั้นคือ 1. กวฬิงการาหาร หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง 2. ผัสสาหาร 3. มโนสัญเจตนาหาร 4. วิญญาณาหาร ภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4 อย่างเหล่านี้แล เพื่อดำรงอยู่แห่งสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ
พ่อครูว่า…กวฬิงการาหาร เป็นสิ่งที่จะให้สัตว์โลกที่เกิดมาแล้วใช้มีอาศัยอยู่ ไม่มีไม่ได้ กวฬิงการาหาร ต้องมี ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์เชื้อชาติไหนก็แล้ว ทุกศาสนาทุกชาติต้องมีอาหาร ให้สัตว์โลก คนก็เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง ต้องรู้ว่าต้องมีอันนี้ ต้องเรียนรู้มัน
หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด กวฬิงการาหาร นอกจากเป็นอาหารที่ทำให้ดำรงอยู่แล้วยังเป็นอาหารที่อนุเคราะห์ช่วยเหลือแก่เหล่าสัตว์ ดำรงชีวิตอยู่ สัตว์ที่แสวงหาที่เกิดคือสัมภเวสี คือจิตวิญญาณที่หาที่เกิดไม่ได้ ถ้ามีที่เกิดมันก็จะมาเห็น มารู้ มาพบ อย่างดีก็ได้พบพระพุทธเจ้า ได้มาพบสัตบุรุษ ได้มาพบผู้อยู่ในฐานะครู ได้มาพบมนุษย์ด้วยกัน แล้วมันก็จะได้ดำเนินไป
ถ้าดำเนินด้วยอวิชชา ไม่พยายามแสวงหาความรู้ที่เป็น วิชชา คุณจะจมด้วยอวิชชา หรือคุณแสวงหา แต่คุณยังไม่ได้พบสัตบุรุษ ไม่ได้พบศาสนาพุทธ ไม่ได้พบพระพุทธเจ้า คุณก็ได้แต่รู้วิชาที่ไม่ใช่โลกุตระ ไม่พ้นอวิชชาได้เลย คุณก็จะวนเวียนอยู่ในโลก อย่างดีก็จะได้เก่งเป็นสัตว์ที่ดีเป็นมนุษย์มีจิตที่ดี ดี เลิกชั่วได้ เป็นสัตว์ดีหรือเป็นคนดี ได้แต่แค่ดี ละชั่วประพฤติแต่ดีเท่านี้แหละ เป็นโลกียะไม่สามารถเป็นโลกุตระที่รู้จักสุขจักทุกข์และดับสุขดับทุกข์ปรินิพพานเลย..ไม่มี
ผู้ที่เรียนละชั่วประพฤติดี สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง กุสลัสสูปสัมปทา ว่าละชั่วประพฤติดี ผิดหมด ไม่ใช่ เพราะชั่วไม่ใช่สัพพปาปัสสะอะกะระณัง ชั่วคำนี้หมายถึงบาปไม่ใช่ดีชั่วโลกีย์ บาป ไม่ใช่ชั่วสามัญของโลกีย์แต่บาปคือกิเลส ไม่มีบาปก็ไม่มีกิเลสไม่ใช่ไม่มีชั่ว
ถ้าแยกบาปกับชั่วกับกิเลสไม่ออกว่าต่างกันอย่างไร ชั่วรวมโลกีย์หมดแต่ไม่รู้จักกิเลส ชั่วคือเลวต่ำ ไม่ดี ของโลกีย์ทั้งหมด แต่เขาไม่รู้ว่าเหตุที่ทำให้เลวก็คือกิเลส เขาไม่ได้เรียนกิเลสเลย โลกียะไม่ได้เรียนรู้กิเลส เรียนก็มิจฉาทิฏฐิ เหมือนชาวพุทธที่มิจฉาทิฏฐิก็เรียนรู้ไม่รู้จักกิเลส ไม่สามารถเข้าไปจับอาการจิต รูปจิต อรูปจิต รู้ตั้งแต่กามจิตก่อน ทำลายเลยกำจัดเปลือกข้างนอกของไม้ออกก่อน จากเปลือกก็จะเป็นกระพี้ของไม้ ก็มาเอากระพี้นี้ออกไปอีก เข้าไปจนเหลือแกนในคือแก่น ถึงจะเป็นไปตามลำดับ
การหลับตาไม่มีอะไรพวกนี้สักอย่าง ไม่มีเลย ได้แต่สร้างภพชาติ เหมือนพวกนักศิลปินเพ้อเจ้อ ขีดเขียน บอกว่ายอดเยี่ยม ไม่รู้มันเป็นอะไร แล้วพวกนี้คือพวกหาเทคนิคในการที่จะเอาเหตุปัจจัยที่จะเอามาผสมกันได้แล้วก็ทำให้แปลกๆๆ แล้วสมมุติว่านี่แหละคือศิลปะของข้างานของข้านี่แหละคือศิลปะ ใครดูแล้วอ่านออกอันนั้นน่ะเก่ง ใครดูไม่เก่งก็บอกว่าหัวไม่ถึงเท่านั้นเอง ทุกวันนี้เห็นพวกปั้นยังมีดินน้ำลมไฟให้สัมผัส แต่พวกสีนี้ก็สัมผัสได้น้อยกว่า อาตมาเห็นศิลปินใหญ่ที่งานเขาเอาเข้าพิพิธภัณฑ์พันล้าน พูดแล้วเมื่อยจริงๆ ไม่รู้จะว่าอย่างไร
อาตมาเรียนศิลปะมาแต่ไม่ได้ใช้ศิลปะในการทำมาหากิน แต่อาตมาใช้ศิลปะสื่อโลกุตระ จะใช้ศิลปะด้านไหนก็แล้วแต่ แต่ด้านที่ใช้มากที่สุดก็คือทางด้านวรรณกรรม ใช้ศิลปะทางคีตะวาทิตะ ในทางเสียงในทางภาษา เป็นสื่อออกไปให้พวกเราได้รับรู้มาก ศิลปะของอาตมา สื่อทางนัจจะ คีตะ วาทิตะ ท่าทางลีลากับสุ้มเสียงสำเนียง ภาษาเอามาประกอบสื่อให้พวกเราเข้าใจ อาตมาทำงานศิลปะสื่อความหมายของโลกุตรธรรมให้เขาเข้าใจให้รู้แล้วเอามาปฏิบัติได้ลดละกิเลสได้ จนกระทั่งพวกคุณสามารถฟังแล้วเข้าใจได้เอามาปฏิบัติได้จึงออกมา ละโลกโลกีย์ ลาภยศสรรเสริญทิ้งโลกียสุขมา แต่ก่อนนี้ก็มุ่งมั่ววุ่นวาย อยู่กับความสุขทางโน้นเดี๋ยวนี้ก็ไม่แล้ว โหยหากลับคืนไปไหม…ไม่
โอ้โห เขายังแย่งชิงสุขสำราญกับลาภยศสรรเสริญโลกียสุขกัน เขาได้มากมายกันนะวันๆนึงอวดอ้างโชว์กัน ไม่รู้สึกริษยาเขาหรือ มันต้องเข้าใจจิตของเราจริงๆว่า เราเลิกออกมาหลุดออกมาได้ มันไม่มีรสชาติ มันไม่มีความสุขความพอใจความรื่นรมย์กับรสชาติอย่างโลกีย์
มันจะเหลืออยู่บ้าง เปรียบเทียบได้ในตัวเราแต่ก่อนเราจัดจ้านมากมายใน ลาภยศสรรเสริญสุขต่างๆ แต่เดี๋ยวนี้มันจางคลายมันเบาบางลง ผู้ใดถึงอรหัตตผล ก็ไม่ใช่เบาบาง แต่หมด จิตของเราก็สักแต่ว่ารู้เข้าใจๆ มันมีคนที่เขาติดเขายึดก็เห็น ในรูปธรรมเราไม่มีแล้ว ในนามธรรมเราก็อ่านตรวจสอบพิจารณา เมื่อสัมผัสอย่างที่เขาสัมผัสกันก็ไม่มีอาการที่มันจะกระดิ๊กกระดี๊ขึ้นมา ยินดีขึ้นมา ยินร้ายขึ้นมา
หากว่าไม่ยินดีแล้วยังยินร้ายยังไปดูถูกผู้อื่นดูถูกดูแคลนผู้ที่เขายังหลงติดอยู่ ยังหอบหวงหามดูดดึงอยู่ ยังไม่ยอมทิ้งได้จริงๆ ก็ไปเดียดฉันท์เขา ไปข่มเขา อย่างนี้ก็ยังเลว เราก็เออ น่าสงสารไม่ได้ไปข่มไปเดียดฉันท์ ดูหมิ่นดูแคลน ซึ่งเขาก็น่าสงสารที่เขายังติด ยังยึด ยังหลงอยู่นะ หากคุณอยู่ในฐานะที่ตำหนิได้ก็ตำหนิ ตำหนิได้ยังเก่งโดยที่เขาไม่เอาคนตาย ให้ระวัง ไปตำหนิเขา เขาตอบโต้มาเขาโกรธเคือง ตำหนิอย่างแรงๆ ตำหนิยังไม่มีบารมี ไปตำหนิเขามันก็เกินบารมี ตาย เขาตอบโต้ อย่างเช่นอาตมาตอนนี้แรงเขาก็ไม่กล้า เพราะว่าเก่งในการยกตัวอย่างพระไตรปิฎก สิ่งที่จะหยิบจับอะไรที่มายืนยันว่านี่แหละคือของพระพุทธเจ้าเขาก็จะกลัว เพราะอาตมามียันต์ของพระพุทธเจ้า ผีก็จะถอยไปเลย
กวฬิงการาหาร ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าหรือ ใครก็ต้องกิน พระอรหันต์พระโพธิสัตว์ ต้องกินอาหารทั้งนั้น ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่คุณเอามาใช้ปฏิบัติได้ทุกคน แล้วคุณต้องมีอยู่ในทุกคนด้วย ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส นี่แหละเรียนรู้มันแล้วปรุง เรียนรู้สิ่งที่มันเป็นกิเลสใหญ่เป็นเหตุเป็นปัจจัยในอันนี้ เรียนให้จริงรู้จริงแล้วละล้างตัวเหตุกำจัดเหตุอันนี้ให้ได้มันมีทุกคนเลยไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนหรอก เพราะเมื่อเวลาคุณเอามาเรียนแล้วมี กวฬิงการาหาร ต้องผัสสะ กวฬิงการาหาร คุณไม่มาเรียนโดยไม่มีผัสสะ คุณนั่งหลับตาเวลาคุณกินคุณก็ไม่มีผัสสะเพราะคุณไม่ได้เรียนรู้ให้ปฏิบัติตอนลืมตา คุณก็ไปปฏิบัติตอนหลับตาเท่านั้น เรื่องหลับตานั้นความจริงแล้วไม่ต้องทำด้วยไม่ต้องเรียนพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน พระพุทธเจ้าสอนเรื่องกินนี่แหละ จะกินเมื่อไหร่ก็ตั้งท่าเลย ให้ปัจจเวกขณ์ด้วย ปฏิสังขาโยนิโสฯ ท่องก่อนกินด้วย เสร็จแล้วกินแล้วไม่ได้พิจารณาไม่ได้เรียนเลย เรียนก็เรียนไม่ชัดเจน ว่า อันนี้แหละคือกรรมฐานแท้ๆๆ มีเวทนา มีผัสสะ
เพราะมีผัสสะจึงจะเกิดเวทนา คุณกินเมื่อไหร่ก็เกิดเวทนา สุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ให้เรียน ผัสสะแล้วจะเกิดเวทนา 3 ก็เรียนรู้ตามอันนี้ สุขทุกข์ เรียนรู้อาการความสุขนี้เป็นผีเป็นมายา ที่จริงพระพุทธเจ้าบอกว่ามันเป็นมายาหมด ไม่มีหรอกสุขทุกข์มันเป็นอนัตตา มันเป็นกระดาษ 2 หน้า มันหลอกเรา อย่างที่อาตมาอธิบายไปมากมายต้องเรียนรู้มัน มันหลอกเรามันไม่มีจริง
ที่นี้มันไม่มีจริงแต่เราไปหลงเสพติดมันอยู่มีตัณหาไม่คลายมีการปรุงแต่งในจิตเรียกว่ามโนสัญเจตนาหาร มีการปรุงแต่งในจิต แล้วมีวิญญาณมีเจตนา เพราะมันมีเจตนาที่ยังหยาบอยู่
อาหาร 4 (เครื่องยังสัตว์ให้อยู่ได้)
-
กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว ให้รู้กิเลสเบญจกาม)
-
ผัสสาหาร (อาหาร คือ ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา)
-
มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา)
-
วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติชรามรณะ ทุกข์ และความคับแค้น)
(ปุตตมังสสูตร พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 241-244)
หยาบ เริ่มต้นภายนอกเลยคือกามตัณหา อันที่ 3 มโนสัญเจตนาของอาหาร 4 คำว่า มโน กับ สัญญา สัญญากำหนดรู้ กำหนดด้วยตัณหา ตัณหาคือ มันมีเจตนาเจตนาจะเอาเอาอะไรเอากาม
มันยังหยาบกาม ก็ต้องมาเรียนรู้กามก่อนมันหยาบ เป็นกามฉันทะกำหนดรู้ความกำหนัดยินดี สัญญ กำหนดอายุความกำหนดรู้ดีๆซึ่งเกิดจากเบญจกามคุณ
มันมีเจตนาเช่นเจตนาอยากได้มันรักมันหลงว่าเป็นกามคุณทางตา ทางหูจมูกลิ้นกาย ไม่ใช่กามโทษ ไม่รู้จักกามโทษไม่คิดว่าเป็นกามโทษ ไม่คิดว่าเป็นกามทีนวะ แต่ไปคิดแต่ว่า เป็นกามคุณ เป็นสวรรค์ ที่จริงแล้วมันเป็นนรกเป็นกามโทษ มันหลอกคุณว่าเป็นกามคุณ ตัวจริงมันคือกามโทษ กามาทีนวะ เราจะได้รู้ว่าเราหลงผิดไม่มีใครมาบอกให้เราชัดเจนวันนี้มีคนบอกให้ชัดเจนขึ้นบ้างคงจะพอเข้าใจนะ แต่ในจิตของคุณมันรู้สึกได้สมใจไหมถ้าสมใจก็เป็นความทุกข์อยู่ แต่ไม่หรอกเพราะว่ามุ่งแต่ความสุข ก็เลยบอกปัดความทุกข์ไม่เอาความทุกข์เอาแต่สุข เหมือนพระเจ้าเหมือนเทวนิยมพระเจ้ากับเทวนิยมเอาแต่สุขก็เลยลงพระเจ้านั่นแหละเป็นเจ้าของความสุขมีแต่สุข บางคนไม่รู้จักทุกข์ด้วยทั้งๆที่ซาตานก็อยู่ใกล้ๆกัน คุณไม่เอาข่าวว่ามีซาตานไม่ได้เคยระแวงว่ามีซาตาน ไม่นึกว่าซาตานต่างหากเป็นหน้าจริงเป็นสัจจะกว่า เพราะฉะนั้นคนไม่เคยฉลาดไม่มีอารยะ ไม่เคยมีความสุขไม่เคยมีความเจริญ อาริะยะแปลว่าผู้เจริญผู้ประเสริฐผู้มีภูมิปัญญารู้ว่าเป็นทุกข์เป็นอริยสัจ เป็นความจริง อ๋อ คุณบรรลุแล้วหรือมันเป็นทุกข์
ผู้ที่เห็นสิ่งพิเศษที่มันติดว่าสุขนั่นแหละคือทุกข์ ผู้เห็นเสพที่สุขนั่นแหละคือทุกข์ผู้นั้นเป็นอาริยะ เพราะรู้ความจริงที่จริงยิ่งกว่าสุข
ความทุกข์เป็นตัวจริงของความสุข ถึงเรียกว่าทุกข์อริยสัจ ท่านไม่ได้เรียกว่าสุขอริยสัจทั้งๆที่มันเหมือนเหรียญสองหน้า เพราะคนจะคิดว่าไม่ใช่ผู้ประเสริฐผู้เจริญเป็นพวกขี้โม้ ผู้ติดอยู่กับสุขโง่และทุกข์ทุกคน
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะเดินดินว่า…ดัชนีชี้วัดนักปฏิบัติธรรมที่ดีนั้นควรลดความสุขให้น้อยลง ถ้ามีความสุขมากขึ้นๆ แสดงว่าเราเป็นผู้ที่อยู่ในความเสื่อม เพราะฉะนั้นพุทธเจ้าจึงเน้นให้เราตั้งตนอยู่ในความลำบาก ที่บ้านราชฯตอนนี้อาหารมีมากชนิด ระวังจะไม่กำหนดรู้กามคุณ
พระอรหันต์ก้บรสเปรี้ยวน้ำลายไหล
พ่อครูว่า…อาตมาพยายามอธิบายให้พิสดารลึกซึ้งซับซ้อนให้เห็นชัดเจน อาหาร 4 นี้ ถ้าเรียนอาหาร 4 นี้เป็นอรหันต์ ไม่ต้องเอากรรมฐานอื่นให้มากกว่า เรียนรู้ในอาหาร 4 แท้ๆก็คืออาหารกินข้าว คำข้าว อาหารที่เคี้ยวกลืนกินทุกวัน ถ้าเป็นนักบวชก็ได้กินวันละ 1 มื้อได้พิจารณาวันละครั้ง แต่เป็นฆราวาสนี้จะทนดูไปได้ตลอดเลย มันเป็นอุปกรณ์ในการปฏิบัติธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นอุปกรณ์ที่ทุกคนมีทุกคนจะต้องเผชิญทุกคนไม่มีใครละเว้นไม่มีใครจะไม่มีการไม่กินอาหาร ต้องกินอาหาร แม่คุณบรรลุอรหันต์แล้วคุณก็ยังต้องกินอาหารเลย แต่ตอนนี้หมดกิเลส
เพราะฉะนั้นคนที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าและเมื่อจบแล้วก็ยังอยู่กับโลกก็ยังต้องอยู่กับอาหาร ไม่มีกิเลสแต่ก็ต้องกินอาหารไป อาหารก็คือธาตุที่กิน ขนาดพระอรหันต์ธรรมดายังไม่หมดความจำ ความจำจะมาหลอกหลอน แม่ว่าเป็นพระอรหันต์แล้วความจำในรสอาหาร อาตมาเป็นโพธิสัตว์อาตมาพูดได้ เราหลุดพ้นไม่ติดยึดแล้วไม่มีปัญหาไม่เคยทุกข์สุขกับอาหาร มีก็ได้ไม่มีก็ได้ แต่ความจำนั้นยังจำได้ว่าอันนี้เคยอร่อย อันนี้ไม่ค่อยชอบไม่อร่อยเท่าไหร่ หลายอย่างบางทีมันชอบมาก เอออันนี้ชอบมาก นานๆเขาเอามาให้ที เป็นอรหันต์แล้วไม่ได้เรียกร้องหรอกมันก็จะมา อันนี้ โอ้โห จ๊ะเอ๋ไม่เจอกันนาน ของเคยชอบ มันยังจำได้นะ มันยังหลอนอยู่ อรหันต์ ไม่ได้ติดยึดไม่เคยนึกโหยหาอยากเสพอยากกิน แต่เมื่อเขาเอามาประเคนก็รู้ว่า เออมาแล้ว แหม!หายไปนาน ไม่เจอกัน
ความจำได้มันมีอยู่ แต่ไม่ได้ปฏิพัทธ์รุนแรง เป็นความจำ พระพุทธเจ้าเคยปรารภกับพระอานนท์ อานนท์ความจำนี้มันลืมยากนะ คนเขาฟังแล้วก็จะบอกว่าความจำ มันจำยากแล้วต้องลืมหรือไม่ต้องลืม ก็คือไม่ต้องลืมหรอกแต่ไม่ต้องมีรส ไม่ต้องไปสนุกอะไรกับมัน แต่มันก็ต้องสะดุด นี่เอาอารมณ์ของพระอรหันต์พูดให้ฟังแล้ว มันไม่ได้เป็นกิเลสแต่มันยังเป็นความจำ มันต้องอยู่กับมันต้องประสบกับมัน วันใดวันหนึ่งต้องมาเจอ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ลาภยศสรรเสริญโลเกียสุข ก็มีอยู่ในโลก ซึ่งเป็นผู้ที่เจริญก็ยิ่งเป็นผู้ที่เจอมาก เขาก็จะเอามาประเคนเอาแต่ของที่ดีมาให้สัมผัสทั้งนั้นแหละ เราก็จะเจอกับมัน ไม่เชื่อไปถามสมเด็จไปถามเจ้าคุณชั้นสูงดูสิ อาหารที่เขาเอาไปประเคนให้ มีแต่อาหารอย่างประณีต ไม่ประณีตไม่นำเอาไปถวายดอก พระชั้นสูงจะเจอแต่ของประณีตของดีๆ
เพราะฉะนั้นก็เลยไม่รู้ตัว พุงออก ทั้งนั้นเลย ก็กินไป คือกลบเกลื่อนตัวเอง เราเรียนมาแล้วอย่าไปติดยึด ก็เลยได้กินทุกวันเพราะคนเขาเอามาให้กิน ไม่เคยรู้ความละออก จิตเราออกจากกามได้จริงไหม เห็นไหม เป็นรูปราคะ อรูปราคะในจิต สนิทเนียนมากเลย เรียนแต่วิธีหลอกไม่เรียนรู้วิธีอ่านกิเลสตั้งแต่หยาบก่อน หัดฝึกจริงๆจนอยู่เหนือมันได้ ขนาดเป็นพระอรหันต์อยู่เหนือมันได้ มันยังมีความจำมันยังหลอน
_สู่แดนธรรม…ในวงการธรรมะถกกันว่า พระอรหันต์ถ้านึกถึงมะนาวแล้วน้ำลายจะออกไหม
มันยังหลอนออกได้อยู่ ไม่ได้ติดนะ เปรี้ยวมันไม่ได้อร่อยอะไร ไม่ได้มีชอบเลย บางทีไม่ไหวมันเปรี้ยวไม่ฉันหรอก หวานจัด เปรี้ยวจัด เผ็ดจัด เค็มจัด ไม่หรอก จะฉันจืดๆ แต่มันก็หลอนให้น้ำลายออกได้อยู่ ผู้ที่ไม่มีความจริงพวกนี้ บอกว่านึกถึงมะนาวแล้วน้ำลายยังออกไม่ใช่อรหันต์หรอก อรหันต์น้ำลายไม่ออก
พวกพระสายเจโตศรัทธา จะกดข่มจะรู้สึกออกยากหน่อย ไม่ปฏิบัติอย่างธรรมชาติ อย่างพระพุทธเจ้าปฏิบัติอย่างธรรมชาติเป็นปัญญามันก็จะยังจำ แต่พวกที่กดข่ม จะมีพลังกดข่มไม่ค่อยออก ก็จะไปพิจารณาว่าพระอรหันต์น้ำลายไม่ไหลนี่ เป็นพระอรหันต์พวกที่น้ำลายยังไหลอยู่ไม่ใช่พระอรหันต์
สู่แดนธรรม…ธรรมชาติของมะนาวนึกถึงก็จะมีน้ำลายออก เพราะร่างกายสัมผัสของเปรี้ยวก็จะมีปฏิกิริยา
พ่อครูว่า…พูดไปแล้วจะเป็นการแก้ตัวให้สายปัญญาหรือเปล่า
เรียนรู้วิญญาณาหารกับนาม 5 รูป 28
มาเรียนรู้ อาหาร 4 ต่อ ถ้าไม่มีผัสสะไม่มีเวทนา ไม่มีเวทนาก็ไม่มีเวทนา 3 ไม่มีสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ให้เรียน เมื่อไม่มีเวทนา 3 ก็ลึกไปถึงเจตนาไม่ได้ ถึงจะเป็นมโนสัญเจตนา เจตนาที่วิ่งออกไป มันยังยึดติดยังมีที่มุ่ง มุ่งในสิ่งที่เราไปอุปาทานยึดไว้ ว่าต้องได้อย่างนี้ต้องเป็นอย่างนี้เคยมีเคยเป็น สัญญะ เคยยึด เคยติด เป็นตัณหา 3 ตั้งแต่กาม
ถ้าไม่เรียนรู้ กาม ด้วยรูปนาม
อันที่ 4 คือวิญญาณ ต้องเรียนรู้รูปนามแล้วจะรู้หมด ท้ายท่านบอกว่า เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้วก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกจะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ
นามรูป ใช้งานเมื่อกระทบทางทวารทั้ง 5 ก็เกิดเวทนา สามารถเรียนรู้ได้เพราะคุณมีนามรูป หากว่าวิญญาณคุณไม่มีนามรูป วิญญาณคุณเป็นสัมภเวสี หลับตาเข้าไปปุ๊บ ไม่มีที่ตั้งของวิญญาณ ไม่มีวิญญาณฐีติ วิญญาณคนที่หลับตาเป็นสัมภเวสีทั้งหมด วิญญาณไม่เป็นวิญญาณฐีติ ฐีติ คือที่ตั้ง วิญญาณที่ไม่มีที่ตั้งที่ตาหูจมูกลิ้นกายก็เป็นวิญญาณสัมภเวสีวิญญาณล่องลอย จับเอามาไม่ได้เอามาปฏิบัติไม่ได้เพราะมันล่องลอยไม่มีที่ตั้ง มันไม่มีที่อยู่ไม่มีที่จะหยิบมาเป็นของจริง ไม่ใช่ของที่จับมั่นคั้นตาย สัมผัสต่างๆเกิดเวทนาแล้วมีตัณหาซ้อนอยู่ในเวทนานี่ไง ซึ่งคุณไม่มี เพราะนามรูปคุณไม่มี ที่ตั้งของนามรูปคุณไม่มี คุณมีแต่สัมภเวสีไม่เรียกว่าวิญญาณ จะเรียกว่าวิญญาณก็เป็นธาตุรู้ของอัตภาพหนึ่ง แต่อัตภาพนั้นจับมันมาทำอะไรไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน
ภิกษุสาติบอกเรารู้แล้วว่า วิญญาณคือไอ้ที่ลอยไปลอยมา พระพุทธเจ้าก็บอกภิกษุสาติ ว่า ภิกษุสาติมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า “เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น”
ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติจากทิฏฐินั้น จึงซักไซร้ ไล่เลียงสอบสวนว่า ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี. (มหาตัณหาสังขยสูตร พตปฎ. ล.12 ข.440)
เหตุปัจจัยคือที่มีตาหูจมูกลิ้นกายกระทบกันและมีประสาททำงาน แม้ตากระทบรูปประสาทคุณไม่ทำงาน หูกระทบเสียงประสาทคุณไม่ทำงานร่วม ไม่ได้ยินหรอก เสียงนั้นกระแทกหูขนาดไหนก็ไม่ได้ยิน ลิ้นกระทบรถ ทั้ง 5 ทวาร
ต้องเรียนรู้วิญญาณฐิติ ถ้าไม่เรียนรู้ว่าธรรมะพระพุทธเจ้าต้องมีวิญญาณตั้งอยู่ทางตาหูจมูกลิ้นกาย มีคู่ทั้ง 5 คู่ รวมกับใจเป็นธาตุรู้เป็นองค์ร่วม ร่วมกับทวารทั้ง 5 เป็น 6 คู่ ถ้าล้างกิเลสทางตาหูจมูกลิ้นกายไปหมด ถึงจะไม่มีกิเลสในตาหูจมูกลิ้นกาย จึงเหลือกิเลสภายในเรียกว่ามโน อันข้างนอกออกหมดแล้วจึงเหลือมโน ถ้ากิเลสตาหูจมูกลิ้นกายล้างออกไม่หมด คุณจะไปหามโนไปอยู่ที่จิตลึกที่มโน มันตลก มันไม่เป็นจริง ความจริงต้องมีตากระทบรูป หูกระทบเสียงอยู่ข้างนอก มีปัจจุบันกาล ท่านบอกแล้วต้องมีองค์ประกอบ ถ้าไม่มีองค์ประกอบมันไม่ใช่วิญญาณ มีเหมือนกัน วิญญาณที่จะศึกษาที่เป็นที่ตั้ง ให้ศึกษามันไม่มีแต่มันเป็นวิญญาณสัมภเวสี เป็นวิญญาณล่องลอย อย่างนั้นพระพุทธเจ้าไม่เคยเอามาสอน เพราะจะไปทำอะไรกับมันได้มันล่องลอยไม่มีตั้ง ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายเป็นที่ตั้งถึงจะเรียนรู้ได้ ท่านผู้หลับบตาปฏิบัติ ไปทำให้หูหนวกตาบอด อาตมาเป็นผู้นำให้มีตาหูจมูกลิ้นกายมากระทบ อย่าไปสอนให้หลับตาหลับหูเหมือนที่สอนกันในพระสูตร อินทริยภาวนาสูตร
พระไตรปิฎก เล่มที่ 14 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 6
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
-
อินทริยภาวนาสูตร (152)
[853] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าไผ่ ในนิคมชื่อกัชชังคลา ครั้ง
นั้นแล อุตตรมาณพ ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่
ประทับ แล้วทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการทักทายปราศรัยพอให้
ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[854] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดังนี้ว่า ดูกร
อุตตระ ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า ฯ
อุ. แสดง พระโคดมผู้เจริญ ฯ
พ. ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯ
อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการ
เจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียง
ด้วยโสต ฯ
พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของ
ปาราสิริยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอด
ไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัส
แล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตก
ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ
[855] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า อุตตรมาณพศิษย์
ปาราสิริยพราหมณ์ นิ่ง คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ จึงรับสั่งกะ
ท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ปาราสิริยพราหมณ์ ย่อมแสดงการเจริญอินทรีย์
แก่สาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง ส่วนการเจริญอินทรีย์อันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่าในวินัยของ
พระอริยะ ย่อมเป็นอีกอย่างหนึ่ง ฯ
พ่อครูว่า…ที่จริงในพระไตรปิฎกมหายานก็น่าจะมีมากอยู่ พระเจ้าก็น่าจะพูดในหลายพระสูตรพระนั่งหลับตาไม่เห็นรูป หูไม่ได้ยินเสียงเหมือนกับสอนให้ตาบอดหูหนวก ทำไมเขาจะโง่เง่าดักดานไปนานขนาดไหน ขออภัยจริงๆ
อาตมาอายุ 87 ปีแล้วก็พูดได้ เหมือนพูดกับลูกกับหลาน ส่วนใหญ่เขาก็อายุน้อยกว่าอาตมากัน ก็น่าสงสารจริงๆ
ผู้ที่มาศึกษาใฝ่แสวงหา เป็นเจตนาดี พระที่มาบวชแล้วไม่ได้แสวงหาทางนิพพาน แต่มาอาศัยเรียนได้เปรียญ 9 ปริญญา ตรีโทเอก ได้ฐานะมีลาภยศสรรเสริญ เป็นพระมหาศาล เป็นเจ้าคุณ มีพระหนุ่มตอนนี้เพิ่งได้เป็นเจ้าคุณ เป็นพระในสังคม สอนเก่ง อธิบาย อยู่ทางเหนือ ก็ได้ลาภยศสรรเสริญสุขไป สอนแจ้วๆ อาตมาว่า จะต้องไปใฝ่หาทำไม เราอยู่ทางโน้น ก็สามารถปฏิเสธได้ว่าอย่าให้ผมเลย ผมก็ทำงานไปเฉยๆ ไม่ต้องมาให้ตำแหน่งผมหรอก เพราะคนมันแย่งตำแหน่งกันอยู่ เอาไปให้คนอื่นเถอะผมไม่เอา ท่านก็ไม่ไปยัดเยียดหรอก แล้วบอกว่าไม่ยินดียินร้ายแล้วไม่ยินดียินร้าย แล้วจะไปรับทำไม อาจแก้ตัวว่าเกรงใจพระผู้ใหญ่ก็ได้
เรื่องพวกนี้ส่อแสดง ผู้ที่ยังรับอยู่แล้วปากพูดว่าไม่รับเขามาให้ก็ว่าไป แม้แต่มหาบัวก็เป็นระดับชั้นธรรมนะ แต่ไม่ได้มากกว่านั้น น่าจะได้ชั้นพรหม แต่ได้แค่ชั้นธรรม เมื่อขึ้นถึงชั้นพรหมก็จะได้เป็นสมเด็จ มหาบัวได้เป็นชั้นธรรม ส่วนท่านวิริยังค์ได้เป็นชั้นสมเด็จก่อนตาย
ไม่จำเป็นต้องไปนั่งหลับตาก็สำเร็จ เรียนรู้จริงๆในจรณะ 15 วิชชา 8
ฌาน 4 เกิดจากการปฏิบัติจรนะของพระพุทธเจ้า เกิดจากการปฏิบัติศีล และอปันกธรรม 3 มีสัทธรรม7 ก็จะเกิด ฌาน 1 2 3 4 ทั้ง 11 หลัก ถ้าไม่มีศีลเป็นตัวหลักแล้วไม่มี อปันกธรรม 3 โมฆะจากศาสนาพุทธ ไปหลับตาไม่มีอปันกปฏิปทา ไม่ได้มีการสังวรสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ไม่มีการโภชเนมัตตัญญุตาคืออาหารที่พูดไปแล้ว กวฬิงการาหาร อาหารที่กระทบทางตาที่จะกินเข้าไปทางปาก กลิ่นรสสัมผัสทางกายมาค้นหา คุณต้องเรียนรู้อันนี้แล้วละกิเลสจากอันนี้ คุณจะเรียนรู้ได้ทั้งหมดทั้งผัสสะเวทนา มีตัณหา จะรู้นามรูป เทวะ องค์ประกอบ 2 แล้วทั้งหมดคือถ้ารู้คือวิญญาณแยกเป็นเวทนาสัญญาเจตนา ก็เรียนรู้นาม 5 เวทนาสัญญาเจตนาผัสสะมนสิการ คุณไม่มีเวทนาไม่มีผัสสะคุณทำใจในใจไม่ได้ เพราะไม่มีเวทนาไม่มีสัญญาไม่มีเจตนาให้คุณปฏิบัติ นาม5 คุณไปปฏิบัติไม่ได้ ขาดผัสสะตัวเดียวคุณเป็นโมฆะหมดเลย ไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนา สัญญาจะกำหนดรู้ตามเวทนาจะได้รู้เจตนาในเวทนา มีตัณหาซ่อนอยู่ในเวทนา คุณกำหนดรู้ไม่ได้เรียนรู้ไม่ได้ เพราะไม่มีผัสสะตัวเดียวก็ไม่มีฐานะแห่งการปฏิบัติ
วิจัยจากอาหารสูตร พตปฎ. ล.16 ข.7 นาม 5 รูป 28 จึงเรียกว่านามรูป ให้คุณศึกษาวิญญาณ
มีนาม 5 แล้วปฏิบัติเรียนรู้ด้วยรูป 28 คุณจึงจะรู้จักวิญญาณครบจึงจะปฏิบัติวิญญาณให้ตัวปฏิบัติคือฐานปฏิบัติคือเวทนา จึงจะปฏิบัติเวทนา 108 ได้ ถ้าคุณไม่ได้ปฏิบัติเวทนา 108 กระบวนการ 108 อย่างครบบริบูรณ์ทำตั้งแต่ต้นจนจบ อดีต ปัจจุบัน อนาคต 36 36 เป็นศูนย์ได้หมด คุณไม่จบ คุณไม่ได้เป็นอรหันต์ เพราะฉะนั้นใครที่มาอ้างว่าเป็นอรหันต์ อาตมาเอาเวทนา 108 เป็นเครื่องเช็ค คุณพูดกับอาตมา อาตมาจะถามคุณ ปุจฉาฯ คุณก็วิสัชนามา ลองดู
ปุจฉาด้วยเวทนา 108 ถ้าคุณไม่ได้ปฏิบัติมโนปวิจาร 18 ต้องมีสัมผัส 6 ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายใจ สัมผัสทางภายนอกภายใน เมื่อสัมผัสแล้วจึงจะเกิดเวทนาสุขทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ให้คุณปฏิบัติ ดับสุขดับทุกข์ได้ เหลือโสมนัสโทมนัส คุณก็ดับโสมนัสโทมนัสก่อนที่เกิดก่อนได้ ในสำนวนที่ท่านแปลไว้ดับก่อนได้ ได้หมดก็หมด เหลืออุเบกขา แม้ได้อุเบกขาแล้ว แยกเนขัมมะกับเคหสิตะ เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา ซึ่งต่างจากเคหสิตอุเบกขา ต่างกันอย่างไรปฏิบัติเมื่อไหร่ ปฏิบัติออกได้เป็นชั้นๆจากสุขภายนอกหรือภายใน ถึงจะเป็นความสงบปราศจากกิเลสอุเบกขาที่มีองค์คุณ 5 อาตมาพูดภาวะคุณจะรู้เรื่องกับอาตมาเลย พระอรหันต์ด้วยกันจะรู้กันเลยไม่ว่าคุณไม่รู้พยัญชนะแต่ก็จะเอาภาษาไทยที่พูดกันรู้เรื่องมาพูดกัน อาตมาก็ไม่รู้ภาษาบาลี อาตมารู้สภาวะก็มีภาษาไทยเรียก ก็แปลเป็นภาษาไทยเรียกกันอย่างนี้ บริสุทธิ์จากกิเลสคืออย่างไร ปริโยทาตา อาตมาแปลเองหมดเลยนะพวกนี้ ท่านแปลไว้ว่า
ปริสุทธาคือบริสุทธิ์ ปริโยทาตาคือผุดผ่อง มุทุคืออ่อน กัมมัญญตาคือ เหมาะควรแก่การงาน ปภัสสราคือ ผ่องแผ้ว
แต่อาตมาอธิบายสภาวะรายละเอียด ปริสุทธาคือ หมดกิเลสจิตบริสุทธิ์แล้วกระทบสัมผัสกับสิ่งต่างๆ กับสัตว์กับคนกับของกับพืชก็บริสุทธิ์สะอาดยิ่งขึ้นอีก มันมีความละเอียดได้มากมายหลายหน้าที่เราไปติดยึดอีกไม่รู้กี่อย่าง กระทบแล้วก็จะรู้ว่าเราสะอาดได้มากขึ้นบริสุทธิ์ได้มากขึ้น ถึงจะรวมลงเป็น มุทุภูตธาตุของเรา จิตของเรารวมเป็นภาวะ 2 ที่ทำให้เป็นหนึ่งได้ทำให้เป็น 0 ได้เรื่อยๆ พวกคุณฟังอาตมาภาษาพวกนี้ไม่มีในพระไตรปิฎกอธิบาย หรอก อาตมาอธิบายขยายความเองรู้เรื่องไหม แต่เขาบอกว่าโพธิรักษ์พูดเอาเอง ก็พูดเอาเองสิอาตมาเป็น สยังอภิญญา แต่พูดกับพวกคุณที่เป็นพุทธศาสนิกชนในยุคนี้ สื่อภาษาไทยที่เป็นภาษาถิ่นรู้เรื่องเข้าใจได้และรู้จักตัวตนของกิเลสด้วย กิเลสจากสัตว์กิเลสจากของกิเลสจากพืชกิเลสทางตาหูจมูกลิ้นกายรู้ไหม เอาออกได้ไหม ….ได้ก็ได้สิไม่ได้ถามว่าหมดหรือยัง ถามว่าได้ไหม…ได้ หรือว่าไม่หมดก็ดีแล้วไม่หลงเหลือตัวเอง ก็เอาให้หมดเลยจะได้เป็นอรหันต์ ก็บอกว่าอาตมารู้ได้อย่างไรว่าตนเองเป็นอรหันต์ ก็เพราะว่าอาตมารู้จิตเจตสิกต่างๆของตัวเอง จะมาอธิบายอย่างนี้ก็เอาของตัวเองมาอธิบายด้วยภาษาของอาตมาอย่างนี้ ทำเป็น 1 เป็น 0 ได้อย่างนี้ ไม่มีในอรรถกถาอาจารย์ไหน
ทำจิตเป็น 1 เป็น 0 จาก 2 หมายถึงสภาวะที่เป็น อุตุธาตุ พีชธาตุ จิตธาตุ พวกคุณเข้าใจได้ไหมล่ะ มันไม่มีชีวิตชีวาอะไรแล้วแม้มีชีวิตชีวาก็ไม่ปรุงแต่งเป็นบาปเป็นบุญอะไรแล้วเป็นพืช เราก็เอาไว้อาศัย เรายังไม่ตาย เป็นชีวะอยู่ ส่วนอันไหนที่ทำให้เป็นอุตุได้แล้วก็ทำไป อย่างเช่นอบายมุขทั้งหลายเราก็ไม่มีกิเลสกับอบายมุขพวกนั้นหมดแล้ว มันก็เป็นอุตุไปหมดแล้ว ขอโทษทีไรก็ไม่มีชีวะเลย อย่าว่าแต่ไม่ทุกข์ไม่สุขเลยกลางๆ รู้ว่ามันเป็นชีวะอยู่ มันไม่มีชีวิตอินทรีย์ คุณก็รู้ตัวนี้อินทรีย์ของชีวะ ชีวิตรูป ก็มาเรียนอินทรีย์ของชีวิต ในรูป 24 อุปาทายรูป จาก ภาวรูป 2 เป็นหทยรูปมาเป็นอาหารรูป มาเป็นชีวิตรูป อินทรีย์ของรูป ก็รู้ว่าพลังงานชีวิตของมัน ยังมีชีวิตอยู่นะ แต่ชีวิตนี้มันก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงที่มีอยู่ก็อาศัยอันนี้เพราะเรายังมีชีวิต แต่ถ้าไม่ต้องสัมผัสมันก็เฉย สัมผัสมันก็ทิ้งไม่ได้ไปเกี่ยวกับชีวิตอะไรเราเลย เราก็ไม่เกี่ยว ดินน้ำไฟลมที่จะเอามาเป็นอาหารก็เราไม่เป็นไรกินดิน กินหินกินเหล็กกินปูน เราไม่กิน เรากินแต่พืช จริงมันอาจจะมีดินที่กินได้ เช่น เกลือมีดินอยู่บ้างเป็นต้น ก็กินบ้างก็เท่านั้นเอง เกลือมันก็ไม่ชีวะ ดินน้ำไฟลม มหาภูตรูป
_สู่แดนธรรม…เมื่อเช้าคุยกับคุณอัมพร ถ้าหากอุตุเป็นอรหันต์ ถ้าไม่หางานให้ทำ อุตุมันก็เสื่อมได้ เหมือนเครื่องยนต์จารบีหรือลูกปืนถ้าจอดนิ่งๆอุตุมันเสื่อม มีความหมายเช่นกันไหมครับ
พ่อครูว่า…ใช่ ดินน้ำไฟลมก็มีเหตุปัจจัยของสังขารปรุงแต่งเอามาใช้ได้อยู่ มันก็เลยเอามาประกอบกันเป็นชีวะ ดินน้ำไฟลมประกอบเป็นชีวะ พีชะ พืชจากพืชก็ปรุงแต่งเป็นจิต
สู่แดนธรรม…เพราะเหตุนี้พ่อท่านถึงต้องทำสัมประสิทธิ์ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…ใช่ จึงต้องพยายามเอาดินน้ำไฟลมเอามาปรุงแต่งขึ้น เนื้อหนังมังสามันเหี่ยวอยู่ ณ ตอนนี้ มันไม่เหมือนอายุ 20 ปีตอนนี้มันไม่ใช่อายุ 20 ปีจริงๆมันเหี่ยว มันไม่ตึงเต่ง ก็จะพยายามปรับปรุงขึ้นมา
ที่พูดวนไปเวียนมา มาหาเป้าสาระแท้ๆ ตรงๆ ของสภาวะนั้นๆๆ แล้วเราก็จะเข้าใจความจริงเลยว่า มันก็มีอยู่ประมาณนี้แหละที่เราใช้เรียนใช้ศึกษา จนกระทั่ง เราเข้าใจแล้วเราก็ ละล้างที่มันติดยึด จนจิตเราไม่ยึดติด อะไรที่เราต้องอาศัยก็อาศัยมันไป ชีวิตก็เข้าใจแล้วว่าเราอาศัยมัน คนไม่เข้าใจก็หาว่าเรายังยึดติด ก็มันไม่ตายยังไม่ตายก็อาศัยมันหน่อยไม่ได้ติดยึดหรอก ไม่มีแม้อาศัยไม่มีแม้แต่อาลัย ก็อาศัยมันหน่อย ตายจากกันแล้วก็เลิกไม่อาลัยอาวรณ์อะไรอีก มีแต่อาศัยไปบ้างก็ขอใช้ทำงาน
อาตมาเข้าใจอันนี้ไม่ใช่เข้าใจแค่ชาตินี้ ที่อธิบายได้มากมายวนไปเวียนมาซับซ้อนลึกซึ้ง จนกระทั่งพวกคุณ..(ขออภัย) พวกคุณตามที่อาตมาพูดไม่ถึงสภาวะจริงเท่าที่อาตมาพูดหรอก บางอย่างอาตมาพูดลึก ก็แค่จำไว้ก่อน ยังไม่ถึงสภาวะ บางอย่างภาษาก็ยังไม่เข้าใจเลย
ที่พูดยืนยันก็เพื่อให้พวกคุณเข้าใจชัดเจนขึ้นเท่านั้นเอง ที่ว่าจริงก็ ดินน้ำไฟลม ปฐวีปฐวีอาโปเตโชวาโย เพราะว่าไม่มีใครมาพูดละเอียดละออขยายฉีกชี้ละเอียดเข้าไปเรื่อยๆอย่างอาตมา จะไม่ใช่เป็นอย่างที่อาตมาพูดถึงนี้
เหลืออีก 9 นาที ขอไล่รูป 28 ให้ฟัง
มหาภูตรูป 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นอุตุแท้ๆ มันก็จะร่วมกันมาผสม เป็นร่างเป็นสรีระ สรีระของเราก็มีตาหูจมูกลิ้นกาย ซึ่งก็จะมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเข้าไปรวมกันอยู่ที่ใจ
อุปาทายรูป 24
ก. ปสาทรูป 5
จักขุ (ตา)
โสตะ (หู)
ฆานะ (จมูก)
ชิวหา (ลิ้น)
กายา (กาย)
ข. โคจรรูป, วิสัยรูป 4
รูปะ (รูป)
สัททะ (เสียง)
คันธะ (กลิ่น)
รสะ (รส)
โผฏฐัพพะ (สัมผัส)
(กายกับโผฏฐัพพะ ถือว่าเป็นอันเดียวกัน)
ปสาทรูปไปโคจรพบกันเค้าก็จะเกิดสภาพรับรู้ขึ้นมา ตาหูจมูกลิ้นกายมี 5 ใจมี 1
ให้เจ้าหนึ่งมันร่วมกับกาย 5 ซึ่ง 5 สอง 5 เป็น 10 เสร็จแล้วท่านก็เป็นนับหักออกครึ่งหนึ่ง นับเหลือแต่ 9 ไม่ไปนับ 10 เพราะถ้าไม่มีใจ ต้องมีใจร่วมด้วยจึงมี 5 คู่นี้ใจไปร่วมใน 5 คู่นี้ สำคัญที่สุดคือโผฏฐัพพะ ซึ่ง 5 นี้แหละเป็น 1
ตา หู จมูก ลิ้น กาย เอาไปครึ่ง, ใจเอาไปอีกครึ่ง โผฏฐัพพะก็เลยเป็น 9
ถ้าคุณไม่มีใจไปอยู่กับโผฏฐัพพะ ก็ไม่เกิดนามรูป สรุปว่า เป็น 10 แต่มานับ 9
ค. ภาวรูป 2
-
อิตถัตตภาวะ, อิตถินทรีย์ (ญ)
-
ปุริสสัตตภาวะ, ปุริสสินทรีย์ (ช)
ภาวะ 2 คือรูปกับนามกระทบกัน ต้องเรียนรู้รูปนามหรือเทวะ หรือกาย ก็คือ 2 แต่กายเป็นทีละคู่ 2 ต้องเรียนทีละคู่
โดยแยกเป็นความต่างกัน มีอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ เพศผู้ เมีย เพศชายเพศหญิง บวก ลบ เป็นต้น
จากภาวรูป 2 ก็ไล่ไปหา
ง. หทยรูป๑ = 12.หทัยรูป ที่ตั้งการเกิดอาการของรูป
อภิธรรมท่านไม่รู้ก็ไปเอาที่หัวใจที่เป็นอวัยยะ แต่ที่จริงไม่ใช่ หทยรูปไม่ใช่ที่อยู่หรอก แต่เป็นองค์รวม คำว่า ห คือความจริง, ท คือ ตัวมีสภาพแข็งแรงเต็มที่, ย คือพลังงานเริ่มต้น ตัวแรกของเศษวรรค
ส เป็นตัวที่ 5 ของเศษวรรค ใน ย ล ว ส ห ฬ อ
เมื่อมี ท มี ห มีความจริง มีความแข็งแรงหนุ่มแน่นสดใหม่ ย คือพลังงาน
มันจะมารวมกัน 3 เส้า ห ท ย ไม่มีที แต่ดูได้ว่านี่คือสภาวะของจิต ฆ คือ สภาวะหทยรูป
ตัวนี้แหละเรียนรู้ชีวิตของมัน เราจะเรียนรู้ความไม่มีชีวิตของมันดับชีวิตอินทรีย์ของมัน ดับมันก็สูญไป อุตุไปได้หรือดับมันได้ครึ่งหนึ่ง เป็นพีชะ
จ. ชีวิตรูป๑ = 13.ชีวิตินทรีย์ รู้ความมีชีวิตอยู่ของกิเลส
เราจะทำจิตให้มันเป็น อุตุหรือพีชะต้องดูพยัญชนะที่สื่อสภาวะพวกนี้ หากไม่พูดกับคนอื่นก็รู้ของตัวเองเท่านั้น เป็นปฏิพัทสัมผัสโสแล้วมีอธิวจนสัมผัสโสก็สื่อสารให้คนอื่นรู้ได้ จากนั้นก็เป็นเครื่องอาศัย
ฉ. อาหารรูป๑ = 14.กวฬิงการาหารจนถึงวิญญาณาหาร
เครื่องอาศัยพวกนี้ หรือจะขยายให้ยาวไปเลย ในอวิชชาสูตร
นิวรณ์เกิดจากอวิชชา
-
อวิชชา มีอาหารอาหารของอวิชชา คือ นิวรณ์ 5
-
นิวรณ์ 5 มีอาหาร คือ ทุจริต 3
-
ทุจริต 3 มีอาหาร คือ การไม่สำรวมอินทรีย์
-
การไม่สำรวมอินทรีย์ มีอาหาร คือความขาดสติสัมปชัญญะ
-
ความขาดสติสัมปชัญญะ มีอาหาร คือความขาดโยนิโสมนสิการ
-
ความขาดโยนิโสมนสิการ มีอาหาร คือความขาดศรัทธา
-
ความขาดศรัทธา มีอาหาร คือการไม่ได้สดับสัทธรรม
-
การไม่ได้สดับสัทธรรม มีอาหาร คือการไม่ได้เสวนาสัปบุรุษ
การไม่ได้เสวนาสัปบุรุษอย่างบริบูรณ์ย่อมยังการไม่ได้ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์
การไม่ได้ฟังสัทธรรมอย่างบริบูรณ์ย่อมทำความไม่มีศรัทธาให้บริบูรณ์
ฯล
คนไม่ได้ฟังไม่ได้คบอาตมาก็ไม่ได้ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ไม่ใช่ว่ารู้จักอาตมาว่าเป็นโพธิสัตว์เป็นสัตบุรุษแต่ก็นานๆทีมาพบไม่ใช่ ต้องมาคบคุ้นต้องมาฟังธรรมให้บริบูรณ์
-
การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .
-
การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
-
ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
-
การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
-
สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
-
ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
-
สุจริต 3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์
-
สติปัฏฐาน 4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
-
โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)