640410_พ่อครูให้โอวาทพิธีรับกลด นักเรียนสัมมาสิกขา ปีการศึกษา 2562-2563 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1tzBnjfPTinMObHQIAGTSiPoS4LWzjEsID2vgYRL7wxo/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1ouueopWe73wZ9nJe4q6GClhuVsLI4box/view?usp=sharing และยูทูป fb ที่ https://youtu.be/0kUoGrpqRls คุรุฟังฝน จังคศิริ ได้กล่าวรายงาน แล้วกราบนิมนต์พ่อครูแสดงธรรมให้โอวาท อย่าโง่หลงโลกไปจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งประเสริฐสำหรับชีวิต พ่อครูว่า…สำนึกดีนักเรียนทั้งหลาย ชีวิตของแต่ละคนก็อย่างนี้แหละในโลกสมัยนี้เขาก็รู้กำหนดพิธี ในการที่จะพยายามช่วยกันและกัน ให้เกิดความรู้ความสามารถเพื่อที่จะยังชีพ ยังประโยชน์ ทั้งตนและผู้อื่นไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นความฉลาดระดับมนุษย์ที่พากันทำ เดรัจฉานมันก็ทำตามประสาของมัน แต่มันก็ยังไม่สามารถที่จะเก็บรายละเอียดองค์ประกอบสรรหามาเสริมเติมความสามารถ เสริความหลากหลาย เสริมประโยชน์ให้มันยิ่งขึ้นๆ สำหรับมนุษย์มีความเฉลียวฉลาดมีภูมิปัญญามากกว่าสัตว์เยอะ แล้วมีทั้งกรรมวิธีรวบรวมเอาทั้งวัตถุ พืชต่างๆสัตว์ต่างๆ เอามาใช้ ตามที่จะมีความรู้ความสามารถ แม้แต่เอาสัตว์มาช่วยมาใช้สร้างสรรค์ต่างๆมากขึ้น แต่โบราณมาจนถึงบัดนี้ก็ยังใช้กันอยู่ โดยเฉพาะในวัตถุต่างๆ สามารถใช้วัตถุตั้งแต่หยาบกลางละเอียดไปจนกระทั่งถึง ในระดับที่เป็นวัตถุละเอียดยิ่งกว่าปรมาณู เป็นสัดส่วนของอะไรต่างๆ วัดค่าเกือบไม่ได้ แต่ก็มามีฤทธิ์เดช อำนาจ จะหยิบจับเอามาผสมรวมใช้ให้มันเกิดประโยชน์แก่ตน ดีไม่ดีก็ทำลายตัวเอง ก็ห้ามไม่ได้ คนเรามันหาเหตุผลให้แก่ตัวเองตามประสาความคิดก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของโลก ในวัฏสงสารเอกภพมหาจักรวาลก็เป็นอย่างนี้ตลอดกาลนาน สำหรับพวกเราอาตมาก็พูดตามสัจจะความจริงไม่ได้มานั่งแกล้งยกยอยกย่องเล่นอะไร ว่า พวกเราเป็นคนที่มีบารมีกัน มีบารมีสั่งสมมา แล้วแต่ละบุคคล บางคน ไม่มีบารมีแต่ก็มีผู้ที่หวังดี ผลักดันเข้ามา จนกระทั่งมาได้ดีอยู่กับหมู่มิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี แล้วก็พากันฝนอบรมสั่งสอนถ่ายทอดความรู้ความสามารถโดยเฉพาะอบรมจิตวิญญาณ ทำให้จิตวิญญาณมีภูมิปัญญามีความรู้ที่รู้พิเศษ เป็นโลกุตรธรรม เป็นธรรมะที่ทวนกระแสโลกีย์ ซึ่งเป็นความประเสริฐสูงสุดระดับโลกุตระ ในโลกีย์ มันก็มีแต่ตัวตนทำอะไรเพื่อตัวตนเข้าหาตัวตน ส่วนโลกุตระนั้น ความรู้สูงสุดนั้น ท่านรู้แล้วว่าทุกอย่างมันไม่จริงไม่มีตัวตนหรอก แต่เราไปหลงยึดถือว่ามันเป็นเราเป็นของเราเป็นตัวตนของเรา เราก็เลยมาทำเพื่อตัวตน เห็นแก่ตัวตนกันหนักจัด เพราะความไม่รู้ แล้วคนไม่รู้มีเยอะในโลก ในมวลพลเมืองพลโลกทั้งโลก ไม่รู้ในความละเอียดลอออันนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้เอามาเผยแพร่เอามาประกาศให้แก่โลก ผู้มีบารมีจึงได้มาศึกษาเล่าเรียนแล้วก็รู้ รู้ตั้งแต่พยัญชนะบัญญัติทฤษฎีต่างๆความหมาย จากความหมายก็เอามาฝึกฝนมาเรียนรู้ปฏิบัติให้มันเกิดสัมพันธ์กัน สัมผัสกัน เกี่ยวข้องกันทำเรื่องทำประโยชน์อะไรที่มันเป็นโทษเป็นภัยก็ทำให้มันสน, เป็นประโยชน์ ก็คือทำลายสิ่งที่มันไม่ดีออกไปจนกระทั่งมันดี กิเลสที่มันเป็นนามธรรมเล็กกว่ารูปละเอียดกว่ารูปดิ้นอยู่ ไม่นิ่งเหมือนรูปด้วย มันจึงยากที่จะจับตัวแต่ก็สามารถจับได้ พระพุทธเจ้ามีความรู้ความสามารถที่จะใช้อำนาจ ใช้พลังที่จะประหารกำจัดจำพวกเลวร้ายพวกนี้ได้ ได้จริงๆ ซึ่งเราก็ใช้บัญญัติภาษาเพียงว่า ปัญญา ก็ต้องดูว่าพลังงานระดับปัญญาเป็นอย่างไร ตอนนี้หลวงปู่ก็พยายามเอาความรู้ของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้ในปัญญาสูตร ที่ขยายความปัญญา 8 ประการ ซึ่งยิ่งใหญ่มากเป็นความรู้ระดับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ แม้จะรู้แล้วเอามาเปิดเผยอธิบายไว้ก็ไม่ใช่คนจะรู้ตามได้ง่ายๆ รู้ตามได้ก็รู้ได้แค่เป็นบัญญัติพยัญชนะตรรกะ เป็นความรู้ในภาคของเหตุผล ภาคที่มันเกี่ยวข้องกันด้วยความรู้ทั้งนั้นยังไม่สามารถที่จะปฏิบัติให้ถึงนามธรรมหรือจิตของตนๆ ที่เป็นความจริง ยังไม่ได้ก็มีเยอะมาก มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สร้างพลังงานจิตให้เป็นปัญญาเป็นต้นสร้างพลังงานจิตของตนให้เป็นฌาน มันไม่ใช่ไปบังคับ ฌานคือปัญญา บุญ คือตัวจบของปัญญา รายละเอียดพวกนี้ซับซ้อนลึกซึ้งประณีตมากต้องศึกษาให้ดีๆ พวกเรานี้ อาตมาก็ขอสำทับ ชีวิตก็อย่าไปหลงใหลกับโลกมาก ชีวิตเมื่อมารู้จักผู้รู้อย่างหลวงปู่เป็นผู้รู้ก็บอกความจริงให้ฟัง คนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมีเยอะ ได้ฟังเหมือนกันแต่ไม่เชื่อฟังก็ผ่านหู ไขหู ไม่เชื่อถือไม่เห็นความสำคัญอะไร เขาก็ไม่รับ แต่พวกเรานี่ได้มาอยู่ถึงขนาด 5-6 ปีไม่น่าจะโง่ ดักดาน จนไม่รู้ว่าอะไรประเสริฐ มีปัญญาฉลาดแท้แบบพุทธต้องมาอยู่กับหมู่มิตรดี พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้สิ่งสูงสุดประเสริฐที่สุดในความเป็นคน เกิดมามีร่างกายจิตนิยามเป็นคนเป็นสัตว์สูงสุดแล้วในโลก โลกทุกโลก คนนี่สูงสุดกว่าสัตว์เดรัจฉานหรือสัตว์อะไรทั้งหมด แล้วยังแบ่งคนออกเป็นคนในระดับโลกียะและโลกุตระ จริงๆ แบ่งเป็น 3 ระดับโลกีย์ชั้นต่ำกับระดับโลกีย์ชั้นสูง เป็นโลกีย์นะ แล้วพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ความเป็นโลกุตระที่เหนือกว่าโลกีย์ ถ้าสามารถทำจิตของเราให้เป็นโลกุตระได้ด้วย นั่นแหละเป็นผู้ประสบความสำเร็จจากสัมมาสิกขาไปทีเดียว ไม่ได้ก็ต้องพากเพียรศึกษาต่อ แล้วจะรู้เองไม่ต้องไปบังคับเลย ผู้ที่ได้แล้วจะไม่ไปไหนหรอกอยู่กับหมู่นี่แหละ ในหมู่สังคมชาวอโศกก็มีการงาน มีสิ่งที่เราจะพึงทำ มีสิ่งที่ดี เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องไปอยู่ข้างนอก ซึ่งมันมีรายละเอียดว่ามันหนักหนาสาหัสมันลำบากลำบนอยู่ข้างนอก แต่คนที่ไม่มีปัญญาก็ไม่รู้ว่ามันลำบาก นอกจากไม่ลำบากแล้วมีประเด็นที่สำคัญที่สุดคือมันไปก่อวิบากกรรม อันนี้แหละเป็นเรื่องลึกซึ้งใหญ่เลยวิบากกรรมเป็นอจินไตยหรือกรรมวิบากเป็นอจินไตยที่คนคิดไม่ได้ ผู้จะสามารถเข้าใจเรื่องกรรมวิบากเป็นความสำคัญยิ่งของชีวิตนี้ ผู้นั้นที่สามารถรู้ในความเป็นอจินไตย 4 อจินไตยคือความไม่รู้ ถ้าไม่สามารถศึกษาไปถึงขีดคั่นจะไม่เห็นความจริงของอจินไตย พุทธวิสัย คือของพระพุทธเจ้า ฌานวิสัยคือ ผู้มีความรู้ความสามารถทำฌานของพระพุทธเจ้าต้องมีจริงเป็นจริงจึงจะเข้าถึง ฌานวิสัย แล้วก็มามีความรู้เรื่องกรรมวิบาก กรรมมีผลเป็นวิบาก หมุนเวียนอยู่ในโลกเป็นชีวะเริ่มเป็นชีวะที่เป็นจิตนิยามมีกรรมวิบาก ซึ่งจะเนื่องต่อไปจนหมดเป็นอัตภาพ เริ่มต้นมีอัตภาพ เป็นสัตว์เซลล์เดียวแล้ว จับตัวกันเข้า ไม่มีใครสามารถแตกตัวสัตว์ให้สลายไปเป็นดินน้ำไฟลมได้นอกจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้วิธี อันนี้ยิ่งใหญ่มาก เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่จนทุกวันนี้โลกก็ยังไม่แพร่หลายในความรู้นี้ ความรู้ของพระพุทธเจ้านี้ซึ่งในโลกตอนนี้ก็หมดไปแล้วในโลกุตรธรรม มีอยู่เป็นหลักในประเทศไทยเป็นหลักเป็นแกน ประเทศอื่นจะเป็นพุทธศาสนาก็ตาม พม่าญี่ปุ่นลาวเวียดนามบ้างอะไรพวกนี้หรือแม้แต่ประเทศอื่นๆ แม้ต้นตอที่อินเดียเองด้วยซ้ำ อินเดีย ลังกาจีน ก็แล้วแต่ มีความรู้พุทธ เมืองไทยเป็นแก่นแกนของโลกุตระ หลวงปู่ถึงบอกว่าขณะนี้เมืองไทยเป็นชมพูทวีป เพราะเมืองไทยเป็นเจ้าของหรือเป็นแดนที่มีโลกุตรธรรมที่มากที่สุด ถูกต้องที่สุด มีมรรคผล มีปรากฏการณ์แห่งความสำเร็จ มีคนปฏิบัติได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ได้ในคนไทย ชื่อว่าเป็นชมพูทวีปที่แท้จริงตามความจริงที่มีจริง ไม่ใช่เป็นชมพูทวีปที่มีเพียงชื่อเฉยๆ ก่อนนี้ในอินเดียเป็นเจ้าของพระพุทธเจ้าเป็นผู้เอามาประกาศ ก็อยู่ในอินเดีย พระพุทธเจ้าเป็นประชากรของทวีปอินเดีย เป็นชาวเนปาล ก็อยู่ที่นั่นจนกระทั่งแพร่หลายไปทั่วโลก แล้วก็ไปเจริญตรงที่อื่นๆจนกระทั่งมาที่ไทยเป็นประเทศที่รับเชื้อของโลกุตระ ประเทศที่มีพุทธศาสนาตั้งแต่ตั้งประเทศ ขึ้นมาเลย ก็เป็นพุทธศาสนา แต่ก่อนนี้มีโลกุตรธรรม ประเทศไทยตั้งมา 800-900 ปีมีพุทธศาสนามาแล้ว แม้ว่าพระศาสนาพุทธผ่านมาพันปีสองพันปี เสื่อมมาบ้างแล้ว แต่เชื้อแก่นโลกุตระก็ยังมีอยู่ มันก็ยากคนรับได้ยาก คนเอาได้ยาก แต่เมืองไทยเอาได้ ถ้าเอาได้ก็เป็นของจริงมีปริมาณน้อยเท่านั้นเองหรือคุณภาพเต็มที่หรือไม่เต็มที่ เต็มที่ก็เริ่มต้นเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ส่วนจะเกินอรหันต์นั้นมันเป็นความรู้ทางโพธิสัตวภูมิ ก็ไม่ขอพูดตอนนี้ ก็ค่อยๆศึกษากันให้ดีต่อไป สรุปแล้วพวกเรามีบารมีแล้ว ได้ผ่านได้รับเชื้อ อย่างน้อยก็ได้รับฟังได้รับรู้เป็นปัญญาระดับที่ 1 ของปัญญา 8 ได้ฟังได้รับแล้วถ้าเราไม่ขวนขวายเอา ไม่ตามมาพยายามฝึกฝนศึกษาต่อตามปัญญาข้อที่ 2 ขาด ถ้าไม่ติดต่อไม่พยายามศึกษาเรียนรู้ มาพบพระพุทธเจ้าหรือมาพบสัตบุรุษให้บริบูรณ์เต็มที่ ผู้ที่มีเชื้อโลกุตระนี้ยังไงก็ต้องพบ ชีวิตนี้ต้องคบผู้มีเชื้อโลกุตระ ไม่คบก็โง่ ไม่ได้ใส่ความนะเป็นความเป็นจริง ผู้ที่ได้พบสัตบุรุษแล้วไม่คบนี่โง่ แต่ถ้าคนไหนพบสัตบุรุษแล้วไม่เชื่อว่าเป็นสัตบุรุษคนนั้นก็โง่ ยังโง่มาก พบสัตบุรุษแล้วยังไม่เชื่อ แล้วพูดที่บอกตัวเองว่าเป็นสัตบุรุษเขาก็ไม่เชื่อ ผู้เป็นสัตบุรุษประกาศความรู้ อธิบายความรู้โลกุตระอีก เขาก็ฟังไม่เข้าใจ ไปยึดติดในความรู้ที่ผิดเพี้ยนแต่ฟังความรู้ที่เป็นโลกุตระถูกต้องฟังไม่เป็นฟังไม่เข้าใจก็โง่ยกกำลังเข้าไปอีก ดีไม่ดีจะมาถล่มทลายสัตบุรุษอีกมาย่ำยีก็เป็น ก็เป็นวิบากกรรมที่เป็นคนโง่ซ้ำซ้อนอีกไม่รู้กี่ชั้น เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ก็น่าสงสารผู้ที่มาย่ำยี พวกเราหลายคนอาจหลวงปู่ใช่ว่าได้รับเชื้อติดชิพไปแล้ว แต่เชื้ออ่อนๆก็ไปหลงโลกีย์เขาอยู่บ้าง พยายาม อย่างน้อยพวกเราได้ยินได้ฟัง เป็นปัญญาข้อที่ 1 ต้องขวนขวายให้เป็นปัญญาข้อที่ 2 พยายามเรียนรู้เพิ่มเติมทุกอย่าง ตามข้อที่ 2 ไม่เช่นนั้นไม่ได้ปัญญาเพิ่มขึ้น จะมีปัญญาเพิ่มขึ้นต้องทำตามพระพุทธเจ้าสอน เป็นปัญญา 8 ข้อ ข้อที่ 3 เมื่อได้ไปแล้วจะรู้สึกว่าเรามีความสงบ ถ้าผู้ใดได้ปัญญาไป จะเกิดความสงบสองอย่าง สงบกายสงบจิต โลกียะ ไม่รู้จักความสงบ 2 อย่าง แต่เขารู้จักความสงบอย่างเดียว จะเรียกว่ากายสงบจิตสงบก็อย่างเดียวคือ กดข่มไม่มีปัญญาร่วม การรู้ว่า ความสงบที่ไม่มีปัญญาร่วมเรียกว่ารู้อย่างโลกีย์ ต้องมีปัญญาร่วมจึงจะรู้ ปัญญาเป็นโลกุตระ ปัญญาไม่เป็นโลกีย์เลย แต่เอาปัญญาไปใช้เสียหาย แม้แต่คนไทยก็ไปเข้าใจปัญญาว่าเป็นโลกียะ ซึ่งมันผิด เพราะเขาเข้าใจเราพูดอะไรไม่ได้ เขาก็ได้แต่พยัญชนะ คำว่าปัญญาไปใช้แปลว่า ความรู้ ความฉลาด แต่มันเป็นโลกีย์หมด ฉะนั้นพวกเราจะต้องให้มันมาตรงความจริง ความรู้ความสามารถเป็นโลกุตระ ภาษาก็เรียกว่าเป็นโลกุตระ เรียกว่าปัญญา ให้มันตรงให้มันสมบูรณ์ แล้วเราก็ประพฤติให้เกิดปัญญาเจริญขึ้นจนกระทั่งครบ 8 คงจะลงรายละเอียดไม่ถึง 8 เพราะฉะนั้นพวกเราต้องเสริมให้ความรู้เจริญขึ้น ยิ่งปัญญาข้อต่อๆไป ข้อที่ 3 ด้วยความสงบกายสงบจิต ข้อที่ 4 ต้องพยายามศึกษาฝึกฝนเพิ่มเติมด้วยหลักของศีล ให้เกิดสมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุติญาณทัสนะ ปฏิบัติศีลให้มีผลมีอานิสงส์ก็เกิด อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติได้จริงๆ เมื่อเกิดศีลเกิดผลสมาธิปัญญาวิมุติแล้วก็สั่งสมลง เป็นปัญญาเจริญขึ้นๆเป็นข้อที่ 5 ข้อที่ 5 เป็นพหูสูต เป็นผู้ที่มีความจริง สูตะ ของพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของ สตะ เป็นผู้รู้สตะ เป็นผู้รู้แจ้งรู้จบในความเป็น สตะ เมื่อพระพุทธเจ้าเอาความจริงที่ประเสริฐยิ่งใหญ่พวกนี้มากระจายขยาย ให้พวกเราได้รู้ ได้สร้างปัญญา ได้มีความจริง มีปัญญาจริงกัน ก็จะได้เป็นผู้ที่เจริญประเสริฐ หลุดพ้นจากบ่วงที่มันเวียนตายเวียนเกิด เวียนเกิดเวียนตายอยู่อย่างนี้ ทุกข์ๆสุขๆ ตกนรกขึ้นสวรรค์ ซึ่งเป็นเรื่องของอุปทานลมๆแล้งๆในจิตเป็นเรื่องเก๊ ไม่มีในจิตเป็นอนัตตา แต่ก็หลงว่ามันมีจริง คำพูดง่ายๆ แต่ภาวนาซึ่งซับซ้อน ธรรมะพระพุทธเจ้านั้นไม่ง่ายกว่าจะรู้สึก พวกเรานี้ก็ขอฝาก จะเรียกว่าฝากความหวังไว้ก็ได้ หวังว่าพวกเราจะเจริญ หวังว่าพวกเราจะเป็นประโยชน์ต่อโลกต่อมนุษยชาติ ต่อไปๆ ความเจริญคำนี้ความเจริญคำเดียว ตัวเราเจริญเราจะเป็นผู้เจริญเผื่อแผ่เกื้อกูลช่วยเหลือผู้อื่น ความเจริญให้แก่ผู้อื่นไปเรื่อยๆ ตัวเราเพื่อผู้อื่น ผู้อื่นเพื่อเราตกลงผู้อื่นและเราเป็นอย่างเดียวกัน อาศัยซึ่งกันและกันจนกว่าจะพรากจากกันตายจากกัน จนไม่เหลือเชื้อเป็นชีวะอยู่ ต้องเข้าใจว่าเราอยู่คนเดียวไม่ได้อยู่ได้เหมือนกัน แต่เหมือนก้อนดินก้อนหินเป็นวิบากภาระ อยู่คนเดียวต้องเปลืองพื้นที่ต้องอาศัยดิน อาศัยลม อาศัยน้ำ เปลืองเขานะ ต้องใช้พื้นที่ ใช้ลม ใช้น้ำใช้อาหาร แต่ไม่ทำประโยชน์ให้แก่ดินน้ำไฟลม หรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่เลย มันก็เป็นคนกบฏ เป็นคนที่เป็นบาปเป็นหนี้ เพราะฉะนั้นคนต้องมีประโยชน์ต่อสิ่งอื่นโดยเฉพาะเป็นประโยชน์ต่อคน คนเป็นสัตว์โลกที่เป็นต้นตอจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นต่อ ฉะนั้นการที่จะสอนคนสร้างคน ให้คนลดความเป็นตัวตน รู้จักสิ่งที่สังขารปรุงแต่งต่างๆกันมีความเจริญพัฒนาไปกว้างขึ้น แล้วตนเองก็ยิ่งลดตัวเอง จนหมดตัวหมดตนเป็นพระอรหันต์ ผู้หมดตัวหมดตนแล้ว เราจึงทำเพื่อผู้อื่นตลอดไปทั้งหมด ผู้ที่หมดตัวหมดตนแล้วเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ที่ฉลาดยิ่งขึ้นเกินกว่านั้นต่อไปอีก ก็จะเป็นพวกที่เพิ่ม ในปัญญา ในข้อ 4 ข้อ 5 เกิดสภาพเคี่ยวแน่น สังเคราะห์เพิ่มเติมขึ้นไปอีก เจริญตกผลึกมาเป็นพระอาริยะ เกิดเป็นปัญญาข้อที่ 6 เป็นปัญญาที่เจริญจากปัญญาทั้ง 5 แล้วก็สั่งสมลงเป็นปัญญาข้อที่ 6 ปัญญาข้อที่ 6 ก็เป็นตัวใช้ซึ่งเกิดจากการปฏิบัติศีล สั่งสมเป็นพหูสูต แล้วก็สั่งสมตกผลึก ซ้อนอยู่ในปัญญาของมนุษย์ ปัญญาข้อที่ 7 ผู้ที่ได้แล้วก็ทำประโยชน์ต่อผู้อื่น ก็อยู่กับหมู่กลุ่ม ผู้ที่เจริญสูงสุดแล้ว เจริญมีปัญญาตัวฉลาดจริงๆจะอยู่กับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี หรือหมู่บัณฑิต อย่าไปอยู่กับหมู่คนพาล มิตรร้าย สหายร้ายไม่ใช่ อันนั้นมันเป็นความชี้ชัดเป็นการบ่งบอกตัดสินและว่าคนนี้มีปัญญา คนที่ดีแล้วเขาไม่ไปมอบตนในทางที่ผิด ไม่ไปอยู่รับใช้ไปร่วมให้ประโยชน์แก่พวกโน้น เขาจะมาอยู่กับหมู่ ร่วมกันสร้างประโยชน์จะได้พลังมากมาย ตัวคนเดียวจะไปสร้างประโยชน์อะไรได้หรือได้ก็น้อย แล้วจะสู้เขาไหวหรือ ข้างนอกเขารวมหัวกัน เราก็เป็นหมาหัวเน่า เราก็ต้องมารวมหมู่กันเหมือนกัน นี่เป็นปฏิภาณปัญญา เป็นความเฉลียวฉลาด ฉลาดแท้ๆ ผู้ที่รู้แล้วไม่หนีจากหมู่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่ามิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ แม้พระอานนท์อุทานก่อนว่าโอ้โห ข้าพระพุทธเจ้ารู้แล้วว่ามิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์เลยทีเดียว คือเริ่มฉลาดขึ้นมาแล้ว นี่ก็พูดความจริงนะไม่ได้ทำเป็นใช้วาทกรรม ใช้ภาษาความหมายต่างๆมาพูดพ่นเพื่อครอบงำทางความคิดของเรา ไม่ใช่แต่พูดความจริงทั้งนั้น ใครจะเข้าใจใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็มีสิทธิ์มีอิสระเสรีภาพแต่ละคน วิชชาแยกกายแยกจิตได้มีเรียนแต่ในสัมมาสิกขาเท่านั้น อาศัยความจริงอย่างนี้แหละโลกุตตระจึงก่อตัวขึ้นอยู่ในคน กระนั้นแรงของโลกก็ดึงๆๆๆ ชักเย่อกันไม่รู้จักหยุดหย่อน อาริยะหรือโลกุตรธรรม คนบรรลุโลกุตระเรียกอาริยะ ไม่เรียกอริยะหรืออารยะ อริยะ เป็นคำที่ในเมืองไทยถือว่าเป็นคนเจริญ คนประเสริฐ แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันผิดเพี้ยนไป เป็นความรู้โลก กลายเป็น อารยะ คือคนเจริญด้วยวัตถุเงินทองอำนาจบาตรใหญ่ ข่มเขาอยู่ เช่น ประเทศอารยะ มีเงินทองมาก หรือสร้างอาวุธได้มาก นี่เลว ยิ่งประสิทธิภาพสูงยิ่งเลวสร้างอาวุธ แต่เขาไม่รู้ มันซับซ้อน สร้างเพื่อปกป้องตัวเอง มีเขี้ยวเล็บอะไรมีประสิทธิภาพในการประหัตประหารคน มันก็จริงในมุมของโลกีย์ด้วยความรู้แบบเดรัจฉาน มันก็ต้องป้องกันตัวของมันเองมั นมีตัวมีตนมันรักตัวตน แต่เมื่อมาเป็นคนแล้วเจริญแล้วมี ปฏิโสตัง มีพลังงานความรู้ทวนกระแส ที่เคยคิดว่าต้องรักตัวกลัวตาย แต่ความรู้ทางโลกุตระไม่ต้องรักตัวกลัวตาย ตายแล้วก็มาเกิดมาอีก ถ้าตายจากการเสียสละ ยิ่งเกิดมาดีขึ้นอีก ยิ่งตายยิ่งเสียสละยิ่งเกิดมาดีขึ้นอีก ยิ่งตายยิ่งเอาเปรียบเกิดใหม่ก็ยิ่งต่ำ เกิดมาใหม่ก็ยิ่งเลว ถ้าตายแล้วยิ่งเสียสละเกิดใหม่ก็ยิ่งดี ตายแล้วยิ่งไม่มีตัวตนก็ตัวตนก็ยิ่งดี ตายแล้วเพิ่มตัวตนมีตัวตนเพิ่มก็ยิ่งเลว มันก็ไม่ได้ยากอะไร เหตุผลเหตุปัจจัยมันยิ่งชัดเจนง่ายๆ ถ้าเรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานหรือเรายังไม่รู้ รู้แล้วก็ยังไม่สามารถแยกธาตุจิตของเราได้ เราก็ไม่สามารถที่จะบรรลุผลสำเร็จที่จะตายแบบนิพพาน ตายแบบแยกธาตุจิตของเราให้เป็นอุตุ ไม่จับตัวแม้เป็นพืช หากจะรวมตัวเป็นอุตุใหม่ผสมส่วนเข้า ถึงขั้นเป็นชีวะ ไบโอโลจี วิธีแยกธาตุจิตนี้เรียนได้ในสำนักสัมมาสิกขาเท่านั้น แหละมหาวิทยาลัยใดๆในโลกยังไม่มี รู้ในมหาลัยสัมมาสิกขาเท่านั้น ที่เรียนรู้พระพุทธศาสนา รู้ตอนนี้ แยกอุตุ แยกพืช แยกจิตด้วยกรรมด้วยธรรมะ นี่เป็นธรรมะนิยาม 5 มีสัมมาสิกขาสอนอยู่แห่งเดียวในโลก อีกหน่อยต่อไปในอนาคตแหล่งอื่นๆเขาเข้าใจแล้วเขาก็จะเอาไป เขาจะเอาไป เขาก็จะต้องเป็นสัมมาสิกขาเหมือนกัน คนจะเอาไปปลอมมันก็ได้ปลอม แต่ถ้าเขาเอาไปแล้วไม่ปลอมได้จริง เขาก็จริง เขาก็กลายเป็นสัมมาสิกขาจริงๆว่าจิตปัญญา มันจะรู้ทุกอย่างละเอียดหมดเลย ถามปัญญาข้อที่ 8 จะรู้ เวทนา สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ จะรู้ขันธ์ 5 แล้วรู้ อุปธิ ทั้ง 3 แต่โลกียะไม่รู้อุปธิ 3 คือ กิเลส ขันธ์ 5 ที่แม้ชาวพุทธ ก็เรียนรู้แค่เป็นพยัญชนะ ไม่เรียนรู้ถึงสภาวะได้ ไม่สามารถจับกิเลสได้ ฆ่ากิเลสเป็น ต้องรู้ตัวกิเลส แยกกิเลสออกจากขันธ์ ต้องแยกขันธ์จริงกับขันธ์ปลอมขันธ์เก๊ ที่มันมารวมอยู่ในตัวเราเหมือนกัน แยกมันได้เป็น 2 แล้วมีวิธีที่จะทำให้ที่มันไม่ใช่ของจริง 2 นี้ ต้องเลือกอันหนึ่งจริงอันหนึ่งไม่จริง มีวิธีที่เรียกว่าอภิสังขารปรุงแต่งพลังงาน ฌาน แล้วสลายกิเลสได้ มีฤทธิ์เหนือกิเลสจริงๆ พิสูจน์ได้ ผู้ปฏิบัติได้เกิดเป็นปัจจัตตัง จะรู้ว่ากิเลสลด กิเลสจะลดได้ต้องรู้กิเลสที่อยู่ในขันธ์ที่อยู่ในเวทนาสัญญาสังขารหรืออยู่ในโลก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มีจิตเข้าไปร่วมอยู่เป็นกาย กายทุกกายกับจิตรวมกัน ทำงานแยกกันไม่ได้ แล้วสามารถที่จะจัดการทำให้กายนี้ ไม่เป็นกาย ไม่รวมตัวกันอีกไม่เหลือคู่นี้ คำว่า กาย มันต่างกันกับจิต กายมันเป็นธาตุรู้ไม่มีวิญญาณธาตุไปได้เลยทำให้กายที่มันเป็นตัวจิตครอบงำครอบครอง กายนี้จะมีจิตเป็นตัวประธานที่จริงร่างนี้มีจิตวิญญาณเป็นประธาน ในขณะมันเป็นกายจะมี 2 ๆๆๆๆเสมอ พอมันทำให้เข้าใจผิดทำผิด ทำให้มันเป็น 1 ไม่เป็น 2 แค่นั้นก็ไม่เกิดความฉลาดที่เป็นจิตนิยามแล้วกลายเป็นพีชะ กลายป็นพืช ความฉลาดซ้อนของพระพุทธเจ้าจึงอาศัยจิตนิยามแยก ทำให้เป็นพืชอาศัย แยก 2 เป็น 1 ได้ แล้วแยก 1 ให้เป็น 2 ได้อีก คือ ได้ 1 กับ 0 สุดจบเลย ทีนี้ รูปเป็น 0 เวทนาเป็น 0 สัญญาเป็น 0 สังขารเป็น 0 วิญญาณเป็น 0 อย่างนี้เอง ศาสนาพุทธถึงทำลายวิญญาณ ให้เป็นดินน้ำไฟลมได้ มันไม่จับตัวเป็น 2 ทำให้เป็น 1 เรียกว่ายังเป็นชีวะไว้อาศัย ทำให้เป็น 0 ได้ ก็ขออาศัย 1 ยังไม่ดับชีวะจริงๆ แต่มีความสามารถเริ่มเป็น อรหัตตผล ทำให้มัน 0 ได้ ทำอย่างไร ทำอย่างที่เราเคยปรุงแต่งตั้ง แต่มันหยาบคืออบายมุข คือหัวหน้านรก ไม่เหมือนกันใครที่ไปติดสิ่งที่หยาบต่ำในโลก ก็แล้วแต่ปฏิภาณปัญญาของแต่ละคนไปรู้ อย่างหยาบต่ำเกเร ทำกรรมกิริยานั้นคนก็รู้ดี แต่เราไม่เป็นอย่างนั้น มันยังมีกรรมกริยาที่ต่ำชั่วบาปของเราอีก กรรมกิริยาชั่วหยาบนี้ซ้อน เช่นคนฉลาดฉลาดซับซ้อนใช้มนุษย์ มีกลวิธีให้มนุษย์คนอื่นทำชั่วแทนเลย แต่ตัวเองได้รับประโยชน์ยอดจากชั่วนั้น คนนี้แหละคือมหายอดจอมอบายมุขเลย ในทางโลกเขาเรียกว่าพวกหัวหน้านักเลง หัวหน้าแก๊ง หัวหน้าใหญ่ที่บำเรออัตตาใจโหด ไม่ได้ทำให้คนอื่น มีแต่ตัวกูของกู สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องหยาบใหญ่ที่สุด ที่จะต้องมาเรียนรู้ ไม่อย่างนั้นเราก็ลองสะสม โลภ ตนกับของตน อัตตากับอัตนียา ของตนก็อีกสิ่งหนึ่ง ตนก็คือธาตุวิญญาณ ธาตุจิตของเรา เป็นตนกับของตน จับคู่อยู่อย่างนี้ผู้ศึกษาให้ดีก็แยกคู่ได้ ตั้งแต่ของหยาบก็แยกได้ แล้วก็แยก แยกได้ดีขึ้น เพราะมันละเอียดขึ้น เป็นตัวตนของตนละเอียดขึ้น ก็ต้องรู้ให้จริงว่ามันไม่ใช่ตัวตน แยกได้ๆ ก็ละเอียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งสุดท้ายเหลือตนก็มี 2 ตนอยู่ 2 นี้คือ ต.เต่ากับ น.หนู ต คือสิ่งที่ static ตั้งอยู่ น ก็คือ dynamic น คือไม่มีแต่ตัว ไม่มีนี้วิ่งอยู่ ตัวป่วนนี่ วิ่งอยู่ ตัวมี ทำนิ่ง เพราะฉะนั้นตัวนิ่งคือตัวหลอกมนุษย์ที่สุด มนุษย์ที่นิ่งคือมนุษย์ที่ทำนิ่งได้แล้วคือผู้สงบ แต่การสอนสงบด้วยวิธีไม่มีปัญญาก็สงบแบบกดข่ม ต้องสงบด้วยปัญญาจึงเป็นของพุทธ ก็เตรียมตัวรับกลดด้วยวิธี social distancing ทันสมัย …. Category: ศาสนาBy Samanasandin10 เมษายน 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:640410 รายงานสมาคมศิษย์เก่าสัมมาสิกขาประจำปี ๒๕๖๓NextNext post:640410 ข้อบังคับสมาคมศิษย์เก่าสัมมาสิกขาแก้ไขใหม่Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024