640328_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ คนจนโลกุตระมีประชาธิปไตยที่ดีสุดในโลก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1QyA3XTwySmkjyOOBqlPPTHNXiGQtaBt0-xoeTR5ffgY/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1w9Xe7fKQpw27pyExNRJGCRN0tI3GBvMB/view?usp=sharing
และยูทูปที่ https://youtu.be/aoPiAikCo30
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก เหลืออีกเพียงสัปดาห์เดียวก็จะถึงงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ เราจัดงานกันทั่วประเทศ ใครใกล้ที่ไหนก็ไปปฏิบัติธรรมที่นั่น
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 26-27 มี.ค. 2564
_พวงบุปผา หนูรัก : กราบคารวะพ่อครูค่ะ หนูก็เป็นลูกค้าร้านพลังบุญมานานกว่า 20 ปี แต่ไม่รู้จักวัด ได้มารู้จักกับแพทย์วิถีธรรม จึงได้รูว่ามีวัดดีๆ อยู่ใกล้เรานี่เอง หลงไปปฏิบัติธรรมต่างจังหวัดอยู่ตั้งนาน พอมารู้จัก พ่อท่าน ๆ ก็หนีไปอยู่อุบลอีก ก่อนหน้านี้ กะว่าจะฟังธรรมจากพ่อท่านให้เต็มอิ่มสักที แต่ก็ต้องขอบคุณโควิด ที่ทำให้ได้ฟังธรรมจากพ่อท่านจากที่บ้านได้ ด้วยสื่อที่ทันสมัย กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า…ดี ตั้งใจดีๆก็จะเป็นผลสำเร็จจนได้
เมื่อคนยอมรับพ่อครูจะเกิดความละอายเกรงกลัวอย่างแรงกล้า
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อด้วยความรพอย่างสูงค่ะ ในวิญญาณอาหารที่พระราชาสั่งฆ่าโจรไม่ตาย มายุคนี้ลูกเห็นพ่อครูเป็นประดุจ พระราชาที่สั่งประหารโจรปล้นศาสนา แต่โจรดื้อด้านมากไม่ยอมตาย ลูกน้อมกราบนิมนต์พ่อครูรักษากายขันณ์ อยู่เพื่อปราบโจรที่ฆ่าไม่ยอมได้ ได้ไหมเจ้าคะ เพราะนอกจากพ่อครูแล้ว คงไม่มีใครที่จะปราบโจรเหล่านี้ได้เลยค่ะ
น้อมกราบพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า…ได้ นิมนต์ได้ แต่ตายแล้วก็ไม่รับนิมนต์นะ ขออนุญาตตาย อาตมารู้สึกว่ามันเป็นการยึดมั่นถือมั่นจริงๆ 2,500 กว่าปีผ่านมาแล้วของศาสนาพุทธ มันหนักจริงๆตกต่ำไปเรื่อยๆ อาตมาก็จะว่านึกไม่ออกก็นึกออกอยู่ จะว่ามองดูถูกเขาก็ไม่ได้ดูถูกเพราะเขาก็ฉลาด แต่ทำไมพูดป่านนี้แล้วก็ยังไม่เข้าใจ ก็ไม่ได้ลบหลู่เขาว่าโง่เขาไม่ฉลาด ก็ว่าเขาฉลาดอยู่ แต่ทำไมไม่เข้าใจสักที ก็ต้องมาลงโทษตัวเองว่าทำไมเราไม่เก่งจริงนะ อ้างพระไตรปิฎกก็แล้วเอาไปขยายความก็แล้ว ยืนยันมาปฏิบัติให้ดูก็แล้ว อะไรต่างๆนานาก็แล้ว จนกระทั่งเกือบจะตายอยู่แล้วนี่ แล้วเมื่อไหร่จะพอรู้กันได้ น่าสงสารจริงๆ อาตมาก็ว่า เดี๋ยวจะได้ขยายความ ขยายความเห็นอาตมาเห็นอย่างนี้
การยึดถือเขายึดถือสิ่งที่ผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วเราจะทำให้เขาเข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิซึ่งมันตรงกันข้ามกันคนละอย่าง จะให้เขาพลิกเหมือนพลิกฝ่ามือ มันจะได้หรือ ถ้าได้แล้วก็จะรู้สึกจริงๆ อันนี้อาตมาจึงเห็นว่าพระพุทธเจ้าตรัส ผู้ที่ได้มิจฉาทิฏฐิ เมื่อมาได้พบพระพุทธเจ้ามาพบสัตบุรุษ ได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า ฟังธรรมของสัตบุรุษ โอ้โห! ก็จะเกิดความละอายอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้า รักอย่างแรงกล้า เกรงกลัวอย่างแรงกล้าเลย มันจริงที่สุด คุณฟังแล้วเข้าใจกันยากว่าทำไมฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า จากสัตบุรุษผู้อยู่ในฐานะครู ฟังแล้วเกิดละอายอย่างแรงกล้า ติปปัง
โอ้โห! ละอายอย่างแรงกล้า เกรงกลัวอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้า รักอย่างแรงกล้า มันมีสภาวะจริงที่สุดเลย ถ้าคนที่เห็นจริงอย่างนั้นเลย ยกตัวอย่างปัจจุบันเลย
เช่น ขณะนี้พวกผู้รู้ทั้งหลายจะเห็นโพธิรักษ์เป็นมิจฉาทิฐิ ถ้าเขารู้สึกว่าเขาต่างหากที่เป็นมิจฉาทิฐิเขาเห็นตรงกันข้ามกับโพธิรักษ์ เขารู้สึกอย่างนั้นเมื่อไหร่เขาจะเป็นอย่างนี้ แล้วคิดว่าเขาจะเกิดไหม อาการนี้จะเกิดไหมในชาตินี้จะเกิดไหม มีหวังไหม
มันซ้อน เขาอาจจะพอเข้าใจได้ แต่เขาไม่กล้าเปิดเผยยอมรับว่าใช่ แต่ก่อนนี้เข้าใจว่าโพธิรักษ์มิจฉาทิฏฐิ เดี๋ยวนี้เข้าใจแล้วว่าโพธิรักษ์เป็นสัมมาทิฏฐิ เขาเองเป็นผู้มิจฉาทิฏฐิ มันจะไหวหรืออย่างนี้
สมณะฟ้าไท…กาละพัฒนาขึ้นไป พ่อครูมีคนยอมรับมากขึ้น จะมีเหตุปัจจัยให้เขาเปลี่ยนได้ง่ายขึ้น ผมเดานะครับ
พ่อครูว่า…ก็ค่อยๆว่ากันไปเพราะมันเป็นเรื่องจริง ตามเหตุการณ์ยุคสมัยและสัจจะ ผ่านมา 2,500 กว่าปีมันก็เสื่อมไปจนกระทั่งเห็นผิดเป็นถูกเห็นถูกเป็นผิดจริงๆ แล้วอาตมาก็เป็นคนจริงที่บอกแล้วเขาก็ไม่เชื่อง่ายๆว่าเป็นคนที่เอาความถูกมาแก้ไข มาดึงกลับคืนเขาไม่ยอมเชื่อหรอก เพราะว่ามันเป็นเรื่องของวิบากของอาตมา เป็นสัมภาระวิบากที่อาตมาจะต้อง มาอย่างนี้ มาอย่างไม่มีอลังการ ไม่มีที่ไปที่มา บอกตัวเองเป็น สยังอภิญญารู้มาแต่ชาติก่อน คนเขาจะเชื่อหรือ เขาก็เรียนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
แต่เขาไม่ยอมเชื่อง่ายๆหรอก เพราะความเห็นของเขาที่ได้จมฝังลงไป ยึดมั่นถือมั่นแล้วเดินตามอาจารย์กันมาต่อกันมาหลายร้อยปี อาจจะถึงเป็นพันปีเชื่อกันอย่างนั้นมาเรื่อยๆ เริ่มมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ แล้วก็ได้ยึดถือสิ่งที่เสื่อมตรงกันข้าม ขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว ถูกเป็นผิด ผิดเป็นถูก เพราะว่าเมื่อเราโผล่มา พลั๊ว ก็ยังไม่มีใครมา ค้าน แต่นี่โผล่มาค้าน ปัง ไม่มีที่สืบทอดสืบต่อครูบาอาจารย์ก็ไม่มี บอกว่าเอ็งเป็นศาสดาหรืออย่างไร เราบอกว่าไม่ได้เป็นศาสดาแต่เป็นโพธิสัตว์
เขาก็เรียนมาเรื่องโพธิสัตว์ว่าเป็นผู้ที่พยายามไปสู่ความตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตแต่เขาก็เข้าใจไม่ลึกซึ้งอะไร มันเป็นจริงที่อาตมาต้องพิสูจน์ความจริงว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกนี่ อาตมาอธิบายแล้วมีคนเข้าใจและมีคนปฏิบัติได้เป็นจริงเลย มีภาวะยืนยันปรากฏ ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า เช่น มีวรรณะ 9 มีสาราณียธรรม 6 มีอะไรต่างๆนานาสารพัด มีสาธารณโภคียืนยัน ซึ่งยากมากที่สุดเลยแต่มันเป็นไปได้ เขาก็ยังไม่เชื่ออยู่อีกนั่นเอง
ก็ต้องอาศัย 1.ความเป็นจริงในคน 2.มวลปริมาณมากพอ 3.เวลาต้องยาวนานเพียงพอ 4.เขาจึงจะกลับมาเข้าใจว่าตรงตามพระไตรปิฎก แล้วแม้ว่าตรงกับพระไตรปิฎกแล้วเขาก็จะอาจจะบอกว่าแล้วพระไตรปิฎกมันจริงไหม หรือพระไตรปิฎกมาถูกแก้ไขมา ก็ไม่เป็นไรคนเชื่อก็ได้ไป คนไม่เชื่อก็ไม่ได้
คุณเข้าใจมาเชื่ออาตมาอย่างนี้ก็ได้อย่างนี้ คนไม่เชื่อไปเชื่ออย่างอื่นก็ได้อย่างนั้น ก็เป็นตัวใครตัวมัน เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องเสแสร้งอะไรหรอกเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะโลกุตระนั้นเสแสร้งเอาไม่ได้นะ มาเสแสร้งเอาไม่ได้หรอก ไม่ช้าไม่นานก็ โลหิตพุ่งออกจากปากออกไป อยู่ไม่รอดหรอก อยู่ยาก หากไม่จริง
_Danuthum Virulhsirikul (ดนุธรรม วิรุฬห์ศิริกุล) : “ฝนตกคนก็แช่ง ฝนแล้งคนก็ด่า” “ไอ้มนุษย์ขี้เหม็นเที่ยวเขี่ยวเข็นเทวดา… แม้แต่เทวดายังยอมแพ้กิเลสของคน.. ท่านนายก.ประยุทธช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน.ก็บอกว่าท่านเอาเงินมาแจก.. แต่ถ้าไม่ช่วยก็โดนหนักอีกหลายเท่า สงสารท่านนายกจริงจริง.รับบทหนักกว่า.. นายกทุกคนที่ผ่านมา.. ทั้งโควิด ทั้งการประท้วงการเมือง และความเดือดร้อนของประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจของบ้านเมืองโดยรวม…การประชุมสภาที่ผ่านมา.ท่านนายกปราศรัยรายละเอียดการทำงาน ก็มี สส.บางคนหัวเราะเยาะท่าน เพราะสามัญสำนึก ของ สส.บางคนนั้นต่ำกว่าเด็กอนุบาล.. เห็นความเดือดร้อนของประชาชาชนเป็นเรื่องสนุก เหตุการณ์บ้านเมืองทุกวันนี้.ถ้าไม่ใช่ พลเอกประยุทธ ถ้าไม่แน่จริงต้องลาออกแน่นอน
พ่อครูว่า…อันนี้ก็จริงเป็นความเห็นร่วมกันกับอาตมา ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ให้กำลังใจพลเอกประยุทธ์ก็ทำไปเถอะ ยังดีอยู่ ยังแข็งแรงอายุยังไม่มากมาย 67 ก็ 7 ปีผ่านไปแล้ว อาตมา 87 ยังแจ๋วเลย อาตมาว่าจะไปท้าว่าแข็งแรงกว่าพลเอกประยุทธ์ก็ไม่ได้ แต่อาตมาว่าใจอาตมาสู้ได้ ก็เอาน่า ทำเพื่อประชาชนไป
_Narisa Suwanp : อยากให้ญาติธรรมสวมเเมสก์ทุกคนนะคะ
โลกุตระเป็นเรื่องทวนกระแสที่ยาก แต่มีคนทำได้จริง
_Somporn Laosaengfar (สมพร เลาแสงฟ้า) : สมัยทักษิน ตั้งงบสมดุลย์ แต่จีดีพีสูงสุดในอาเซี่ยนแถมมีการตั้งงบ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ให้เพื่อนบ้านไปพัฒนาประเทศ 2 หมื่นล้านบาท สมัยนี้ ตั้งงบขาดดุลย์ปีละห้าแสนล้านบาท จีดีพีกลับต่ำสุดในอาเซี่ยนองค์กรเพื่อความโปร่งใสโลก ให้สมัยทักษินไม่โกง ซื้อสัตย์ลำดับที่ 59สมัยนี้ ได้ลำดับที่ 104 แสดงว่าโกงขึ้นเท่าตัว สมัยก่อน สว มาจากการเลือกตั้ง มีภรรยา สส ได้เป็น สว โดยด่าว่าสภาผัวเมีย (อเมริกา มี แยะ)
สมัยนี้ เป็น สว ไอ้ตู่แต่งตั้ง มาค้ำยันไอ้ตู่ มันตั้งน้องชายมัน
สลิ่ม ไม่ว่าอะไร
พ่อครูว่า…ก็เป็นการมองบางคนก็มองไปในมุมลบก็หาข้อมูลมาอ้างอิงของตนเองไปต่างๆนานา เรื่องที่จะพูดว่าเศรษฐกิจดีก็ดี การเมืองดีก็ดี สังคมดีก็ดี
คำว่าดี ของสังคม หรือคำว่าดีของเศรษฐกิจ คำว่าดีของการเมืองมันเป็นการประมาณของผู้ที่เอาความรู้สึก เอาความรู้ของตัวเองเป็นมาตรวัด
อาตมาเองเกิดมาในยุคเดียวกับสังคมข้างนอก อาตมาพาพวกเรามาจน พวกเรานี้จนได้มาเป็นคนจนมีคุณภาพ มาเป็นคนจนได้จริง แล้วก็อยู่เย็นเป็นสุขสำราญขนาดนี้ อาตมาพูดนี้เป็นการพูดเล่นลิ้น พูดโก้ๆไม่เข้าร่องเข้ารอยหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ เป็นการพูดความจริง ได้สะสมความมากด้วยเงินทองทรัพย์สินเข้าของ แต่สละออกให้คนอื่นเขาใช้ได้มาก เรามีน้อยก็อยู่ได้ตามฐานานุฐานะของเรา จิตใจจริงๆมุ่งหวังตั้งใจลดละให้ไม่มีตัวตน ยึดหลักวรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 แล้วพวกเรามาปฏิบัติได้โลกุตรธรรมตามพระพุทธเจ้าเป็นได้ขนาดนี้
อาตมาว่าพวกเราที่อยู่นี้คือการมีสังคมเศรษฐกิจการเมืองดีแต่คนเขามองไม่ออก ดอกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ ดอกเตอร์ทางการเมือง เขามองไม่ออก หรือเขาอาจจะพอเห็นว่ามันน่าจะดี แต่อั๊วไม่เอาตามเพราะทำตามไม่ได้ขายขี้หน้า ไปยอมรับแล้วทำไม่ได้จะโดนว่า เพราะฉะนั้นก็ไม่ยอมรับดีกว่าก็เป็นได้
แต่เขาว่ามันสุดโต่งไป นี่แหละมากกว่า คนในยุคเดียวกันแต่สุดโต่ง เรามาเป็นได้แต่เขาหาว่าสุดโต่ง เศรษฐกิจสังคมการเป็นอยู่กินอยู่ก็อันเดียวกัน แต่พวกเราไม่อ้วนฉุ เป็นคนสันทัดคน ได้สัดส่วนดี เอาค่าเฉลี่ยหาคนลงพุงได้น้อย คนลงพุงจะมีหัวโตอยู่คนนึงเท่านั้น นอกนั้นเขาก็มีร่างท้วมได้
เรื่องพวกนี้เป็นคนสามารถที่จะเข้าใจว่าจะเป็นอย่างนี้ มีพฤติกรรมอย่างนี้ อารมณ์อย่างนี้ ความรู้สึกอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ก็เหมือนคนทั้งหลาย เขาก็รู้เรื่องเงินทองเข้าของ อารมณ์ความรู้สึกการกระทบสัมผัส เขาก็รู้เหมือนอย่างที่เรารู้ได้ แต่เราก็มาเลือกเป็นอย่างนี้จิตใจของเราเป็นจริงอย่างนี้ คนอื่นบางคนอาจเข้าใจว่าดีเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่มาก็เรื่องของเขา
เรื่องการศึกษาทางจิตวิญญาณที่รู้และเป็นได้นี้ รู้แล้วเป็นไม่ได้มีเยอะรู้แล้ว เป็นได้มีน้อย ไม่รู้แล้วก็เป็นไม่ได้ยิ่งมีมากมาย มากถึงขั้นเป็นเทวนิยม เทวนิยมกับอเทวนิยมเป็นโลกียะกับโลกุตระ พูดไปเหมือนไปข่มเขาทับถมเขา เหมือนดูถูกดูแคลนเขา อย่างนั้นจริงๆ โลกุตระ
โลกุตระมันเป็นเรื่องที่ทวนกระแส โลกียะนั้นเป็นกระแสเดียวกันมีความสุขอย่างเดียวกันใครเขาจะเอาสุขไม่เอาทุกข์ เอาแต่รวยไม่เอาจนเอาลาภยศสรรเสริญความยกย่องเชิดชู ไม่เอาความดูถูกดูแคลนก็ไม่มีอะไร คนมาดูถูกเราย่ำยีเรา ไม่ใช่เราจะไม่มีปฏิภาณรู้ว่าเขาด่าเรา แล้วเราแย่จริงไหม เรามาจนเราไม่ได้เป็นคนแย่นะ เราเป็นคนจนไม่มีอะไร จะเป็นคนเสียสละ เป็นคนไม่ตอบโต้ ไม่รังแกคนอื่น เราไม่ใช่คนอ่อนแอขี้แพ้นะ แต่เราไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายเดือดร้อน เรายอมแพ้ถึงแม้เขาจะฆ่าเราตายก็ไม่มีความพยาบาทถือสา ตายก็ตาย แล้วเราก็ไม่ทำในสิ่งที่เป็นความพยาบาท เป็นเรื่องที่จะต่อไปไม่ว่าจะเป็นราคะ โทสะที่จะเป็นการต่อภพชาติ เราก็ตัด
ไม่ว่าเขาจะรักเรา เราก็ไม่รักตอบ ใครเขาจะโกรธเรา เราก็ไม่โกรธตอบ
เขามารักเราแล้วเราไม่รักตอบมันจะดีหรือ …ดี แต่รู้ว่า สิ่งที่ควร ควรมีใยอย่างรัก มีใยอย่างโกรธเกลียด แต่โกรธเกลียดไม่มีใยเลยก็ได้ แต่รักต้องมีใยต่อกันที่ควรเป็นประโยชน์ต่อกัน เราก็มีปฏิภาณรู้ แต่เราไม่ได้รักผูกพันติดยึด จะต้องเป็นวาสิฏฐีกามนิตต่อภพชาติไป ไม่เอา มันก็เป็นเพียงปัจจุบันนี้ ก็ช่วยเหลือกันไปเท่านี้ก็พอแล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นในเรื่องของความเข้าใจ คนไทยนี้เป็นพุทธ 95% เดี๋ยวนี้เขาก็ตรวจสอบอยู่ก็ยังเป็นพุทธที่มีพลเมืองเพิ่มขึ้นอีก ศาสนาอื่นก็เข้าแทรกเพิ่มไม่ได้ ก็ยังมีค่าเฉลี่ย 95% เขายังเพิ่มพลเมืองของศาสนาอื่นไม่ได้ เราก็ไม่ได้รังเกียจต่อต้าน ใครจะนับถือศาสนาอะไรก็ไม่ได้บังคับ ให้อิสระเสรีภาพเต็มที่ คน 95% อย่างไรทุกวันนี้ก็ยังเป็นพุทธนะ ก็ยังมีความรู้ความฉลาดที่เป็นโลกุตระ ยังน้อย
ถ้าจะว่าจริงๆ ในยุคของพระพุทธเจ้าย่อมมีมากกว่าแน่นอน พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปก็น้อยลงมาเรื่อยๆจนถึง 2,500 กว่าปีก็กึ่งพุทธกาลสมณะโคดม ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดพระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตรว่า ต่อไปเรื่องโลกุตระจะไม่นิยมกัน จะไปหลงคารมพวกภาษาสวยๆโลกีย์ แล้วก็(พ่อครูไอตัดออกด้วย) ไปหลงคำสอนสวยหรูของชาวโลกีย์ที่ยังเต็มไปด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ผู้บริหารศาสนาเป็นพวกโลกีย์เต็มไปด้วยลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข บริบูรณ์ไปด้วย พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนดั่งกับใบดอกผล
ส่วนศาสนานั้นมีกระพี้ มีสะเก็ด มีเปลือก มีแก่น เขาไม่เอาเลย สะเก็ดคือศีล เขาไม่เอา เอาแต่แบบสีลัพพตุปาทาน สีลัพพตปรามาส ไม่ได้เป็นศีลที่ยิ่งยอด เป็นศีลนี่แหละทำให้เกิด สมาธิ ปัญญา วิมุตติ เขาไม่เชื่อ เขาไม่ได้เข้าใจอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องของศีลไม่มี ก็อย่าไปพูดเรื่องของสมาธิ ปัญญา เลย
ศีล ของเขามิจฉาทิฏฐิ แล้วสมาธิ ปัญญา วิมุติ ก็เป็นมิจฉาทิฐิหมดไปแล้ว อาตมาทำงานมา 50 ปีเลย 50 ปีแล้ว อาตมาไม่ขออมพะนำ แต่ขอพูดอย่างเต็มปากเต็มคำแรงๆว่าเป็นเช่นนั้นและก็ยังเป็นอยู่ มีคนมาเข้าใจอย่างที่อาตมาว่า ของโลกุตรธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ ก็คือพวกเราเข้าใจแล้วก็ทำได้อย่างที่เรียกว่า ท่ามกลางประชาชนเกือบ 70 ล้านคน เราปฏิบัติจริงได้มรรคผลอย่างพวกเรา มีกี่คน เป็นหมื่นเป็นแสนนับอย่างหลวมๆ ใน 60 70 ล้านคน ตีว่าเป็นชาวพุทธสัก 50 ล้านคน มาอยู่นี่ได้แค่นี้ ถึงห้าหมื่นไหม?
แต่ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันของมนุษยชาติ พวกคุณเสียดายไหมที่ โอ้โห มาถูกโพธิรักษ์ ครอบงำทางความคิดและเป็นอย่างนี้ บางคนมาเป็น 40-50 ปี 40 กว่าปีก็เยอะ 50 ปีก็คงจะน้อยคนเพราะอาตมาทำงานมา 50 ปี แล้วเสียเวลาไป ไม่เสียดายหรือ? …คนบอกว่าเสียดายที่มาช้าไป
มันเป็นเรื่องเหมือนเราพูดข่ม ตลก แหมทำโก้ ทำสวย ทำเด่น ทำดี แต่เป็นเรื่องที่ยากโลกุตระเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้ ต้องทวนกระแสกันคนละขั้วคนละทางกับโลกียะ มันจะเห็นดีเห็นงามไม่ได้ง่ายๆ มันตรงกันข้ามกันเลย
ปัญญา 8 ประการข้อที่ 1 ต้องได้รับมาจากสัตบุรุษ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องปัญญา ในปัญญาสูตร พระไตรปิฎกเล่ม 23 เริ่มข้อ 92
ปัญญาสูตร ล 23 ข 92
[92] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุ 8 ประการ ปัจจัย 8 ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงามไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว 8 ประการเป็นไฉน
1.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่งผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรักและความเคารพไว้อย่างแรงกล้า(ติปปัง) ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 1 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว
พ่อครูว่า…ปัญญาอันเป็นเบื้องต้นแห่งความรู้ความฉลาดของพรหมจรรย์คือ ศาสนาพุทธ ถ้าไม่มีเบื้องต้นความรู้อันนี้ ยังไม่เป็นพุทธได้ ยังไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่จะเป็นพุทธ
2.เธออาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพไว้อย่างแรงกล้านั้นแล้ว เธอเข้าไปหาแล้วไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่าข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้นย่อมเปิดเผยข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้งข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ 2 ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา ฯลฯ เพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้ว ฯ
พ่อครูว่า…ซึ่งเป็นผู้ที่มีธรรมะตรงกับพระศาสดา ยิ่งเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นสัตบุรุษ (มีคนแย้งว่าสัตบุรุษมีตัว ต ตัวเดียว อาตมาว่าคนไทยไปตัดออกเอง)
ทำไมต้องตั้งความละอาย ได้ฟังคำสอนพระพุทธเจ้าที่มีความหมายอย่างนี้ ต้องมาเป็นคนจนนี่แหละเป็นสุดยอดเป็นโลกุตระ ต้องเกิดความละอาย เพราะสามัญคนเราไม่มีใครที่เป็นคนโลกีย์ที่จะต้องมาเป็นคนจน มาเอาแบบคนจน ซึ่งไม่มี แบบโลกีย์เขาไม่เอา เขาจะต้องเป็นคนรวย
เพราะฉะนั้นตลอดมาเมื่อไหร่ก็ตาม โลกียชนทุกลมหายใจก็เอาแต่ความรวย ไม่รู้กี่ชาติก็เอาแต่ความรวย พอมาฟังแล้วเกิดความฉลาด ที่เหนือชั้นกว่าต้องมาเอาคนจนคนที่รวยนั้นยังเป็นคนชั้นต่ำ คนที่จะสูงกว่านั้นต้องมาเป็นคนจน เข้าใจจริงๆเลย เกิดภูมิปัญญาเป็น อัญญธาตุเกิด
ธาตุที่พลิกจาก แต่ก่อนเข้าใจทิศทางอย่างนั้นทิศทางเดียว ว่าต้องมารวย..คนมาจนก็เป็นคนบ้าสิ คนจะมาเอาความจนแบบจริงใจ แต่เราบอกว่าคนจนนี่แหละราชันกว่าเป็นคนเลิศประเสริฐกว่าไม่ต้องไปแข่งรวยหรอก มาจนนี่แหละ อยู่อย่างสุขสำราญเบิกบานใจ แล้วไม่ใช่จนแบบโง่แบบคนต่ำๆ แต่เป็นคนจนอย่างขยันหมั่นเพียร มีสมรรถนะสร้างสรรขยันเพียร มีผลผลิตเยอะแยะแล้วก็มีมากๆก็ให้เขาไปหมดมันก็มีน้อยกว่าเขาไม่มีน้อยก็เป็นคนจนอย่างเดิมจะได้ให้แก่ผู้อื่นมากๆๆๆ อาตมาพยายามอธิบายสภาวะถึงสาระแท้ๆของความเป็นคนจน
พวกเรารู้สึกและเข้าใจอย่างใหม่และได้ปฏิบัติอย่างที่อาตมาว่าไหม นี่คนบรรลุธรรมเป็นโลกุตรธรรมตามแนวพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคุณจะอยู่ในสังคมในยุคไหนก็ตาม ไม่ว่าจะในยุคไหน คุณเป็นคนอย่างนี้เป็นคนไม่มีพิษภัยไม่มีโทษต่อมนุษยชาติ มีแต่ความเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ
เขาจะเรียนเศรษฐศาสตร์จบปริญญา ดอกเตอร์เขาก็ยังไม่เข้าใจขนาดนี้ เมืองไทยเป็นเมืองพุทธมีพระเจ้าแผ่นดินตรัสว่าต้องมาเอาแบบคนจน บริหารแบบคนจน มาขาดทุนมาเสียสละ ขาดทุนของเรานี่แหละคือเราได้เรากำไร เป็นสิ่งที่ควรได้ควรเป็น อย่าไปเอากำไร แต่เอาขาดทุนนี่แหละเป็นสิ่งที่ควรได้ของมนุษย์ ในหลวงเป็นพระเจ้าแผ่นดินของประเทศ ตรัสออกมาอย่างไม่ได้ มังกุ ไม่ได้เก้อ เขิน ท่านเป็นในหลวง เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านตรัสอะไรที่ผิดไม่ได้นะ The King can do No Wrong. ในหลวงบอกว่าจะไปพูดอย่างนั้นไม่ดี ท่านไม่ได้ติดยึดอย่างนั้น ท่านถ่อมพระองค์ ท่านว่าท่านผิดพลาดได้เหมือนกัน แต่เขายกให้ก็เอาเถอะแต่เราก็พยายามไม่ผิดอยู่แล้ว
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…
พ่อครูว่า..ความเข้าใจ Concept คนอเมริกันเป็นความคิดที่ตกยุคมาก แต่ก่อนคนไม่ได้คิดว่ามันล้าหลังที่คิดอย่างชาวอเมริกัน ซึ่งมันเป็นความคิดที่ไม่เป็นสัจจะยั่งยืนมันหลอกด้วยโลกีย์ จะต้องเป็นหนึ่งในโลก จะต้องไปสวย รวยๆ ยิ่งใหญ่มีมากมีศักดิ์ศรี นานาสารพัด ในทุกมุมทุกมิติโลกีย์ อเมริกัน
พอมาถึงทุกวันนี้ชัดเจน
สมณะฟ้าไท…American สร้างบ้านแต่ทำให้คนถูกยึดบ้าน มีคนจรจัดเยอะแยะ ในทุกส่วนของประเทศ ส่วนจีนคนจรจัดมีน้อยกว่า จีนไม่มีปัญหาอาชญากรรม แต่อเมริกามีอาชญากรรมเต็มประเทศ
พ่อครูว่า…ในยุคนี้เป็นยุคที่เปิดเผยความจริงออกมา นั่นในโลกีย์นะ อย่างที่พูดกัน ทางอเมริกากับจีน คือ แต่ละประเทศแต่ละสังคมก็พยายามค้นหาความจริง ค้นหาความถูกต้อง อะไรจะดีกว่า ก็ค้นหาความจริงกันทั้งนั้น จนกระทั่งก็ได้ตามที่เขาเชื่อ คนเรามันไม่แกล้งตัวเอง ตัวเองก็ต้องการความจริงที่เป็นความสบาย ความสุข ความสงบ ความประเสริฐต่างๆนานา เขาต้องการความดี ความงาม ความประเสริฐ ความสุขสงบ แล้วอะไรมันสุดยอดที่ได้
อย่างชาวอโศกก็แสวงหาเหมือนกันแล้วได้อย่างนี้ จนกระทั่งกลายเป็นลักษณะของโลกุตรธรรมที่พูดกับเขาไม่รู้เรื่อง เพราะว่าในโลกแห่งความคิดของเขามันไม่มี ความคิดแบบนี้เป็นความคิดนอกที่เลยไปจากโลก ซึ่งมันเป็นคนวิปริตเป็นไปไม่ได้ เขาอาจจะมีความรู้ความเข้าใจว่า มีอย่างที่ไหนคนจะต้องกลายเป็นคนจน เป็นคนเสียสละมีแต่สร้างให้คนอื่น ให้คนอื่นได้แล้วเป็นความสุข เขาแกล้งพูดหรือเปล่า
แล้วคนจะมาอยู่รวมกัน ต่างคนต่างเสียสละ โลกต้องการจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เปลี่ยนแปลงมาจะต้องให้แบ่งแจก ต้องแชร์กัน จนกระทั่งตั้งกลุ่มคนเป็นสังคมเป็นสังคมนิยม เพื่อที่จะร่วมกลุ่มกันกันอย่าให้คนที่โลภปล่อยไปเป็นของตัวเองมากๆ กลายมาเป็นสังคมนิยม สร้างพลังงาน บุญนิยมจึงให้เปลี่ยน ซึ่งเขาไม่มีกฎหมายบังคับหรอกเพื่อจะให้แชร์กัน ให้ประชาชนมีความเสมอภาคกัน
แต่คนเราจะไม่บังคับให้คนมีสมรรถนะเท่ากัน มีความรู้เท่ากัน ความยึดถือเท่ากัน ซึ่งมันไม่ได้หรอก จิตวิญญาณจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้เลย อันนี้เป็นสัจจะโลกุตระที่ลึกซึ้ง มันก็ต้องอนุโลมให้คนที่เขายึดถือขนาดต่างๆ พยายามให้คนมาเปิดโลกุตรธรรม เกิดความไม่ยึดตัวตน จนกระทั่งกลายเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย ไม่ยึดสุข ไม่ยึดรวย ไม่ยึดมีอำนาจ ไม่ยึดแม้กระทั่งไม่มีตัวตน ซึ่งเป็นสัจจะที่สุดแล้วไม่มีตัวตน
และสภาวะต่างๆนี้เป็นจริงได้มาเรียนรู้และปฏิบัติได้ แล้วอาตมาว่าพวกเราเป็นได้เป็นโลกุตระ จะใช้ภาษาเรียกว่าเป็นระบอบการเมืองเป็นรัฐศาสตร์เป็นประชาธิปไตยก็เป็นอย่างนี้แหละ เป็นคนที่เสียสละแต่เอาไว้น้อยที่สุด จะเรียกว่าเป็นระบอบเศรษฐกิจก็ให้หมด จะเรียกว่าเป็นระบอบสังคมการเมือง ก็เป็นสังคมอย่างนี้ อยู่กันอย่างท่ามกลางพวกคุณเป็นอย่างนี้ก็ไม่เดือดร้อน แล้วมีหมู่พวกที่มีความรู้แล้วว่า ทุกคนมีวรรณะ 9
วรรณะ 9 นี้สุดยอดเป็น The Classical เป็นมนุษย์ชั้นสูงที่สุด เป็นมนุษย์คลาสสิค
วรรณะ คือชั้น class ชั้นสูงอย่างไร ความหมายชัดทั้ง 9 ตัว
เช่น วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
มีง่ายๆให้ไปง่ายๆ มีแล้วไม่มีมันง่าย แล้วก็อยู่ง่ายๆอย่างนี้ ไม่ไปขัดแย้งกับคนอื่นเขาไม่เป็นปฏิปักษ์ ไม่เป็นตัวต้านทาน เป็นผู้แพ้ก็ได้ เป็นเบี้ยล่างของเขาก็ได้ไม่เป็นไร สบาย ซึ่งคนที่ถือศักดิ์ศรีจะบอกว่าไปเป็นเบี้ยล่างเขาได้อย่างไร แพ้เขาได้อย่างไร เสียศักดิ์ศรีได้อย่างไร เขาก็เป็นคนอย่างนั้นจริงๆแบบทักษิณ แพ้ไม่ได้ ผมสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น เดี๋ยวนี้เขาก็ยังไม่ยอมแพ้นะ ถ้าทักษิณบอกว่าพอเถอะยอมแพ้เถอะ ประเทศไทยจะลอยตัวไปอีกมากแต่นี้ไม่รู้เขาจะทำไปทำไม คนเรามันเป็นอย่างนี้คือมันฉลาดน้อย อยู่อีกตลอดกาลนานซึ่งมันยาก
ตอนนี้อาจารย์ทั้งหลายในมหาวิทยาลัยก็เป็นโลกีย์ แต่ก็พอมีปฏิภาณรู้ว่า มีแสงรำไรว่ามีโลกุตระ แต่เขาเป็นไปไม่ได้ไม่มีสิทธิ์ เขาก็ทำเป็นว่าเขาเข้าใจนะ แต่ก็เป็นคนประพฤติเป็นคนไม่เปิดเผย ต้องไปอ่านบทความของเปลวสีเงิน ซึ่งจะเห็นว่าเขาเขียนถึง ว่าไม่มีปัญญา ไม่มีความเฉลียวฉลาดพอ
ทีนี้คำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า ผู้มาฟังธรรมพระพุทธเจ้าได้ฟังสัตบุรุษหรือผู้อยู่ในฐานะครูก็ดี เป็นปัญญาข้อที่ 1
คนเอาคำว่า ปัญญา ไปปู้ยี่ปู้ยำเป็นโลกีย์ไปหมด ซึ่งเสียความเป็นปัญญาไปหมด อาตมาก็พยายามกอบกู้คืน แต่ก็ต้องอธิบาย เอามาใช้ให้มันถูก เอามาให้ใช้ตามสภาวะ ซึ่งคงจะแก้ไขที่เขาเอาไปใช้ไม่ได้แล้วก็ต้องยอมรับ แม้แต่คำว่าบุญเข้ามาอยู่ในสัจจะที่ควรเป็น แต่ก็ต้องเอาความถูกต้องของเนื้อหาและพวกเราก็ใช้ภาษาเก่าของท่าน เช่น ปัญญานี่แหละ แต่อธิบายสภาวะมันไม่เหมือนอันโน้น
โลกที่มันไปยึดถือโลกีย์มากจนกระทั่งหลงยึด มืดบอดเลย พระพุทธเจ้าก็เลยตรัจว่าคนที่เริ่มต้นมีปัญญา แง้มเห็นแสงรำไรอยู่ปลายอุโมงค์เห็นว่า ความฉลาดเป็นจริงอย่างลงตัวละเป็นปัญญามันตรงกันข้ามกับที่ตัวข้าเคยหลงอยู่อย่างนี้ เป็นมาไม่รู้กี่ชาติ ที่จริงแล้วมันผิดมาตรงกันข้ามกันเลย
คนนี้พอเริ่มต้นได้ยินโลกุตรธรรม เมื่อได้ฟัง อาศัยพระศาสดาเพื่อนพรหมจรรย์ที่อยู่ในฐานะของครู พอได้ยินก็เข้าไปตั้งความละอายเลย ว่าทำไมเราถึงโง่ดักดานขนาดนี้ เพิ่งจะมาแง้มเห็นความจริงความฉลาดเดี๋ยวนี้เองเนาะ ผ่านมากี่ล้านชาติแล้ว ที่โง่มาอย่างนั้น เดี๋ยวนี้คนเรานั้นเขาก็ยังยึดยังเห็นกันอยู่อย่างนั้น แต่เรานี่เริ่มมาทางนี้ได้เมื่อมองตัวเอง เราก็เคยโง่เหมือนเขาโง่ ไม่พูดต่อนะว่าเขาก็จะโง่ต่อไปอีก
คนที่จะหลุดออกมาเป็นโลกุตระ เอามือจิ้มเข้าไปที่พื้น ดินติดเล็บมานี่แหละ เทียบกับพื้นดินในโลกทั้งโลก เท่านี้แหละ กี่ปางกี่ชาติก็ตาม อาจจะมากขึ้นหน่อยแล้วลดลง ก็คือยอดปิรามิด ไม่มีสิทธิ์จะลงไปเป็นฐานของพีระมิดได้เลย โลกุตระ นิรันดร
คนที่ยังโง่แบบนั้น ก็สงสารตัวเองรู้ตัวเองว่า จมในสังสารวัฏกับโลกีย์เขาไปกี่ชาติ นับชาติไม่ถ้วน พอมารู้ว่าต้องออกจากสิ่งเหล่านี้ สมเพชเวทนาตัวเองละอายตัวเอง กูทำไมมันโง่ๆๆ ละอายตัวเอง ละอายอย่างแรงกล้า
อาตมาไม่ได้พูดเกินไปเลยนะ พยายามอธิบายสภาวะให้เข้าใจ พอเห็นชัดขึ้นไหม แต่คุณยังไม่ชัดเท่าอาตมา ใช่ไหม แล้วคุณคิดดูสิว่า อาตมาจะละอายขนาดไหน เป็นอย่างนี้จริงๆเลย ไปโง่งมงายอยู่ได้อย่างไร แล้วคิดดูสิว่าคนจะโง่อย่างนี้อีกกี่ล้านปี เป็นสิ่งครองโลกเลย แล้วคนที่จะมาเข้าใจอย่างนี้ได้ มีจำนวนนิดนึง
พวกเราอยู่ท่ามกลางทุนนิยมจัดจ้านเน่าเฟะอย่างนี้ พวกคุณก็ยังหลุดมาได้ ไม่ใช่น้อย ไม่ใช่ธรรมดา ..จริงไหม…จริง ชมตัวเอง หลงตัวเอง
อาตมาเอาของพระพุทธเจ้ามาพูด พวกคุณก็ฉลาดฟังเข้าใจ อาตมาไม่ได้เป็นของอาตมาเองหรอก อาตมาควรเก่งกว่านี้อีกไหม? อย่าเพิ่งชม เพราะยังมีสิ่งที่ยิ่งกว่านี้อีก
ทำไมต้องเข้าไปตั้งความละอายเกรงกลังอย่างแรงกล้า
เข้าไปตั้งความละอาย อย่างแรงกล้า(ติปปัง) ความเกรงกลัว มันกลัว ละอายแล้วก็กลัว หิริแล้วโอตตัปปะ
กลัว แล้วก็รักและเคารพ ละอายเกิดก่อนกลัว กลัวเพราะว่าเราไม่น่าจะโง่ไปทำสิ่งที่ไม่น่าทำเลย มันน่าเกลียดน่าชัง น่าทุเรศ ขนาดหนัก เราจะโง่ไปถึงขนาดนั้น มันจะเห็นอย่างนั้นจริงๆ มันถึงกลัว
คนที่เกิดปัญญาความฉลาดเกิดความรู้อย่างนี้ มันมีแรงพอ มันไม่กลับไปเอาหรอกอย่างนั้นอีกมันน่าทุเรศขนาดไหน ทั้งละอายทั้งกลัว
เพราะฉะนั้นคนที่มีพลังของความแรงกล้า ความละอาย พลังของความแรงกล้าของความกลัวสิ่งที่เราไปถลำ โง่หลงมาตั้งนานแสนนาน มันชัดเจน มันหยั่งถึงรากแห่งความจริง มันจึงอาย มันจึงกลัว เพราะฉะนั้นจึงเต็มไปด้วยความรู้ เต็มไปด้วยความรู้จึงเกิดความรัก เกิดความเคารพ สิ่งที่เราเพิ่งจะเห็น โลกุตระ
รักโลกุตระ เคารพโลกุตระ นี่ อาตมามีพยัญชนะแค่ไม่กี่คำ ขยายความละเอียดละออของสัจธรรมพวกนี้ให้ฟัง คลี่ความให้ฟัง
เป็นความรู้ของมนุษยชาติที่จะมาเข้าใจและจริงใจอย่างที่อาตมาพูดไป ขนาดรู้แล้วมันยังเป็นไปไม่ได้ง่ายๆเลย ใช่ไหม เป็นไม่ได้ทันที เป็นไม่ได้ง่ายๆ แต่พวกคุณนี้มีส่วนแล้วทำได้ ส่วนผู้ที่จะเริ่มฟังอาตมา เปิดจิตฟัง ถ้ายังเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยังเห็นว่าอาตมาผิดเป็นผู้ไม่รู้ คนนี้บ่มีไก๊ ไร้สาระ มิจฉาทิฏฐิ คนนี้ก็ปิดประตูเขา
แต่อีกคนหนึ่งฟังแล้วรู้สึกว่ามีอะไรดีๆเหมือนกันนะโพธิรักษ์ แง้ม เปิดรับอาตมาไปบ้าง เขาก็จะค่อยๆได้ เริ่มเป็นรอยร้าวเขื่อน
เขื่อนถ้ามีรอยร้าวจะพังในอนาคต แต่เมื่อไหร่ไม่รู้นะ นานเท่าไหร่ก็แล้วแต่ เริ่มมีรอยร้าว
ผู้ที่ชัดเจนว่าโพธิรักษ์เป็นผู้ที่มีอะไรพอฟังได้ แต่ด้วยความจริงใจนะ ไม่ใช่ถูกหลอก แสดงว่าเกิดจิตใจที่เต็มที่ เริ่มรับรัศมีของโลกุตระได้ เริ่มรับกัมมันตภาพรังสีของโลกุตระได้ ก็ค่อยๆเข้ามา
สู่แดนธรรมว่า…ที่พ่อท่านพูดนี้ไม่ได้หาบริวารนะ
พ่อครูว่า..ใช่ อาตมาบอกมาแต่ไหนแต่ไร อาตมามาทำงาน อธิบายขยายความไม่ใช่เป็นไปเพื่อให้คนมานับถือ ไม่ได้มาหาบริวาร ไม่ได้ให้คนเข้าใจว่า อาตมาเป็นคนเก่งคนวิเศษ ไม่ได้มาหาลาภยศสรรเสริญโลเกียสุข ตั้งแต่ต้นก็ไม่มี แม้แต่จะให้คนมานับถือ มาเป็นบริวาร มาเข้าใจว่าอาตมาเป็นผู้ที่เก่งวิเศษเลิศเลอ เป็นผู้ที่จะมาสร้างลัทธิ ข่มลัทธินั้นข่มลัทธินี้ ไม่ใช่
แต่มาเปิดเผยความจริงให้มาละหน่ายคลาย ให้เลิกยึดถืออย่างที่หลงมาไม่รู้กี่ล้านชาติแล้ว ให้เลิกซะ เท่านี้ เพราะอาตมามาชาตินี้ อาตมาไม่ได้ลาภ อาตมาก็พอแล้ว อาตมาไม่ได้ยศ อาตมาก็พอแล้ว อาตมาไม่ได้รับสรรเสริญเลย ดีไม่ดีได้รับแต่ความนินทาว่าร้าย อาตมาก็พอแล้ว อาตมาไม่ได้เสพสุขเสพทุกข์เลย เพราะอาตมาชัดกว่าชัดว่า สุขทุกข์มันก็เป็นสภาพ 2 ที่คนไปหลงน่ามี น่าเป็น น่าได้ เท่านั่นเอง แต่ถ้ามาก็ไม่มีจริงๆ จิตใจของอาตมาก็เห็นว่า อันนี้ทุกข์สุข ก็ไม่เป็นมันก็เป็นอย่างที่มันเป็น
อาตมาก็มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันนี้สังขารมันมีอยู่อย่างนี้ มีสิ่งที่บกพร่องและสมดุลอยู่บ้างแต่ก็พอเป็นไป ถ้ามันหนักหนาสาหัสกว่านี้ก็อาจจะบอกว่าไม่อยู่ ตอนนี้มันยังพอไปได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ไม่ได้ทนอะไรมากมายแต่ก็พอเป็นไปได้แต่รู้ว่ามันเป็นภาระ ภาราหเวปัญจขันธา ก็ไม่เป็นไร
ถ้ายังอยู่ต่อไปอาตมาว่าก็ยังทำประโยชน์ได้อยู่นะ อย่างดีก็ขอกินข้าววันละมื้อ มีที่นอนให้นอนอย่างไรก็ได้ มีที่นั่งทำงานที่ไหนก็ได้ มีเวลาทำงานเท่าไหร่ก็เอา ไม่มีเวลาให้อาตมาก็ทำของอาตมาเอง เขียนไป บ่นใส่ที่เก็บบันทึกไป คนเก็บบันทึกเขาก็เก็บไว้ทั้งหมด มีเวลานอนเท่านั้นเขาขอเอาไปชาร์จ ถ้าไม่ชาร์จก็เอาไว้อย่างนั้นตลอดกาล แต่เขาจำนนต้องเอาไปชาร์จ รุ่งเช้าก็เอามาให้แต่เช้า นอนลงเมื่อไหร่ก็เอาคืนไป ทุกวัน ไม่มีคำไหนตกหล่น อัดไว้หมด เสียงปู๊ดป้าดก็มี เอ้าจริง ไม่ได้พูดเล่น พูดจริงเรื่องจริง ตลอด ถ้าเผื่อว่าไม่เอาไปชาร์จ เขาเอาไว้ 24 ชม.แน่ ก็มีเสียงกรนเสียงลมหายใจ อัดไป ก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาไม่มีอะไรปกปิด ไม่มีอะไรซ่อนแฝง อาตมาก็เปิดทุกอย่าง เปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่าง
คนจนโลกุตระมีประชาธิปไตยที่ดีสุดในโลก
ในชีวิตของคน ในเรื่องสาระทางธรรมะมันเป็นเรื่องสาระธรรมะ แต่สาระของสังคมมาเรียกสาระของสังคมว่า ระบอบการบริหาร ระบอบการปกครอง
แล้วก็ตั้งชื่อกันไปสารพัด ตั้งแต่เผด็จการคอมมิวนิสต์ประชาธิปไตย ก็เป็น 3 อย่างใหญ่ๆ
คอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยมก็คล้ายๆกัน แล้วก็เป็นประชาธิปไตย มันก็เป็น 3 ความหมายใหญ่ๆ
ทีนี้คนจะรู้ว่าเรื่องประชาธิปไตย เดี๋ยวนี้มีปฏิภาณปัญญากันทั่วโลก ชัดเจนแล้ว ว่าประชาธิปไตยนี้ดีที่สุด คือให้ทุกคนมีสิทธิ มีอำนาจเท่าเทียมกันหรือพอกัน ซึ่งความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้หรอก คนที่มีความดีงาม มีความถูกต้อง แล้วก็ทำงานให้แก่ประชาชน รับใช้ประชาชน โดยตนเองนั้นเป็นผู้เสียสละจริงๆ เป็นผู้รับใช้จริงๆ โลกานุกัมปายะ หรือ พหุชนหิตายะ เป็นประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ (อายะ 3) พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) อายะคือ gain คือ ประโยชน์ คือรายได้ คือกำไร
อายะ 3 เป็นสุดยอดของประโยชน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วก็เป็นให้ได้ เป็นคนที่มีคุณค่ามีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ พหุชนะนี่แหละคือ ประชาธิปไตยเป็นหมดอำนาจประชาชน แล้วให้ได้รับความสุข ใช้คำว่าสุขมาอาศัยใช้ เขายังไม่เข้าใจว่าความสุขเป็นมายาชนิดหนึ่ง แต่ก็ต้องยอมให้เขาอาศัยก็ยังดีกว่า จนทำให้คนเข้าใจได้ว่า คนจะสุขเพราะได้เป็นคนไม่มีตัวตน คนจะเป็นสุขเพราะได้เสียสละเต็มที่ คนจะสุขเพราะมีความรู้ความสามารถมีสมรรถนะ แค่ 3 ความหมาย
-
ไม่มีตัวตน
-
รับใช้เสียสละ
-
มีความรู้ความสามารถ ใช้ความรู้ความสามารถทำเพื่อสละให้แก่ผู้อื่น อย่างไม่ถือตัวถือตน อย่างไม่มีตัวตน นี่คือสภาพของประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบที่สุด นี่คือคุณสมบัติอันวิเศษ เป็นคุณวิเศษของประชาธิปไตย ผู้ที่มีจริงเป็นจริงได้นี่คือ หัวใจของประชาธิปไตย