640419_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1o3x5hraCOeAdrRi_sm2Fo6_KWeNxIPY_kAOpkA8DANs/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1yi1s7DRAuSngq1KCk93nEaZVDHSnwwSp/view?usp=sharing
แลดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/vA4G0Tmm1Vc
ธรรมะเป็นหนึ่งอาหารเป็นหนึ่งในโลก
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก กิจที่ทำกันเป็นกิจวัตรก็คือฟังธรรม เพราะชีวิตเราเห็นว่าธรรมะเป็นสุดยอดของชีวิตแล้ว เอาธรรมะมาพัฒนาชีวิตตัวเองไปเป็นเครื่องอาศัยที่ยิ่งใหญ่ อาหารก็เป็นหนึ่งธรรมะก็เป็นหนึ่ง สำหรับความรู้ของเรา ใครเห็นธรรมะเป็นหนึ่ง ไม่ได้เห็นแต่อาหารเป็นหนึ่งก็เจริญ ชีวิตนี้ก็เจริญ เรื่องของอาหารก็พาให้ร่างกายเราเจริญ แต่เรื่องธรรมะมันพาให้จิตเราเจริญให้ชีวิตของเรานี้เจริญไปก้าวหน้าพัฒนาไปถึงชาติหน้า ชาติหน้าก็พาเจริญไปอีก จิตก็เจริญเราศึกษาฝึกฝนอบรมให้จิตเราเจริญ แล้วถ้าจิตของเรายังไม่ตายปรินิพพานเป็นปริโยสานได้เลยถ้าไม่ศึกษาธรรมะเป็นโลกุตระ มีศึกษาพระพุทธเจ้าสามารถตายให้จิตวิญญาณมันสูญไปได้นอกนั้นมัน 0 ไม่ได้
จำนน นอกจากจำนนว่า 0 ไม่ได้แล้วยังไม่สามารถพัฒนาจิตให้เจริญไปถึงที่สุดเรียกว่าอรหันต์ ให้มันเจริญเป็นของใครของมันถึงอรหันต์ไม่ได้ มีของพระพุทธเจ้าทำได้ทำให้ถึงอรหันต์ได้ เจริญที่สุด เป็นคนที่เกิดขึ้นมาอีกก็มีเครื่องประกันอรหันต์ เป็นเครื่องประกันว่าจิตของคนเป็นอรหันต์แล้วไม่ทำชั่วทำบาปทำโทษภัยอะไรอีกเลย กรรมกิริยาวิเศษ ดีทั้งนั้น มีแต่ดี นี่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ทำให้คนในโลกนี้เป็นคนที่ไม่เป็นพิษภัยอะไรกับอะไรเลยในโลก
เกินกว่านั้น นอกจากมีชีวิตไม่เป็นพิษภัยแล้วสามารถหยั่งรู้ถึงขั้นจิตวิญญาณ ทำให้จิตวิญญาณเกิดหรือจิตวิญญาณตาย ไม่ตายแต่จิตวิญญาณยังอยู่ ก็ให้เป็นจิตวิญญาณที่มีกรรมที่ดีเท่านั้น กรรมอันควร กรรมอันควรของโลกๆก็มีแต่ทำมาหากิน ทำอาชีพอะไรต่ออะไรไปยังชีพยังชีวะ แต่เป็นกรรมของทางโลกๆ กรรมของทางธรรมะกรรมของทางโลกุตระของพระพุทธเจ้านั้น นอกจากจะทำอาชีพด้วย ให้มันเป็นอาชีพที่ดี สัมมาอาชีพแล้ว ยังทำให้กรรมทุกกรรมดีด้วย เรียกว่ากัมมันตะ ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้กรรมทุกกรรมดี นอกจากดีด้วยความหมายเท่านั้น โลกียะก็รู้ว่าดีกับชั่วคืออะไร ยังสามารถที่จะถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ก็ทำให้จิตของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม สามารถที่จะเป็นองค์ประกอบของการที่จะช่วย ให้กิเลสลด จะได้เป็นอรหันต์
สำหรับผู้ที่เป็นอรหันต์แล้ว กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม วาจา กัมมันตะ สามารถที่จะจัดการมโน ที่เป็นโยนิโสมนสิการ เป็นที่ก่อความเกิด รู้จักจุดที่ต้น เป็นที่ต้นแห่งการเกิด โยนิโสฯ จัดการโยนิโสฯ จัดการการเกิด ที่เรียกด้วยภาษากลางๆว่า ชาติ ทำลงไปถึงต้นตอที่เป็นที่เกิดทางจิต ทำให้เกิดเป็นนิพพัตติ หรือรู้จักโอกกันตะ รู้จักกรรมกิริยาของมโน กรรมกิริยาของจิต หรือจะเรียกกรรมกิริยาของวิญญาณก็ได้แต่มันหยาบ เอาละเอียดก็กรรมกิริยาของมโน
ทำให้รายละเอียดของจิตหรือมโน ก็ดูที่อาการการเคลื่อนไหวของจิต ก็จัดการกับการเคลื่อนไหวนี้ได้รู้จักความแตกต่างของอาการเรียกว่า ลิงคะ อาการอย่างนี้ไปซ้ายไปขวาขึ้นบนลงล่างอาการนี้ผลักอาการนี้ดูด หรืออาการนี้ทุกอาการนี้สุข ประกอบไปด้วยความรู้สึก อาการนี้ให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ก็สามารถกำหนดสัญญา สัญญาเป็นจิตเจตสิกของตัวเอง มีหน้าที่กำหนดรู้ แล้วก็ให้เกิดกรรม ทางมโนกรรมจัดการมโนกรรม แยกแยะไปเป็นสังกัปปะ 7 คือจัดการมโนกรรม จัดการเรียนรู้มีธัมวิจัยมี สติ ธัมวิจัย มีวิริยะ มีโพชฌงค์ สติสัมผัสสิ่งนั้นสิ่งนี้ สัมผัสแล้วก็เกิดอาการทางจิตใจทางเวทนาก็วิจัยจิตใจตัวเองรู้ พฤติการณ์ของใจ จิตดำริออกมาเป็นวิตก มีพฤติการณ์เป็นวิจาร แยกแยะที่มันมีกิเลสออกมาผสมให้มันออกมาได้รู้ด้วยปัญญาแล้วก็กำจัดว่ากิเลสนี้มันพาให้ตกต่ำ เป็นสิ่งที่ไม่น่ามีน่าได้น่าเป็น กิเลสเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา กิเลสมันเกิดมามันก็มีหน้าที่ดูดผลัก ฉะนั้นไม่เอา เจ้ากิเลสนี้มาเข้ามาอยู่ในจิตเรา ก็ต้องพิจารณาเห็นเหตุเห็นผลว่ามันไม่น่าคบ ไม่น่าได้ไม่น่ามีไม่น่าเป็นไม่น่าจะอยู่กับเรา ธาตุฉลาด ธาตุปัญญารู้จริงๆ มีพลังปัญญาไม่รับก็เปลื้องปล่อย มุญจิตตุกัมมยตาญาณ แต่ก่อนไม่รู้โง่ก็คบหากันไปกับผสมผเสกันไปปรุงแต่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจนกระทั่งจิตกิเลส กิเลสกับจิตไปด้วยกัน ไม่รู้ดีชั่วไม่รู้บาปบุญอย่าไปพูดถึงไม่รู้จิตเจตสิกรูปนิพพานเลย รู้จักอาการของตัวมันเอง
เทวนิยมไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักจิตเจตสิก รูป นิพพาน ไม่เคยศึกษาไม่มีทฤษฎี เทวนิยมจึงจมอยู่กับทำอย่างไรที่จะสามารถบังคับ กายวาจาแต่จัดการจิตไม่ได้ บังคับกายวาจาให้ เป็นกายดี วาจาดี กายกรรมที่ดี วจีกรรมที่ดี มีการเคลื่อนไหวทางกายวาจาที่ดีเท่านั้น มันก็เลยไปมีส่วนบังคับจิตตัวเองไปโดยปริยาย ทางเทวนิยมไม่รู้จักจิต แต่ก็จิตนั่นแหละเป็นตัวสั่งการ จิตนั่นแหละเป็นตัวบังคับ จิตนั่นแหละเป็นตัวให้การศึกษา ศึกษาบังคับกายกรรมอย่าให้กายกรรมเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ไม่ควรไม่ดี อย่างนี้ควรก็ดี ก็ให้ทำสิ่งที่ควรสิ่งที่ไม่ควรก็ไม่ให้ทำไม่ว่ากายกับวาจา ก็เลยได้แต่การควบคุมได้แต่การบังคับ นี้เป็นลักษณะควบคุมบังคับ ไม่มีการรู้แจ้งแทงทะลุ ก็บังคับกันไป บังคับได้ก็ได้ บางทีที่มันสู้ไม่ได้ก็แพ้ บังคับได้เก่ง ก็อยู่รอดหน่อย จนกระทั่งเก่งด้วยการบังคับจึงเป็นยอดแห่งนักบังคับ ถือว่าเป็นยอดแห่งความรู้ยอดแห่งความจริง คนที่ฝึกฝนจิตจนเป็นยอดแห่งความรู้แห่งความจริงได้
ทางศาสนาพุทธรู้ ว่า จิตวิญญาณของผู้ที่ฝึกบังคับจิตตัวเองให้เป็นความรู้และทำความจริงให้ ทำแต่ดีไม่ทำชั่วเลยก็ได้เป็นศาสดา แต่เขาไม่รู้ตัวเองว่าเขาได้ฝึกฝนอย่างนี้มาศาสดาเทวนิยมเขาไม่รู้ตัวเอง เขาก็รู้ว่าเขาเกิดมาเขาสามารถรู้พวกนี้มา มันมาจากไหนก็ไม่รู้อยู่ในตัวเขา เพราะเขาไม่รู้ชาติ ไม่รู้สัญชาติ ไม่รู้จิตที่ได้สั่งสมมาเป็นสัญชาติ เกิดมาก็มีสัญชาติและรู้แล้วก็จริง เพราะเขาได้สั่งสมมาจนกระทั่งถึงสูงสุดเลย แต่เขาไม่รู้ว่าแล้วมันมาได้อย่างไรหว่า เรา ความรู้พวกนี้ เขาจึงถือว่า ยกว่า เออ มีใครที่สามารถประทานความรู้ความจริงเอามาให้ เพราะเขาเองเกิดมาก็มีอันนี้แล้ว ศาสดา เขาไม่ได้ศึกษา เขาไม่ได้ฝึกฝน แม้จะศึกษาฝึกฝนก็ได้เร็วกว่าคนอื่น ได้ความรู้ความจริงนั้นขึ้นมา จนคนอื่นยอมรับ ว่าเป็นความรู้ความจริง ยกให้เป็นยอดเป็นเต้ยเป็นศาสดา เพราะได้สั่งสมมาเกิดมาก็มีในตัวมา เป็นกรรมวิบากตัวเอง พอมาเกิดมาในชาติปางที่จะเป็นศาสดา มันก็ต้องมีจริง แสดงออกจริง คนก็ได้รับการกระทบสัมผัสจริง ก็ยอมรับกันว่าเป็นศาสดา แต่ไม่รู้ว่ากรรมวิบากที่ตัวเองมีมันได้มาอย่างไร ทำไมคนอื่นๆเขาไม่ได้อย่างเรา แล้วเราเอามาจากไหน ก็เพราะไม่รู้กรรมไม่รู้วิบาก
เอ๊… ต้องมีอะไรสำคัญความรู้นี้ต้องเป็นของใครแน่นอน เพราะไม่รู้ว่าเป็นของตนเองที่จริงเป็นความรู้ของศาสดาเองนั่นแหละที่สั่งสมมาแต่ละชาติ แต่ไม่รู้จักกรรมวิบาก พอเกิดมาชาติที่จะเป็นศาสดา มันก็มีของตัวเองเกิดมาเป็นสัญชาติ เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายที่มีสัญชาติเกิดมาก็มีสัญชาติของมัน ศาสดาก็มีสัญชาติของศาสดาที่ได้ศึกษาฝึกฝนอบรมเป็นของตนมาแล้ว ไม่รู้อัตตา อัตตนียา
เป็นสิ่งที่ตนเองสั่งสมมา นี่คือความไม่รู้ของอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ไม่รู้สังขารไม่รู้วิญญาณวิญญาณนี้เป็นของตน ได้รับฝึกฝนมาเป็นของตนก็ไม่รู้จักวิญญาณ พระพุทธเจ้ามาแยกแยะวิญญาณ มันเป็นเทว จิตวิญญาณก็คือเทว เป็นธาตุคู่ ธาตุ 2 แยกเป็น นามรูป แล้วจะเกิดปฏิกิริยา มีอายตนะเมื่อผัสสะ เกิดตัณหา
เมื่อรู้ตัณหาตัวนี้ศาสนาพุทธก็รู้ที่ต้นแห่งความเป็นวิญญาณ พอไอ้ตัวนี้มันมีแต่ความอยากๆๆเป็นตัณหา แล้วสั่งสมเป็นอุปาทาน พอสะสมเป็นอุปาทานก็ ถ้าเกิดมาก็แสดงภพ มันเกิดก็เป็นชาติ เป็นเทวะคู่สุดท้ายคือภพชาติ
ศาสนาพระพุทธเจ้าตรัสรู้ รู้อาการจิตั้งหมดตั้งแต่สังขาร เกิดมาปรุงแต่งเป็นสงขาร
อุปทาทานกับตัณหาคือเทวะคู่ เป็นแก่นวิ่งกับแกนเคลื่อนคู่สำคัญแล้วมันก็เกิดพาสร้างตามตัณหาตามอุปทานที่ตัวเองมีไม่รู้เท่าไหร่ ภพชาติก็คู่หนึ่ง ปัญหากับอุปทานก็คู่หนึ่ง ผัสสะกับอายตนะก็คู่หนึ่ง นามรูปกับวิญญาณก็เป็นคู่หนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสในอาหาร 4 เรารู้จักวิญญาณแล้วก็เรารู้จักนามรูป ก็เป็นอันรู้ทุกอย่าง
นามรูปมาปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร สังขารปรุงแต่งก็วิญญาณ วิญญาณก็แยกเป็นนามรูปจัดการกับนามรูปทั้งหลายเรียนรู้ตัวถูกรู้คือรูป ตัวนามที่รู้คือตัวเราเองแล้วมันก็สังขารปรุงแต่งกันอย่างไม่รู้จักว่าคืออวิชชา ไม่รู้ หนูไม่รู้ แล้วก็มาเป็นนก นกรู้ ไม่ยอมเป็นหนู
ก็มารู้จักการจัดการเป็นอภิสังขาร จัดการเรียนรู้สังขารทั้งหลายว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีเหตุแห่งทุกข์ ก็เรียนรู้เหตุแห่งทุกข์ เรียนรู้วิธี จะทำให้เหตุแห่งทุกข์มันดับ แล้วก็ทำได้จนดับ ก็รู้แจ้ง เพราะกิเลสมันดับก็รู้แจ้งตัวจิต ตัววิญญาณ ตัวธาตุรู้ที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร ให้รู้ความจริงเลยเพราะหมดความมืดมน หมดความหม่นหมอง หมดไม่มีอะไรมาบัง มีแต่ความทะลุทะลวง รู้หมดเลย ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เหมือนมีแก้วไพฑูรย์ มองดูเห็นมีอะไรชัดเจนในนั้นหมดเลย จิตวิญญาณคือแก้วไพฑูรย์ที่ใส แล้วมีอะไรผสมผสานอยู่ข้างในมีไส้สีแดงสีเหลืองสีอะไรต่างๆอยู่ข้างในก็รู้จัก ก็ถอดไส้ออกเหลือแต่แก้วไพฑูรย์ใสได้ เพราะรู้จักเห็นแจ้งหมดเลย ชัดเจนหมดเลย ก็เอามาเทียบเป็นภาษา เป็นพยัญชนะ เป็นรูปธรรมให้รู้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม…วันนี้เป็นวันแรกที่พ่อครูจะเทศน์ยาวๆ โดยไม่มี sms หรืออะไรมารบกวน พ่อท่านกำลังอธิบายเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท
พ่อครูว่า…อ่านตามวิภังคสูตร
ปฏิจจสมุปบาทคือวงจรการเกิดดับทั้งมวล
-
วิภังคสูตร เล่ม 8
[๔] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี … พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราจักแสดง จักจำแนกปฏิจจสมุปบาทแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟังปฏิจจสมุปบาทนั้น จงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
[๕] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติเพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัสและอุปายาสความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
พ่อครูว่า…นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แต่พระศาสดาของศาสนาทั้งหลายจะไม่รู้เรื่องนี้ แล้วศาสดาทั้งหลายก็สอนแต่ดีและชั่ว ศาสดาทุกสัปดาห์ผู้รู้ทุกผู้รู้คนโลกีย์ทั้งหลายก็สอนอย่าทำชั่วทำแต่ดี ละชั่วประพฤติดี สอนอยู่อย่างนั้นแหละ พระพุทธเจ้าก็ผ่านการสอนการเรียนอย่างนั้นมาทั้งนั้น แม้แต่กันยึดตัวยึดสมมุติสมมุติดีขึ้นมาก็ไม่ตรงกัน ต่างสมมุติต่างหมู่กลุ่ม แม้แต่ต่างแต่ละบุคคลก็สมมุติความชั่วความดีไม่เหมือนกัน อาจจะคล้ายกันหรือเรียกแทนกันเลยว่าอันเดียวกัน ดีตรงกันชั่วตรงกัน สมมุติตรงกัน อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีสิ่งที่มีนัยยะสำคัญ มีมิติที่ละเอียดลึกซึ้งไม่ตรงกัน แต่เอาเถอะเขาก็ต้องรู้เท่านั้น
ส่วนพระพุทธเจ้าผ่าน สิ่งที่ดีและชั่ววนเวียนอยู่ในช่วงประพฤติดีให้เป็นคนดีสูงสุด ก็ได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งสะสมกรรมวิบาก แต่ทางเทวนิยมเขาไม่รู้ว่าสั่งสมกรรมวิบากมาจนสามารถเป็นพระศาสดา ได้ดีและชั่วรู้ความดีความชั่วแล้วก็ประพฤติได้ดีกว่าเพื่อน จึงได้เป็นศาสดา แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าความรู้ทั้งหลายในกรรมกิริยาเขาไม่รู้จักกรรมวิบากเขาก็ไม่รู้กรรมตามที่เขาดีก็เป็นกรรมชั่วก็เป็นกรรม คำว่ากรรมเขาก็ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จนกระทั่งว่าเกิดมามีกรรมสั่งสมเป็นวิบากก็ไม่รู้ เขารู้แต่ดีแต่ชั่ว แล้วอย่าทำชั่วทำดี แล้วทำกรรมนั่นแหละเขาไม่รู้ แม้ที่สุด คำสอนที่มาสอนก็เป็นคำสอนของใครก็ไม่รู้ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองสั่งสมมาแล้วเอามาสอนเพราะมันดีเหลือเกินคนก็มายกย่องเรา เราก็เลยกลายเป็นผู้ที่สอนเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ใช่ว่าตัวเองเป็นเจ้าของความรู้นี้ความจริงนี้เขาไม่เชื่อ
แม้กระทั่งจะกล้ารับว่าตัวเองเป็นเจ้าของก็ไม่กล้า ก็ไปบอกว่านั่นแหละของพระบิดา ความรู้อันนี้ความจริงอันนี้ของพระบิดาให้เราเอามา เราเป็นพระบุตร เป็นผู้ที่รับมา เราเป็นลูกของพระบิดา เรานี่เป็นลูกของพระบิดาแล้วเราก็ได้รับความรู้ความจริงนี้มาเอามาประกาศประพฤติ ไม่กล้าเชื่อว่าตัวเองเป็นเจ้าของความรู้ความจริงอันนี้ ไม่เชื่อตัวเอง
แต่เชื่อว่าอันนี้ดีที่สุด ไม่เชื่อว่าเป็นของตัวเอง เพราะไม่รู้ตนเอง ไม่รู้กรรมวิบาก อาตมาอธิบายอย่างนี้พวกคุณฟังแล้วเข้าใจอย่างไร อะไรๆก็เป็นของของตน แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นของของตน สิ่งที่ประเสริฐสุดก็เป็นของตน แต่ตัวเองไม่รู้ว่าอันนี้เป็นของของตน ตนเองประพฤติสั่งสมมาด้วยกรรม พอมาเกิดตอนนี้เป็นสัญชาติ เป็นศาสดา จึงมีสัญชาตญาณของศาสดา ก็แสดงสัญชาตญาณของศาสดาออก คนสายโน้นเห็นก็บอกว่าท่านรู้ดี ท่านทำดี ก็ยกให้เป็นใหญ่เป็นศาสดา แล้วก็ให้ท่านสอนเชื่อฟังท่าน แต่ตัวศาสดาเองไม่เชื่อตัวเอง ไม่รู้ตัวเองว่าเราได้ความรู้นี้มาอย่างไร ก็เลยได้แต่สอน
อันนี้ยอมรับจริงๆว่าเป็นความรู้ที่ดีเป็นสิ่งที่ดีถูกต้องหมด ดีอย่างถูกต้องหมดชั่วอะไรก็ถูกต้องหมดอย่าไปทำชั่ว ละชั่วประพฤติดีทำแต่ดี สอนกันให้เชื่อ เชื่อคำสอน จนกระทั่งศาสดาเองก็ไม่รู้เป็นของตนบอกว่าเป็นของพระเจ้าเป็นของพระบิดา อย่าไปแก้ไขอย่าไปวิจัยวิจารณ์อย่าไปเชื่อ ทำตาม จึงกลายเป็นความรู้หรือว่าเป็นวิชาชนิดหนึ่ง แบบนั้นไม่เหมือนของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้านั้นรู้จักทุกอย่างว่าเป็นองค์ประกอบที่ไม่เที่ยง เกิดตามฐานะบุคคล องค์ประกอบ กาละ ฐานะ เทศะต่างๆ ไม่ตรงกันทีเดียวอันนี้เป็นนัยยะละเอียดที่สุดเลย
พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ปฏิจจสมุปบาททั้งหลาย จึงเป็นความรู้ที่รู้จบรู้ครบรู้บริบูรณ์ของการเกิดทั้งหลายของการดับทั้งหลาย
คนไม่มีวันชราเป็นไฉน
[๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ก็มรณะเป็นไฉน ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธานมฤตยู ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ ความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่ามรณะ ชราและมรณะ ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่า ชราและมรณะ ฯ
พ่อครูว่า…เพราะไม่รู้จักการตาย แต่พระพุทธเจ้าทำให้เกิดตายได้อย่างสมบูรณ์ รู้จักวิธีทำกิเลสออกให้หมดจนจบ จึงรู้ว่าจิตจริงๆนั้นไม่มีตัวตนไม่เป็นของเราของเขาไม่ใช่ มันเป็นองค์ประกอบกันอยู่เฉยๆอาศัยก็อยู่เท่านั้น แต่เพราะว่าคุณมีอุปาทาน มียางเหนียว มีตัณหา คุณจึงยึดไว้ ถ้าหากไม่มีอุปาทานไม่ยึดมันก็ไม่มีตัณหาเกิด ดับตัณหา ดับอุปาทานสิ้นเกลี้ยง ธาตุนั้นก็แยกกันหมดได้ เป็นดินน้ำไฟลม
ชรา มรณะของรูป วัตถุ เราเห็นได้ง่าย ชราคือเสื่อมไปๆ ตั้งไว้อีกหน่อยก็เน่าเสื่อมละลายเหม็น จุลินทรีย์ต่างๆมาทำงานเปลี่ยนแปลงให้เป็นสภาวะอื่น พวกนี้เก็บมาใหม่ก็ดูสดเก็บมานานแล้วก็เหี่ยว เห็นชัดในเรื่องรูป เรื่องรูปก็เห็นง่ายชราง่าย สุดท้ายมันก็เสื่อมสลายไม่เหลือสภาพนั้นก็นึกว่าตาย
วัตถุก็ดูง่ายแต่จิตวิญญาณมันไม่เป็นอย่างนั้น จิตวิญญาณมันก็ชรา มันก็ตาย แต่มันไม่จบ จิตวิญญาณของคนโง่ชรา คนที่ยอมรับว่าจิตวิญญาณชรา จิตวิญญาณไม่ Active มันไม่ไหวแล้ว คนนี้ก็ตายง่าย แต่คนนี้บอกว่ายังไม่แก่หรอก แก่ไม่เป็นหรอก จิตใจฉันยังไม่แก่ ร่างกายแก่ก็บอกว่าร่างกายไม่แก่ ก็ไม่ได้แต่มันจะช่วย จิตวิญญาณมันจะช่วยมันจะทำให้ไม่อ่อนแอไม่งอกแงกเร็วเกินไป แต่ใครบอกว่าตัวแก่แล้วแก่เลยทับถมตัวเอง แก่คนนี้ก็แก่แล้วแก่เลย ไม่ช้าไม่นานก็ตายมรณา
มรณาแล้วใจยังไม่สูญอันนี้เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจิตใจยังไม่สูญมันเป็นการเกิด แปลว่าตายแล้วมรณะแล้วมันก็ไม่ตาย
ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร
[๗] ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง(ชลาพุชะกับอัณฑชะ) ๑, เกิด(สังเสทชะ) ๒, เกิดจำเพาะ(โอปปาติกปฏิสนธิ) ๓, ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ (ในวงเล็บคือท่านที่แปลบาลีมาเป็นไทย)
พ่อครูว่า… ดูคำแปลแล้วแสดงว่า คนแปลไม่ได้เข้าถึงนามธรรม พระไตรปิฎกถือว่าเป็นความรู้สูงสุดแล้วในความรู้ของผู้รู้ทั้งหลายในประเทศไทย แปลจากภาษาบาลีขยายความเป็นภาษาไทยให้คนศึกษาตาม ก็เลยมีความรู้แค่รูป ไม่มีความรู้นาม
โอปปาติกโยนิคือ นาม ท่านก็เลยถือว่า ความเกิด 4 ประการ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ เป็นเรื่องรูปธรรม อภินิพพัตติเท่านั้นเป็นนามธรรม
นี่คือการเกิด 5 ประการ ชาติคือคำใหญ่ เป็นคำรวมทั้งหลายในตัวปลายของปฏิจจสมุปบาท ก็แจกชาติเป็น ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ
อาตมามีความรู้มาแต่เดิมไม่ได้มีเขาจากพระไตรปิฎกหรือความรู้จากใคร ก็รู้ความเกิดทั้ง 5 นี้ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ รู้หมดเลยว่ามันเป็นอย่างไรใน 5 อย่างนี้
ชาติ เป็นคำรวมใหญ่ การเกิดรวม สัญชาติ คือการเกิดที่มาจากธาตุรู้ สัญญะ สัญญา แล้วก็นำติดตัวมาเป็นสัญชาติ เพราะฉะนั้นผู้ที่เกิดมา จิตวิญญาณติดตัวมา ที่เป็นความจำเก่าแล้วก็กำหนดหมายรู้ของตนเองเก่าได้ติดตัวมา พอมาเกิดปุ๊บ ก็มีการรู้ตัวทันที เรียกว่ามีสัญชาตญาณ เป็นญาณที่รู้ติดการเกิดของตนเองมา สัตว์เดรัจฉานก็ตาม คนก็ตาม มีสัญชาติ ติดตัวมา เรียกว่าการเกิดของสิ่งที่เกิดติดตัวมา ท่านแปลสรุปง่ายๆว่า เป็นความบังเกิด
มันเกิดคือยังไม่ชัด บังๆ อาตมาว่าอาตมาแปลได้ชัดกว่า คือเกิดติดตัวมา ถ้าให้อาตมาเป็นผู้แปลบาลี
ชาติคือ ความเกิดทั้งหมดรวมลงในชาติ
สัญชาติ คือ ความเกิดที่ติดตัวมาระลึกรู้ได้ แล้วก็เอามาใช้เรียกว่า สัญชาติ
โอกกันติคือ ความหยั่งลงคือ การเกิดที่คุณมีองค์ประกอบดินน้ำไฟลม มีองค์ประกอบของร่าง มีองค์ประกอบของกาย องค์ประกอบของสิ่งที่รวมกันเป็นรูปนาม แล้วก็มีกรรมกิริยาทุกอย่างขึ้นมาสั่งสมลงไปในสัญชาติ ท่านเรียกว่าหยั่งลงเป็นกรรมวิบากลงไปในจิต เมื่อยังไม่รู้เรียกว่าอวิชชา เมื่อไม่รู้ก็ปฏิบัติตามกิเลสของตัวเองหรือว่าตามอวิชชาของตัวเอง ได้กรรมเป็นอันทำ เมื่อเกิดกรรมนั้นก็ตกผลึกใส่เซฟ ใส่คลังของธาตุอัตตา หรือธาตุของจิตเรา สั่งสมรวมเป็นของตนๆ เรียกโอกกันติ ด้วยอวิชชามันก็เป็นเช่นนี้
จนกว่าจะรู้ว่า มันมีกรรมกิริยาในปัจจุบัน เราเกิดมามีร่างมีกายเป็นเหตุปัจจัย มีทุกอย่างมีปัญจสาขา มีการกระทำ มีจิตวิญญาณ มีตัวประธานแล้ว เกิดกรรมกิริยาอะไรขึ้นมาเรียนรู้ว่ากรรมกิริยามันไม่ดีไม่ทำ ดีก็ทำ ก็เลยเกิดกรรมดีกรรมชั่วได้กรรมดีมากขึ้น ศาสดาทั้งหลายที่เป็นโลกียะก็เรียนรู้แต่กรรมดีกรรมชั่ว ก็ได้แต่สั่งสมดีหยั่งลง สั่งสมจนได้เป็นศาสดาเป็นคนดีที่สุด เป็นที่ยอมรับของแต่ละชาติ ก็ศาสดาองค์ใดสั่งสมมาก็ได้แค่นี้ ความรู้ของโลกีย์ มีแค่นี้มี ชาติ สัญชาติ โอกกัติ แค่นี้ ไม่มีความรู้ที่จะออกนอกกรอบนี้
ส่วนศาสนาพระพุทธเจ้ามาแยกแยกความรู้ว่า มันมีการเกิดที่พิเศษอีกเรียกว่า นิพพัตติ คือ การเกิดที่จะไปนิพพาน การเกิดที่จะมีความดับ การเกิดที่รู้จักความดับ รู้จักเหตุแห่งความดับ รู้จักเครื่องทำให้เป็นอุบายเครื่องออก เครื่องทำให้เหตุที่มันไม่ให้ดับ เหตุที่มันจะต้องต่อไปอยู่เรื่อยๆ ดับเหตุตัวนั้นได้ ก็จึงสร้างทำความดับ สร้างพลังงานทางจิตขึ้นมา เป็นพลังงาน ธาตุที่สามารถทำให้ความเกิดของกิเลสมันดับลงได้ เรียกว่ามันจางคลายจนถึงดับ ทำให้ธาตุเหตุที่มันไม่ยอมตาย มันมีแต่สั่งสมการเกิดมีแต่ชาติๆๆ มันไม่ตาย ไม่ตายจริง พระพุทธเจ้าค้นพบสิ่งที่ทำให้เกิดปัญญาหรือความเฉลียวฉลาด ทำให้พลังงานของการเกิดลดลงๆ จางคลายไป จนสามารถทำถึงขั้นดับได้
พอสามารถรู้ ว่า สร้างพลังงานอย่างนี้เอง ที่ทำให้กิเลสลดๆๆ เรียกว่า อันนี้แหละคือการเกิดของปัญญา การเกิดของพลังงานพิเศษ ที่ศาสนาพระพุทธเจ้าค้นพบ เรียกว่าปัญญาหรือ วิชชา หรือ ญาณ ก็คือความรู้ มาจาก อัญญธาตุ
เกิดความรู้ขึ้นมาจริงๆสามารถทำให้เกิดความรู้ ความเกิด ความดับ นิพพัตติ จึงเป็นการรู้ความเกิดความดับและสามารถทำให้ความเกิดความดับนั้น ต้องการดับสิ่งที่ดับ แล้วก็ทำให้ดับได้จริงๆ จนจบ
สิ่งที่ดับได้จริง จบแล้ว หมดแล้ว สุดยอดทำได้เก่งเรียกว่า อภินิพพัตติ คือการทำนิพพัตติ ทำให้เกิดความเกิดความดับ
ความเกิดตรงนี้จึงมี 2 อย่าง
-
ความเกิดของความเกิด
-
ความเกิดของความดับ