640512_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาให้เกิดปัญญาถึงอรหันต์
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1yEZi_3FOh-S6_cA4ZQ790gkuVWPq8NOpFC0VL34bVU0/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1L_PgEGScQvh4RYxgEcGP_OtCGszJ8oFh/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/Jm2dpzNEYGA
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้โควิดเป็นเจ้าโลก ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่า ที่บ้านราชฯตอนนี้ประชาชนก็มาซื้อปุ๋ยกันมากเนื่องจากฝนตก เราก็ต้องพยายามยืดการขายปุ๋ยถูกให้นานขึ้น เป็นการช่วยเหลือประชาชน
ที่สุดของศาสนาพุทธหยุดที่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน
พ่อครูว่า…ก็ประชาสัมพันธ์หนังสือตะลุยไฟตะไลเพลิง แจกฟรีก็ต้องโฆษณา ไม่มีอะไรดีกว่าธรรมะ ธรรมะเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนเรื่องทำมาหากินก็ทำไป เป็นการเลี้ยงชีพธรรมดา แต่สิ่งที่เราจะใส่ใจศึกษาฝึกฝนตนเอง เมื่อทำมาหากินเลี้ยงต้นเองพอกินพอใช้ตนเองรอดแล้ว ดีไม่ดีก็เหลือเกินเรากินเราใช้ ก็ได้เผื่อแผ่แจกจ่ายผู้อื่นไปได้แล้ว เราจะใช้ชีวิตอะไรกันไปมากนักหนา นอกจากจะใส่ใจเรื่องธรรมะ ก็ทำให้ชีวิตเราบรรลุสูงสุด ชีวิตบรรลุสูงสุดอะไร ศาสนาพุทธมีคำตอบ ศาสนาเทวนิยมก็มีคำตอบชีวิตสูงสุดของเขาคือตายแล้วก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้า แต่เขาก็ไม่มีคำตอบอะไรที่เขาจะตอบตัวเองได้ว่า แล้วเขาได้แล้ว เขาอ้อนวอนพระเจ้าจริงๆ ตายแล้วจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าไหม ก็ไม่มีอะไรเป็นคำตอบที่ชัดเจน แต่พระพุทธเจ้านี้สอนชัดเจนทุกอย่าง ไม่ต้องไปอยู่กับพระเจ้า ไอ้ที่เกิดที่ตายคืออะไร ก็คือจิตวิญญาณของเรา
จิตวิญญาณของเราเป็นตัวพาเกิดพาตาย แล้วก็วนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนี้ไม่มีที่แล้วไม่มีที่จบ ไม่รู้ที่จบไม่รู้ที่เจริญแท้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้จะต้องทำให้จิตวิญญาณนี้รู้จักความเจริญแท้ แม้จะวนเวียนในโลกีย์ไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณก็วนได้โดยที่เป็นคนดีที่ไม่มีวันตกต่ำ มีแต่จะเจริญๆๆ สูงสุดก็ได้เป็นศาสดา
เป็นศาสดาของพุทธมีปัญญารู้จักโลกุตระเสียแล้วก็ไม่ไปเป็นศาสดาทางโลกียะ ก็จะต้องพยายามเป็นศาสดาทางโลกุตระให้ได้อย่างเช่นอาตมาไม่ไปเป็นศาสดาทางโลกียะแค่นั้น เมื่อย เสียเวลาเปล่าๆ ก็สอนให้คนไป มันก็แย่งกันอยู่ดี เพราะว่าไม่ได้ล้างอัตตา ไม่ได้รู้ตัวตน ไม่รู้ลาภยศ สรรเสริญ โลกียะสุข มันก็หลงวนเวียนไม่รู้จักจบ เมื่อย ถ้าไปสอนอยู่ก็มีแต่ความเมื่อยกับเมื่อย แล้วไม่รู้จักจบอยู่อย่างนั้น ทรมานทรกรรมไปตลอดกาล ก็ต้องเอาอย่างที่รู้จักจบ แม้จะดีเป็นคนดีก็ดีได้ โดยที่เราปิดประตูชั่วเลย มีแต่กรรมกิริยาต่อไป เป็นพระอรหันต์แล้ว สัพพปาปัสสะ อกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลัสสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)
เป็นหลักยืนยันรับผิดชอบรับรองว่าถ้าจะยังอยู่เป็นคน เกิดอีกไม่มีทางเลวไม่มีทางชั่วไม่มีทางต่ำ และสูงสุดถึงขั้นรู้วิญญาณรู้จักสังขารปรุงแต่งกันอยู่แยกแยะได้ สุดท้ายอนัตตาไม่มีตัวตนจริงๆ อาตมาเทศน์สุดจบแล้ว
SMS วันที่ 4-6 พ.ค. 2564
ธุดงค์ของศาสนาพุทธคือโพธิปักขิยธรรม 37
_ประดับ คนเปลี่ยนโลก : ขณะนี้มีพระภิกษุองค์หนึ่งเดินธุดงค์ตามถนนโปรดญาติโยมโดยเอาไม้เคาะหัวเลียนแบบเหมือนหลวงพ่อที่มีชื่อเสียงองค์หนึ่ง อย่างนี้ถือว่าต้องตามคำสอนขององค์พระศาสดาหรือไม่ครับ?
พ่อครูว่า…ธุดงค์ของพระพุทธเจ้า คือองค์แห่งศีลเคร่ง ส่วนแม้จะมีธุดงควัตร 13 ข้อ ก็เป็นเรื่องอนุโลมให้พระสายพระมหากัสสปะ ที่ติดอยู่ป่าหนัก อยู่เดี่ยว ไม่เกี่ยวกับใคร กลายเป็นใกล้เดียรถีย์หรือพวกเชน สุดโต่ง แต่พระพุทธเจ้าก็ ช้อนไว้ สามารถรู้จักมรรคมีองค์ 8 ได้ปฏิบัติเป็นอรหันต์ได้ แต่ท่านก็มีวาสนาอย่างนั้นมาซึ่งเป็นเรื่องยาก แม้ท่านต้องการเลิก แต่ท่านเป็นเช่นนั้นมานานนับชาติ ดีที่มีปฏิภาณปัญญาสามารถรับอัญญธาตุ รับโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าได้ จึงทำให้สามารถหลุดพ้นได้ แต่เป็นวาสนาที่ท่านติดอย่างนั้น ก็เป็นตัวอย่างของผู้ที่สุดโต่ง สุดขีด สุดเขต คนหนึ่ง แล้วก็มีผู้มีจริตนิสัยเหมือนกันก็ไปอยู่กับพระกัสสปะก็มีจำนวนหนึ่ง ก็ไม่มากหรอกทางศาสนาพุทธ
คำว่า ธุดงค์ เข้าใจผิดเป็นสายเข้าป่าเข้าดงไปเสีย ที่จริงแล้วธุดงค์เป็นภาษาบาลีมาจาก ธูตะ คือองค์ ไม่ใช่ว่าพระเข้าป่าเข้าดงจึงเรียกว่ามีธุดงควัตร อย่างนั้นเป็นเรื่องเลอะเทอะคิดเอาเองเข้าใจผิดเพี้ยน บัญญัติอะไรขึ้นมาเองและเถอะ
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นไปเพื่อเจริญสูงสุดเป็นโลกุตรธรรม ซึ่งมี 37 ข้อของโพธิปักขิยธรรม 37 นั่นแหละคือธุดงค์ที่แท้จริง ฟังให้ชัด อย่าเอามาปนเปเลอะเทอะแล้วเข้าใจผิดเอาตัวผิดมาเป็นตัวถูกมายัดเยียดศาสนาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าที่รับพระกัสสปะนั้นโดยจำนวนโดยอนุโลมที่สุด สงสารเพราะเป็นผู้ที่แสวงหาใฝ่หา แต่ไปหลงติดมานานเหลือเกินแต่อุตส่าห์มาเจอได้ก็รับแล้ว จนสามารถมาเป็นพระอรหันต์ได้ ก็เดชะบุญ ก็จนจะตกขอบอยู่แล้วก็อย่าเอาอย่างเลย แล้วคนไม่รู้ก็ไปเอนเอียงทางพระป่าก็ไม่รู้ อาตมาก็วิจารณ์สู่ฟัง
_ดีทน อินสะพรหมท : มังสวิรัติบริสุทธิ์ในร่างกายมีความเป็นด่าง โควิดเขาไม่ชอบ แต่สงสัยคนอินเดียเป็นกันมาก
เป็นพระโสดาบันจะยังกินเนื้อสัตว์หรือไม่
_เมตตา โพธิสุทธิ์ : คนที่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ เป็นพระโสดาบันได้ไหมคะ
พ่อครูว่า…ขอตอบจากผู้รู้ธรรมะผู้ที่เริ่มต้นรู้จักธรรมะก็คือเริ่มต้นรู้จักคำว่ากายธรรมกายเป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 ที่จะต้องเรียนรู้เลยถ้าไม่รู้คำว่ากายเป็นข้อที่ 1 ก็ไม่รู้ว่าตัวเราเองปฏิบัติถูก กาย ไหม ปฏิบัติกับคำว่ากายถูกต้องไหม ก็ไม่ได้ เป็นมิจฉาทิฏฐิในคำว่า กาย คนนี้ก็เลิกเลย ในการจะเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า คำว่า กาย สิ่งสำคัญที่สุด
ยิ่งไปเข้าใจกายไม่ได้ แล้วเข้าใจสักกะก็ไม่รู้ รวมกันเข้าก็เลยไม่ต้องปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าถ้าไม่พ้น สักกายทิฏฐิ ตนมีกายหรือไม่มีกาย มีกายที่ถูกต้องอย่างไรก็เรียนรู้ลดกิเลสไม่ได้
ผู้ที่รู้กาย แล้วก็ไม่ได้เป็นผู้มีกาย อันเป็นตน คือผู้พ้นสักกายทิฏฐิสังโยชน์นั่นแหละ เพราะจะไม่กินเนื้อสัตว์ให้เป็นกาย ไม่เอาเนื้อสัตว์หรือไม่เอากายอื่นมาเป็นกายตน
ผู้ไม่มีปัญญาที่บริบูรณ์อยู่อย่างแท้จริงก็จะยังกินเนื้อสัตว์อยู่ ผู้ที่มีความรู้หรือมีปัญญารู้บริบูรณ์ดีก็จะไม่กิน ผู้มีจิตรู้คำว่า กาย ดี ก็เป็นพระโสดาบันก็มีกินเนื้อสัตว์แน่นอน ส่วนคนที่ยังไม่มีความรู้ในเรื่องคำว่า กาย ดี ไม่มีทางบรรลุอรหันต์
สรุปว่าถ้าเป็นพระโสดาบันที่มีปัญญาเข้าไปเรื่อยๆจะไม่กินเนื้อสัตว์ในที่สุด แม้จะไม่เจริญกว่าโสดาบัน เพราะงั้นตอนแรกอาจจะยังกินเนื้อสัตว์แต่ว่าเมื่อเป็นโสดาบันที่เจริญขึ้นสูงขึ้นก็จะรู้เองว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์ รู้ได้ด้วยตนเอง จะรู้คำว่ากาย จะรู้คำว่าเราคำว่าเขา คำว่ากรรมวิบาก กายคือ จิต มโน วิญญาณ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆในการจองเวร
_James Ball (เจมส์ บอล) : ใช่พระองค์นี้มั้ยครับที่เหยียดเพศ
พ่อครูว่า…อาตมาไม่เคยไปเหยียดเพศ มีแต่พูดเรื่องเพศเตือนคนอย่าไปเลอะเทอะเรื่องอารมณ์เพศ มันเป็นวิบากเรื่องยุ่งยาก
เรื่องเพศถ้าหากเลอะเทอะโดยเฉพาะเรื่องอารมณ์เพศ คำว่าเหยียดก็ไม่ดีแล้ว ส่วนอาตมาก็ให้สติเตือนอธิบายก็ไม่ได้หมายความมว่าเหยียด อะไรที่ไม่ดีก็ต้องข่มสิ่งที่ดีก็ต้องยก ไม่ใช่ว่าพูดอย่างเพ่งโทษ
_สมสมัย นันตะโภค : กราบนมัสการค่ะ ลงชื่อฉีดวัคซีนไปแล้วค่ะไม่กลัวแต่กังวนเล็กน้อยแต่บอกตัวเองว่าอะไรเกิดมันก็ต้องเกิดจบเลยค่ะ
อย่าไปมีวิบากต่อกัน ตัดสะพานเสีย
_แก้วตะวัน พวงบุบผา : กราบนมัสการท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ…คนที่หาภรรยาไปเรื่อยๆโดยทิ้งภรรยาเก่าให้เสียใจ ตรอมใจ จะมีวิบากอย่างไรคะ ตอนนี้เขาหยุดอยู่ที่ภรรยาคนที่ 5 ซึ่งมีฐานะดี ปรารถนาสิ่งใดเขาก็ได้จากภรรยาสมปรารถนาทุกประการ อย่างนี้เรียกว่าเขามีความสุขใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…เขาก่อวิบาก ไม่สำรวมในกาม คู่วิบากก็จะมาก แม้ชาตินี้เป็นคนที่ 5 แล้ว ชาติก่อนๆ คงมีอีกมาก ก็เป็นคนมากๆในการสร้างวิบากให้แก่ตนเอง (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท…คนมีเมียมาก เวลาไปพูดกับผู้หญิงคนอื่นก็จะบอกว่า ภรรยาของผมเอาแต่ดุด่าผมว่าผม ผู้หญิงฟังแล้วก็จะสงสาร
พ่อครูว่า…ให้สติคุณแก้วตะวันบ้าง คุณหยุดได้ไหม หยุดไปติดตามเขา อย่างไรๆก็พรากกันไปแล้วก็ปล่อยเขาไปเถิด ก็ไม่ต้องไปดูอะไรเขา แสดงว่าคุณยังไปเกี่ยวเกาะเขาอยู่ ตัดสะพานเสีย อย่าไปมีวิบากต่อกัน อโหสิกรรมต่อกันเสีย
_Focus Tan (โฟกัส แทน) : ในอินเดียวันนี้ มันจะมีอะไรที่เศร้ากว่านี้ ติดเชื้อวันละ 4 แสนคนติดๆมา10วันแล้ว ในช่วงโควิด ที่มันจะเลวร้าย ไปมากกว่านี้ ตำรวจอินเดียทลายงานเเต่งของคนรวยที่ไม่ได้ขออนุญาตช่วงที่ Covid 19ระบาดอยู่
พ่อครูว่า…น่าสงสารที่มีความติดยึดแบบโบราณไม่เปลี่ยนตามยุคสมัย เราก็ศึกษา ที่พูดไม่ได้ลบหลู่ดูถูก ที่จริงกาลเวลามันก็เลื่อนมา มันเจริญด้วยอะไรต่ออะไรแล้ว มันแก้ไขสิ่งที่ยังโบราณดึกดำบรรพ์ ก็เตือนพวกเรานี่แหละ ทางอินเดียเขาไม่รู้เรื่องหรอก ตลอดชีวิตเขาก็ไม่ได้ฟังอาตมาพูดหรอก
ความต่างของฉือจี้กับชาวอโศก
_Sarinee Charussilp (สาริณี จรัสศิลป์) : กราบนมัสการถามพ่อครูหลักการของอโศกกับฉือจี้เหมือนกันหรือต่างกันยังไงคะโปรดอธิบายด้วยคะ
พ่อครูว่า…เอาตัวใหญ่ๆ ฉือจี้กับอโศกต่างกันไกลลิบ ตรงที่ฉือจี้คือโลกียะ บานปลายเป็นปากกรวย สร้างแต่กุศลไม่เป็นโลกุตระ แต่อโศกนี่คือโลกุตระเป็นก้นกรวยมีทางจบ นี่ต่างกันคนละมุมเลย มุมหนึ่งเป็นปากกรวยไปไม่มีทางจบคือฉือจี้ ส่วนอโศกนั้นมีทางจบ มีทางอรหันต์ ฉือจี้ไม่มีทางเป็นอรหันต์จะบานยาวไปเรื่อยๆ
ส่วนข้อที่เหมือนกันคือมีเมตตาเหมือนกัน มีเมตตาต่อโลกต่อมนุษย์เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกันคือ ฉือจี้บานไปทางโลก ผู้สนับสนุนมีผู้ร่วมทำ ฉือจี้ ไม่รู้จักเครื่องสลัดออกจากกิเลส ตัณหา อุปทาน เขาไม่ได้เข้าใจเรื่องนี้ เขาได้แต่ก่อความเจริญความดีๆๆไปยาว ไม่มีนิพพาน มีแต่บำเพ็ญเป็นพวกสายมืด แต่อยู่กับโลกอย่างกว้าง อย่างสว่าง มีคนเยอะ กุศลสว่างแต่บุญมืด ไม่รู้จักบุญ
เมตตามีเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน เมตตาของอโศกรู้จักเมตตามีประมาณ แต่ฉือจี้มีเมตตาอันไม่มีประมาณ เขาทุกข์แต่เอาสุขมากลบ ยิ่งเป็นภพเป็นชาติซ้อนๆๆ เขาไม่รู้ว่าเป็นการก่อภพชาติ ยิ่งยินดีในสวรรค์วิมานในความดี
สู่แดนธรรม…มึคนถามว่า ทำไมมีชาวอโศกไปนิยมฉือจี้
พ่อครูว่า…ก็มีแง่ดีของฉือจี้ ชาวอโศกไม่ใช่ว่าจะเป็นคนฉลาดไปทั้งหมด ผู้ฉลาดแขนงหนึ่งก็ได้ ถ้าฉลาดครบแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปหรอกฉือจี้ ไปดูได้ก็ไปศึกษาเขาได้
เศรษฐกิจพอเพียงคือทางรอดของมนุษยชาติ
_ตุ๊ก อัศวิน : มีคำกล่าวว่า “ทรัพยากรในโลกนี้มีเพียงพอแก่ทุกคน..แต่ไม่พอแม้คนโลภเพียงคนเดียว” ดังนั้น เศรษฐกิจพอเพียง..จึงเป็นทางรอดในยุคนี้..ชิมิ..เจ้าคะ
พ่อครูว่า…ก็เป็นเรื่องธรรมดาถ้าไม่ศึกษาไม่รู้จัก เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดยังไม่ศึกษาทางธรรมะ แล้วก็เข้าใจคำว่าเศรษฐกิจ เศรษฐกิจคือความประเสริฐ เจริญขั้นประเสริฐ ประเสริฐขั้นโลกุตระอย่างชาวอโศกมีเศรษฐกิจ อาตมาพูดได้เลยว่าชาวอโศกเป็นผู้ที่มีเศรษฐกิจสมบูรณ์ เป็นเศรษฐกิจชั้นสูง บรรลุความแก้ปัญหาเศรษฐกิจจบแล้ว แต่ทางโลกเขาแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่จบ เศรษฐศาสตร์ที่เรียนในมหาวิทยาลัยไหนก็แล้วแต่ แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่จบ เพราะเขาไม่มีหลักวรรณะ 9 ไม่ว่ามหาวิทยาลัยไหนในโลก ไม่มี แม้แต่มหาจุฬาฯ มหามกุฏราชวิทยาลัยของไทย มหาวิทยาลัยทางพุทธศาสนาด้วย ก็ไม่รู้จักเศรษฐกิจที่บริบูรณ์สูงสุดคือ สาธารณโภคี
มีพวกเราจบด็อกเตอร์มาจากมหาจุฬาฯมหามกุฏฯ วันนี้ไม่มา
สาธารณโภคีในยุคพระพุทธเจ้าใช้ได้กับในวงการคณะสงฆ์ สงฆ์ภิกษุไม่มีทรัพย์สินส่วนตัว มีแต่ทรัพย์สินส่วนกลางใช้ส่วนกลางบิณฑบาตมาได้ก็เอามาเทรวมกัน อย่าว่าแต่ส่วนของตนเลย ทรัพย์สินอะไรก็เป็นส่วนกลางหมด วัตถุเงินทองข้าวของ สถานที่ ที่ดิน อะไรก็เป็นของส่วนกลาง แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เข้าใจแล้ว ไม่รู้เรื่อง พุทธศาสนิกชน แม้แต่ภิกษุก็ไม่รู้เรื่องสาธารณโภคี แต่ชาวอโศกเอาสาธารณโภคีมาให้ศึกษาเล่าเรียนและเข้าใจปฏิบัติจนเกิดจริงเป็นจริงได้ ถึงขั้นแม้แต่ฆราวาสก็เกิดสังคมสาธารณโภคีได้ เป็นชุมชนอย่างที่เราเป็นเรามี ที่เป็นได้เพราะว่าเป็นคนละยุคสมัย ในยุคพระพุทธเจ้าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ยุคทาส เป็นยุคที่ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน มีข้อจำกัดก็เลยเป็นไปไม่ได้ ได้แต่ในวงการสงฆ์ ในยุคนี้รู้จักสิทธิมนุษยชนจึงทำได้ในวงการฆราวาสด้วย
ผู้มีเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจถึงขั้น ยิ่งกว่าพอเพียง มีสันโดษมีใจพอ ทุกคนพอเพียงอยู่แล้ว แล้วก็ช่วยเหลือผู้อื่นด้วย นอกจากตนเองพอแล้วตนเองยังมีประโยชน์ต่อผู้อื่น พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
การแก้เศรษฐกิจของโลก จะให้แต่คนไปรวยรวยรวย เมินเสียเถิดอย่าคิดถึงไม่มีทางสำเร็จหรอก ต้องบอกให้ลดความรวยลงมา ไม่ต้องพูดถึงมาจนเลย แต่แค่ว่าจงลดความรวยลงมาก็จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ให้คนที่รวยลดความรวยลงมาแล้วจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ต้องเข้าใจนโยบายหรือวิธีการอย่างนี้จริงๆ แล้วพยายามบริหารให้เกิดอันนี้ให้ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปส่งเสริมคนรวยหรือนายทุนกันนัก มันเป็นคนบาป เป็นคนที่เห็นแก่ตัว เป็นคนขี้โลภจัดเป็นคนเห็นแก่ได้ จริง คุณอาจจะเก่ง คุณอาจจะสุจริต แต่คุณไม่มีจิตที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เกื้อกูลผู้อื่นเลย เป็นคนขี้โลภ เอาแต่กอบโกยให้คนเดียวคนเดียว ดีไม่ดีเอาไปออกดอกออกผลอะไรอีกมากได้มาไม่รู้จักจบ อัตตาก็เยอะ ขี้โลภก็ไม่มีที่สิ้นสุดเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวแล้วเกิดมาเป็นคนคุณจะสร้างจิตวิญญาณไปเป็นอย่างนี้หรือในชีวิต ดันมีร่างเป็นมนุษย์กับเขา ก็เลยสะสมความขี้โลภวิบาก แล้วรู้ไหมวิบากที่คุณมี ต่อให้คุณรวยแล้วได้ก็เอาไปทำทานก็เป็นมิจฉาทิฐิ สาเปกโข ปฏิพัทจิตโต สันนิธิเปกโข ปริภุญชิตสามีติ กลายเป็นภพชาติไปอีกพระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมการมีภพมีชาติ เขาไม่เข้าใจโลกุตระกัน สร้างแต่ภพชาติไม่มีจบ บานปลายไปเรื่อยๆ
ที่อาตมาพูดนี้เป็นสัจธรรม ที่มันเข้าใจไม่ง่าย แต่จำเป็นต้องพูด ต้องว่า ต้องติเตียนผู้ไม่รู้ ผู้รู้แล้วก็ต้องช่วยกันบอกกัน
เศรษฐกิจที่จะเป็นทางรอด ต้องมาจน อย่างในหลวงเรานี้เป็นพระโพธิสัตว์ที่แท้จริงท่านถึงบอกว่าให้มาบริหารกัน ท่านตอบรัฐมนตรีเกาหลี ว่า บริหารประเทศแบบคนจน มีหลักฐานยืนยัน ท่านเป็นในหลวงนะ ไม่ใช่คนธรรมดาของโลก ในหลวงหรือพระเจ้าแผ่นดินของแต่ละประเทศเป็นอันดับ 1 ของประเทศจึงเป็นเรื่องที่สุดยอดยิ่งใหญ่แล้ว แต่ แม้แต่ข้าราชการผู้บริหารประเทศก็ยังไม่ค่อยเก็ตคำว่าบริหารแบบคนจน ยังไม่ทราบซึ้งพอ ก็บังคับเขาไม่ได้แต่ก็น่าจะสนใจคำตรัสคำสอน แล้วจะบอกว่าเดินตามศาสตร์พระราชา แล้วท่านเป็นในหลวงนะ จะให้ท่านมาจน เดินเก็บขวดเหมือนชาวบ้านได้อย่างไร แต่ท่านจน ท่านได้ทรงพระจริยวัตรชัดเจนแล้ว แต่คนไม่รู้พอ ไม่รู้เท่าทัน ไม่เข้าใจได้อย่างสมสัดส่วน สมฐานะกาละเทศะ เขาก็ไม่รู้
เมืองไทยจึงเป็นเมืองที่มีโลกุตรธรรม แม้แต่ในหลวงมีพระจริยวัตรเป็นตัวอย่าง แล้วพยายามให้ทำความเข้าใจ แต่ท่านก็ไม่เหมือนโพธิรักษ์ที่ต้องจ้ำจี้จ้ำไช พูดซ้ำซากแต่ในหลวงท่านต้องระมัดระวังหลายอย่าง เพราะว่าท่านเป็นในหลวง ประชากรศาสนาอื่นก็มี ท่านก็จะต้องทำไม่เหมือนโพธิรักษ์ มันคนละฐานะคนละโอกาส
สมณะฟ้าไท…ในหลวงทรงมีพระจริยวัตรแบบคนจนอย่างแท้จริง
พ่อครูว่า…นักบริหาร นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลาย จงทำความเข้าใจเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าให้ดีๆ ศึกษาให้ดีๆเถอะ ซึ่งหลักสูงสุดก็มาเป็นวรรณะ 9 อย่างที่อาตมาได้ว่าไว้แล้วเป็นคนวรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ), บำรุงง่าย ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ), มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ), ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ), ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ), เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์), มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ), ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9, ขยันเสมอ ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
คนเรามีชีวิตไม่ต้องสะสมอะไร มีพออยู่พอกินมีปัจจัยบริหารใช้พอใช้ ไม่โลภโมโทสันไปกว่านี้อีกเลยพอ คนนี้ชีวิตก็สบายแล้วมีขีดความพอเป็นปัจจัย 4 หรือบริขาร 8 ทุกวันนี้อาจจะมีบริขารเพิ่มขึ้นบ้างตามยุคสมัยก็พอใช้พอสอย พวกเรานี้เหลือเฟือด้วยซ้ำไป ขาดแคลนอะไรก็ไปตามซุปเปอร์มาร์เก็ตของเรา สขจ.
ถ้าหากแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยวรรณะ 9 ของพระพุทธเจ้าอันนี้สำเร็จเอาแบบคนจนอย่างที่ในหลวงเราตรัส ซึ่งไม่ใช่งมงายไม่ใช่โง่ไม่ใช่คนจนที่เป็นคนถ่วงโลกถ่วงสังคมเป็นภาระ ไม่ใช่ แต่เป็นคนจนที่ช่วยเหลือคนรวยช่วยเหลือสังคมประเทศชาติด้วย เป็นคนจนที่มหัศจรรย์ เป็นคนจนที่ประเสริฐ ซึ่งเป็นเรื่องที่ย้อนแย้งทางภาษา แต่คุณลักษณะมันสุดยอด เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ อาตมาภูมิใจที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจให้แก่ชาวอโศกให้แก่คนในประเทศ อาตมาช่วยประเทศชาติโดยให้คนจำนวนหนึ่งเป็นชาวอโศกเป็นคนไทยมาเข้าใจมี Concept หรือว่ามีความคิดองค์รวมมีทิศทางแบบที่อาตมาหรือของพระพุทธเจ้าเอามาสอนเอามาแนะนำแล้วเข้าใจได้มามีชีวิตอย่างนี้ ประเทศชาติก็เลยสบายขึ้นบ้าง
ถ้าพวกเราไปเป็นเศรษฐกิจแบบโลกๆ ก็อาการหนัก ลุงตู่จะหนักกว่านี้อีกเยอะ นี่ก็มีคนจำนวนหนึ่งมา นอกจากเราชาวอโศกจะมาเป็นคนจนแล้ว ยังมีคนข้างนอกเขามาอาศัยทำงานหากินในชุมชนหมู่บ้านของชาวอโศกทุกหมู่บ้าน เอารายได้จากชุมชนกลางสาธารณโภคีชาวอโศกนี้ อย่างบ้านราชฯก็มีคนงาน เป็นคนข้างนอกมาอาศัยทำงานทำมาหากินจนกระทั่งเขาตั้งหลักตั้งฐานแบบโลกีย์ได้เลย มีบ้านช่องรถราทรัพย์ศฤงคารได้รวยกว่าชาวอโศกในหมู่บ้านที่เขามาทำมาหากินด้วย รวยกว่าเยอะเลย ชาวบ้านรอบๆ เราก็ไม่ได้ไปริษยาเขาหรอก แต่เราก็พึ่งพาอาศัยกัน ซึ่งก็แนะนำก็สอนกันบ้าง ซึ่งก็ยากแต่ก็ได้บ้างเขาก็ซึมซับมาเห็นมาเข้าใจบ้างหลายคน แต่ก็น้อยที่จะกลายมาเป็นชาวอโศก มันไม่ใช่เรื่องง่ายก็เลยช้า
คนจนที่พ้นทุกข์ได้ถาวร
_ครูพี่แอน : ใครบอก “คนจนคือคนไม่ขยัน ไม่พยายาม” ลองไปดูชีวิตคนจนหลายๆคนก่อน ตื่นตีสี่ออกจากบ้านเข็นของขาย ตากแดด ตากลม ตากฝน ได้กลับเข้าบ้านสี่ห้าทุ่ม ทำวนแบบนี้ทุกวัน มันไม่ใช่ทุกคนที่ขยันทำมาหากินแล้วจะรวยโป้งป้างได้อ่ะ
พ่อครูว่า…อันนี้ก็จริง คนมีกรรมวิบากอย่างไรก็ไม่รวย แต่ก็ควรศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ให้จิตตนไม่ทุกข์ร้อนไม่ยากเย็น แม้จนก็พ้นทุกข์ อย่างพวกเรา แม้จะมีความรู้ความสามารถจะไปรวยก็ได้ ถ้าปล่อยให้ไปรวยก็จะไปแย่งเศรษฐกิจสังคมอีกเยอะ แต่อาตมาก็เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาให้ศึกษา แล้วก็ได้กลายมาเป็นคนที่มีเศรษฐกิจแบบคนจนสาธารณโภคีก็ช่วยบรรเทา นี่เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้แก่ประเทศอย่างถาวรด้วยยั่งยืนด้วยทำแล้ว นี่พวกคุณก็อยู่อย่างนี้ไม่ไปวูบวาบเดี๋ยวได้ช่องรวยก็จะไป ซึ่งไม่ไป รวยก็ไม่ไป เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนถาวร แก้ปัญหาที่จิตวิญญาณให้เข้าใจอย่างถูกต้อง แล้วพวกคุณก็แม้จะขยายผลช้าไปบ้างแต่มันถาวรไงไม่เปลี่ยนแปลง มันก็จะขยายผลไปเรื่อยๆจะมากขึ้นเรื่อยๆอีก ปี 100 ปี 200 ปี 300 ปีจะมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ชาวต่างประเทศก็จะมาเรียนรู้ดีไม่ดีชาวต่างประเทศอาจจะมาเอาสูตรนี้ไปก่อนก็ได้ ผู้ที่ศึกษาเศรษฐศาสตร์จะเห็นว่ามีกลุ่มนี้ด้วย เหมือนกับพวกต่างชาติก็มีพวกอาร์มิช เป็นต้น แต่มันไม่มีทฤษฎีถาวรแบบพระพุทธเจ้าแต่ของพระพุทธเจ้าถาวรยั่งยืนซึ่งศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้มันเพี้ยนไปนานแล้วจนมาในยุคนี้ 2,500 กว่าปีอาตมาเอาของพระพุทธเจ้ามาหยั่งลงก็ฟื้นได้
_Aumporn Kul (อัมพร กุล) : ชอบพ่อท่านเทศน์เรื่องการเมืองซึ่งพระดังๆไม่กล้าแตะ
พ่อครูว่า…อย่ามายุมาก เดี๋ยวอาตมาขึ้นแล้วก็จะยุ่งนะ
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่่ะ ลูกได้ยินพ่อครูรำพึงต่อลูกๆว่า พระพุทธเจ้าพระชนต์มายุ ๘๐พรรษา ก็เสด็จปรินิพพานแล้ว ลูกได้ฟังคำรำพึงของพ่อครูอย่างนี้ รู้สึกว่าพ่อครูอ่อนน้อมและเคารพต่อพระพุทธเจ้ามาก พ่อครูคงอยากจะบอกว่า พ่อครูเหน็ดเหนื่อยมากกับงานศาสนา ต้องมาต่ออายุของร่างกายที่หมดอายุแล้ว ให้ใช้งานได้อีก
หากพระพุทธเจ้าอยู่ต่อไปอีก ยาวนานกว่า ๘๐พระชันษา เนื้อหาของโลกุตระก็จะเหลืออยู่มากกว่านี้ พ่อครูก็จะไม่เหน็ดเหนื่อยมากขนาดนี้ ลูกฟังแล้วรู้สึกซาบซึ้ง ในความเมตตาของพ่อครูเป็นอย่างมาก ลูกศรัทธาและเชื่อมั่นว่า พ่อครูต้องทำได้ ต่ออายุพระศาสนาให้ถึง๕๐๐๐ปีค่ะ ความเห็นของลูกผิดถูกประการใด พ่อครูช่วยชี้แนะสั่งสอนด้วยค่ะ น้อมกราบพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า…คุณเข้าใจถูก แล้วก็เป็นเรื่องจริง อาตมาพูดมาไม่ได้พูดเรื่องหลอก ไม่ได้เล่นลิ้น อาตมามากอบกู้หรือมาต่ออายุ จากความเชื่อมา 2,500 กว่าปีมันเสื่อมไปมากแล้ว จมมหาสมุทรไปเราก็ต้องดึงขึ้นมาด้วยว่ากอบกู้ เอาโลกุตระขึ้นมาแล้วศาสนาพุทธจะไปถึงอีก 5,000 ปี แม้มันไม่ถึงหรือมันจะไม่ถึงเป็นหน้าที่ของอาตมาแล้ว พระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว ก็เหลือผู้ที่จะเข้าใจเอาภาระ เป็นโพธิสัตว์ที่จะสืบทอดรับผิดชอบ
ไม่ได้พูดยกย่องเข้าข้างตัวเอง แต่ตัวเองต้องมาทำหน้าที่นี้ พูดแล้วก็เลยกระทบต่อตนเอง ต้องทำอันนี้ต่อเพราะพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว แล้วศาสนาพุทธมีต้องเป็นไปต้องต่ออายุให้ถึง 5,000 ปีเป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่ต้องเป็นเช่นนั้น แล้วเราก็เป็นผู้ที่รู้เข้าใจอันนี้ก็เห็นความสำคัญในความจริงอันนี้ ต้องทำความจริงให้ปรากฏ ต้องทำความจริงให้เป็นจริงก็ต้องทำ มันเป็นหน้าที่ มันเป็นเรื่องความสำคัญในความสำคัญที่เราต้องทำ คนไม่เข้าใจอาตมาพูด ไม่ได้พูดเล่นลิ้น ไม่ได้พูดหลงตน พวกเรานี่และต้องทำให้ต้นพุทธะนี้เติบโต ไปถึงห้าพันปี
_พิณเจ็ดสาย แห่ง ตำหนักวังสิสิร : เมื่อก่อนนานพอประมาณ ฟังธรรมพ่อครูรู้สึกเหมือนถูกพ่อครูด่า (รู้สึกว่าด่าแต่เราด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า) แต่ด้วยรู้สึกว่าคำพูดของพ่อครูคือความจริงจึงทนฟังเรื่อยมา จนถึงปัจจุบันนี้ ความรู้สึกที่ถูกด่านั้นไม่มีแล้ว แต่รู้สึกว่าพ่อครูชี้แนะชี้ทาง เอาจริงๆคือผมก็จำไม่ได้ว่าความรู้สึกที่ “ถูกด่า” หายไปตอนไหน
พ่อครูว่า…
_SU RIN (สู ริน) : ขอถามปัญหาธรรมท่านหน่อยสิครับ กรุณาให้โวหารที่เข้าใจง่าย
1.โลกุตรธรรม เกิดได้ในภูมิ อสัญญีสัตตาพรหม หรือไม่
2.เหตุใดจึงว่าโลกุตรธรรมนี้ ไม่เกิดในอบายภูมิ
3.ทำไมในพระวินัย ภิกษุนอนหลับฝันว่าได้เสพกาม สุกะเคลื่อน ไม่ปรับอาบัติสังฆาทิเสส หรือทางอภิธรรมกับพระวินัยต่างกัน
พ่อครูว่า…
โลกุตรธรรมไม่มีอสัญญีสัตตาพรหม
-
โลกุตรธรรม เกิดได้ในภูมิ อสัญญีสัตตาพรหม หรือไม่
อสัญญีสัตตาพรหม หมายความว่าเป็นสัตว์ที่ไม่มีสัญญา ดับธาตุกำหนดรู้ดับสัญญา จะสมมุติเรียกว่าพรหมจะเรียกว่าเป็นแดนสูง ซึ่งมันไม่สูงหรอกมันเป็นอเวจี อสัญญีสัตว์เป็นแดนสัตว์ ก็หลงเอาภาษาสวยๆไปยกตนว่าเป็นพรหม ที่จริงมิจฉาทิฏฐิ
อสัญญีสัตว์ คือสัตว์ที่ไม่มีสัญญาไปดับสัญญา อยู่ในสัตตาวาส 9 ข้อที่ 5 หมายถึง มิจฉาทิฏฐิของคนที่ไปดับสัญญา ฉะนั้นถ้าผู้ที่เข้าใจไม่ได้เข้าใจนี้หลงผิดก็จะหลงในฌานที่ 1 2 3 4 ก็จมนรกไปเลย พวกดับสัญญาเป็นมิจฉาทิฏฐิ พวกที่เข้าใจนิโรธว่าเป็นอสัญญีสัตว์จึงงมงาย ยังดีที่เขาสามารถเรียนรู้ฌานที่ 1 2 3 4 แต่เขาเข้าใจ เป็นฌานที่หรี่ลงมาหาอสัญญี นี่คือมิจฉาทิฏฐิของพวกหลับตาส่วนใหญ่เขาจะหยุดคิดจนอสัญญีสัตว์ เขานึกว่านี่เป็นนิโรธ พวกที่ไม่เข้าใจเป็นสัมมาทิฐิจะคิดเห็นเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นส่วนผู้สัมมาทิฏฐินั้น ฌาน 4 จะไม่เข้าหาอสัญญีสัตว์แต่จะมีการกำหนดรู้ที่สว่างแคล่วคล่องว่องไว มีปัญญาที่รู้ยิ่งรู้จริงเร็วไวตื่นๆๆๆ ไม่มีหลับ ไม่มีหรี่ ตกภพตกชาติอย่างนั้นเลย
โลกุตรธรรม ไม่มี ไม่เกิดในอสัญญีสัตตาพรหม
โลกุตรธรรมไม่เกิดในอบายภูมิ
-
เหตุใดจึงว่าโลกุตรธรรมนี้ ไม่เกิดในอบายภูมิ ก็เพราะว่าเริ่มมีปัญญาโลกุตระ รู้จักโลกโลกียะ โลกียะต่ำสุดคืออบายภูมิ มีโลกุตระ ก็มีปัญญาออกจากโลกอบาย หรืออบายภูมิ รู้จักแล้วพ้นจากอบายภูมิมาเป็นเบื้องต้น เป็นโสดาบัน
โลกุตรภูมิหรือโลกุตรธรรม ไม่ไปเกิดในอบาย แต่จะหลุดพ้นจากอบายที่ตนเคยหลงก็จะออกมาไม่ไปจมในนั้น จะไปจมอยู่ทำไม มีปัญญามีกระแสโลกุตระเข้าแล้ว โสดาบันคือผู้ที่เข้ากระแสโลกุตระก็ต้องออกจากอบายภูมิ ออกได้จึงจะเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันจะไปเกิดในอบายภูมิ ทำไมจะต้องออกจากอบายภูมิ ไม่ตกต่ำได้แล้วได้เลยในอบายภูมิจนกระทั่งเป็นผู้ที่ไม่ตกต่ำเป็นผู้ที่เจริญสูงสุดจนเป็นอรหันต์ได้เลย สัมโพธิปรายนะ
ฝันว่าเสพกามสุกะเคลื่อนไม่ปรับอาบัติ
-
ทำไมในพระวินัย ภิกษุนอนหลับฝันว่าได้เสพกาม สุกะเคลื่อน ไม่ปรับอาบัติสังฆาทิเสส ก็มันเป็นเรื่องจริงเรื่องการนอนหลับจะไปควบคุมอะไรมันได้มันก็เป็นไปตามสรีระ เป็นไปตามกิเลส มันจะขับเคลื่อนมันก็ขับเคลื่อน ยิ่งมีกิเลสเป็นตัวขับเคลื่อนมันก็ขับเคลื่อนออกไป ไปเอานิยายอะไรได้เพราะมันไม่มีเจตนา แต่อาจมีกิเลสในภพ ควบคุมมันไม่ได้เป็นจิตในภวังค์ มันก็ทำงานตามกิเลสที่เป็นที่มี จนกว่าคุณจะไม่มีกิเลสมันก็บังคับไม่ขับเคลื่อนอะไร มันก็หยุด เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังดับกิเลสไม่ได้มันก็ขับเคลื่อนไปตามสรีระที่มันพึงเป็นพึงมี ยิ่งมีกิเลสผสมก็เป็นไป แต่ไปโทษมันไม่ได้