640409_พ่อครูตอบปัญหาระดมปัญญา-อนัตตา งานปลุกเสกฯครั้งที่ 44
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1ItPOVGIjJ01XmqYahptSCm_NQsHKHcsphQK3KqxegXU/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1z_e654f__BTfVkuwy3jIo4vYEfIuX1vE/view?usp=sharing
และยูทูป fb ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/470201790964245
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
ก่อนอื่น สู่แดนธรรมเขียนมาเรื่อง อนัตตาโลกียะ กับอนัตตาที่เป็นโลกุตระ
นักธรรมะส่วนใหญ่ก็พากันเข้าใจได้ในกฏของไตรลักษณ์ คือ “สรรพสิ่งทั้งหลายที่สังขารปรุงแต่งกันอยู่ในโลก ย่อมไม่เที่ยง ย่อมเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา” โดยให้ความหมายของอนัตตา ว่า “มิใช่ตัวตน หาตัวตนมิได้ และไม่อยู่ในความควบคุมของอัตตาของใครได้” … และมีหลายสำนักที่เมื่อเข้าใจความหมายดังว่านี้แล้ว ก็ยึดถือไว้เป็นวาทะประจำตนเลยว่า ทุกวันนี้อะไรๆ มันก็เป็นอนัตตาอยู่แล้ว อัตตามันก็ย่อมไม่มีอยู่แล้ว จะไปตั้งตนไว้บนความเพียรเพื่อลดละไปทำไม ก็การไปสร้างความเพียร หรือการตั้งตนไว้ชอบนั่นแหละ มันก็เป็นการสร้างตน สร้างอัตตา สร้างตัวตนที่ต้องคอยควบคุมขึ้นมา
พ่อครูว่า…นี่คือความคิดผกผันตีความภาษาเอาไปเยอะแยะต่างๆ แม้บางคนคิดถึงสภาวะนั้นนี้แตกต่างกันก็ได้อีก
พวกเขาจึงเป็นนักวาทะจากการคิดเอา แล้วก็ถือว่าบรรลุความเข้าถึงอนัตตาได้แล้ว เพราะอนัตตาคือ สิ่งที่จะไปกำหนดเอา -ควบคุมเอา -สั่งการเอา ไม่ได้ตามที่ต้องการ ถ้าใครไปควบคุมให้ปฏิบัติธรรมได้ โดยกำหนดสติได้ สั่งการได้ นั่นถือว่าไปสร้างอัตตา ที่จริงเขาพูดก็ถูกในส่วนหนึ่ง เพราะสัตว์เช่นเขาเหล่านั้น ย่อมไม่สามารถได้ในสิ่งที่ปรารถนา ที่จะไปกำหนด ควบคุม สั่งการเอาได้
มีอะไรบ้างที่สัตว์เหล่านี้ที่ยังเป็นผู้ข้องอยู่ใต้อำนาจแห่งความเกิด, ความเสื่อม, ความเจ็บอาพาธ, ความโศกแร้นแค้นใจ, จะไม่ได้ตามที่ต้องการ ก็คือ..
ความปรารถนา กำหนด ควบคุม สั่งการ ย่อมบังเกิดขึ้นแก่ ผู้ที่ยังมีธรรมดาธรรมชาติอันพาให้ “เกิด”อยู่ ยังดับความเกิดไม่ได้ ครั้นจะไปตั้งความปรารถนาว่า “โอหนอ ขอเราจงอย่ามีความเกิดเลย ขอความเกิดจงอย่ามีมาถึงเราเลย เช่นนี้แหละที่สัตว์ผู้นั้นจะไม่ได้สมความปรารนาเลย (นัยยะของความแก่ ความเจ็บ ก็เช่นกันครับ)
การควบคุมกำหนดเอาตามความปรารถนา แล้วไม่ได้ตามที่ปรารถนานั่นแหละ จึงจะถือว่า มันเป็นทุกข์ เพราะทุกข์จึงเป็นอนัตตา ที่มีรากเหง้ามาจากความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนอันจะไปบังคับควบคุมได้ แต่มันก็คือ เป็นอนัตตาแบบโลกีย์ ที่เป็นไปกับความทุกข์ เพราะแปรปรวนด้วยความไม่เที่ยงของโลกมาปรุงแต่ง ความไม่เที่ยงจึงเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นจึงเป็นอนัตตา เพราะกำหนดควบคุมไม่ได้ สั่งการไม่ได้
แต่ความหมายที่พ่อท่านจะนำมาสอนเรื่อง อนัตตา นี้ พ่อท่านหมายถึง ความไม่มีตัวตนถึงขั้นนิพพาน เป็นอนัตตาแบบโลกุตระ พ่อท่านเห็นว่า “นิพพานเป็นอนัตตา” ซึ่งคือ ความสามารถจัดการทำอัตตาให้สลายหมดสิ้นตัวตน สามารถควบคุมสิ่งที่ไม่ควรเกิด เช่น กิเลส พยาบาท ความปองร้าย มิให้เกิด ก็ย่อมทำให้มันไม่เกิดได้อย่างถาวร ไม่เกิดได้อย่างเที่ยงแท้ได้จริงๆอีกด้วย เพราะเที่ยงแท้นี้คือ สูญ ไม่ใช่ไปเที่ยงแท้แบบก่ออัตตาเป็นปรมาตมันอย่างพระเจ้า
ซึ่งคำอธิบายเรื่องนิพพานเป็นอนัตตาแบบพ่อท่านว่าไว้ จึงต่างจากหลวงตามหาบัวที่ท่านเห็นว่า นิพพานไม่เป็นทั้งอัตตาหรืออนัตตาเลยทั้งสองอย่าง เพราะถ้านิพพานเป็นอนัตตา (แบบที่เข้าใจว่าอนัตตาก็คือมีทุกข์แบบโลกีย์แล้วไซร้) นิพพานก็ต้องเป็นโลกีย์ตามอนัตตาเช่นนั้นไปด้วย หลวงตาเลยไม่ให้นิพพานเป็นอนัตตา … บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะได้ฟังพ่อท่านบรรยายธรรมเรื่อง อนัตตา เป็นเช่นไร แล้วครับ.
ศาสนาเทวนิยมไม่เป็นอกาลิโก
_ขอความกรุณาอธิบายตัวเลขข้างล่างนี้(ภาษาธรรม) เพื่อความกระจ่างแก่ลูกด้วยค่ะ
1 2 3 4 แล้วเขียนลูกศรโยงใย 1 ไปถึง 2 3 ไปถึง 4
พ่อครูว่า…ไอ้ที่ใส่ตัวเลขและกำหนดถึงอะไรก็แล้วแต่ 1 2 3 4 5 ไปถึง 10 มันก็หมายถึงตามภาษาบาลีเรียกว่าสังขยา คือมันมีอะไรๆเริ่มเข้ามาปรุงกัน เข้ามาเพิ่มเข้ามารวมกันขยับขึ้นๆ ถ้า 1 2 3 4 5 ก็คือภาพที่มันเพิ่มทีละระดับ ถ้าบอกว่ามันเพิ่ม ก็ปรุงแต่งรวมกัน ก็มาสังขารร่วมกัน แต่ถ้าเผื่อว่าไม่เอามารวมกัน 1 แล้วเป็น 2 แล้วชี้บอก 1 คืออันนี้ 2 คืออันนี้ 3 คืออันนี้ทีละตั ว มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เอามารวมกัน ก็เรียกว่าการแยก วิภัชติ หรือการบอกให้รู้ว่ามีอะไรหลายๆอย่าง อันนี้แหละเป็นประเด็นสำคัญ การแยกการชี้ให้เห็นหลายๆอย่าง แล้วแถมบอกว่าแต่ละอย่างทีละ 2 มีความต่างกัน เรียนรู้อันนี้ กำหนดเครื่องหมายให้รู้ความต่างกัน แล้วเลือกเอาสิ่งที่มีความต่างกันของสองสิ่ง ว่า อะไรดีกว่า อะไรๆควรกว่าอะไร แล้วเอาอันนั้นเสมอ นี่คือความฉลาดของพระพุทธเจ้า แยก
แต่เทวนิยม ไม่แยก ก็เลยมีแต่สะสมรวม แม้มีอยู่แล้วก็แยกไม่เป็นแยกไม่ได้ ตายตัว ถ้ามีความรู้ก็ตายตัวอยู่เท่าเดิม โลกจะเปลี่ยนแปลงจะเคลื่อนไปอย่างไร ก็ตัวเก่าเดิม กี่ปี กี่สิบปี กี่ร้อยปี กี่พันปี กี่หมื่นปี กี่แสนกี่ล้านปี ก็อยู่อย่างนั้นมันก็ผิดธรรมชาติ ผิดสิ่งที่ทุกอย่างเคลื่อนไป ไม่มีอะไรคงที่ ไม่มีอะไรไม่เคลื่อน ผิดความเป็นจริง ความเป็นจริงทุกอย่างเคลื่อนไป ไม่มีอะไรที่จะไม่เคลื่อนเลย เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งซับซ้อนละเอียดละออมากของพระพุทธเจ้า แต่ทางเทวนิยมคิดไม่ออก มันไม่เคลื่อน
พระเจ้ารู้อะไรแล้วมีเท่านี้ก็ตามนั้นเลยกี่ปีกี่เดือน ไม่ว่าพระเจ้าของศาสนาไหน ศาสนาคริสต์ก็แค่ 2,000 กว่าปี ศาสนาอื่นก็เท่าไหร่ ศาสนาเก่ากว่าศาสนาคริสต์ที่เป็นเทวนิยมมีอีกเยอะ ก็นับกันไป จะเป็นศาสนาของเทวนิยมเก่า มาตั้งแต่ร้อยปี พันปี หมื่นปี แสนปี ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ทันสมัย เข้ากับยุคกาลอะไรไม่ได้เลย รวมแล้ว มันเป็นความไม่รู้ ไม่รู้กาละเทศะฐานะ ไม่รู้สิ่งที่เคลื่อนไปมันไม่คงที่ไม่คงเดิม ทั้งตัวตนก็ไม่คงเดิม ทั้งสถานที่ก็ไม่คงเดิม แล้วอยู่ในองค์ประกอบที่มันจะปรุงแต่งกันขึ้นเป็นอะไร อยู่ในสิ่งนั้นสิ่งนี้ มันมีฤทธิ์มีอำนาจมันมีลักษณะ มันมีความเป็นตัวตนอย่างนั้น มุมนี้ มิตินั้นมิตินี้ นัยยะนั้นในนัยยะนี้ ก็เป็นอย่างเก่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นก็เลยล้าสมัยมากเข้ากับอะไรต่ออะไรไม่ได้เลย นี่ก็ขยายความ ตัวเลขที่เขาใช้ คนฉลาดก็เลยกำหนดภาษา 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 จะเพิ่มไปอีกก็เป็นสภาพปรุงแต่งซ้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
_มีหลายคนสะท้อนเกี่ยวกับความรู้สึกเกี่ยวกับที่กรรมการให้สองดร.ออกจากชุมชน ทั้งๆที่ท่านเป็นอดีตผญบ. ผอ.โรงเรียน ผอ.พรรคเพื่อฟ้าดิน ในทางราชการการจะให้ออกจากราชการต้องประพฤติผิดร้ายแรง ลองนึกภาพดู 2 คนแก่ๆ ถ้าเขาไม่อุทธรณ์ เขาออกจากชุมชนไปจริงๆ เขาจะไปอยู่ไหน อยู่กับใคร อยู่อย่างไร(ดีที่เขาอ่อนน้อมถ่อมตนยอม) ในทางตรงกันข้าม กรรมการกลับอุ้มคนขี้เหล้าเมายาขับรถเฉี่ยวคนอื่นสารพัด วันๆไม่เห็นทำงานทำการอะไร อยากฟังความเห็นพ่อครู (หมายเหตุ เราเคารพมติกรรมการ แต่มันมีความรู้สึกอย่างนี้เลยระบาย) การลงโทษโดยการทำกุศลเพิ่มก็ได้เหมือนนักเรียนน่ารักดีออก
พ่อครูว่า…ถามความเห็นของอาตมา อาตมาก็ต้องฟังกรรมการ ความเห็นกรรมการ เขาตัดสินอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น อาตมาไม่ใช่เจ้าเข้าเจ้าของ สิ่งที่จะมากำหนดต่างๆนานาในหมู่กลุ่ม ซึ่งมันก็ต้องขึ้นอยู่กับเหตุการณ์เหตุปัจจัยอะไรต่างๆนานา เราจะไปกำหนดเอาเองไม่ได้ ก็แล้วแต่กรรมการเขา เขาจะว่าอย่างไรอาตมาจะไปบงการก็ไม่ดี เพราะอยู่ด้วยกันต้องเคารพความเห็นซึ่งกันและกัน
_พ่อครูเคยบอกลูกๆว่า ให้ปฏิบัติตัวเองจนบรรลุธรรม(พระอรหันต์) แล้วตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์เพื่อช่วยงานสืบสานพระพุทธศาสนาให้ครบ 5,000 ปี เชื่อมั่นว่า ลูกๆทุกฐานะต่างมุ่งมั่นตามประชุมรวมถึงลูกคนนี้จะตามไปด้วยคนก็จะมีอะไรที่เป็นคุณค่าสูงเยี่ยมสูงยอดที่ได้ร่วมเดินทางในขบวน “กองทัพธรรม” ของพระ นิยตโพธิสัตว์พระองค์นี้ตราบจนท่านพระนิพพานนี่คือปณิธานที่เคยแอบตั้งจิตไว้นานแล้ว กราบขอบพระคุณด้วยเศียรเกล้า
พ่อครูว่า…เอาเลยตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์มันไม่เสียหายอะไรหรอกมันมีแต่กำไร ขอให้เป็นโพธิสัตว์ที่เป็นสัมมาทิฏฐิก็แล้วกัน อย่าเป็นโพธิสัตว์บ้าๆบอๆ มันมีพวกโพธิสัตว์ที่ประกาศตัวเองบ้าๆบอๆเยอะแยะมากมายให้อย่าว่าแต่เป็นโพธิสัตว์เลยเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังมียังมีพระศรีอารย์ที่ประกาศตนก็มี
_ความคิดที่ผุดเกิดขึ้น ฟุ้งขึ้นมา โดยไม่ได้ตั้งใจคิดฟุ้งปรุงไปเรื่อยแต่ไม่ได้มีเวทนาสุขทุกข์อะไรด้วย บ่อยครั้งเกิดขึ้นมาในห้วงแห่งการขาดสติ สติไม่จดจ่อสัญญาไม่กำหนดรู้อยู่กับปัจจุบัน ตั้งสติดีๆก็จะระงับดับไปเผลอๆก็จะเกิดขึ้นมาใหม่ อาการอย่างนี้คืออุทธัจจกุกกุจจะใช่หรือไม่
พ่อครูว่า…ใช่ ความฟุ้งซ่านไปแล้วไม่กำหนด ไม่ไปกำหนดรู้อะไร จะเป็นไปก็ปล่อยมันก็เคยชิน มันก็ยิ่งกลายเป็นคนฟุ้งซ่านอยู่อย่างนั้น ไร้สาระเสียเวลา ฉะนั้นจะต้องรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอๆ แล้วถึงจะสามารถที่จะใช้จิตทำประโยชน์ คิด พูด ทำ อะไรที่มันเป็นอยู่ ในกรรมกิริยาที่เราควรจะเป็น ควรจะทำได้
ทำไมผมคนเราจึงงอก
_เด็กๆที่ศีรษะอโศก…หลวงปู่ทำไมเราเกิดมามีผมงอก
พ่อครูว่า…ถ้าจะเดาว่าเขาเขียนผิดน่าจะเป็นผมหงอก ก็ได้ แต่นี่เขาเขียนมาผมงอก ทำไมต้องเกิดผมงอก ก็ต้องไปถามพระเจ้า พระเจ้าก็คงตอบไม่ได้หรอก ในธรรมชาติที่มันออกแบบอะไรต่ออะไรออกมา สารพัดที่มันออกแบบ แล้วก็เป็นไปตามที่มันเป็น ตั้งแต่เป็นดินน้ำลมไฟ ไปจนกระทั่งพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ หลากหลายที่แตกต่างกันที่มันออกแบบมา จนกระทั่งสัตว์ สัตว์เล็กสัตว์น้อย จนถึงสัตว์ใหญ่ที่มันออกแบบมา จนกระทั่งเป็นมนุษย์มาเป็นสัตว์มนุษย์ โอ้โห.. วิจิตรพิสดาร ละเอียดลออมาก สัตว์แม้ตัวเล็กๆก็ยังมีอะไรต่างๆ ยังคิดว่ามีคนจะเอาแมงหวี่มาผ่าตัดดูหัวใจหรือเปล่า มันมีปอดมีหัวใจไหม แต่มันคงเป็นสัตว์ที่ไม่มีอวัยวะเหมือนกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพวกนี้หรอกเนาะ
มันออกแบบละเอียดละออมาก จนกระทั่งคิดไม่ได้ คิดอย่างไรก็หัวแตกเปล่า เพราะฉะนั้นเราจะไปคิดว่าทำไมธรรมชาติ ทำไมคนต้องผมงอกด้วย คิดหัวแตกยังไงก็คิดไม่ออก จะให้หลวงปู่ตอบ ก็ตอบไม่ได้หรอก ก็ลองๆดูว่า ใครจะคิดออกบ้าง
มันเป็นเรื่องเกินกว่าที่คนจะคิด พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสรู้ว่า เราไม่รู้หรอกมันเป็นอวิชชา ตั้งแต่สังขารที่มันปรุงแต่งตั้งแต่เป็นสิ่งเล็กสิ่งน้อยเต็มไปหมดในโลก เราคิดไม่ออกหรอก เพราะฉะนั้นเราอย่าไปคิด ถ้าเราเองมัวแต่จะไปคิดว่า เอ๊ นี่มันคืออะไรแล้วไปหมกมุ่นอยู่กับสิ่งนั้น วิจัยมันอยู่อย่างเดียว อะไรมันก็วิจัยยาก เอ๊!.. ไอ้ฟักทองสปาเก็ตตี้ ใครนะมาปรุงแต่งออกแบบมาให้เป็นฟักทองแบบนี้ คงเป็นฝีมือคนประกอบด้วย แต่เดิมธรรมชาติเดิมก็คงไม่เป็นฟักทองสปาเก็ตตี้แบบนี้ เสร็จแล้วคนก็มาช่วยออกแบบ ช่วยปรุงแต่ง ช่วย breed พันธุ์มันเป็นแบบนี้ ธรรมชาติเดิมคงไม่เป็นแบบนี้ เราก็ไม่รู้ว่าใคร อาจจะมีคนรู้เจ้าของที่เริ่มต้นทำ breed พันธุ์นี้ขึ้นมาเป็นได้ มันก็เกิดการปรุงแต่ง จะบอกว่าอะไรมันเป็นสังขารอย่างไรมันก็ทั่วไปหมด พระพุทธเจ้าก็บอกว่ามันไม่ได้หรอก
เพราะฉะนั้นมาหาตัวสำคัญของการเกิด การปรุงแต่ง การเกิดของสิ่งสำคัญของตัวเรานี่แหละ ตัวตน ที่เรียกว่า อัตตา มาเรียนรู้อันนี้ แล้วก็จัดการสิ่งที่มันไม่ดี สิ่งที่มันเป็นทุกข์ มันทำชั่วทำโทษทำภัยก็จัดการมันให้ได้ มาเรียนดูอันนี้
เมื่อเรียนดูอันนี้ได้ก็จะชัดเจนไปถึงทุกอย่าง จะได้รู้ว่าในโลกนี้มีสิ่ง 2 สิ่งเริ่มตั้งแต่สิ่ง 2 สิ่งปรุงแต่งกันขึ้นมา แล้วก็ปรุงแต่งเป็น 3 เป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 ปรุงแต่งรวมกันไปจนกระทั่งมาเป็นคน ไม่รู้นับตัวเลขเป็นล้านๆ ไม่รู้อะไรมารวมกันปรุงแต่งจนกระทั่งมาเป็นคนมีความรู้สึกเอง มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร วิญญาณ ถึงขนาดนี้ นอกจากมีวิญญาณแล้วไม่พอยังมีวิญญาณโกรธ วิญญาณโลภ วิญญาณรัก ที่โหดร้ายที่รักดูดดึงผูกพันติดยึดอะไรอีก สารพัด
ให้มาเรียนรู้อันนี้แล้วจะรู้ได้ทุกอย่างครบ เรียนรู้ทุกอย่างครบคือมาเรียนรู้หาเป้าเป็นกรรมฐาน เป็นแก่นแกน พระพุทธเจ้าสรุปถึงสังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ปรุงแต่งกันขึ้นมา แล้วก็เป็นสังขาร เป็นเวทนา โดยมันมีขยายความไป ถึงขั้นวิญญาณมันก็ต้องมี 2 สสาร คือ 1. เป็นธาตุรู้ของเราเองเรียกว่านาม 2. อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเทวะคู่แรก ธาตุรู้ของเราเองกับอีกสิ่งหนึ่ง เรียนรู้ทีละคู่
การจะไปรู้นอกตัวมันก็ไม่จบ ต้องมาเรียนรู้ในตัวเอง ก็เอาที่เวทนาของตัวเอง เอานามรูปนี้ไปสัมผัส เมื่อมีนามรูปสัมผัส นามคือธาตุรู้ มีวิญญาณอาศัยประสาทตากับลูกตา วิญญาณที่อาศัยหูกับเสียง จมูกรับกลิ่น ลิ้นรับรส กายรับสัมผัส เอาอันนี้มาสัมผัสของจริง เมื่อมีการสัมผัสของจริงก็มีวิญญาณเกิด
และในวิญญาณนั่นแหละมี รูป เวทเวทนา สัญญา สังขาร ในวิญญาณเป็นขันธ์รวมขันธ์ใหญ่เป็น เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ เป้าหมายของพระพุทธเจ้าชัดเจน ให้เรียนรู้ที่เวทนาเป็นตัวหลัก
-
ต้องมีผัสสะของจริงจึงจะเป็นความจริงเป็นของจริง ถ้าไม่มีผัสสะเป็นหลักอยู่ โต้งๆเต็มที่อยู่ตรงนี้เป็นเรื่องปลอม ก็จะเป็นวิญญาณสัมภเวสีวิญญาณล่องลอย ไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ได้เป็นตัวแท้ ที่มันมาทำงานอยู่ตรงนี้ สัมผัสทางตาก็มีรูป สัมผัสทางหูก็มีเสียง สัมผัสทางจมูกก็มีกลิ่น สัมผัสลิ้นมีรส สัมผัสกายก็มีโผฏฐัพพะต่างๆ ที่นี่
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนว่าให้มีสัมผัสเป็นปัจจัย จึงจะเกิดการเรียนรู้ความจริง ถ้าไม่เช่นนั้นมีแต่ความหลอก ยังไม่ใช่ของจริงแท้เป็นความจำเท่านั้น ก็ไม่มีสัมผัสจริงในปัจจุบันเป็นทิฏฐธรรม ไม่มีสภาวะธรรมที่เป็นปัจจุบันเป็นปัจจุบันชาตินี้ ต้องเป็นการเกิดในปัจจุบันนี้ทันที สิ่งนั้นยังไม่ใช่สิ่งจริง
ที่คุณจะเรียนรู้มัน เรียนรู้มันก็ไม่ครบ ที่จริงวิญญาณมันได้แค่คิดลอย ไม่มีที่ตั้ง มันต้องมีที่ตั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย สายหลับตา มีแต่วิญญาณสัมภเวสีไม่มีที่ตั้งทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่มีวิญญาณแท้ๆที่เป็นวิญญาณฐิติ ที่ตั้ง
เมื่อมีวิญญาณฐีติ ให้เรียนรู้กายในวิญญาณฐีติ 7 เรียนรู้จบทั้งหมดที่ 7 ที่อากิญจัญยายตนะ อะไรที่ไม่ควรให้มี ก็คือ กลิ หรือกิเลส ทำให้ไม่มีเสร็จจบ ไม่มีเลย อากิญจัญญะ นิดนึงน้อยนึงก็ไม่มี ก็จบที่กายกับสัญญา การเรียนกับพระพุทธเจ้าคือ ต้องเรียนรู้เรื่องกายให้สัมมาทิกฐิ กายของตัวเราเรียกสักกายหรือสักกายะ
แม้แต่แค่ตัวเราต้องทำสัมมาทิฏฐิให้ได้ สักกะ แปลว่าเป็นไปด้วย เป็นไปกับ มันมีอาการอะไรต่ออะไรเป็นไปอยู่ สักกะ เราก็พยายาม ใช้
-
ธาตุรู้ของเราเรียกว่า นาม
-
กำหนดรู้สิ่งที่จะรู้ให้ได้เรียกว่า รูป
กาย คำว่า กาย คำนี้จึงยิ่งใหญ่ที่สุดเลย ต้องมี 2 เป็นต้นไป ธาตุหนึ่งเป็นตัวถูกรู้ อีกธาตุหนึ่งเป็นตัวเรากำหนดรู้เรียก object กับ subject สอง ภาษาบาลีอีกคำเรียก เทวะ
ศาสนาพุทธแยกกายแยกจิต ทีนี้แยกกายเป็นสอง หนึ่งกายหนึ่งจิต คนก็เลยแยกว่า กายก็ต้องเป็นรูป ก็ถูก จิตก็ต้องเป็นนาม ก็ถูก แต่คำว่ากายนี่แหละ สำคัญ มันเป็นรูป แต่รูปที่ยังไม่ได้ขาดจากสภาวะนามธรรม หรือจิตที่เข้าไปปรุงไปร่วมอย่างสนิทเนียน อันนี้แหละยากมากที่เทวนิยมแยกไม่ได้ หมดปัญญา แม้แต่ชาวพุทธก็ยังแยกได้ด้วยความรู้ ด้วยปัญญาเท่านั้น มีสัญญาเป็นตัวตัดสิน
สัญญาเป็นตำรวจ แล้วปัญญาเป็นผู้พิพากษา ไปจับเอามา จับเอากายมา
กาย ของศาสนาพุทธขาดความเป็นจิตไม่ได้ เพราะกายเป็นเทวะ กายเป็นธาตุรู้คู่ อันนี้แหละศาสนาพุทธในเมืองไทย คนไทย มันเสื่อมไปจากความถูกต้อง เสื่อมไปจากความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ คำว่า กายมาเป็นภาษาไทย คนไทยเข้าใจคำว่ากาย เป็นหนึ่งเดียวเพียงภายนอกหนึ่งเดียว เข้าใจคำว่าว่ากายคือธาตุดินน้ำไฟลมไม่มีจิตร่วม ผิดเพี้ยนเป็นมิจฉาทิฐิไปอย่างนั้นเลย แม้แต่อาตมาแต่ก่อนก็เข้าใจเช่นนั้น เพราะคำว่า กาย มาเป็นภาษาไทยอย่างเนียนสนิท ผิดเพี้ยนไปอย่างสนิทเนียนเลย มันเลยยากมากเลย คนไทยมาศึกษาธรรมะแล้วก็ยังไม่มีผู้รู้มาแยกให้ฟังอย่างสัมมาทิฏฐิ ก็ยังเข้าใจกายอยู่อย่างนั้น แม้จะเป็นอาจารย์ทางศาสนาพุทธก็ยังเข้าใจกายเป็นอย่างนี้อยู่ทุกวันนี้ โชคยังดีที่แม้ในพจนานุกรมบาลีไทยยังแปล กาย ว่าเป็นองค์ประชุม ไม่ได้แปลว่า 1 เขาแปล กาย ว่า องค์ประชุม แปลว่าพวก แปลว่า หมู่ แปลว่า ฝูง แปลว่า กอง มันไม่ได้เป็นสิ่งเดียว
สรุปแล้วคุณจะเห็นความสำคัญมากเรื่องของกาย แล้วต้องมีความรู้เรื่องวิญญาณฐีติ 7 (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรมว่า…จากคำถามเด็กๆว่าผมงอก ก็ไปสู่ปรมัตถธรรม
ทำไมเราต้องตาย
_หลวงปู่คะทำไมเราต้องตาย
พ่อครูว่า…ความเป็นชีวะต้องดับ ชีวะคือการเกิดสภาวะอันหนึ่ง เรียกว่าชีวะ เป็นพืชก็ดี ชีวะมีระดับที่พระพุทธเจ้าแยกไว้ 2 ระดับเท่านั้นง่ายๆ เป็นอุตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ยังไม่ถือว่าเป็นชีวะ ยังไม่มีธาตุที่กำหนดตัวเอง แล้วก็ปรุงแต่งในตัวเองเป็นสังขาร จึงมีตัวสัญญากับตัวสังขาร มีอยู่ 3 ธาตุ รูป สัญญา สังขาร พืชมีรูป ปรุงแต่งเป็นชีวะ หรือชีพ หรือชีวิต แต่ชีวิตระดับพืช ปรุงแต่งเพิ่มขึ้นอีก มีเวทนามีวิญญาณเพิ่มเป็น 2 สภาพ พิสดารยิ่งขึ้น มี 5 เป็นจิตนิยาม เป็นชีวะที่ยิ่งใหญ่เป็นระดับสัตว์
สัตว์ ก็ขยายเป็นสัตว์ต่างๆจนกระทั่งเป็นคน คนก็ยังมีที่เป็นปุถุชนจนเป็นถึงอาริยชนอย่างนี้เป็น พระพุทธเจ้ารู้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จึงบัญญัติได้ว่าต้องมีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ไปเปลี่ยนไม่ได้ เป็นชีวะก็ต้องตายจากความเป็นชีวะ ไม่ว่าเป็นพืชหรือคน ในระดับความเป็นชีวะเมื่อไปรวมตัวกันเกิด ไปรวมตัวกันเกิดเป็นมะม่วง เป็นฟักทอง เป็นมะละกอ มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปก็ต้องตาย ทุกอย่างไม่มีอะไรคงที่เที่ยงแท้ต้องเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ยิ่งเป็นชีวะก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงเร็วและมาก ยิ่งเป็นจิตก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงเร็วมากเลย
พระพุทธเจ้าถึงมาตรัสรู้ว่า จิตนี้มันเร็ว มันไว มันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ก็เลยมาเรียนรู้จิตว่ามันเปลี่ยนแปลงเร็วก็ตามใจเอ็งก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าไม่เอาเราเป็นตัวกำหนด เอ็ง เปลี่ยนแปลงเร็วก็ตามใจเอ็งแล้วก็ตามรู้ตามเอ็ง จนยอมแล้วก็ตาม จึงรู้ไม่ขัดแย้งตามความเปลี่ยน แล้วก็ตามรู้ตามความเปลี่ยนไปเรื่อยๆไม่ขัดแย้ง จึงรู้ทุกอย่างได้มากได้ครบ แต่ไปมัวขัดแย้งอยู่เลยเสียเวลา ความฉลาดของพระพุทธเจ้าเห็นไหม เรียนรู้ทุกอย่างได้มาก ได้เร็ว ได้ครบ เท่าที่รู้ตามตัวเองรู้ก็คือบารมีของคนแต่ละคน รู้โดยไม่ขัดแย้งคือ ไม่สงสัย ไม่มีอะไร
พระอรหันต์จะรู้อะไรก็รู้จริงตามความเป็นจริง มาพบกับใคร คนนี้เขามีความรู้อันนี้ก็คือคุณรู้อย่างนี้เป็นอย่างนี้ ก็เป็นอย่างที่เขารู้ อย่างนี้ที่เรารู้ เขารู้ เรารู้ตามเขาไหม นี่แหละโพธิสัตว์จะรู้อันนี้ โพธิสัตว์มารู้ตัวเองก่อนที่จะเป็นโพธิสัตว์ แล้วจึงเป็นอรหันต์ รู้อรหันต์คือรู้ของตัวเองก่อนว่า อันนี้เป็นอย่างนี้ อันนี้ต่างจากอันนี้ จนกระทั่งจบ ความต่างก็คือความต่างไปสิ จะสำคัญอันไหนก็อันนั้นแต่ละอัน จบ พระอรหันต์จึงไม่มีความขัดแย้ง มีแต่รู้ความจริงตามความเป็นจริง จบ ฟังนิยามอันนี้ให้ดี ๆ แล้วคุณจะเป็นอรหันต์ทันที
ฟังให้ดีนะ คุณรู้ความจริงตามความเป็นจริงว่า อันนี้คืออันนี้ รู้ทางตา รู้ทางหูจมูกลิ้นกาย รู้แล้วก็มีความรู้นั้นและคุณก็รู้สึก รู้สึกไม่รู้สึกอะไรก็คือความรู้สึกตามเป็นจริงสิ ไอ้นี่เขียวก็เขียว ไอ้นี้เหลืองก็เหลือง ไอ้นี่แดงก็แดง บอกว่าทำไมมันแดง ก็แดงมันดีก็เป็นสิ่งที่คุณไม่จำเป็นต้องไปวิจารณ์ ทำไมต้องแดง มันไม่น่าแดงเว้ย อ้าว คุณไปยุ่งอะไรกับมัน
เพราะฉะนั้นคนที่รู้จักสิ่งใดก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เป็น 1.ไม่มีอะไรเป็น 2 ทั้งๆที่มันเป็น 2
-
สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่คุณไปเกี่ยวกับเขา ไปสัมผัสเขา แล้วก็ไปทำเป็นรู้เขา ก็เลยมีสิ่งที่ถูกรู้กับตัวเรารู้มันมีสอง คุณจะรู้สิ่งนั้นก็รู้ว่ามันเป็นอันใดอันหนึ่ง แต่ตัวคุณนั้นเสือก เอ๊ ทำไมอย่างนี้วะ ทำไมเป็นอย่างนั้นวะ เฮ้ย มะม่วงทำไมมันเป็นมะม่วงวะ มะม่วงมันก็บอกว่าคุณเสือกแล้ว (สู่แดนธรรมว่า…ท่านพุทธทาสเคยว่า เสือก กรณีมีเณรพอดี ไปถาม)
สรุป มีสิ่งหนึ่งที่เกิดเป็นชีวะมันเปลี่ยนแปลงเร็ว ส่วนดินน้ำไฟลมก็เปลี่ยน แต่มันเปลี่ยนช้ากว่า
_ทำไมผู้ใหญ่ถึงไม่เข้าใจเด็กคะ
พ่อครูว่า…
ทำไมเราต้องจัดงานปลุกเสกฯ
_หลวงปู่คะ ทำไมต้องมีงานปลุกเสกฯ
พ่อครูว่า…ต้องมีงานปลุกเสกเพราะว่าเกิดจากความฉลาด คนฉลาดก็เลยมีงานปลุกเสก เหตุที่อาตมาให้เกิดมีงานปลุกเสกก็เพราะว่า เมืองไทยนี้ เอาคำว่าปลุกเสกเป็นภาษาไทย คำภาษาบาลีคืออภิเษก ไปทำการอภิเษกหรือทำการปลุกเสก แล้วปลุกเสกให้เป็นพระ แต่ดันไปเอาดินหินโลหะอะไรก็ไม่รู้มาปลุกเสกเป็นพระ จะบ้าเหรอ จะปลุกให้อย่างไรจะเป็นพระได้ พระหมายถึงอะไร พระหมายความว่าเป็นพระอรหันต์เลยล่ะ เป็นความมีคุณวิเศษ พระเป็นคนที่มีอาริยธรรม อาริยคุณ พระ จากภาษาบาลีว่า วร หรือ พร แปลว่า ความประเสริฐ
เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเป็นพระได้จะต้องมีความประเสริฐได้ก็ต้องมีจิตวิญญาณ ต้องมาปลุกเสกจิตวิญญาณสิ มาสร้างจิตวิญญาณ มาพยายามอบรมจิตวิญญาณให้เป็นอาริยะ เรียกว่าประเสริฐ ให้มีอาริยธรรม ให้มีความรู้ ให้มีความประพฤติ มีจิตใจที่ดีขึ้น จิตเจริญขึ้นอย่างนี้คือการสร้างความประเสริฐได้
ที่นี้เขาไปปลุกเสกเป็นพระเครื่อง เป็นเครื่องรางของขลัง เป็นเรื่องของวัตถุ เขาปลุกเสกพระ ปลุกเสกวัตถุ พระเครื่องบูชาองค์ใหญ่ๆด้วย อาตมาก็เคยทำไสยศาสตร์พวกนี้มาก่อน คืออาตมาในชีวิตนี้อย่างที่เขาเป็นในเรื่องของศาสนา ในเรื่องของไสยศาสตร์ เขาเป็นกันอาตมาก็เคยเป็นมา เคยผ่านมาทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นอาตมาจะรู้ 2 อย่าง นั่งหลับตาที่อาตมาว่าเขาอยู่นี้อาตมาก็เคยไปนั่งมา นั่งมาไม่ใช่น้อยๆ รู้ทั้งนั้นที่เขาพูดที่เขาเป็น ถึงแยกออกในสิ่ง 2 นี่คือความฉลาดของศาสนาพุทธ วิภัชติ แยกสองสิ่งเปรียบเทียบกัน อาการ ลิงค นิมิต ตามคำสอนของสัตบุรุษพระพุทธเจ้าสอนมาเรียกว่า อุเทส ไปอ่านอาการ แล้วเทียบ 2 ให้รู้ว่าอะไรดีกว่า ก็จบตรงนี้
ต้องเรียนรู้ 2 แล้วเปรียบเทียบ ไม่ใช่ 2 แล้วคุณเปรียบเทียบไม่ได้ ห้ามแยกห้ามตีแตก เหมือนเทวนิยม พระเจ้าก็คือวิญญาณใหญ่มีหนึ่งเดียวห้ามไปแตะห้ามไปแยกห้ามไปวิจารณ์วิจัยต้องตามนั้นเลย ศาสนาเทวนิยมจึงกลายเป็นศาสนาที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ไม่มีอะไรเคลื่อนที่ ไม่มีอะไรเป็นอย่างอื่นเลย เป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อแต่ล้านล้านปีมาก็เป็นอย่างนี้หมด
แต่ศาสนาเทวนิยมแต่ละศาสดานั้น ก็จะเกิดมาตั้งตนเป็นศาสดาของศาสนามา ก็ตามยุค อย่างของพระเยซูก็ 2021 ปี ศาสนาอิสลามก็น้อยกว่า 2021 เพราะพระโมฮัมหมัดมาประกาศตนเป็นศาสดาทีหลัง อะไรอย่างนี้ องค์อื่นๆก็ว่ากันไป แม้แต่ที่สุด พระบะฮาอุลลาห์
ไปประกาศศาสนาบาไฮ ตอนนี้ก็ยังมีอยู่ แต่มีน้อยไม่เจริญเท่าไหร่ พระศาสนาบาไฮเขาพยายามรวมศาสนาทุกศาสนามาเป็นอันเดียวกันเลย โธ่! คือ เป็นความคิดที่มันเป็นไปไม่ได้เลย จะไปร่วมศาสนาทุกศาสนามาเป็นอันเดียวกัน ก็ศาสนาเดียวกันมันยังตีจะตายแยกกันแยกนิกายจะทะเลาะกัน แล้วจะไปรวมศาสนาทุกศาสนามาไว้ด้วยกัน โอ้ย พระบะฮาอุลลาห์ เป็นความคิดที่ยิ่งใหญ่ แต่มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คนที่โง่ที่สุดคือคนที่ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไปทำ หรือไปคิดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คิดอยู่อย่างนั้นแหละแล้วจะทำอยู่อย่างนั้นแหละแต่มันเป็นไปไม่ได้อย่างไรมันก็เป็นไปไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้นี่แหละคือคนที่โง่มากๆ ขออภัยที่วิจารณ์ พระบะฮาอุลลาห์ เสียหายเลย
ในคนนี้เราเชื่อมั่นว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องความเป็นคนอย่างไม่เพิ่ม พระเจ้าอยู่ที่ไหนอย่างไรสมมุติอย่างไร ตามหาธาตุรู้ตัวต้นตอความรู้ไม่ได้ ตามหาไม่ได้สัมผัสตัวจริงไม่ได้มันก็ไม่ชัดเจน มันก็แฝงอยู่สมมุติอยู่ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าเอาที่คน แม้ที่สุดใครจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่มีปัญหา คุณมีปัญญาพากเพียรให้มีความรู้ความจริง จนกระทั่งคุณเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ไม่ได้สงวนสิทธิ์ ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ คุณพากเพียรเป็นให้ถึง เก็บวิบาก สัมภาระวิบาก สะสมชาติแล้วชาติเล่า ศาสนาพุทธการเกิดของจิตวิญญาณผสมการเกิดแล้วเกิดอีก สะสมภูมิธรรม สะสมบารมี จนกระทั่งเกิดเป็นศาสดาของพุทธ
ศาสดาของเทวนิยมนั้นไม่มีปัญหาหรอก เพราะว่าเทวนิยมนั้นคือความรู้ที่ตีไม่แตก แต่พระพุทธเจ้านั้นเป็นศาสนาที่รู้ความที่ตีไม่แตก และก็มีความรู้ทั้งการตีแตก แล้วก็อยู่ที่ตัวเรา
ตัวเรานี่แหละเป็นเจ้าของจิตวิญญาณ เป็นเจ้าของอัตภาพ เป็นเจ้าของเทวดา เป็นเจ้าของพระเจ้าที่จะให้พระเจ้าในตัวเรานี้ อยู่หรือไม่อยู่ เลิกหรือไม่เลิก ทำอัตภาพของตัวเรานี่แหละให้มีอยู่หรือไม่มีอยู่ อย่างเทวนิยม พระศาสดาของเทวนิยมไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองคือพระเจ้า หมายความว่า ไม่รู้ว่าความรู้ความจริงทั้งหลายแหล่ที่ตัวเองมีนี้คือของตัวเอง ไม่ใช่ของพระเจ้า มีไว้ก่อนเราก็เลยเป็นพระบุตรไปรับของพระเจ้ามานั้น ไม่ใช่ นี่คือความไม่รู้ของพระเจ้าและความไม่รู้ของพระศาสดาทางพระเจ้า ไม่รู้อัตตานั่นเอง เพราะไม่ได้เรียน ไม่ได้วิจัยแยกแยะ แล้วแถมห้ามแยกแยะอีก ก็เลยจบอยู่ตรงนั้นนิรันดร จบอยู่ตรงที่ แยกไม่เป็น แยกไม่เป็นก็เลยมีอยู่เท่านั้น ตายตลอดกาลนาน
แต่ว่าแม้มีอยู่เท่านั้นก็ไม่คงที่ คำสอนของพระศาสดาองค์ไหนของศาสนาใดก็ไม่รู้ เช่นของศาสนาคริสต์ คำสอนของพระศาสดาก็เป็นของพระศาสดาเยซู มาถึงวันนี้คำสอนของพระศาสดาเยซูก็แยกเป็นอีกไม่รู้กี่นิกาย ก็ไปเป็นหัวหน้า เป็นใหญ่ของศาสดาแต่ละนิกาย ศาสดาคือหัวหน้าใหญ่ของนิกายนั้นๆ อิสลามก็เหมือนกัน ก็แยกเป็นนิกายต่างๆ ชาวพุทธก็เหมือนกัน ทั้งนั้นแหละ มันห้ามไม่ได้หรอก มันต้องเป็นอย่างนั้น ใครจะเก่งอย่างไรให้ตายก็ไม่มีทางที่จะไม่ให้แยก มันต้องแยก แต่จะไปให้มันไม่แยกมันผิด มันไม่มีหรอกที่จะไม่แยก
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าเมื่อแยกก็แยก เมื่อแยกแล้วความเห็นต่างกันก็ต่างคนต่างปฏิบัติมีที่จบของศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีนิกาย มีแต่แค่นานาสังวาส มีแค่มันต่างกัน แต่ก็เป็นผู้ร่วมกันเรียกว่าสังวาสเดียวกัน แตกต่างคนต่างเห็นกันนะ ฉะนั้นท่านจึงมีวินัยไว้เลยว่าวินัยของนานาสังวาสนั้นคือต่างคนต่างเชื่อของตัวเอง ไปบังคับกันไม่ได้ ห้ามกันไม่ได้ คุณเชื่ออย่างคุณก็เชื่ออย่างคุณ เราเชื่ออย่างเรา ก็อย่างเรา คุณจะบอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ผิดก็ว่ากันไปเลยเรียกว่า ปฏิกโกสนา จะค้านอย่างแรง ว่างั้นมันไม่ถูก อย่างเช่นโพธิรักษ์แสดงออกไป
พูดจนคอจะแตกก็ได้แต่อย่าไปอธิกรณ์ คืออย่าให้เรื่องทะเลาะกันจนเป็นคดีความที่จะต้องวินิจฉัย ที่ต้องมาตัดสินเพราะจะให้ใครตัดสินไม่ได้ ไม่มีใครจะตัดสินความรู้ของสองฝ่ายนานาสังวาส ที่มันต่างกันไม่มี ของผู้นี้ก็เป็นของผู้นี้ฝ่ายนี้ตัดสินของผู้นี้ก็ต้องไปนี้ตัดสิน ของ 2 ขั้วนี้ต่างกันแล้วจะให้ใครมาตัดสิน ไม่ได้ ไม่มีตัวกลาง เหมือนกับมีคดีความที่ประเทศไทย แล้วไปให้ศาลโลกตัดสิน แล้วมันจะรู้ดีเท่ากับผู้พิพากษาไทยได้อย่างไร ที่จะให้ผู้พิพากษาศาลโลกมาตัดสิน เพราะตัวเองไม่เชื่อตัวเองเสียศักดิ์ศรีมากเลย ไปให้ศาลโลกตัดสิน อย่างพวกที่ออกไปไม่เอาไม่เชื่อศาลไทย ก็ต้องไปให้ศาลโลกตัดสิน เอ็งก็ไปเป็นคนชาติอื่นเถอะ
พระอรหันต์มีเวทนาเดียวคือเวทนาแท้
_สู่แดนธรรม…มีญาติธรรมเขียนสอบถามมาสภาวะที่เขารู้อยู่สัมผัสอยู่กับการปฏิบัติ เขาขอให้รับรองว่าถูกไหม..
_สุดซึ้ง สุดบูชา…การตัดกิเลสออกจากจิตเวทนาแท้คือไม่เจ็บไม่ปวดอะไรเลย ที่มันรู้สึกเจ็บรู้สึกทุกข์ก็เพราะว่ามันเป็นอุปาทาน ถือว่ามันเป็นเรา เราเป็นมัน มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นกาย แท้จริงแล้วการตัดกิเลส ก็เหมือนตัดผมตัดเล็บ ถูกขี้ไคล สีฟัน หรือตัดขนส่วนที่ยาวเกินเท่านั้นเอง ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ
พ่อครูว่า…ได้ เหมือน คำว่าตัดผม ตัดเล็บ ถูขี้ไคล เรื่องลึกซึ้งยิ่งใหญ่ถ้าเข้าใจนัยยะสำคัญของมัน เล็บก็ตัดได้ไม่มีเวทนา ผมก็ตัดได้ไม่มีเวทนา ถูขี้ไคลออกก็ถูได้ ฟันก็กรอออกได้ กรอที่ยังไม่ถึงเส้นประสาทไม่มีเวทนา นี่เป็นนัยยะสำคัญของศาสนาพุทธ แยกกายแยกจิต
กายต้องมีเวทนา กายไม่มีเวทนาไม่ใช่กาย ถ้าแยกกายที่ไม่ใช่กายได้ ธาตุ 2 กายนอกภายในหรือคู่ อีกอันหนึ่งกับธาตุรู้แล้วแยกได้ว่า ก็มันไม่มีความรู้สึก มันไม่ใช่วิญญาณ ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ แต่มันเป็นชีวะอยู่ เป็นชีวะแบบลักษณะพีชนิยาม อาการมันเป็นอย่างนี้เอง
จิตเป็นธาตุรู้ที่สามารถที่จะทำให้จิตของเราให้เป็นธาตุรู้แบบ พีชะ แบบมีแค่สังขารกับสัญญา ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อันไหนสำเร็จจึงกลายเป็นคนไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ พระอรหันต์เป็นคนไม่มีวิญญาณเหมือนคนไม่มีเวทนา คนอื่นไปปรุงแต่งเวทนาเป็นเรา วิญญาณเป็นเรา แต่พระอรหันต์ไม่ได้ปรุงแต่งเวทนาเป็นเรา วิญญาณเป็นเราแล้ว แต่ท่านก็รู้ว่าปรุงแต่งอย่างที่คนอื่นเขายึดถือว่าเป็นเรานั้นได้ แต่ท่านไม่ยึดว่าเป็นเรา จึงไม่เกิดการเปรียบเทียบให้เกิดการที่จะเอาไปแข่งขันอะไรกัน แต่รู้ตาม คนนั้นเขาเข้าใจเวทนานั้นเป็นอย่างนั้น ก็ต้องแยกเวทนาเป็น 2 แต่ถ้าคนนั้นเขาเข้าใจเวทนานั้นตรงกันกับเราเลยไม่ผิดเลย ไอ้ที่ตรงกันจริงๆคือเวทนาที่ตรงกันอย่างจริงคือ เวทนาเดียว คือ เวทนา อุเบกขา เวทนาอทุกขมสุข ของพระอรหันต์ตรงกันตรงนี้แหละ นอกนั้นต่างกันหมด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน จูฬวิยูหสูตร เรียกอันนี้เป็นสัจจะมีหนึ่งเดียว เอกังหิสัจจัง สัจจะมีหนึ่งเดียว
ที่ไม่เถียงกัน ไม่ถก ไม่แย้งกันเลยคือนิพพาน ของพระอรหันต์คือความเป็นอรหันต์ พระอรหันต์เอาตรงไหนลนิพพานไม่แย้งกัน จบ มีแต่รู้ คนอื่นเขาแย้ง คนอื่นเขาเห็นต่าง ก็จบ
มีปรโตโฆษะต้องรู้เวทนาปัจจุบัน
_สุดา ใจดี…กราบนมัสการค่ะ ขอฝากคำถามพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ อธิบาย คำว่า อาการ ลิงคะ นิมิตเพื่อการฝึกกำจัดกิเลสในขันธ์ 5 กราบขอบพระคุณค่ะ
_ธรรมะกระจาย บุญยัง…เหตุคือรูป ปัจจัยภรรยาคือนาม ทำให้เกิดการเกิดการดับของอุปาทานขันธ์ 5 แล้วนิทานกับสมุทัย มันรวมอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่ หรือเป็นอีกคู่หนึ่ง
พ่อครูว่า…เคยตอบมาหลายที อธิบายด้วย อาการ ลิงค นิมิต เป็นเรื่องสำคัญอยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 แม้เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยก็อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 นี้
ถ้าผู้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าอ่านอาการไม่เป็น จับนิมิตไม่ได้ แล้วรู้ความต่างเรียกว่า ลิงค หรือเพศ รู้ความต่างของมันซึ่งจะต้องมี 2 เสมอ มีสิ่งที่ถูกรู้ก็ต้องมีตัวธาตุรู้ อย่างไรอย่างไรเกิดมาเป็นคนต้องมีจิตวิญญาณ คุณจะไม่รู้ปัจจุบันนี้ ตากระทบรูป หูกระทบเสียงทันที คุณก็ไปรู้ 2 ที่อยู่ในจิต ปั้นสร้างขึ้นมาเอาความจำมา ความจำก็เหมือนกับสิ่งข้างนอกแหละแต่มันเป็นความจำไม่ใช่ความจริง เพราะฉะนั้นในความจำที่คุณจะจำตั้งแต่เคยผ่านมาเป็นอดีต เคยคิดมาเป็นอนาคต ผ่านมาเป็นอดีตก็เคยผ่าน แต่สิ่งนี้ไม่เคยผ่านหรอกแต่เคยคิดเป็นอนาคตอีก 44 เป็นอดีตอีก 18 พระพุทธเจ้าก็เอามารวมให้ศึกษาหมดแล้ว ใครไปนั่งหลับตา เป็นต้น ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย คุณก็จะมีแต่อดีต 18 อยู่กับอนาคต 44 ที่ท่านรวมไว้หมดแล้ว ไม่มีความจริงเลยที่จะเอามาปฏิบัติ เป็นศาสนาโมฆะ เป็นของเดียรถีย์ แต่ก็ยังเอาไปนั่งหลับตาเป็นคณะใหญ่ แล้วยกย่องกันเป็นอรหันต์ด้วย
อาตมาพูดไปก็หาว่าไปว่าคนที่เขาเคารพนับถือ อาตมาก็บอกว่าเพราะไปโง่กับอวิชชา ต่างคนต่างอวิชชา ต่างคนต่างเป็นคนตาบอด ปากใบ้ ตาบอดปากกืก งมงายตลอดกาล ไปไม่รอด เยอะด้วย แล้วศาสนาพุทธทุกวันนี้ อย่าว่าแต่พวกหลับตาปฏิบัติ แม้แต่พวกเถรสมาคม พวกนักวิชาการศาสนาก็ยังเชื่อว่าจะไปเป็นพระอริยะต้องไปนั่งหลับตาปฏิบัติ แต่ไม่ได้ปฏิบัติเลย นับถือพวกนั่งปฏิบัติมากกว่า เอ็งเรียนมากกว่าก็เลยแบ่งเป็น 2 พวกมีพระบ้านกับพระป่า หรือพระวิชาการกับพระปฏิบัติ อยู่อย่างนั้น แล้วมันก็ไม่เข้าเป้า ไม่เรียนรู้ความจริง
อาตมานี่แหม ไม่รู้จะพูดอย่างไร อาตมาเป็นคนซื่อ คนไม่ปิดบังเป็นคนเปิดเผย แล้วก็หาว่าอาตมามีกิเลส มาบอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ ขนาดบอกนี้เขายังไม่ค่อยฟังเลย อาตมาว่าอาตมาบอกด้วยความจริงใจ แต่คุณไปยึดว่าคนบอกนี้มันอยากอวด อาตมาผ่านความเป็นคนที่อยากอวดไปแล้ว อาตมาไม่มีสาเฐยจิต ก็บอกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ อาตมาผ่านไปเป็นคนจริง บอกความจริง ยืนยัน เมื่อใดก็เมื่อนั้น แต่คุณก็ยังไปยึดว่ามันอยากอวด ไม่จริงหรอก อาตมาท่านบอกว่าอาตมามีสิ่งที่ดีแล้วอยากอวด สิ่งที่ดีมันถูกต้อง คุณมีสิ่งที่ผิด ก็เอาไปพิสูจน์บ้างสิ มีปรโตโฆษะบ้าง แต่ไม่ยอมเปิดประตู ปรโตโฆษะ
ปรโตโฆษะ ไม่ใช่แปลว่าคุณไม่ฟังผู้อื่น แต่แปลว่าคุณต้องฟังผู้อื่นบ้าง แง้มออกมารับฟังและพิจารณาบ้าง แล้วอย่ายึดมั่นถือมั่นของตัวเองจนเป็นชาล้นถ้วย เต็มแล้วว่าฉันรู้นี่ คุณพูดมาอย่างไรก็ฟังเหมือนอาบน้ำกลัวเปียก ฉันไม่รับคุณเลย คุณจะฟังอย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร คุณปิดประตูที่จะรับแล้ว เป็นน้ำชาล้นถ้วยแล้ว มันก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน
ฉะนั้นเรื่อง ปรโตโฆษะ เรื่องที่อาตมาเห็นอยู่มากเหลือเกิน ปิดประตู ปรโตโฆษะ เขาไม่ปิดหรอกกับคนอื่น แต่กับโพธิรักษ์นี่เขาปิดประตูมิดเลยนะ อันนี้รังเกียจบุคคล อาตมาไม่หล่อหรืออย่างไร เป็นคนขี้เหร่หรืออย่างไร อาตมาอธิบายธรรมะนี้วิจิตรพิสดาร ซับซ้อนลึกซึ้งมากมาย อย่างนี้คุณฟังรู้เรื่องไหม ตั้งใจฟังดีๆสิ อาตมาไม่ได้คุยโม้นะ อาตมามาสาธยาย ธรรมะอันวิจิตรอันลึกซึ้งต่างๆ เป็นนัยยะของโลกุตระ อันวิจิตรนัยยะลึกซึ้ง ซึ่งเดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้วเหมือนกลองอานกะ อย่างนี้เป็นต้น แต่เขาก็ไม่ฟังอะไรกัน
_ผู้ที่ยังสงสัย (บ้านราชฯ)…ถ้าเราอยากให้ได้ดั่งที่เราเห็นแย้งนั้น เราก็ต้องการบำเรออ้ตตาเราอยู่ใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…ถูกเปรี้ยงเลย เราต้องเข้าใจคำนี้ สิ่งที่มี 2 แล้วต้องต่างกัน เขาก็คนหนึ่งเราก็คือสอง จะให้เขามาเป็นหนึ่งกับเรานั้น คุณใหญ่ขนาดไหนเชียว คุณใหญ่นักหรือ ก็ต้องฟังว่าเขาต้องมีของเขาอย่างนี้นะ ก็จบ เราก็คิดต่างกับเรานี้ได้ คนนี้คิดเหมือนกับเรามันเหมือนสนิทไหม เหมือนสนิท เป็นหนึ่งเดียวก็เป็นอาริยธรรมของอรหันต์ ของนิพพานเรื่องเดียวนี่แหละ วันนี้มีหนึ่งเดียว ถ้าอันอื่นมันไม่เหมือนกันหรอก จะบอกว่ามันเหมือนก็ไม่เหมือนกัน
คุณว่า มะเขือเทศ 2 ลูกนี้ที่คุณหยิบขึ้นมา มันเหมือนกัน ไม่มีเหมือนกันหรอกไม่ว่าจะเป็นคู่ไหนเลย ปรมาณู 2 ตัว ก็ไม่มีทางเหมือนกัน
_พึ่งบุญ (บ้านราชฯ)…เสร็จงานปลุกเสกฯแล้วอยากไปโปรดญาติ พ่อครูว่า ไปได้ไหมคะในยุค covid
พ่อครูว่า…ก็เป็นเจตนาเมตตา กรุณา ก็ว่าไป อยากไปโปรดญาติ ตัวเองก็มีความรู้แล้วพอสมควรก็เป็นความคิดที่ดี เป็นเมตตา แต่ทีนี้ว่า ตัวเองเราสมบูรณ์หรือยัง โควิดด้วย ถ้าเราเอาตัวเองให้รอดสมบูรณ์เป็นอรหันต์จริงแล้วไปเลย ถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ ก็ทำให้ตัวเองเป็นอะไรรับรองตัวเองได้ว่าเป็นอรหันต์ก็ไป ถ้ายังรับรองตัวเองไม่ได้ก็ยังไม่ควรไป
_บาดนี้ละ พระอรหันต์สิย่างกันตำหัวแตกคือพ่อครูบอก งานนี้ประทับใจมากที่ได้เรียนรู้พัฒนาตัวเอง เพื่อบำเพ็ญคุณ บำเพ็ญธรรม พัฒนาตัวเองได้ชัดเจนมากขึ้น ตัวเองก็อยู่กับปัจจุบัน มีความตั้งใจมากในการทำความเพียรทำบุญ สรุปแล้ว มีแต่สภาวะไม่ติดขัด
_มีเรื่องร้องเรียน ถนนในชุมชนที่ควรให้เพื่อนบ้านร่วมใช้สัญจรบ้าง มีบางพื้นที่ที่เจ้าของพื้นที่เอาถุงปลูกกระชายปิดเส้นทางสัญจร พิกัดอยู่ข้างบ้านหมอพจน์ ป้าเยาวลักษณ์ ขอความเมตตาด้วย
พ่อครูว่า…อยู่ในบ้านราชฯไม่ต้องสตริ๊กมากหรอก แต่ในนี้ยังไม่มีโควิด ในนี้จริงๆก็อย่าไปเข้มงวดกวดขันบ้าง ประมาณบ้างเท่านั้นเอง เราเข้มงวดกวดขันกับข้างนอกเท่านั้นเอง ก็ระมัดระวัง แต่ข้างในนี้ก็เพลาๆหน่อย
_ตุ้ม พรทิพย์…การตั้งศีลปฏิบัติสายทุกขาปฏิปทา คือการ กดข่มไว้และอภิชัปปาตัณหาล้ำหน้าด้วย ส่วนสายสุขาปฏิปทาคือ การทำวิปัสสนา รู้ความจริงพิจารณาความจริงตามทางที่ตัวเองได้สู้ได้สู้ไม่ได้ก็ยอมรับเลยไม่ทุกข์แบบนี้ถูกไหมคะ
พ่อครูว่า…ก็ถูกแล้วไง เขายึดถือตัวเขามากๆ เขาชอบแบบทุกขาปฏิปทา แต่ขิปปาภิญญาหรือทันทาภิญญาก็อีกเรื่อง แต่เขาชอบแบบทุกข์หนักๆ อยากได้เร็วๆอีก มีตัณหาล้ำหน้าอีก ถ้าคุณพูดมาอธิบายมันก็เบากว่า แต่คนที่ถือเขาไม่รู้หรอก เขาชอบของเขา พวกซาดิส มาโซคิส ไม่รู้ตัวอะไรก็จะเป็นคนอย่างนั้น เป็นคนยึดแบบทุกข์ เรียกว่าซาดิส ยึดแบบมาโซคิส ตัวเองต้องได้รับทุกข์ถึงชอบแบบมาโซคิส
_บวรภูผาฟ้าน้ำเชียงใหม่…บุคคลตั้งแต่พระโสดาบันตั้งจิตแล้วแต่ตัวเองบัดนี้จนถึงตายจะปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ไหมคะ
พ่อครูว่า…ไม่ได้ โสดาบันจะนิพพานเป็นปริโยสานไม่ได้ โสดาบันยิ่งไม่มีทางเลย อนาคามี ยังพอจะไปนิพพานหรือไม่ยอมเกิดมา ตายแล้วจะไม่เกิดมามีร่างกาย จะขอบำเพ็ญต่อ อยู่ในภพของจิต ก็จะเป็นไปตามบารมีแล้วแต่ว่าจะเป็นอนาคามีลักษณะแบบนี้
-
อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)
-
อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)
-
สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)
-
อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)
-
อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร หรือไม่เป็นน้องใครอีก แล้วปรินิพพานไว)
สู่แดนธรรมว่า…อย่างโสดาบัน จะปริโยสานในเหตุปัจจัยที่ทำได้จะได้ไหม
พ่อครูว่า…อรหันต์หรืออรหัตตผลของโสดาบันคือได้แต่ในทางโลกๆ คุณจะต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบสัมผัสสิ่งที่มีอยู่ในโลก อะไรที่กระทบสัมผัสแล้วอันนั้นเป็นเรื่องต่ำ เรียกว่าอบาย เรารู้ของเราแล้ว เป็นเรื่องต่ำ แล้วเราก็เลิกได้ ล้างกิเลสตัวนี้ได้ ไม่ไปติดยึดปรุงแต่งเกี่ยวข้องกับอันนั้นได้ อันนั้นคือโสดาบัน แล้วจะรู้จักว่า อ๋อ.. การหลุดพ้นจากโลกอบายเป็นอย่างนี้เอง นี่คือรู้จักนรก แล้วออกจากนรกอย่างตื่นๆ
ไม่ใช่ตายแล้วไปเป็นนรก ไปเป็นสวรรค์อย่างที่อธิบายกันนั้นปฏิบัติไม่ได้
บทสรุป ปัญญา-อนัตตา ในงานปลุกเสกฯ
พ่อครูว่า…อาตมาเอาเรื่องปัญญาก็ดี อนัตตา มาเป็นชื่อตัวภาษาเรียกหัวข้อ มาบรรยายในงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธครั้งที่ 44 นี้ มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่แล้ว
ปัญญาเป็นธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ในโลก มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตรัสรู้เรื่องปัญญา คนอื่นไม่มีปัญญาหรอก คนอื่นเอาปัญญาไปเรียกความฉลาดแบบเฉโก แม้แต่ในชาวพุทธก็ไม่ใช่ว่ามีปัญญา อย่านึกว่าตัวเองมีปัญญา ปัญญาไม่ได้มีง่ายๆ ปัญญาต้องเป็นโลกุตระ ปัญญาต้องรู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน ปัญญาต้องพ้นสักกายะทิฐิ และพ้นวิจิกิจฉา และพ้นศีลลัพตปรามาส
กระทั่งสามารถทำให้กิเลสลดได้จึงจะเริ่มมีปัญญา
ทำให้กิเลสลดได้อย่างรู้ยังเห็นเลย เป็นโสดาบันที่ กิเลสของเราลดไปจริง แล้วเราก็เลิกเบาสบายคลายจางจากความคิดในโลกอบายของเรา อย่างนี้เรียกว่าปัญญา
เพราะฉะนั้นรู้แต่ภาษาเฉยๆยังไม่ถึงขั้นเข้าถึง กาย เข้าถึงการปฏิบัติจริงมีรูปมีนามของตนด้วย แล้วก็รู้กิเลสในรูปงามทำให้กิเลสมันลดได้ตั้งแต่ด่านต้น โลกอบาย คุณไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยากทำเป็นคนไม่ควรไปเกี่ยวข้องเลย เป็นคนในสังคมนี้ทำไมอย่างที่อยากทำนี้ไม่เลิกไปหมดเสียเวลาทำไม คุณจึงจะเป็นคนที่พ้นมาเป็นพระอาริยะมีภูมิปัญญาไปตามลำดับ
แล้วที่สุดอนัตตา อนัตตาเป็นเรื่องจบ อนัตตาตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปัญญาข้อที่ 8
มีปัญญารู้จัก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วก็วิจัย รูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ วิจัยออกจัดการได้ จัดการได้ถึง อุปธิต่างๆ อุปธิคือ
-
กิเลส
-
ขันธ์
-
อภิสังขาร รู้กิเลสในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รู้ว่ามันเป็นกอง ขันธ์ หมู่ได้