640402_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เมืองไทยเป็นเมืองของพระพุทธเจ้า-โลกุตรธรรมจะช่วยโลกได้
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/12JffoX4jx6ablWWnEOLgkyLowepE5t-BPfYcoWKKgjs/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่
และยูทูปที่ https://youtu.be/6-TEnYAlZ-Y
_สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก อีกไม่กี่วันก็เข้าสู่งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธครั้งที่ 44 อากาศตอนนี้ก็ไปได้ทั้ง 3 ฤดูเลย ในงานเราเอื้อให้ญาติธรรมภายนอกเข้ามาปฏิบัติธรรมได้ด้วย เราก็ต้องมีมาตรการณ์ป้องกันโควิดให้รัดกุมด้วย ไม่ประมาทและระมัดระวังกันด้วย
พ่อครูรับปากพระพุทธเจ้าว่าจะมาต่ออายุศาสนาให้ถึงห้าพันปี
พ่อครูว่า…ก็ต้องชื่นชมกับพืชพันธุ์ธัญญาหารก่อน มีของใหม่มา มีฟักทองสปาเก็ตตี้ มันเทศโอกินาว่า พรุ่งนี้จะขอแรงไปขุดมันกันริมมูล เอามาแจกกันที่กระท่อมปันสุขเราก็ยังไม่ค่อยมีอะไรไปแจกกัน มีแตงโมอีก 2 ตันจากศีรษะอโศก พรุ่งนี้วันสุกดิบของงานแล้ว ปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44
ถามคุณเราโน่ว่า ถ้าฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกหลายปีซ้อน แต่ทำไมเขามาอยู่บ้านราชฯทำไม เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เขาเป็นนักบิน และทำทางวนศาสตร์อีกหลายอย่างมา ถึงบอกว่า คนเรานี่นะ
ผู้ที่จะรู้ในโลกุตรธรรม จะรู้ความรู้สึกที่มันลึกซึ้ง มันไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ง่ายจริงๆ อาตมาทำงานมา 50 กว่าปีเหนื่อยแสนเหนื่อย ไม่อะไรหรอก แค่จะให้มาลืมตาปฏิบัติหยุดหลับตากันเสียที เมื่อกี้นี้ก่อนลงมาก็เปิดช่องหลวงตามหาบัว เขาก็ฉายภาพ หลวงตามหาบัวก็เทศน์ พระเจ้าแน่นศาลา ของพวกเราหาสมณะอยู่ฟัง 4 รูปเอง ของมหาบัวเป็นร้อย
ท่านก็เทศน์แบบเจโต เทวนิยมท่านก็ว่ากันไป อาตมาก็ฟัง คือ อย่างเทวนิยมนี้ไม่ใช่อาตมาไม่รู้ อาตมารู้และฝึกมาด้วย ฝึกอย่างมหาบัว นิโรธอย่างมหาบัวอาตมาก็ฝึกมาได้ แม้แต่การเล่นฤทธิ์เดชอย่างสายเทวนิยมก็ได้ แต่มันไม่ใช่ความละหน่ายคลาย มันไม่ใช่นิพพาน มันเป็นนิพพานเก๊ พูดอย่างไม่ไว้หน้าไม่ออมมืออะไรแล้ว พูดเปรี้ยงๆ เป็นสัจจะตรงเปรี้ยง ว่ามันผิด
มันผิด นี่ไม่ได้ผิดเต็มที่ ถูก 90% ผิด 10 % มันไม่ใช่แต่มันผิด 100% ตรงกันข้ามกันเลย อันนั้นมันเป็นเทวนิยมเป็นสายหลับตา เป็นเรื่องของอดีตและอนาคต เป็นเรื่องของ นิรมาณกาย อาตมาสู้ตาย ยังไม่ยอมหยุดง่ายๆหรอก ยังพยายามต่อขันธ์ ต่ออายุ แม้ว่าจะมันจะกระเสือกกระสน อุตสาหะวิริยะ บืน อีลากอีเลื่อไป จนกระทั่งเขาหาว่าติดยึดไม่อยากตายต้องเอาเครื่องออกกำลังกายมาเต็มเลย เหมือนฆาราวาสห่วงอะไรกับความตายกันนักกันหนา ซึ่งเขาเข้าใจอาตมา อาตมานี้รับผิดชอบศาสนาของพระพุทธเจ้าสมณโคดม รับปากรับคำมาเลยทีเดียวแหละที่จะต้องสืบทอดอันนี้ ให้ถึง 5000 ปี อันเป็นพุทธกัปของสมณโคดม ซึ่งมันเป็นปลายพุทธกัปแล้ว หมดจากอันนี้แล้วศาสนาพุทธจะว่างไปจนถึงกลียุคแล้วก็จะหมด คนตายเป็นเบือหมด แล้วศาสนาพุทธจะว่างเป็นพุทธันดรช่วงหนึ่ง ไม่มีศาสนาพุทธเกิดอีก มีแต่ศาสนาเทวนิยม มีทั้งที่เทวนิยมอย่างดี แล้วก็ยังร้ายอีกจนกระทั่งพระพุทธเจ้าต้องอุบัติขึ้นมาช่วยกอบกู้ใหม่ ต้องเป็นอย่างนั้น เป็นหลักการของศาสนาของวัฏสงสาร ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นเลย อันนี้เป็นเรื่องที่ อจินไตย
SMS วันที่ 31 มี.ค.-1 เม.ย. 2564
_Dada Daranee Pewtong (ดาด้า ดารณี) : บารมี เจ้าคะ สาธุ หนูเห็นท่านที่สนามบิน
รู้สึกเลยว่า ท่านบารมีสูงมาก ผุดผ่องมากคะ หนูกราบท่านอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก คะ พ่อครู???
พ่อครูว่า…ก็ดี แต่อย่าหลงง่ายๆ ติดตามศึกษานัยยะละเอียดให้ดีๆ
_ตุ้ม พรทิพย์ : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ จากฟังข้อธรรมที่ กูรูสู่แดนธรรมนำมาให้ได้ศึกษา หมายความว่า ทุกคนในโลกนี้ถูกหลอกจากสมมุติโลก ทุกคน นอกจากพระอรหันต์ เท่านั้นที่ไม่ถูกหลอก เข้าใจอย่างนี้ถูกไหมคะ
พ่อครูว่า…ผู้ที่ยังเป็นอนาคามีก็ยังมีสิ่งที่ถูกหลอกอยู่ยังไม่รู้ได้ด้วยตนสมบูรณ์แบบยังไม่เป็นอรหัตผล แม้ว่าเป็นอนาคามีก็ยังมีเหลือเศษ ยังไม่รู้แจ้งพ้นอวิชชาสมบูรณ์แบบ ผู้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามีความละเอียดลึกซึ้งดี จบการรู้ที่มีช่องว่างอยู่ จบอย่างไม่มีช่องว่าง ไม่มีเศษเหลือเลย ก็ค่อยๆบอกกันไป
_พิณเจ็ดสาย แห่ง ตำหนักวังสิสิร :ในมุมมองของผม ผมมองว่าคุณเดชา อัมพร เหมือนเด็กที่พยายามเถียง เอาแต่การชนะ ไม่ได้มีสำนึกที่จะเรียนรู้ อย่างจริงจัง
พ่อครูว่า… ก็เข้าเค้าอยู่อย่างที่คุณพิณเจ็ดสายว่า คือรู้มากแล้วหมุนไป ได้หัวลืมท้ายได้ท้ายลืมหัว
_Koithaitik Carp : กราบเคารพพ่อครูครับ เมื่อวานที่คุณอัมพร(ไม่อยากเรียกชื่อ)บอกว่าให้พ่อครูไปปักกลดและพาปัจฉาทั้ง 4 ตามไปด้วย ผมฟังแล้วขำอยู่ในใจ ถ้าจะไม่ให้สมณะออกกำลังเลยให้นั่งกรรมฐานจนเป็นอัมพาตก็บ้าแล้วครับ จงมองของที่พ่อครูใช้ออกกำลังกายเป็นแค่วัตถุ อย่าคิดว่าแพงราคามันแค่อุปโลกน์ แค่เหล็กกับอีเล็คทรอนิคมาประกอบกันตามยุคสมัย ผมว่าคุณอัมพร ศีล 5 ทำได้หรือยังก่อน หรือกล้ามาใช้ชีวิตแบบชาวอโศกไหม ก่อนที่จะมาว่าคนอื่น(ผมเองยังทำไม่ได้เลย) ผมไม่เห็นพระรูปไหนสอนได้ตรงตามพระพุทธเจ้าเท่าพ่อครูเลยครับ เรื่องไม่ให้กินเนื้อสัตว์ แค่ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตวก็จบแล้ว ไม่ฆ่าก็คือไม่ต้องไปกิน เพราะกินมันต้องฆ่า มีใครจะรอมันตายเองบ้าง ถ้ามีพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ห้าม กินได้ เพราะตายเอง นี่ไงไม่เห็นต้องบัญญัติอะไรเลย แค่นี้ก่อนครับ เดี่ยวมันจะยาวเกินไป กราบขอบพระคุณพ่อครูครับ ที่ให้ผมกลับมาเป็นคนดีอีกครั้ง ใครไม่ศรัทธาพ่อครู แต่ผมศรัทธาครับ
พ่อครูว่า…อ้าวก็ว่าไปแต่ละคน ลางเนื้อชอบลางยา ไปบังคับกันไม่ได้หรอกคนเรา สูงสุดพระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสในเรื่องของนานาสังวาสเอาไว้ ว่าความเห็นของเธอกับความเห็นของเรามันคนละอย่าง ก็ต่างคนต่างพิสูจน์ก็แล้วกัน ไม่มีปัญหาอะไร
_ตุ๊ก อัศวิน : น้อมกราบ ขอบพระคุณคณะ..Dream team..(ท่านฟ้าไท ท่านถักบุญ สม.กล้าข้ามฝัน) ท่านอรรถาธิบายธรรมในธรรม..ทำให้เข้าใจธรรมได้ดียิ่งขึ้น..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ศึกษาให้ดีๆ เราไม่มีเจตนาแอบแฝงอะไร ไม่เจตนาแกล้งโง่ ทำไปตามลำดับที่ควรจริง
สัมคมเสมอสมานกันเป็นเช่นไร
_คนผู้หนึ่ง เพ็ญหลายฝั่ง : กราบนิมนต์พ่อครูให้สัจธรรมครับ
“ทิฐิเสมอ-สมานกัน” โสดาบันเสมอและสมานกับโสดาบัน แต่ไม่สมานกับอนาคามี ไม่สมานกับอรหัตตบุคคล เป็นเพราะอะไรข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง
การทำงานของพ่อท่านที่มีทั้งควบแน่น (ให้ตกผลึกด้วยแก่นของโลกุตรธรรม) และมีทั้งการขยายกุศลแผ่กว้างออกไป (ด้วยระบบสาธารณโภคี) จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะลงตัวพอดี ให้ดูงามเรียบราบลุ่มลึก ไม่มีตะปุ่มตะป่ำ .. เพราะย่อมต้องมีตะป่ำตะปุ่มอยู่แน่ๆ ปุ่มใหญ่บ้าง ปุ่มเล็กบ้าง ปุ่มคันบ้าง เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ อันเกิดจาก “ความรู้ใหม่ในทางธรรมของลูกๆ” แล้วลูกๆ ก็เอาความรู้ที่ตนเองมีสมองอัน “ฉลาดเฉกตา” นั้น เอาไปเหลาหอกให้แหลมคม เพื่อทิ่มแทงผู้อื่น แทงแม้กระทั่งท่านสมณะ หรือแทงฆราวาสที่ท่านมี “วิโมกข์”แล้ว (เพราะผู้มีวิโมกข์ท่านไม่เห็นด้วยกับ เฉกตา ของตน)
อัน”เฉกตา”นั้นจะพาลขับดันให้ตนเข้าใจผิดว่า ตนคือสายปัญญาที่จะต้องเหนือกว่าบรรดาทีมงานอื่น เช่น ทีมงานบริหารชุมชน ที่ถูกตนมองด้วยความปรามาส ว่า มีแต่ศรัทธา ไม่มีปัญญา ชุมชนจึงไม่เจริญ และชาวบ้านแถวนี้ก็ยังจะมีความพึงพอใจอยู่หรือกับคุณภาพแค่นี้ของคณะผู้บริหารแบบนี้
นี่ล่ะคือ ตะปุ่มตะป่ำ ที่ยังไม่ราบเรียบลงตัวของคำว่า ทิฐิเสมอสมานกัน คือ ยินยอมที่จะเสมอ ยินยอมที่จะสมานกันก็แต่เฉพาะบุคคลระดับเดียวกัน ที่หิ้วตะกร้าเดินตามหลังกันต้อยๆ เท่านั้น แต่จะไม่ยอมสมานกับบรรดาผู้มีวิโมกข์ ที่ท่านเหล่านั้น รู้จักดีว่า อะไรควรระงับ ควรหยุด และรู้ดีว่าอะไรคือ Phenomena ที่ปัจจุบันนี้มีอะไรมาประจวบกันขึ้นอยู่จริงๆ โดยไม่ต้องฟุ้งซ่านดิ้นรนด้วยความใคร่ ว่า จะต้องเร่งให้เจริญ จะต้องทำให้สังคมภายนอกเกิดการยอมรับอโศก มีคนนับหน้าถือตาขึ้นเป็นจำนวนมาก
สังคมอาริยะของเรา ในแง่ความเสมอสมานกันนั้น เป็นแบบนี้ใช่ไหม ว่า โสดาบันจะเสมอและสมานกับโสดาบันเท่านั้น แต่จะไม่สมานกับอนาคามี ไม่สมานกับอรหัตตบุคคลเลย เพราะทิฐิของอนาคามีและอรหัตต์ย่อมมีทิฐิเป็นจอมแหแบบ เป็นไปเพื่อมักน้อย สันโดษ (เป็นของชนกลุ่มน้อย) ส่วนทิฐิของพวกโสดาบัน ควรจะเป็นฝ่ายค้าน เพราะพวกโสดาบันมีจำนวนมากกว่า ที่จะทำประโยชน์สุขแก่ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ ได้มากกว่าผู้บริหารที่มีจำนวนน้อย ? ขอพ่อท่านกรุณาให้สัจธรรมด้วยเทอญ
พ่อครูว่า…ที่พูดมานี้ วิจัยละเอียดวันนี้ก็ถูกต้องแล้วล่ะ ซึ่งมันค่อยๆดำเนินไป
เอาคำว่าเสมอกับสมานมาพูดอธิบาย นัยยะ ความหมายของมันละเอียดขึ้นไปก็ใช่ก็ถูกต้อง ศึกษาให้ดีคำว่าเสมอสมานก็ตามไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจคือมันจะมีเสมอเท่ากันแล้วแล้วก็สมานเริ่มเชื่อมไปกับอันอื่น อันที่สมานได้อย่างที่คนคนนี้อธิบาย โสดาบันไปสมานกับสกิทาฯได้ แต่ไม่อาจไปสมานกับอนาคาฯกับอรหันต์
เสมอโสดาบันแล้วเอื้อมไปสมานกับสกิทาฯ จะไปสมานกับอนาคามี อรหันต์ยังไม่ถึงมันจะข้ามขั้นละเอียดลออขึ้นมา เราก็ศึกษากันอย่างนี้แหละ ศึกษาไปแล้วก็ได้มรรคผลไปเกิดบุคคลจริงเป็นคนจริง
อาตมาจะว่าไปแล้ว อาตมาภาคภูมิใจตนเองอยู่ ที่เป็นจุดสำคัญมากๆก็คือ อาตมาสามารถทำให้ฆราวาส นี่อย่างพวกเราชาวอโศก เข้ามาปฏิบัติธรรมอยู่ในกรอบในระบอบของสาธารณโภคีสำเร็จ หรือให้มาเป็นกลุ่มชุมชนที่มีสาราณียธรรม 6 ได้สำเร็จ
ก็แสดงว่า อาตมาสามารถทำให้พวกเรามีคุณธรรมวรรณะ 9 ได้
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
อาตมาอธิบายแล้วอธิบายอีก ไม่มีอาจารย์คนไหนเอาสิ่งเหล่านี้มาขยายความให้เข้าใจให้ดีๆเพื่อปฏิบัติตามตั้งแต่ไตรสิกขา ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ตามพื้นฐานรากฐานสูตรสำคัญยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า สูตรองค์รวม ไตรสิกขาจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นศูนย์รวมพระพุทธเจ้าเลย แม้จะบอกว่ามรรคมีองค์ 8 โพธิปักขิยธรรม 37 ก็ตาม ก็เอามาอธิบาย แล้วเข้าใจพยัญชนะเข้าใจสภาวะของสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ตามที่อาตมาเข้าใจ พวกคุณเข้าใจแล้วปฏิบัติตามเข้าใจนี้ จนมีมรรคมีผล มี Phenomena มีปรากฏการณ์จริงของพวกคุณมาเป็นจริงเอง
ซึ่งพวกคุณจะเสแสร้งอดทน กดข่มก็ตาม หรือไม่ต้องกดข่ม แต่มาได้อย่างสบาย มาได้เต็มตัวก็มา หรือนานๆทีมาก็เป็นอิสระเสรีภาพเต็มที่ ที่นี่ไม่ได้ปิดบังอะไร เป็นแต่เพียงว่าเข้ามาอยู่ในนี้จะมีกรอบพื้นฐานก็คือศีล 5 ไม่กินเนื้อสัตว์ กินมังสวิรัติ
อาตมาทำมา 50 ปี มารวมตัวกัน 2516 ที่แดนอโศก แล้วค่อยมีหมู่กลุ่มขึ้นไป จนกระทั่งขยับขยายมามีปฐมอโศก เรียกว่าแห่งแรก ที่จริงแห่งแรกคือแดนอโศก ที่จริงแห่งแรกจริงๆคือสวนอโศก อยู่ฝั่งธนฯ แต่ไม่ลงตัว เลยเป็นแดนอโศก มีที่ดินประมาณ 7 ไร่ เป็นสวนมะพร้าว แล้วมาได้ปฐมอโศก แรกๆซื้อที่ดิน 47 ไร่ คุณจำลอง บอกว่าภูมิใจนักหนาที่มีบ้านหลังแรกที่ปฐมอโศก ลงมือสร้างเองเลยนะ พันเอกจำลอง ศรีเมือง
จากนั้นมาคุณจำลองก็อยู่กับพวกเรามาจนถึงบัดเดี๋ยวนี้ ญาติโกโยติกา ลูกๆหลานๆเขา พยายามรวมตัวกันสร้างบ้านให้อยู่ ก็ยังเหนียมไม่ค่อยมาเลย หรือยังทิ้งโรงเรียนผู้นำไม่ได้ ก็อายุป่านนี้แล้ว สังขารร่างกายง่องแง่งแล้ว อ่อนกว่าอาตมา 1 ปี 1 เดือน คุณจำลอง แซ่โล้ว อาตมาแซ่โง้ว
_สู่แดนธรรม…จากกรณีความเห็นของคุณคนผู้หนึ่ง มีคำถามมาว่า แม้โสดาบันจะไม่เสมออนาคามี อรหันต์ แต่ควรสมานไหมครับ
พ่อครูว่า…ไม่เหลื่อม มีกระแสไปตามลำดับ ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเลเชื่อมกัน สิ่งที่เป็นเลือดเดียวกัน มันจะรับกัน สัมพันธ์กันต่อกันไปเจริญเป็นลำดับ หยาบไปหาละเอียด
แน่นอน มันมีความเชื่อมกัน เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว relation นี้มันสุดยอด ไม่ใช่ตรงกันข้าม แต่เชื่อมต่อกันหมด ศึกษาไปดีๆแล้วก็จะได้เข้าใจ
คดีสันติอโศก ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
วันนี้ยังไม่ได้ตั้งใจพูดถึงธรรมะ ธรรมะหลักที่เตรียมไว้จะพูดถึงคำว่า ปัญญากับอนัตตาปัญญากับความไม่มีตัวตน ซึ่งจะอธิบายให้ดีๆ จะได้แค่ไหนอย่างไรก็โปรดติดตาม
อาตมาก็ทำเรื่องของปัญญา โดยจับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปัญญาสูตร 8 ข้อ ซึ่งมันอัดแน่นอยู่ในนี้ อาตมาก็พยายามขยายความ เพราะคำว่า ปัญญา คำเดียวนี้ อาตมาพยายามคลี่คลายขยายความกับชาวโลก กับชาวพุทธ
ว่า ปัญญา มันไม่ใช่ความรู้ความฉลาดที่เป็นความรู้ความฉลาดของชาวโลกีย์ แต่มันเป็นของโลกุตระ เป็นอัญญธาตุที่ต่างกันคนละโลก เป็นดาวคนละดวง เป็นชาวต่างดาวซึ่งเป็นคนละภาษา คนละความหมายที่เข้าใจกัน ซึ่งไม่ง่ายที่จะเข้าใจ
เขาเข้าใจความรู้ความฉลาดในกรอบ 1 กรอบเดียวเท่านั้น แต่อันนี้ไม่ใช่ มันเป็นกรอบใหม่ ที่ทวนกระแสของโลกีย์ด้วย แล้วมีนัย ละเอียดลึกซึ้งวิเศษ ซึ่งทวนกระแสใจอย่างยิ่งเลย เรียกว่า มาจนแต่ยิ่งเบิกบานร่าเริงสุขใจสงบ ไปรวยนั้น แหม ดีใจ แต่ไม่สงบหรอก กลัวของจะเสื่อมสูญ กลัวจะเสื่อมลาภยศสรรเสริญ กลัวใครจะมาแย่ง กลัวมันจะพร่องไป แต่นี่ไม่เลย มันไม่เหมือนกันเลย เป็นคนละทิศคนละทาง ซึ่งมันไม่มีภาษาที่จะอธิบายในรายละเอียดพวกนี้อีกเยอะ เพราะฉะนั้นจึงค่อยๆพยายามติดตาม อาตมาก็พยายามต่อ ถ้าเผื่อว่าอาตมาจะตายตอนนี้แล้วเกิดมาใหม่ ก็เสียเวลากว่าจะโต กว่าจะพยายามพูด ตอนเด็กพูดคนก็คงไม่เชื่ออะไร จนกระทั่งต้องโตพอสมควร หรือดีไม่ดี วิบาก
อย่างอาตมาวิบาก ชาตินี้คนไม่เชื่อเพราะอาตมาชาตินี้เกิดมาเป็นหมากลางตลาด คือหมาไม่มีเจ้าของ หมาเร่รอน หากินเลี้ยงตัวเองไปแล้ว เป็นหมาที่ต้องหากินในเมืองด้วย ไม่ใช่หมาป่า หากินไป ก็เลยหาเก็บเศษอาหารจากคนกินไป หลบบังตอ หลบน้ำร้อน หลบเท้า ไม้หน้าสาม ต้องหลบดีๆ ไม่หลบตายแล้ว นี่ก็หลบรอดมาถึงวันนี้ เขาจะเอาตายเลย รุมด้วยนะ ทั้งมหานิกาย ธรรมยุติ ร่วมกันตี ตี โอ้โห แล้วอาตมาก็แหม ก็ว่าท่าน มาร่วมกันได้อย่างไร ท่านคนละนิกาย ท่านผิดธรรมวินัย อาบัติ ท่านก็รับอกุศลวิบาก ทั้งธรรมยุตและมหานิกายที่มาประกาศนีกรรมอาตมา
-
ไม่ให้จำเลยเข้าไปอยู่ในนั้น ผิด สัมมุขาวินัย เป็นการพิพากษาลับหลัง ซึ่งชาวโลกเขาก็ไม่ยอมรับ
-
เอาคณะ 2 คณะ ที่คนละนิกายเอามารวมกันซึ่งผิดธรรมวินัย โมฆะ เพราะฉะนั้น สังฆกรรมใดที่ทำโมฆะหมด มันผิดธรรมวินัย
อันนี้ต้องไปอ่านหนังสือที่อาตมาเขียนเอาไว้ว่า ประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส พิมพ์ไปเป็นแสนเล่มแล้ว ซึ่งมันน่าสงสารท่าน ท่านก็เลยพูดไม่ออก เพราะอาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้าทั้งพระธรรมและวินัยไปยันไว้ ว่าทำไมทำสะเปะสะปะอย่างนี้มันผิดไปตั้งแต่เริ่มต้นที่จับอาตมาด้วยข้อหาว่า
สั่งสึกแล้วไม่ยอมสึก ผิดกฎหมาย แล้วเป็นกฎหมายที่สร้างเอง ซึ่งไม่ใช่พระธรรมวินัย ในพระธรรมวินัยใครจะสึกละก็สึกไม่ได้ง่ายๆ ถ้าเผื่อว่าเจ้าตัวเขาไม่ผิด ที่จะต้องให้ถึงขั้นสึก ที่จะผิดให้ถึงสึก มี
1.เป็นปาราชิก 2. มีอีก 11 ข้อย่อย ที่ผิดใน 11 ข้อนี้ให้สึกได้ นอกจากนั้นสั่งสึกไม่ได้ ถ้าเจ้าตัวไม่ยอมเปลี่ยนกล่าวออกจากปากว่า สึกแล้ว ตอนนี้ข้าพเจ้าเป็นฆราวาส อะไรอย่างนี้ คุณจะ ทุรพล อ่อนแอก็ตาม แต่ต้องพูดออกจากปาก ไม่ให้ห่มจีวรก็ตาม ถ้าไม่เปล่งกล่าวว่า ข้าพเจ้าสึกแล้ว ข้าพเจ้าเป็นฆราวาสแล้ว ก็ยังถือว่าเป็นสมณะ ยังเป็นภิกษุของพระพุทธเจ้าอยู่ตลอด อาตมารอบตัวด้วยพระธรรมวินัยพวกนี้จนถึงทุกวันนี้
แล้วท่านก็บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ บัญญัติกฎหมายสงฆ์ 2505 บอกว่าให้พระสังฆราชสั่งให้สึกได้ ซึ่งเป็นบัญญัติที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เป็นบัญญัติเอาเอง ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ซึ่งมันผิด มันใช้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นในกฎหมาย 2505 มาตรา 18 บอกว่า ให้สิทธิสังฆราชสั่งสึกได้ ถ้าไม่สึกภายใน 7 วันก็ผิดกฎหมาย อาตมาก็ผิดกฎหมายข้อนี้
_สู่แดนธรรม…ถ้าไม่ใช้มาตรานี้ก็เล่นงานพ่อท่านไม่ได้ ถ้าจะเอาพ่อท่านเข้าสัมมุขาวินัย ก็เอาผิดทางกฎหมายไม่ได้ จึงต้องพยายามให้ผิดกฎหมายให้ได้
พ่อครูว่า…อาตมาก็ยอมนะ ก็เลยให้ฆาราวาสไปฟ้องศาล ให้ศาลตัดสินทางพระวินัย อาตมาก็บอกว่าผิดธรรมวินัย ศาลก็ไม่ฟังหรอก ไปฟังทางเถรสมาคม อาตมายืนยันตามพระไตรปิฎกหลักฐาน ศาลก็ไม่รู้เรื่องก็ตัดสินให้อาตมาแพ้ อาตมาก็ยอมแพ้ แพ้คือให้ติดคุก ลงโทษให้ติดคุก ก็ยังดีนะให้ติดคุก โดยปราณี รอลงอาญา 2 ปี ให้อยู่นอกคุก แต่คุมประพฤติตามคำสั่งศาล เสร็จแล้วก็มีเจ้าหน้าที่คุมประพฤติมาควบคุม ผู้คุมประพฤติก็มา พอมาแล้วก็กลายมาเป็นคนกินมังสวิรัติตามอาตมา ไปมาได้ 2-3 ครั้งก็ไม่มาอีกเลย จนกระทั่ง 2 ปี ไม่รู้เขาเอาอะไรไปรายงานตัว แล้วแถมยังมาเข้ารีตกับพวกเรา ไปกินมังสวิรัติ ฟังธรรมะกับพวกเราเสร็จเรียบร้อย คือมันละอาย มันเห็นจริง จะมาเอาผิดตรงไหน พวกนี้เขาเป็นนักกฎหมาย มีหลักเกณฑ์ศีลวินัยอะไรต่างๆ มันก็เถียงไม่ได้ แย้งไม่ได้ นอกจากคนที่ตามืดตาบอด เป็นคนวิปริต เข้าใจธรรมวินัยพระพุทธเจ้าไปอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมันไม่ตรง
แต่ถ้าคนที่รู้จักภาษาบัญญัติดีๆ อ่านพระไตรปิฎกให้แตก จะไปแย้งได้อย่างไร นอกจากคนที่โง่จริงๆก็แล้วไป เพราะฉะนั้นอาตมาถึงบอกว่าอยู่ได้ด้วย “ธัมโม หะเว รักขะติธัมมะจาริง” ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม อาตมาถึงอยู่ได้ถึงทุกวันนี้
เขาก็เล่นงานตามหลักเกณฑ์จนไม่รู้จะเล่นอะไรอีก เล่าแล้วก็เหมือนฟื้นฝอยหาตะเข็บ อาตมาประกาศนานาสังวาส เขาก็ไม่เข้าใจคำว่านานาสังวาสกัน อาตมาประกาศนานาสังวาสต่อหมู่สงฆ์ตั้งแต่ 2518 อาตมาบวช 2513 แล้วตั้งหมู่กลุ่ม 2516 ตอนแรกเขาก็ดูพอเข้าใจตอนหลังอาตมาพูดสัจธรรมมันก็ไปตำหนิไปว่าท่านผิดกันใช่ไหม ก็ว่าไปๆ พอถูกว่าพอสมควร ตั้งแต่อาตมาบวช ก็โดนว่าไปเรื่อยๆ 5 ปี ก็อาตมาก็ถูกบีบ แกล้งสารพัดจนกระทั่ง 2517 เมื่อปี 2518 อาตมาก็ว่าไม่ไหว ก็ปรึกษาหมูกลุ่ม ประกาศในกลุ่มว่าขอนานาสังวาสเป็นลายลักษณ์อักษรยื่นเลยถูกต้องตามพระธรรมวินัย ประกาศต่อหน้าหมู่ 280 รูปที่วัดหนองกระทุ่ม มีเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบลอยู่ แล้วหนังสือนี้ก็ไปถึงเถรสมาคม ก็รับรองว่าเราเป็นสงฆ์ต่าง
จากนั้นก็ที่กรมรถไฟ ตอนแรกเราก็เสียครึ่งราคาตอนขึ้นรถไฟ เสร็จแล้วต่อมาเขาก็ไม่ให้ เราก็ถามไปทางเถรสมาคม กรมการศาสนาก็ตอบมาให้ผอ.การรถไฟ ว่า สันติอโศก ไม่ได้ขึ้นกับเถรสมาคมแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ปลอดภัยตั้งแต่บัดนั้น ก็เท่ากับรับว่าเราประกาศนานาสังวาสเรียบร้อยแล้ว ก็ต่างคนต่างอยู่ เสร็จแล้ว 2532 ไปกินยาผิดหรือยังไง ดึงเราเข้าไปในเถรสมาคมอีกและบอกว่าต้องสึก อย่างนี้เป็นต้น คือมันดูแล้วตลกไปหมด แล้วก็เป็นเรื่องตั้งแต่ 2532 ว่าความกัน เราก็โดนย่ำยีมา แต่เราปลอดภัย โดย “ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง” ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม จนถึงทุกวันนี้
ที่พูดไปต้องขออภัยอย่างยิ่งเลย เหมือนกับเป็นการฟื้นฝอยหาตะเข็บ ไม่ได้เจตนาอย่างนั้นทีเดียว แต่พูดให้เป็นการศึกษา ผู้ที่ยังไม่เคยได้รับรู้ ไม่เคยเข้าใจ จะได้เข้าใจถูกต้องธรรมวินัย อย่าให้มันพลางลวงแฝงอยู่ โดยที่เรียกว่า จะว่าแก้ตัวก็ได้เหมือนกับที่อาตมาต้องพูดเพื่อให้ตัวเองสะอาด อาตมาไม่ได้ได้ทีขี่แพะไล่
อิทธิวิธีของชาวอโศก
กล่าวถึงประวัติที่ผ่านมาเพื่อให้เห็นว่ามันยากมากเลย ธรรมะในยุคนี้เป็นโลกุตระเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในอาณิสูตร ที่บอกว่า ยุคนี้คนเสื่อมจาก ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ใช่ศาสนาเสื่อมนะ แต่คนนั้นเสื่อมไป เสื่อมจากธรรมะโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าไป
-
อาณิสูตร เล่ม 16
[672] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี … พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษาแต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ
[673] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธาน ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ
จบสูตรที่ 7
พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ท่านยังทรงพระชนม์ชีพ ท่านก็ตรัสไว้ว่าต่อไปคนจะเสื่อมจากโลกุตรธรรม ก็มันเสื่อมในยุคกึ่งพุทธกาลนี่แหละ 2500 ที่อาตมาเกิดมาในยุคเสื่อม มันเป็นยุคเสื่อมจากศาสนาพุทธ คนได้เสื่อมจากศาสนาพุทธ เป็นคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าที่เกิดเหตุการณ์จริงด้วย ถ้าคนชัดเจนและเข้าใจว่าจริงๆพระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ไว้ถูก เพราะมันเสื่อมตอนนี้ไงมันต้องไม่ต้องไปรอ 4,500 ปีแต่นี่แค่ 2,500 ปีก็เสื่อมให้เห็นแล้ว จะต้องไปรอถึง 3,500 ปีหรือ 4,500 ปีนู่นถึงจะเสื่อม แล้วค่อยๆหมด 5,000 ปีไม่ใช่หรอกแต่มันเสื่อมตอนนี้แหละ อาตมาอุบัติขึ้นมามันก็เสื่อมอยู่แล้ว อาตมามาทำงานศาสนา 2512 ก็เห็นว่ามันเสื่อมแล้ว ก็ต้องฟื้นฟูสิ่งที่ถูกต้องคืนมา 50 ปีก็ได้มากระหย่อมเดียว
ยืนยันตามหลักฐานในพระไตรปิฎก ที่ยังดีที่เขาก็ยังเชื่อถือพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐให้เหมือนกัน ก็ยังดี ถ้าไปคนละฉบับคนละเรื่องคงจะยาก ขนาดนั้นก็ยังอธิบายกันคนละอย่างเลย คำตอบพระบาลีอธิบายกันคนละอย่าง
อาตมายืนยันว่าอย่างไรอธิบายนี้มันเป็นจริงได้และสอดคล้องกับโลกุตระ เช่น มาเป็นวรรณะ 9 ได้ เกิดสาราณียธรรม 6 ได้ คนเกิดได้เพราะมีพุทธพจน์ 7 ตามที่ว่า อยู่กันอย่างสาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ
เอามายืนยันเป็นสัจจะจริง มันแย้งมันเถียงไม่ได้ง่ายๆหรอก ที่พูดนี้อาจดูเน้นน้ำหนักแรงก็ขออภัย ก็เพื่อที่จะให้ชัดเจนแข็งแรงแข็งขันเพื่อให้รู้ ซึ่งอาตมาก็ว่า มันยาก
ยิ่งอาตมาเห็นหมู่กลุ่มที่ผิด ท่านไปนั่งหลับตา อย่างมหาบัว มีลูกศิษย์ลูกหาทั้งนักบวชและฆราวาสเต็มศาลา ท่านหลับตาเทศน์นะ ถ้าลืมตาไม่ได้ ประเดี๋ยวสติตก ต้องหลับตาอยู่ในภวังค์ รับไม่ได้ตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกถ้าไม่มีกำลังแห่งสติเพียงพอที่จะยังสัมปชัญญะปัญญาเพื่อให้เกิดปัญญาพูดให้ได้ ท่านต้องหลับตาพูด
อาตมาไม่ได้ไปว่า แต่มันเป็นสัจจะที่อธิบายให้เห็นลักษณะที่ถูกต้องแท้จริง มันเป็นอย่างไร มันไม่ถูกต้อง มันไม่แท้จริงเป็นอย่างไร
ที่พูดนี้ไม่ได้ไปหักล้าง หรือข่ม แต่ต้องการยืนยันว่าอะไรถูกอะไรผิด จะได้เข้าใจอย่างเพียงพอ แล้วคุณก็ต้องตัดสินต้องเลือก อย่าไปหลงทางผิดไปช่วยเหลือสนับสนุนกันในทางที่ผิดอยู่
นี่ขนาดเป็นผู้มี กู๊ดวิน เป็นที่ยอมรับทางสังคมก็ยังเข้าใจทางเทวนิยมทางลูกศิษย์มหาบัวเยอะเลย อาตมาพูดกับพวกเขาถ้าพูดเรื่องธรรมะประเดี๋ยวไม่ได้พูดต่อต้องพูดเรื่องอื่น พูดเรื่องโลกเรื่องสังคมการเมืองได้แต่อย่าเป็นเรื่องธรรมะไม่ได้ เพราะมันยังข้ามขีดข้ามเขตมาเป็นโลกุตระที่สะอาดบริสุทธิ์จริงๆไม่ได้ยังยาก
พระพุทธเจ้าจึงตรัสจริงๆว่าโลกุตระของท่าน คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ความสงบที่กล่าวนี้ไม่ใช่นิ่งไปหมดทั้งกายและใจ แต่นี่จะมีความคล่องแคล่วว่องไวมีกายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา เป็นความเห็นที่ตรงกันข้ามกันอีกซึ่งยากมากเลย ยังดีที่ยังมีพยัญชนะของพระพุทธเจ้ามายืนยัน เวทนา สัญญา สังขาร รูป ก็คล่องแคล่วหมดทั้งกายทั้งจิต วิญญาณก็คล่องแคล่ว ไม่หนืดเฉื่อย
ประเด็นสำคัญคือศาสนาพุทธไม่ได้มีแต่เป็นศาสนาที่เหนือเมือง ไม่ได้หนีเมือง เหมือนลูบหัวล้านพระอาทิตย์ได้
ซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก เข้าใจยาก แม้จะอธิบายอนุสาสนีปาฏิหาริย์เป็นแบบโลกุตรธรรมเป็นอนุสาสนี ไม่ใช่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทศนาปาฏิหาริย์ก็ยังยากที่จะเข้าใจตาม แต่ผู้ที่มีปัญญา ผู้ที่เข้าใจดีก็จะเข้าใจ
เอาอิทธิวธญาณหรืออิทธิปาฏิหาริย์ วิธะ แปลว่า หลากหลายวาไรตี้หรือไดเวอร์ซิตี้ มีความรู้ใน อิทธิ หลากหลายที่มีฤทธิ์เดชหลากหลาย เช่น เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ หนึ่งเดียวทำให้เป็นมากมายสำเร็จ หรือมากมายทำให้เป็นอย่างเดียวสำเร็จ แต่ท่านก็แปลว่าคนหนึ่งคนให้เป็นคนหลากหลาย เป็นร้อยเป็นพัน จากคนเป็นร้อยเป็นพันก็เนรมิตให้มาเป็นคนเดียวได้ อันนั้นเป็นเรื่องรูปธรรมของบุคคลตัวตนเราเขา ซึ่งไม่ใช่โลกุตระ ไม่ใช่ปรมัตถ์ แต่อันนี้มันหมายถึงสิ่งที่เป็นอจินไตย เป็นนามธรรม
คนชาวโลกที่เต็มไปด้วยกิเลสตัณหาอุปทานเป็นโลกียธรรมอยู่เยอะแยะมากมายหลากหลาย ทำให้ลดลงมา เป็นอย่างเดียว All for One One For all
จากมากมายหลากหลายก็เป็น all for one เอามาเป็นหนึ่ง เอโกธัมโม ตรงกัน ทิฏฐิสามัญญตาเป็น เอกัคตารมย์ได้ หนึ่งเดียวอาตมาหนึ่งเดียวทำให้เกิดมวลหลากหลายขึ้นมาได้ จาก 1 เราก็แปลอันนี้ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ ว่า จากหนึ่งจึงเป็นเรารวมเราเขาก็เป็นหนึ่ง แปลสำนวนนี้ ใช้ภาษาอังกฤษว่าเอา For One One For All หรือ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ นี่แหละ
หรือ 2 ปรากฏขึ้นทำให้ปรากฏขึ้นหรือทำให้หายไปก็ได้ เขาก็แปลว่า หายตัว นั่งอยู่แล้วก็ทำให้ไม่เห็นตัวได้ ก็เป็นเรื่องตลก เป็นเรื่องเล่นกล นี่อะไรให้ปรากฏ ก็คือ คนที่มีกิเลส ทนโท่ ปรากฏอยู่ใต้ก็ทำให้หายไปได้ โลกุตระที่ไม่มี มันหายไปแล้ว ก็ทำให้ปรากฏขึ้นมาได้ โลกุตรธรรมมันสูญหายไปแล้วก็สร้างขึ้นมาได้อีก
โลกียะ ที่มีอยู่ในตัวคุณเอาให้มันหายไป อย่างน้อยๆอบายมุขก็หายไป กามก็หายไป เป็นระดับมา ก็ยืนยันได้ ก็คุณก็เข้าใจธรรมะเป็นลำดับ ราบลุ่มเหมือนฝั่งทะเล
ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัด เหมือนเดินไปในที่ว่าง เขาก็แปลว่าหัวไปไชทะลุภูเขากำแพง มันจะเป็นไปได้อย่างไร
คือ อบายมุข ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย์กองหนาแน่น เราก็เดินไปเหมือนเป็นที่ว่างไม่แปลก เพื่อนเราทำอะไรเราไม่ได้ อย่างนี้ทำให้เข้าใจไหม
_สู่แดนธรรมว่า…พ่อท่านอธิบายอย่างนี้เขาจึงบอกว่ามาทำลายศาสนา
พ่อครูว่า…พาซื่อไง ท่านพุทธทาสจึงพูดว่าภาษาคนภาษาธรรม เขาไม่เข้าใจภาษาธรรม เขาเข้าใจแค่เป็นภาษาคนซื่อบื้อ เป๊ะๆไปหมด แต่ไม่เข้าใจภาษาธรรม
ทะลุสิ่งที่เป็นโลกีย์อบายมุขก็ดี ทุนนิยมหนาแน่นอะไรก็ตาม เราก็เดินอยู่รอก็ได้ตื่นเต้นเหมือนกับเดินไปที่ว่าง
ผุดขึ้นดำลง แม้ในแผ่นดิน เหมือนในน้ำก็ได้ เขาก็จะเป็นขอมดำดินไปได้ เหมือนท่านโพธิธรรมเดินบนน้ำเลย ท่านตั๊กม้อ เดินบนน้ำ ซึ่งมันไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นเรื่องที่เหมือนกับนักเล่นกล อันนี้ดำอันนี้ขาว ที่เป็นสิริมหามายา ซึ่งไม่ใช่การเล่นกล แต่จริงๆ เป็นสัจจะที่เหมือนกับ ดำลงไปในดิน เหมือนดำลงไปในน้ำ สิ่งที่คนธรรมดา เขาทำไม่ได้ แต่เราทำได้ง่าย มันไม่ใช่เรื่องลึกลับ ไม่ใช่เรื่องยากเย็น ไม่ใช่เรื่องประหลาด เช่น
ได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 ซึ่งพวกเขาได้ยากมากเลยนะ ฌาน ของโลกุตระ เขาได้ยากมาก เขาไม่เข้าใจและก็ยังทำกันไม่ได้เลยทุกวันนี้ ฌาน ต้องปฏิบัติด้วย จรณะ 15 ถึงจะคัดกรองกิเลสออกเป็น ฌาน 1 2 3 4 ด้วยวิชชา 8 เป็นยาดำในจรณะ 15 แต่เขาไม่รู้เรื่อง ฌาน เขาก็ไปนั่งหลับตาสะกดจิต แต่ที่จริง ต้องปฏิบัติลืมตาให้กิเลสลดลงไป หยาบ กลาง ละเอียด ลาดหลุมเหมือนฝั่งทะเล
เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนดินก็ได้ กลับกัน ดำลงในดินเหมือนดำลงน้ำ แต่เดินบนน้ำเหมือนเดินบนดิน เหาะไปในอากาศ เหมือนนกบินได้เบาๆสบาย มีจีวรบริหารกาย บาตรบริหารท้อง บินไปได้ด้วยปีกสองข้าง สบายได้เหมือนนก ไม่ต้องสะสมอะไร ไปไหนก็สบายมีปีก 2 ข้าง บินได้เหมือนนกเหาะไปในอากาศ
ลูบคลำพระจันทร์ พระอาทิตย์ ที่มีฤทธิ์อานุภาพมาก ยิ่งพระอาทิตย์มีฤทธิ์มีอำนาจแน่นอน ลูบด้วยฝ่ามือได้ อาตมาว่าลูบหัวล้านพระอาทิตย์เล่นได้ มือไม่ไหม้ เหมือนเราอยู่ในทุกข์ร้อนของทุนนิยมของอบายมุขในโลกที่ยังฆ่าแกงกัน อันนี้แหละ ซึ่งมันเป็น ปาฏิหาริย์ที่สุดยอด เราเอาความสงบไปรบกับปืนระเบิด ชนะ เอาความสงบมือเปล่าไปรบจึงยังยากอยู่การเมืองเขาก็ยังงง เอ็งเอาอะไรมาพูดวะ(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สมณะเดินดินว่า…เราเรียนรู้ปาฏิหาริย์ 3
การประท้วงอย่างมีอิทธิวิธี
พ่อครูว่า…ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้
คำว่ากาย คือ ลักษณะ 2 มีรูป มีนาม มีภายนอก มีภายใน เต็มสภาพ ทั้งรูปทั้งนาม ทั้งกายทั้งจิต ไปตลอดพรหมโลก พรหมคือแดนสงบ สะอาด สว่าง แดนที่ปราศจากกิเลสไปได้หมด ทั่วทั้งแผนดิน เป็นอิสรเสรีภาพทั่วทั้งแผ่นดิน ตั้งแต่โสดาบัน ไปได้หมดทั้งทุกส่วนทั่วโลก ทุกส่วนของความเป็นเรา เอาทั้งร่างกายทั้งตัวตน ทั้งเนื้อหนังมังสา มีอวัยวะน้อยใหญ่ ไปทั้งหมดเลยได้ ไป ตัวเราทั้งตัวนี่แหละนำไป เพื่อที่จะเอาไปยืนยัน อย่างประหลาด
เช่น เรานำพาตัวตนบุคคล พวกเราจึงออกสนามรบ เป็นทหารพระพุทธเจ้า กองทัพธรรมออกไป ทุกคนเป็นทหารไม่มีปืน ไม่มีมีด ไม่มีระเบิด เอาความจริงกับความสงบและรบ รบโดยสันติ มีหลักฐานที่เหลือเป็นโบรชัวร์อยู่ เราออกไปรบกับกองทัพของรัฐบาลในยุคนั้น รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ อาตมาก็ไปรบ
NEO PROTEST ปฏิบัติการชุมนุมประท้วงแนวใหม่
-
ปรัชญาการชุมนุม ได้แก่ สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น กำกับด้วยภาษาอังกฤษไว้ด้วย เป็นการจัดการรัฐบาลด้วยโลกุตรธรรมเป็นครั้งแรกในโลกยุคนี้ ผ่านมาแล้วพ.ศ 2549 อาตมาพาทำไป ตัวหนังสือ สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น ทำติดเป็นฉากหลังเวทีเลยนะ แล้วปฏิบัติจริงให้ตรงตามนั้น