640510_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เทวนิยมใหญ่สุดโต่งอย่างไรในศาสนาพุทธ
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1vGkAt1Xc98_8JSI-Yk-6vr43tXHFRtiX1IdDNQwaviA/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1z5intdMnNN0EYyRZe4aHPC1rd79nqVGk/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/313638690375761
สู่แดนธรรม…วันนี้วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้แนวทางรายการจะเป็นการแบ่งเบาภาระของพ่อครูด้วยการให้พวกเราช่วยกันพูดโดยพ่อครูจะเสนอความคิดเห็นได้อย่างไรก็ได้
สมณะเดินดิน…ที่เคยตกลงคือให้พ่อครูเทศน์อยู่บนห้องทำงานก็ได้ แต่พ่อครูบอกว่าสดดีกว่า พวกเราพยายามไม่ให้เกิดสภาพที่พ่อครูไอไปด้วยเทศน์ไปด้วย
ความจริงของ นายทุน ศักดินา นักวิชา ข้าราชการ พาลชน
สู่แดนธรรมว่า…เมื่อวานพ่อท่านได้แสดงธรรมแจกแจง 5 อย่าง บางคนบอกว่าเป็นฐานะแต่ความจริงไม่ใช่ฐานะ แต่คือ นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน
สมัยก่อน ไทยเราปกครองโดยพระมหากษัตริย์ ดูแลด้วยเมตตา แต่ยุคนี้นายทุนมีอำนาจมากขึ้น อยากถามว่าเพราะเหตุอะไรครับ พ่อท่านถึงได้เขียนเรื่องนายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน เมื่อวานนี้ครับ
พ่อครูว่า…เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่จริง นายทุน ยุคนี้มีความชัดเจนมากก็เกิดอยู่จริง
ศักดินาซึ่งเป็นแกนหลักของมนุษยชาติตั้งแต่โบราณจนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีความสำคัญยังเป็นจริงอยู่ แต่คนจะไปเปลี่ยนแปลง จะไปถอนรากถอนโคนสิ่งนี้ไม่ให้เหลือ ทุกคนจะต้องเสมอภาค ทุกคนจะต้องเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นความคิดที่เป็นไปไม่ได้ มันเป็นความเพ้อเจ้อ เป็นความฝันลมๆแล้งๆ เป็นเรื่องความต้องการที่แส่หาขึ้นมา
อย่างคน มีธาตุรู้เป็น 2 มีธาตุวิญญาณกับรูปธรรม
รูปธรรมคือสิ่งที่ผสมผสานกับวิญญาณ วิญญาณนี้ยิ่งใหญ่ที่สุด ทางเทวนิยมเรียกว่าพระเจ้า ซึ่งรู้สูงสุดก็เท่ากับศาสดาของเขา ศาสดาของแต่ละศาสนาแต่ละลัทธิรู้สูงสุด จริงๆแล้วเป็นความรู้ของศาสดาไม่ใช่ความรู้ของพระเจ้าแต่อย่างใด ศาสดาแต่ละองค์ก็มีความรู้ความจริงแตกต่างกัน ก็ไปหาผู้ที่มีทัศนคติตรงกัน ก็ไปบริหารกันไปเป็นแต่ละศาสนาแต่ละลัทธิ
เพราะฉะนั้นความแตกต่างต่างๆพวกนี้ ก็มีนักวิชาการ นักวิชา นักรู้ นักศึกษาต้องชัดเจนต้องละเอียดและนักวิชาการนี้ ก็จะลงไปทำงานเรียกว่า ข้าราชการอีกทีหนึ่ง พวกที่จะเป็นข้าราชการส่วนมากเป็นนักวิชาการ แต่ทีนี้นักวิชาการก็ยังมีกิเลสโลกธรรม ก็ไปคบกับนายทุน ก็พยายามสะสมรายได้ ลาภ ยศ สรรเสริญอะไรต่างๆ แบบโลกธรรม ก็วนเวียนอยู่อย่างนั้น เอาไปเอามา นายทุนก็ผยองหรือนักวิชาการสมคบกันเข้า ผยอง ก็จะทำให้ผิดธรรมชาติ จะไปล้มศักดินา ก็อย่างที่เป็น ก็ซับซ้อนวนเวียนอยู่อย่างนี้
อาตมาเข้าใจสัจธรรมนี้ไม่ใช่เข้าใจโดยตรรกะ ไม่ใช่เข้าใจด้วยเก่งความจริงคาดคะเนเอาหรือว่าศึกษาตามบัญญัติ ตามความรู้ของผู้รู้ที่เขาเขียนบรรยายบอกไว้ อาตมาไม่ใช่นักอ่าน ไม่ใช่นักศึกษา โดยเฉพาะชาตินี้ศึกษาน้อยมาก ไม่ได้อ่านไม่ได้ศึกษาของใคร เอาของตัวเองสดๆมาใช้ ซึ่งก็ยังเห็นว่าเกินพอเหลือใช้ คนยังเอาจากอาตมาไปได้ไม่หมด แม้อาตมาจะยังไม่มีมากถึงขนาดพระพุทธเจ้า แต่ขนาดนี้ก็เหลือเฟือ แม้ในยุคนี้ใช้ได้เหลือเฟือ แต่คนเขาก็ยังยาก ยังมีปัญญาไม่ถึงยังเข้าใจไม่ได้ ก็เป็นธรรมชาติธรรมดาของคนใกล้กลียุคก็จะได้คนอริยมรรคแค่นี้แหละประมาณจริงๆ พระสมณโคดมก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายแล้วในภัทรกัปนี้ ที่จะไปขึ้นเป็นภัทรกัปป์ใหม่ เป็นพระศรีอาริย์ ที่จะเป็นผู้ที่เกิดในยุคที่ คนง่าย คนสูง คนเจริญ มีมวลมาก พระศีรอาริย์จะได้สอนสบาย ก็จะมีคนที่เข้าใจโลกุตรธรรมได้เยอะได้สบาย เป็นยุคที่เปลี่ยนแปลงกลียุคที่คนหมดแล้ว ล้างของเก่าไปขึ้นต้นใหม่เป็นคนที่ไม่มีกิเลสมากกิเลสหนา
ในยุคกลียุคจะผลาญทรัพย์ศฤงคาร ผลาญทรัพยากรไปหมด แล้วก็จะหยุดค่อยๆเพราะทรัพยากรของโลกขึ้นมาใหม่คนก็สะสมเกิดขึ้นมาใหม่ จนกระทั่งเกิดขึ้นมาก็ยังสุขสบายธรรมชาติก็ยังเยอะคนไม่มีกิเลสมาก ก็อยู่ค่อยๆสะสมพลเมืองจนมีพลเมืองมากจนกระทั่งเกิดกิเลสเกิดแย่งชิงเกิดทะเลาะกันขึ้นมาวนเวียนเป็นตามวัฏจักรอย่างนี้ตลอดกาลนาน
ลักษณะของนายทุนเป็นอย่างไร ลักษณะของศักดินาสูงสุดก็เป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเมื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรมที่สูงสุดมีทศพิธราชธรรมบริหารประชากรอยู่อย่างมีบารมีที่แท้จริง ก็เป็นความจริงขาดไม่ได้ พระราชา ขาดไม่ได้ในมวลมนุษย์ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนยุคไหนขาดไม่ได้ ถ้าขาดก็แสดงว่าเสื่อม เป็นความไม่สมประกอบของธรรมชาติเป็นธรรมชาติขาเดียว ธรรมชาติไม่สองขามีแต่รูปหรือมีแต่นามอย่างใดอย่างหนึ่ง มีแต่ความคิดฟุ้งซ่านก็เป็นนาม มีแต่ความคิดไม่มีปัญญาก็แย่ ไม่สมประกอบเป็นธรรมชาติพิการใช้ไม่ได้
นักวิชาการจะต้องเข้าใจอันนี้ อาตมาเกิดในชาตินี้มาพูดตรงๆอาตมามาเป็นนักวิชาการ เกิดมาในปางนี้ชาตินี้มาเป็นนักวิชาการ มาสาธยายความรู้มาเป็นปุโรหิตมาเป็นผู้ที่นำความรู้ของพระพุทธเจ้าที่เป็นผู้ตรัสรู้สูงสุดในความเป็นมนุษย์ชาติและสังคม พระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไรนอกจากความเป็นมนุษย์และสังคม ก็เข้าใจองค์ประกอบและแต่ละยุคสมัยที่มันสังขารปรุงแต่งกันอยู่ตามเหตุปัจจัย เสร็จแล้วก็บริหารอภิบาลกันไป
ข้าราชการก็เป็นผู้ที่สนองพระเนตรพระกรรณของในหลวงหรือของทางศักดินา ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยที่เป็นธรรมชาติธรรมดาของสังคมมนุษยชาติที่ลงตัวที่สุด
ส่วนพาลชนนั้น คือตัวเกเร ตัวโง่ ตัวอ่อนแอ ไม่เดียงสาเป็นเด็กเล็กๆหรือพิการเป็นพาละ หรือเป็นภาระ ของสังคมเจริญที่จะต้องเลี้ยงดูช่วยเหลือเขา ในฐานะที่เขาเกิดมาเป็นชีวะ จิตนิยามอยู่ในสังคมแล้ว ก็ต้องช่วยให้เขาพัฒนามีความรู้ที่ดีจนกระทั่งเป็นโลกุตระขึ้นมาได้เรื่อยๆ ก็มีหน้าที่จะช่วยกัน เพื่อจะให้มนุษยชาติอยู่ในโลกกันอย่างเจริญ
อาตมาก็แยกความรู้มาเป็นตาปัญญา ซึ่งตาปัญญาจะเข้าใจความเป็น ตาทั้ง 3 คือตาปัญญาเองจะรู้ทั้งตาเนื้อและตาทิพย์ ส่วนสายเทวนิยมหรือว่าสายที่ไม่มีปฏิภาณปัญญา ที่มันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ไปโทษเขาไม่ใช่ไปว่าเขาหรอก มันเป็นสัจธรรมธรรมชาติของมนุษย์มหาเอกภพ ชีวะมันจะต้องเป็นอย่างนั้นมีผู้รู้กับผู้ไม่รู้ เป็นธรรมดา ผู้ที่เป็นเทวนิยมจะต้องศึกษา
วิโมกข์ 8 จบได้ที่อากิญจัญญายตนะหากสัมมาทิฏฐิ
คุณหายโง่ : ถามมาว่า…พระมหากัสสปะเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในการแสดงธรรมะวันที่ 9 พ.ค. ศกนี้ พ่อครูกล่าวว่า พระมหากัสสปะเป็นเทวนิยมใหญ่ ขอได้โปรดขยายความในความสัมพันธ์ระหว่างพระอรหันต์เจ้ากับเทวนิยมใหญ่ในพระมหากัสสปะด้วยค่ะ …
พ่อครูว่า…ก็ขอเหมา อาตมาไม่ได้อ่านทวนนะ หนังสือเล่มนี้เขียนตั้งแต่ 2548 พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้
ก็ขอขยายความอีกนิดหนึ่ง เทวนิยม กับ อเทวนิยม ก็เป็นคู่ของธรรมชาติเป็นเทวะหรือธรรมะ 2 เป็นคู่ที่ยิ่งใหญ่มาก เทวะ กับ อเทวะ
อเทวะ เป็นอย่างเดียวเท่านั้นในทุกยุคทุกสมัย ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองเป็น อทวะ ก็มีอเทวะจริงอยู่อันเดียว นอกนั้นก็ไม่ได้เรื่องอะไรเป็นสะเปะสะปะ ในยุคนี้อาตมานำอเทวะมายืนยัน พุทธทั่วไปหลงในเทวนิยมเต็มไปหมด มีอเทวนิยมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องสะเปะสะปะที่จะรู้ตั้งแต่ สังโยชน์ข้อที่ 1 สักกายะ ก็แยกกายแยกจิตไม่เป็น แยกอุตุ พีชะ จิต ก็มีความรู้ว่า กายที่ไม่เหลือกายเป็นอย่างไร พีชหรืออุตุ ไม่มีกายแล้ว ความเป็นกายต้องมีความรู้สึกทางจิต เมื่อไม่มีจิตแล้วก็ไม่มีกาย เป็นหนึ่งไปเลย กายต้องมี 2 เสมอ กายเป็นหนึ่งไปแล้วกายก็ไม่มีตัวเอง
ถ้าเป็นจิตก็เหลือแต่จิตไม่มีกาย แล้วก็ไม่ศึกษากาย พวกเอาแต่จิตๆๆๆ ไม่ศึกษากายเป็นเทวนิยม 100% กายก็นึกว่าเป็นของภายนอกเป็นดินน้ำไฟลม ซึ่งไม่ใช่ กายต้องมีคู่ภายนอกภายในเสมอ ทั้งรูปธรรมและนามธรรมคู่กัน เป็นวิญญาณมีรูปมีนาม ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาหาร 4 ข้อที่ 4 รูปกับนาม
รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือตัวรู้ จะเป็นตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวจนกระทั่งมาเป็นพระพุทธเจ้า นาม คือผู้รู้ รูปี รูปานิ
รูปี คือรูป รูปานิ คือ ตัวผู้ที่จะเข้าไปรู้รูป รู้อย่างสัมผัสเห็น ปัสสติ ในวิโมกข์ 8 มี รูปี รูปานิ ปัสสติ (วิโมกข์ 8 ข้อที่ 1)
วิโมกข์ 8 ข้อที่ 2 ก็ขยายความ อัชฌัตตัง อรูปสัญญีเอโก พหิทารูปานิปัสสติ
อัชฌัตตังแปลว่าภายใน สัญญีคือ ผู้มีการกำหนดรู้ สามารถกำหนดรู้สภาพทั้งรูปทั้งนามตั้งแต่ กามรูป จนถึงรูปรูป พ้นจากกามแล้วมาเป็นรูปภพ อรูปภพ ก็มารู้รูป แล้วก็ทำลายรูปได้ อยู่เหนือรูปได้จึงเรียกว่า อรูปสัญญี เป็นผู้ที่กำหนดได้ทั้ง กาม ทั้งรูปภพ อยู่เหนือได้ แล้วก็เหนืออรูปภพ ทำลายอรูปภพได้ ก็อยู่ในนี้ในตัวเองโดยส่วนตัวทั้งหมด เอโก ทั้งหมดมีทั้งภายในและทิ้งภายนอกไม่ได้ด้วย พหิทารูปานิ ต้องเป็นผู้รู้ภายนอกด้วย ปัสสติ นี่คือ วิโมกข์ 8 ข้อที่ 2 อัชฌัตตัง อรูปสัญญีเอโก พหิทารูปานิปัสสติ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรู้ที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้
ส่วนวิโมกข์ 8 ข้อที่ 3 สุภันเตเรียกว่า อันตะ จากสุภันเตวะ คำว่า เอวะ คือ สิ่งที่เราปฏิบัติตามนั้นแหละ สุภะ แปลว่า สิ่งที่ควรเป็นควรได้ ท่านก็แปลว่างามก็ไม่ผิด แต่ฟังแล้วเป็นโลกียะ สรุปง่ายๆว่าต้องเอานิพพานให้ได้ก็โน้มทิศทางไปสู่นิพพานในที่สุด คุณก็ทำอันนี้ให้ โหติ ให้มี ให้เป็น ให้สมบูรณ์แบบ
เพราะฉะนั้นในวิโมกข์ 8 ข้อที่ 3 เท่ากับรูปฌาน รูปฌานต้องมี 4 เขาเข้าใจไม่ได้ก็จะโมเมไปใหญ่อธิบายเรื่อง ฌาน พวกที่หลับตาก็ไม่มีสภาวะก็เลยไม่รู้เรื่อง อาตมาเรียนรู้ฌานโลกีย์ ไม่มีปัญหาหรอกแต่ ของพุทธเจ้าไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้น แต่เป็นฌานที่เป็นธาตุรู้ที่เผากิเลสได้ เป็นฌาน 1 2 3 เข้าฌาน 4 ก็เป็นสภาวะอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จะไปเอานิยายกับอรรถกถาจารย์ไม่ได้หรอกเพราะท่านยังไม่มีสภาวะ
สรุปแล้ววิโมกข์ 8 ของ 3 ข้อนี้คือ รูปฌาน สมบูรณ์แบบครบถึงขั้นอุเบกขา แล้วก็ตรวจสอบรายละเอียดลงไป
อุเบกขามีความว่างกับวิญญาณ อากาสา คือ ความว่างจากกิเลส สะอาดบริสุทธิ์ไม่มีสภาพ 2 ผลักดันอยู่ เป็นกลางเลย มี 0 หรือ 1 เอาสภาพที่ยังมีก็เป็น 1 0 ก็รับรู้แล้วว่ามันไม่มีเพราะฉะนั้นจะเป็นหนึ่งก็คือยังมีอยู่ จะเป็น 0 ก็คือไม่มีอะไรอยู่ ไม่มีกิเลส จะมีอยู่ก็คือวิญญาณสะอาด
อากาสาฯคือ สภาพเป็น 0 กับ 1 วิญญาณ ธาตุรู้คือตัว 1
อากิญจัญญาฯ ก็ตรวจกิเลสอีกทีนึงว่ามันไม่มีแล้วนะ ตรวจในขณะมีตาหูจมูกลิ้นกายใจพร้อมในขณะนี้แหละ มีวิญญาณ มีที่ตั้ง ไม่ใช่วิญญาณสัมภเวสี จะคนที่เรียนรู้ต้องครบทั้งตาหูจมูกลิ้นกายมีที่ตั้งที่เกิด
คำว่า วิญญาณฐีติกับสัมภเวสี 2 อย่างนี้ก็ยังแยกความต่างกันไม่ออก ก็ยังแยกไม่ได้อย่างพระพุทธเจ้าท่านบริภาษภิกษุ สาติ ไปงมงายกับวิญญาณล่องลอย สัมภเวสี วิญญาณหลับตาไม่มีที่ตั้ง วิญญาณไม่อยู่ในทางตากระทบอยู่ ก็ได้ยินเสียงอยู่รู้อยู่ จมูกลิ้นกาย ครบ มีที่ตั้งมีที่ยืนยันอ้างอิง เป็นความจริงครบบริบูรณ์ทั้งรูปทั้งนามทั้งนอกและในครบกายครบจิต ความรู้เหล่านี้ถ้าไม่ชัดเจนในความจริงก็บกพร่องไป แต่ถ้าครบถ้วนรอบปฏิบัติสัมมาทิฏฐิตั้งแต่วิญญาณฐีติ 7 ถึงขั้นไม่มีกิเลสแล้ว ทบทวนแล้ว อากาศก็ดีวิญญาณก็ดีก็ว่างชัด วิญญาณก็สะอาดเต็ม ไม่มีกิเลสแม้นิดนึงน้อยนึง สัมมาทิฏฐิก็จบตรงนี้ ไม่ต้องไปทบทวนอะไร
เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือการทบทวน ถ้าผู้ใดไม่เต็มที่ 100% ในวิญญาณที่ติก็ต้องทบทวนเนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็ต้องทบทวนตรวจสอบสัญญากำหนดรู้ต่างๆอะไรที่ยัง เนวะ ยังไม่รู้ครบใช่ก็ไม่ใช่ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ก็ต้องตรวจสอบ สอบทวน ให้สะอาดบริสุทธิ์เรียกว่า สัญญาเวทยิตตัง นิโรธัง โหติ เอาสัญญากำหนดรู้ในเวทนา มีผู้รู้แปล เวทยิตตัง ว่าเคล้าเคลียอารมณ์ เอาสัญญารู้ให้ครบปฏิเวธ ให้ครบให้หมดเลยว่าถูกต้องสมบูรณ์แบบ นิโรธแน่นะ สัญญาเวทยิตนิโรธ คุณก็ทำให้ชัดเจนว่าแน่นะ มีแน่เป็นแน่ตามที่ต้องการ ตามที่เราเรียนรู้มา มีของจริงตรวจสอบทั้งรูปทั้งนามของคุณ สมบูรณ์แบบคุณก็จบด้วยสัญญาเวทยิตนิโรธ อย่างนี้เป็นต้น
ผู้ที่ไม่มีสภาวะจริงจะมาอธิบายอย่างอาตมาไม่ได้หรอก ถ้าหากอาตมาพูดผิดก็เป็นวิบาก
เทวนิยมใหญ่ในสายพระมหากัสสปะ
เทวนิยมใหญ่ ก็คือ ติดยึดความเป็นเทวะ ถ้าใครศึกษาประวัติของพระมหากัสสปะ ศึกษาดีๆแล้วจะรู้ว่า พระมหากัสสปะเป็นสายพระป่าเป็นเทวนิยมตัวเบิ้ม จนในยุคพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นหนึ่งเดียว คนจะอยู่ป่าพระพุทธเจ้าก็ให้ทำได้ ก็มีลูกศิษย์ลูกหาที่มีทัศนคติความชอบแบบเดียวกันก็มีบริวาร ซึ่งมีส่วนน้อย ไม่เหมือนในยุคนี้บริวารพระป่ามีเยอะ พระบ้านคือพวกเราชาวอโศกที่ไม่ใช่เถรสมาคม ที่เป็นเถระสมาคมนั่นยังแย่ยังหนักอาการยังหนักยังโลกธรรมหุ้มหัว หุ้มศีรษะอยู่เยอะ ยังไม่ไหวหรอก ทางพระป่าก็ไปทางเชน ไปทางมักน้อยสันโดษไม่เอาอะไร เพียงแต่ไม่สัมมาทิฏฐิเท่านั้น ไปนั่งหลับตาไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่มานั่งลืมตา
แม้แต่สายพระบ้านก็ไม่ได้เข้าใจในเรื่องปฏิบัติลืมตา ก็ยังไปหลงว่าการปฏิบัติหลับตานั่นแหละเป็นวิธีปฏิบัติของศาสนาพุทธ แต่ไม่ได้ปฏิบัติจริงไม่เอาหนักเหมือนกับทางพระนั่งหลับตาจริงๆ ก็มานั่งบริหารแล้วเสพสุขด้วยลาภยศสรรเสริญกันเยอะ ก็เลยใช้เวลาฟุ่มเฟือยไปกับโลกธรรม นั่งบ้างไม่นั่งบ้างได้แต่พูด เลยเก่งทั้งพูดกลายเป็นผู้สาธยาย เอาอะไรต่ออะไรมาที่เป็นโลกจินตามาอธิบาย(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) ก็เลยกลายเป็นผู้ที่เลอะเทอะเยอะแยะไปหมด ก็เลยแบกสัมภาระวิบากไว้มากมาย ดิ้นไม่ออกจากสมภาร หนักเข้าแต่ละวัดก็ตีกันแย่งกันไปตามโลกีย์ มันเป็นเรื่องของโลกีย์ที่เห็นๆ
ขออภัยที่อาตมาพูดนี้เป็นวิชาการไม่ได้ไป ข่ม หรือไปดูถูกดูแคลนอะไรหรอก ผู้ใดฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญาว่าท่านผู้นี้ ผิดก็ตรวจสอบก็แก้ไข ถ้ายังไม่เห็นว่าผิดจริงยังไม่รู้ก็แล้วไปอาตมาจะไปบังคับความรู้ได้อย่างไร คนรู้ก็รู้คนไม่รู้ก็ไม่รู้อาตมามีหน้าที่พูดความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง
อาตมาก็ทำหน้า ที่ไป ที่เรียกว่าเทวนิยมใหญ่ คือ เป็นเจ้าแห่งเทวนิยมเป็นใหญ่ทางเทวนิยม เป็นเทวนิยมที่พระพุทธเจ้ายอมรับว่าเอาหละเป็นอรหันต์ได้ ยอมรับว่าเป็นผู้ที่มีภูมิปัญญาพอที่จะรู้จัก อัตตา รู้จักการลดละอัตตา เป็นคนมักน้อยอยู่แล้วเพราะฉะนั้นแม้จะลดละอัตตาได้นิดหน่อย มันก็อาศัยสบายอยู่แล้ว ทางสายมักน้อย พวกนี้ น้อยจนเกินจนกระทั่งไม่เอาอะไรไปอยู่ป่า ถ้าไม่มีพระวินัยก็ขุดดินขุดเผือกขุดมันกิน เด็ดต้นไม้กินเลย แต่ว่ามีวินัยของพระพุทธเจ้าว่า เป็นภิกษุเป็นผู้บวชแล้ว อย่าพรากพืช อย่าไปขุดดินกินหัวมันหัวเผือก ไม่เอา ให้พึ่งฆราวาส พึ่งพาอาศัยกันฆราวาสกับภิกษุต้องพึ่งพาอาศัยกัน นำพากันไปสู่นิพพาน ไม่เช่นนั้นมันก็จะกลายเป็นเรื่องสุดโต่งไปหนักเข้าจะไปเป็นแบบพวกเชนเลย เป็นพระป่าพระเทียนไม่รู้เรื่องโลกเลย ไม่เอา มันสุดโต่งไป มันไม่มีประโยชน์คุณค่ากับมวลมนุษยชาติ อย่างเพียงพอสมดุลมันโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง กามสุขัลลิกานุโยคก็โต่งไปอัตตกิลมถานุโยคก็โต่งไป พระพุทธเจ้าไม่เอาทั้งสองอย่าง ท่านให้ผลออกมาดีที่สุด ศึกษาให้ดีจัดสัดส่วนมันจะได้ความมัชฌิมาพอเหมาะพอดีได้อย่างสมส่วนที่สุด
เทวนิยมใหญ่จึงเป็นหัวหน้าเทวะที่มีบริวารที่เหลือ พระพุทธเจ้าก็อนุโลม ยอมรับว่าท่านต้องใช้ศัพท์ที่เรียกว่าอุ้มพระมหากัสสปะไว้ ถึงขั้นที่เรียกว่า สายนี้เจโต ไม่ค่อยมีปฏิภาณปัญญาเท่าไหร่ ลูกศิษย์ก็เหมือนกันท่านก็ต้องอุ้มไม่ให้ลูกศิษย์ลูกหาแหนงหน่ายพระมหากัสสปะ ก็เลยบอกว่าพระมหากัสสปะมีฐานะเสมอเรา ช่วยพระมหากัสสปะไว้ถึงขนาดนั้น บริวารถึงอยู่ได้ไม่อย่างนั้นพระมหากัสสปะจะว้าเหว่เลย มันก็ตายสิน้อยอยู่แล้ว
มันเป็นเรื่องยุคสมัย พระพุทธเจ้าสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายในภัทรกัปซึ่งมีผู้รู้ผู้ที่จะสอนได้นั้นน้อยที่สุดแล้ว หลังพระพุทธเจ้าแล้วก็มีโพธิสัตว์เช่นอาตมาเท่านั้น แล้วก็มีพระโพธิสัตว์องค์อื่น มีพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นต้น มีโพธิสัตว์อื่น แม้กระทั่งอาตมาขานรับโพธิสัตว์ขั้นคานธี โพธิสัตว์ขั้นไอสไตน์ ก็ยังไม่อยากขยายความเดี๋ยวมันจะยาก
แม้แต่คานธีก็ไต่เต้ามาทางเทวนิยม ก็มาหาความเป็นพุทธ มาหาความเป็นเทวะไปเรื่อยๆ ก็มีแนวโน้มมา เป็นยุคนี้ที่มีตัวตนบุคคลเอามาอ้างอิงได้ จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้สูงเท่าในหลวงรัชกาลที่ 9 หรอกไม่ว่าจะเป็นคานธีหรือไอน์สไตน์
ไอสไตน์ก็เป็นผู้มีความรู้เรื่องวัตถุ แต่ก็ซ้อน คานธีมีบารมี แต่บริวารก็ต้องล้มตาย อย่างที่เป็น เกิดสงครามเกิดการฆ่าแกงทำร้ายทำลายกัน จนกระทั่งสุดท้ายด้วยคุณธรรมของธรรมะบารมีของธรรมะชนะอธรรม ที่มารังแก อังกฤษมารังแกก็ต้องถอยทัพไป อาตมาก็อธิบายยังไม่เก่ง แต่คานธีเขาใช้คำว่า สัตยาเคราะห์ เข้ามาทำร้ายทำร้ายเราก็ยอมตายท่าเดียว จึงมีคนตายเป็นเบือ ในยุคของคานธี ตายกันเยอะ
พอมาเทียบกับยุคพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 ไม่ได้ตายอย่างนั้น เพราะฉะนั้นในรัฐบาลที่เกิดการปฏิวัติกัน นี่คือการปฏิบัติอย่างสงบ ยิ่งกว่าคานธี เพราะคานธี ยังมีรบราฆ่าฟันการเกิดการฆ่ากันล้มตายกันเป็นเบือ แต่ของไทยตายไม่เท่าไหร่ จะสู้ก็ไม่ต้องไปสู้กับต่างประเทศเลย เพราะต่างประเทศมารังควานไม่ถึง เป็นบารมีของประเทศไทย เข้ามารุกรานไม่ได้ อันนี้เป็นนามธรรม เป็นบารมี เป็นฉัพพรรณรังสีของธรรมาธรรมะ ซึ่งยิ่งใหญ่มาก ศัตรูผู้หวังร้ายเข้ามาไม่ถึง เพราะฉะนั้นไม่เกิดในยุคนี้ ไทยจึงมีแต่สงครามภายใน เดี๋ยวนี้ก็ยังเหลือเศษเชื้อของสงครามภายในอยู่บ้าง เป็นธรรมชาติ เป็น error
เขาก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกอาตมาพูดนี้ เขาจะไม่รู้เรื่องเลยพวกที่เขากำลังดีดดิ้นอยู่เพื่อจะทำอะไรต่ออะไรของเขากันอยู่ ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจที่จะรู้ตัว แต่มันเป็นสัจจะเขาต้องเป็น พระเทวทัตก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองต้องเป็น นี่ก็ฉันเดียวกัน อย่างทักษิณก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเป็น ไม่รู้ตัว แต่ก็ต้องเป็น เป็นเหยื่อแร้งกาแสดงอยู่อย่างนั้น นี่ก็ยังออกมา ตอนนี้มาในนามโทนี่ ก็อยู่อย่างนั้น ก็แสดงไป แสดงออกอย่างนี้ๆไป
ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เป็นการศึกษาของโลก ทั้งโลกียธรรมและโลกุตรธรรม
โลกุตรธรรมก็ต้องแสดงออกอย่างเข้าสายทาง สงบ สันติ อหิงสา จริงใจ จริงจัง แล้วก็ใช้ความจริง ใช้ความดีใช้ความถูกต้อง ใช้คุณธรรม เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในกระทั่งเขาจะมาทรมาน จะทำร้ายทำลายรุนแรงอย่างไรก็ยอม แม้เขาฆ่าตายก็ยอม ถ้าไม่ตายเหลือชีวิตก็ดีที่ไม่ถึงตาย เมื่อไม่ถึงตายก็ดีที่เขาไม่ตัดอวัยวะยังเหลือแขนขาอยู่ก็ดี แม้ว่าเขาตัดแขนขาก็ยังไม่ตายก็ดี อะไรอย่างนี้เป็นต้น เขาไม่ตัดแขนขามีอวัยวะถ้วนรอบก็ดี เขาก็ยังด่ายังว่า ข่มขี่ ก็ดีกว่าเขาตัดแขนขา
_สู่แดนธรรมว่า…พระอานนท์ถามพระพุทธเจ้าว่า ถ้าเขาด่าจะทำอย่างไร พระพุทธเจ้าก็บอกว่ายังดีกว่าเขาทำร้าย เขาทำร้ายก็ยังดีกว่าเขาตัดแขนขา เขาตัดแขนขาก็ยังดีกว่าเขาฆ่าให้ตาย
พ่อครูว่า…ในสิ่งที่เป็นจริงเหล่านี้ก็ต้องใช้ชีวิตในแต่ละชาติศึกษา อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะต้องทำงานทางด้านนามธรรม ทางด้านความรู้ให้รอบและพร้อมกันนั้นก็มีรูปธรรม ก็เป็นรูปธรรมส่วนน้อย เพราะว่ามันไม่ใช่ง่ายๆต้องมีทั้งรูปทั้งนาม ถ้าไม่มีนามธรรมมันเป็นอย่างนี้ไม่ได้ จึงมีจำนวนน้อย มันก็ต้องสมสัดส่วนของมัน
แต่นามธรรมคุ้มตัว เป็นรังสีราศีที่จะรักษาเราเอง นามธรรมเป็นประธาน ไม่ใช่รูปธรรมมาเป็นประธาน มีฉัพพรรณรังสีเป็นสิ่งที่คุ้มครองรักษา
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
ผู้มาจนเป็นผู้กอบกู้สังคม ผู้ที่ไปรวยทำลายสังคม
สู่แดนธรรม…พ่อท่านสอนให้พวกเราใช้ยุทธวิธีจัดการข้าศึกคือกิเลส แต่ธรรมาธรรมะสงครามไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าใครแพ้ใครชนะเป๊ะเลย เพราะธรรมาธรรมะสงครามเป็น สังขตธรรม ที่เกิดจากการปรุงแต่ง ว่าฝ่ายใดมีกำลังมากกว่าก็ชนะ หากฝ่ายธรรมะมีพวกน้อย หน้าที่ของปุโรหิตวิชาการธรรมะคือส่งเสริมฝ่ายธรรมะ ควรให้ฝ่ายธรรมะมีบทบาทในสังคมให้มากกว่าฝ่ายอธรรม
พ่อครูว่า…สรุปคำว่า เทวนิยมใหญ่
เทวนิยมคือยังเอียงไปข้างตีเทวไม่แตก คำว่า เทวะ แปลว่า 2 การเรียนรู้ที่ละ 2 เป็นตัวเปรียบเทียบกัน เราก็จะได้แชมป์กับรองแชมป์ ที่คัดเลือก รองแชมป์ก็เก่งขึ้นมาอีกไปเรื่อยๆ ใครชนะก็เป็นแชมป์ จนได้แชมป์ที่สูงสุด จนหมดสิ้นรองแชมป์ จนกระทั่งรองแชมป์ที่เก่งที่สุด ไปท้าชิงกับผู้ที่เป็นแชมป์ ผู้ชนะสูงสุดก็เป็นแชมป์เลิศสุด ห่างไกลรองแชมป์อื่นๆที่จะพึงมีได้ เพราะระหว่างรองแชมป์ก็จะมีผู้ไปหาญสู้ รองแชมป์ที่คัดขึ้นมาเรื่อยๆ จนหมดรองแชมป์ที่ไปหาญสู้ผู้ที่เป็นแชมป์ เราจะยังตัดสินไม่ได้หรอก ตราบใดยังไม่สูงสุด
ถ้าสมมุติว่า แชมป์คนนี้ชนะตั้งแต่รองแชมป์คนที่ 1 จนถึงรองแชมป์คนที่ 99 ก็ยิ่งใหญ่เลยสิ เพราะฉะนั้นแชมป์ตัวจริงก็จะเป็นอย่างนี้แหละ ก็จะเป็นแชมป์ไม่มีทางเคยแพ้เลย รองแชมป์เก่าก็จะฝึกวรยุทธขึ้นมาสู้ ๆๆๆๆ จนกระทั่งหมดแล้วในยุคนั้น ในกัปนั้น ไม่มีรองแชมป์คนไหนจะสู้ได้อีก พระเจ้าจึงตรัสว่าในระยะเวลาใกล้กันจะมีพระพุทธเจ้า 2 องค์ที่เก่งใกล้เคียงกันลอุบัติขึ้นมาใกล้กันนั้นหาได้ยาก เป็นไปไม่ได้ ไม่เป็นฐานะที่จะเป็น อฐานะ พระพุทธเจ้าไม่มีใครจะเทียบได้ เป็นจอมยุทธไร้เทียมทานจริงๆ แม้แต่โพธิสัตว์ระดับ 7 ยุคนี้ก็จะหาคู่มาเปรียบเทียบได้ยาก ก็ต้องพิสูจน์ความจริงไป พูดไปก็เพียงแต่พูด อวดเก่งไม่พอหรอกมันต้องพิสูจน์ความจริงว่าเป็นธรรมะจริงๆนะ เป็นโลกุตรธรรมจริงๆนะ รบด้วย ไม่มีอาวุธ มีแต่ความสงบ ราบเรียบร้อย มีแต่สันติ อหิงสา อโหสิ นะ อย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งเราก็ทำมามีรูปธรรมตั้งแต่ออกไปรบซัดพวกนายทุนศักดินา จะมารุกรานมายึดครองบ้านเมืองเราก็ป้องกันให้ในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปได้เรียบร้อยหมด จนในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านสิ้นไปก็ไม่มีปัญหา ก็มีรัชทายาทมีในหลวงรัชกาลที่ 10 ก็ยังอยู่ ที่ยังเป็นผู้ค้ำบัลลังก์คือพลเอกประยุทธ์ ก็มาเป็นนักรบแทน จึงชื่อว่าเป็นประยุทธ์ แม้จะไม่ชื่อว่าตะวันโอชา ก็ยังคือจันทร์โอชา
อาตมาพูดด้วยความจริงใจอย่างเดียว ไม่ต้องไปประจบประแจงพลเอกประยุทธ์ ให้ท่านทำหน้าที่ของตัวเองไปให้ดีที่สุดเลย อาตมาเชียร์ แม้ทุกวันนี้ก็ยังแสดงออก อยู่ให้ถึง 10 ปีเลยก็ได้ยังแข็งแรงทำได้เต็มที่เลย เพราะยังเป็นไปได้ แม้แต่ที่สุดสงคราม covid มันยิ่งร้ายกาจ เขาก็พยายามกันทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ อะไรต่างๆนานา แต่ด้านต่างประเทศสงบเรียบร้อยดีมาก
จริงๆแล้วเรื่องเศรษฐกิจเขาเข้าใจยังไม่ได้ ซึ่งมันซับซ้อน น่าเห็นใจเหมือนกัน เศรษฐกิจที่ดีคือเศรษฐกิจของชาวอโศก ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านตรัสไว้แล้วว่า มาจน มาเป็นคนจน คนจนนี่แหละสุดยอดซับซ้อนที่สุดเลย เข้าใจไม่ได้ว่าจนจะอยู่อย่างไร ก็มาดูว่าชาวอโศกอยู่อย่างไร ชาวอโศกไม่กระดี๊กระด๊าไปแย่งลาภยศสรรเสริญอีกแล้วในสังคม มีวรรณะ 9 จริงๆ เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย เป็นคนมักน้อย อัปปิจฉะ กล้าจน อย่างจริงใจ อย่างสำราญเบิกบานใจ จนอย่างรู้ว่า จนก็ดีกว่าไปรวยจะไปรวยทำไมให้คนมาแย่งชิงริษยา ไม่มีใครมาริษยาคนจนหรอก ถ้าไม่มีใครมาบอกว่าสู้เราไม่ได้หรอกเราจนกว่า ก็มีแต่พวกเราท้วงกันเองไป แล้วก็จริงใจ พวกเราก็รู้อยู่ว่ามันก็ยังหมกเม็ดอยู่นะ หลายเม็ดอยู่นะก็เท่านั้นเอง ไม่มีปัญหาอะไรเราก็รู้ว่าเป็นไปตามลำดับ ผู้ที่มีสำนึกสังวร ยังทำไม่ได้ก็เป็นตามลำดับ
เพราะว่าเป็นเรื่องของปัญญาที่มารู้จุดสำคัญของโลกุตระเป็นเรื่องอจินไตย อธิบายไม่ง่ายมันต้องมาอยู่ที่ตัวเองรู้ตัวเอง มีจิตตัวเอง มีสภาพจริงของตัวเองแล้ว มันจะเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ
เพราะฉะนั้นผู้ที่มาจนจะเป็นผู้กอบกู้สังคม ผู้ที่ไปรวยจะทำลายสังคม เพราะมันขี้โลภและหวงแหนทำให้เสียของ เป็นสมบัติของตนเองคนอื่นมาแต่ต้องแย่งชิงไม่ได้ผิดกฎหมาย ก็คุณใช้หลักเกณฑ์ของโลก Majority rule เพราะคุณเก่ง คุณเอาไปรวมไว้ได้มากเป็นหมู่ของคุณ คนอื่นก็ใช้ไม่ได้ ทำให้สังคมแหลกเหลวเสียหาย แต่คนก็เข้าใจยากเพราะเป็นกิเลสของเขา ที่เขาคงเห็นว่าอย่างนี้ดี เขาเห็นอย่างนั้นว่าเป็นสัมมาทิฏฐิที่จริงเป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้ายแรง แต่เขาไม่รู้เขาก็ต้องทำตามที่เขารู้ มันเป็นสัจจะ เป็นธรรมาธรรมะสงครามที่จะพิสูจน์ความจริงไป
เราจนเราก็ไม่ได้เดือดร้อนเราไม่ได้แย่งชิง เป็นแต่เพียงว่าเราพยายามให้คนอื่นมีความรู้ว่ามาจนอย่างนี้ดี ก็มีมวลปริมาณพลเมืองของคนจนเพิ่มขึ้น แล้วเป็นคนจนที่มหัศจรรย์ เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ เป็นคนจนที่มีสมรรถนะ เป็นคนจนที่ยอดเสียสละ เป็นคนจนที่ไม่ได้เป็นพิษภัยอะไรต่อโลกต่อสังคมต่อไปเลย มีแต่คุณค่าประโยชน์ต่อโลกต่อสังคม
เป็นคนยอดขยัน ไม่สะสม อปจยะ วิริยารัมภะ 2 ตัวสุดท้ายของวรรณะ 9 ไม่สะสม ชัดเจนว่าสาธารณโภคีเป็นเศรษฐกิจที่สูงสุด มีส่วนกลาง แล้วเป็นคนมักน้อยสันโดษกินน้อยใช้น้อยอยู่แล้ว ดีไม่ดีแต่ละวันเราก็ทำงานสร้างสรรค์ให้แก่ชุมชนมากกว่าที่เรากินเราใช้ ได้มากเท่าไหร่ก็ดีเท่านั้น ก็เป็นกุศลของเรา ถ้าหากชาติหน้าเราเป็นโพธิสัตว์ต่อไป คุณก็จะเป็นโพธิสัตว์ที่ไม่ใช่โพธิสัตว์กระจอก แต่เป็นโพธิสัตว์ที่ร่ำรวยมีทรัพย์ศฤงคารรองรับก็เป็นกรรมของคุณทำเอาไว้ทั้งนั้น คุณขยันนั่นมันเสียหายที่ไหน สร้างสรรเสียสละสิ่งที่ดีสิ่งที่สมควรเป็นปัจจัยของมนุษย์ในแต่ละยุค แล้วคุณก็สร้างไปสิ ไม่ว่าจะเป็นงานที่เป็นนามธรรม งานที่เป็นอรูป หรืองานที่เป็นรูปธรรมเลย เช่น การปลูกพืชผักเป็นรูปธรรม งานสื่อสารเป็นงานอรูป งานเป็นครูบาอาจารย์เป็นงานนามธรรม อย่างอาตมาเป็นงานนามธรรม ซึ่งเป็นสภาพที่ ซ้อนลึกสูงส่ง ละเอียดลออสมบูรณ์แบบ ผู้ถึงขีดขั้นก็เป็นอย่างนี้ ผู้ยังไม่ถึงขั้นก็แสดงรูปก่อน ผู้สูงขึ้นก็แสดงอรูป ผู้สูงสุดก็เป็นงานนามธรรม
อาตมาแสดงออกไปมีผู้เป็นจริงได้ไหม (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม…ผมสังเกตมาหลายปีแล้วว่า พ่อท่านบริหารพวกเราด้วยการไม่บริหาร มีผู้ยกย่องว่าสังคมสาธารณโภคีเกิดมาได้เพราะพ่อท่าน แต่พ่อท่านบอกว่า.. อาตมาไม่ได้ทำ คนทำคือพวกเรา ถ้าไม่มีลูกๆที่รับความรู้จากพ่อท่าน พ่อท่านเอาอรูปมาสอน พวกเรารับได้มาทำจนเป็นรูปธรรม
พ่อครูว่า…เมื่อพูดถึง อรูป นามธรรมเป็นเรื่องที่ลึก เรื่องแอพสแทรค เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ มันก็มีจิตให้ศึกษา โลกุตรธรรมสาธารณโภคี อาตมาว่าสาธารณโภคีคือเศรษฐศาสตร์ขั้นสูงสุด ไม่มีอะไรสูงกว่านี้แล้วเป็นเศรษฐศาสตร์ขั้นสุดยอด ที่เกิดจากความรู้ของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วเอามาสอนเอามาปฏิบัติไว้ ในยุคพระพุทธเจ้าก็มีแต่นักบวชเพราะเป็นยุคที่มีข้อจำกัด เป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคของทาส มีนายทาส ลูกทาส เป็นยุคที่คนยังไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชน ยังไม่เข้าใจว่าตัวเองมีสิทธิในตัวเอง อย่างทุกวันนี้ไม่ใช่ยุคนั้นแล้ว ไม่มีทั้ง 3 อย่างไม่มีสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่มียุคทาส เป็นยุคที่มีความรู้ในสิทธิมนุษยชนสมบูรณ์แบบ
เพราะฉะนั้นจึงเกิดสาธารณโภคีขยายผลมาถึงฆราวาสได้ ไม่ใช่อาตมาเก่ง แต่มันเป็นยุคของมันที่เป็นไปได้ ยืนยันสัจธรรมที่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ดีที่ในพระไตรปิฎกมีหลักฐานพวกนี้ อยู่ในสาราณียธรรม 6 สาธารณโภคี คือลาภธัมมิกาได้ลาภโดยธรรมแล้วเอามารวมกันกินใช้ อยู่กันด้วย เมตตากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อยู่ด้วย ศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา ก็สมบูรณ์แบบ พัฒนาพุทธพจน์ 7
พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ ตีแตกยาก นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ได้แล้วได้เลยตายแล้วไม่ฟื้น ฟื้นแล้วไม่ตาย เป็นอมตบุคคลซึ่งสุดยอด
คำว่า สาธารณโภคี ขอขยายความง่ายๆก่อน ส่วนตัวจน ส่วนรวมอุดมสมบูรณ์ ไม่เรียกว่ารวย เดี๋ยวจะขัดแย้ง ส่วนตัวจนแต่ส่วนกลางอุดมสมบูรณ์ กินใช้เหลือพอเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้อีก มันเกิดบทบาท ช่วยกันสร้างไม่ได้นิ่งตาย ไม่ได้ขุดกินบุญเก่าหรือทุนเก่า ได้กินเฉพาะคงคลัง ไม่ใช่ แต่ขยายผลพัฒนาหมุนเวียนอยู่อย่างมีส่วนเกิน มีส่วนเกิน จึงเป็นเศรษฐกิจที่ไม่เสื่อม เกินได้เพราะอะไร เพราะแรงงานแต่ละคนมีส่วนเกิน แล้วไม่เอาเป็นของตน สมรรถนะ ความสามารถ ความขยันนี่คือทรัพย์ ได้ส่วนเกินมาก็เอามารวมกันเป็นส่วนกลางเราก็ฝึกให้มักน้อยสันโดษลง ใช้ให้น้อยลงจนกระทั่งอยู่ตัวมีปัจจัยส่วนตัวเท่านี้พอแล้ว มีสันโดษอย่างแท้จริง แค่นี้พอ ก็ตามแต่ละฐานะของคน มันน้อยได้อีกก็ทำได้อีก มักน้อยที่สุดสมดุลที่สุด
เช่น เสื้อผ้าของพวกเรามี 5 ชุดก็พอแล้ว ไม่รู้จะไปเก็บอะไรกันนักกันหนา มีชุดเอาบุญ ภาษาอีสานว่าชุดสวยชุดเก่งชุดโก้นานๆจะควักออกมาใส่ เมื่อมีงานที่ก็เอามาใส่แล้วก็เก็บไว้นอกนั้นก็มีชุดลำลองสามัญใส่ประจำ
สู่แดนธรรม…เมื่อกี้นี้ได้ยินพ่อท่านพูดแล้วปิ๊งมาเลยว่า พ่อท่านพามาทำเศรษฐศาสตร์ในระบบสาธารณโภคีจะเจริญที่สุดยิ่งกว่าเศรษฐกิจระบบใดๆ แต่ตอนนี้แสดงตัวมากไม่ได้ เพราะว่าสุดยอดอันนี้ต้องล้ำหน้าไปไกลก่อน ผู้ที่มีบารมีจะต้องพัฒนาไปไกลๆก่อนนะเขาถึงจะลืมตามาเห็น พวกเราไม่ต้องไปรีบร้อนให้สังคมไม่ยอมรับเพราะยังไม่ใช่ฐานะ เราต้องพัฒนาของเราจนกระทั่ง
พ่อครูว่า…คนตาบอดเห็นได้ อาตมาก็พูดสำนวนนี้ จนคนตาบอดเห็นได้
สู่แดนธรรม…พ่อครู จึงมาเร่งใส่ปุ๋ยพวกเรา ให้เจริญมากขึ้น ผลิตผลเผื่อคนอีกหลาย ขวนขวายงานประสานหมู่
พ่อครูว่า…ขอสรุปก่อนว่า เทวนิยมใหญ่ คุณหายโง่คงเข้าใจแล้วนะ เทวนิยมใหญ่ เป็นจริตคน แก้ไม่ได้ง่ายๆ พุทธเจ้าต้องช้อนไว้อนุโลมไว้ ได้ขนาดนี้ถือว่าไม่ทำลายมีปฏิภาณปัญญาพอ เทวนิยมมีปัญญาพอไม่มาทำลายของพระพุทธเจ้า เป็นแต่เพียงว่าเขาก็ยังจมอยู่ในฐานะของเขาส่วนหนึ่งก็คืออนุโลมเขา ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีการเอื้ออนุโลมอะไรเลย
สาธารณโภคีต้องมีศีลอันเป็นอาริยะประกอบ
มาเข้าสู่เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ใช้คำว่าเศรษฐกิจพอเพียง เอาคำว่าสันโดษมีใจพอ น้อยก็พอ ไม่ได้เบียดเบียนตัวเองไม่ได้เบียดเบียนคนอื่นตนเองมีน้อยเท่าไหร่ก็พอเข้าใจคิดของตัวเอง ก็จะขึ้นอยู่กับตัวเราด้วย ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบในยุคสมัยเช่นในยุคที่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะ ก็จะไปสะสมมากทำไม แต่ถ้าเผื่อว่าทรัพยากรธรรมชาติก็มีเยอะไม่พอพวกเราก็ไม่ใช่จะไปแย่งกับคนอื่นเราก็ต้องมีพอที่จะสะพัดออกไปก็ต้องเหลือไว้พอให้ตัวเองก่อนนะ ไม่อย่างนั้นหากไม่พอต้องเดือดร้อนตัวเองหรือไปเดือดร้อนคนอื่น ไม่กระทบตนไม่กระทบท่านหรือถ้าจะเดือดร้อนตัวเองพอจะทนได้ก็อย่าไปกระทบคนอื่นเดือดร้อนคนอื่นได้มันก็เป็นดี ไม่เกิดวิบากเสียหาย เรารับเสีย อย่างนี้เป็นต้น
สาธารณโภคี ถ้าเข้าใจประเด็นว่า เรามามักน้อยมาจนนี้ดีกว่าไปแย่งกันรวย ประเด็นแค่นี้ ถ้าเข้าใจได้คนนี้เข้ากระแสแล้ว แต่ถ้าเขายังเข้าใจไม่ได้นะไม่เข้ากระแสโลกุตระ เขาก็ยังมีโลกียะที่เผื่อพอๆๆ จนกระทั่งจบไม่ลงไม่มีขีดพอไม่มีที่สิ้นสุด คำว่าสันโดษอันเป็นอาริยะ
พระพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมะอันเป็นอริยะ
-
ศีลอันเป็นอาริยะ (อริเยนะ สีลกฺขันเธนะ)
-
อินทรีย์สังวรอันเป็นอาริยะ (อริเยนะ อินทริยสัญวเรน)
-
สติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะ (อริเยนะ สติสัมปชัญเญน)
-
สันโดษอันเป็นอาริยะ (อริยายะ สันตุฏฐิยา) (พตปฎ. เล่ม ๙ สามัญญผลสูตร)