640407_พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 3 งานปลุกเสกฯครั้งที่ 44
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1PhiNpTJr03VKfSnBvpXooJk-PrQ3sUy8dTr-yjh-N5Y/edit?usp=sharing haring
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1PqlWh1-udtWJob7dpiwBC4c4jc88vwNu/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/WmJz8mAf-Og
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 7 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก เปิดยุคบุญนิยมระดมปัญญาอนัตตา ก็มาต่อ ต่อปัญญาอยู่ ยังไม่ได้ไขอนัตตา มีสู่แดนธรรมเขาแทรกมา ก็ฟังไปก่อน อาตมารับรายงานป้อนมาอยู่เรื่อยๆ
กราบนมัสการครับ พ่อท่านที่เคารพยิ่ง / ปัญญาสูตร ประการที่ ๘ พพจ.ตรัสว่า อนึ่ง เธอพิจารณาตามเห็น (อนุปัสสี) ความเกิดขึ้น (อุทัย) และตามเห็นความเสื่อม (อัพพยา) = (อุทยัพพยานุปัสสี การตามเห็นความเกิดและความเสื่อมลง) ในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่า
รูปเป็นดังนี้ (อิติ รูปสฺส) ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ (สมุทโย) ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้ (อัตถังคโม = ความดับที่ไม่ใช่นิโรธ แต่เป็นความดับที่ยังดับไม่แท้ ดับที่ยังสลับ ตรงข้ามกับการเกิดขึ้น โผล่ขึ้น)
ความเบื้องต้นข้อนี้ เป็นมูลเหตุเพียงพอต่อการ มีรูปมาปรากฏอยู่แท้จริง เพื่อให้ได้พิจารณาวิปัสสนา ก็ถ้าไม่มีเหตุที่จะรับรู้ว่ารูปเป็นดังนี้ (คือ หลับตาเสีย) ก็ย่อมไม่ใช่โอกาสที่จะมีสภาวะแท้จริงปรากฏขึ้นแห่งรูป ดังนั้น เมื่อหลับตาเสียแล้ว จึงป่วยการเปล่าที่จะกล่าวถึง การวิปัสสนาในขั้นต่อไป คือ “ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นไฉน?” ก็จะไม่รู้ว่า มันมีลำดับขั้นของการประจวบเหมาะ ของการรู้“ความเกิดขึ้นแห่งรูป” อย่างไร
ซึ่งในขั้นตอนต่างๆ ต่อไปนี้ ที่จะเกิดขึ้นนั้น ก็ถ้ามัวแต่ไปหลับตาเสีย ไม่มีรูปและนาม มาปรากฏอยู่แท้จริง ก็เมื่อหลับตาแล้วจึงไม่จำเป็นต้องตั้งสติเพื่อพิจารณาลด ละ ด้วยการวิปัสสนา ด้วยปัญญาข้อที่ ๘ นี้แต่อย่างใดเลย
ต่อไปนี้ข้าพเจ้าขอฉายให้รู้อย่างสโลว์โมชั่น ถึง ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นไฉน อันมีอยู่ในคุณสมบัติบางอย่างของปัญญาข้อที่ ๘ ดังนี้ ครับ
๑. รูปจะเกิดขึ้นสู่การรับรู้ได้ อย่างแรกจะต้องมี “จักษุประสาท” ที่แก้วตาจะต้องแจ่มชัด ดวงตาต้องไม่ฝ้าฟาง ไม่หรี่ซึมง่วงนอนหนักมากๆ
๒. มี ”รูป” (สีสันต่างๆ นับเป็นร้อยเรื่องรอบตัวเรา) มาเป็นแขก เพื่อรอเข้าไปพบข้างใน
๓. มีเจ้าหน้าที่รับรู้การขอเข้าพบ (รับรู้ผ่านแก้วตาอันแจ่มชัดนั้น) รู้ว่iา เป็น “รูปอะไร” ก็จะอนุญาตให้ผ่านประตูดวงตาเข้าไปทีละเรื่อง (ส่วนเรื่องรูปอื่นๆ แม้มีอยู่ต่อหน้าอีกนับร้อยรูปก็ตาม แต่สติ ก็จะสแกนคัดเอามาเพียง รูป เรื่องเดียวให้ปรากฏชัดแก่เจ้าหน้าที่) จนท.ผู้รับรู้ด่านแรกนี้ชื่อว่า “จักขุวิญญาณ ทำหน้าที่รู้รูป จากแก้วตาดำส่งมา
๔. เมื่อเจ้าหน้ามีการรับรู้ว่า “รูปอะไร มาปรากฏ” จนท.ก็จะพาไปเดินผ่านเครื่องสแกน และประทับตราอนุญาต “สแต๊มป์” ให้เข้าไปมีบทบาทได้ (ประทับตราคือ สัมผัส เรียกว่า “จักขุสัมผัส”
๕. เมื่อผ่านตราประทับจักขุสัมผัสนี้แล้ว รูปก็จะเดินทางเข้าไปยังด่านสุดท้าย จะเข้าไปหา “กายข้างใน” จะเข้าได้ลึกไปจนถึงอาณาเขตของ “ริมรั้วแห่งความรู้สึก” (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) หรือ ล้ำแดนเข้าไปสู่แดนเวทนา (อันเป็นกายชั้นใน) เวทนาอันใดจะเกิดขึ้นในตอนนี้ ก็จะเกิดจาก สแต๊มป์ ชนิดนั้น ถ้าสแต๊มป์นี้ หรือ จักขุสัมผัสนี้พาให้เกิดสุข ด่านสุดท้ายนี้ก็จะ สุขอันเกิดขึ้นจากผัสสะทางตา เรียกว่า “จักขุสัมผัสสชาเวทนา”
ทั้ง ๕ ลำดับนี้ คือ ที่ซุ่มของกิเลสที่จะโผล่ปรากฏขึ้นในขั้นตอนใด ขั้นตอนหนึ่ง อันจะทำให้ยึดเหนี่ยวเอาไว้ด้วย อุปาทานในรูปขันธ์ ว่า รูปนั่น รูปนี่ เป็นรูปของฉันที่จะชอบ ที่จะพึงพอใจ รูปอาการกิริยายังงั้นฉันจะไม่พึงพอใจ ฯลฯ
เหล่านี้แหละครับ แม้เรานักปฏิบัติธรรม ยังไม่มีความรู้ในบัญญัติที่ว่านี้ หรือยังไม่มีกำลังของสติเพียงพอ ที่จะรู้เท่าทันการเกิดขึ้นของกิเลส ในแต่ละขั้นดังกล่าวมานี้ แต่หากไม่ปิดกั้น “การปรากฏรูป/นามอันเกิดอยู่กับดวงตา คือ ไม่ไปหลับตาเสียแล้ว เราก็ยังมีโอกาสได้รับ ผัสสะเป็นปัจจัยที่แท้จริง เพียงพอต่อการวิปัสสนา ให้เกิดปัญญาขั้นที่ ๘ นี้ นี้แหละที่ พระพุทธเจ้าตรัสสรุปสุดท้ายว่า นี้คือ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาที่ยังไม่ได้ และ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว.
ต่อไป.. จากนี้ พ่อท่านจะอ่าน/หรือไม่อ่านก็ได้ นะครับ
(จากนั้น ขันธ์อื่นที่ตามมาก็พิจารณาเช่นเดียวกันกับ รูปขันธ์ คือ เวทนาเป็นดังนี้ … สัญญาเป็นดังนี้ … / สังขารทั้งหลายเป็นดังนี้ … / วิญญาณเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณเป็นดังนี้ ความดับแห่งวิญญาณเป็นดังนี้)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ ๘ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ และเพื่อความงอกงาม ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
พ่อครูว่า…ฟังไว้เด็กๆ นี่แหละคือผีหลอก อย่าไปกลัวผีที่มาแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกเรา มันไม่ใช่ของจริง มันเป็นอุปาทานมันปั้นรูปมาหลอกตนเอง เห็นด้วยตา ที่เข้าโรงพยาบาลประสาท ที่ตาเห็นรูปอยู่ตลอดเวลา จมูกได้กลิ่นตลอดเวลา หูได้ยินเสียงตลอดเวลา ฯ หมอก็พยายามรักษาอยู่ทางสรีระ แต่ที่จริงเป็นที่จิต 70% รูปพวกนั้นทางสรีระที่หมอรักษาพวกโรคประสาทพวกนี้ ไม่ค่อยได้ผลหรอก ต้องมารักษาทางธรรมจะได้ผลดี ไปรักษาทางประสาทไม่ค่อยได้ผล ซึ่งจะได้บ้างอย่างมากฉีดยาให้ประสาทมันเปลี่ยนๆ ทื่อๆ จนมันปรุงแต่งไม่ถึงรส ไม่ถึงรูปจริงๆ มันก็จางๆ ลงไปประเดี๋ยวจิตที่มันสำคัญผิดจิตมีกิเลสมันก็ขึ้นมาใหม่ ยาก แต่ถ้ามารักษาทางจิตแล้ว หายแล้วหายเลย เพราะพวกนั้นมันเป็นเรื่องหลอก เป็นเรื่องอุปาทาน
สังขยาเลข 7 8 9 ของโพธิสัตว์ในยุคกึ่งพุทธกาล
ทวนปัญญา 8 ประการ
ตั้งแต่ข้อที่ 1 จะต้องยืนยันเลยว่า ความรู้โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้านี้ ไม่มีใครสามารถที่จะเอามาประกาศให้ผู้อื่นรู้ตามได้ ถ้าไม่ใช่มาจากต้นตอคือพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เมื่อมีพระพุทธเจ้าประกาศขึ้น มีผู้รับรู้สืบทอดไป จะตายข้ามชาติก็ตาม ผู้ที่มีของจริงนี้แล้วได้ของจริงนี้ที่ตัวเป็นปัจเจกเป็นปัจจัตตังเป็น สยังอภิญญา ยิ่งเกิดได้ถึงเป็นของตนเป็นสยังอภิญญา ถึงจะเป็นนิยตโพธิสัตว์ ถึงจะเป็นผู้สืบทอดที่เที่ยงแท้ถึงขั้นที่ 7 ขั้นที่ 6 ยังไม่รับรองเต็มที่ แต่ถ้าขั้นที่ 7 นี้ของแท้
3 มาเป็น 4 เพิ่งออกจากวัฏฏะที่ 1 แต่ถ้า 5ชักจะเข้าท่าจะเป็นตัวกึ่งของ 9 คือ 4 4 และ 5 เป็นตัวกลางของ 9 ชักเข้าท่าแล้ว ถ้าหย่อนลงไปก็ไม่ไป ถ้าเพิ่มขึ้นมาก็ไป พอเพิ่มขึ้นมาแล้วก็เป็น 6 เป็น 7 เป็น 8 เป็น 7 นี้แน่ๆแล้ว จะไป 8 ไป 9 พอถึง 9 ก็เต็มเลย พระพุทธเจ้าจึงคือ 9
ขอไขตรงนี้นิดนึง เพื่อพวกเรา
ในหลวงร.9 ของเรานี้ เหมือนกับท่านครบ 9 แล้วแต่ที่จริงท่านยังไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่ท่านไปทำตัว 9 เป็นรูป เสร็จแล้วโพธิรักษ์มาทำตัว 7 เป็นนาม ตัว 7 หรือตัว 9 นี้เป็นหลักกว่ากัน ในขณะนี้ยังเจริญๆอยู่ ยังไม่สมบูรณ์ยังไม่เต็มยังไม่ครบยังไม่เป็นองค์สมบูรณ์ 7 กับ 9 นี้ 9 ถึงก่อน 9 เป็นรูป 7 เป็นนาม จะต้องไปครบ 7 9 จึงจะ 9 7
เพราะตัว 7 นี่คือตัว 9 ตัว 7 นี่คือโพชฌงค์คือการก้าว ตัวที่ต่อจาก 7 คือ 8 คือมรรค ตัว 7 คือตัว 9 ตัว 8 นี้คือตัวเต็ม เต็มสมบูรณ์ก็คือ 9 ตัว 9 คือตัวไม่ไปไม่มา สมบูรณ์แล้ว ตัวปฏิกิริยาคือตัว 7 กับตัว 8
เพราะฉะนั้นผู้ที่เดินรูป 9 ยังจะต้องมาเดิน 7 และเดิน 8 ก่อนถึงจะเป็น 9
ขออภัย หากใครจะใส่ความว่าอาตมาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็ไม่ใช่ อาตมาพูดเป็นวิชาการ
สายเจโตศรัทธาจะอธิบายอย่างอาตมาได้ไม่ชัด แต่แสดงตัวรูปมาก แต่สภาพนามมันซ้อนมาก เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน คัมภีราวภาโส หรือปฏินิสสัคคะ
ปัญญาข้อที่ 1 คือผู้ได้รับความรู้จากพระพุทธเจ้าแล้ว หรือผู้มีสัมมาทิฏฐิอยู่ในฐานะครูเป็นสัตบุรุษ เป็นต้น หรือเป็นผู้มีสัมมาทิฐิของพระพุทธเจ้าบรรยายพูด แม้กระทั่งยังไม่บรรลุทีเดียว แต่ก็ยังยาก ไว้ใจยาก แต่ก็มีได้เหมือนกัน ใช่ไหม ผู้ที่อ่านตามตำราไม่ผิดเพี้ยนเลยซื่อสัตย์เลยก็จะได้ เท่าที่ภูมิของตัวเองมี ส่วนมากจะไม่สามารถวินิจฉัยได้ เอามาอธิบายเป็นอาจาริยวาทเยอะ เป็นการทำให้ศาสนาเสื่อมไป
สงบกายสงบจิตให้ถึงวิโมกข์ 8
ปัญญาข้อที่ 2 เราก็จะต้องขมีขมันไต่ถามศึกษา แต่อย่าไปจู้จี้จุกจิกมากเกินไป ท่านก็บอกว่าเป็นไปตามควร ฝึกฝนศึกษาใส่ใจอยู่อย่างพอ
เหมาะพอดี เราก็จะได้คลายสงสัย บรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการ ท่านก็จะบรรเทาให้เรา เราก็จะเจริญด้วยความรู้แม้จะเริ่มด้วยปริยัติและเอาไปปฏิบัติ แล้วจะเกิดผลของตนเอง เมื่อเกิดผลของตัวเองได้กิเลสก็สงบ
คำว่า กิเลสสงบนี่แหละ มันเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ผู้ที่ไม่รู้ก็ไปเอาร่างกาย ไปเอาตัวข้างนอกสงบ ไม่ได้เอาที่จิต แล้วจิตก็ไม่ใช่จิตที่สงบ แต่คือจิตหยุด จิตนิ่ง จิตแข็งทื่ออีกแหละ
จิตสงบ คือ กิเลสมันตาย จิตสงบ แต่จิตยิ่งคล่องแคล่ว กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา
ความสงบ 2 อย่างคือกายสงบ จิตสงบ แต่ท่านไม่ได้ขยายความไว้เลย ท่านไม่ได้ขยายความกายสงบ จิตสงบคืออย่างไร อาตมาก็ต้องมาขยายความให้ฟังว่า
กายสงบ ไม่ใช่แค่อิริยาบถมันสงบ มันช้ามันนิ่งมันหยุด เราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด พระพุทธเจ้าตรัสกับองคุลีมาล องคุลีมาลก็บอกว่าพระรูปนี้พูดปดต่อหน้าต่อตา เดิน ยังบอกว่าหยุด เดินไปแล้วบอกว่า เราหยุดแล้วแต่เธอยังไม่หยุด เราวิ่งตามอยู่นี่ พระพูดปด หยุดอย่างไร เราวิ่งตามยังไม่ทันเลย …พระพุทธเจ้าตรัสเท่านั้น ที่อาตมาพูดนี้ไม่ใช่ความคิดขององคุลีมาล แต่เป็นความคิดพวกคุณที่ยังไม่รู้ทัน
องคุลีมาลท่านก็มีความคิด พระองค์นี้พูดมีนัยฝังลึกไว้ชอบกล ท่านบอกเราหยุดแล้วแต่เธอสิยังไม่หยุด ก็ท่านเดินแต่ท่านบอกหยุด แล้วหยุดอะไร? ประเด็นนี้ขึ้นมาที่หัว องคุลีมาล เราหยุดแล้วแต่เธอสิยังไม่หยุด ขึ้นที่ปฏิภาณขององคุลีมาลคงจะมีอะไรซับซ้อน ท่านพูดอย่างนี้คงไม่ได้โกหก มันต้องมีอะไรหยุดแน่นอน มันไม่ใช่การเคลื่อนไหว การเดิน การวิ่งการทำอย่างโพธิรักษ์ทำตอนนี้ อะไรวะ เป็นพระอรหันต์อย่างไรอย่างกับลิง
ก็พระอรหันต์ก็คือลิงดีๆนี่เอง นั่นแหละเร็วกว่าลิงเพราะว่าจิตมันเร็วกว่าลิง จิตผู้ที่คล่องแคล่วแล้ว มุทุธาตุ ปาคุญญตา คล่องแคล่วว่องไว มันรอบตัวเลยไม่มีติดมีขัด แล้วมันก็เข้าใจว่าจะต้องแสดงให้เหมาะสมอย่างนี้อย่างนี้เป็นต้น
ถึงซับซ้อนมากเลย กายคืออย่างไร จิตคืออย่างไร ต้องมาแยกให้ชัด กายคือ จะต้องเชื่อมโยงจากข้างนอกเข้ามา ทั้งวัตถุและอะไรที่สัมผัส เสร็จแล้วก็พิจารณาอย่างที่ สู่แดนธรรม ทำให้ละเอียดมา ว่าทีละตัวทีละอัน สัมผัสอันนี้แล้ว
ถ้ารูปก็ทางรูป จมูกก็ทางกลิ่น เสียงก็ทางหู จิตมันเร็ว มีความสามารถทำให้เสร็จ ก็รีบจัดการเมื่อสิ่งที่มาสัมผัสจริง มีสัมผัสจริง ตาสัมผัสรูปข้างนอกจริง รูปีรูปานิปัสสติ ในวิโมกข์ 8
-
ผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ)
-
*ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (๑๐/๖๖) ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี . เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (*พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)
วิจัย ธรรมวิจัย ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ต่างกันอย่างไร
พวกหลับตาปฏิบัติจึงมีบาปมหาศาล เหมือนโจรทำลายศาสนาฉันใดฉันนั้น ผู้ที่พารับตาปฏิบัติ เป็นโจรทำลายศาสนาพระพุทธเจ้า ทำอยู่นั่นแหละซึ่งมันผิดๆ เตือนให้เท่าไหร่ก็ไม่สะดุ้งสะเทือนก็ทำอยู่อย่างนั้นแหละ อาตมาก็ต้องแทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็น แล้วนี่ยังไม่จบ แทงเกือบทุกวันเลย ก็ยังไม่สะดุ้งสะเทือนเท่าไหร่ ไม่เป็นไร แทงต่อ อาตมาไม่ท้อแท้
ถ้าเผื่อว่าข้างนอกกายสัมผัสสัมพันธ์ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จิตก็เตรียมตัวรับต่อรับรู้ถ้าไม่มีจิตมันก็ไม่รู้อะไร จิต 2 คนไม่มีปฏิภาณไหวพริบ ไม่มีเจตสิกสัญญากำหนดให้รู้ร่วม คุณก็นั่งทื่อ รูปสัมผัสอย่างไรก็ทื่อ แต่จิตคุณ สัญญาปรุงแต่งกับอะไรไม่รู้ จิตมันไม่ร่วมให้เลย
แม้เวทนาก็ไม่รู้สึกกับสิ่งที่มากระทบ สัญญา สังขารไม่ร่วม จิตก็ล่องลอยเป็นสัมภเวสีไปปรุงแต่งอยู่กับอะไรที่ไหนไม่รู้ ตาลืมนะ แสงเข้าลูกกะตาของภาพเข้าไปนะ แต่จิตคุณไม่รับ เวทนาไม่รับ สัญญาไม่ทำงาน สังขารไม่ปรุง คุณก็ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น เห็นไหม มันละเอียดลอออย่างนี้
ฉะนั้นต้องออกมาครบ มีสติเต็มร้อยทางกาย มีสติเต็มร้อยทางวาจา มีสติเต็มร้อยทางใจ นี่คือสติสัมโพชฌงค์ สติที่ครบองค์ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า สติที่จะทำการรู้เต็มในโพชฌงค์ข้อที่ 1 สติสัมโพชฌงค์ แล้วก็มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์
ตรงนี้แหละนักวิจัยของโลกเขานึกว่าเป็นนักวิจัย ดีไม่ดีเขาก็มาวิจัย ธรรมะพระพุทธเจ้าด้วยเขาเรียกว่า ธัมมวิจัย คุณไปวิจัยอะไรต่างๆ สารคดีต่างๆ ก็วิจัยไปเยอะแยะ นายแอ๊ดวิจัยเรื่องมัน ทำปริญญาเอกเรื่องมันต่อหรือเปล่านี่ แต่ไม่ใช่ธัมมวิจัยที่เป็นสัมโพชฌงค์
วิจัย ธัมมวิจัย ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์
วิจัย เป็นการวิจัยอะไรทั่วไปในโลก
ธัมมวิจัย เป็นการวิจัยธรรมะพระพุทธเจ้า ด็อกเตอร์ก็ทำกันเยอะแยะแต่ไม่เข้าสัมโพชฌงค์ ไม่มีความรู้ของพระพุทธเจ้า กายยังไม่รู้ แยกกายยังไม่สัมมาทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ ของตัวเองก็ยังไม่รู้เลย เอาแต่บัญญัติของอาจารย์คนนั้นคนนี้มาต่อกันทำความเข้าใจ เสร็จแล้วก็เขียนวิทยานิพนธ์ส่ง ได้เป็นด็อกเตอร์ทางธัมมวิจัย แต่ไม่ใช่สัมโพชฌงค์ มีเยอะ
เพราะฉะนั้น จะมีสัมโพชฌงค์คืออย่างไร แล้วสัมโพชฌงค์นี้คือความรู้ที่เป็นเรียกด้วยศัพท์พยัญชนะว่า ปัญญา
เป็นปัญญา ปัญญาจะเกิด ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ปัญญาผล จะเกิด ปัญญาจะเจริญมาเป็นปัญญาได้มีองค์ 3
ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ นี่คือองค์ 3 กระบวนการที่จะให้เกิดปัญญา
ถ้าคุณไม่มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน คุณไม่สามารถจะทำให้เกิดธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ได้
สัมมาทิฏฐิเป็นประธานในสัมมาทิฏฐิ 10 (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม…พ่อท่านกำลังพูดถึงสามเส้า ให้ปัญญามีอินทรีย์มีกำลังพลังขึ้นมา
พ่อครูว่า…สามข้อหรือสามเส้ากระบวนการ ธัมมวิจัยโพชฌงค์ ความเห็นชอบสัมมาทิฏฐิและองค์แห่งมรรค
องค์แห่งมรรคหมายถึงมรรคทั้ง 8 หมายถึงมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน สัมมาวายามะกับสัมมาสติห้อมล้อมช่วยเหลือสัมมาทิฏฐิ เสร็จแล้วก็ต้องใช้ความพยายามใช้สติ เป็นสัมมาวายามะเป็นสมาธิสติ ที่จะทำสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ นี่เป็นองค์ 5 ของมรรค
สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะให้เป็นสัมมา
มีสัมมาสังกัปปะ ต้องจัดการมิจฉาสังกัปปะ 3
-
กามสังกัปโปหรือกามวิตก
-
พยาปาทวิตก คู่แรกกามกับพยาบาท ผลักและดูด คุณต้องปฏิบัติให้กาม พยาบาทออกหมดก่อน ถึงได้ปฏิบัติภายในเป็นรูปราคะ อรูปราะค (เป็นลักษณะของทั้งกามและพยาบาทนั่นแหละแต่มันเล็กลงไปอีกขั้นหนึ่งเรียกว่า วิหิงสา) ก็ต้องทำให้
-
อวิหิงสา อพยาบาท อกาม(เนกขัมมะ)
จากนั้นก็ไล่ไป มานะ อุธัจจะ อวิชชาสังโยชน์
อยู่ใน การคิด พูดทำ อาชีพ เลี้ยงตน
อาชีพเลี้ยงตนให้พ้นมิจฉาอาชีวะ 5
-
การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง หยาบทุจริตครบเครื่อง
-
การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง หลอกลวงใช้วาทกรรม เล่ห์กล แล้วเลวร้ายกว่ากุหนาอีก หลอกคน ว่าเขาไม่ทำร้ายทางกาย แต่ทางวาจาของเขาเลวร้ายกว่าทางกายอีก หลอกซับซ้อน นี่คือความฉลาดเฉโกที่ทำมาในยุคนี้ เรียกว่าวาทกรรม คอยดู นายจตุพร และอาจารย์ต่างๆ หลบอยู่หลังเด็ก พวกนี้ไม่กล้าโผล่จริงต้องใช้เด็ก มันน่าเกลียดแล้วทำหยาบคาย แต่ห้ามไม่ได้เพราะอวิชชา แล้วเป็นตัวอย่างอันชัดของโลก มันบอกความจริงให้ชัด
ขณะนี้เรื่องร้ายของการเมืองคือลปนา ทั้งโลกเลย ตอนนี้ยิงกันน้อย แต่คารมว่อนเลย เป็นเหตุผลอะไรต่างๆ ใช่โวหารทางสื่อโซเชียลมีเดีย
สู่แดนธรรม…ทุจริตเชิงนโยบาย เป็นลปนาไหมครับ
พ่อครูว่า…หยาบแรงซับซ้อนกินลึกนะ ทีนี้เมื่อกุหนาก็เบาไม่มี ลปนาก็ลด นั่นเรียกว่าเจริญขึ้น ลดไปได้
ยังมีตลบแตลง
-
การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้ มีเล่ซับซ้อนซ่อนเชิง แม้ไม่หยาบเลวถึงอันสอง แต่ก็เหลือเท่าไหร่ ยังจะยืนยันเอาให้ได้ ทั้งที่ไม่ชัดเจนจริงจัง ก็ 50 60 % แม้ไม่หยาบอย่ากุหนา ลปนา แต่ก็ยังหยาบถือว่าเลวร้าย จนหมดความเลวร้าย แต่คุณสะอาดหมดความเลวร้ายแต่มอบตนในทางผิด
-
การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา) เดี๋ยวนี้เห็นนักการเมืองน่าสงสาร บางคนอยู่ดีๆไปทางโน้นอีก ดูสิตลก คนเราน่าสงสารไม่รู้จะทำไง อย่างเรานี่สงสารโยมบัวพร มีลูกชายชื่อดาวดิน ไปนั่นแหละ ออกจากอโศกไป แหม มันเป็นไปอย่างไร จะกลับมาไหมนี่ ตายคาสนามหรือเปล่า ก็น่าสงสารเจ้าบัวพร ก็ยังไม่รู้เขาจะจับสึกหรือไม่ ทางโลกเขาอ่อนแอ ทางเราก็ปล่อยไปคัดออกไปแล้วคืนใบสุทธิมาแล้วก็ไปเย้วๆอยู่อย่างนั้นไม่รู้จะทำไง ก็จะสำนึกเมื่อไหร่ เราบังคับไม่ได้ บอกไม่ได้ว่าจะเป็นไปอย่างไร
พ้นข้อที่ 3 เนมิตตกตา สะอาดแล้วแต่ยังมอบตนกับผู้ที่ยังผิด ต้องดูว่าเราสะอาดบริสุทธิ์แล้วจะไปเป็นทาสคนผิดทำไม เห็นแก่ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ถ้ามันยังอดไม่ได้ทนไม่ได้ยังไม่หมดเกลี้ยงคุณก็ไปตามนั้น แต่คนที่หมดแล้วอยู่ได้ อยู่กับหมู่พร้อมพรั่ง เป็นองค์กรที่ใหญ่ เป็นสาธารณโภคีที่ครบสมบูรณ์ดี ก็มากัน คนที่รู้ก็เป็นไปได้ก็มา หรือแม้แต่เรายังไม่หมดเกลี้ยง มีหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ที่ช่วยขัดเกลา ช่วยทำให้เราสะอาดสะอ้านได้เร็วขึ้น นี่ก็ยิ่งใหญ่ มิตรสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี กัยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก นี้สุดยอด บรรลุข้อ 4 นี้แล้วก็ไม่มอบตนในทางผิดเลย
-
การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา) (พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 275 มหาจัตตารีสกสูตร) อาจจะไม่รุนแรงแต่ก็ยังควักใส่กระเป๋าตัวเองอยู่บ้างอันนี้ก็ต้องเห็นใจเหมือนกัน บางคนก็ยังมีบ้าง มันจะอยู่ไม่รอดไปไม่ไหว ได้ 10 เข้าส่วนกลาง 5 หรือ 6 เหลือ 4 เหลือ 3 เหลือ 2 ได้ 10 ขอ 1 ก็แล้วกันแล้วแต่ ก็เป็นบ้าง
แต่คนที่แน่ใจว่าเราไม่มีปัญหาหรอกแม้แต่อยากได้อันนู้นอันนี้ ไปเบิกส่วนกลางเขาก็ได้ บางทีบางคนก็จีบเจ้าหน้าที่ส่วนกลางไว้ เบิกได้ง่ายหน่อยก็ว่าไป แต่ถ้าไปทำเป็นขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ส่วนที่จะจ่าย เสร็จเลยนะ อะไรก็ไม่ได้ก็รับแต่ของที่เขาออกมาจากส่วนกลางเป็นกลางๆจริงๆ มันก็จะมีปฏิภาณรู้คนเรา ว่าอะไรของเรา
สรุปแล้วบริบูรณ์ได้จะเป็นคนที่ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีการจัยธรรม อย่างระบบของโลกุตระ พระพุทธเจ้า
คำว่า ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มันยิ่งใหญ่ ต้องมีสัมโพชฌงค์
สัมโพชฌงค์คือ องค์แห่งความตรัสรู้โพชฌังคะ องค์ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าต้องมีองค์นี้ประกอบ เพราะฉะนั้นทำวิจัยธรรมดาคุณวิจัยธรรมะ มันไม่มีสัมโพชฌงค์ มันไม่ประกอบด้วยสัมโพชฌงค์ คุณวิจัยได้ธรรมะ แต่มันไม่มีความรู้ระดับสัมโพชฌงค์ หรือความรู้ในระดับโลกุตระ ความรู้ในระดับปัญญา ของพระพุทธเจ้า มันเป็นความรู้ทั่วๆไปเป็นความรู้ เฉโก อาจจะอัจฉริยะในระดับละเอียดลึกซึ้งมากหลาย เป็นพหูสูตโลกๆโลกีย์ได้ ฉลาดสูงสุดได้เป็นพระศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของศาสนาใดศาสนาหนึ่งเชียวนะ แต่เป็นโลกีย์ ไม่ใช่โลกุตระ ศาสนาโลกีย์ศาสนาที่ยังไม่บริบูรณ์ยังไม่รู้จักหน้าตาพระเจ้า ไม่รู้จักแล้วก็แก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิจัย ธรรมะของพระเจ้าไม่ได้ อย่าไปแตะต้องเชียวนะของพระเจ้า
ของพระพุทธเจ้าให้วิจัยเลยไม่เป็นไร ให้วิจัยได้ แต่ของพระเจ้านี้อย่าเชียวนะ พระเจ้าไม่อยู่ไหนหรอก พระเจ้าไม่มีมาเอาพวกที่ควบคุมกฎ เอาตายเลยนะ ใครอย่าไปวิจัยธรรมะพระเจ้า ผู้คุมกฎเอาตายเลยนะ ไม่ได้เลยนะ เพราะอะไรเพราะเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าคือใครพระเจ้าอยู่ที่ไหนพระเจ้าสั่งมา เป็นคำสั่ง ต้องทำตามนี้ อย่าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลง พวกคุณไม่รู้ดีเท่าพระเจ้าหรอก เพราะฉะนั้นต้องกำหนดอย่างนั้นเลยแก้ไม่ได้หรอก คือ ทุกอย่างจะละเอียดอย่างไรก็เป็นหนึ่งอย่างเดียว หนึ่งของพระเจ้า แตกแยกออกไปไม่ได้ วิจัยวิจารณ์ไม่ได้ ทำตามลูกเดียว นี่แหละคือความยังไม่เต็มไม่บริบูรณ์ของศาสนาเทวนิยม ยังไม่เป็นอิสระเสรีภาพสมบูรณ์ ยังไม่กระจ่างแจ้งสมมุติ ยังมีอะไรซ้อนๆแฝงๆ
ที่จริงแล้วความรู้ในธรรมะต่างๆที่ศาสดาทุกพระองค์เอามาประกาศ เป็นความรู้ของพระศาสดาเอง ไม่ใช่ของพระเจ้า แต่เขาไม่รู้ตัวเอง ไม่รู้อัตตาว่า ความรู้อันนี้ของเราหรือเปล่าเขาไม่ได้เรียนรู้การตายการเกิด ได้สั่งสมวิบากจนได้มาเป็นศาสดาศาสนาในศาสนาหนึ่งก็แล้วแต่ ของตนเอง แต่ถ้าไม่รู้ตัวเองไม่รู้อัตตา ไม่มีความมั่นใจ ไม่มีความรู้กับวิบากที่สั่งสมมาอย่างไร ไม่ชัดเจน ฉะนั้นจึงไม่กล้ารับรองความรู้นี้ ว่าเรายิ่งใหญ่ขนาดนี้ตรัสรู้เอง หรือไม่ใช่มั้ง ก็ให้พระเจ้า แล้วคนในลัทธิของพระเจ้าเชื่อว่าพระเจ้านั้นดีที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีใครรู้เท่า ไม่มีใครแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ขึ้นกับเวลา ไม่ขึ้นกับองค์ประกอบ ไม่ขึ้นกับอะไรทั้งนั้นอะไรจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรอันเดียวใช้ตลอดกาลนาน คำสอนนี้ใช้อย่างนี้ไม่ขึ้นกับองค์ประกอบอื่นเลย อันนี้แหละมันถึงผิด โลกเขาเปลี่ยนแปลงแล้วเป็นโลกคนละยุคแล้ว ในยุคนี้เป็นยุคปรมาณู ในยุคพระพุทธเจ้าใช้หอกใช้ดาบแค่นั้น แม้แต่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ แสง สี เสียง แม่เหล็กไฟฟ้า เขาไปทุกอย่างแล้ว เขาไม่ใช้จะไปทำพลังงานจิตเอา เขาเอาเหล็กเป็น 100 ตันเหาะขึ้นบนฟ้าได้เลย ก็จะไม่รู้ยุคสมัยไปงมโข่งอยู่
ทุกวันนี้เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ยกให้ทางวิทยาศาสตร์เขาเถอะ พลังงานทางจิตจะได้เอามาศึกษาโลกุตระธรรมนี้ พวกทางยุโรป อเมริกา ตะวันออกก็ยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้านี้เลิกแล้วอย่างโน้นมาเอาทางจิตวิญญาณนี้ จิตวิญญาณนี่ดีกว่าพลังงานพวกโน้น โดยเฉพาะยิ่งทางพรหมธรรม เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ยิ่งใหญ่กว่าปืน กว่าหอก กว่าปืน กว่าระเบิด คุณธรรมของมนุษย์ที่เกื้อกูลช่วยเหลือกัน อย่าไปโหดร้ายรุนแรงต่อกัน อันนี้วิเศษกว่า
จรณะ 15 ทำให้เกิดปัญญา 8
พระพุทธเจ้าท่านเริ่มต้นด้วยศีล จะได้ปัญญาต้องปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 มีศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 แล้วก็ไล่ไปเป็นพลังงานทางจิตเป็นฌาน 4 ซึ่งมีวิชชา 8 มีปัญญาเป็นยาดำ
ใครสามารถทำให้เกิดฌานได้ ปัญญาก็เกิด เพราะว่าฌานคือตัวปัญญา ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ไหนฌานอยู่ที่นั่น ฌาน ปัญญา ทำคนละหน้าที่ หน้าที่หนึ่ง เป็นตัวตี ตัวทำลายคือฌาน หน้าที่หนึ่ง เป็นตัวรู้คือปัญญา ฌานเป็นตัวเผาทำลายศัตรู ส่วนปัญญาเป็นตัวฉลาดรู้ช่วยกันแยกกันไม่ได้ ฌานกับปัญญาเป็นคู่เทวที่ยิ่งใหญ่
ฌาน คือตัวเผา ตัวไฟ ส่วนปัญญา คือตัวลม
ไฟกับลมก็เป็นคู่กัน
เอ็งไหม้ข้าวิ่ง เอ็งวิ่งข้าไหม้ ไหม้คือไหม้เผา ไม่ใช่ ไม่คือหยุด แต่ให้ไหม้ลามใหญ่เลย คุณทำให้ไฟไหม้แล้วเอาลมเป่ามันก็ยิ่งพัดให้ไฟเผาลามมากยิ่งขึ้น รวมกับไฟช่วยกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
พวกนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญ เมื่อสามารถมีศีล แล้วก็มีอปัณณกปฏิปทา 3 ปฏิบัติไม่ผิด ถ้ามีการรู้ สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ไม่ใช่ไปหลับตา ปิดหูปิดตา แล้วก็มีสิ่งที่กระทบสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีใจรับรู้ทุกทวาร แล้วก็พิจารณาต่อวัตถุ ต่อพืชพันธุ์ธัญญาหาร ต่อสัตว์ หรือต่อคนที่สัมผัสกัน ก็พิจารณา ใช้วิจารณญาณตลอดเวลาในการปฏิบัติโภชเนมัตตัญญุตา ประมาณให้มันได้ส่วนสัด ให้มันได้สิ่งที่ดีที่สุด เป็นกัมมัญญตา
ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ให้ได้อย่างพอเหมาะพอดี กัมมัญญตา อย่างเหมาะอย่างควร ปโหติ อย่างถูกต้องได้สัดส่วน คุณก็ต้องทำวิจัยแล้วก็จะต้องมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิจัยอย่างมีจิตเจตสิกรูปนิพพานพร้อมอ่านอาการ ลิงค นิมิต ตามอุเทส ที่อาตมาอธิบายจับนิมิตจับอาการ ลิงค แตกต่างกัน เกิด 2 สภาพเมื่อไหร่ก็มีความแตกต่างกันเท่านั้น ก็เลือกเอาอันดีอันหนึ่งอันใดจาก 2 ทำทีละคู่เป็นเทวะ สรุปคือ มี 2 ต้องเลือก 1 จะเร็วขึ้นเลยยังมี มุทุภูตธาตุ เอา 1 ดีที่ควรที่เหมาะเสมอ ตามกาละเทศะฐานะ มันจึงเร็วยิ่งกว่าแสงสำหรับจิต ปรุงแต่งเร็วยิ่งกว่า แสงสู้ไม่ได้ ที่ท่านเทียบว่าจิตไวยิ่งกว่าลิง ลิงบางทีมันก็ตกต้นไม้ได้เหมือนกัน มันคว้าไม่ทันตกเอง แต่นี่มันไวยิ่งกว่าลิงอีก แต่ท่านเทียบเหมือนกับลิงจับกิ่งไม้นั้นกิ่งไม้นี้ไป ท่านก็เปรียบเทียบไปอย่างหยาบอย่างละเอียด
สรุปแล้ว ศีลก็ดี อปัณณกปฏิปทา 3 ปฏิบัติให้ถูกต้อง มีครบ มีสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค ตื่น แต่นี่เขาพยายามหลับ ไม่พยายามตื่น ไปหลับตานั้นมันหลับแล้ว พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ลืมตา มีจักษุ มีปัญญาญาณ มีวิชชาแสงสว่าง ต้องรับมีแสงประกอบกันตารับรู้ ถ้ามันไม่มีแสงมันมืดก็มองไม่เห็น ต้องแสงสว่างเต็มที่ แสงสว่างของพระอาทิตย์เลย อาโลก
อาตมาดูโทรทัศน์ สายนั่งหลับตาก็มุ่นอยู่กับอาจารย์ว่ากันไป หลงว่าเป็นอรหันต์เก๊ น่าสงสาร มีพวกคุณยังมีดวงตาเข้าใจรู้แล้วมากันได้ ที่อยู่ข้างนอกก็คงมี มีที่ไม่อยากแสดงตัว ไม่อยากมาส่งเสริมโพธิรักษ์ทำไม เรียกว่าเกลียดตัวกินไข่เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงดีกว่า ไม่ให้มันได้ดีหรอกโพธิรักษ์ มันมาทำให้บัลลังก์ลาภยศสรรเสริญของฉันสั่นสะเทือนอะไรเป็นต้น ก็แล้วแต่ อาตมาก็ไม่ว่าอะไร ขอให้ได้สาระสัจจะก็แล้วกัน ได้เมื่อไหร่ก็ได้
ถ้าคุณได้แล้วก็เมื่อนั้นแหละ ดวงตาคุณเปิดเต็มว่า โพธิรักษ์เป็นโพธิสัตว์ตัวจริง เมื่อนั้นคุณจะละอายอย่างแรงกล้า เมื่อนั้นเกรงกลัวอย่างแรงกล้า เมื่อนั้นคุณจะรักอย่างแรงกล้า คุณจะเคารพอย่างแรงกล้า
อาตมาก็ไม่ได้กังวลอะไรหรอกว่าจะได้หรือไม่ได้อะไรแค่ไหน ทำความจริงอย่างเดียวเลยอาตมา ทุกอย่างจะเป็นเองไปตามคำตรัสของพระพุทธเจ้าทุกอย่างเลย
เมื่อสรุปเข้าเป้าอีกทีว่า โพชฌงค์หรือสัมโพชฌงค์ของพระพุทธเจ้านี่จึงเป็นความรู้ความตรัสรู้ประกอบไปด้วยความตรัสรู้อันยิ่งใหญ่ ที่เป็นเงื่อนไขหลัก คุณจะมีวิจัย คุณจะมีธรธัมมวิจัย แต่มันไม่เป็นธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ก็ไม่ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ปัญญินทรีย์ ไม่ใช่ปัญญาพละ ยังเป็นแค่ เฉโก จะเป็นอัจฉริยะขนาดไหน เก่งที่สุดได้เป็นแค่ศาสดา ทางโลกอาจจะได้เป็นศาสตราจารย์ เป็นทางธรรมะก็ได้เป็นศาสดา เป็นศาสตราจารย์พิเศษ เกียรติคุณ ตั้งกันเข้าไปเยอะแยะ ซึ่งมันไม่ใช่ผู้สำเร็จปัญญา ผู้สำเร็จธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์
อาตมาจะเน้นสรุป วิจัย ธัมมวิจัย ก็ยังเป็นโลกๆ ถ้ายังไม่มีสัมโพชฌงค์ ไม่มีโลกุตระไม่มีปัญญา ไม่ใช่ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เมื่อคืนเทวดาก็มาคุยสำทับกับอาตมา เอาอันนี้ ให้ เอามายืนยันให้พวกเราชัดเจนคำว่า สัมโพชฌงค์ ซึ่งเขายังผิดเพี้ยนกันอยู่ ใช่ไหม
คุณวิจัยกันได้ทั่วโลกทำวิจัยกันเต็มไปหมด แต่ยังไม่เป็นธัมมวิจัย แม้แต่ทำวิจัย มาวิจัยธรรมะพุทธเจ้าเลยนะ ได้ด็อกเตอร์ได้เปรียญ 9 เยอะแยะไป วิจัยธรรมะพระพุทธเจ้าแต่ยังไม่เป็นสัมโพชฌงค์ ยังไม่เป็นโลกุตระ ยังไม่เข้าหาจิต เจตสิก รูป นิพพาน ยังสัมผัสไม่ได้ ยังแยกจิตเจตสิกไม่ได้ โดยเฉพาะเวทนา 108 ยังแยกเวทนา 108 ไม่ได้ ทั้งๆที่พยัญชนะก็ชัดเจน
กายิกเวทนา เจตสิกเวทา เวทนา 2
สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นเวทนา 3
โทมนัส โสมนัส สุขทุกข์ อุเบกขาเป็นเวทนา 5 ความสุขความทุกข์เป็นภายนอกส่วนโทมนัสโสมนัสเป็นภายใน มีทุกขินทรีย์ สุขินทรีย์ โทมนัสินทรีย์ โสมนัสินทรีย์ อุเบกขินทรีย์ คือน้ำหนักความทุกข์สุข ภายใน และภายนอก หมดแล้วก็อุเบกขากลาง ก็ต้องรู้น้ำหนักความหนักเบาหยาบหนา ความมาก ความน้อยของเนื้อหาของโทมนัส ของทุกข์ของสุข จนหมดไม่เหลือก็เป็นอุเบกขา คุณก็ต้องรู้สภาวะอากาศลิงค นิมิต คุณต้องกำหนดหมายทำนิมิตให้รู้เองว่าอันนี้หมายถึงกำหนดถึงอันนี้ให้รู้เอง อาการเท่านี้อย่างนี้คืออย่างนี้ ต้องใช้ตัวเองเป็นผู้ที่ทำทั้งนั้นเลย รู้ทั้งนั้นทำเองทั้งนั้น ได้ผลหรือไม่ได้ผลคุณก็ต้องชัดเจนของคุณเอง คุณไม่ชัดเจนหรือทำบิดเบี้ยวมันก็เพี้ยน แต่ถ้ามันแน่นมันตรงคมชัดลึกเปรี้ยงๆเลย คุณก็เร็วแต่มันบังคับไม่ได้นะก็ต้องพยายามจึงจะได้
สรุปว่าได้แล้วคุณก็จะได้เป็นพหูสูตในข้อที่ 5 จากผลการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาหรือการปฏิบัติศีล อปัณณกปฏิปทา 3 เกิดสัทธรรม 7
ปฏิบัติให้กิเลสมันลดลงสั่งสมลงเป็นพหูสูตเป็นผู้ได้ความรู้มาก ความรู้ไม่ใช่ความรู้โลกียะเป็นความรู้สัมโพชฌงค์ เป็นความรู้ที่ตรัสรู้โดยพระพุทธเจ้า พหูสูต คือ รู้มาก สูต คือรู้ หพุ คือมาก มันยังไม่มากก็ต้องใช้วิริยะสติปัญญาเป็นตัวเสริม ศรัทธา วิริยะ หิริโอตัปปะ พหูสูต
หิริ โอตัปปะกับศรัทธา ทำไมต้องมีหิริโอตัปปะ อยู่ในปัญญา 8 มีหิริแรงกล้า โอตตัปปะแรงกล้า รักอย่างแรงกล้า มันละอาย เราสำนึก เราเคยหลงผิด มารู้ตัวว่าผิดก็รู้สึกละอาย คำว่าหิริโอตตัปปะ เป็น เทวธรรม เป็นธรรมะคุ้มครองโลก ทำให้เจริญ ถ้าไม่มีหิริโอตัปปะ มันก็หน้าด้านทั้งนั้นมันแย่ มันไม่แก้ไขแล้วก็ทำลายโลกอยู่
เพราะฉะนั้นจะต้องมี หิริโอตตัปปะ คุณเองคุณบรรลุธรรมแล้วสำเร็จแล้วได้แล้วคุณก็ไม่ละอาย คุณมีสิ่งที่ดีนั้นแล้ว คนอื่นยังไม่ได้เขาก็ละอาย เราได้แล้วเราก็ไม่ละอายแล้วเรามีแล้วไม่ละอายแล้วโชว์ด้วย แต่อย่าอวดโชว์มากมันน่าหมั่นไส้ แต่อาตมาออกมามาก เขาก็หมั่นไส้ แต่ไม่รู้จะทำไง
-
เธอเป็นพหูสูต ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมากทรงจำไว้ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 5 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
สูต เป็นพหูพจน์ สุตะคือเอกพจน์ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมากทรงจำไว้คล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ เพราะฉะนั้นคุณฟังคุณจำคุณเอามาปฏิบัติแก้ไขจนถึงปฏิเวธแทงตลอดด้วยดี ด้วยทิฏฐิสมบูรณ์แบบเพ็ญแจ้งทั้งหลายในธรรมอันงามในเบื้องต้นท่ามกลางในที่สุดประกาศพรหมจรรย์ ที่สุดแล้วก็ประกาศความบริสุทธิ์พรหมจรรย์ของเราได้ ประกาศไปทั้งพยัญชนะ คำพูดบัญญัติภาษาทั้งสภาวะ ทั้งอัตถะคือเนื้อหา ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ สิ้นเชิง ครบถ้วน เต็ม
เพราะฉะนั้นคุณทำให้เกิดพหูสูตเจริญๆๆ ก็ได้ปัญญาเรื่อยไป
-
เธอย่อมปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม เพื่อความพร้อมมูลแห่งกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 6 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
อะไรที่ดีกว่านี้ยังมีอีก ภิกษุทั้งหลาย กายกรรมวจีกรรมที่ดีกว่านี้ยังมีอีก เราต้องทำเพิ่มเพราะฉะนั้นจิตที่เจริญแล้ว เราก็ต้องมาเรียนรู้กายวาจาอีก เรียนรู้จากไหน อรหันต์เป็นต้น อรหันต์สมบูรณ์แล้วกายวาจาใจของตน เพราะจิตบริสุทธิ์อย่างมีอำนาจ เป็นวสวัตตี ทำให้กายกับวจีของเราออกไปบริสุทธิ์ แต่เราต้องศึกษากายวาจาของคนอื่นๆ อีกเยอะแยะเลย ต่างจากเรา เราต่างจากเขา แต่ละคนก็ของแต่ละคน ละเอียดลออเป็นล้านๆๆ โพธิสัตว์ศึกษาอันนี้ของตัวเองครบบริบูรณ์แล้วจะแสดงท่าทีเหมือนแรงเหมือนหยาบ ก็มีจิตบริสุทธิ์เป็นตัวตั้ง ออกไปดูเหมือนจะ Over หน่อยแรงหน่อยจะมากน้อยก็แล้วแต่ ไม่มีอกุศลจิต พระอรหันต์ท่านไม่มีอกุศลจิตเพราะฉะนั้นอย่าไปเอาผิดท่าน ท่านอาจจะแรง ต้องการให้ได้ ลงทุนลงแรงเมื่อยแล้วจะไปเอาโทษท่านอีก ท่านไม่มีจิตที่ปรารถนาร้าย มีแต่ปรารถนาดีทั้งนั้นเลย
ทำงานเพิ่มขึ้นก็จะได้เจริญเพิ่มยิ่งขึ้นจากที่ตัวเองเต็มแล้วก็ตาม ความเจริญในโลก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าท่านไม่สันโดษในกุศล ขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังไม่สันโดษในกุศลเลย เพราะฉะนั้นพระโพธิสัตว์จะไปสันโดษในกุศลได้อย่างไร ขนาดพระพุทธเจ้าบรรลุสูงสุดก็ยังไม่สันโดษในกุศล กุศลมันจึงไม่มีที่จบ หาที่สุดไม่ได้ แต่ว่าบุญมีจบ บุญนั้นหาที่สุดได้ จบแล้วกิเลสหมดเกลี้ยงสิ้นแล้วไม่เหลืออีกแล้ว จบ แต่กุศลคือคุณงามความดีสิ่งที่เป็นสมมติสัจจะในโลกมีไปเรื่อยๆ คนไปอีกไม่รู้กี่ล้าน แตกต่างกันมากมายก่ายกอง เห็นต่างกันไหมว่ากุศลกับบุญนี้ต่างกันอย่างไร
ปัญญาข้อที่ 7 ใน ปัญญาสูตร
-
อนึ่ง เธอเข้าประชุมสงฆ์ ไม่พูดเรื่องต่างๆ ไม่พูดเรื่องไม่เป็นประโยชน์ ย่อมแสดงธรรมเองบ้าง ย่อมเชื้อเชิญผู้อื่นให้แสดงบ้าง ย่อมไม่ดูหมิ่นการนิ่งอย่างพระอริยเจ้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 7 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ