640408_พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกฯครั้งที่ 44
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1E_v3XTnopls5jh08h0zGu7wgV3Xyd8x48BrgIYuKxIg/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/191uciEFkWrtAMXak2DDC2U4fJUqA_JyO/view?usp=sharing
และยูทูปที่
https://youtu.be/98U6nB4sEo0
พ้นสักกายะของตนจึงเริ่มได้ปัญญา อนัตตา
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
เอามาพูดถึงปัญญากัน ปัญญาคือความรู้ที่เขาเข้าใจผิดกันทั่วโลกว่าคือเฉโก คือ ความรู้ที่รู้ผิดว่าปัญญาก็คืออันเดียวกันกับ เฉโก พอมันเริ่มต้นรู้ว่าปัญญาคือ ความรู้อันเดียวกับเฉโก ก็เลยพากันผิดตั้งแต่ตั้งต้นแล้ว
เพราะว่าปัญญานี้มันจะไม่ใช่ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับโนโลกๆ ไม่ใช่เลย มันเป็นความรู้ที่เกี่ยวข้องกับโลกุตระ และเกี่ยวข้องกับโลกุตระเท่านั้นด้วย ไม่ไปยุ่งกับ เฉโกหรอก แต่มันรู้ว่าเฉโก คือความรู้แค่โลกโลกโลกีย์ เพราะปัญญาโลกุตระคือ มันเหนือกว่านั้น มันพ้นไป พ้นไปจากความรู้เท่านั้นเอง พูดไปแล้วมันก็ข่มเฉโก
เพราะฉะนั้นปัญญาเริ่มแรกจึงเกิดเองไม่ได้ ใครใครก็มาคิดจะรู้อย่างพระพุทธเจ้าท่านรู้ไม่ได้ ใครจะไปบำเพ็ญเองไม่มีรากฐานมาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ไม่มีเชื้อ เริ่มต้นมาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆไม่ได้เลย เกิดเองไม่ได้เลย ความรู้ชนิดนี้
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ อจินไตย เป็นเรื่องที่คิดไม่ออกว่าทำไม ความรู้อย่างนี้เกิดเองไม่ได้จะต้องไปอาศัยพระพุทธเจ้า ต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น แล้วพระพุทธเจ้าเป็นใคร?
เหมือนกับทางเทวนิยมเขาบอกว่า พระเจ้าเป็นใคร? พระเจ้าจะดูยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ไปแตะต้องไม่ได้ด้วย แต่ของพระพุทธเจ้านั้นแตะต้องได้ เป็นตัวตนบุคคลเหมือนเรา ไอ้นี่สิยิ่งใหญ่ ไม่สงวนสิทธิ์ ใครจะฉลาดเท่าพระพุทธเจ้ามีสิทธิ์ แต่คุณจะบำเพ็ญถึงไหม ก็เหมือนกันบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง มีปัญญาสูงสุดเป็นสัมมาสัมโพธิญาณ เหมือนกัน ได้เลย ซึ่งสุดยอด
เป็นความพิเศษจนกระทั่งว่า ใครเริ่มได้ยินได้ฟังความรู้ที่เรียกว่าปัญญา หรือความรู้ที่เรียกว่า ความรู้โลกุตระออกมาจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า หรือผู้อยู่ในฐานะครู เพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ตั้งอยู่ในฐานะครูคือ มีความรู้โลกุตระแล้ว มีความรู้ที่มีปัญญานั้นแล้วจึงจะเป็นครูได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่ตั้งตนเป็นครูโดยไม่มีความรู้โลกุตระ ในวงการศาสนาพุทธจึงมิใช่ครูที่แท้จริง ในเพื่อนพรหมจรรย์ ในศาสนาพุทธที่ไม่มีความรู้โลกุตระจริง จึงไม่ใช่ครูจริงๆ เป็นครูเก๊ เป็นครูปลอมๆ มันก็เป็นจริงได้ ก็มีอย่างนั้น
ครูเก๊ คืออย่างไร คือสังโยชน์ข้อที่ 1 ก็ยังไม่รู้ ไม่รู้สักกะ ไม่รู้กายะ
ที่ว่า ไม่รู้สักกะ ไม่ใช่จะรู้ได้ง่าย สักกะคือตัวตน คือตัวเราเอง องค์ประกอบธาตุรู้ที่เป็นจิตนิยามเกิดขึ้นมา แล้วมันก็เกิดขึ้นมาด้วยอวิชชา มันก็ยึดไปหมด ยึดสังขาร นามรูป เป็นตัวตน โดยไม่มีปัญญาเจาะลงไปรู้ ไม่มีความแตกฉานที่จะสามารถแยกแยะรู้ได้ว่า ตัวตนมันต่างกับไม่ใช่ตัวตนอย่างนี้ นี่เริ่มจะอธิบายมาถึง ตัวตนกับไม่ใช่ตัวตนแล้ว คือ อัตตา กับ อนัตตา ภาษาไทยพูดไปถึง อัตตา และ อนัตตา
สักกะคือ ตัวตน ซึ่งเป็นองค์ประกอบของอวิชชา สักกะคือองค์ประกอบไปพร้อม พร้อมอะไร พร้อมอวิชชา ทุกคนเกิดมาพร้อมอวิชชาทั้งนั้น จนกว่าจะมาได้ยินพระพุทธเจ้าตรัส ความรู้ที่จะ ไขโลก บอกความจริงที่ยิ่งใหญ่ คุณเกิดมาเป็นคน จริงๆแล้วเกิดมาด้วยความโง่อวิชชา จึงถือเป็นตัวตน แล้วก็จะมีตัวตนไปนิรันดร ถ้าไม่ได้พบพระพุทธเจ้า ไม่ได้ฟังธรรมะพระพุทธเจ้าหรือผู้อยู่ในฐานะครูของศาสนาพุทธ ครูของโลกุตระ ก็จะยึดเช่นนั้นไปนิรันดร ไปเรื่อยๆ ไม่มีทางที่จะออกจากโลกียะ ไม่มีทางที่จะหลุดพ้น ไม่มีทางเลิกเป็นอัตตา เป็นอนัตตา
ศัพท์ที่พูดพล่อยๆ ทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน สัพเพธัมมาอนัตตาติ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัวใช่ตน ก็พูดไปเป็นภาษาพล่อยๆ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่คนที่จะเกิดสภาวะ ทำให้เกิดปัญญา ปัญญาที่รู้ รู้ด้วยปัญญา ว่า อนัตตา ไม่ใช่รู้ด้วย ความรู้เฉโก ความรู้อวิชชา ความรู้โลกีย์ ไม่ใช่ ฉะนั้นผู้ที่รู้อนัตตาจริงๆคือพระอรหันต์ พระอรหันต์จะมีอนัตตา แล้วรู้จริงเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ รู้ของตนเป็นจริงๆเลยว่าอนัตตาเป็นอย่างนี้
เริ่มต้นพระโสดาบัน ก็จะเริ่ม อ๋อ.. สักกะ อ๋อ.. กายะ ชักจะรู้สักกายะ มีทิฏฐิ มีความรู้ระดับต้น รู้ความเชื่อความเข้าใจระดับต้น ว่า อ๋อ.. สักกะ กายะ ที่เริ่มรู้ก็คือเริ่มรู้ว่า มันไม่ใช่อย่างที่เราเคยเข้าใจ จะเริ่มรู้ก็คือเริ่มรู้ว่าเราไม่รู้ เราอวิชชามาตั้งนานแล้ว ก็เพิ่งจะ อ๋อ.. ไม่ใช่นี่นะ นึกว่าเรารู้มาตั้งนาน เขายกย่องเป็นปราชญ์เอกของศาสนาพุทธด้วย เขายกย่องว่าเป็นชั้นยอดของศาสนาพุทธ เป็นเจ้าแห่งความรู้ด้วย อ๋อ.. เพิ่งจะมีความเข้าใจทิฏฐิว่า สักกะ กายะ เป็นอย่างนี้เอง สักกะ ประชุมของอวิชชาคือเราเอง หรือเราไม่รู้ว่ากายะคืออะไร
กายะตัวเดียวนี่ ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย ถ้าคุณไม่รู้ กายะ อย่างจริง แล้วทำกายะออกจากตัวตนไม่ได้ คุณก็ปรินิพพานไม่ได้
จิตนิยามนี่ เป็นอวิชชา แล้วจะยึดมีกาย จิตนิยามจะยึดกาย จะไม่ได้ทำให้กายนี้หมดไปจากตัวตน อรหันต์หมดกาย กายไม่มี เป็นคนไม่มีกาย จิตนิยาม ของพระอรหันต์เป็นพีชนิยาม พีชนิยามไม่มีกาย แต่เป็นชีวะ พระอรหันต์เหมือนพืช ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ที่เป็นสภาวะที่อธิบายโดยสภาวะซับซ้อนมาก แต่ท่านมี มีจิตนิยาม มีธาตุรู้ครบ แต่ท่านรู้ว่า จิตหรือธาตุรู้ มันรู้แค่ยึดถือหรืออาศัย แค่ความเป็นพีชะ เป็นชีวะในระดับพืชเท่านั้นก็ไม่มีเวทนา ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข
เวทนามีแต่เวทนาแท้ ที่รู้ความจริงตามความจริง ว่าอะไรคืออะไรเท่านั้น อารมณ์ที่เป็นโลกียะ อารมณ์ที่เป็นทุกข์เป็นสุข มนุษย์หรือสัตว์โลกที่เป็นสัตว์ที่มีจิตนิยามแล้ว มีทุกข์มีสุขทั้งนั้น มีเวทนา มีวิญญาณทั้งนั้น แต่พระอรหันต์ไม่มีวิญญาณสัตว์โลก สิ้นความเป็นสัตว์
ปัญญาที่พาให้หมดความเป็นสัตว์ทั้ง 9
เพราะฉะนั้นการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ท่านถึงอธิบายความเป็นสัตว์แยกให้รู้ว่า คุณต้องรู้ว่ากายคืออะไร โดยคุณมีธาตุรู้คือ สัญญาตัวกำหนดรู้ ถ้าสัญญาไม่วิปลาส สัญญาเป็นธาตุธาตุรู้ที่แน่นอนถูกต้อง สัญญาคือตัวสัญญาที่กำหนดรู้ในระดับปัญญา ในระดับโลกุตระ รู้จริงรู้แท้ แม่น ตรง คม ลึก ชัด ก็จะสามารถกำหนดรู้ กาย ได้ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นในสัตตาวาส 9 ผู้ที่กายกับสัญญาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ผู้ยังมิจฉาทิฏฐิในความเป็นกายหรือความเป็นสัญญา หรือสัญญาของตัวผู้นั้นยังวิปลาส ยังยึดมิจฉาทิฏฐิ ยังไม่ถูกต้องไม่ตรง ก็จะกำหนดความเป็นกาย สัญญากำหนดรู้ความเป็นกายผิดเพี้ยนไป
ในสัตตาวาส 9 จะยังมีความเป็นสัตว์อยู่
ข้อที่ 1 จะเห็นเป็นตัวตน มนุษย์ มาร พรหม เป็นสัตว์ต่างๆ
-
สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เช่น พวกมนุษย์ พวกเทพบางเหล่า พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า
-
สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เหล่าเทพจำพวกพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น . ทำให้เห็นความไม่มีนิวรณ์ได้ แต่แตกต่างกันระหว่างสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ
สัญญาอย่างเดียวกันคือสัญญาว่าไม่มีนิวรณ์ แล้วความไม่มีกายของมิจฉาทิฏฐิจะเห็นนามรูปของการไม่มีนิวรณ์อย่างสะกดจิต นั่งหลับตา ไม่ให้ออกมาข้างนอก ไม่ให้รับรู้อะไรข้างใน ก็ไม่ให้รับรู้ ก็ไม่เห็น กาย ตาไม่เห็นกาย ไม่มีภายนอก แต่มีกายใน ก็จะไม่รู้แม้แต่กายในก็เลยไม่มีกายเลย แบบบื้อๆ คือมิจฉาทิฏฐิ
ส่วนความไม่มีกายของพระพุทธเจ้านั้นลืมตา รู้ทุกสิ่งทุกอย่างเลย แต่ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณเป็น อทุกขมสุข สมด ทมด ปกต หห จจ เป็นความสะอาดจริง เป็นปฐมภูมิของฌาน เป็นฌานจริงๆ เป็นความไม่มีนิวรณ์ 5 อย่างนี้เป็นต้น
-
สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน เช่น พวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) จะเห็นกายเป็นอาภัสรา เป็นนางงาม นางสาวไทย นางงามจักรวาล งามผ่อง สวยใส สว่าง อาภัสรา เห็นรูปนามสว่างใส เหมือนชาวธรรมกาย ใสๆ แต่มิจฉาทิฏฐิ ใส ไปสร้างภาพความใสใส่จิตตนเอง เป็นอุปาทาน ใสจริงๆ เขาจะเห็นใสไปด้วยกัน เห็นกายใสไปด้วยกัน เป็นอย่างเดียวกัน แต่สัญญาคนละอย่าง
สัญญาที่เห็นใสของตัวเองกับของคนอื่นเป็นคนละอย่าง กายอย่างเดียวกันแต่สัญญาต่างกัน สัญญาไปต่างคนต่างใสคนละอย่าง เพราะนั่งหลับตาไม่มีองค์ประกอบครบพร้อม สร้างนิรมาณกายใส เห็นใส แล้วเป็นไง ก็ใส ก็บอกว่าเหมือนกันกับของคุณ สัมโภคกาย ใช้พยัญชนะว่าใสเหมือนกัน แต่จริงๆต่างคนต่างใส ไม่ได้มีใสเดียวกันหรอก
-
สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค)
สุภะ แปลว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น กิณหะ แปลว่ามืด ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิจะเห็นว่าต้องมืดจึงจะดีน่าได้น่ามี พวกสัมมาทิฏฐิก็เห็นว่ามืดดีอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกัน กายอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกัน แต่มันไม่อย่างเดียวกัน เพราะอันหนึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ อีกอันหนึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ ลึกๆของความแท้แล้วก็ต้องต่างกัน
แต่ผู้ไม่รู้ก็จะยึดความมืด กิณหา หรือกัณหา แปลว่ามืด แล้วก็จะได้ความมืด คนที่สัมมาทิฏฐิก็ได้ความมืด ความดำก็รู้ว่า อ๋อ.. มืดก็คือมืดสิ ดำก็คือดำสิ เป็นลักษณะหนึ่งของความมืดของความดำ แต่ก็รู้ว่าคนใช้ความมืดความดำ ไปใช้กำหนดความไม่มีแสงสว่าง หรือความไม่มีกิเลส ตรงนี้แหละสัมมาทิฏฐิก็รู้ว่า อ๋อ.. ความมืดความดำนี้คือหมาย เอาสภาวะแท้คือไม่มีกิเลส ไม่ใช่เอาความมืดความดำตรงหลับตา ทำความดับความดำไม่มีแสงสว่าง ไม่มีดวงตา ไม่มีความเห็นอะไร มันไม่ใช่อย่างนั้น สัมมาทิฏฐิท่านจะรู้ แต่ว่ามิจฉาทิฏฐิจะหลงผิดไปว่ามืดอย่างนี้แหละ ดำอย่างนี้แหละ น่าได้น่ามีน่าเป็น
น่าได้น่ามีน่าเป็นเหมือนกัน แล้วก็ใช้คำว่ามืด คำว่าดำ กิณหา เหมือนกัน แล้วเขาก็ได้ของเขาเหมือนกัน เหมือนตรงมืดดำเหมือนกัน แต่มืดดำของเขา เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ได้ลดกิเลส (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม …นึกว่าพ่อท่าน พ่อท่านจะไม่ไอเสียอีก
พ่อครูว่า…มันคนที่จะรู้สัตตาวาส 9 จริงๆ คือ พระอรหันต์เป็นต้นไปก็ต้องรู้ว่าสัมมาทิฏฐิเป็นคนพวกหนึ่ง มิจฉาทิฏฐิก็คือคนอีกพวกหนึ่ง
สัตตาวาส 9 ทั้ง 9 อย่างมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นความเป็นสัตว์ทั้งนั้น พระอรหันต์พ้นจากความเป็นสัตว์ทั้งหมด ท่านรู้ทั้งหมดแล้ว ท่านก็ไม่ติดยึดสิ่งเหล่านี้ ไม่เป็นสิ่งเหล่านี้
สัตตาวาส ข้อที่ 4 เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกันตรงที่สัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ แต่เข้าใจภาษาว่ามืดหรือดำ ความมืดหรือดำมิจฉาทิฏฐิ กับความมืดดำของสัมมาทิฏฐิ
มิจฉาทิฏฐิรู้ว่ามืดดำ คือรู้ว่าอย่างนั้นมืดดำแต่เพียงภาษา แล้วทำมืดดำอย่างเป็นโลกีย์ยังไม่เป็นโลกุตระ แต่มืดดำอย่างของพระพุทธเจ้านั้นหมายถึงแสงสว่างที่ดับมืดดำ แต่มืดดำคือมันไม่มีเกิด มืดดำ เป็นภาษาที่สิริมหามายา คือตรงกันข้ามกับสว่าง ภาษาตรงกันข้ามกับมืดดำคือ สว่างขาวรอบสว่างจ้า ภาษาตรงกันข้ามกับสิริมหามายาที่เรียกว่ามืดดำนี่แหละของสัมมาทิฏฐิของพระอรหันต์จึงรู้ว่า พวกนี้ยังไม่เกิดขาวรอบสว่างแจ้ง ยังอยู่ในจุดหนึ่ง
เพราะฉะนั้นเมื่อไม่เข้าใจความมืดความสว่าง ที่มืดสว่าง เป็นภาษาโลกีย์สมมุติ ส่วนภาษาสภาวะธรรมนั้นอธิบายไม่ได้ ความเป็นจริงของสัมมาทิฏฐิคือทั้ง 9 นี้ ต้องพ้นจากความเป็นสัตว์ให้ได้ ถ้าพวกมิจฉาทิฏฐิที่จะต้องวนอยู่ในความเป็นสัตว์ทั้งหมด ทั้ง 9 ชนิด แต่ของสัมมาทิฏฐิจริง เป็นอรหันต์จริง หมดความเป็นสัตว์ทั้งหมดเลยทั้ง 9 ข้อ
เพราะฉะนั้นเมื่อความมืดที่มิจฉาทิฏฐิของชาวพุทธที่ไม่มีสัมมาทิฐิของพระพุทธเจ้าแท้ พอออกไปข้อที่ 5 จึงจบ จบอยู่ที่ข้อที่ 5 คือเป็นอสัญญี สัญญาพิการเลย สัญญาไม่ใช่แค่วิปลาสแต่พิการเลย ไม่มีสัญญา อสัญญีสัตว์ เป็นสัตว์ที่ไม่มีสัญญา คนที่ไม่มีการกำหนดสัญญาแล้วสัญญาใช้ไม่ได้แล้ว สัญญาเสียหายหมดเลย จึงเป็นการกำหนดสัญญาของสัตว์ สัตว์ตัวที่บ้าใหญ่เลยไม่เห็น อากาสานัญจายตนะ ไปเห็นวิญญานัญจายตนะ ไปเห็นความไม่มีต่างๆเป็นวิปลาสไปหมดเลย
เพราะฉะนั้นในความเป็นอรูปฌาน 4
อากาสานัญจายตนะฌาน วิญญานัญจายตนะฌาน อากิญจัญยายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน พวกมิจฉาทิฏฐิที่จะหลงว่าเป็นฌาน แต่ที่จริงมันไม่ใช่ฌาน เป็นฌานหมาก จริงๆแล้วมันเป็นเพียงนิรมาณกาย สัมโภคกาย เป็นอาทิสมานกายทั้งสิ้น ต่างคนต่างสร้างกันไปคนละภพ คนละแดนและภพกัน เหมือนรู้เรื่องกัน สัมโภคกาย แต่แท้จริงเหมือนคนตาบอดหมด คนตาบอดมาแต่กำเนิด ต่างมาชมว่าท้องฟ้าวันนี้สวยจริงหนอ เขาก็บอกว่าจริงหรอวันนี้เมฆเต็มเลย คนตาบอดอีกคนก็บอกว่าเมฆสวยตรงนั้น มีเมฆเป็นรูปหลวงปู่แหวนด้วย มีเมฆเป็นรูปหลวงพ่อสดด้วย เขาเห็นหลวงพ่อสดอยู่บนเมฆเหมือนกัน ต่างคนต่างตาบอดชมท้องฟ้าเหมือนกัน ตาบอดมาแต่กำเนิดชมท้องฟ้ากัน ยิ่งกว่าตาบอดสอดตาเห็นนะ เป็นอย่างนั้น
อรูปฌาน ทั้งหมดไม่มีเลย พวกอวิชชาจบที่อสัญญีทั้งนั้น อรูปฌานของพวกหลับตา ซึ่งเป็นพวกตาบอดชมท้องฟ้า
จริงๆแล้วอรูปฌานของศาสนาพุทธก็เป็นการลืมตาทำ อรูปฌานเป็นการตรวจสอบเหมือนเตวิชโช ตรวจสอบว่ารูปคืออะไร เวทนาคืออะไร สัญญาคืออะไร สังขารคืออะไรวิญญาณคืออะไร ตรวจสอบแล้วลองอ่านปัญญาข้อที่ 8 ด้วย
อวิชชาคืออัตตาโง่
-
อนึ่ง เธอพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ 5 ว่ารูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้ เวทนาเป็นดังนี้ … สัญญาเป็นดังนี้ … สังขารทั้งหลายเป็นดังนี้ … วิญญาณเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ความดับแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 8 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงาม ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ