640405_พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกฯครั้งที่ 44
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1BHx_gsWU7AQyPCJIk_27Opz-Rsme-RIdU-W3LszycJ8/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1eXo8C5ljx0W3QhYDpaMwpvZcqAER-kLn/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/zFH26hfULic
กรรมจำแนกสัตว์
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่ บวร ราชธานีอโศก แรม 8 ค่ำ เดือน 5 ปีฉลู เป็นปีที่กิ่งรัก เขาเกิด อาตมาเกิดปีจอ กิ่งรักเขาเกิดปีฉลู ห่างกัน 4 ปี ก็อายุ 14 ปีแล้วกิ่งรัก เดินต้องใช้ไม้เท้าแล้วก็เป็นไปตามวิบากของใครของมัน กัมมุนาวัตตติโลโก กัมมังสัตเตวิภชัชติ คนเราเป็นไปตามกรรมวิบาก ซึ่งเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ลึกซึ้ง ไม่มีพระศาสดาองค์ใดรู้ได้หรอก เพราะว่ากรรมวิบากเป็นอจินไตย ยากที่จะรู้รายละเอียดของธาตุจิตนิยามที่มันหมุนเวียนวนเวียนใน rebirth เกิดแล้วเกิดอีก เราใช้หนี้กันไปทั้งรักทั้งชัง 16 ปีแห่งความหลัง ทั้งรักทั้งชังอะไรพวกนี้ ทั้งหวานและขมขื่น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
แล้วกรรมก็จำแนกสัตว์ กัมมังสัตเตวิภชัชติ ก็จำแนกเราให้เป็นไปตามแต่ละวิบาก
แล้วกัมมสโกมหิ กรรมเป็นของของตน อันนี้ลึกซึ้งสุดยอดเลย พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีอะไรเป็นของเราหรอก ทุกอย่างเป็นเรื่องเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นเท่านั้น อาศัยกันอยู่ ไม่มีอะไรเป็นของของเรา แต่ท่านก็บอกว่ากรรมเป็นของของเรา เห็นไหมภาวะภาษาสิริมหามายา บอกว่าไม่ใช่ของเราแต่เป็นของเราเราก็ต้องกำหนดรู้ว่าอะไรที่เราใช้คำว่าเป็นของเราอยู่อะไรคือไม่ใช่ของเราแท้ แล้วก็ขึ้นกับกาละ อดีต ปัจจุบัน อนาคต
ผู้ชัดเจนในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ก็อ้ออ กรรมเป็นของของเรา เราทำดีชั่ว ผิดถูก โลกียะหรือโลกุตระ เราทำอย่างไรเป็นอยางนั้น กรรมเป็นอันทำ ไมมีใครไปเบี้ยวไปบิด ไม่ผิดเพี้ยน ไม่ขาดไม่หกตกหล่น ไม่ระเหิดระเหย กรรมเป็นของๆเรา เราต้องรับมรดกของเรา
-
กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน)
-
กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)
-
กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด)
-
กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร)
-
กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 581)
ไปให้ใครรับมรดกกรรมของเราเองไม่ได้ เราต้องรับกรรมของตน ไม่รู้ให้กิเลสแฝงคุณก็โง่ แต่ถ้าคุณชัดเจนให้กิเลสมันไม่มีฤทธิ์หรือให้กิเลสมันหมดออกไปจากตัวเลย ไม่เหลือความเป็นกิเลสแม้แต่นิดนึงเลย นอกจากไม่เหลือแล้ว กิเลสรอหน้าไม่ติดเลย กิเลสอยู่ไกลเลย เข้าเราไม่ติด เพราะมีกัมมันตภาพรังสีมีราศีรังสี กันไว้ เป็นบัฟเฟอร์ เป็นกำแพงหนาใหญ่ด้วย กิเลสเข้าไม่ติดเลย นี่เป็นกำแพงไร้สภาพ มันเห็นไม่ได้ แต่มันมีของมันจริงๆ เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งไม่ได้เห็นด้วยตาเปล่า ไม่ได้คาดคะเนนึกคิดเอาเฉยๆไม่ได้ เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น
กัมมโยนิ กรรมพาเราเป็นไป เราเป็นผู้กำหนดกรรมเอง ไม่ใช่กอดมากำหนดกรรมเรา กอดคือใคร กอดคือพระเจ้า ออกเสียงให้เป็นแบบฝรั่งว่าก็อต จริงแล้วเป็น กอด ก็ God มันก็คือกอด กอดแน่น ตัวข้าใครอย่าแตะ ห้ามแตะเลย ไม่เปลี่ยนแปลงแล้วไม่ต้องเปลี่ยนแปลงแล้วเป็นการหลงยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้นจริงๆ หลงยึดมั่นถือมั่นว่าข้านี่แหละใหญ่ๆ God นี่คือพระพรหมพระเจ้าเดิมทางเอเชีย เขาก็มีพระยะโฮวาห์ อะไรต่างๆนานาก็ไป ทางตะวันออกกลางบ้าง แม้แต่จีนก็มีเยอะ มีฮ่องเต้มีเซียนอะไรอีก เราก็ว่าไปตามภาษาอินเดียภาษาบาลีของเราไป
กัมมปฏิสรโณ กรรมนี่แหละ คือ God แท้ๆสำหรับความจริง คือเราเอง กรรมคืออัตตา อัตภาพ เราคือกรรมคืออัตภาพ อัตภาพหรืออัตตาของเราคือกรรม ซึ่งเราจะต้องกระทำ เป็นตัวกระทำ ถ้าเราเรียนรู้ถึงพยัญชนะ กรรม คือ ก คือกะ กับ มะ มะ บาลี กมม ส่วนสันสกฤษคือ กรรม
ส่วน อัตตา คือ อตต ตัว อ เป็นสระ อ หรือ อะ หรือ อํ
ตัวอักษร 3 ตัว
อตต กับ กมม
อตต คือ static เป็นตัวนิ่ง เป็นกระแส ส่วน กมม คือ dynamic เป็นแรงเคลื่อน เป็นคู่กันมาแต่ไหนแต่ไร เรารู้สภาพสองสิ่งนี้ก็นำมาใช้
ความเป็นอัตตะ พระพุทธเจ้าพิสูจน์สูงสุดแล้ว ที่สุดแล้วเราสามารถใช้การกระทำของเรานี่แหละทำให้ อตต ไม่ต้องอยู่ อ คือไม่ ตต คือตั้ง ตั้งอยู่ 2 ตัว ติดอยู่ ยึดฐานอยู่ อัตตะ
เพราะฉะนั้นถ้าผู้ที่ฉลาดและเจริญมีอารยธรรมเป็นอรหันต์แล้ว อรหัตตะ ไม่ลึกลับในอัตตะแล้ว อรหะคือไม่ลึกลับ ในอัตตะ เพราะฉะนั้นก็ใช้จิตของเรา มม นี่แหละ ทำ กมม ให้เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น มันไม่ใช่ตัวตน อัตตะ ทำให้ไม่ใช่ตัวตนให้เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน
ต้องใช้ปัญญาในการปฏิบัติฝึกฝนอบรม จนมันไม่เป็น อัตตา ไม่ใช่แค่ความนึกคิดความฝันสร้างอนัตตา ไม่ใช่ว่าทุกอย่างก็ไม่มีตัวตน ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป อย่างนั้นมันเป็นตรรกะตามบัญญัติ ตามพยัญชนะที่ท่านสอนมา ก็ได้แค่นั้น ความจริงจะต้องเข้าไปถึงสภาวะเข้าไปถึงเนื้อจริงแท้จริงของจิตเรา ของกิเลสเรา จนกิเลสหมด เมื่อกิเลสหมดจริงๆแล้ว เหลือแต่จิตเจตสิกต่างๆ ผู้รู้จะรู้ว่าจิตเจตสิกนี้อาศัยการเกิดตามหลักปฏิจจสมุปบาท มันไม่ได้มีอะไรเป็นอยู่จริง เป็นแต่อาศัยลำลองอยู่เท่านั้น เราก็อยู่กันอย่างอนุโลมปฏิโลม อยู่กันอย่างเดินไปตามกาละสุดท้ายก็เหลือ กรรม กับ กาละ and continuum สูงสุดเลย ใช้สูตรเดียวกับไอน์สไตน์ Space and time of continuum ของเราใช้ กรรม and time of continuum เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกันที่อันนั้นเป็นรูปธรรม แต่ของเราเป็นนามธรรม เชิญให้มาพิสูจน์ได้ หยิบมาดูสัมผัสความจริงมันเป็นจริง
พวกเราได้เอาธรรมะพระพุทธเจ้านี้มาพัฒนา มาอบรมตน ศึกษาฝึกฝน จนกระทั่งสามารถเกิดความจริงได้ จนเกิดภูมิปัญญา ก็เข้าหาตำราพระพุทธเจ้าเลยก่อน
ปัญญาเราจะได้ไปดับ ชาติ ซึ่งชาติ ปฏิจจสมุปบาทตัวสุดท้าย จากนั้นก็โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ด้วยความไม่รู้อวิชชา คนผู้ไม่ได้ศึกษาก็คือความวนเวียนของ โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ
จริงๆแล้วไม่มีตัวสุขหรือโสมนัสให้คุณเลย มีแต่ตัว โศก ปริเทว(ไม่รู้จักขาดตอนพิรี้พิไรอยู่นั่นแหละ) ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ไม่ได้เคยขาดเป็นจริงเลย อุปายาสะ มันก็ยังต้องหมุนเวียนวน โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ๆๆๆๆ น่าเบื่อ แต่คนไม่รู้ก็ด้านทน จนแข็งหนา ด้านๆๆ จนโอ้โห มาถึงทุกวันนี้ยากสุดยากที่อาตมาสอนธรรมะมันแข็งหนา มันโด้ด้า้น ไม่รู้จะแกะจะแงะกันอย่างไร แต่ก็ยังมีผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อย
สามารถจะเกิดอัญญธาตุ คือธาตุอื่นธาตุใหม่ ที่ยังไม่เคยเกิดมาในโลกียปุถุชน ไม่เคยมี ในโลกทุกโลก โลกทุกใบ ที่มีมวลมนุษยชาติอยู่ ที่เป็นโลกมนุษยชาติเจริญจนถึงขั้นมีโลกุตระธรรม ซึ่งไม่ได้มีมากในมหาจักรวาล เอกภพนี้มีโลกอย่างนี้อยู่ อาตมาบอกตรงๆ ว่าอาตมารู้แต่ตรรกะ อาตมาไม่สามารถที่จะตามไปดูโลกที่ห่างไปไม่รู้กี่ล้านล้านล้านปีแสง ที่มีดวงดาวโลก
โลกเรา อยู่ในจักรวาลน้อยที่มีดาวนพเคราะห์ 9 ดวง เป็นจักรวาลที่เล็กที่สุดแล้ว มีดวงดาว 9 ดวง มีพระอาทิตย์ดวงเดียว โลกอื่นเขามีพระอาทิตย์ดวงเดียว แต่มีจักรวาลน้อยหลายจักรวาลด้วย ยิ่งมีพระอาทิตย์หลายดวงมีจักรวาลน้อย สานกันอยู่อีกเยอะไม่ต้องไปพูดต่อเลย เกินกว่าที่เราจะไปจำเป็นจะต้องรู้ มันอยู่ของมันเป็นธรรมชาติ เป็นเรื่องของจักรวาลเราไม่ต้องไปเกี่ยวหรอก ไปทำอย่างไรกับมันไม่ได้ เราไม่มีฤทธิ์แก้ไขจักรวาลของมันเลย มีแต่พระเจ้าอวดดีว่าเป็นผู้สร้างจักรวาล ท่านทำก็ให้ท่านเก่งไป ท่านทำได้ก็ทำไป เราไม่รับหน้าที่นั้น เรามารับหน้าที่ดูที่คน แม้แต่คนก็เอาที่อาริยบุคคล เอาคนที่สอนได้เป็นเวไนยสัตว์ อเวไนยยะสัตว์ก็ปล่อยไปตามกรรม งานของเราที่เอาเวไนยสัตว์มาสอนมันก็เหนื่อยแสนเหนื่อย ยากแสนยากแล้ว คุณว่าไม่ยากช่างเถอะ แต่อาตมาว่าช่างยาก ใครเห็นว่าอาตมายากบ้าง ก็เข้าใจนะมีคนเห็นใจอยู่ ขันเจอหว่อ เห็นใจเถิดเห็นใจบ้าง
ต้องละอายเกรงกลัวรักและเคารพอย่างแรงกล้า ปัญญาจึงเริ่มเกิด
มาเริ่มต้นดู วันนี้วันที่ 5 แล้ว เดี๋ยวจะไม่หมด 8 ข้อ มันละเลียดอยู่
อาตมาได้ขยายความไปบ้างแล้วว่า อันแรกสุดต้องพบพระศาสดา เอาละ ใครไม่ได้พบพระศาสดา แต่ได้พบสัตบุรุษ หรือได้พบผู้ที่อยู่ในฐานะครู ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู คืออะไร
คือผู้ที่มี อัญญธาตุแล้ว มีปัญญาแล้ว อัญญะ เป็นเอกพจน์ส่วน อัญญา เป็นพหูพจน์เป็นธาตุใหม่ธาตุแรก ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้กับอัญญาโกณฑัญญะ พระสงฆ์องค์แรกของศาสนาสมณโคดม เป็นคนคนแรกที่มีธาตุอื่นตัวใหม่ที่ต่างจากโลกียะ เริ่มเข้าสู่กระแสโลกุตระ โกณฑัญญะเป็นคนแรกที่รับได้และเกิดในจิต
เมื่อพระพุทธเจ้าท่านเทศน์กันฑ์แรก ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อัญญาโกณฑัญญะเกิดอัญญธาตุตัวนั้นขึ้นมา พระพุทธเจ้าก็อุทานว่า อัญญาสิ วตโภ โกณฑัญโญ ธาตุความรู้ตัวนี้เกิดขึ้นแล้วใน อัญญาโกณฑัญญะ เป็นความเจริญ โพธิ์คือความเจริญ วต คือวนเวียน เกิดขึ้นได้แล้วหนอ เกิดขึ้นได้ เกิดขึ้นได้ โอ้โห..
ถ้าเราเป็นพระพุทธเจ้าตามประสาเรานะ ไม่ใช่ตามประสาพระพุทธเจ้า ก็คงจะตื่นเต้น ของที่เราว่ามันสุดยอดแล้วนะ มีคนจะไม่รู้ได้ง่ายๆนะ นี่เอามาโชว์ คนก็รู้ได้ว่าอันนี้หรือ มันจะดีใจขนาดไหนว่ามีคนรู้ได้ แหม โลกนี้นี่ มีหวังๆๆ ไอ้หวังไม่ตายแน่ สิริมหามายานะ ผู้ที่บอกว่า ไอ้หวังตายแน่ก็อีกอย่างนึง ตอนนี้มาพูดไอ้หวังไม่ตายแน่ ก็สิริมหามายา
สู่แดนธรรม…พระองค์ตอนแรกก็ทรงพอพระทัยว่าไม่มีใครจะรู้ได้เลยแต่เมื่อเดินทางไปหาปัญจวัคคีย์ก็เพราะว่าคุ้มแน่มีคนรับได้
พ่อครูว่า…ซึ่งมันคุ้มแสนคุ้ม เมื่อตรัสรู้แล้วเอามาเปิดเผยก็มีคนรับได้ ท่านก็มีพระทัยสอนต่อ สอนอนัตตลักขณสูตร อีกกัณฑ์หนึ่ง โกณฑัญญะเป็นอรหันต์เลย อีก 5พราหมณ์ ก็เป็นอาริยะขึ้นมา เริ่มต้น 5 รูปแรกที่เป็นอาริยของพระพุทธเจ้า เริ่มต้นเลข 5 แล้วก็เริ่มต้นพากันไป เป็นเลข 6 พากันเผยแพร่ พากันทำงาน
ทีนี้ในปัญญาข้อที่ 1 ประเด็นที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่าความรู้กฎอะไรไม่มีใครมีสิทธิ์จะรู้ได้เลย ในมหาจักรวาลนี้ นอกจากจะเป็นสายตระกูลของพระพุทธเจ้ามาเท่านั้นสืบทอดมาตั้งแต่ปางบรรพ์ยังไม่รู้ด้วยว่าองค์แรกพระพุทธเจ้าคือองค์ไหน แม้แต่พระสมณโคดมก็ตอบไม่ได้ เราไม่รู้ที่ต้น แต่เรารู้ที่ปลายที่จบสุดได้ เธอไม่ต้องไปตามหาหรอก ที่ต้น แม้ที่สุดโลหิตตัส จะไปตามหาที่ต้นของดินน้ำไฟลม หรือความสิ้นสุดของดินน้ำไฟลม มันอยู่ที่ไหน ก็เหมือนกับไปตามหาว่าพระพุทธเจ้าองค์แรกเกิดเมื่อไหร่ที่ไหน เหมือนกัน ไปตามหาดินน้ำไฟลม จะตั้งไว้อยู่ที่ไหน แล้วจะไม่ให้มีจักรวาลไม่มีอะไรเลยในมหาเอกภพนี้หรือ คิดไปทำไม ถ้าตัวเองก็ไม่มีมหาจักรวาลก็ไม่มีสัตว์ใดในโลก ก็ไม่มีเรา ก็ไม่มีอยู่ในมหาจักรวาล แล้วจะเป็นทุกข์อะไร ถ้าใครสามารถลบล้างเอกภพ ล้มล้างมหาจักรวาลได้ เราก็ถูกล้มล้างไปด้วย เรียกว่าไม่ต้องลงแรงทำนิพพานเลยมีคนทำให้เสร็จเลยเขาลบล้างเอกภพมหาจักรวาลไปให้เลยมันก็หมดทุกอย่าง มีแต่ความว่างเปล่า 0 เพราะโดยจริงแล้ว ถ้ามันมีแต่ความสูงและพวกคุณจะเกิดมาได้อย่างไร
สู่แดนธรรม…สัตว์โลกทั้งหลายที่แสวงหาที่เกิดทุกข์จะทุกข์มากเลย
พ่อครูว่า…ใครมาทำลายมหาจักรวาลเอกภพนี้ไปแล้วแล้วพวกสัตว์โลกทั้งหลาย ก็จะบอกว่าเคยมาทำอะไรไม่ได้หรอก มหาจักรวาลเอกภพนี้ก็เป็นไปตามธรรมชาติของสิ่งที่มันเป็นไป จะไปทำลายทุกอย่างไม่ให้มีอากาศ ไม่มีเนบิวล่า Bigbang Galaxy ไม่มีจักรวาลน้อยใหญ่มันจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก็สุดความคิดอย่าไปคิดในสิ่งที่หาที่สุดไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่หาที่สุดไม่ได้ อยู่ในอันตคาหิกทิฏฐิ10
ก็มาเข้าสู่สิ่งที่เราควรเรียนให้จบ ก็คือ คำสอนพระพุทธเจ้าเท่านั้นแล้วก็ทำให้จบ ผู้ที่จบอรหันต์แล้วจึงไม่มีปัญหาอะไรอีกเลยจริงๆ จะต่อก็ต่อได้เป็นอมตะบุคคล จะไม่ต่อจะจบก็จบได้ อยากจะจบเมื่อไหร่เมื่อใดเท่าไหร่เท่าไหน อยู่ที่ตัวเราเองทั้งสิ้น เราทำเองทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอันนี้จึงมาหักล้างความจริงว่าอัตภาพหรืออัตตา ที่มันได้อัตภาพมา จิตนิยามของสัตว์โลกตั้งแต่เซลล์เดียวไปจนกระทั่งถึงมาเป็นมนุษย์ จนกระทั่งถึงเวไนยสัตว์ สามารถที่จะสลายอัตตาได้ เดรัจฉานไม่รู้เรื่องมันสลายไม่ได้ มาเป็น อเวไนยสัตว์มันก็ยังไม่ได้ จนมาเป็นเวไนยสัตว์ถึงขั้นจบเป็นอรหันต์ก็จึงจะสลายได้
อยากจะต่อภพต่อภูมิไปอีกเป็นโพธิสัตว์อย่างที่อาตมารู้และทำ ใครจะแกล้งฉลาดแกล้งรู้เหมือนอาตมาก็แกล้งเอาสิ ไม่ว่ากัน แกล้งได้ก็แกล้งไป แต่อาตมามันแกล้งได้ก็ดีเหมือนกันมันรู้เท่าที่รู้นั่นแหละเอามาเปิดเผย อาตมาไม่ได้ออมมือไม่ได้อ่อนข้อ อาตมาเปิดเผยให้พวกเราเอาไปสืบทอดเอาไปศึกษากันต่อตามฐานานุรูปฐานะ ใครทำได้เท่าไหร่ก็เอาระวังตัวเองเท่านั้นแหละอย่าไปเกินตัว เราไม่ใช่ช้างขี้อย่างช้างอย่าไปขี้ตามช้าง เราช้างน้อยเอาแต่ขี้ก้อนน้อยๆ ไปขี้ก้อนใหญ่ๆเหมือนช้างใหญ่เขาไม่ได้ หรือพระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบว่าช้างสูง 7 ศอกว่ายอยู่ในห้วงน้ำ เราก็ต้องได้แค่ไม่ถึง 7 ศอกเอาแค่ช้าง 3 ศอกศอก 5 ศอก ช้าง 7 ศอกก็ว่ายในห้วงน้ำลึกได้ เราช้างแค่ 2 ศอก 3 ศอก เราก็ว่ายอยู่ในฐานะของเรา
คำว่า ละอายอย่างแรงกล้า ก็ขยายไปแล้ว เกรงกลัวอย่างแรงกล้า รักอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้า แรงกล้าท่านใช้คำว่า ติปปัง หรือติพพัง
ความละอาย ความเกรงกลัว หิโรตัปปัง ความรักใช้ เปมัง เคารพใช้ คารโว
คนที่พบสัตบุรุษ อาตมาก็เคยอธิบายมาแล้ว มันพบ ด้วยจิตที่เปิด จิตมันหมดตัว หมดอคติ หมดตัวตน หมดการยึด หมดมานะอัตตา หมด อ๋อ.. ปัญญามันเปิดเต็ม ท่านผู้นี้ เป็นสัตบุรุษจริง ท่านผู้นี้เป็นผู้รู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าจริง เป็นผู้ที่อยู่ในฐานะจะมาสืบทอด จะมาช่วยศาสนาพระพุทธเจ้า ต่อเชื้อเอาไว้อย่างแท้จริง ปัญญารู้ ความเข้าใจ ความฉลาดมันเห็นจริงๆเลย แล้วยิ่งมานึกถึงตัวเอง ผู้ใดก็ตาม ที่นึกถึงตัวเองแต่ก่อนเราเคยดูถูกดูแคลนคนนี้ เราดูถูกประมาทเขา ย่ำยีด้วย ได้ลงมือย่ำยีด้วย ว่าเป็นผู้ผิด แต่แท้ๆบัดนี้ ท่านถูก เราผิดต่างหาก ท่านเป็นพระราชา เราเป็นโจร มันจะสำนึกเลย มันตรงกันข้ามกันคนละขั้วคนละอย่าง พอสุดท้ายแล้วมันก็หักลำคนละอย่าง มันมี 2 เท่านั้น ใครผิดใครถูก อ๋อ.. สรุปแล้วเราผิด ท่านถูก ผู้ที่รู้ตัวสำนึกจริงๆนี้จะละอายจริงๆเลย ละอายจริงๆเลย
เพราะฉะนั้นความละอายอย่างแรงกล้านี้มันเป็นภาษาพูดง่ายๆ มันเกิดอาการละอายอย่างแรงกล้าเองนะ ไม่มีใครเติมใส่ให้ มันรู้สึกเอง ความรู้สึกหิริโอตัปปะนี้จึงยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เป็น สัทธรรม 7 มี ศรัทธา หิริ โอตัปปะ พหูสูต ส่วน วิริยะ สติ ปัญญา เป็นกองเชียร์ กองหนุน
วิริยะเข้าไป สติดีๆ ปัญญาให้เกิด
ศรัทธา หิริโอตัปปะ พหูสูต ผู้เจริญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆคือพหูสูต เมื่อคุณสามารถเห็นจริงเข้าใจศรัทธานี้คือเข้าใจ เชื่อถือ มีความฉลาด มีความรู้ มีปัญญาชัดเจนจริงขึ้นมา ศรัทธามีตัวจริง ศรัทธานี้เป็นความถูกต้องจริงเป็นศรัทธาที่บริบูรณ์ เมื่อศรัทธาบริบูรณ์คุณก็จะละอายหิริโอตัปปะ ไม่ว่าในจุดใดเลย
วิปัสสนาญาณกับมโนมยิทธิคู่นิ่งกับวิ่ง
อาตมาสอนมาตั้งแต่ ศีล อปันกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 แล้วจะสังเคราะห์ขึ้นมาเป็น ฌาน 1 2 3 4 ตามจรณะ 15 โดยมีวิชชา 8 วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี เจโตปริยญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ
วิปัสสนาญาณ เป็น dynamic ส่วน มโนมยิทธิ เป็น static หรือจะให้มโนมยิทธิเป็น dynamic ส่วน วิปัสสนาญาณเป็น static ก็ได้ ไม่ติดยึด ผู้แสดงธรรมจะพลิกไปพลิกมาหน้าไหนนั้นไม่มีปัญหา ตอนนี้ท่านเอามโนมยิทธิ ตอนนี้ท่านเอาวิปัสสนา เราแม่นประเด็นหมด ว่า สาระแท้ของวิปัสสนาเป็นอย่างไร สาระแท้ของมโนมยิทธิเป็นอย่างไร
วิปัสสนาจริงๆแล้วคือความรู้ความเห็นแจ้ง มโนมยิทธิคือจิตที่สามารถทำสำเร็จ เป็นตัวทำสำเร็จ เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำได้สำเร็จก็คือผู้ที่เกิดวิปัสสนา ผู้ที่วิปัสสนาได้ก็เอาไปทำสำเร็จเมื่อทำสำเร็จแล้วก็เป็นสภาวะ เมื่อเป็นสภาวะแล้วจะพลิกเอาตัวไหนมาเรียก
จริงๆจะเรียกว่าวิปัสสนามาก่อนหรือมโนมยิทธิมาก่อน สายเจโตจะเป็นมโนมยิทธิก่อน สายปัญญาจะวิปัสสนาก่อน จะรู้เห็นก่อนชัดเจนก่อนวิปัสสนา แล้วจึงทำมโนมยิทธิ ส่วนสายเจโตนั้นทำก่อน โดยปัญญามันลึกๆๆ ไม่ค่อยรู้ตัว สัญญาเป็นตัวนำ ไม่ใช่ปัญญาเป็นตัวนำ สายเจโตนี่สัญญาเป็นตัวนำ ลึก ไม่ค่อยรู้ตัว พอทำได้แล้วค่อยมารู้ทีหลัง
ทีนี้ ปัญญาเป็นตัวแจ้ง ส่วนเจโตเป็นตัวที่มืด มันจึงรู้ช้ากว่าปัญญา ก็เป็นธรรมชาติธรรมดา สิ่งที่มีแสงก็ต้องเห็นก่อน ปัสสะ คือเห็นชัด ส่วนมโนมยิทธิ มโน มนะ จิตกับไม่ ม คือจิต น คือไม่ มโน มนูญ มนัส ใช้พยัญชนะผันไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นจิตเมื่อสามารถทำได้ ต้องอาศัยกันขาดกันไม่ได้ 2 สภาวะนี้ ปัญญากับเจโต ขาดกันไม่ได้ แน่นอนที่สุดแห่งที่สุดแล้ว ตระกูลปัญญากับตระกูลเจโต ก็ต้องชัด เป็นสัทธานุสารีกับธัมมานุสารี แน่นอน ก็ขอจบตรงที่ สัทธานุสารี กับธัมมานุสารี ยังจะไม่ลงลึกไปตรงนั้นต่อ ถ้าลงลึกไปจะเข้าไปถึงบุคคล 7 อีก แล้วจะยาว
สู่แดนธรรม…คำว่า เพื่อนสหพรหมจรรย์ ผู้ที่ตั้งอยู่ในฐานะครู
พ่อครูว่า…ตั้งแต่สมมติครู ไปถึงกัลยาณครู สมมติคือ ได้กำหนดตั้งตำแหน่งขึ้นมาเป็นครูเท่านั้น ที่จริงอาจจะรู้ผิดมากกว่าถูกก็ได้เป็นครู จนกระทั่งเป็นครูที่จัดเข้าระบบ เรียกว่ากัลยาณครู จากที่เป็นครูแต่งตั้งเฉยๆก็มาเป็นครูที่รู้ตัวถูกตัวผิด ตัวดีตัวชั่ว กัลยาณ ดี รู้ดีรู้ชั่วมันแค่โลกียะ กระทั่งเป็นโลกียะก็เป็นกัลยาณชนรู้แค่ดีชั่ว เป็นโลกของปุถุชนโลกีย์เท่านั้น
พอมาเป็นอาริยชน ขออภัยไม่พูดอารยะหรืออริยะนะ ขอละไว้ไม่อธิบาย ซึ่งอาริยชน หรืออาริยบุคคล เป็นผู้ที่เข้าใจโลกุตรธรรม มีอัญญามีปัญญาแล้ว จึงได้ถือว่าเป็นผู้อยู่ในฐานะครู เป็นครูอาริยะ เป็นครูโลกุตระ ถ้าจะกำหนดก็กำหนดลงไปอย่างนั้นเลย ไม่ใช่ครูแค่กัลยาณะ หรือครูที่แต่งตั้งกันเฉยๆผิดบ้างถูกบ้างผิดมากกว่าถูกอีก ซึ่งครูอย่างนี้มีเยอะแยะไปอยู่ในสายพุทธนี้ก็มีเยอะแยะไป
ครูที่เป็นอาริยะจริงๆ ยิ่งเป็นครูในระดับที่เป็นเอง เป็นสัตบุรุษ เป็นคนที่มี สัตตะ มีหลัก 7 อันนี้ก็เป็นอจินไตย เป็นตัวเลข ตัวที่ออกจากโลก 2 โลกของ 6 แล้วไปเป็นตัวที่ 7 ซึ่งจะไปสู่โลกอีกโลกหนึ่งจะเป็นโลกที่ 3 จะเป็น 3 3 3 คือ 9 ซึ่งถือว่าสูงสุด ถ้าเลย 9 จะไปเป็น 0 แล้วก็ถือว่าเกินปัญญา เกินปัญหา ถ้าเลย 9 ไปแล้วจะไปซักอะไรต่อ อธิบาย0 หน่อยสิ ก็บอกว่าเธอถามเกินปัญหาไปแล้ว จะรู้โดยปริยาย ผู้ที่ถึงฐานะ 0 เอง
ผู้ที่จบฐานะ 9 จาก 9ไปเป็นสิ่งที่รู้เองเป็นเอง เป็นเจ้าของหมดเลย ผู้ที่จบ 9 เข้าไปหากระแส 0 ซึ่ง 0 คือ infinity อย่าไปพูดกับท่าน ท่านจะต่อของท่าน เราทำความเข้าใจอยู่ในกรอบของ 9 นี้ดีแล้ว กรอบของความมีคือ 9 ส่วน 0 คือความไม่มีกรอบ หาที่สุดไม่ได้ แต่เราสมมุติกันว่ามีขีด 0 เท่านั้นเอง ซึ่งมันเป็นเพียงภาพลวงของโลกเท่านั้นเอง เป็นการอาศัยสมมุติขึ้นมาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น 0 เป็นสมมุติ ขีดขึ้นมาให้เข้าใจเท่านั้น โดยประมาทด้วยความรู้แล้วจาก 0 ไปเป็น Infinity ตามฐานะของแต่ละบุคคล ไม่ต้องไปพูดว่าท่านจะมีปฏิภาณ โดยปริยายรู้ตามฐานะ ท่านจะไม่มีมานะอัตตา ไม่มีอคติ ท่านจะเป็นจริงตามจริงไปเลย พวกนี้ไม่ต้องห่วงท่านหรอกพวกที่ท่านเจริญเลย 9 ไปแล้ว ไม่ต้องไปกังวล
สรุปลงตรงนี้ก่อน ว่า ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่าเบื่อ
ว่า ธรรมะ โลกุตรธรรมนั้น มันเกิดเองไม่ได้ในคนที่ไม่มีธาตุรู้ตัว อัญญธาตุ เกิดไม่ได้ต้องมาเริ่มรู้อัญญธาตุ จะรู้ได้ก็ต้องมาพบสัตบุรุษ มาพบแล้วก็ต้องมานั่งเข้าใกล้ซักถามตามข้อที่ 2 ไต่ถามเข้าไปหาท่าน แล้วไต่ถามเป็นครั้งคราว
2.เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 2 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
พ่อครูว่า…เมื่อคุณพบสัตบุรุษ ตามในอวิชชาสูตร เมื่อพบสัตบุรุษแล้ว คุณต้องพยายามเป็นครั้งคราว อย่าไปมากเกิน ไปนั่งเฝ้า ไปถามจู้จี้จุกจิก มันมากไป เป็นครั้งคราวตามควร แล้วไปถามท่าน อันที่เป็นปัญหายังสงสัย จะได้คลายปัญหาได้ ท่านจะคลายปัญหาให้ ไปถามแล้วถามอีกให้บริบูรณ์ เมื่อพบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ คือตัวสัตบุรุษนั้นท่านบริบูรณ์ ต้องเข้าไปพบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ คำว่าบริบูรณ์นี้คือเต็มรอบ เท่าที่เราจะทำได้ เหตุปัจจัยไม่เท่ากัน
อย่างพวกคุณจะเข้าพบอาตมาให้มากกว่าคนนี้คนนี้ไม่ได้ มันก็ได้ตามฐานานุฐานะอย่างนี้เป็นการเสมอสมานตามละเอียดในนี้ ตามควร เราได้เท่าไหร่ก็ถือว่าเป็นโชคของเราแล้ว ก็ได้ไปตามเรื่อง ยังไม่ได้ก็ไม่ใช่โชคของเราหนอ เราก็พากเพียรไปถึงวาระเป็นไปได้เองเหตุปัจจัยครบก็เป็นโชคของเรา เราก็เป็นไปตามฐานะเลื่อนไป
เมื่อพบสัตบุรุษได้บริบูรณ์ ได้ถามได้อย่างบริบูรณ์ ก็ได้ทราบ ได้ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ อวิชชาสูตร จากนั้นศรัทธาที่บริบูรณ์ก็จะเกิด ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าทั้งนั้น
เมื่อศรัทธาที่บริบูรณ์เกิด คุณก็จะมีโยนิโสมนสิการที่บริบูรณ์ ตัวนี้แหละ ย้ำแล้วย้ำอีกไขแล้วไขอีก เปิดแล้วเปิดอีก กระแทกกระทุ้งแล้วอีก สำหรับคนที่มันยังดื้อด้านดึงดัน เพราะว่าศรัทธาเขายังไม่บริบูรณ์ เพราะว่าฟังสัทธรรมยังไม่ได้สัทธรรมที่บริบูรณ์ เขาไม่เข้าพบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ เขาไม่เชื่อว่าจะเป็นสัตบุรุษจริงด้วย อย่าว่าแต่เข้าพบสัตบุรุษที่บริบูรณ์เลยเขายังไม่เชื่อเลยว่าจะเป็นสัตบุรุษ อันนี้แหละ พูดแล้ว อาตมาอยู่ในฐานะนี้ ในอยู่ในยุคนี้ ปางนี้ มาอย่างหมากลางตลาด ชาตินี้มาอย่างหมากลางตลาด ที่รอดตัวไม่มีแผลเหวะหวะ ถูกปังตอเขา ไม่ถูกน้ำร้อนลวก ไม่ถูกตีนถูกเท้าเขามา รอดตัวมาขนาดนี้ อย่างน้อยก็ถูกแก๊สน้ำตา โอ้โห.. มันแสบน่าดูเลย เอาถุงพลาสติกคลุมหัวมา มันก็เลยอบอยู่ในนั้นใหญ่เลยแทนที่มันจะละลายหายไปในอากาศ ที่จริงจะเอามากัน แต่มันเข้าไปแล้ว ก็เลยอบอยู่ในนั้น ก็รีบถอดออกมา แล้วก็ไปล้างน้ำกัน ก็ผ่านไป
ในชาตินี้อาตมาเคยบอกหลายที อาตมาไม่เคยโดนตีนใครถีบใครเตะใคร ชกเอา ไม่เคยมี ไม่เคยได้รับ ก็มาได้รับแก๊สน้ำตานี่แหละหนักสุดในชีวิต ส่วนรถมอเตอร์ไซค์เป็นวิบากอีกอย่าง แรงซึ่งมันไม่เจตนา แต่พวกนี้จะน่าจะฆ่ากัน มันคนละฐาน ขนาดเราถือไมโครโฟน 2 ตัวอยู่บนเวที ไม่ต้องใช้ Sniper เลย มันใช้ปืนอะไรยิงก็ได้เป้าเบ้อเร่ออยู่กลางเวที จะไปรอดหรือไม่เหลือหรอก หากเขาจะยิงจริงๆ แต่นี่ไม่มีใครยิง มันก็เป็นบารมี เป็นกำแพงไร้สภาพที่มาช่วย ไม่ได้ท้าทาย ไม่ได้พูดยียวน แต่มันเป็นไปจริงๆ เรียกว่าหนังจบไปแล้วจะไปสร้างอย่างเก่า มันจะน่าเบื่อนะ
สิ่งที่เป็นจริงเหล่านี้ รอดตัวมาจนกระทั่งถึงวันนี้ มันมีหลักฐานต่างๆยืนยันมาให้เห็น อาตมาก็ขยายความหลายทีแล้วว่า ผู้ที่ท่านไม่ยอมรับอาตมาเป็นสัตบุรุษ ขออภัยที่พูดไปยืนยันตัวเองว่าเป็นสัตบุรุษ เป็นโพธิสัตว์ ระดับ 7 คือ สัตตะ-บุรุษ ไม่รู้จะยืนยันอย่างไรอีก ทั้งพยัญชนะ ทั้งพฤติกรรมจริง ตัวตนบุคคลเราเขาจริงๆ มียืนยันหมดทุกอย่าง ผู้ที่เป็นคนกลางศึกษาจะเห็นชัดเจน
ส่วนตัวคู่แย้งอาตมาก็ไม่เป็นไร ก็เห็นใจท่านนะ กว่าท่านจะไม่ยอมรับได้ นอกจากท่านจะยอมรับแล้วมันยังมีอะไรเป็นชะนัก ท่านยังมีตำแหน่งมีหน้าที่ ท่านมีอะไรที่โลกยอมรับอยู่แล้วจะมาให้ยอมรับโพธิรักษ์ว่าถูกกว่าท่าน จะเหลือตัวตนหรือนี่ ท่านกลัวจะหมดตัวตน ถ้าท่านยอมรับต่อสาธารณะว่าใช่โพธิรักษ์ถูกอาตมาเองผิด โอ้โห..ตัวตนท่านหมดเลยนะ แต่ท่านจะกล้าทำให้ตัวตนทั้งหมดหรือไม่ นึกถึงจิตไหม ว่าจิตตัวนี้ของใคร จะกล้าทำให้ตัวตนเราหมดไหม ถ้าเป็นคุณคุณจะกล้าไหม …(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
พ่อครูว่า… อาตมามีน้ำใจเผื่อแผ่เผื่อว่าท่านจะคลายใจถ้าหากท่านคลายใจโลกนี้จะสว่างวาบ เป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม…วันนี้พ่อท่านมาสอน ปัญญาอย่างไรถึงอนัตตา ผู้รู้ทั่วไปจะสอนอนัตตาก่อนส่วนพ่อครูสอนอนัตตาคือหมดตัวตนเป็นขั้นสุดท้าย โดยสอนปัญญาก่อน
พ่อครูว่า…ก็เข้าสู่ข้อที่ 2. ต้องไถ่ถามเสมอ อย่างพวกเราตื่นนอนมายังไม่ทันเช็ดหน้าก็มาแล้ว ก็น่าชื่นใจที่ขยันวิริยะหาความรู้ ครูก็มีน้ำใจ ดีใจ นักเรียนอยากรู้ เห็นที่เรารู้มีค่า เห็นสิ่งที่เรามี เขาอยากได้สิ่งที่เรามีนี้เป็นคุณค่า ก็ดี เพราะฉะนั้นก็มีกำลังใจ ผู้ที่มีกำลังใจตรงกันก็ได้ประโยชน์ต่อกันอย่างเร็ว
ก็ได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจ ได้ประโยชน์จากข้อที่ 2 ก็ต้องทำอย่างนั้นจริงๆ แต่กว่าจะลดอัตตามานะ กว่าจะเข้ามาด้วยความนอบน้อม เข้ามาด้วยความละอายอย่างแรงกล้า เข้ามาด้วยความรักและเคารพความเกรงกลัว อย่างแรงกล้า แล้วมารักอย่างแรงกล้า มาเคารพอย่างแรงกล้า มันเป็นสภาวะธรรมที่ชัดเจนจริงๆ จนกระทั่งได้เข้ามา ความลดตัวลดตน หมดตัวหมดตน
ในประเด็นลดอัตตามานะ เข้ามาอย่างแรงกล้า ประเด็นนี้ก็คลายไป ในสภาพของกิเลสกาม กิเลสพยาบาท แล้วก็เข้ามาหากิเลส รูป อรูป มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
กิเลส กาม กับพยาบาทเป็นตัวผลักตัวดูด มันทำงานจนกระทั่งตัวผลักตัวดูดนี้หมดไปเข้ามาได้ จนกระทั่งถึง รูปราคะ อรูปราคะ
ระดับรูป มันหยาบ จนทำให้รูปหยาบหมดไป มันโง่มันถือตัว ถือดี ถืออัตตา ให้ลดลง เหลืออรูป เบาบาง ก็มีมานะซ้อนในรูป ในอรูป
เมื่อมานะซ้อนในรูปลดลง มานะในอรูปก็ลดลง มันก็ยังเหลือมานะในตัวมันเองอีกนะ มานะในตัวมันเองลดลงๆ มันก็ยังเหลือพลิ้วพราย อุทธัจจะ น่ารำคาญตัวเอง อะไรว้า ถือดีถือตัวอยู่อะไรว้า น้องแน้งๆอยู่อย่างนี้ อุทธัจจะกุกกุจจะ น่ารำคาญ จนกว่าจะหมดพวกนี้ ถึงจะหมดอวิชชาสวะ อวิชชาสังโยชน์
ด่าน ที่จะทำให้เราเจริญมันไม่น้อยๆเลยนะ ด่านต่างๆมันด้านมันดื้อจริงๆมันโด้จริงๆเลยด่านต่างๆ เนี่ย
เมื่อเราสามารถลดละได้เข้ามาสู่ข้อที่ 3.
ปัญญาข้อที่ 2 ในปัญญา 8 ประการ
3.เธอฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกายและความสงบจิต ให้ถึงพร้อม ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 3 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
พ่อครูว่า…สงบกาย คืออย่างไร สงบจิต คืออย่างไร
สายเจโตหรือสายศรัทธาที่ยังอวิชชา มิจฉาทิฏฐิ ยังเข้าใจไม่ได้แม้กระทั่งคำว่า กาย ยังไม่พ้นสังโยชน์แม้ข้อที่ 1 สักกาย สักกะตัวตน กายะ ก็กาย ยังไม่พ้นมิจฉาทิฏฐิข้อนี้ สักกะ ยังไม่แม่น กายะ ก็ยังไม่แตกฉาน ยังแยกไม่ออกว่ากายมี 2 นะคือภายนอกกับภายในและมีรายละเอียดของ 2 นี้อีกเยอะในคำว่า กาย
คำว่า สักกะ คือตัวตน หรือประกอบกันอยู่ สังขารกันอยู่ อะไรมันสังขารกันอยู่ ก็ต้องย้อนไปอธิบายตั้งแต่อวิชชา
ไม่รู้อะไร ไม่รู้สังขาร สังขารมี กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร สังขาร 3
จิตเป็นประธาน เมื่อจิตอวิชชา มิจฉาทิฏฐิ มันก็เข้าใจว่า กายคือวัตถุ กายคือหนึ่งเดียว กายคือไม่มีจิตร่วม นี่แหละคือ มิจฉาทิฏฐิอย่างสมบูรณ์แบบ ใครเข้าใจว่า กายนี้คือวัตถุ ดินน้ำไฟลม ไม่มีจิตเข้าไปร่วมเลย โมฆะตลอดกาลคนนี้ ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีวันที่จะบรรลุธรรม
มีใครมีความเข้าใจอย่างนี้กันไหม? มีใครเคยเข้าใจอย่างนี้กันไหม? คนเข้าใจว่ากายคือ วัตถุดิบน้ำไฟลม ในศาสนาพุทธมีอยู่ไหม? มี .. มีมากไหม? มาก
เพราะฉะนั้น การจะปล่อยผู้รู้ปัญญาชน ปราชญ์ ที่เขายอมรับว่า เป็นปราชญ์ในทางศาสนา ท่านจะไม่เข้าใจ ถ้าท่านฟังอาตมาสัก 2-5 ครั้ง ท่านเข้าใจแน่ อาตมาว่าท่านไม่โง่ดักดานขนาดนั้น แต่ทำนจะมีมานะอัตตาไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธารณชน ยอมรับต่อสาธารณชนว่าโพธิรักษ์ถูก อาตมาผิด ท่านก็หมดเนื้อหมดตัวเลยนะ แล้วท่านก็โง่ซ้อนว่า ถ้าเรายอมรับว่าโพธิรักษ์เป็นสัตบุรุษแล้วเราผิด มันจะหมดเนื้อหมดตัวหมดตัวเลยหรือ เข้าใจไหม?
ถ้าจริงใจจริงๆเลย ยอมรับจริงๆเลย ท่านก็หมดเนื้อหมดตัวตรงนี้เลย เสร็จแล้วศาสนาพุทธในเมืองไทยจะพลิกเลย
_สู่แดนธรรม…ท่านไม่เห็นว่ายอมรับแล้วจะได้ประโยชน์อะไร
พ่อครูว่า..ยอมรับก็หมดอัตตาสิ ปัญญา เป็นความสว่างที่จะเป็นปัญญาว่าอย่างนี้หรือแค่นี้เองหรือ แล้วหากท่านเปิดจิตยอมรับจริงๆ ว่า โพธิรักษ์เป็นโพธิสัตว์จริงๆ เท่านี้แหละ จิ๊ดเดียว อจินไตยไหม เป็นเรื่องที่คิดไม่ออกเลยว่า แล้วอะไรมันเล็กมันใหญ่กันแน่ มันบางหรือมันหนากันแน่ เห็นไหม
ก็ไม่มีปัญหา อาตมาไม่ได้ไปดิ้นรนปรารถนาว่าท่านจะเชื่อ ท่านจะยอมหรือไม่ อาตมามีหน้าที่ใช้ปากหอก ก็ซัดปากหอกไปเรื่อยๆ เพราะปากหอกของอาตมาเป็นของได้เปล่า ซัดไปเรื่อยๆ ซัดแล้วไม่เสียดาย ซัดไปเรื่อยๆ
สงบกาย กับสงบจิต สงบกายก็ต้องรู้กาย หากไปเข้าใจผิดว่ากายคือวัตถุ ไม่มีจิต คนนี้ก็จะไปงมอยู่แต่กับวัตถุว่าเป็นกาย ไม่เกี่ยวกับจิตหรอก หมากพลู มันก็เป็นของธรรมดา เอาไว้ให้คนเคี้ยว ก็เคี้ยวไปสิจะทำไม ไม่ได้ติด อาตมาไม่ได้ติดหมากติดพลูอะไร อาตมาเคี้ยวเฉยๆ เคี้ยวให้คางยานเฉยๆ ไม่ต้องใช้แคลอรี่อะไร ของอาตมาเอง ใครอย่ามายุ่ง เปลืองหมากพลู ก็ญาติโยมเอามาให้ เขายินดีมาถวาย เขาก็ได้บุญ อาตมาก็ฉันไป ติดอย่างไรอาตมาก็ไม่รู้ ก็ฉันต่อไปจนตาย อาตมาก็ไม่รู้ว่าตายแล้ว มีคนใส่ตระกร้าใส่กองฟอนให้หรือเปล่า? …
พูดถึงเงินปากผี ใส่ในปากให้แล้ว ยังตามไปเอามาอีกทีหลัง เอาไปทำของขลัง
สู่แดนธรรม…กายสงบ ท่านก็ว่าเอาไปนั่งนิ่งหนอเดินหนอ
พ่อครูว่า…กาย ท่านใช้คำว่า วูปกา อุปกา แปลว่า เป็นการปฏิบัติ ทำให้มันเกิด ทำให้มันเกิดความสงบ โดยรู้โดยปัญญาว่า ความสงบนั้นไม่ได้หมายถึงเอาความหยุดของรูป ของนาม แต่หมายถึงเอาความหยุดของกิเลส เอาความตายของกิเลสให้มันตายอยู่นิ่งหายไปเลยไม่ใช่ไปหยุดรูปนาม แต่รูปนามยิ่งแคล่วคล่อง ยิ่งกายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา มันยิ่งคล่องแคล่วทั้งคู่ เป็นสิริมหามายา ยิ่งสงบกายยิ่งสงบจิต ยิ่งคล่องแคล่ว เห็นไหม
เพราะฉะนั้นความสงบกายสงบจิตในข้อ 3 ท่านตรัสไว้แค่นั้นจะเกิดความสงบกายสงบจิต นี่เป็นข้อที่ 3 ถึงพร้อมด้วยความสงบกาย สงบจิต ถ้าไม่มีใครชัดเจน ไม่มีใครแยกแยะให้ฟัง ผู้ที่ยังมิจฉาทิฏฐิว่ากายก็คือ เป็นวัตถุ แม้แต่การเคลื่อนไหว วิญญัติ ก็คือการเคลื่อนไหวช้าคือความสงบ หรือเฉื่อยๆนิ่งๆ นี่คือความสงบ มันจะพาซื่ออย่างนั้น
สงบจะต้องเจาะไปถึงที่ตัวกิเลสมันหมดฤทธิ์ มันตายสูญ มันไม่มีอำนาจอะไรมาเกิดแก่เราอีกเลย นี่ต่างหากคือสงบ ทำให้อาการอุปะ วูปะ ตรงนี้ ให้มันเกิดสิ่งที่ถูกต้องนี้
เพราะฉะนั้น คุณจะต้องรู้จักกิเลส
ในอุปธิ 3 1. กิเลส 2. ขันธ์ 3. อภิสังขาร ในคุหัฏฐสุตตนิทเทส ในอุปธิวิเวก ล. 29
-
กิเลส หากคุณไม่รู้จักกิเลสก็ปิดประตูเลย จะต้องรู้จักหน้าตาของกิเลสแน่นอน
-
คุณจะต้องรู้จัก รูปขันธ์ นามขันธ์ รูป 1 นามอีก 4
รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ คู่กันกับนามเสมอ นามคือธาตุรู้ ท่านแยกจากขันธ์ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ท่านแยกไปเรียนรู้โดยมี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ แยกเป็น นาม 5
เรียนหาเข้าเป้าตรงเวทนา สัญญา เป็นตัวปฏิกิริยา เป็นตัวปฏิบัติการ เป็นตัวหน้าที่ เป็นตัวทำงาน ให้รู้เวทนา รู้เจตนา เจตนามีกาม ก็ล้างกามออก หมดกามเหลือรูป ก็ล้างรูป เหลืออรูป ก็ล้างอรูป
เจตนาเข้าไปล้างกามตัณหา. หมดกามตัณหาเหลือ รูป ก็ล้างรูป เหลือรูป ก็ล้างอรูป หมดกามตัณหายังเหลือเศษ วิภวตัณหา
วิภวตัณหาตัวนี้ ที่ยังเข้าใจกันได้ 2 อย่างน้อย 2 นัยใหญ่ๆ
-
ความไม่มีภพอย่างซื่อบื้อ
-
ความไม่มีภพอย่างวิเศษ