640331_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาที่เลยปัญหาของคนหลงความรู้มาก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/139ycfPuwR24j3yut1zQluLMUR_4pzE4Hb6uiSc14qLQ/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1vJtyn47I4FUhA9iiy9-28AEouscO4FEH/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/Kcx8bQLzz6w
ฌานวิสัยเป็นอจินไตย พ่อครูไม่เคยเครียดก็เป็นอจินไตย
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก พ่อครูได้นำโลกุตรธรรมมาขยายความให้รู้โลกนี้คือโลกโลกียะ ให้รู้โลกหน้าคือโลกโลกุตระ อธิบายแยกแยะแจกแจงขั้นตอนการลดกิเลสอย่างละเอียด ผู้นำไปปฏิบัติจนได้ผลลดละกิเลสทุกฐานะทุกระดับ แม้แต่ศิษย์เก่าที่ได้ปฏิบัติลดละกิเลส แม้ตัวเล็กๆอย่างน้องปุณย์ก็สามารถฟังแล้วเลิกพฤติกรรมไม่ดีบางอย่างได้
พ่อครูว่า…เรื่องราวที่เป็นอจินไตย เป็นวิสัยที่มาชำระสิ่งที่ควรชำระโลกีย์ออกได้ เรียกว่า ฌาน คือการเผากิเลส วิสัยผู้ที่ได้ชำระกิเลส ชำระกาย วาจา ใจ ชำระวาสนาอะไรพวกนี้ได้ไปแล้ว มันเป็น ฌานวิสัย เป็นวิสัยที่อจินไตยที่ไม่สามารถจะเดาได้ ก็เป็นอจินไตยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ฌานวิสัยเป็นอจินไตย
สมณะฟ้าไท…เมื่อก่อนงงว่า 7 ขวบ บรรลุธรรมได้ แต่เดี๋ยวนี้เจอก็เข้าใจแล้ว เหมือนพ่อครูบอกว่า ไม่เคยมีความเครียดเลย
พ่อครูว่า..ขอแทรกตรงนี้นิดนึง ไม่ใช่ว่าอาตมาทำแต่มันเป็นมาแต่ปางบรรพ์ บอร์นทูบีเป็นข้ามชาติมาแล้ว ในชีวิตของอาตมาตั้งแต่เด็กจนโตจนถึงป่านนี้ อาตมายังนึกไม่ออกเลยว่าอาตมามีความเครียด เคยมีความเครียดและก็ยังไม่รู้จักว่าความเครียดคืออะไร จนพยายามมาทำความเข้าใจตอนหลังนี้ว่า ความเครียดมันเป็นอย่างนี้เหรอ ก็พยายามทำความเข้าใจว่าความเครียดที่เขาหมายถึงมันมีอาการอย่างนี้ของจิตของอารมณ์ของความเป็นตัวเรา ความเครียดเป็นอารมณ์เป็นเวทนาอย่างนี้หรือ อาตมาก็พยายามทบทวนความจริงในชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตมาถึงอายุป่านนี้ อาตมาไม่เคยมีอาการเครียดอย่างนั้นในจิตเลยตั้งแต่ยังไม่ปฏิบัติธรรม ตั้งแต่ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไป จนกระทั่งปฏิบัติธรรมแล้วจึงได้มาสงสัยว่าอาการเครียดมันจริงๆคืออย่างไรเขาเป็นอย่างไร แล้วก็พยายามทำความเข้าใจกับที่เขาเป็นที่เขาแสดง อาตมาก็พอมีปฏิภาณปัญญา พอที่จะเข้าใจทั้งๆที่เราไม่เคยเป็นอาการอย่างนี้ หยาบกลาง ละเอียดของความเครียด มันเป็นอย่างนี้ ก็ตรวจสอบตัวเองว่าไม่เคยมีตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้
สมณะฟ้าไท…เป็นความพิสดารของจิตใจ เหมือนพระพุทธเจ้าไม่รู้จักคนแก่ คนเจ็บ คนตายเป็นอย่างไร
พ่อครูว่า..อายุ 20 กว่าจนถึง 29 แล้วกว่าจะออกบวชเป็นเจ้าชายสิทธัตถะยังไม่รู้ว่าคนแก่เป็นอย่างนี้เหรอ คนเจ็บป่วยเป็นอย่างนี้เหรอ คนตายเป็นอย่างนี้เหรอ ยังไม่รู้เลย ไปแล้วขออภัยนะทำไมมันโง่ได้ถึงขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อใช่ไหม
สู่แดนธรรม…พระราชบิดาปิดบังไว้เลี้ยงอยู่บนปราสาท
พ่อครูว่า…อันนั้นก็เป็นที่รู้ได้ ว่ากษัตริย์สมัยก่อนเขายิ่งใหญ่ เขาทำได้ทุกอย่างเลยมีปราสาท 3 ฤดูให้ไม่รู้ว่าความทุกข์ความลำบากความทุกข์ยากเป็นอย่างไร จะไม่ให้รู้จักทุกข์เลยสำหรับพระราชบิดา เพราะว่าเขาพยากรณ์ตั้งแต่ต้นว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า แต่พระราชบิดาต้องการให้พระราชโอรสองค์นี้สืบทอดราชบัลลังก์
สมณะฟ้าไท…คนธรรมดาอย่างไรก็ต้องเจอ แต่มีอายุตั้ง 29 ปียังไม่รู้ว่ามนุษย์เขาแก่เขาเจ็บ เขาตายเป็นอย่างไร เป็นไปได้อย่างไร ไปได้ยากที่จะไม่รู้จัก แต่มันก็เป็นไปได้สำหรับคนคนหนึ่งที่เกิดมาในโลก
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 29-30 มี.ค. 2564
ธรรมะ 2 ไม่ใช่เวทนา 2 ทุกตัว
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ระหว่างคำว่า เทว ธัมมา กับ เวทนาสองมีความเหมือนกันตรงที่ เวทนาสองทุกตัวย่อมเป็นเทวธัมมา แต่ เทว ธัมมา ทุกตัวไม่อาจเป็นเวทนาสองได้ใช่ไหมคะเช่น รสเผ็ด กับ ชอบรสเผ็ด เป็นเทว ธัมมา และเป็นเวทนาสองด้วย แต่กรณี ขาวกับดำ เป็นเทว ธัมมา แต่ไม่เป็นเวทนาสอง(เวทนาแท้ กับ เวทนาเทียม)อย่างนี้ใช่ไหมคะ น้อมกราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า…เวทนา 2 เป็นวิสามัญนาม proper noun แต่ธรรมะ 2(เทวธัมมา) เป็นสามัญนาม common noun
ใช่แล้ว ค่อยๆเทียบทีละคู่ๆ ค่อยรู้ละเอียดแล้วเดี๋ยวมันก็ค่อยๆกลายเป็นนาม เดี๋ยวมันก็ค่อยๆกลายเป็นรูป สลับกันไป เยอะแยะมากมาย
งั้นคำว่า ธรรมะ 2 นี้รวมทั้งหมดในมหาจักรวาล คุณรู้แจ้งเทวได้มากที่สุดเท่าไหร่นั่นแหละคือความสมบูรณ์ที่คุณจะเกิดความรู้แล้วจัดการ รู้แล้วจัดการได้ด้วย จัดการให้เป็นหนึ่งคือจัดการให้ศูนย์ไปเลย หรือจะต้องอาศัย 2 อาศัย 3 4 อ้างอิงก็แล้วแต่ แต่แน่นอน อาศัย 2 ได้ อาศัย 3 -4 -5 ก็ย่อมได้
_ตุ้ม พรทิพย์ : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ โลกโลกีย์เดียวนี้เขา หาประโยชน์จากวาทะกรรม ไม่ว่าที่มีปัญหาประท้วงอยู่ตอนนี้ ด้านการเมือง หรือ แม้แต่ยังมีคน
ทำรายได้จนรวยมหาซวย คือ การขายคอร์สอบรมแพง โดยเอารายได้มาล่อหลอกคนให้เสียเงินไปเข้าคอร์ส ในโลกออนไลน์ มีเยอะแยะ บางอย่างก็ เป็นโครงการที่ดี บางอย่างก็ขายแบบ
ไม่มีสินค้าเลยก็มีคนนิยมด้วย สังคมเดียวนี้แม้ถูกหลอกก็ยังไม่รู้ตัวว่าโดนหลอก กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า…ไม่ใช่แค่ในยุคนี้ในทุกยุคก็มีความหลอกและจริงๆแล้วทุกอย่างก็คือความหลอกหมดจบ เป็นแต่เพียงว่าเราจะอยู่กับความหลอกหรือที่เรียกว่าสมมติสัจจะนี้ได้ดีหรือไม่อย่างไร
พระสมณโคดมกับสมณะโพธิรักษ์เป็นคนละขั้ว พระสมณโคดมนั้น ขั้ว 1 ส่วนสมณะโพธิรักษ์อีกขั้วหนึ่ง พุทธเจ้านั้นอรหันต์ 100% พระสมณโคดมอรหันต์ 100% แต่ว่าโพธิรักษ์นี้โพธิสัตว์ 100% คือคนละขั้ว ตามฐานานุฐานะ
เพราะฉะนั้นเอาพระพุทธเจ้ามาเทียบกับอาตมา เอาอาตมาไปเทียบกับพระพุทธเจ้าในมิติอันนี้อย่างนี้เทียบกันไม่ได้ เพราะบำเพ็ญกันคนละปาง บำเพ็ญกันคนละฐานะ ท่านเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่สุดท้ายของภัทรกัปนี้ ที่มีคนบรรลุธรรมได้น้อยที่สุด คนแย่ที่สุดแล้ว ท่านทำมาจนกระทั่งหมดแล้ว เหลือขอดสุดท้ายแล้ว นี่เป็นขอด มวลสุดท้ายที่ท่านจะทำในความเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าของท่านแล้ว นี่เป็นสุดท้ายของพระสมณโคดมก็เรื่องของท่าน อาตมายังไม่ใช่เลย
_lim chin huat (ลิ้ม ชิน ฮวด) : กราบนมัสการพ่อท่านผมฟังรายการนี้จากประเทศมาเลเซียผมชอบฟังครับยิ่งฟังยิ่งเข้าใจ
_สมชาย เพ็ญวรรณ์ : ปัญากับ.ไอคิว.อีคิวมันเหมือนหรือคล้ายกันไหมครับ
พ่อครูว่า…อาตมาเขียนหนังสือ EQ โลกุตระ เล่มเบ้อเร่อ เขียนเสร็จเป็นลมพับหน้าห้องน้ำเลย จนเขาหามส่งโรงพยาบาล ก็ค่อยๆพูดกันเรื่อง EQ
อาตมาก็จะพูดอธิบายอยู่ ก็ค่อยๆติดตามก็แล้วกันนะตอนนี้ขอฝากไว้ก่อน
ก็ขอบอกนิดนึงว่า มันยากมากเลยคำว่า EQ หรือ IQ
Q Quotient มาใช้ทางสภาวะธรรมมันถึงยากมาก คือผลหารอันควรจะได้ หรือว่าผลที่ได้เปรียบเทียบแบ่งส่วนกันอย่างดีที่สุดที่ควรได้ คือใช้วิธีแบ่งส่วนหาร ที่จริง Quotient แปลว่าผลหารที่ควรจะได้
_ เดชา อำพร…
อะไรที่ฟุ่มเฟือยเกินกว่า”ภาพพจน์ของสมณเพศ” ที่ควรต้องเป็น”ผู้อยู่แบบสมถะ” ให้เป็นตัวอย่าง”ชีวิตที่อยู่แบบเรียบง่าย” ท่านผู้นำอโศกจะปฏิเสธ,ไม่รับความหวังดีนั้น..ก็ย่อมได้(ควรบริจาคเครื่องออกกำลังกายให้กับองค์กรของฆราวาสอื่นๆที่เหมาะสมต่อไปจะดีกว่า เพราะไม่เหมาะกับ”วิถีอโศก” ที่สอนให้คนมาใช้ชีวิตอย่างคนจนแต่อย่างใดเลย เพราะคนจนย่อมไม่สามารถจัดหาซื้อเครื่องออกกำลังกายที่มีราคาแพงๆเช่นนี้มาใช้เป็นส่วนตัวได้แน่ๆ)
แม้แต่ภาพสมณะยกลูกตุ้มเวท สมณะว่ายน้ำ สมณะพายเรือแคนูสีสันจี๊ดจ๊าด สมณะถีบจักรยาน สมณะขับมอเตอร์ไซค์(มอเตอร์ไซค์พ่วง) สมณะขับรถเก๋ง,รถปิ๊คอัพหรือรถชมวิว ก็ยังดูไม่เหมาะสมเลย เพราะถ้าไม่หยุดอยู่แค่”บริขาร 8″ตามพุทธพจน์เสียแล้ว วันหลังถ้าอโศกมีเงินบริจาคมากพอ ก็อาจจะลงทุนซื้อ”เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว”มาใช้งานในอนาคตก็อาจเป็นได้ หรือสมณะบางท่านอาจจะอยากลองฝึกโดดร่มชูชีพ,ดิ่งพสุธาหรือลองเล่นบันจี้จั๊มด้วย ก็เป็นได้
อย่าห่วงหรือรักชีวิตมากจนต้องดิ้นไปตามความหวังดีสารพัดของลูกศิษย์ เช่น แม้แต่การสร้างห้องที่เป็นทรงปีรามิดนั้น ก็ดูไม่สมควร ท่านควรเป็นตัวอย่างเป็นผู้นอนหรือจำวัดในกลดแบบอยู่ตาม”รุกขมูลโคนไม้”นั้น จึงจะนับว่าสมควร และควรพา”ปัจฉาสมณะทั้ง 4 ท่าน”ลงไปร่วมปักกลดอยู่ตาม”รุกขมูลโคนไม้”ที่อยู่แวดล้อมกับกลดของท่านผู้นำอโศกด้วย
ถ้าท่านยังนิยมอะไรที่เป็นเทคโนโลยี่สมัยใหม่ที่ทันสมัย(แม้แต่แอร์,พัดลมหรือเครื่องฟอกอากาศต่างๆ ที่ไม่ใช่”บริขาร 8″ ก็ตาม) ที่บ่งชี้ความคิดใน”ระบบศักดินา”ของตัวท่าน แล้วท่านจะสอนให้ผู้อื่นมา”อยู่อย่างคนจน”ได้อย่างไร?
ขออภัยที่เราชี้แนะแบบตรงๆ
ด้วยความเคารพครับ…(เพราะส่วนที่ดีของผู้นำอโศกและองค์กรอโศกก็มีอยู่มากมาย เช่นเดียวกัน)
พ่อครูว่า…ขอบคุณมากดีทีเดียว ยังไม่ตอบ เดี๋ยวค่อยพูดอีกทีนึง อ่านอีก 2 แผ่น 2 หน้า
_เดชา อัมพร…31 มีนาคม 2564
1)บางครั้งเราจึงมองว่า ศาสนาพุทธมีการอนุโลมซะเยอะ คือถ้าบัญญัติไปเลยว่า”ห้ามกินเนื้อสัตว์”(ไม่ว่าจะตายเองหรือฆ่ามาก็ตาม,ห้ามกินทั้งนั้น)มันก็จบ(คือถ้าสอนเมตตา,เห็นสัตว์เป็นพี่เป็นน้อง แล้วจะมากินเนื้อพี่น้องได้อย่างไร? ประมาณนี้) ไม่ต้องมาถกเถียงกันให้ยุ่งยาก แต่ก็อาจจะทำให้ศาสนาพุทธจบ,ห้วน,สั้นไปด้วย บางผู้คนก็อาจจะตั้งคำถามว่า สัตว์ที่ตายเองทำไมจึงจะกินไม่ได้ ก็จะมีคำถามต่ออีกว่า แล้วใครจะไปกินสัตว์ที่ตายเอง ก็จะมีเถียงต่ออีกว่า ก็วัวควายที่รถชนตายโดยไม่เจตนาฆ่าให้ตาย ก็ถือว่ามันตายเอง ก็ไม่เห็นมีใครเอาไปฝัง มีแต่เอาไปชำแหละแบ่งกันไปกิน ทั้งนั้นเลย
จริงๆคือต้องดูที่เจตนาว่า ถ้าอ้างว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเมตตา เมตตากระทั่งกับสัตว์โลกทั้งมวล ศาสนาพุทธ(หรือศาสนาอื่นๆก็ตาม)จะมีหลักข้อหนึ่งที่มักยึดถือก็คือ”พูดอย่างไรก็ต้องทำให้ได้อย่างนั้น” คืออย่ามีลักษณะของ”ปากว่าตาขยิบ”(พูดอย่าง-ทำอย่าง) ว่างั้นเถอะ หรือคำว่า”เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” คือเกลียดตัวเหี้ยแต่พอเป็นไข่เหี้ยกลับไม่เกลียด รังเกียจปลาไหลตัวลื่นๆเหมือนกับงู,ขยะแขยง แต่พอเขาทำเป็นอาหารมาให้กิน เหยาะผงชูรสหน่อย,ส่งกลิ่นหอม ก็เลยมีข้ออ้างว่า ขอกินแค่น้ำแกงปลาไหลก็ได้ว่ะ อะไรประมาณนั้น
เรื่องเนื้อสัตว์ที่เป็นข้อถกเถียงกันหลากหลาย ก็เพราะพระพุทธเจ้าไม่บัญญัติให้ชัดว่า”ตกลงกินเนื้อสัตว์ได้หรือไม่ได้?” เพราะยังมีมิติเหตุผลของการห่วงว่า”ศาสนาจะสั้น”ถ้าไปห้ามเสียเลย ก็เลยพูดแค่อำพรางว่า”ต้องไม่ได้เห็น,ไม่ได้ยิน,ไม่ได้สงสัย” คือถ้าสงสัยว่ามีการฆ่าสัตว์ตัวนั้นแล้วนำมาทำเป็นอาหารให้เรากิน ก็จะถือว่ากินไม่ได้ ก็มีข้อโต้แย้งอีกว่า ไม่สงสัยคืออย่างไร? คือมันเป็นคำพูดที่กำกวม,ไม่ชัดเจน ดังนั้น คนที่มีข้ออ้างที่จะกิน เขาก็จะทำเป็นมึนๆ,ไม่คิดมาก,ไม่ต้องคิดสงสัย ใครทำอะไรมาให้กินก็กินไปเลย..ก็ได้ ใช่มั้ยล่ะ?
(เราเบื่อมากความไม่ชัดเจนของหลักพุทธ คือมันมีหลักนั่นหลักนี่อะไรที่หลากหลายซับซ้อนมาก อย่าง”บุญกับกาย” ท่านผู้นำอโศกก็ต้องมาใช้เวลาพูดอธิบายขยายความเสียมากมาย จริงๆถ้าต้องการถล่มสำนักที่ค้าบุญ,ค้าสวรรค์ ก็ควรบอกมาตรงๆ ส่วนหลักปฏิบัติต่อให้ไม่ใช้หรือไม่มีคำว่าบุญ ก็ใช้คำอื่นได้ เช่น “การตัดกิเลส”หรือ”ทำฌานเพ่งเผากิเลส”อะไรก็ว่ากันไป ไม่เห็นต้องมาอธิบายคำว่า”บุญ”ให้ยุ่งยากเลย)
ซึ่งอโศกก็มาพูดอีกว่า”ตีความผิด” ไม่ใช่ถ้าสงสัยว่าเขาฆ่ามาเฉพาะตนแล้วจึงจะกินไม่ได้ แต่แค่สงสัยว่าเนื้อสัตว์นี้มีการฆ่ามา(จะเพื่อเฉพาะตัวเราหรือไม่ได้เจาะจงเพื่อใครเลยก็ตาม)ก็กินไม่ได้แล้ว ความสงสัยที่อยู่ในจิตใจเป็นเรื่องนามธรรมที่ไม่มีตัวตนให้จับมาดูได้ ถึงสงสัยบ้างก็ทำเป็นไม่ได้สงสัยหรือบอกว่า..ก็ไม่ได้สงสัยอะไร..ก็เลยกินๆไปเป็นอาหารประทังชีวิตไปอย่างนั้น…
หรืออย่างบางข้อความก็ฟังดูแล้วตลก ที่บอกว่า”ไม่ได้เห็น,ไม่ได้ยิน,ไม่รังเกียจ” ยิ่งไปใหญ่ คนรังเกียจก็จะไม่กินโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ถ้าประสงค์จะกินก็คงไม่นึกรังเกียจอยู่แล้ว อย่างนี้บัญญัติไปได้ก็ไม่เป็นประโยชน์ เรื่องจิตสำนึกเรื่องการฆ่าและกินเนื้อสัตว์แต่ประการใด
หรืออย่างห้ามทานเนื้อ 10 อย่าง ถ้าจะบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ประสงค์ให้ทานเนื้อสัตว์ ก็ต้องบัญญัติว่า”ห้ามทานเนื้อสัตว์”ไปเลย จะมาบอกแยกเฉพาะทำไมว่า”เฉพาะเนื้อ 10 อย่างนั้นห้ามเด็ดขาด” โดยตรรกะก็ต้องแปลว่า นอกจากเนื้อ 10 อย่างนี้ก็ไม่ได้ห้าม คือทานได้ตามสะดวก นั่นเอง
จริงๆเราว่าเรื่องของการกินมังสวิรัติหรือการกินเจมีนัยยะที่เป็นเรื่องของจิตวิทยาอยู่เยอะ คือ ถ้าใครบอกว่ามังสวิรัติก็ชอบ,ก็กินได้ แต่ถ้าจำเป็น,ไม่มีอะไรจะกิน มีเนื้อสัตว์บ้างก็กินไปตามวัฒนธรรมท้องถิ่น ไม่ได้คิดอะไรมาก หลายคนก็อาจพูดประมาณนี้
แต่ถ้ามองทางด้าน”จิตวิทยาหรือพลังจิต”แล้ว เชื่อว่าคนที่กินมังสวิรัติหรือกินเจ ดูจะมีพลังจิตที่สูงกว่าคนทั่วๆไป คือถ้าเรากินไปเรื่อยไม่ได้เจาะจงอะไร? พลังจิต(หรือจิตสำนึกของเรา)มันก็ไม่ชัด(เหมือนมันไม่ซูม,ไม่เลเซอร์) แต่ถ้าเราตั้งใจทานมังสวิรัติหรือทานเจไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลย มันก็คล้ายมีการตอกย้ำในจิต,ในสมอง(สัญญา)ของตัวเองว่า”เราเป็นคนดีนะ,เราเป็นคนมีเมตตาต่อสรรพสัตว์นะ” พลังความคิดเหล่านี้แหละ จะเหมือนทำให้เรามีพลังที่คล้ายเป็นรังสีพิเศษที่คอยมาปกป้องคุ้มครองเรายามคับขัน ประมาณนั้น
โดยเฉพาะถ้าสังคมร่วมรับรู้ว่าสังคมคนกลุ่มนี้ เช่น กลุ่มม่อฮ่อมนี้เขาไม่กินเนื้อสัตว์นะ ถ้าโดยไม่มีคำสั่งพิเศษ เช่น สมัยรบ.อภิสิทธิ์ที่ไปนั่งหลับตาพนมมือนั่นน่ะ ที่มองคล้ายว่าเป็นพลังจิตแห่งความดีที่มาปกป้อง จริงๆก็เพราะสังคมไทยเค้าก็พอรู้ว่า คนกลุ่มอโศกนี้เค้าไม่กินเนื้อสัตว์นะ ถ้าไปทำอะไรกับเค้ารุนแรงมันจะเป็นบาปติดตัวนะ อะไรประมาณนั้น ก็จึงอาจตีความว่าเป็นพลังแห่งความดีที่มาปกป้องก็เป็นได้ แต่ถ้าไปอยู่ในประเทศที่เค้าไม่ได้รู้เรื่องกินจงกินเจอะไรเลย มีแต่กลุ่มฮ้าร์ดคอร์หัวรุนแรง,ฆ่าตัดคอ ถ้าไปนั่งหลับตาพนมมือแบบอโศก ก็คงตายหมดไม่เหลือ เพราะเค้าไม่ได้รับรู้สมมุติด้วย ว่าการทำร้ายพวกกินเจนั้น เป็นบาปมหันต์ ประมาณนั้น
พ่อครูว่า…คุณเดชายังไม่มีความรู้เรื่องอจินไตย ถึงเรื่องความเหมาะสม ความลงตัวของธรรมะสภาวะธรรมที่เรียกด้วยภาษาว่าบารมี คุณเดชายังอีกนานมากที่จะเข้าใจคำว่าบารมี ของคำว่าปัจจุบันธรรมหรือปัจจุบันชาติหรือ status quo 2 ประเด็นนี้ใหญ่ๆคุณเดชายังอีกนานไกลมากที่จะรู้จักว่า มีความสำคัญกับบุคคลว่าเรื่อง status quo ปัจจัยมันเป็นการบอร์นทูบีต้องเป็นอย่างนี้ คุณเดชายังอีกนานที่จะเข้าใจ ฉะนั้นที่พูดมานี้เห็นได้ชัดคุณเดชาไปไกลในเรื่อง อจินไตยต่างๆ ที่พูดนี้เป็นเรื่องกรรมวิบาก ส่วนฌานวิสัย คุณเดชายังอีกไกลมาก
_เดชา…(ต่อ)…แม้แต่สมัยเสธ.อ้ายที่อโศกก็โดนยิงแก๊สน้ำตาใส่(หรือสมัยน้องโบว์พธม.ก็ด้วย) นั่นก็เพราะมีคำสั่งเฉพาะว่าให้จัดการโดยเด็ดขาด ทหารหรือตำรวจถ้าไม่ทำตามคำสั่ง เบี้ยหวัดเงินเดือนก็อาจไม่ได้รับ หรือพอดีพอร้ายก็อาจถูกปลดออกจากราชการไปเลย เขาก็จึงต้องทำตามคำสั่ง โดยไม่ได้สนหรอกว่าจะเป็นกลุ่มคนกินเจหรือไม่ก็ตาม ใช่หรือไม่?
พ่อครูว่า…คนที่ยิงน้องโบว์นั้นไม่ใช่คนที่มีปัญญาเพราะเขายังอยู่ใต้อำนาจของทักษิณ เป็นคนละพวกคนละกลุ่มกัน
_เดชา…(ต่อ)…มีข้อน่าตลกอีกว่าถ้าเจตนาปรุงอาหารเนื้อสัตว์มาถวายให้ภิกษุติดหลงในอาหารเนื้อสัตว์นั้นคือบาป ถ้างั้นถ้าไม่ต้องปรุงอะไรมาก,ทำแบบหยาบๆ,แบบไม่อร่อยเลย ก็คงจะไม่บาปซีนะ? อันนี้เป็นอีกข้อหนึ่งที่มีลักษณะอ้อมค้อม ถ้าบัญญัติไปเสียเลยว่า”ภิกษุพุทธไม่ฉันเนื้อสัตว์” ก็คงไม่ต้อง”ขี่ม้าเลียบค่าย”ว่า”ปรุงแต่งอย่างดีเป็นบาป”อย่างนั้นอย่างนี้ และถ้าจะถือว่ามีธรรมเนียมพุทธว่า”ภิกษุไม่ฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ”จริงๆแล้ว ก็คงจะไม่มีบัญญัติข้อ”ชีวกสูตร”นี้ ใช่หรือไม่?
พ่อครูว่า…อาตมาก็ไม่ขยายความหรอก ก็ขอให้คุณเดชา ฉายาว่า คุณ Question Mark จบ
ในหัวสมองคุณจะเต็มไปด้วยคำถามตลอดเวลา จะไม่มีที่ลง ไม่มีที่จบ ไม่มีที่สรุป คุณเดชานี้วนยิ่งกว่างูกินหาง ยิ่งกว่าวัวพันหลัก พันวนกลับไปกลับมาก็ไม่รู้ว่าวนกลับ งูกินทางก็ไม่รู้ว่ากินตัวเองไป ไม่รู้แล้ว คุณได้ต้นแล้วลืมปลาย คุณไปปลายแล้วลืมต้นทุน เก็บอันนั้นอันนี้มาเป็นเหตุผล คุณไม่เอาแค่ปฏิจจสมุปบาท คุณไปเอา ระบาดทุกอย่างเลยเก็บมาหมด ได้หัวลืมหางได้หางลืมหัว อยู่อย่างนั้นแหละไปตลอดกาลนาน อีกนานนนนนนนน ยังไม่มีสรุปนะ
ก็ตอบคุณเดชาแค่นี้ อาตมาไม่มีปัญญาจะตอบมากกว่านี้ ตอบแค่นี้ก่อน
มาฟังความเห็นของคุณสู่แดนธรรมบ้าง
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…
พ่อครูว่า…ที่ยกตัวอย่างสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มาถามเรา แสดงว่าคนคนนี้โง่ที่สุด ตัวเองก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้แล้วมาถามเรา มันจะเป็นไปได้อย่างไร
_640330 จากสู่แดนธรรม
_การจะปฏิบัติกรรมฐาน หรือวิปัสสนานั้น ถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า รูปมาปรากฏแท้จริง (คือไปหลับตาเสียแล้ว) นั่นก็ไม่เป็นเหตุปัจจัยพอที่จะทำให้ ละหน่ายคลายจาก ความยินดีในรูป ฯลฯ (การหลับตาวิปัสสนาจึงเสียเวลาไปกระทำแบบเปล่าดาย)
พ่อครูว่า…ทุกวันนี้ชาวพุทธเมืองไทยที่เป็นพวกหลับตา ถ้าให้พวกนี้เขาตื่นได้รู้ว่าการหลับตาปฏิบัติเป็นโมฆะมาตลอดเป็นเดียรถีย์ ถ้าเขาตื่นจากเรื่องนี้เลยนะแล้วหันมาศึกษาจรณะ 15 วิชา 8 จริง เราจะได้พุทธศาสนิกชนคืนมา ท่านเหล่านี้ทุ่มโถมชีวิตนะที่ปฏิบัติสายหลับตา ส่วนมากเป็นสายที่อุทิศทุ่มโถมเอาจริงเอาจัง จะได้ประโยชน์จากศาสนามากที่สุดเลย เราก็หวังว่าวันนึง
“การนั่งวิปัสสนาโดยไม่มีรูปปรากฏขึ้นจริงเลยในจักขุปสาท ย่อมถือว่า เสียเวลาปฏิบัติแบบเปล่าดาย เพราะไม่มีรูปารมณ์ปรากฏขึ้นตามสภาพเป็นจริง”
พ่อท่านเคยสรุปชี้ชัดลงไปว่า.. “กรรมฐานในการปฏิบัติธรรมของพุทธนั้น คือ “เวทนา” ซึ่งอาศัยการมีผัสสะเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดขบวนการชำระสิ่งที่จะเกิดตามมากับเวทนานั้น มิใช่ไปหลงผิดด้วยการนั่งหลับตา แล้วทึกทักเอาว่าสามารถเห็น รูปนาม มาปรากฏให้เกิดการพิจารณาวิปัสสนาได้
หรือบางครั้งอาจารย์ทั้งหลายก็บอกสอนว่า การนั่งสมาธิหลับตาภาวนาไปแล้ว ศีลก็บริสุทธิ์ไปเอง เรื่องนี้พ่อท่านเคยปฏิเสธว่า การที่จะมีศีลบริสุทธิ์ได้นั้น จะต้องมีเหตุปัจจัย มีผัสสะมาปรากฏอยู่ต่อหน้าจริงๆ แล้วจิตก็มีเจตนาที่จะงดเว้น ละเว้น ที่จะไม่ละเมิดในสิ่งที่มาปรากฏอยู่ต่อหน้าจริงๆ ในเรื่องของกัมมัฏฐานและเรื่องวิปัสสนาก็เช่นกัน เคยมีภิกษุผู้ชรามากแล้วผู้หนึ่ง ชื่อพระมาลุกยบุตร ท่านได้ทุ่มเททำความเพียร(หลับตาภาวนา) มีใจเด็ดเดี่ยวในความเพียรนี้มาอย่างอุกฤษ แล้ววันหนึ่งก็ไปเข้าเฝ้าเพื่อขอกัมมัฏฐานจากพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ทรงชี้แจงถึง เหตุปัจจัยที่ไม่ใช่ของจริงที่จะเกิดกิเลส จึงไม่ใช่สิ่งที่จะนำไปวิปัสสนาได้ ดังมีเรื่องราวปรากฏเป็นหลักฐานใน สังคัยหสูตร ล.18 ข.132 ว่า..
“ดูกรมาลุกยบุตร เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุเหล่าใด(ในอดีต) เธอไม่เห็นแล้ว (เพราะมัวแต่หลับตา)
ทั้งไม่เคยเห็นแล้ว (ในอนาคตเพราะเอาแต่หลับตา) (และในปัจจุบันนี้ก็ยังหลับตาอยู่) ย่อมไม่เห็นในบัดนี้ด้วยความกำหนดว่าเราเห็น ก็มิได้มีแก่เธอด้วย แล้วเธอมีความพอใจ(ฉันทะ)ในรูป มีความกำหนัด(ราโค)ในรูป หรือมีความรัก(เปมะ) ในรูปเหล่านั้นหรือ ฯ .. (มิได้มีเลย พระเจ้าข้า)
(แม้ในกรณีอื่นก็เช่นกัน คือ..) เสียง.. กลิ่น.. รส.. กายสัมผัส.. ธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจเหล่าใด เธอไม่ได้รู้แล้ว ทั้งไม่ได้เคยรู้แล้ว ย่อมไม่รู้ในบัดนี้ด้วย ความกำหนดว่า เรารู้ ก็มิได้มีแก่เธอด้วย แล้วเธอมีความพอใจ มีความกำหนัด หรือมีความรักในธรรมารมณ์เหล่านั้นหรือ ฯ (มิได้มีเลย พระเจ้าข้า)
เมื่อพระองค์ทรงชี้แจงให้เข้าใจเบื้องต้นก่อนแล้ว ว่า การหลับตานั้นไม่สามารถพิจารณากำหนดรู้รูปนามการเกิดขึ้นของกิเลสได้ เพราะไม่มีสภาวธรรมของกิเลสที่จะปรากฏขึ้นมาจริงๆ จากสีสัน ความน่ารัก น่าใคร่ ของรูป รสกลิ่นเสียงสัมผัส .. ต่อมาเมื่อพระมาลุกยบุตรมีจิตโน้มน้อมไปตามพระโอวาท พระองค์จึงสอนให้วิปัสสนาดังต่อไปนี้ ว่า..
ดูกรมาลุกยบุตร ก็ในธรรมเหล่านั้น คือ
ได้เห็น ได้ฟัง ได้ทราบ ได้รู้แจ้ง (ทิฏฺฐสุตมุตวิญฺญาตพฺเพสุ ธมฺเมสุ)
ในรูปที่ได้เห็นแล้ว เธอจักเป็นเพียงแต่ว่าเห็น / ทิฏฺเฐ ทิฏฺฐมตฺตํ ภวิสฺสติ
ในเสียงที่ได้ฟังแล้ว เธอจักเป็นเพียงแต่ว่าได้ฟัง / สุเต สุตมตฺตํ ภวิสฺสติ
ในอารมณ์ที่ได้ทราบแล้ว เธอจักเป็นเพียงแต่ได้ทราบ / มุเต มุตมตฺตํ ภวิสฺสติ
ในธรรมที่ได้รู้แจ้งแล้ว เธอจักเป็นเพียงแต่ได้รู้แจ้งแล้ว / วิญฺญาเต วิญฺญาตมตฺตํ ภวิสฺสติ
ในกาลใด ในกาลนั้น เธอจักเป็นผู้ไม่ถูกราคะย้อม ไม่ถูกโทสะประทุษร้าย ไม่หลงเพราะโมหะ ในกาลใดในกาลนั้น เธอจักไม่พัวพันในรูปที่ได้เห็น ในเสียงที่ได้ฟัง ในอารมณ์ที่ได้ทราบ หรือในธรรมารมณ์ที่ได้รู้แจ้ง
ดูกรมาลุกยบุตร (เมื่อเป็นได้เช่นนั้น คือ เมื่อได้อรหัตต ย่อมทราบว่า..)
เนวิธะ (เนวะ + อิธะ) = ในโลกนี้ก็ไม่มี (สิ่งที่จะพัวพันด้วยการย้อม)
น หุรํ = ในโลกอื่นก็ไม่มี (สิ่งที่พัวพันไปด้วยประทุษร้าย)
น อุภยมนฺตเรน = ในระหว่างโลกทั้งสอง ก็ไม่มี (สิ่งที่พัวพันให้หลง) (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ (นี้แหละคือการรู้ว่า อรหัตตผลเป็นเช่นนี้)
พ่อครูว่า…สิ่งเหล่านั้นมีได้สมมุติเราก็รู้ว่ามีอะไรสมมุติถ้าเราไม่ไปพัวพันในการย้อมให้หลง ในการประทุษร้าย นี่คืออรหัตตผล
ตอบปัญหาที่เลยปัญหาของคนหลงความรู้มาก
สภาวธรรม ที่เราได้เรียนกันมามันลึกซึ้งไปเรื่อยๆละเอียดไปเรื่อยๆไกลมากเลย ซึ่งพูดแล้วก็น่าเห็นใจผู้ที่เราติดตาม เพราะฉะนั้นเราจะไม่ได้เพื่อนที่มาติดตามมากเท่าไหร่หรอก เพราะเพื่อนที่จะติดตามต้องมีบารมีพอ มีความเข้าใจที่จะตามได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่หมดบารมีที่จะตามแล้วเขาก็คง ไม่ดูถูก แต่ว่ามันหนักไปหน่อย มันยากไปหน่อย ฝากไว้ก่อนโอฬาร อะไรประมาณนั้น
สู่แดนธรรม..,มีเจตนาเอาพระสูตรนี้ให้ตรวจสอบนิพพานของตัวเอง
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ได้สรุปตรงนั้นบ้าง คือ หมายความว่าเราต้องรู้จบถ้าคนใดไม่รู้จบอย่างคุณเดชา อัมพร ยังไม่คิดจะรู้จบ ขออภัย ขอพูดพาดพิงไปถึงท่านประยุทธ์ ปยุตโต ท่านพุทธโฆษาจารย์ ท่านรักความรู้คล้ายกับคุณเดชา อัมพร
ที่เรียกเป็นภาษาสรุปทางวิชาการว่า วิปัสสนูปกิเลส หลงในวิปัสสนูปกิเลสมันจะมีทุกอย่างมากมายก่ายกองหมดเลย ในวิปัสสนูปกิเลส 10 ท่านโบราณาจารย์สรุปไว้หมด มันเป็นทุกอย่างทั้งความรู้ ความสว่าง ความแจ้ง ความจริง ความแท้ทั้งภูมิปัญญา ปฏิภาณอยู่ในนั้นหมดเลย มันเป็นความวิจิตรพิสดารทั้งนั้นเลย ท่านก็ไปชื่นใจกับสิ่งเหล่านี้ ท่านก็เลยไม่เข้าหาจิต ที่เราจับกิเลสในแต่ละเรื่อง ตีกรอบตั้งแต่พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์แต่ละเรื่อง
เรื่งอศีลข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ศีลข้อที่ 3 ต้องมีปริเฉท มีกรอบแห่งการปฏิบัติแต่ละเรื่องแต่ละอันไป แล้วมีตัวจบในแต่ละกรอบแต่ละเรื่อง ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่รู้จักจบเลยสักครั้งเดียว แล้วมันจะกลายเป็นไม่มีวันจบ นี่แหละคือความหลงความรู้ การหลงข้อมูลของคนที่หลงความรู้มันเพลินยิ่งใหญ่มันน่าภาคภูมิจริงๆนะ มันลืมเหน็ดเหนื่อยไปเลย แม้แต่จะเจ็บป่วยหนักหนาสาหัสลำบากก็ไม่ ก็จะสดชื่นชมยินดี Appreciate มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆซึ่งดังนี้บางทีอาตมาก็เพ้อเหมือนกันทำให้สุขภาพเราจะแย่เอา ดีแต่ว่ามีคนคอยช่วยเตือนช่วยดูแลบ้าง ไม่อย่างนั้นเพลินไป
พูดถึงเรื่องธรรมะเลิกละเอียดหนักพอได้เลยวันนี้ อาตมาก็มีเรื่องที่เตรียม ก็พริ้นมาจากที่เขียนไว้
บริหารอย่างศีลสามัญตาทิฏฐิสามัญตาเป็นเช่นไร
พ่อครูว่า…ก็อยากจะพูดถึงเหตุบ้านการเมืองบ้าง ขณะนี้สังคมประเทศเราจะไปทิ้งจะไปมีความคิดแบบคุณเดชา อัมพร สมถะ เอาแต่บรรลุเป็นอรหันต์ไป จะไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับโลกบริขาร 8 ก็เพียงพอกับชีวิต โธ่คุณเอ๋ย คุณไม่รู้จัก กาละ เทศะ ฐานะเลย
กาละเวลาก็ไม่รู้ เทศะสถานที่ก็ไม่รู้ สถานที่ ฐานะ status quo ของสิ่งต่างๆก็ไม่รู้เรื่อง พูดปนวนไปวุ่นไปหมด แล้วจะเอาแต่มักน้อยสันโดษ อาตมาว่า ตัวคุณเดชาอัมพร แม้แต่ความรู้ของเขาก็รู้มาก ก็อยู่กับความรู้มากของเขาเอามาจับผิดผู้นั้นผู้นี้ จับผิดไปหมด แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าคิดดูสิ หาว่า สอนไม่ได้เรื่องได้ราว ไม่ระบุไปเลย ทำไมคลุมเครือ อะไรต่างๆนานาสารพัด
อาตมาเคยพูดว่า อาตมากลัวคนที่เก่งกว่าพระพุทธเจ้า อาตมาไม่กลัวใครเลย อาตมากลัวคนที่เก่งกว่าพระพุทธเจ้าคนเดียวว่าจริง อาตมาก็ไม่เคยกลัวพระพุทธเจ้าเท่าไหร่นะ คนที่เก่งกว่าพระพุทธเจ้าอาตมากลัว
มันเหมือนกันกับพวกที่กำลังชุมนุมประท้วง พวกสามนิ้ว นี่ไม่กลัวอะไรเลย หมูไม่กลัวปังตอ ไม่กลัวน้ำร้อน คือไม่กลัว เขาประมาณแล้วว่า อย่างไรๆ รัฐบาลก็ไม่กล้าทำรุนแรงกับเขา ถ้าหากทำรุนแรงก็จะมีพวกสิทธิมนุษยชน ต่างประเทศก็จะมาเลย เขาถือว่าอิสรเสรีภาพทุกคนมีสิทธิแสดงออกอย่างไรก็ได้(วะ) ไม่มีกรอบขอบเขตจนมากเกิน คือได้แต่เพ่งโทษผู้อื่นเท่านั้นเอง
อาตมาก็ขอยืนยันว่า ทุกวันนี้ ถ้าอาตมาเป็นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อาตมาก็คงอาจจะลาออกจากนายกไปนานแล้ว เพราะอาตมาคิดว่าชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะเป็นนายก เพราะรู้ว่างานหนัก อาตมาไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ที่บริหารในประเทศไทย แต่อาตมาก็บริหารประชาชนชาวอโศก
การบริหารประชาชนชาวอโศกของอาตมานี้ เป็นการบริหารที่ละเอียด สุขุม ประณีต อิสรเสรีภาพยิ่งกว่าพลเอกประยุทธ์ เพราะพลเอกประยุทธ์นั้นไม่ได้ใช้กฎหมายมาว่า ส่วนอาตมาไม่ได้อ้างกฎหมายมาตีพวกเราหรอก ให้พวกเราสำนึกในเรื่องพระธรรมวินัย หรือกฎระเบียบ ศีลธรรมของพระพุทธเจ้าเอง ผู้ใดได้เท่าไรก็ได้เท่านั้นตามฐานานุฐานะ แล้วก็ได้สัดส่วนที่เรียกด้วยสำนวนวิชาการว่า ทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา ความเสมอสมานตามฐานะโสดาบันเสมอกับพระโสดาบัน สกิทาเสมอกับสกิทาคามี อนาคามีเสมอกับอนาคามี อรหันต์เสมอกับอรหันต์ ต่างคนต่างรู้ฐานะของตน แล้วรู้ฐานะของผู้ที่ต่ำกว่า รู้ฐานะของผู้ที่สูงกว่า สามารถที่จะร่วมประสาน แพ้ผู้ต่ำกว่าก็ไม่ข่ม แม้ผู้สูงกว่าก็ไม่อวดดีด้วย ไม่ข่มไม่อวดดีด้วย เพราะรู้จริงว่าฐานะสูง ฐานะต่ำ
เพราะฉะนั้นแม้แต่ผู้ที่ฐานะต่ำอย่างยอมกับผู้ที่ฐานะต่ำกว่าเราได้ เพราะเรารู้แล้วว่าเขาไม่รู้ เขาทำ เขาเด็กกว่าเรา เขาไม่เดียงสา ไม่เข้าใจอย่างที่เราเข้าใจแล้วจะไปข่มเราได้อย่างไร จะไปบังคับให้เขารู้ได้อย่างไร มันไม่ได้ เราก็ต้องมีปฏิภาณไหวพริบ ที่จะทำอย่างไรให้เขารู้ว่า มันเป็นกลยุทธ์หรือเป็นแทคติก เป็นวิธีการที่ซับซ้อนลึกซึ้งมากเลยว่าทำอย่างไรให้เขารู้ว่าคนเดียวคนยอมเรายอมนี่ เรายอมนี่แหละคือเราผู้ที่ทำสิ่งที่สมควรกว่า ถ้าเราไปดึงดันเอาชนะมันเลวกว่าแย่กว่า คุณจะทำอย่างไรคุณจะสร้างแทคติกอันนี้ สร้างกลเม็ด วรยุทธหรือเคล็ดวิชาอันนี้ ให้เขารับอันนี้ได้ เป็นฝีมือของจอมยุทธจริงๆนะ เป็นเคล็ดวิชาที่สูงส่ง จะทำอย่างไรให้เขาเข้าใจได้ว่า เรายอมเขา ให้เขารู้ว่าเรายอมเนี่ยคือสิ่งที่เหนือกว่าเอาชนะ
แล้วมีสำนวนหนึ่งที่พอจะเอามาพูดแล้วจะพอเข้าใจได้ เช่น คุณจะทำอย่างไร ให้เขาดื่มคำตำหนิได้ ด้วยความยินดี แม้จะฝืน แม้จะทุกข์ แม้จะยากจะลำบาก เขาก็ เอาละ ยอมดื่มคำตำหนินี้ ภาษาบาลีว่า เปยยวัชชะ แปลว่า คำตำหนินี้ ของน่าดื่ม เขาเห็นคำตำหนินี้เป็นของน่าดื่มได้ทำอย่างไรให้เขาเห็นคำตำหนิเป็นของน่าดื่ม
อย่างอาตมาทุกวันนี้ตำหนิทุกวัน ทำอย่างไรให้เขาดื่มได้ มีทั้งภาษา อย่างเคยยกตัวอย่าง คนกระหายน้ำอย่างแรงมามาถึงเรา คนนี้ก็เอาน้ำอย่างดีจะให้เขาดื่ม แล้วบอกว่า แดกซะ ให้ด้วยภาษาอย่างนี้แทบจะดื่มไม่ลงเลย หายความกระหายเลย อย่างนี้เป็นต้น ไม่พูดอะไรเลยก็จะดื่มอย่างชื่นใจ แต่นี่พูดเลยเต็มที่ มันมีความหมายอย่างไรคุณไม่รู้ความหมายของคำหยาบคำแรงอย่างนี้เลยเหรอ
อาตมาพูดคำแรง คำแรงของอาตมาไม่ใช่คำหยาบ แต่คำแรงของอาตมาคือภาวะของการชี้ทุจริตตรง มันจึงแรง พระพุทธเจ้าก็ตรัสอันนี้ สิ่งที่แรงคือ ที่ชี้ความทุจริตให้ตรงความจริงมันเป็นสิ่งที่แรงที่สุด คนที่ชี้ความจริงเป็นเรื่องทุจริต ไปชี้ทุจริตใครก็แล้วแต่ที่ตรงความจริง เป๊งๆๆ แรงที่สุด เป็นความแรงที่สุด ทำความเข้าใจดูดีๆ
สรุปแล้วเรื่องสังคมการเมืองอาตมาอยากจะเคลียร์ให้เข้าใจบ้างว่า โดยรวมแล้วการเมืองของประเทศไทยเป็นการเมืองประชาธิปไตยที่มี Root มีรากมาจากพุทธศาสนา การเมืองประชาธิปไตยของไทย มีเค้ารากจากอนุสัยเลย มาจากพระพุทธศาสนา เมืองไทยเป็นเมืองพุทธมาแต่ดั้งเดิมที่มีโลกุตระธรรมมาก่อนมาตั้งแต่ 2,000 กว่าปีแล้ว ก็ค่อยๆเสื่อมมามาถึงพันปีก็เสื่อมมาเรื่อยๆ จนเหลือ 500 ปีก็จะเสื่อมไปเรื่อยๆ 300 ปีก็เสื่อมเรื่อยๆ
มาถึงยุค กึ่งพุทธกาล เกือบหมดเลย อาตมาขอใช้คำว่าเกือบเท่านั้น ถ้าไม่มีเลย ไม่มีอัญญธาตุ อยู่ไหนอ่ะนิสัยของคนไทยกู่ไม่ขึ้นหรอก ที่พิสูจน์ว่ายังมีเชื้อโลกุตระอยู่ก็ ที่มีคนท้วงอยู่ เขาใช้คำว่า bomb of love ของในหลวงรัชกาลที่ 9 เราที่มีคนท้วงว่า อย่าใช้คำว่า bomb ให้ใช้คำว่า Explosion อย่าไปใช้คำว่า bomb แต่มันเป็นการขยายความรัก
ความรักนี้คือความรักในประชาธิปไตย ความรักในผู้รับใช้ประชาชน รัชกาลที่ 9 ของเราคือผู้รับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง 70 พรรษา 70 ปี ท่านทรงรับใช้ประชาชนในฐานะในหลวง คนเข้าใจหมดทั้งโลกไม่ใช่แต่คนไทย คนไทยยิ่งมีเชื้อของโลกุตระแล้ว ซึ่งอาตมาก็ยืนยันว่า หลักฐานตรงไหนที่ว่าพระพุทธเจ้ามีหลักฐานความเป็นประชาธิปไตย ก็คืออธิปไตยนี่แหละ แต่ไม่ได้ใช้คำว่าประชาธิปไตย มันต้องรวมความของเนื้อหา เนื้อหาของคำว่า อธิปไตย 3
-
หิตะ 2. สุข 3. การรับใช้