640207_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ พระอรหันต์มาตอบปัญหาประชาธิปไตยแท้
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1MItqaaaN9N7E1nhQuuimMmy3O3ZjYs0OqIYRrwM7lgs/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1gkdCQiTMjZvMYbgkzZA9jG4wXpexdzoM/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/tdNdLBcIYKg
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้พ่อครูประกาศอิสรเสรีภาพ ข้อเรียกร้องที่พ่อครูเรียกร้องบ่อยๆ คือให้เพิ่มเวลาแสดงธรรม ทางทีมปัจฉาฯก็คุยกันว่าเพิ่มเวลาให้แต่มีเงื่อนไข คือ เราจะกำหนดเวลา 1 ชั่วโมงครึ่งเป็นต้นไป พ่อครูจะเกินเวลาก็แล้วแต่ แต่ถ้าสุขภาพไม่ดีก็ขอตัดแต่ก็แล้วแต่พ่อครู ก็ถือว่าให้เสนอความเห็นแต่ไม่ได้บังคับ พ่อครูจะปฏิบัติตามหรือไม่ก็เป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของพ่อครูเอง ยกเว้นวันจันทร์ ที่เด็กๆมาฟังธรรม เราก็คิดว่าเด็กอาจจะล้าเกินไป ก็ขอชั่วโมงครึ่ง บอกให้พวกเราได้ทราบ แล้วแต่พ่อครูจะชั่วโมงครึ่ง หรือหรือเกินกว่านั้นก็ได้ ไม่ว่ากัน แต่ว่าก็ดูตามความเหมาะควร
พ่อครูว่า…ก็ขอบคุณนะ ที่คณะพวกเราช่วยกันประชุมกันคุยกันตัดสินกัน เป็นความหวังดี อาตมาไม่ได้พยายามไปฝืนไปแย้งไปดันทุรัง เพราะว่า อาตมารู้ว่าพวกเราหวังดีเป็นความประมาณเป็นความคิดประมาณของพวกคุณ มันเป็นความหวังดีเป็นกุศลเจตนาแท้ๆซึ่งมันก็ดีมาก คนเรามีกุศลเจตนามันดี จึงพยายามเป็นไปตามที่ทัดทานมา ก็ว่าไป อาตมาก็ไม่ได้ไปหักด้ามพร้าด้วยเข่า เพราะทำมันก็ดูไม่ดีก็ทำไปตามที่อาตมาเห็นพอสมควร
7 คำถามเรื่องความมีสุขภาพไม่เหมือนคนทั่วไปของพ่อครู
_กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้า
กราบเรียนเสนอเพื่อพิจารณาตามสมควรค่ะ
“7 คำถาม คำถามจาก คำถามจากใจลูก(ๆ)”
ภายใต้ความเชื่อมั่นและศรัทธาอย่างสูงสุดว่าพ่อครูคือ “เทวดา” “Supra Standard” และ “I M” (independent Man) ในระดับ “ พระนิยตโพธิสัตว์” ความห่วงใยของลูกๆถึง 3ประการข้างต้นเป็นสำคัญ! แต่สัตว์จะเป็นหนึ่งเดียวคือสภาวะของ “อรหันต์/นิพพาน” ดังนั้นการแสดงออกที่ปรากฏย่อมล้วนแต่ “จริงใจตามภูมิ” ของแต่ละท่านแต่ละคน จึงมีความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย
7 คำถามนี้ประมาณว่าอาจมีส่วน “คลี่คลาย” ความข้องใจและ “คลี่ขยาย”ความเข้าใจเกี่ยวกับ “สุขภาพ” และ “ วิถีชีวิต” ของพ่อครูได้ ไม่มากก็น้อย ดังนี้
1.เกณฑ์วัด สุขภาวะ และความพอเหมาะพอดีในกิจวัตรกิจกรรมต่างๆของพ่อครูอยู่ที่ “เวทนา”ของพ่อครูใช่หรือไม่
พ่อครูว่า…ใช่ ก็ต้องเอาความรู้สึกเป็นหลัก ว่าเรารู้สึกประมาณอย่างนี้อย่างนี้ แล้วดูไปได้ก็เอา มันไปไม่ได้มันไม่ดีแล้วไม่ไหวแล้วด้วยการตัดสินตามเหตุปัจจัยเหมาะควรทุกๆปัจจุบัน อาตมาก็ทำอย่างนั้น
2.ค่าปกติในการตรวจทาง Lab ที่เป็นสากลในปัจจุบันมิอาจนำมาใช้ ในการประเมินความ “ปกติ” หรือ “ ผิดปกติ” ของพ่อครูได้ เพราะว่าผล Lab ของพ่อครูในสภาวะที่พ่อครูบอกว่า “ สบายดี” อาจ พบว่ามีค่า “สูง” หรือ “ต่ำ” กว่าค่าปกติของคนทั่วไปใช่หรือไม่ เช่น น้ำหนักตัว ระดับน้ำตาล และ จํานวนเม็ดเลือดขาว เป็นต้น
พ่อครูว่า…ก็ตอบได้ว่า ใช่ อาตมาเคยพูดเรื่องนี้ว่า Standard ของอาตมามันไม่ใช่ Standard ของคนสามัญปกติทั่วไป ของอาตมามันมีอะไรที่พิเศษอย่างที่คุณว่า Supra standard จะเอา Standard ของคนทั่วไปมาวัดมันก็อาจจะไม่ตรงทีเดียว อาตมาไม่อยากหักหาญ ก็ให้ยืนยันพิสูจน์ดูความเป็นจริงกันไปก็คงจะค่อยๆเข้าใจ คลี่คลายออกมาเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆแล้วความพิเศษของอาตมาหรือ Standard หรือSupra standard มันเดาไม่ได้คนทั่วไปก็เป็น Standard สามัญ เป็นสากลเฉลี่ยแล้วค่าเฉลี่ยเขาศึกษากันมาตั้งไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปี มันก็ใช้ได้ แต่ที่นี้คนโลกุตระของอาตมามันไม่ใช่คนสามัญทั่วไป โดยเฉพาะโลกุตระของอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 มันไม่ใช่ระดับ 4 ระดับอรหันต์ ระดับ 5 อนุโพธิสัตว์ ระดับ 6 อนิยตโพธิสัตว์ ระดับ 7 นิยตโพธิสัตว์
3.การเทศน์โปรดแต่ละครั้งของพ่อครูมีส่วนในการเพิ่มสัมประสิทธิ์ในการ “ ขยายอายุขัย” เพื่อสืบสานศาสนาหรือไม่ อย่างไร
พ่อครูว่า…อาตมามั่นใจว่า จนป่านนี้แล้ว อาตมาอายุ 87 ทำงานศาสนามาตั้งย่างเข้า 51 ปีแล้ว อาตมาก็อ่านจากความเป็นจริงที่เราผ่านมา ก็ตอบได้ว่า สัมประสิทธิ์ที่อาตมาพยายามพูดพยายามอธิบายเป็นสัมประสิทธิ์ระดับพิเศษ สัมประสิทธิ์หรือ coefficient ระดับโลกุตระที่เอามาใช้เพื่มขยายอายุขัย โดยเฉพาะทางนามธรรมทางจิต ทางรูปก็มีด้วย 8 อ. เป็นต้น ก็ประมาณและระมัดระวังตามนั้นอยู่ 8 อ.
ส่วนทางด้านนามธรรมนั้น อาตมาก็ยังไม่เก่งเท่าไหร่ที่จะเอามาอธิบายยังมีชื่อระบุ มีภาษาบาลีกำกับ อาตมาก็ว่า ยังไม่มีนะเพราะว่าพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะพระสมณโคดมท่านก็ไม่เคยอธิบายพวกนี้ไว้เลย แม้แต่พระโพธิสัตว์ต่างๆที่ในยุคพระพุทธเจ้า ท่านก็ออกความเห็นหลายๆอย่างอยู่ ที่นอกเหนือจากพระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็ไม่ได้มีสิ่งอันนี้ขยายความไว้ อาตมาเอง ก็เลยขยายความเป็นส่วนที่เป็นของอาตมาเอง ท่านอื่นๆก็คงจะยังไม่อยากขยาย ท่านก็ไม่ได้ขยายกันเท่าไหร่
อาตมาไม่ได้เป็นคนที่อ่านอรรถกถาจารย์ อรรถกถาจารย์ก็มีที่เป็นพระโพธิสัตว์อยู่ บางท่านนะ จะมีพิเศษไปไหนแง่เชิงบางอย่าง มีนัยยะมิติของท่านไปไกลได้สูงได้เก่งเป็นอย่างอย่างก็เป็นได้ ซึ่งอาตมาไม่ได้เอาอรรถกถาจารย์มา เพราะอาตมาเป็นคนช้าเป็นคนไม่เร็ว มันสมองพวกนี้ไม่เร็ว มันยังไงไม่รู้ ความหนืดๆมี ก็เลยเอามากไม่ได้ จะไปทำเป็นศึกษามากค้นคว้ามากจำก็ไม่เก่ง ปฏิภาณก็ไม่เลวนักมันก็เลยไม่ค่อยได้ได้ประมาณนี้ก็ค่อยๆเป็นไป อาตมาประมาณตัวอยู่
แต่กระนั้นคนหลายๆคนก็มองว่าอาตมาไม่เร็วแล้ว เขาก็ยังไม่ไหวแล้ว ก็เป็นจริง จะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะความรู้สึกของอาตมาของอาตมากับพวกคุณประมาณให้อาตมามันก็ให้เหมือนกัน แล้วคุณเห็นว่ายังต่างห่างจากอาตมาก็แน่นอน ก็มองสองขั้วสองอย่าง ก็ต้องต่างกันเป็นธรรมดา
สรุปง่ายๆก็คืออายุขัยอาตมาเชื่อว่าเป็นได้ ใช้พลังงานทางนามธรรมนี่แหละ จนกระทั่งอาตมาทำเป็นอวดดี ทำเป็นสูตรทางวิทยาศาสตร์ E=C(mc2 + A)
ซึ่งเป็นเรื่องทางวัตถุก็เอามาใช้ทางนามธรรม อย่าง m คือ มวล ก็ใช่ มวลทางนามธรรม อรูปในจิต
c คืออัตราเร่ง อันนี้ใช้ได้เหมือนกัน เป็นขั้นคูณหรือยกกำลัง ซึ่งเป็นอัตราของความเร็วความเร่งความเพิ่มประสิทธิภาพทางพลังงาน ก็คงพอเข้าใจได้
A คือ Abstract ซึ่งเป็นภาวะที่มันก็คือ mc2 นั่นแหละ อีกกรุ๊ปหนึ่ง + A เพิ่มระดับบวกยังไม่เชื่อว่าเป็นโคเอฟฟิเชียนท์ ต้องระดับคุณเป็นต้นไปเพราะฉะนั้น C ต้องเป็นระดับ x ถ้าบวก mc2 ถึง 4 ตัวก็เป็นยกกำลัง 2 ได้แล้ว ถ้าจะยกกำลังเพิ่มก็เป็นกำลัง 3 กำลัง 4 ไปตามลำดับอย่างนี้เป็นต้น พวกนักวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ก็คงพออาศัยฟังได้ อาตมาแย่ทางคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ ถ้าหากอาตมาเก่งก็คงจะไปทางนั้น แม่กะจะให้เรียนแพทย์ แม่เป็นคนขี้โรค ไม่แข็งแรง จนกระทั่งอายุ 40 ก็เสียแล้ว แล้วแม่อาตมาศรัทธาลุงที่เป็นหมอก็เลยอยากให้อาตมาเป็นหมอตามลุง แม่อาตมากับลุงสนิทสนมกันมาก ช่วยเหลือเกื้อกูลเลี้ยงดูกันมากว่าจะตายจากกัน แม่ป่วยเป็นวัณโรคลุงก็เอาไปรักษา ทั้งๆที่ลุงอยู่ในสายแพทย์ทางจิต โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ลุงของอาตมาก็เป็นผู้ดำริสร้างขึ้นมาเป็นน้ำมือเลย โรงพยาบาลศรีมหาโพธิ์จังหวัดอุบลราชธานี เป็นโรงพยาบาลรักษาทางจิตประสาท แต่แม่ป่วยเป็นวัณโรคก็เอาไปรักษาที่โรงพยาบาลนั้นเพราะลุงเป็นคนดูแลเองอย่างนี้เป็นต้น สุดท้ายก็เสีย เป็นโรคอยู่ตั้ง 2 ปีกว่า
สรุปแล้ว อายุขัยอาตมานี่ ใช้ความสามารถก็คงจะเป็นได้ อาตมาเชื่อว่าเป็นจริง ก็คงจะมีข้อบกพร่องอะไร ผู้ที่รู้ก็ช่วยแก้ไขปรับปรุงกันไป ก็คงจะแก้ไขได้ หรือมันตรงแล้วใช้ได้แล้วแต่เข้าใจไม่ถึงก็อาจจะเป็นได้อีกเหมือนกันก็ว่าไป
4.การตรวจรักษา และการเปลี่ยนแปลงการดูแลในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พ่อครูควรได้รับการถวายคำชี้แจง กราบขออนุญาตก่อนเป็นเบื้องต้นหรือไม่
พ่อครูว่า…ไม่ถึงกับขออนุญาตก็ได้ว่ากันมาสดๆก็ไม่เป็นไรอาตมาไม่มีปัญหา
5.พ่อครูกัดลิ้นเป็นแผลค่อนข้างใหญ่แต่หายเร็วกว่าคนปกติ พ่อครูบอกว่า “ อาตมาเป็นเร็ว ตายเร็ว” กราบขอคำอธิบายตามควรค่ะ
พ่อครูว่า…คือมันจะเร็วจะช้าอย่างไรก็พอได้ เป็นเร็วตายเร็วก็กำหนดให้เร็วให้ช้าอะไรพอได้ ตามประสิทธิภาพของอาตมานี่แหละ แต่ว่าอาตมาทำได้ประมาณหนึ่ง อย่างที่จะตัดสินทางจิต จะตัดจะต่อ ก็เร็ว เพราะฉะนั้นแสงเสียงอาตมาดูโทรทัศน์ทีละ 3-4 จอไม่มีปัญหาหรอกเพราะแสงเดินทางช้ากว่าจิตจะมาเยอะ จะตัดอันนั้นต่ออันนี้ ช่องไหนช่องไหน รับอันไหนมันทัน มันไม่เสียหายอะไร ดูจอนี้ ไม่เอา เอาจอโน้น เพราะว่าจริงๆแล้วคนเราจะรู้ได้ทีละหนึ่งเท่านั้นมันจะรู้ซ้อนกัน 2 อันไม่ได้หรอก แต่มันเร็วจนกระทั่งเหมือนกับอันเดียวกันเลย ซึ่งธรรมดาประสาทหรือว่าความเร็วความช้าของคนทั่วไปสากลธรรมดาปุถุชน ยังช้ากว่าความเร็วของพิเศษ โดยเฉพาะจิตใจที่ได้ฝึกฝนแล้วมันมีคุณสมบัติที่เร็วที่ไกลกว่าที่คิด
6.พ่อครูมีหลักการประมาณความพอเหมาะพอดีพอควรในเรื่อง อ. อาหาร เพื่อช่วยส่งเสริมสัมประสิทธิ์อย่างไร
พ่อครูว่า…เรื่องนี้อาตมาไม่ได้ถือเป็นเรื่องสำคัญเป็นเรื่องยิ่งใหญ่อะไรในอาหาร ซึ่งอาตมาว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันก็มีธาตุที่เอามาเลี้ยงรูปขันธ์ประมาณนั้นประมาณนี้ ก็ประมาณให้มันอยู่ได้มาสังเคราะห์เป็นสังขารขันธ์ โดยเฉพาะรูปขันธ์ อาตมาว่ามันไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากมายมันได้มีธาตุที่พอสมควรประมาณหนึ่ง แล้วก็สังขารปรุงแต่งกันอยู่อย่างพอเหมาะพอควร เราไม่ต้องการเทอะทะไม่ต้องการที่มันจะมีน้ำหนักใหญ่ เปลืองเปล่า ไปเอาแคลอรี่มาเพิ่ม อะไรที่มีน้ำหนักมากต้องใช้แคลอรี่ประคองร่างกาย จะทำให้เร็วไวก็ต้องใช้แคลอรี่เสริมซ้อน ก็ถ้าหากเบาๆเล็กๆปราดเปรียวแคล่วคล่องว่องไวดีออกจะตาย อาตมาก็ตั้งแต่หนุ่มจนถึงปัจจุบัน อาตมาพยายามอยากอ้วนพยายามบำรุงตัวเองนอนๆทำอะไรที่เขาบอกว่าจะอ้วน เคยทำอยู่ ตอนท้ายๆก่อนจะออกมาบวช เพิ่มน้ำหนักได้ถึง 60 กก.มีพุงนิดๆยื่นออกมาหน่อย ธรรดาทุกวันนี้ขนาดนี้อาตมา 47-48 กก.นี่กำลังไล่ๆ 48 กก.ก็เร่งกันอยู่ ชั่งน้ำหนักทุกวันวัดทุกวัน ตรวจสอบ ความดัน ทุกวัน ไม่หลังอาหารก่อนอาหารก็ดีแล้ว มีผู้โน้ตผู้จดหลายคน ผู้วัดก็วัดหมดตั้งแต่น่อง มาจนเดี๋ยวนี้เล่นกล้ามก็ขึ้นมานะ ก็ดีขึ้นมาพอสมควรไม่แห้งตามที่คนสามัญว่ามันแห้งไป มีอะไรบึ๋งบั๋งหน่อยก็น่าจะดี
7.การฉันอาหารของพ่อครูมีความจำเป็นหรือไม่ ที่ควรมีผู้ที่อยู่ในทีมสุขภาพ คอยชี้แนะว่า ควรฉันอะไร ไม่ฉันอะไร ฉันมาก- น้อยแค่ไหน โดยเฉพาะในช่วงที่กำลังฉันอยู่
พ่อครูว่า…อันนี้ก็ อาตมาก็อีกแหละ อาตมามองที่เจตนา เจตนาเขาดี อาตมาก็เคารพอันนี้มาก เขาไม่มีเจตนาร้ายแล้วก็มีความรู้เพราะมากๆก็เป็นพยาบาล ผ่านอาชีพผ่านงานมาจริงๆ ไม่ใช่เล็กน้อยก็ใช้ได้อยู่ ก็ดูแลกันมาหลายสิบปีก็เป็นไป ทีนี้คนหลายคนก็มองกันอย่างกับเป็นผู้บงการอย่างนั้นอย่างนี้ ก็คงจะรู้สึกว่า มันไม่น่าจะเป็นขนาดนั้น ก็เอาล่ะ อาตมาก็จะลองๆว่า ตามบ้างไม่ตามบ้างผู้ที่ดูแลอยู่ก็คงจะเข้าใจไม่มีปัญหาอะไรมากก็ค่อยๆปรับไปไม่ต้องปุบปับ ค่อยๆเป็นไปดีกว่า ก็เป็นความปรารถนาดีที่หลายคนมองก็แนะนำมา commentๆ มาตลอดก็ดี ขอบคุณ
ทำไมนักบวชชาวอโศกจึงได้คำนำหน้าว่า สมณะ
640207 คอมเม้นจากคลิปพ่อครูใน youtube facebook
_ถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า : พ่อครูเขาไม่ใช่นักบวชแต่เขาเป็นลัทธิที่อยู่อีกแบบหนึ่ง ตัวเขาเองก็บอกแล้วว่าเขาไม่ใช่นักบวช เขาสามารถทำอะไรก็ใด้ตามแบบที่เขาทำ (เข้าไปดูคลิปเก่าของพ่อครูเมื่อ10ปีก่อนตอนมีคดีกับกรมการศาสนา)
พ่อครูว่า…ท้าวความถึงตรงโน้น อาตมาถูกจับแล้วก็ห้ามไม่ให้ใช้ภาษาอยู่ในภาษากฎหมาย มันมีว่า ภิกษุ นักบวช นักพรต ฯ จะใช้คำเหล่านี้ไม่ได้มาตกลงกับอาตมา เราก็ยอมทุกอย่าง มาให้อาตมาใช้คำเรานั้นอาตมาก็ต้องอยู่ในฐานะที่อาตมาเป็นนักบวชหรือเป็นภิกษุหรือเป็นลูกพระพุทธเจ้าสาวกพระพุทธเจ้า แล้วจะให้อาตมาใช้คำอะไร ตกลง เปรียญ 9 เป็นนักกฎหมายที่เจรจา คุณจรวย หนูคง เป็นตัวแทนของทางเถรสมาคม ก็โทรศัพท์ติดต่อกันกับทางสมเด็จเจ้าคุณอยู่ด้วย พูดไปโทรศัพท์ก็ตกลงกันไปว่าจะอนุญาตตกลงให้อาตมาเป็นอย่างไร สุดท้ายก็มาเลือกได้คำว่า สมณพราหมณ์ ซึ่งไม่มีในภาษากฎหมาย ไม่ห้ามไว้ ก็เอาคำนี้มาเสนออาตมา อาตมาก็ว่าตกลงให้อาตมาเรียกตัวเองว่า สมณพราหมณ์ หรือสมณะก็ได้ ไม่เกี่ยงอะไร ก็ตกลงกันมาตั้งแต่บัดนั้น คุณคนนี้ว่า ไม่ใช่นักบวช ก็ใช่ แต่เราเรียกตัวเองว่า “สมณพราหมณ์” แต่มันยาวก็เลยเรียกว่า “สมณะ” ก็เรียกมาตั้งแต่วันนั้นจนถึงบัดนี้ ส่วนจะพาดพิงเป็นนักบวชเป็นภิกษุบ้างมันก็เป็นเล็กๆน้อยๆไม่ได้เจตนาตั้งใจว่าต้องเรียกฉันว่านักบวชหรือภิกษุ ก็ไม่ได้ยืนยันไม่ได้ไปแย่งชิงเอามาอย่างนั้น ให้สมณะเราก็สมณะมา
แม้แต่ในคำนำหน้า สมณะรัก โพธิรักขิโต, สมณะฟ้าไท สมชาติโก อะไรอย่างนี้ก็ใช้อย่างนั้นมาตลอดไม่มีปัญหาอะไร นามก็นาม ชื่อก็ชื่อ ไม่มีปัญหาอะไร
_สาธกา ปุระเตนนท์ : ชอบที่บ้านราช ที่พ่อครูสร้าง ความมั่งคงทางอาหารให้ มวลมนุษย์ประชาราช ปัจจัย 4 พื้นฐานมั่นคงก่อน และพัฒนามนุษย์ให้มีศีล ทาน ภาวนา วงจร ปุ๋ย อาหาร น้ำ วางผังโมเดลพื้นที่ใช้สอยได้ เหมาะสมตาม สภาพภูมิอากาศ ความลาดเอียงของพื้นที่ สอนลดความโลภ โทสะ กิเลส เพื่อเป็นวัฒนธรรมให้คนอยู่ด้วยกัน อย่างมีแก่นในธรรมะคะ
พ่อครูว่า…พูดถึงอาหาร พวกเราก็รักษาสถานะในการทำกสิกรรมของพวกเราอย่างนี้ไว้นะ นี่พูดถึงก็มีให้เห็นเลย
_ ทิฆัมพร เสือสีนวล : หวังดีไม่ผิดนะเทวทัต ไม่ได้ทองคำตาบัว ช่วยคลังไว้ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไง ท่านนั่นแหละนอกรีด ติตัวเองมั่งสิ่ นอกรีด ใช่พระหรือป่าว ผมว่าไม่ใช่ อยู่แค่ส่วนของท่านไปเถอะ องค์อื่นเขาดีกว่าที่ท่านเยอะแยะเขายังไม่กล้าพูด ไหนๆท่านพูดแล้วว่าเป็น อรหันต์ เพื่อลบคำสบประมาท เหาะไปวนรอบสนามหลวงสัก3รอบดิ่ ทีนี้คนจะเขื่อและเปลี่ยนไปฟังธรรมจากท่านทั้งประเทศ
พ่อครูว่า…ไม่ใช่พระนี่ก็ใช่แล้ว เขาไม่ให้เรียกว่าพระ เถรสมาคมโน่นเป็นพระ อาตมาไม่ใช่พระ แต่เป็นสมณะ ถ้าเขาดีกว่าจริงก็ต้องกล้าพูด ถ้าไม่ดีกว่าจริงก็เลยไม่กล้าพูด นี่คุณไปทำความเข้าใจอันนี้ให้ดี คนที่ยิ่งดีกว่าอาตมานี้ ขนาดอาตมายังกล้าพูดขนาดนี้ถ้าดีกว่าอาตมาปั๊ดโธ่ ยิ่งจะกล้ากว่าอาตมาอีก คนที่ดีกว่าอาตมาไม่มีทางที่จะไม่กล้าพูด มีแต่คนแย่กว่าอาตมาไม่กล้าพูดจริง คุณทำความเข้าใจแค่นี้ให้ได้ก่อนนะ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่สำคัญอยู่
ซึ่งคุณก็ยังเข้าใจแบบโบราณอยู่นะ เข้าใจอย่างเดียรถีย์เข้าใจอย่างปุถุชนคนทั่วไปว่าพระอรหันต์ต้องเหาะได้ หากเหาะไม่ได้ ยังไม่ใช่อรหันต์หรอก โอ้ คุณยังเข้าใจพระอนุสาสนีของพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย ยังไปเข้าใจความยิ่งใหญ่ในทางอิทธิปาฏิหาริย์อาเทสนาปาฏิหาริย์ของฤาษีคันธารี ฤาษีมัลลิกากันอยู่ ก็ยังไกลๆ ตอบได้ว่ายังไกล ให้ศึกษาให้ดีๆ
_ natthanan phumjun ณัฐนันท์ พุ่มจันทร์ : ขอกราบองค์อรหันต์หลวงตาสุดหัวใจ พอมาฟังคำท่านโพธิ..รุ้เลยว่า ทองคำกับขี้หมากองนึง ต่างกันยังงัย หมดศรัทธาแบบหมดหัวใจเลยท่านโพธิรัก มาวันนี้รุ้เลย ว่า ติดใบลานล้วนๆๆนี้แหละ พระสัทธรรมวิปลาส มีแต่พุดๆๆๆให้คนนั่งฟัง รุ้เลยว่า ขั้นสมาธิ ยังไปไม่ถึงไหน5555555
พ่อครูว่า…แค่คำว่าสมาธิคำนี้เถอะ อาตมาว่าคุณยังอีกนานกว่าจะเข้าใจสมาธิของพระพุทธเจ้ากับสมาธิทั่วไปที่คนยึดถือกันทั่วโลก สมาธิของพระพุทธเจ้านี้จะต้องเกิดตามหลังจรณะ 15 วิชชา 8 แล้วจะสั่งสมจิตเป็นอุเบกขา, ปริสุทธา, ปริโยทาตา, มุทุ, กัมมัญญา ปภัสสรา ตกผลึกกันเข้าสูงสุดก็เป็น สมาหิโต เป็นความหมายของจิตตั้งมั่นของศาสนาพุทธ หรือเรียกอีกศัพท์หนึ่งว่า สัมมาสมาธิ หรือสมาหิโต อยู่ในหมวดเจโตปริยญาณ 16 ใช้บัญญัติพยัญชนะตัวนี้ ซึ่งไม่ใช่สมาธิทั่วไปที่เขาเข้าใจกัน พระพุทธเจ้ากำกับสมาธิของท่านว่าเป็น “สัมมาสมาธิ” คำว่า “สัมมา” นี่ของพระพุทธเจ้า ถ้ามิจฉาก็คือแตกต่างจากของพระพุทธเจ้า ไม่ได้หมายความเป็นอื่นหรอก
มิจฉาทิฏฐิไม่ใช่ว่าคนเข้าใจอะไรผิดไปหมด ไม่ใช่ มิจฉาคือความต่างกันกับสัมมาของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้าจะสัมมาอะไรก็แล้วแต่ ในมรรคมีองค์ 8 ก็มี สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันต… อะไรพวกนี้ทั้งหมด สัมมาควบทั้งนั้น ตัวสุดท้ายเลยเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าไม่ใช่ สัมมา ก็ผิดเพี้ยนไปเป็นมิจฉาผิดเพี้ยนกันเป็นตรงกันข้าม
_ แซมแซม วิทยา : โอ้ย ทำไมกล้าปรามาสท่านขนาดนั้น ..
จริงๆมีองค์หลวงปู่หลวงตาอีกหลายๆท่านนะครับที่ฉันหมาก เช่น หลวงปู่ฤาษีลิงดำเป็นต้น และถ้าจะกล่าวโทษว่าการฉันหมากนั้นผิด งั้นหลวงพ่อคูณที่ท่านสูบบุหรี่ก็ผิดด้วยงั้นสิ รีบขอขมาท่านซะนะครับ จะไม่ใด้มานั่งเสียใจในภายหลัง
พ่อครูว่า…อาตมาก็ขอยืนยันอยู่ว่าอาตมาถูก ที่คุณเข้าใจนั้นยังผิด เอาแต่แค่ว่าคุณผิดกับอาตมา เข้าใจอย่างคุณก็ของคุณ ของอาตมาก็ของอาตมามันผิดกันต่างกัน ของคุณก็อย่างหนึ่งของอาตมานั้นก็อย่างหนึ่ง เอาเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน ไม่งั้นจะมากเกินไป หรือแม้แต่ของมหาบัว หลวงพ่อคูณ ของฤาษีลิงดำที่คุณยกตัวอย่างมานั้นก็เข้าใจ คุณเข้าใจแนวเดียวกันกับทั้งหมดไม่ได้เข้าใจมาทางอาตมาก็ศึกษาไป อย่าทิ้งกันนะ ดูติดตามฟังอาตมาจับผิดอาตมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆก่อน แต่การเพ่งโทษผิดอนุสัยเจริญเหมือนกันนะก็ค่อยๆดูว่าอาตมาถูกหรือผิดและเอาเถอะแนะนำมาก็ขอบคุณอย่าเพิ่งทิ้งกันแนะนำมาให้อาตมาต่อ
_ ติว โจ้ : ไอ้โล้นนนนน ห่มผ้าเหลืองเปลืองข้าวสุก ไอ้โล้น เดี๋ยวกูตบแว่นหลุด
พ่อครูว่า…คนนี้ดุโว้ย ห่างๆก่อนคนนี้ ดุๆ เอาน่า ก็ไม่เป็นไรทนฟังอาตมาไปเรื่อยๆนะอย่าเพิ่งทิ้งกันไม่เป็นไร อย่าเพิ่งตบจนแว่นหลุดเลย แต่ไม่เป็นไรถ้ามันไม่หักอาตมาก็เอามาใส่ใหม่ ถ้าขามันหักก็เอาไปซ่อมมาใส่ไหม
เครื่องวัดความเป็นอรหันต์ของสมณะโพธิรักษ์
_ พี่ซ่าส์ นาสวรรค์ : ท่านเอาอะไรเป็นเครื่องวัดว่าท่านคืออรหันต์ ท่านโพธิรักษ์
พ่อครูว่า…ถามดีมันน่าจะถามอย่างนี้แหละท่านเอาอะไรเป็นเครื่องวัด อาตมาก็ต้องมีเครื่องวัด เมื่อกี้นี้ยกตัวอย่างเจโตปริยญาณ 16 อาตมาก็พูดผ่านไปแล้ว เจโตปริยญาณ 16 ก็เป็นเครื่องวัดอ่านเวทนาในเวทนา เวทนา 108 นี่แหละเป็นตัวสำคัญที่ปฏิบัติแล้วจะรู้จักเนกขัมมะ คือการออกจากกิเลส เริ่มต้นตั้งแต่ออกจาก กาม ถ้าไม่ออกจากก็อยู่ในเคหสิตะ ถ้าออกจากกิเลสทางโลกได้ก็เริ่มเป็นเนกขัมมะมาได้เรื่อยๆปฏิบัติตามเวทนา 108 ตามสูตรของพระพุทธเจ้านี่แหละ อาตมารู้จักสภาวะกับพยัญชนะที่พระพุทธเจ้าตรัสเช่นเวทนา 108
มโนปวิจาร 18 กับ 18 คือ เคหสิตเวทนา 18 กับ เนกขัมสิตเวทนา 18
มันมี เวทนา 2 3 5 6 18 แล้ว 36 แล้วก็มี อีก 3 กาละ คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ก็จบเป็น 108
เพราะฉะนั้นตัวชี้วัดสำคัญก็คืออยู่ที่ มโนปวิจาร 18 คืออะไร
18 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 6 ทวาร เวลาปฏิบัติธรรมจะต้องมีความสัมผัสรู้ เวทนา ที่รู้สึก ทั้งเวทนา 6 จากการสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ แต่ก็ปฏิบัติธรรม กาย 5 ก่อน หมดรูปฌาน ไปสู่อรูปฌานต่อ
สัมผัสทั้ง 6 ทวารแล้วจะเกิดเวทนา 3 คือสุขก็ได้ทุกข์ก็ได้ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ ก็เป็น 18 ตากระทบรูป มีความสุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ ทั้งตาหูจมูกลิ้นกายเหมือนกันหมด
แม้ไปที่รูปฌาน อรูปฌาน ก็มีการลืมตาปฏิบัติหมดนะ หมดกามภพแล้ว ปฏิบัติกิเลสที่เหลือใน รูปภพ อรูปภพ ก็ยังลืมตาสัมผัสเป็นเหตุและกิเลสของเราก็ยังอยู่ข้างในเป็นอนาคามีภูมิก็ลดลงไปอีก รูปภพดับ ก็เหลืออรูปภพ ก็ยังต้องสัมผัสทางทวารทั้ง 5 อยู่ เป็นอรูปฌาน อากาสาฯ วิญญานัญจา อากิญจัญญา ก็ไม่หลับตาปฏิบัติทั้งนั้นแหละ ส่วนหลับตาปฏิบัติเป็นของฤาษีทั้งหมด ปฏิบัติหลับตาเป็น อสัญญีสัตว์ เป็นนิรมาณกายไปหมด เป็นเรื่องไม่จริงทั้งนั้นต่างคนต่างสร้างนิรมาณกายขึ้นมา เป็นวิญญาณเป็นอากาศอะไรเองหมดเลย
ให้ศึกษากันดีๆแล้วจะรู้จักว่าอาตมา ทำไมอาตมาถึงรู้ว่าตัวเองเป็นอรหันต์ อย่างที่อาตมาพูดไปคร่าวๆอาตมารู้สภาวะของพยัญชนะต่างๆ
เนกขัมมะจบแล้วเป็นอุเบกขา อาตมาก็เข้าใจได้เป็นภูมิของอาตมาเข้าใจเองในยุคนี้ไม่มีใครอธิบายอย่างอาตมาในยุคนี้ ขอยืนยันว่าเป็นสัจจะที่ถูกต้อง ผู้ติดตามศึกษาดีๆจะเข้าใจเพิ่มเติมขึ้นอย่างมากที่อาตมาอธิบาย
เช่นอุเบกขา 5 ดีนะอยู่ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐในธาตุวิภังคสูตรก็มีอยู่ ปริสุทธา, ปริโยทาตา, มุทุ, กัมมัญญา, ปภัสสรา
เวทนาต่างๆนี่แหละคือจิตที่สะอาดบริสุทธิ์จากอาสวะแล้วตั้งแต่เริ่มมีตั้งแต่สะสมเพิ่มเติมขึ้นเป็น ปริโยทาตา ส่วนปริสุทธาก็บริสุทธิ์ ส่วนปริโยทาตา ก็บริสุทธิ์มากขึ้นเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนปริมาณและคุณภาพ ที่ปฏิบัติไปก็เกิด มุทุภูตธาตุ เป็นธาตุจิตตัวกลางเลย มีทั้งบวกทั้งลบและนิวเคลียสหรือพลังจิตและปัญญา 2 สภาพเรียกว่าเป็นเทวะในตัวเอง
มุทุนี่ สองสภาพในตัวยิ่งเร็วยิ่งนิ่ง ในอันนี้ก็คือ แกนปฏิบัติก็คือสังกัปปะ 7 ปฏิบัติจะเกิด แกนสองแกน 6คือ มีแกนตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ แกนวิ่ง ส่วนแกนตั้งคือ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แยกกิเลสกำจัดกิเลสให้ได้ กำจัดกิเลสได้หมดกิเลส ปริสุทธา ก็สั่งสมตกผลึกเป็น อัปปนา ทำต่อไป อัปปนาก้าวหน้าไปเป็นพยัปปนา ก็ทำให้สูงขึ้นไปตามลำดับจน เจตโสอภินิโรปนา ก็มีแกนตั้งกับแกนวิ่งในสังกัปปะ 7 สมบูรณ์แล้วก็ไปอยู่ในจิตเป็นอภิสังขารเรียกว่าเป็น วจีสังขาร
สัมมาสังกัปปะ 7 ที่เป็นอนาสวะ เป็นมรรคของพระอาริยะ
ฝ่ายไตร่ตรอง-ริเริ่มเคลื่อนไหว (dynamic ขั้วลบ หรือ Kinatic)
-
ความตริ,ตรึก-แรกเริ่มนึกคิด (ตักกะ)
-
ความตรอง-คิดวิตกยิ่งขึ้น (วิตักกะ)
-
ความดำริ-มีความคิดปรุง (สังกัปปะ)
(วิมุติแล้วย่อมมีชำนาญในครรลองแห่งใจ จะคิด-ไม่คิด ก็ย่อมทำได้ตามประสงค์ เพราะมี “เจโตวสิปัตตะ”)
หมายถึงว่าเป็นการปรุงแต่งที่มีชื่อเรียกแล้ว วจีสังขารคือมีอธิวจนะ ตั้งชื่อเรียกแล้วก็เรียกไว้ในใจยังไม่ได้พูดเป็นภาษา ก็ปรุงแต่งอยู่ในจิตเป็นวจีสังขาร ซึ่งไม่ใช่ว่าจะกามที่เป็นมโนกรรมอยู่ในจิตปรุงแต่งจบ แต่เป็นตัวที่ 7 ของสังกัปปะ 7 อย่างนี้อาตมาฝึกอัตโนมัติทำอย่างนี้สำเร็จอย่างที่อธิบายซอยเข้าไปถึงสังกัปปะ 7 ให้ฟัง ทำสำเร็จเป็นอุเบกขา 5 จนกระทั่งอาตมาสมบูรณ์กิเลสหมด อาตมาก็รู้ว่ากิเลสหมดกิเลสของอาตมาตั้งแต่ กาม ก็ทำมาเป็นลำดับ หมดกาม ก็เหลือกิเลส รูปภพ ก็ทำต่ออีก กิเลสรูปภพหมดก็รู้อีก จนหมดอรูปภพ ก็เป็นอรหันต์
อาตมาก็พูดอย่างที่รู้ๆ อย่างที่เป็นอย่างที่เป็นได้อย่างนี้ เป็นพระอรหันต์อย่างนี้ก็เอามาอธิบายให้ฟัง ส่วนคุณจะเชื่อหรือไม่ก็จะไปบังคับให้คุณเชื่อไม่ได้หรอก ฟังแล้วคุณจะเข้าใจหรือไม่จะเชื่อหรือไม่ก็เป็นตัวคุณเองจะไปบังคับไม่ได้ จะไปช่วยให้คนเชื่อคุณเข้าใจมันก็ช่วยไม่ได้ คุณต้องเชื่อตัวเองเข้าใจเองใช่ไหม อาตมาก็ได้แต่บอกความจริงของอาตมาเท่านั้นอาตมาก็รู้ว่าอาตมามีจิตที่หมดกิเลส ยิ่งนานมาจนถึงทุกวันนี้ยิ่งชัดเจนดูซิจะ 50 กว่าปีแล้ว ก็ยิ่งชัดเจนมันคงแข็งแรง ไม่ได้ล้มละลายอะไรเลย ไม่ได้หวั่นไหวอะไรเลย ยิ่งชัดยิ่งมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
แล้วจะให้อาตมาพูดอย่างไร นับวันอาตมายิ่งมีอาสโภ มีความกล้าหาญที่จะพูดความจริงอย่างนี้ หลายคนบอกว่ามันอปกวดตัวจังเลยพูดอย่างหนักแน่นมั่นคง แล้วจะให้อาตมาพูดอย่างเดียวอย่าพูดซึ่งทำอย่างนี้ได้อย่างไรก็ต้องพูดความเป็นจริงเต็มคำ พูดด้วยสำนวนไทยๆเหมือนจะยียวนในที แต่มันไม่ใช่ แต่อาตมาเน้นความจริงให้ฟัง ฟังดีๆแล้วจะได้ปัญญา สุสูสังลปเตปัญญัง สรุปแล้วอาตมาย่อมรู้ตัวเองตามที่อาตมาศึกษาตามพระพุทธเจ้ามาที่รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน วิจัยวิจารณ์แยกจิตพวกนี้ให้รู้เองเป็นเอง จึงรู้จบของตัวเองว่าเราเป็นพระอรหันต์เราจบกิจ อย่าว่าแต่พระอรหันต์ธรรมดาเลย พระอรหันต์โพธิสัตว์ระดับ 7 พูดความจริงอย่าเพิ่งหมั่นไส้กัน
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไทว่า…ถ้าจะให้เขาเข้าใจพระอรหันต์อย่างที่พ่อครูอธิบาย เขาคงเข้าใจได้ยาก เพราะว่าเขาไม่มีสภาวะหนึ่ง แล้วเขาก็ได้ความรู้จากพระทั่วไปให้รู้นิ่งเฉย ไม่มีวิจัยวิจารณ์ แต่สิ่งที่พ่อครูอธิบายในหนังสือประวัติของท่านในเล่มที่ 2 อธิบายว่าการปฏิบัติธรรมต้องมีวิจัยวิจารณ์อยู่ตลอดเวลา
ออกป่าปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งผิดพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้
_ Rew Chanel ริว ชาแนล : ใครเป็นครูเป็นอาจารย์ของท่าน ในเมื่อท่านไม่มีครูมีอาจารย์ค่อยแนะนำสั่งสอนให้ถูกต้อง แล้วท่านว่าท่านเป็นพระอรหันย์ แล้วมันใช่หรือ ขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังคงมีครูอาจารย์สอนเเนะนำไปในทางที่ถูกที่ควร
พ่อครูว่า…แค่นี้คุณก็เข้าใจผิดว่าพระพุทธเจ้ามีครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ลบหลู่ครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่ามีครูบาอาจารย์คือท่านไปหลงอยู่ตรงนั้นเป็นลิงลมอมข้าวพอง เขาปฏิบัติอย่างไรท่านก็ออกไปบำเพ็ญแล้ว เขานิยมกันออกป่าท่านก็ออกป่า ออกไปดูอาจารย์ที่เขาลือกัน ก็ไปพบอาฬารดาบส ท่านก็ปฏิบัติหลับตาตาม นั่งได้ 3 ที่ 7 ท่านก็ได้เรียบร้อย ต่อมาท่านก็บอกว่าอย่างนี้ท่านได้แล้ว มันไม่ใช่ ท่านก็รู้ว่าไม่ใช่ มันเป็นของผิด ไปพบอุทกดาบสซึ่งได้ ฌาน 8 แบบฤาษีนั่งหลับตานี่แหละ ก็ได้ฌานที่ 8 สูงกว่า ท่านก็รู้ว่านี่มันยังไม่ใช่ที่ถูกต้อง ท่านก็จากไป ก็ไปอะไรต่างๆนานาจนกระทั่ง 6 ปี ไปตามฤาษีต่างๆ ที่เขาทำทุกรกิริยาอยู่ในหมู่ที่เขาบำเพ็ญกันปฏิบัติกัน เขย่งเก็งกอย กินขี้จนไม่มีขี้จะเหลือทรมานตัวเองอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านก็ทำตามเขาหมดทำได้ยิ่งกว่าเขาทุกอย่าง การที่จะอดทนได้ ในอินเดียเขาก็ยังทำกันอยู่จนบัดนี้
ท่านก็ทำอย่างนั้นจนถึง 6 ปี ซึ่งเป็นการใช้หนี้วิบากที่ท่านได้ไปดูถูกพระพุทธเจ้าองค์กัสสปะตอนที่เป็นโชติปาละมานพ… เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา 6 ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกขีโณ)(ล.32 ข.392)
อาตมาตอบได้ว่าอาตมาเป็นอรหันต์ ใช่ คุณก็ตรวจสอบตามศึกษาให้ดี
พระพุทธเจ้ามาเกิดในร่างของเจ้าชายสิทธัตถะในปางที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าสมณโคดมท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ ท่านปฏิบัติศาสนาพุทธบรรลุมาแล้วขึ้นแท่นแล้วพร้อมลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงมาตรัสรู้โปรดโลกมนุษย์ ท่านพร้อมแล้ว ถ้าไม่ได้มาปฏิบัติธรรมอะไรมีแต่มาใช้หนี้เป็นลิงลมอมข้าวพองใช้หนี้ในสิ่งที่ท่านได้ละเมิดมาท่านก็พูดไปแล้ว นี่อาตมาเป็นคนอธิบายความจริงพวกนี้ ถ้าธรรมดาสามัญไม่สามารถอธิบายอย่างที่อาตมาพูดนี้ได้หรอก ฟังดูบางคนจะหาว่าอาตมาไปลบหลู่พระพุทธเจ้าไปตำหนิพระพุทธเจ้าซึ่งก็เป็นความจริงที่อาตมาบอกว่าอันนี้คือสิ่งที่ยังไม่สมบูรณ์มันก็เป็นสิ่งที่ผิดพลาดอยู่ สิ่งที่สมบูรณ์คืออะไรอาตมาก็ขยายความให้ฟังให้ฟังด้วยดีจะเกิดปัญญา
_ขวัญ : มีน้องผู้หญิงคนนึง เขาทำงานโรงเชือดไก่ของครอบครัว เขาพยายามจะถือศีล8 แต่พ่อบ้านไม่ยอม แม่และพี่สาวก็ไม่ยอม หาว่าบ้า โรคจิต อะไรก็กิเลส แม่เขาเคยพาน้องเข้าอโศก ทีนี้ พวกเขาโกรธขวัญมาก หาว่าขวัญไปสอนให้ครอบครัวเขาแตกแยก พวกเขาบอกว่าใครมาหมอเขียว หรืออโศก จะพาเลิกกัน แต่เขาโกรธขวัญมาก โทรมาด่า มาขู่ห้ามสอนคนอีก จะร้องเรียน จะเอาเรื่อง ถ้าไม่หยุดสอนคน หลวงปู่โปรดเมตตาแนะนำลูกน้อยอย่างพวกเราได้ไหมคะ
พ่อครูว่า…ก็หยุดสอนเขาก็แล้วกัน แล้วก็ทำตัวเองไปเรื่อยๆจนมีอินทรีย์พระมีกำลังแห่งปัญญา กำลังแห่งเจโต สูงขึ้นพอจะมีปฏิภาณปัญญาพูดกับเขาได้บ้าง ตอนนี้ยังไม่ได้ก็ปฏิบัติที่ตนก็แล้วกันไม่ต้องไปพูดไม่ต้องไปอยากให้เขาบรรลุให้เขาได้รู้ เอาตนก่อน
_SMS วันที่ 5 – 6 ก.พ. 2564
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกมาปฏิบัติธรรมตามพ่อครู ทุกวันนี้ลูกปลูกผักไชยา ทำปุ๋ย เพื่อแบ่งเพื่อนบ้านค่ะ และทุกเช้าลูกจะทำน้ำผักปั่นเพื่อแบ่งเพื่อนบ้าน วันหนึ่งขณะลูกเดินเอาน้ำผักปั่นไปให้เพื่อนบ้าน ก็มีกลุ่มผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่เห็นต่างทางการเมือง เขาเห็นลูกตัดผมสั้น เขาพากันหัวเราะลูก ก็อดทนเอาค่ะ ถึงแม้ลูกจะอดทนได้ยาก น้อมกราบนมัสการค่ะ
_ตุ๊ก อัศวิน : มีชีวิตอยู่ในยุคนี้..ซึ่งมี ‘กูรู้ ‘มากหลาย บ้างเรียงร้อยถ้อยคำสวยหรู บ้างอ้างพุทธพจน์
ทำให้เป็น งง หลาย!! ว่าคำสอนนั้น ใช่ หรือ มั่วนิ่ม ? จึงจำต้องอาศัย’มหาประเทศ ๔’ เป็นหลักนำไปประกอบการพิจารณาให้ถ่องแท้ ว่าถูกต้องตรงธรรมไหม…ซึ่ง มหาประเทศ๔ ล้วนชี้ลงไปที่ ลด ละ เลิก กิเลส ดังนั้น ธรรมหรือข้อปฎิบัติใดที่ ทำให้ กิเลส ลดลงๆๆๆ จึงจะ ‘ใช่’ เช่นนั้นใช่ไหมเจ้าคะ
พ่อครูว่า…ถูกต้องดีแล้ว
_ນາງເກດມະນີ ສູກສະຫວັນ : ຕອນເຊົ້າລຸກມາຟັງຈ້ຽທັມະ ພ້ອມຊາວບ້ານລາດທຸກວັນ
ຕອນແລງນັງຟັງທັມະພໍ່ທ່ານທຸກວັນ
นางเกดมณี สุขสวรรค์ : ตอนเช้าลุกมาฟังย่อยธรรมะพร้อมชาวบ้านราชทุกวัน ตอนแลงฟังธรรมพ่อท่านทุกวัน
_Nadam Sakon (นาดาม สาคร) : พ่อท่านอธิบายธรรมมะได้หลายมิติ 360 องศาได้สัดส่วนลงตัวเป็นสุดยอดศิลปิน
_แดง ลานกราบ : เห็นด้วยที่ฟังพ่อครูหลายๆรอบดีกว่าให้พ่อครูเทศน์สองชั่วโมงค่ะ
_เดชา อำพร : ใครจะเป็นพระกัจจายนะในยุคนี้หนอ มีให้เลือก 7 นักบรรยายแห่งอโศก
1.ท่านจันทร์ 2.ท่านซาบซึ้ง 3.ท่านฟ้าไท 4.ท่านถักบุญ 5.สม.สัจฉิกตา 6.สม.รินฟ้า 7.สม.กล้าข้ามฝัน อ้าว…โหวตกันได้แล้ว…
_ Bot Top บอท ท็อป : มาศีล 5 ข้อที่ฆราวาสยึดถือ ท่านปฏิบัติได้หรือยัง ถ้ายังไม่ได้ สมาธิก็คงไม่มี แล้วปัญญาจะมีได้อย่างไร
พ่อครูว่า…คุณพูดอย่างนี้ก็พูดถูกนะ ถ้าใครก็ตามศีล 5 ข้อนี้ยังปฏิบัติไม่ได้ ที่ฆราวาส ภิกษุก็เช่นกัน เริ่มต้นที่ศีล 5 ศีลต่อๆไป ศีล 5 8 10 เหมือนกัน อาตมาก็ตอบคุณไปตรงๆว่าปฏิบัติได้แล้วแล้วเอามาอธิบายให้พวกเราฟังปฏิบัติตาม พวกเราก็ปฏิบัติกันได้เยอะแล้วนะไม่ใช่แค่อาตมา นี่พูดแค่ ศีล 5 เท่านั้น ก็ตอบตามนี้ก็แล้วกันได้แล้วบรรลุผลเป็น อรหัตตผล ของศีล 5 ด้วย
_ คิมจอง อึน : มุมมองของศาสนาพุทธ ☸️ ในเรื่องของกรรม=นินทาว่าร้ายล้อปมด้อยคนอื่นพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่าผลที่จะได้รับคือ=บาป
แต่มุมมองของคริสต์ ✝️ในเรื่องนินทาว่าล้อปมด้อยผู้อื่นซึ่งพระเจ้าตรัสไว้ในคัมภีร์ไบเบิลว่าว่า=บาปขั้นร้ายแรงแบบชั่วกับชั่วกัน(หนักกว่าพุทธเสียอีกกฏหมายแม่งปท.ไทยเราทุกวันนี้ถึงได้ใจดีขึ้นทุกวัน)
พ่อครูว่า…จริง แต่อาตมาไม่ได้นินทาว่าร้ายแต่อาตมาพูดต่อหน้าเลย แล้วแต่คนเป็นๆอาตมาก็พูดถึง การนินทาคือว่าลับหลังว่าร้ายแต่อาตมาไม่ได้ว่าร้าย มีแต่ว่าที่ว่าผิดก็ว่าไม่ดีที่ว่าถูกก็ว่าดี พูดอย่างวิเคราะห์วิจัยเลยว่าอันนี้ดีอันนี้ผิด อันนี้ถูกอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี อันนี้เป็นโลกุตระอันนี้เป็นโลกียะพูดตรงๆเลย ไม่ได้มาพูดนินทาว่าร้าย
-
ไม่ได้นินทาว่าลับหลัง
-
ไม่ได้ว่าร้าย
-
ล้อปมด้อยคนอื่น
อาตมาพูดตรงเลย ไม่ได้ล้อปมด้อยใครเลย เอามาพูดตรงเป๊ะๆๆเลยจนกระทั่งกระแทกความด้อยที่เขามีจริง จนเขารู้สึกว่าคนอื่นโกรธแทนก็มี ตัวเขาเองก็ เขื่อง โกรธอาตมาก็ได้แต่อาตมาก็ต้องทนเอา ต้องชี้ให้เขารู้ตัว ไม่งั้นไม่มีใครช่วยได้ ขนาดอาตมาพูดอย่างตรงๆ อ้างอิงพระไตรปิฎก อ้างอิงสิ่งที่เป็นจริงในปัจจุบันต่างๆนานาพวกนี้ยังฟังไม่เข้าใจ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เอาให้เข้าใจให้ได้พยายามพากเพียรอยู่
พ่อครูว่า…อาตมาว่าอย่าไปอุตริใช้ชื่อเขามาเลยนะ
จิตเดิมแท้ไม่ใช่จิตบริสุทธิ์
_ Rich Richerman ริช ริชเชอร์แมน : การเป็นอรหันต์มันวัดกันตรงไหน.. สภาวจิตใช่ไหม/ นิกายเซ็นเขาไม่สนใจรูปธรรม รูปกาย/สนใจการทำจิตใจให้เข้าถึงจิตเดิมแท้…
ทัศนคติด้านศาสนาท่านคับแคบไปครับ./
พ่อครูว่า…อรหันต์วัดที่สภาวจิต ใช่ …จิตเดิมแท้
อันนี้ขออธิบาย การเอาคำว่าจิตเดิมแท้มาใช้สายท่านพุทธทาสก็พูด คนเข้าใจจิตเดิมแท้ไม่ได้ก็เข้าไปอธิบายว่าจิตเดิมแท้เป็นจิตสะอาดเป็นจิตประภัสสร อย่างเช่นท่านพุทธทาสอธิบายเลยว่าเด็กที่เกิดใหม่ๆสะอาดบริสุทธิ์จิตประภัสสร เมื่อโตขึ้นมาก็รับที่เหลือจากผู้ใหญ่ จึงเกิดจิตเศร้าหมองมีกิเลสเพิ่มขึ้น เกิดมาโอเคเขาบอกว่ามีจิตเดิมแท้เป็นจิตสะอาด นี่แหละคือความเห็นต่างระหว่างอาตมากับเขา
เกิดมาตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียวจนมาเป็นมนุษย์จนมาเป็นมนุษย์มาเรื่อยๆมีอวิชชาเป็นเจ้าเรือนมาตลอด จิตเดิม มีอวิชชาเป็นเจ้าเรือนมาแต่เดิมเลยยังไม่สะอาด จะมาสะอาดเมื่อพบสัตบุรุษพบพระพุทธเจ้าพบผู้รู้จริงๆสอนแนะนำให้แล้วจึงจะรู้วิธี เพราะวิธีเหล่านี้ทั้งพระพุทธเจ้าและสัตบุรุษผู้ที่รู้ความจริงเหล่านี้มาก่อนคิดเอาเองไม่ได้ฝันเอาเองไม่ได้ อันนี้เป็นเรื่องที่เขาเข้าใจผิดกันมากมาย
เมื่อเข้าใจผิดกันอย่างนี้จึงไม่มีวันจะถูกได้ แล้วจะทำอย่างไร หากจิตบริสุทธิ์มาตั้งแต่ต้นแล้วมารับกิเลส แล้วไปหลงเซ็นด้วย อาตมาอธิบายแล้วว่าจิตเดิมแท้เป็นอวิชชาหากไปเข้าหาจิตเดิมแท้ก็ยิ่งโง่เง่า
เพราะตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียวมันไม่รู้จักโลกุตระหรอก เมื่อมาเป็นคน อเวไนยสัตว์ก็ยังสอนไม่ได้ จนมาเป็นเวไนยสัตว์ที่สอนได้เริ่มรู้จักธรรมะสัตบุรุษฟังธรรมะพระพุทธเจ้า จากผู้รู้เป็นครูที่สอนได้จริงก็จะค่อยๆรู้ไปตามลำดับแล้วจึงบรรลุธรรมไปตามลำดับ ก็คือล้างกิเลสอวิชชาไปเรื่อยๆจิตก็ค่อยสะอาดไปเรื่อย เป็นจิตใหม่ไม่ใช่จิตเดิมแท้ เป็นจิตอื่นจากเก่าเรียกว่า อัญญา อัญญธาตุ ธาตุใหม่ จากโลกีย์เดิมๆ จิตเดิมแท้
จิตเดิมแท้จากท่านพุทธทาสเอามาเผยแพร่ท่านชอบแบบเซน ไปเอาอย่างท่านผู้ที่มีบารมีไว้แล้วเช่นพระพาหิยะทารุจีริยะ ฟังธรรม 4 ประโยคก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้นี่แหละแบบเดิม ก็จะเอาอย่างแต่ตัวเองไม่มีบารมีเท่า พระยสะฟังธรรมพระพุทธเจ้า 2 กัณฑ์ก็เป็นอรหันต์ เนี่ยเซ็น ซึ่งไม่รู้รากฐานว่าพวกนี้บำเพ็ญมาแล้วมีบารมีมาแล้ว เมื่อได้อะไรเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย
เช่นพระจูฬปัณฑก พระพุทธเจ้าให้ลูบผ้าข้าวก็เห็นความไม่เที่ยงของผ้าขาวและจิตใจตัวเองกิเลสตัวเอง ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้
อย่างเช่นพระพุทธเจ้าเองมาเจอกับเทวทูตทั้ง 4 ก็สะดุดใจว่าอย่างนี้ไม่เอา ก็มีสมณะให้เห็น ท่านมาบวชเพื่อแสวงหาทางออก ท่านก็บอกว่าจะเอาแบบนี้ จนวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 จึงระลึกชาติ ยามที่ 1 2 3 ระลึกได้หมดว่าเราบรรลุธรรมมาแล้วไม่ต้องปฏิบัติอะไรหรอก แม้ได้แล้วท่านก็ยังมาทบทวนอีกตั้ง 49 วันอย่างนี้เป็นต้น ติดตามดีๆแล้วจะได้รายละเอียดอีกเยอะ
_ เพชรแสงธรรม อนุชาติบุตรสกุล : เคยฟังอาจารย์แดงกีต้าร์พูดธรรมะอยู่ครับ พอมาฟังพ่อท่านแล้วรู้สึกว่ามันคนละเรื่องกันเลย อาจารย์แดงได้แค่ภาษาแต่พ่อท่านได้ปฏิบัติจริง , ถึงผมจะนับถือหลวงตามหาบัวแต่ผมก็ยังนับถือหลวงปู่สมณะโพธิรักษ์เท่ากันครับผม เพราะท่านทั้ง๒ก้อเป็นพระสุปฏิปันโนทั้งคู่
พ่อครูว่า…ดีแล้วค่อยๆเข้าใจไป ตกลง คุณก็เข้าใจอย่างนี้ไปก่อนไม่มีปัญหาอะไรศึกษากันไปเรื่อยๆให้ปฏิบัติอย่าเอาแต่เข้าใจได้แค่ฟัง
ทำไมประชาธิปไตยไทยดีที่สุดในโลกยุคลุงตู่
_ galaxy 4444 กาแลกซี่ 4444 : ผมเสื่อมศรัทธาในตัวคุณ เมื่อมาดูเทปนี้ คุณรู้ได้ยังไงว่ารัฐบาลชุดนี้มีประชาธิปไตยดีที่สุด การพูดว่าดีที่สุดของคุณอย่างไม่มีเหตุผลมันจะทำให้คนโง่และงมงาย ตอนนี้ผมยังเด็กพอมาเห็นคนแก่พูดแบบนี้รู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย
พ่อครูว่า…ก็ค่อยๆศึกษากันไปนะ ขอยืนยันว่าที่อาตมาพูดไม่ใช่พูดพล่อยๆพูดอย่างไม่มีหลักฐานความรู้ อาตมามีความเข้าใจประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้าซึ่งไม่ได้รู้กันทั่วโลก ไม่ได้รู้กันได้ง่ายๆประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเผยแพร่ธรรมะของท่านท่านก็เป็นประชาธิปไตยแล้วเป็นผู้ที่ไม่มีอัตตาตัวตน เป็นผู้ที่รับใช้มวลประชาชนมาตลอด แล้วก็มีหลักเกณฑ์มีธรรมนูญ คือ ศีล นี่แหละ เป็นธรรมนูญของท่าน เป็นจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ใครที่มาเข้ารีต ก็มาถือศีลตามหลักเกณฑ์นี้ กษัตริย์ของแต่ละแคว้นใหญ่แคว้นเล็กก็ยอมให้พระพุทธเจ้าหมด คนของท่านจะมาเข้ารีตพระพุทธเจ้าก็เอาไปเลยให้หมดเลย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งบารมีของพระพุทธเจ้าจริงก็ได้มาก พระพุทธเจ้าเผยแพร่ประชาธิปไตยในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์คนยังเป็นทาส ยังไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชนกันเลย ซึ่งอาตมาอธิบายมาหมดแล้ว
แต่ในยุคนี้ไม่ใช่ในยุคนั้นไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั่วโลกทุกวันนี้ ใครที่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่อย่างที่คิมจองอึนเป็น เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์เต็มใบก็ยังยาก คนก็ยังยากต้องระมัดระวัง แม้แต่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังมีความเป็นทาส หรือไม่ให้สิทธิมนุษยชนไม่สมบูรณ์ก็ไปไม่รอด แต่เมืองไทยนี้ พลเอกประยุทธ์ เป็นผู้ที่ให้สิทธิมนุษยชน ทุกวันนี้ที่เขาอนุโลมปฏิโลมกัน ก็ยังไม่รุนแรงให้ทำหน้าที่ไป พยายามรักษาความประนีประนอมปรองดองพยายามที่สุด แล้วก็ทำงานเต็มที่ แล้วก็กระเตื้องขึ้น กู้สถานะของประเทศไทยได้มากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา 28 รัฐบาล พลเอกประยุทธ์เป็นรัฐบาลที่ 29 อาตมาตามภูมิของอาตมา ก็ขอจบตรงนี้ก็แล้วกัน เห็นว่าประชาธิปไตยของพลเอกประยุทธ์เป็นประชาธิปไตยแนวเดียวกับพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นแนวเดียวกันกับของพระพุทธเจ้า อาตมาตอบไว้แค่นี้ก็แล้วกัน ซึ่งคนจะรู้ประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้ายาก หรือแม้แต่ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านตรัสไว้แล้วทำของท่าน ท่านรับใช้ประชาชนเต็มที่ 70 ปีแล้วท่านก็จากไป คนก็เห็นความจริงอันนี้ได้จึงเกิด bomb of love เมื่อพระเจ้าอยู่หัวสิ้นพระชนม์โอ้โห ร้องไห้กันหลายวันเลยในประเทศไทยสุดยอด คนจะเข้าใจยังที่พระเจ้าอยู่หัวบอกว่ามาเอาแบบคนจน มาขาดทุนของเราคือกำไรของเราตามสัจจะ เราขาดทุนให้แก่ประชาชนนี่แหละเรากำไร นักเศรษฐศาสตร์ระดับดอกเตอร์หรือใครก็แล้วแต่ฟังแล้วหูหักทั้งนั้น ขาดทุนมันจะเป็นกำไรอย่างไรมันบอกชัดๆกำไรก็คือต้องได้เกินทุน แต่ขาดทุนแล้วจะเป็นกำไร พูดผิดพูดใหม่ได้ แต่เขาไม่กล้าพูดกับพระเจ้าอยู่หัว เขาก็จำนนไปเท่านั้นเอง
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัส กับที่อาตมาพูดนั้นตรงกันเพราะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ในหลวงท่านไม่ได้ขยายความ อาตมาต้องมานั่งขยายความ นอกจากขยายความแล้วพาประชาชนมาขาดทุนให้เห็น อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นเอหิปัสสิโกเชิญมาดูได้จนกระทั่งขาดทุนให้แก่สังพวกเรามีวรรณะ 9 ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้ามีสาราณียธรรม 6 ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าเอามาเช็คได้
_ Nil’s 999 S999 นิล 999 เอส999 : อันดับแรก สงสารตัวเองก่อน 2การตำหนิพระอรหันต์เป็นบาปยิ่ง มีอเวจีเป็นที่ไป แล้วอีกอย่างเรื่องเคี้ยวหมาก พระอรหันในสมัยพระพุทธเจ้าก็มีที่ท่านเคี้ยวมาก เพราะท่านพิจารณาดูแล้วว่ามันเป็นเรื่องของสังขารร่างกายตัวอย่างง่ายง่ายทำไมพระพุทธเจ้าเมื่อบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้วทำไมยังต้องฉันข้าวอยู่หรือแม้แต่พระอรหันที่ท่านบรรลุเป็นพระอรหันแล้วยังต้องฉันข้าว ท่านได้คลายข้อสงสัยแล้วว่าการเคี้ยวหมากหรือดูดบุหรี่มันเป็นเรื่องของเส้นประสาทหรือระบบประสาททั้งร่างกายเท่านั้นจะมีหรือไม่มีท่านก็ไม่ได้ยึดติด (สุดท้ายแล้วสมณะโพธิรักษ์ หลงตัวเอง เยินยอตัวเอง)
พ่อครูว่า…ฉันข้าวกับเคี้ยวหมากมันเหมือนกันได้อย่างไรคงต้องไปทำความเข้าใจให้ดีนะ เคี้ยวหมากแทนข้าวได้หรือ ถ้าหากทานข้าวกับเคี้ยวหมากเหมือนกันคุณก็ต้องเที่ยวแต่หมากไม่ต้องกินข้าวสิ แค่นี้คุณก็เข้าใจไม่ได้ แล้วการเคี้ยวหมากทำไมมันมากมื้อนักล่ะเที่ยวทั้งวัน ผู้ที่เป็นภิกษุฉันข้าววันละ 1 มื้อเท่านั้น แต่กินหมากทำไมทั้งวัน
ตกลง เหลือเวลาอีก 20 นาที …
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…ได้ฟังพ่อครูอธิบายเรื่องประชาธิปไตย คือถ้าคนทั้งโลกไม่เรียนรู้แบบพระพุทธเจ้า หรืออย่างพ่อครู ก็จะไม่รู้ประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นอย่างไร เขาเข้าใจไม่ได้ ประชาธิปไตยที่แท้จริงทำงานเพื่อประชาชน เพื่อคนอื่น ไม่เอาผลประโยชน์มาหาตัวเองเลยนี่คือประชาธิปไตยที่แท้จริง คือทำเพื่อประชาชน อย่างเราชาวอโศกที่พ่อครูพาทำ ก็ทำเพื่อคนอื่น เป็นประชาธิปไตย
พระอรหันต์มาตอบปัญหาประชาธิปไตยแท้
พ่อครูว่า…ประชาธิปไตยนี่นะ อาตมาก็ไม่ได้เตรียมเอาไว้ พูดเรื่องประชาธิปไตยก็ได้ประโยชน์
ประชาธิปไตยที่อาตมาได้พยายามพูดถึงประชาธิปไตยที่อาตมาเองเข้าใจนี่ โดยเขียนในหนังสือเราคิดอะไร ไม่ได้อธิบายเป็นหลักฐานอะไร ตอนนี้กำลังเขียนอยู่เหมือนกันเขียนเรื่องประชาธิปไตยที่แท้ ยังไม่จบ ยังเขียนอยู่ได้ร้อยกว่าหน้าแล้ว ก็ค่อยๆว่ากันอีกทีนึง ประชาธิปไตยที่อาตมาเข้าใจมีแกนหลักมาจากพระพุทธเจ้า ซึ่งคนไม่เข้าใจง่ายๆหรอก คนทั้งโลกเข้าใจได้ยาก
ก็ขอบอกซ้ำวนเวียนที่พูดแล้วพูดอีกหลายทีว่า ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้านั้น จะต้องหมดตัวตนหมดอัตตา หรือคุณจะมาเป็นนักการเมืองต้องลดอัตตาเป็น หากเป็นนักการเมืองไม่ลดอัตตาเป็นนักการเมืองไม่ดีหรอก ต้องลดตัวตนเป็น ตัวตนน้อยลงก็มาเป็นนักการเมืองได้น้อยจนกระทั่งไม่มีตัวตนได้ ก็จะเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์
คนหมดตัวตนก็คือพระอรหันต์ขึ้นไป ที่นี้คนเข้าใจไม่ได้ว่าเป็นพระอรหันต์ต้องมาบวช ที่จริงแล้วฆราวาสไม่ต้องบวชก็เป็นพระอรหันต์ได้ ไปเป็นนักการเมืองไปบริหารประเทศได้ อย่างพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 นี่ไงนักประชาธิปไตยชั้น 1 ก็เป็นฆราวาสบริหารประเทศ ทำงานได้แท้ๆยืนยันได้ตรง มีทศพิธราชธรรมหรือมีธรรมะที่สูงส่ง อย่างน้อย ทศพิธราชธรรมที่ยังพื้นฐาน สูงกว่านั้นลึกซึ้ง
อาตมารวบรวมไว้หลายหมวดหมู่ไว้ค่อยพูดถึงเรื่องประชาธิปไตยที่อาตมารวบรวมและเขียน มันจะมีหลายหมวดหมู่ เช่น ไม่มีตัวตน เป็นคนเสียสละตลอดเวลาเพื่อประชาชนจริงๆ
อาตมานิยามไว้ 10 ข้อ ตั้งแต่พาพวกเราออกไปทำงานกันเลยเขียนติดกระดานเอาไว้
-
งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล มีปัญญา แต่หากไม่มีคุณธรรมก็ไปได้ยาก เช่น อเมริกาตอนนี้หากนักการเมืองไม่มาสนใจปฏิบัติธรรมเป็นนักการเมืองแบบประชาธิปไตยขาเดียวก็ไปไม่รอดหรอก โจไบเดนก็ยังเป็นแบบนี้อยู่
-
นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้
-
นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น)
-
นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว ตัวเองไม่ต้องหาเงินเลี้ยงตัวเองเลย อย่างน้อยประชาชนก็จะบริการไว้เลี้ยงไว้อย่างเช่นนายกรัฐมนตรีถ้าเป็นคนกินน้อยใช้น้อยเป็นคนใจพอเป็นคนตามวรรณะ 9
-
นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ
-
นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน
-
งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ เป็นอิสระเสรีภาพของเราเต็มที่เราไปทางงานนี้ไม่มีใครบังคับอาสาเสียสละให้แก่ประเทศชาติประชาชน ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่เสียสละอย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนอย่างพลเอกประยุทธ์นี้ อาตมาก็เสนอให้รักษาสุขภาพอยู่ต่อไปสัก 10 ปีเมืองไทยจะได้ดีขึ้น
-
นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4) อันนี้สำคัญมากถ้าปฏิบัติธรรมมะไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า อคติ 4 นี้ไม่มีทางหมดไปหรอก รักโลภโกรธหลงแล้วกลัวภัย 4 ข้อนี้ต้องมาปฏิบัติธรรมจริงๆ มีใจที่ไม่เข้าข้างไม่ลำเอียงเพราะความรักหรือความชัง หรือเพราะความหลงหรือเพราะความกลัวภัยไม่ใช่
-
นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม (นักการเมืองต้องเป็นอาริยบุคคลหรือเป็นอรหันต์)
-
งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยไม่ใช่งานเพื่อตัวเราเพื่อครอบครัวเพื่อหมู่พวกเพื่อพรรค แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมืองเพื่อประชาชนทั้งมวลเพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเองพ้นไปจากครอบครัวพ้นไปจากหมู่พวก แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน