640210_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาเอกีภาวะประชาธิปไตยโลกุตระ
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1PjPHlszCuAQPstbBxDH-NTAsBlHN0BmFM27WXQ77jGo/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1-l5yIUawGwYPIwH2-jsaPom4Lmog-Q4y/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/uUe-_QkaoA8
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก วันที่ 21 ก็จะถึงงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ออนไลน์ กิจกรรมบางอย่างก็ทำได้บางอย่างก็ทำไม่ได้ แต่ละที่ก็ต้องกระตือรือร้นเพิ่มขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงตารางการจัดงานหลายอย่าง สวดมนต์เริ่ม 6 โมงเช้า ฟังเทศน์พ่อครู 6:30 น ใครมาฟังทำไม่ทันก็ควรจะพิจารณาตัวเอง ช่วงก่อนฉันไม่มีเทศน์ หากที่บ้านราชฯก็มาร่วมกันเต็มศาลา การมารับประทานอาหารร่วมกันจะทำให้ประหยัดทรัพยากรส่วนกลาง หากว่าตักไปรับประทานเองที่บ้านมักจะเหลือ เปลืองกว่า เราก็น่าจะทำกันให้เกิดสิ่งที่ดีแปลกใหม่ ใครไม่เคยมากินข้าวกับเพื่อนที่ศาลาก็เชิญมาร่วมกันได้ ทดสอบกันดูสัก 7 วัน ทำดีก็ต่อไปได้
พ่อครูว่า…มีกวี มา 2 เจ้า เจ้าหนึ่งก็ พันราศี ประชาโชติ ลูกของแม่บุญรุ่ง
เวทนาครากักตัว
การได้อยู่ผู้เดียวช่างดื่มด่ำ ไร้ถ้อยคำจำนรรจามาเสียบหู
ไร้จัดแจงจู้จี้สั่งชี้ตรู เมื่อมาอยู่คนเดียวสบายดี
ชอบเย็นๆเน้นเงียบสงบสบาย หากคุณวายใจหงุดหงิดเสียเต็มที่
ข้าวมีกินดินมีเดินเคลื่อนทีวี หนังโลกนี้เป็นของเราเอาจริงเชียว
อยู่ในภพสบเสพ สบายอยู่ ไม่ได้สู้ผัสะยางเหนียว
เพิ่มอัตตามิจฉาล้นอยู่คนเดียว อาจจะเลี้ยวหลงทางก้าวย่างไป
คำพ่อสอนตอนเดินบนถนนมรรค ต้องรู้จักเวทนาอาการไหว
เกิดทุกข์สุขชอบจังต้องอย่างใจ แล้วสร้างไฟแห่งฌาน เผาผลาญมัน
ทำจิตให้เป็นดินหมดสิ้นเสพ ไม่เป็นเทพที่ใฝ่ในสวรรค์
อ่านจิตตนบนสติที่สำคัญ พากเพียรพลันคั้นอนุสัยเรียนให้รู้
สร้างวิญญาณเป็นอุตุและพีชะ เสียสละเบิกบานสำราญอยู่
ทำเพื่อชนพ้นยึดมั่นสำคัญกู เฝ้าตามรู้เรื่องธรรมะเจริญพลัน
น้อมกราบพ่อขอสัญญาในครานี้ ชีวิตที่ยังเหลือพอขอสร้างสรรค์
ปฏิบัติบูชาศรัทธาครัน ขอฝ่าฟันตามรอยพ่อไม่ท้อเลย
วิเวกวังเวง
เมื่อวสันต์หมดสิ้น สำแดง
หนาวเหน็บเหมันต์แผลง ฤทธิ์ให้
ฤดูกาลย่อมเปลี่ยนแปลง ในโลก เสมอมา
เกิดดับอย่างนี้ไซร้ จวบฟ้าดินสลาย
วังเวงวิเวกเวิ้ง ราตรี
ลมพัดแผ่วไผ่สี ดีดพร้อม
ธรรมชาติขับดนตรี กล่อมโลก แล้วฤา
ดึกสงัดจิตสงบน้อม สู่ห้วงแห่งธรรม
โควิดเอยพิษร้าย รุนแรง
มัจจุราชร่วมแสดง สหให้
มหาอำนาจกำแหง หฤโหด ฤาเพื่อน
รวยลาภหรือยากไร้ โรคเว้น ฤามี
มีชาวพุทธกลุ่มน้อย ในไทย
อยู่อย่างย้อนยุคสมัย แน่แท้
ใกล้กลียุคบรรลัย ยืนหยัด สงบเฮย
ท้าพิสูจน์พุทธแล้ อวดโลก ฤาไฉน
กลัวนักมักอ่อนล้า หวั่นไหว
กล้านักบ้าบิ่นไป ไป่รู้
ตระหนักควบคุมใจ คงมั่น
ไม่ตระหนกจิตสู้ ศึกร้าย มลายสูญ
10 กุมภาพันธ์ 2564
อ.เป็นต้น นาประโคน ผู้ประพันธ์
ดั่งบุญ ธิดาพญาแร้ง ผู้บันทึก
มาสู่ sms
SMS วันที่ 7 ก.พ. 2564
_บัวดาว พรมเลิศ : ดีค่ะลูกทุกคนมีความปราถนาดีต่อพ่อครูสูงสุดที่ให้พ่อครูมีชีวิตที่ยืนยาวประกาศธรรมะให้ผู้ที่ใส่ใจศึกษาได้ประโยชน์มากๆเท่าที่จะมากได้ พ่อครูมีเมตตาต่อทุกชีวิตนั้นเองค่ะ
_Sarayut Bunyago (สรายุทธ บุญญโก) : โดนด่าหยาบคายขนาดไหนจิตพ่อครูก็ไม่ไหวติง กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า…อันนี้ไม่ใช่ว่าโดนด่าแต่หน้าด้าน ไม่ใช่ แต่ว่า เป็นการไม่ต้องทนแต่เป็นการรู้ด้วยปัญญา ว่า อ๋อ อันนี้เป็นคำด่า ด่าก็คือเขาด่าเขาไม่ชอบใจ ถ้าเขาด่ามาโดยไม่ให้เหตุผลเลย ด่าสาดเสียเทเสีย บางทีพยัญชนะด่ามาเลอะๆเทอะๆสาดเสียเทเสียอาตมาก็สาดเททิ้งไปไม่ใยดี คนนี้อารมณ์ไม่ดี ด่าด้วยไม่มีกุศลเจตนา ไม่มีจิตที่หวังดีอะไรต่อกันเลย ถ้าคนที่โกรธอาตมา โกรธเคืองแล้วด่ามาอาตมาจะพอรู้ว่าเขาด่ามาเพราะโกรธเคือง คนด่าแบบสติเสียกับด่าเพราะความโกรธ เขาบอกเหตุผลหลักฐานมามันต่างกันใช่ไหมกับคนด่าแบบสาดเสียเทเสีย ถ้าคนที่มีเหตุผลมีหลักฐานอ้างอิงพูดกันพอจะมีเนื้อความเนื้อหาสาระ แต่หากด่าอย่างสาดเสียเทเสียมีแต่คำหยาบคายอันนี้เราก็สาดต่อ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นการด่าก็ควรจะด่าให้มีคุณวุฒิวัยวุฒิอะไรบ้าง
_ตุ๊ก อัศวิน : ได้ฟังพ่อครู..ตอบข้อสงสัยของเหล่า FC แล้ว..สนุกสนาน ราวกะขอบเกาะสนามชมเทนนิส ‘วิมเบิลดัน’..เจ้าค่ะ ได้ธรรมรส ได้เจริญในธรรม ได้เจริญปัญญา..!!ได้เห็นสภาวะตนเองด้วย…เจ้าค่ะ นอกจากไม่มีโกธะ..ยังรื่นเริงในธรรม..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ดี ฝึกไปแล้วเราจะมีความก้าวหน้าในการประพฤติปฏิบัติอย่างไร
_แก่นนวน มาลัยขวัญ : น้อมกราบนมัสการพ่อครูมาด้วยความเคารพเจ้าค่ะ. ลูกปฏิบัติธรรมกับพ่อครูนับตั้งแต่ปี. 2530. ไม่เป็นคนเก่ง. แต่. ไม่วอกแวก. สงสัย. ฟังธรรมพ่อครูระยะแรกๆไม่ค่อยรู้เรื่อง. ไม่เข้าใจ แต่ไม่ทิ้ง. ระยะต่อมาเข้าใจเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ปฏิบัติตนไปกับกระบวนการกลุ่มของชาวอโศก. ถือศีลห้า. ละอบายมุข. กินมังสวิรัติเป็นพื้นฐาน. ปฏิบัติสมาธิ. แบบลืมตา ณ ปัจจุบันทำให้ยิ่งมั่นใจว่าพ่อครูคือพระอรหันต์. เจ่าค่ะ
อรหันต์สายนั่งหลับตาเป็นอรหันต์เก๊ทั้งบาง
_สิรภพ สุขพูล : ฟังธรรม พ่อครู สมณะโพธิรักษ์ วันนี้ ผมรู้สึกสงสารพ่อครูมาก ที่ท่านเกิดมาชาตินี้ มาสอน ธรรมมะ ในยุคนี้ เพราะศาสนาพุทธ ทุกวันนี้ มันเพี้ยน ไปเกือบหมดแล้ว ผมเข้าใจ คำว่าอรหันต์ครับ .แต่คนในสังคม ยังเข้าใจไม่ได้เลย เขาเข้าใจแบบ เทวนิยม หมดเลย ผิดหลักคำสอนของศาสนาพุทธ โม้ทเลย ผมเองเข้าใจอยู่ แต่รู้สึกเหนื่อย หน่าย และท้อไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ กับใคร เห็นพ่อครู แล้ว เหนื่อยแทนครับ และสงสารท่านมากครับ กราบนมัสการครับท่าน
พ่อครูว่า…ขอเสริมที่คุณสิรภพพูด เพราะทุกวันนี้คนเข้าใจอะไรหันเก๊ อรหันเพี้ยน เป็นพระอรหันต์กัน อันนี้ขอยืนยันเขาทำทำเนียบพระอรหันต์ในประเทศไทย มีกี่รูปนะ
ซึ่งต้องขออภัยอย่างยิ่งต่อท่านที่เป็นภันเตของอาตมา อาตมายืนยันว่าท่านทั้งหลายทั้งหมดที่รวมไว้นั้น เป็นความเห็นเป็นทิฏฐิเดียวกัน ก็จึงยอมรับกันว่าเป็นอรหันต์ เพราะฉะนั้นอรหันต์ทั้งหมดนั้น ถ้าเป็นอรหันต์จริงก็เป็นอรหันต์จริงหมด ถ้าเป็นอรหันต์เก๊ ก็เป็นอรหันต์เก๊กันหมดเพราะอยู่ในกรอบทิฏฐิเดียวกัน ก็ขอยืนยันว่าทั้งหมดเป็นอรหันต์เก๊ ไม่ถูกต้องตามคำสอนพระพุทธเจ้าที่เดียว เราไม่ได้ข่ม แต่พูดความจริงวิจัยวิจารณ์ทางวิชาการ ตามความเป็นจริง สายเหล่านี้ทั้งหมดนั้น หลับตาปฏิบัติ สายเหล่านี้ทั้งหมดนั้น ปฏิบัติหลับตาปฏิบัติ ไม่ใช่จรณะ 15 วิชชา 8 เพราะฉะนั้นมิจฉาทิฏฐิแล้ว ทางปฏิบัติคนละทางเป็นมิจฉาทิฐิ 100% จะเป็นอรหันต์จริงหรือว่าอรหันต์ถูกต้องไม่ได้ อันนี้อาตมาต้องพูด ถ้าจะบอกว่าไปว่าท่านทำไมท่านก็ปฏิบัติดี อาตมาไม่เถียงในเรื่องพฤติกรรมของท่าน เป็นความดีงาม ท่านก็ไม่หยาบคาย ไม่เลอะเทอะอะไรมากมาย แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่ามันมิจฉาทิฏฐิ มันผิดของพระพุทธเจ้า แล้วมันเสียเวลา นี่ท่านทั้งหลายแหล่สิ้นมรณะภาพกันไปแล้วนี่ ท่านก็ไปอีกไกลไง วิบากมันเป็นวิบากบาป ขออภัยไม่ได้พยากรณ์นะ มันก็ต้องผิดต้องเป็นนรกก็เป็นภพบาป ภพผิด เพราะมันพาออกนอกทางของพระพุทธเจ้ากัน คนที่พาออกนอกทางของพระพุทธเจ้า จะโดยไม่เจตนาก็ตาม มันก็ผิดใช่ไหม มันผิด ยิ่งหลงทางอย่างสนิทเท่าไหร่ มันก็ยิ่งผิดจูงกันไปหนัก เต็มที่กันไปเท่าไหร่เท่าไหร่ มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ มันจึงเป็นความจำเป็นมากที่อาตมาจำเป็นจะต้องแย้ง จะต้องค้าน จะต้องเอามาอธิบาย เอามาชี้ชัด ยืนยัน แม้ที่สุดก็ต้องเอาตัวบุคคล พฤติการต่างๆของท่านมาฉีกชี้ว่าเป็นอย่างนี้ๆ อะไรเป็นอย่างไรบ้าง
อาตมาไม่ใช่คนกว้าง ไม่ใช่นักศึกษา ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์นักเก็บข้อมูล ก็เลยต้องขออภัยไม่ค่อยรู้จักมาก ก็ต้องขอบคุณท่านมหาบัวที่ท่าน อาตมารู้จักท่านมหาบัว นอกนั้นไม่ค่อยรู้จัก ประวัติรูปอื่นก็ไม่ค่อยรู้จัก เพราะมหาบัวเขียนไว้และได้เทศน์ออกอากาศ ทุกวันนี้ก็ยังมีสถานีของท่าน อาตมาก็ยังได้ข้อมูล ก็ต้องขออภัยอย่างยิ่งจริงๆต่อท่านมหาบัว
อาตมาหน่ายไม่ได้ แต่เหนื่อยนั้นเหนื่อย ท้อก็ไม่ท้อ แต่คุณเองไม่อยากพูดเรื่องนี้ แต่คุณไม่ใช่อาตมานะ แต่ขอบคุณที่เหนื่อยแทนอาตมา อาตมาหายแทนไปเยอะเลย คุณเหนื่อยแทน ก็ขอบคุณที่สงสารอาตมา
_เชวง กิจจะบรรณ์ : เจ้าคนที่จะตบพระตบสงฆ์มันฟังธรรมแบบไหน ธรรมะ รักษาโรค จิตเป็นตัวคิด ออกมาเป็น วาจา กาย จิตเป็นกุศล และอกุศล จะนำไปสู่นรก สววรค์ ไม่มีทางอื่น จิตไม่ดับไม่สูญ ตายไป กุศลมากกว่าก็ขึ้นสวรรค์ อกุศลมากกว่ากุศลก็ไปนรก รู้หนังสือก็ไม่เท่าปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ปรามาสพระอรหันต์ พระอริยะสงฆ์ เป็นบาป
พ่อครูว่า…เอาน่าไม่ต้องไปโกรธเคืองเขาหรอก ค่อยๆโอภาปราศรัยกัน
_แดง ลานกราบ : ถ้าใครถือศีลห้าหยาบกลางละเอียดไม่ได้ คือไม่ได้สมาธิใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…ถูกต้อง ถือศีลตั้งแต่ศีล 5 จะเริ่มเป็นสมาธิตามลำดับ เรื่องของสัตว์ก็จะมีสมาธิในเรื่องของสัตว์ตามลำดับ ศีลข้อที่ 2 ในเรื่องของพืชก็จะเป็นสมาธิจิตก็เป็นอธิจิตตกผลึกสั่งสมเป็นสมาธิ มันคนละเรื่องคนละบริบทกันคนละเหตุปัจจัย จะไปมั่วกันหมด นั่งหลับตาที่บ้านไม่ได้ไม่มีรายละเอียดพวกนี้ ที่อธิบายได้เพราะว่ามีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ จัดอะไรเข้าหมวดหมู่กัน ไม่อย่างนั้นศีลของพระพุทธเจ้าจัดไว้เยอะ ข้อ 1 2 3 ก็มีครบกระบวนการแล้ว ในโลกนี้มีของมีสัตว์ มีของ มีพืช และมีตาหูจมูกลิ้นกายใจของเรา โดยเฉพาะ ตาหูจมูกลิ้นกาย ข้างนอก ต้องเรียนรู้เป็นลำดับที่ 1 ก่อน แล้วเข้าไปหาใจก็จะเป็นศีลที่สูงขึ้น มีนัยไปหารูปภพ อรูปภพ ข้างนอกเป็นกามภพ
ผู้จะบรรลุอรหันต์จะต้องได้ “อรูปฌาน 4” หรือไม่
_Pa Vo (ภา โว) : พ่อท่านเทศน์ว่าการปฏิบัติธรรมให้ใช้แนวทางจรณะ 15 (ซึ่งมีรูปฌาน 4) และวิชชา 9 ขอเรียนถามว่าผู้จะบรรลุอรหันต์จะต้องได้ “อรูปฌาน 4” หรือไม่ครับ
พ่อครูว่า…อรหันต์มีอยู่ 2 ระดับ 1. อรหันต์ปัญญาวิมุติ 2. อรหันต์ อุภโตภาควิมุติ เมื่อเริ่มต้นอาสวะหมดสิ้นก็เริ่มนับว่าเป็นอรหันต์ได้เป็นปัญญาวิมุติ
อรหันต์ปัญญาวิมุติเป็นผู้หมดอาสวะสิ้น แต่ยังไม่สมบูรณ์หมดสิ้นด้วยอนุสัย
อนุสัยกับอาสวะ อาตมาเป็นผู้แยกให้ละเอียด ให้ฟังแล้วศึกษาไปตามลำดับไปเถอะ
อาสวะ ท่านเรียนด้วยสังโยชน์ 10
อนุสัย มี 7 สังโยชน์มี 10
สามข้อแรกเหมือนกัน ละไว้ในฐานที่เข้าใจ อนุสัยก็ต้องใช้สังโยชน์ 3 เหมือนกัน สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ถ้าไม่พ้น 3 ข้อนี้อย่าไปพูดถึงอนุสัยเลย สิ้นอวิชชานุสัยไม่ได้ก่อน ต้องสิ้นอวิชชาสวะก่อน จึงจะไปสิ้นอวิชชานุสัย ลำดับของสังโยชน์ 10 เจ็ดข้อหลังไม่เหมือนกันกับลำดับอนุสัย 7
สังโยชน์ 3 ข้อแรกสำคัญมาก ถ้าไม่ผ่าน 3 ข้อแรกอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่มีทางปฏิบัติให้หมดอาสวะอนุสัยได้เลย โดยเฉพาะตั้งแต่ข้อต้นคือ กาย สักกะคือของตน สักกายะคือกาย คือสภาวะ 2 รูปนาม ภายนอกภายใน หรือแยกจิตแยกกายอะไรบ้าง หากอธิบายคัดเฉพาะเรื่องกายก็จะได้เล่มหนึ่งเลย แต่ก็อยู่ในอีกหลายเล่ม
คำว่า “กาย” หากไม่ผ่านเบื้องต้น รู้จักสักกายอย่างสัมมาทิฏฐิพอสมควรเลย มันจะลึกลงไปถึงขั้นแยกกายแยกจิต ที่มีวินัยไว้เลยว่าให้อุปัชฌาย์ต้องสอนลูกศิษย์ที่บวชใหม่ รับผิดชอบ เมื่อบวชเสร็จต้องอธิบายขยายความอันนี้ก่อนอื่น ต้องให้แยกกายแยกจิตให้เป็น เพราะการแยกกายแยกจิต นี้ มันจึงจะสามารถรู้สภาวะของ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ได้
ถ้าไม่เข้าใจการแยกจิต ทำจิตไม่ให้เป็นสัตว์ ลดสภาวะที่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นจิต มีปัญญาเข้าใจ ถ้าเป็นสังขารอยู่ก็เป็นแค่ พีชะ ปรุงแต่งกันอยู่ ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ เป็นอย่างนี้ เป็นอนุปาทินกสังขาร สังขารที่ปรุงแต่งกันอยู่ อนุปาทินกสังขาร(สังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง) กับอุปาทินกสังขาร (สังขารที่มีวิญญาณครอง)
แม้แต่อุตุก็เป็นสังขาร โลหะ วัตถุ ดินน้ำไฟลม มันปรุงแต่งกันอยู่ แม้พลังงานมันก็ปรุงแต่งกันอยู่ แต่มันไม่มีจิตไม่มีวิญญาณมันไม่มีชีวะด้วย แต่มันก็เป็นสังขารรูปในระดับอุตุนิยาม เราอศัยอยู่นี่ มีหินมีดินมีไม้ ส่วนพวกพืชก็จะกลายเป็นอุตุทีหลัง เอาออกมาแล้วตัดลงมาจากต้นมันแล้ว มันก็ไม่เป็นชีวิตแล้ว มันก็ยังเป็นพืชอยู่ แต่ว่ามันหมดชีวะแล้ว มีแต่นับวันเป็นผุยผงเป็นดินน้ำไฟลมไปเท่านั้นเอง มันไม่มีจิตนั่นใช่ และมันไม่มีเวทนากับวิญญาณ
พีชนิยาม มีแค่สัญญากับสังขาร ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ มีรูป สัญญา สังขาร สามเส้านี่คือพืชหรือธาตุดินน้ำ มหาภูตรูป มี 3 เราอาศัยอันนี้ เพราะเวทนา ไม่มีทุกข์มีสุขมีบาปมีบุญมีกุศลอกุศลต่างๆ เราก็อาศัยอันนี้ ทั้งๆที่เรามีชีวิตเต็มๆอยู่นี้ จิตนิยามเราก็มีอยู่เต็มที่ แต่เราทำให้เป็น อุตุ พีชะ ได้
นี่คือความรู้คำสอนพระพุทธเจ้า ที่เอาธรรมะทั่วไปมาเลยไม่ได้ ต้องเรียนรู้จากสัตบุรุษจริงๆจึงจะเกิดปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ การปฏิบัติธรรมไม่มีผัสสะ ก็ไม่มีเวทนา ไม่มีเวทนาก็ไม่มีวิญญาณจริง เป็นวิญญาณสัมภเวสี วิญญาณล่องลอย ไม่มีที่ตั้ง มันต้องมีที่ตั้งทางตาหูจมูกลิ้นกาย กระทบสัมผัสจริง ทางตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก มันต้องมีสติปัฏฐานจริงๆจึงจะมีที่ตั้งให้การปฏิบัติ มีของจริงให้ปฏิบัติ ไม่อย่างนั้นไม่มีของจริงให้ปฏิบัติเลยเป็นการสร้างนิรมาณกายสร้างสภาพ 2 เนรมิตเอาเอง ทุกคนของใครของมันแล้วพูดกันไม่รู้เรื่องกายเป็น กาย 3 นิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย อันนี้ก็ยากที่คนจะเข้าใจ 3 กายนี้
สร้างภพชาติของตัวเอง แต่ละคนไม่เห็นส่งคนอื่นนะ อยู่ในภพในภวังค์ของจิตตัวเอง แต่มาทำเป็นมีสัญญาณกันเหมือนคนใบ้ ไม่ได้กระทบเห็นหรอกหรือบางทีก็มีแค่เสียง นอกนั้นได้ครบทั้ง 5 ทวาร แต่สมมุติ รู้จัก จากประเมินประมาณค่าเอาเรียกอุปาทานหมู่ตรงกัน เหมือนเห็นหลวงปู่แหวนนั่งบนเมฆตรงกัน เห็นหลวงปู่สด นั่งบนก้อนเมฆลอยบนท้องฟ้าร่วมกัน เป็นอุปาทานหมู่ เห็นกันเป็นหมื่นคน เหมือนคนเขาสะกดจิตคุณก็เห็นสิ่งที่ปลอมเหมือนกันหมด ฉันใดฉันนั้นเลย มันเป็นของลวงหลอก อุปาทาน
อย่างพวกที่เล่นไสยศาสตร์ อาทิเช่น อิทธิปาฏิหาริย์ มันเป็นเรื่องอุปาทานร่วม อุปาทานหมู่กันทั้งนั้นเลย แต่มันเป็นจริงนะ เขาเห็นผีเขาเห็นร่วมกันจริงๆ ไม่ใช่พีชเป็นคนเลยอย่างเช่นหลวงปู่แหวน เขาก็เห็นร่วมกันจริงๆ เห็นเหมือนกันแต่ของใครของมัน เรียกว่ากายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกัน กายเห็นรูปอย่างเดียวกัน แต่สัญญาข้างในจิตของใครของมัน ต่างกัน กายอย่างศเดียวกัน แต่สัญญาต่างกัน เป็นสัตตาวาส ยังไม่ถูกต้อง ก็ยังงงๆสับสนอยู่อย่างนี้ มันไม่ใช่ความจริง
จบที่รูปฌาน 4 ก็ถึงอรหันต์แล้ว หากเอาอรูปฌานก็เอาเพิ่มอีก ความละเอียดละออ
พอรูปฌาน จบได้ พอข้างในก็เป็นภพชาติ มีอากาศ สำหรับคนที่หยาบ แต่คนละเอียดก็เข้าไปอีก อย่างท้องฟ้าก็มีเมฆ แต่ถ้าไม่มีเมฆก็เป็นบรรยากาศสีฟ้า มันก็จะออกเป็นสีฟ้า สี Blue ตรงกัน ภาษาไทยเรียกว่าฟ้า สีฟ้า
ก็ค่อยๆเป็นไปนะ คุณภาโว อรูปฌานก็มีรายละเอียดอีกเยอะที่จะต้องอธิบายกัน
4125 : แต่ก่อนกินกาแฟพยายามกินสองมื้อไม่จุบจิบทำไม่ได้เลย พอเลิกกาแฟได้สองมื้อไม่จุบจิบง่ายมาก
พ่อครูว่า…มาปฏิบัติกับหมู่กลุ่มจะง่ายเลย จะเร็วด้วย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า มิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ หรือเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของศาสนา เพราะฉะนั้นพยายามเข้าหมู่กลุ่ม ซึ่งตรงกันข้ามกับมิจฉาทิฏฐิต้องปลีกจากหมู่ไปอยู่คนเดียว ประเดี๋ยวก็บรรลุเป็นอรหันต์ มันไปหาเหวมากกว่านะ
กินเลือก เลือกกิน กินไม่เลือก ไม่เลือกกิน ต่างกันอย่างไร
_หนูมีความสงสัยเรื่องการกินค่ะ คือ เลือกกิน กินเลือก ไม่เลือกกิน กินไม่เลือก มี 4 อย่าง
พ่อครูว่า…เลือกกิน อาตมาว่า จะสื่ออย่างไรก็ได้ เลือกกินกับกินเลือก
ไม่เลือกกินกับกินไม่เลือกนี่ง่ายกว่าเลือกกินกับกินเลือก ไม่เลือกกิน หมายความว่า กินไปตามมีตามได้ กับกินไม่เลือกอันนี้สารพัดกินน่ะ มันจะชิปหายวายป่วงเป็นพิษเป็นภัยเป็นกิเลสอย่างไร ซัดแหลกเลย เพราะฉะนั้นการกินไม่เลือกนี้เละเทะกว่าเพื่อน ไม่เลือกกินนี้ค่อยยังชั่วดีขึ้น ได้อะไรก็ตามมีตามได้
ทีนี้ไม่เลือกกินนี่ มาเลือกกินหน่อย หมายความว่าอยู่กับหมู่ เราก็ไม่เลือกกินได้ แต่ออกไปข้างนอกคุณไม่เลือกกินนี่เสร็จเลยนะ เขามอมเมาคุณพยายามให้คุณติด เอาพิษอะไรใส่ ขนาดคนปลูกผักยังไม่กล้ากินผักของตัวเองเลย มันมีสารพิษของตัวเองอยู่เยอะแยะอย่างนี้ก็มี หากไม่พยายามตรวจตราไม่เลือกไม่ไหวหรอก ทุกวันนี้โลกมันอำมหิตโหดเหี้ยม
เพราะฉะนั้นกินไม่เลือกนี่แย่กว่าเพื่อน ไม่เลือกกินถ้าอยู่กับหมู่ก็ได้ แต่ถ้าไม่อยู่กับหมู่คุณก็กินไม่เลือกนั่นแหละ
เลือกกิน กับกินเลือก อธิบายกลับไปกลับมาได้
เลือกกินนี้เลือกตามกิเลส กินเลือกก็เลือกตามกิเลสได้ เลือกกินก็เลือกให้ตรงที่ชอบที่จะกินก็ได้ คำว่า “เลือก” จึงอยู่ที่ใครจะสัมมาทิฏฐิหรือไม่สัมมาทิฐิ คุณต้องมีเจตนาเลือกกินเพื่อที่จะกิน อย่าให้เป็นกิเลสไปบำเรอกิเลสของเรา เลือกกินหรือต้องรู้จักเลือกว่าอย่าบำเรอกิเลสตน เลือกที่ตนติดมากๆออกหน่อย เอาที่ติดน้อยๆมาเพื่อปฏบัติตน หากเลือกกินบำเรอกิเลส ก็เลือกที่ตนชอบๆมากิน ข้อสำคัญต้องรู้ที่เจตนาของตนเองให้ได้
คนเรามีสองจิตในร่างเดียวกันได้ไหม
_ลูกอยากถามว่าคนเรามีสองจิตในร่างเดียวกันได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…คำว่า 2 จิต ต้องเข้าใจคำว่า 2 จิต คืออย่างไร คนเรามี จิตมี 2 ลักษณะได้ แยกจิตเป็นเจตสิก 2 เจตสิกเป็นอันดับแรกเลย คือ “กายิกเจตสิก” กับ “เจตสิกเจตสิก” ได้ อย่างนี้เป็นต้น เริ่มตั้งแต่แยก 2 ของจิตของกาย
เพราะฉะนั้นตั้งแต่เริ่มต้นที่จะเรียนรู้จิตก็ต้องรู้ตั้งแต่ กาย คือ กายกับจิต แยกกายแยกจิต จากจิตจริงๆก็จะมี 3 ขึ้นไปเราก็ต้องแยก 3
ซึ่งมี 2 ที่มันงมงายกันมากคือสุขกับทุกข์ เป็นคู่หนึ่งที่แยกกันไม่ออกหรอก กับไม่สุขไม่ทุกข์ก็อีกคู่หนึ่ง มันไม่สุขไม่ทุกข์คู่หนึ่ง ก็ต้องแยกให้ชัด แม้ไม่สุขไม่ทุกข์ สุขทุกข์ก็ยังพอแยกชัดยังง่ายกว่า แต่ไม่สุขไม่ทุกข์นี้ เขาก็มีนัยยะ มีสัจธรรมเป็นนัยยะว่า ไม่สุขไม่ทุกข์แบบหนึ่งเป็นแบบโลกีย์ แบบเคหสิตเวทนา บางทีเขาก็เรียกอุเบกขาเหมือนกัน ไม่สุขไม่ทุกข์มันเฉยๆ แต่มันไม่ใช่วิธีเอากิเลสดับ เอากิเลสออกกิเลสไม่มี แต่มันกดข่มกิเลส กิเลสยังอยู่ ดีไม่ดีกิเลสจะยิ่งหนา มีพลังอำนาจในการ ข่มได้เก่ง ยิ่งยากมากขึ้น
ซึ่งต่างจากกับเนกขัมมสิตอุเบกขา ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นภาษา ที่แยกเฉพาะอาการของสุขอาการของทุกข์ ถ้าเป็นเคหะสิตตะก็จริงๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ ลูกค้ามีปัญหาเหมือนกัน 5 ประการเบรคขาดเนี่ยไม่มีอาการยังไง มันอยู่ในนี้แหละเดี๋ยวกูจะอธิบายไว้เนี่ยเป็นพยัญชนะในภาษาบาลีประโยคคำบรรยายประภัสราแปลไทยในพระไตรปิฎกว่าจำไม่ได้ แล้วเรียกเป็นอุเบกขาไม่ได้ของโลกีย์ เพราะอุเบกขา มันมีลักษณะบริสุทธิ์จากกิเลส ปริสุทธา ซึ่งจะมีองค์ธรรมถึง 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา พระพุทธเจ้าแจกไว้ในธาตุวิภังคสูตร
5 ประการ อุเบกขานี้ มันมีกรุ๊ปปิ้งอยู่ในพระสูตรนี้ ที่ท่านอธิบายไว้มี 5 คำด้วยพยัญชนะ ซึ่งจะมีองค์ธรรมถึง 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
-
ปริสุทธา (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5)
-
ปริโยทาตา (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)
-
มุทุ (รู้แววไว อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ)
-
กัมมัญญา (สละสลวยควรแก่การงาน ไร้อคติ)
-
ปภัสสรา (จิตผุดผ่องแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ)
(ธาตุวิภังคสูตร พตปฎ. เล่ม 15 ข้อ 690)
เขาก็แปลเป็นไทยในพระไตรปิฎกว่า บริสุทธิ์ ผุดผ่อง อ่อน ควรแก่การงาน ผ่องแผ้ว อาตมาตั้งข้อสังเกตว่า ผุดผ่องกับผ่องแผ้ว อันไหนแจ๋วกว่ากัน
แต่อาตมาก็เอามาขยายความให้ชัดเจนคือ ปริสุทธา คือจิตบริสุทธิ์จากกิเลส ปริโยทาตา ก็คือจิตที่บริสุทธิ์ ขาวรอบ จากกิเลสเพิ่มขึ้นนั่นแหละ มันก็เจริญขึ้นบริสุทธิ์นั่นแหละ ยิ่งบริสุทธิ์เก่งกล้าขึ้น มันมีความชำนาญมีสกิล มีความเจริญมากยิ่งขึ้น ปริโยทาตา บริสุทธิ์มากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มุทุ คือแกนจิต มุทุภูตธาตุ ที่มีจิตเก่ง รับได้ทั้งสองนัย รู้จัก 2 ได้มากยิ่งขึ้น รู้จักเทวได้มากยิ่งขึ้น รู้จัก กาย ได้มากยิ่งขึ้น รู้จักสภาวะ 2 ของแต่ละแบบ แม้แต่โลกียะกับโลกุตระ แม้แต่เทวนิยมกับอเทวนิยม คู่สองของทั้งหมดเลย มุทุ จะรู้คู่ 2 ทั้งหมดแล้วรู้ความจริงเป็นทั้งหนึ่งเป็นจริงได้ 2 รู้กับความจริงนั้น มุทุ เพิ่มขึ้นตามบารมีของแต่ละคนสูงขึ้นๆ
เพราะฉะนั้นฐานจิต มุทุ ซึ่งเป็นฐานที่เจริญ เป็นตัวชี้บ่งว่ามีสภาพ 2 ซ้อนอยู่อย่างนี้ของผู้ที่ทำงานของพระพุทธเจ้า เรียกว่าเป็น เทวะ ที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆคือ มุทุ จึงสามารถเอาไปทำกรรมการงานกับคนอื่นๆได้ ไม่มีโทษภัยมีแต่คุณ แล้วก็ประมาณได้อย่างเหมาะสมมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 สามารถที่จะทำงานได้ดี เหมาะควร ได้สมดุล เป็นประโยชน์ต่อทุกๆบริบท ทุกๆกาละ ทุกๆเทศะ ทุกๆงานเลย
จะทำงานอย่างไรอย่างไรไป จิตก็ลงท้ายประภัสสร สะอาดบริสุทธิ์ ผ่องแผ้วผุดผ่อง ผ่องใสตลอดกาล ไม่มีแปดเปื้อนเลย ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น
_สู่แดนธรรม…เด็กคงหมายถึงว่ามีวิญญาณ 2 ดวงอยู่ในร่างเดียวได้ไหม เหมือนการเข้าทรงครับ
พ่อครูว่า…ไม่ได้ วิญญาณของคนอื่นกับวิญญาณของเราอยู่ในร่างเดียวกันไม่ได้
การเข้าทรงไม่มีวิญญาณคนอื่นหรอก มีแต่วิญญาณตนเอง วิญญาณคนอื่นคนไหนมาเข้าทรงเราไม่ได้ การเข้าทรงคือสะกดจิตตัวเองนั่นแหละ ตัวเองจะมีความสามารถความรู้เท่าไหร่มันก็แสดงออกตามที่ความเก่งของตัวเอง เป็นจิตสมาธิ จิตสมาธินี้ได้ทั้งโลกีย์และโลกุตระ แสดงออกเล่นฤทธิ์เดชได้ สะกดจิตตัวเองนี่แหละ เก่งเท่าที่ตนเองเก่ง คุณทำได้เท่าไหร่ก็เท่าที่จิตของคุณทำได้ ไม่ใช่การเข้าทรง ไม่ใช่เจ้าที่ไหนมาเข้าทรงอย่างที่จังหวัดภูเก็ตเขาทำกัน ไม่ใช่ เป็นแต่จิตของตนทำเองทั้งนั้น
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…เคยเห็นเขาเข้าทรง คนไหนๆก็มีท่าเดียวกันหมด มันต้องสั่น ก็ไม่เข้าใจทำไมต้องสั่นถึงจะเข้าได้ แล้วก็สั่นท่าเดียวกันหมดเลยนะ (พ่อครูว่า.. มีหลายท่า)
เวทนาของสัตว์ที่กินอาหารน่าอร่อย เป็นอย่างไร
_เวทนาของสัตว์ที่กินอาหารน่าอร่อย เป็นอย่างไร
พ่อครูว่า…ไปถามแทนสัตว์ทำไมเสียเวลา เอาของเราเองดีกว่า อันนี้ตอบเองว่าใช่เลย ถ้าคุณแยกเวทนาในขณะคุณกินอาหาร แยกเวทนาแท้เวทนาเทียมไม่ได้ คุณเหมือนสัตว์เดรัจฉานเป๊ะเลย ซาบซึ้งตรึงใจดีไหม มันเป็นอย่างนั้นจริงๆไม่ใช่อาตมาใส่ความ คนก็เพลินไป บางทีสัตว์มันก็ไม่รู้เรื่องหรอกมันอาจจะรู้สึกบ้างแต่มันจำนน บางทีมันมีอะไรใกล้ๆให้เลือกมันก็เลือกกินเหมือนกันนะ บางอย่างมันไม่ชอบมันไม่กินเลยนะ มันไปหาสิ่งที่ดีกว่านี้มันหาได้มันก็เอา อย่างนี้เป็นต้น นอกจากมันจำนนจริงๆมันทนเอาก็ต้องกิน แต่มันก็พอรู้ สรุปถามมาให้ตอบนี้เข้าทีเดียว
ถ้าไม่อ่านเวทนา อาการในขณะที่ทำงานโดยเฉพาะเรื่องกิน เรื่องอื่นๆก็เช่นกันเห็นรูปด้วยตา รับเสียงด้วยหู แยกไม่ออกว่าอันไหน เทียม กับ จริง
ต้องรู้จักเวทนาจริง ความจริงตามความเป็นจริงของความรู้สึกในความเป็นจริงนั้น รูปอย่างนี้ก็คือรูป อย่างนี้เรียกมุม อย่างนี้ก็เป็นเหลี่ยมมุมอย่างนี้ กลมหรือไม่ เงาก็เป็นอย่างนั้น สีอย่างนี้ อะไรต่างๆ ในรูป หลากสี ผสมกัน ก็ต้องดูของจริงตามที่เขาทำออกมาอย่างนี้ ส่วนคุณจะชอบไม่ชอบ อันนั้นแหละจะเป็นตัวเก๊ ผลักหรือดูด ตัวเก๊ ไม่ว่ารูปเสียงกลิ่นรสเหมือนกัน ต้องค่อยๆศึกษา ฟังดูก็อาจจะเข้าใจได้แต่เวลาปฏิบัติไม่ง่าย เราจะรู้ว่าเรายังติดยังชอบอันนี้ยังเก๊นะ รู้แยกออก เรายังมีชอบมีชังรู้นะ รู้ผีหลอก รู้มายา หลอกตัวเอง โง่ๆๆ จะเข้าใจเลย ว่าอ้อ..เรานี่ยังโง่ ถ้าเข้าใจตามที่อาตมาอธิบายแยกแยะทุกมุมเหลี่ยม คุณก็จะมีมุมที่จะรู้จักตัดสินได้เร็วขึ้น จะไวขึ้น จะบรรลุอรหันต์ได้ ตั้งใจ พระพุทธเจ้าสอนจะได้ปัญญาจะต้องหมั่นเข้าไปถามให้ท่านอธิบาย แล้วก็ฟัง
ถ้ารู้ว่าใครเป็นพระพุทธเจ้าใครเป็นสัตบุรุษ แต่ก่อนไม่รู้ แต่พอรู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าคนก็จะละอายที่ไม่ดีคุณเคยละลาบละล้วง คุณจะละอายมีเกรงกลัว มี 4 คำคือ 1. ละอายอย่างแรงกล้า 2. เกรงกลัวอย่างแรงกล้า 3. จะรักอย่างแรงกล้า 4. จะเคารพอย่างแรงกล้า ซึ่ง 4 คำนี้จะต้องขยายความ ความจริง ก็พอเข้าใจได้ใช่ไหม
ละอายอย่างหนึ่ง กลัวอย่างหนึ่ง รักอย่างหนึ่ง เคารพอย่างหนึ่ง มันไม่เหมือนกันนะ ไม่เชื่อเขาลบหลู่มารบกวนกันนานเลยนะลูกค้าเยอะ อย่างแรงกล้าทั้งนั้นเลย
มีคำว่า “ติปภัง” คือแรงกล้า
อย่างนี้เป็นต้น อย่างเช่นพูดให้ชัดเจน อาตมาบอกว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ บรรลุเอง เป็นสยังอภิญญา คนที่เขาไม่เชื่อเขาลบหลู่มานาน แล้วเขาก็เป็นผู้รู้ด้วยนะ มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะกว่าเรา ยอมรับนับถือกันเยอะ แต่เขาไปรู้สึกเมื่อใดก็แล้วแต่ โอ้โห ดีไม่ดี รู้สึกตรงที่ว่าเคยละลาบละล้วง เคยว่า เคยปรามาส เคยดูถูกด้วย เขาจะรู้สึกละอายไหม …ละอาย เพราะเขารู้ถึงความจริงแล้วว่าเป็นสิ่งที่น่าละอาย จะละอายจริงๆ มันเป็นความ ลึกซึ้ง นึกว่าตัวเองจะรู้สึก เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัส มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าคุณไม่ได้ทำไว้ก็ไม่ต้องละอายมาก แต่คุณก็จะรู้สึกตัวเหมือนกันว่า โถ! เราเองอยู่กับท่านมานานไม่ได้ปรามาสอะไร แต่ยังรู้ว่าท่านเป็นโพธิสัตว์ ท่านเป็นสัตบุรุษ ท่านเป็นพระพุทธเจ้า โธ่! เราเอ๋ย ก็จะรู้สึกว่าตัวเองโง่ โง่ ใช่ไหม อะไรจะโง่ ไม่เข้าเรื่อง
เพราะฉะนั้นคำว่า หิริโอตตัปปะ อันนี้ของท่านใช้ หิโรตัปปัง เลยนะ ที่ท่านแปลในปัญญา 8 ท่านใช้หิโรตัปปัง หิรินี้ละอาย แต่โอตตัปปะนี้แรงกว่า เกรงกลัว ในสัทธรรม 7 มีหิริโอตตัปปะ บางคน แค่หิริก็เลิกได้ แต่บางคนต้องกลัว หากบางคนมีหิริโอตตัปปะมาก แค่นิดเดียวก็กลัวแล้ว แต่บางคนต้องแรงมากถึงจะกลัว ต้องแรงมาก โอตตัปปะมาก ต้องกลัว อย่างนี้น่ากลัว ต้องทีหลัง มาซาบซึ้งทีหลัง อย่างนี้เป็นต้น
ฆราวาสกับนักบวชชาวอโศกมีข้อปฏิบัติต่างกันเช่นไร
_ลูกอยากรู้ว่า นักบวชชาวอโศกมีการปฏิบัติธรรมในแต่ละวันเป็นอย่างไรบ้างเหมือนหรือต่างกับฆราวาสอย่างไรบ้างคะ
พ่อครูว่า…ประเด็นคือ นักบวชกับฆราวาส ต่างกันอย่างไร (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
ต่างกันอยู่ที่ข้อกำหนด นักบวชมีข้อกำหนด มีศีล มีวินัย ส่วนของฆราวาสนั้นมีวินัยน้อยมีวินัยสามัญของฆราวาสด้วยกัน แต่ไม่ใช่วินัยของอาริยะ วินัยที่จะรู้จักกิเลส กับวินัยอยู่ด้วยกันจะต้องอย่างโน้นอย่างนี้ตามสามัญของโลก โลกเขาก็มีวินัยกันเยอะแยะ กลุ่มหมู่ไหนเขาก็มีวินัยกันเยอะแยะ ต่างกันมีวินัย มีศีล
ศีลของฆราวาส เรียนรู้ ฆราวาส มีศีล 5 เป็นหลัก จากศีล 5 เป็นอธิศีล ในข้อที่ 1 2 3 4 5 เป็นอธิศีล คุณก็ทำของคุณเอาเอง แต่ของพระหรือนักบวชของพุทธ มีเลย จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ชัดเจนเลย วินัย ก็อีก 227 ชัดเจนเลย ก็ต้องเป็นหลักสำคัญแล้ว เพราะสมัครเข้ามาก็มีกรอบให้ปฏิบัติได้ดียิ่งกว่า ท่านจึงเรียกว่ามาบวชนี้ มันจะบริสุทธิ์ดุจสังข์ขัดโดยส่วนเดียวดีกว่าฆราวาส ถ้าเป็นฆราวาสยิ่งคนตามใจตัวเองไม่แข็งแรงจะยาก ต้องมาบวชจะได้มีกฎระเบียบบังคับ ซึ่งเมื่อมีศีลมีวินัยแล้ว ก็ไม่ได้รีบร้อนให้คุณปฏิบัติทีเดียวจุลศีล 26 ข้อทั้งหมด ไม่หรอก ศีลอีกหลายข้อที่คุณยังไม่ถึงคุณก็เริ่มที่ศีล 5 เหมือนกัน
นักบวช ก็เหมือนกันต้องศึกษาศีล 5 ให้ได้ ทำต้นแล้วก็เป็นศีล 8 ศีล 10 ขออภัย นักบวช เริ่มตั้งแต่ ศีล 10 ถ้าเป็นพระเป็นเณร นักบวชเป็นพระ เณร เป็นนักบวชต้องเข้ากรอบศีล 10 ขึ้นไป แล้วเป็นต้นไป แล้วเป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อย่างสิกขมาตุ มีศีล 10 แล้วอธิศีลในตัวเองจนเป็นพระอรหันต์
จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล สิกขมาตุ ก็ไม่ได้ถือทั้งหมด จะไปขุดดินฟันหญ้าอะไรก็สบายกว่า เป็นพระเป็นเจ้าก็ลำบากกว่า มีวินัยมีศีล ไว้กำกับแล้ว ไม่ให้ไปทำ อย่างนี้เป็นต้น
สรุปว่าฆราวาสก็อนุโลมได้ตามสะดวก ไม่มีอะไรไปจับผิด มีศีลแค่เป็นฆราวาสศีล 5 ศีล 8 สำหรับ ศีล 10 ก็ไม่ได้เอาไปจับ แต่คุณทำอธิศีลให้เป็นพระอรหันต์ได้ในศีล 5 ศีล 8 ของคุณ อยู่ในกรอบบังคับฆราวาสบังคับแค่ศีล 5 ศีล 8 นักบวชนี้บังคับศีล 10 ขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นสามเณรเป็นต้นไป สิกขมาตุ เป็นต้นไป
_คนที่อยากให้ผู้อื่นที่ตนเองเกลียดตกอับย่อยยับหรือเป็นบ้าหรือแค้นมากจะบอกเขายังไง
พ่อครูว่า…คุณห่างดีกว่า คุณไปบอกเขาไม่ได้หรอก ตายได้นะ ทำเป็นเล่น คนนี้ต้องห่างไกลเลย
_ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์โกรธโจทย์ที่ทำให้ข้าพเจ้าเจริญ(ไม่ตกต่ำ) แต่ข้าพเจ้าเข็ดหลาบและหลาบจำไม่กล้าเข้าใกล้กับโจทย์นั้นอีก เพราะความอบอุ่นเป็นกันเอง เพราะความเป็นพี่เป็นน้องได้ถูกกีดกันแล้ว แล้วตีทิ้งไปแล้ว เรียบร้อยตั้งแต่วันที่ได้เห็นกิเลสกัน กิเลสคือหัวเชื้อจุลินทรีย์ทำลาย ส่วนยางอายคือหัวเชื้อจุลินทรีย์สร้างสรร ความเจริญหรือตกต่ำคือจุลินทรีย์เป็นกลาง
กิเลสไม่ใช่ความจริงหรือสิ่งมีชีวิตที่แสวงหา เรากินข้าวหมดไปหลายกระสอบเพื่อรอคำตอบจากของจริงคือ ใจเราคือพระเจ้า คือพระจิตของเราเอง กิเลสคือความจริงคือของจริง คือความไม่รู้คือความหลงตัวเอง คือความสกปรกของกายและใจ
ส่วนน้ำใจคือของจริง คือน้ำจริง คือน้ำสะอาดที่สามารถล้างความสกปรกชีวิตและใช้รดต้นอภัยได้ด้วยเพราะน้ำคือสารตั้งต้น และน้ำใจข้าพเจ้าถือเป็นสารตั้งต้นใหม่เจริญงอกงามฝ่ายเดียวสำหรับผู้มีน้ำใจ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าน้ำใจเป็นอริยทรัพย์ของโลกุตระด้วย เพราะโดยปรมัตถ์แล้วน้ำใจไม่ใช่ของโลกของๆโลก ผู้มีความเจริญคือผู้มีประโยชน์ตน ส่วนประโยชน์ท่านคือผู้มีน้ำใจ ซึ่งเป็นหน่วยกิตหรือคะแนนการบรรลุธรรม
อนึ่งการทำงานคือการทำหน้าที่ การทำหน้าคือการลดกิเลส ซึ่งเป็นรายได้ของเราชาวโลกุตระ ย่อมยินดีและเต็มใจในทุกการกระทำเป็นของๆตน คนจนคนรวยวัดกันด้วยน้ำใจ เป็นความจริงส่วนของจริง(ใจ) เป็นเครื่องยืนยันการันตี
(พ่อครูว่า…น้ำใจเป็นของโลกก็มีด้วย)
….
พ่อครูว่า…ไม่ไหว แต่ก่อนเคยอบอุ่นแต่ตอนนี้เห็นกิเลสแล้วชัดเจนไม่ไหว
นี่แหละเป็นภาษาที่ยังไม่แม่นในสภาวะ มันสลับไปสลับมาของตัวเอง เป็นสิริมหามายาจับไม่มั่นคั้นไม่ตาย ให้ศึกษาให้ดีๆ
ดูว่าคนนี้สนใจภาษามากเกินไป เอาภาษาไปเล่นคำความมาก หลงภาษามากๆเหมือนอย่างท่านเพาะพุทธ ไปติดในเรื่องเหล่านี้ ท่านมหาประยุทธ์สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ติดภาษาเยอะ ก็เลยช้า มันดูดีนะมันเพราะมันซาบซึ้ง แต่จะเป็นภัสสารามตา ไปเมากับภาษา
น้ำใจเป็นของโลกียะก็ได้ ของโลกุตระก็ได้ ให้คุณเข้าหาสภาวะให้หนักกว่าแต่ไม่คุณเข้าหาพยัญชนะมากไปแล้ว มันจะไปหลงพยัญชนะ มันจะซาบซึ้งกับพยัญชนะ จะรู้แต่ภาษาสวยๆ คมบาดจิตซาบซึ้ง มันจะเป็นอย่างนั้นมากเกิน ต้องเข้ามาหาสภาวะให้มากขึ้น
ตอบปัญหาเอกีภาวะประชาธิปไตยโลกุตระ
_หายโง่(สิริมา ศรสุวรรณ) : ขอโอกาสฝากคำถามพ่อครูดังนี้ค่ะ..กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพ…กรุณาอธิบายพฤติบทของ “เอกีภาวะ” ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบพุทธ…ในระบอบเผด็จการ..ในระบอบคอมมิวนิสต์..จะยกตัวอย่างองค์กรชาวอโศกก็ได้ค่ะ..กราบขอบพระคุณค่ะ…
พ่อครูว่า…คำว่า “เอกีภาวะ” แปลก่อน คือ ภาวะเป็นหนึ่ง เป็นปึกแผ่นรวมกันเป็นหนึ่ง เริ่มต้นจาก ไม่ทะเลาะกัน
อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านเรียงลำดับไว้
ไม่ทะเลาะกันอยู่สงบ แต่อาจจะไม่สามัคคีทีเดียว ขนาดลงไปถึงสามัคคี อาตมาก็ให้นิยามว่า สามัคคีคือ ความขัดแย้งอันพอเหมาะ ถ้าเป็น เอกีภาวะก็คือ ความขัดแย้งก็น้อยลงจนไม่มีความขัดแย้งกัน ก็จะมีมวลที่เป็นหนึ่ง เป็นอรหันต์ สัจจะมีหนึ่งเดียวมากขึ้นๆ ความขัดแย้งก็น้อยลงๆ แม้แต่อรหันต์ ก็ยังมีความต่างกันบ้าง สำหรับผู้ที่เป็นอรหันต์ที่ยังไม่เก่งอะไรก็จะมี ถ้าเป็นพระอรหันต์ที่สูงขึ้นก็จะรู้ว่าคนนี้ยังมีเศษจุกจิก แต่เขาก็รู้แกนของความสงบแล้วความเป็นเอกีภาวะ ความเป็นหนึ่งแล้ว
อย่างพวกเรานี้อยู่กันอย่างรู้จักแกนของเอกีภาวะได้ดี
ทีนี้ ของประชาธิปไตย กับของเผด็จการกับคอมมิวนิสต์
ของเผด็จการ เป็นหนึ่ง ข้าคนเดียว ข้าใหญ่คนเดียว เหมือนอย่างโดนัล ทรัมป์ แสดงบทบาทเด่นที่สุดเลย จะเอาตัวเองเป็นหลัก แต่ก็ต้องพึ่งพาผู้อื่นอยู่บ้างเท่านั้นเอง แต่เขาไม่ชอบใจใครก็เอาออกหมดเลย เอาอำนาจบาตรใหญ่เลย ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้นเท่าใด ตามใจตัวเอง จึงเป็นความเห็นของตัวเองผู้เดียว เผด็จการ
ส่วนรองลงมาเป็นคอมมิวนิสต์ ก็เห็นว่าผู้เดียวมันไม่ไหวหรอก อย่างนี้มันก็แย่สิ ขึ้นกับคนคนเดียวมันไม่ดี เอาหลายๆคนเป็นหมู่ก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นก็ตั้งกฎระเบียบขึ้นมาเป็นพลังหมู่ ตั้งกฎระเบียบต้องอย่างนี้เป็นหลัก เพราะฉะนั้นหมู่ทุกคนก็ต้องเอาระเบียบกฎเกณฑ์ เอากฎหมายเป็นตัวถือว่าใครจะผิดเพี้ยนไป แม้ว่าจิตของคนจะไม่สงบหรอก คนต้องเอากฎหมายเป็นหลัก คอมมิวนิสต์ก็จะเคร่งกฎหมาย เป็นคณาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์ เป็นพลังของคณะแต่ละคณะจะใหญ่จะเล็กขนาดไหนก็ของเขา คนอื่นไม่เอามาพิจารณา ให้สิทธิของคนกลุ่มเดียว ก็ดีขึ้นกว่าเผด็จการ
ส่วนประชาธิปไตยนั้น ทุกคนมีความเสมอภาคที่จะแสดงความเห็นได้ทั่วกัน แล้วพิจารณารายละเอียดเข้ามา ถ้ากลุ่มสังคมไหน ประเทศไหน มีจิตที่เหนือกว่าคณาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์ ต่างต้องเอาความรัก 10 มิติของอาตมาไปทำความเข้าใจให้ดีๆ อนุโลมปฏิโลมและคุณจะต้องมีคุณงามความดี เข้าใจคุณงามความดี ที่มันไปหายอดของโลกุตระมากขึ้น
เพราะฉะนั้นถ้าจะเป็นประชาธิปไตยจริงๆแล้ว ต้องเข้าเกณฑ์โลกุตระ คอมมิวนิสต์ยังมีอำนาจบังคับ เผด็จการยิ่งเป็นอำนาจของคนเดียวเลย คอมมิวนิสต์ก็เป็นอำนาจหมู่บังคับ แต่เป็นประชาธิปไตยแล้วไม่ใช่อำนาจบังคับ แต่เอาปัญญาเป็นตัวหลัก เข้าใจกันและปฏิบัติให้ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นคนจริงที่มีความถูกต้อง เสมอสมานกัน ตามกฎก็เป็นศีลสามัญญตา ตามความเห็นความเข้าใจของแต่ละคน ก็จะมีทิฏฐิสามัญญตา อยู่ร่วมกันได้
ประชาธิปไตยจึงไม่ใช่อำนาจบังคับ เหมือนอย่างเผด็จการและคอมมิวนิสต์ ใช้กฎหมายใช้หลักเกณฑ์เป็นข้อบังคับอย่างหนัก เพราะฉะนั้นอย่างเช่นอเมริกา กฎหมายเขาเคร่งครัดไม่ไว้หน้ากัน ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก เขาก็อยู่กันรอด คอมมิวนิสต์ก็เหมือนกัน กฎหมายเขาเข้มข้น ผิดเป็นผิดถูกเป็นถูก อยู่รอด แต่ว่าประชาธิปไตยมีความอนุโลมปฏิโลม
อย่างเช่นประเทศไทย ขับรถขับรากันยังเป็นนิสัยของคนไทย หรือเป็นจริตที่เป็นองค์รวมของจิต เป็นการอนุโลมปฏิโลมกันอยู่ ขณะนี้ผู้ที่ออกมารวนๆในประชาธิปไตย ที่ออกมาเห่าบ้องๆ ถ้าเป็นคอมมิวนิสต์เขาออกมาจัดการแล้ว ยิ่งเผด็จการยิ่งจัดการ ดีไม่ดีจะเอาตายเลยแต่ คอมมิวนิสต์ จะเอาไปแค่ขัง ถ้าเป็นเผด็จการพวกนี้ตายแล้วไม่เหลือ
ตอนนี้ก็ค่อยๆดู กำลังมีของจริงปรากฏการณ์จริง เปรียบเทียบระหว่างเมียนมาร์ กับไทย ซึ่งไทยนี้ ขอแถมอีก จะหาว่าซ้ำซาก บางคนอาจจะว่าพูดเอาดีเข้าตัว ก็ไม่ว่ากัน อาตมายอมรับ เพราะอาตมาทำจริง อาตมาพาออกไปประท้วง ไปปฏิวัติรัฐประหารรัฐบาล อาตมารู้ในตัวเองเลยอาตมาเอาจริงเอาจังเลยตอนนั้น เพราะฉะนั้นก็อยู่ยืนยาวด้วยกันยอมด้วยกัน เอาความจริงออกมาอย่างสงบเรียบร้อยจริงๆ จะยาวเท่าไหร่อาตมาก็เอา โดยอาตมาไม่รู้กำหนดได้ อาตมาถึงมี motto ว่า “ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆ หมดๆ”
ประโยคนี้สำคัญนะ “ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ” สำคัญนะ อันนี้ในอนาคต อันนี้จะสำคัญในความเป็นประชาธิปไตย แล้วก็ทำได้สำเร็จด้วย ยาวขนาดนี้อันนี้รัฐบาลแพ้ 3-4 รัฐบาลสำเร็จ โดยการปฏิวัติรัฐประหารแบบโลกุตระ ใช้ความสงบสยบปืนสยบระเบิด เอาชีวิตเข้าแลกเลย จะใช้ความดีซึ่งมีฤทธิ์อำนาจมีคุณงามความดีความถูกต้อง จนคนรับได้ และดีอย่างหนึ่งคนไทยเป็นคนมีปัญญา และเป็นคนมีธรรมะ มีแก่นโลกุตระ จึงรับได้
โลกุตระคืออะไร คือความสงบ เพื่อความไม่ทำร้ายใคร สูงกว่าคนทำร้ายคนอื่นได้สำเร็จ คนทำร้ายคนอื่นได้สำเร็จไม่สูงหรอกเป็นคนต่ำ คนยอมแพ้คนสำเร็จนี่แหละคือคนสูง คนขาดทุนสูงกว่าคนเอากำไร คนยอมแพ้เขา เป็นคนสูงกว่าคนชนะ
เราจะแรงก็แรงได้ คนแรงมาเราก็แรงไปได้ แต่เราไม่ยอมแรง แม้ที่สุดเขาจะฆ่าเรา เราก็ยอมให้ฆ่า เพราะเราเข้าใจว่า ธรรมะทำร้ายคนอื่น มันเลว ยอมให้คนอื่นทำร้ายมันก็ดีกว่าไปทำร้ายเขา เพราะเราไม่เป็นปัญหา ตายไปชาติหน้าเราก็เจริญขึ้น เพราะเรายอมให้เขาทำร้าย เขาทำร้ายมันเป็นบาปของเขาไม่ใช่เรา เราเข้าใจบาป เข้าใจบุญ เข้าใจกุศลอกุศล ชัดเจน
อันนี้เมื่อคุณธรรมผสมกันเข้าเยอะๆมันมีพลัง มีอำนาจพิเศษที่เป็นอจิณไตย เพราะฉะนั้นเอาความสงบไปสู้กับลูกระเบิด สู้กับปืน ชนะ มันเป็นไปได้อย่างไร คนถึงไม่เชื่อ โพธิรักษ์จะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ หลงตัวหลงตน มันมีอำนาจปฏิวัติ ก็ผู้ปฏิวัติก็ พลเอกประยุทธ์เป็นหัวหน้าคสช.เขาบอกว่า ผมขอยึดอำนาจ ก็ชัดเจนอยู่แล้วพลเอกประยุทธ์ปฏิวัติยึดอำนาจ เขาก็ยังถือว่าพลเอกประยุทธ์ปฏิวัติ แต่มีพฤติการณ์อย่างไร ไปบอกแค่ว่า ผมขอยึดอำนาจแล้วก็สำเร็จเลยแล้วก็มาบริหารเลยตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ ลงแรงอะไรล่ะ พลเอกประยุทธ์ลงแรงอะไร พวกเราไปลงแรงตั้งหลายปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2549 กว่าพลเอกประยุทธ์จะมาต่อ พ.ศ. 2557 รวมทั้งหมด 8 ปี
เราออกแรง 8 ปี พลเอกประยุทธ์ไม่ได้ออกแรงเลย ดูเหมือนรถถังก็ไม่ได้เอาออกมานะ มาบอกแต่ว่า ผมขอยึดอำนาจเท่านั้น ก็พฤติกรรมนั้นบอกได้เลย นักรัฐศาสตร์ทั้งหลาย เป็นการต่อไม้จากประชาชน
ของเรามีอย่างนี้ พลเอกปรีชา ปฏิวัติแล้ว บอกให้ปลัดกระทรวงออกมามอบตัว ยืนอยู่บนหลังคารถ มีภาพอยู่นะ ยืนยัน อาตมาจำได้ว่าวันที่ 11 พฤศจิกายน ก็ไม่มีใครรับต่อ มันใหม่มากไม่มีใครเคยทำ
ใครจะบอกว่าทวงบุญคนอาตมาก็ไม่ว่า แต่อาตมาเห็นความจริงของโลกเลยว่าประชาชนปฏิวัติด้วยมือเปล่า ด้วยความสงบนี้มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน มันต้องเป็นองค์ประกอบนะ ถ้าประชาชน ถ้าเหตุปัจจัยต่างๆมันไม่ลงตัว มันไม่สำเร็จนะ มันต้องมีเหตุปัจจัยลงตัวถึงสำเร็จ สำเร็จก็ยังต้องยืนยันถึง 3 – 4 รัฐบาล คิดดูสิ ใช้เวลาตั้ง 8 ปี ออกไปตั้งหลายรอบ ค่อยๆเก็บรายละเอียดหลักฐานครบได้ก็จึงสวยมาก ตั้งแต่ 2549 ถึง 2557 พลเอกประยุทธ์ถึงค่อยมาบอกว่า ผมขอยึดอำนาจ ไม่อยากพูดเลยว่าไม่อยากพูดจริงๆนะ ว่าพลเอกประยุทธ์มาชุบมือเปิบ ไม่อยากพูดคำนี้เลย เพราะถือว่าไม่เป็นอย่างนั้น ถือว่ามารับดีแล้ว เพราะคนไม่เข้าใจ ต้องใช้อาศัยตำแหน่งหน้าที่เป็นพลเอกเป็นหัวหน้า คสช. มันก็ถูกต้องตามฐานะก็ทำก็ได้มา แล้วพลเอกประยุทธ์ก็ค่อยๆปรับตัว ตอนแรกก็โดนว่าเป็นเผด็จการบอกว่าทหารปฏิวัติ จนพลเอกประยุทธ์ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าผมเคยเป็นทหาร แต่ตอนนี้ผมเป็นนักการเมือง ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมไม่ใช่ทหาร แต่ผมเคยเป็นทหาร เอาตำแหน่งทหารออกไม่ได้เพราะเป็นยศพระราชทาน อะไรต่างๆก็พูดไปหมด คนก็ยังเข้าใจไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เพราะมันฉีกกันไม่ออกมันเหมือนเหรียญสองด้าน เหมือนสิริมหามายา พูดอย่างไรมันเป็นทหาร บอกว่าไม่ใช่ทหารอย่างไร แล้วบอกว่าผมขอปฏิวัติยึดอำนาจแล้วไม่ใช่ได้อย่างไร คือมันไม่ได้ มันก็มีอะไรซับซ้อนอยู่ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่จริงๆโดยสาระสัจจะของมันคือ ประชาชนปฏิวัติรัฐประหารสำเร็จเรียบร้อย พลเอกประยุทธ์มารับไม้ต่อ แล้วก็บริหารมาตั้งแต่ยังไม่ได้เลือกตั้ง พลเอกประยุทธ์ก็มีฝีมือ มีความสามารถ ประชาชนก็ เฮๆๆ กี่โพลๆ จนปัจจุบัน ก็ยังเป็นที่หนึ่งอยู่ จริงมั้ยล่ะ ไม่ใช่เป็นเรื่องเล่นเมื่อไหร่ ไม่ใช่เรื่องลิเกละครเขียน script ขึ้นมานะ แต่เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น นี่ 6-7 ปีผ่านมาแล้ว พลเอกประยุทธ์ก็พิสูจน์ตัวเอง แม้แต่อาตมาก็ยังยอมรับว่า พลเอกประยุทธ์นี้ไปอีกหลายสิบปีเลย ตอนนี้อายุไม่ถึง 70 ปีเอาไปเลย บริหารร่างกายหน่อย แต่ดูท่าทีแข็งแรงอยู่ เป็นทหารรู้จักวิธีบริหารร่างกาย ก็คงจะแข็งแรงกว่าอาตมาได้ อายุ 80 ปีแล้วแข็งแรงเหมือนอาตมานะ บริหารไปเลยอายุ 80 ปี Joe biden ก็อายุ 78 ปี
อย่าทำเป็นเล่นไปนะ ถ้าเปลี่ยนพลเอกประยุทธ์ออกแล้ว เอาใครมา ตัวไหนล่ะ สุดารัตน์ หรือ ธนาธร เอ้า! มีม้ามืดตัวไหนอีกล่ะ มันไม่ใช่ของเล่นนะ แล้วประเทศไทยมาดีแล้วประวัติศาสตร์ของการบริหารปกครองของประชาธิปไตยมันสวยมาตลอดแล้ว อย่าทำเป็นเล่นเลยนะ อาตมาถึงบอกว่าไม่ใช่ไปหลงเชียร์อะไรหรอก แต่อาตมามีความจริงใจเท่าที่อาตมามีภูมิ จริงใจตามภูมิของอาตมา ซึ่งก็เห็นอยู่อย่างนี้
แม้แต่เดี๋ยวนี้ ของจีนก็เป็นระบอบคอมมิวนิสต์แปลง เอาประชาธิปไตยเข้าไปผสมผสานตามภูมิความรู้ของเขา จนกระทั่งเข้าตาประชาชนอยู่ ก็ว่าไป ก็มีตัวอย่าง
ตัวอย่างอินเดียกับตัวอย่างของจีน นี่เป็นคู่เทียบที่ลึกซึ้งเป็นอจินไตย อินเดียเป็นสายเจโตสายศรัทธา ส่วนจีนก็เป็นสายปัญญา เพราะฉะนั้นก็จะต่างกัน เปรียบเทียบกันไปเถอะ ส่วนประเทศไทย สายปัญญาและมีเจโตไล่เลี่ยกัน ใช้ทั้ง 2 ส่วนที่รู้จักสัดส่วนดี เพราะฉะนั้นจะเป็นประชาธิปไตยตัวอย่างของโลก ซึ่งไม่ใช่ทำเอาได้วันนี้ แต่มีรากฐานมาจากธรรมะพระพุทธเจ้า ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธมาจากโน่น…จนมาบัดนี้ ปลุกเชื้อประชาธิปไตยขึ้นมาเป็นประชาธิปไตยโลกุตระ ต่อไปนักรัฐศาสตร์จะเรียนรู้ว่ามีประชาธิปไตยโลกียกับประชาธิปไตยโลกุตระด้วยหรือ ขอยืนยัน ลึกซึ้งมาก
ประชาธิปไตยโลกุตระพระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบ เป็นผู้ออกแบบไว้ อาตมาเอาแบบมาใช้ ตามของจริงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นก็อาศัยเวลา อาตมาก็จะค่อยๆพูดอธิบายขยาย นักรัฐศาสตร์ นักการเมืองทั้งหลาย ก็จะค่อยๆเรียนรู้ เอาไปพิสูจน์ยืนยันกัน แล้วมันก็จะได้รับการยอมรับความจริงกันไปได้เรื่อยๆ อาตมาทำมาบ้างแล้วตั้งแต่โน่น ตอนนี้ก็มีหน้าที่อธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะมีขึ้นจากประเทศนั้นประเทศนี้ ที่เขาว่าประชาธิปไตย ซึ่งเป็นประชาธิปไตยไหนๆ ก็จะมีชื่อประชาธิปไตย แม้แต่อเมริกาซึ่งซับซ้อนมาก ใช้โลกียซับซ้อนเยอะ
SMS วันที่ 8-9 ก.พ. 2564
_0015 : โควิดมีส่วนช่วยเสริมสร้างคุณธรรมในมวลมนุษยชาติได้บ้างหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า…เรื่องของเชื้อโรคมาช่วยนี้อาตมายังไม่มีความรู้ที่จะอธิบาย ตอนนี้ค่อยๆรับมือไปค่อยๆเป็นไป พวกเราก็รับมืออยู่ ตามที่ผู้ช่วยคิดออกแบบให้พวกเรา พวกเราก็ปฏิบัติตาม อาตมาไม่ได้เป็นคนออกแบบนะ พวกเรานี้ที่จะรักษาตัวได้ขนาดนี้ คนอื่นเขาออกแบบมาทั้งนั้น ค่อยๆว่ากันไป
_โกศล สุขเล็ก : กำจัดกิเลสใด้ครั้งใดปัญญาก็จะใด้ตามมาครั้งนั้น..เจริญธรรม..ทุกท่าน
พ่อครูว่า…ถูกต้อง
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : ถ้าพ่อท่านเป็นนายก ท่านจะทำอะไรเป็นเรื่องแรกครับ
พ่อครูว่า…อาตมาไม่คิดให้เสียสมอง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ไปสมมุติมาทำไม
_ชาญณรงค์ จินดาธรรม : อ.แป้ง อ่อนน้อมถ่อมตนมากครับ ขอชื่นชมครับ
พ่อครูว่า…อย่าลอย อย่าเหลิง
มนสิการคือแดนเกิด กับ ผัสสะคือสมุทัยคืออย่างไร
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ในมูลสูตร 10 ข้อ2. มีมนสิการเป็นแดนเกิด(สัมภวะ) ข้อ3. มีผัสสะเป็นเหตุเกิด(สมุทัย)นั้นต่างกันอย่างไรคะ ตรงที่แดนเกิด(สัมภวะ) เป็นเหตุเกิด(สมุทัย)ต่างกันอย่างไรคะลูกน้อมกราบนิมนต์พ่อครูช่วยอธิบายให้ลูกได้เข้าใจด้วยค่ะ กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า…แดนเกิด หมายถึง เป็นสถานที่ เป็นที่ตั้งที่อยู่ เป็นแหล่ง ที่ตั้งเหมือนตากระทบรูปก็เป็นที่ตั้งเป็นแดนเกิด ส่วนสมุทัยนั่นเป็นเหตุให้เกิด มันก็ต่างกันอยู่แล้ว ถ้าจะเรียกด้วยภาษาที่เราเคยสมมติถึง 2 สภาพคือ Static กับ Dynamic
แดนเกิดก็คือ Static สมุทัยก็คือ Dynamic เหตุปัจจัยที่มันประกอบ 2 อย่าง ไม่น่าจะเข้าใจยากนะ มันห่างกันอยู่ สภาวะกับสมุทัย แดนเกิดกับเหตุเกิด
มีคำว่าสมุทัย พระพุทธเจ้าใช้อยู่ในอาริยสัจ 4 กับสมุทัยที่ใช้อยู่ใน “มูลสูตร 10”
-
มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)
-
มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)
-
มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)
-
มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)
-
มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)
-
มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)
-
มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
-
มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
-
มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน
-
มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน