640721_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ รู้ไหมว่านายกฯลุงตู่เป็นคนมีวรรณะ 9 นะจ๊ะ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1u69y2E7kR99Y3To_0QiB4_rfnv40p_XNZMkYBR-knA4/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Ga4ZwN_XsNYj1i_PK7J7-lwL92QaU4Zq/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/2646681252301074
สมณะฟ้าไท…วันนี้วันพุธที่ 21 กรกฎาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้สถานการณ์โควิดก็ยังร้อนแรง เหมือนกับข้าศึกล้อมรอบเมือง เจ้าหน้าที่ทำงานหนัก ขาดแคลนทั้งยาและอุปกรณ์ ฟ้าทะลายโจรก็ขาดตลาด
พ่อครูว่า…SMS รายแรกจาก
รู้ไหมว่านายกฯลุงตู่เป็นคนมีวรรณะ 9 นะจ๊ะ
_สายลมหวาน : คนประเสริฐต้องมีวรรณะ 9 นายกประยุทธ์น่าจะมีวรรณะ 9 ถ้ามีวรรณะ 9 ก็ต้องมีสาราณียธรรม 6 ท่านนายกฯก็ต้องมี พ่อครูช่วยไขวรรณะ 9 ของนายกฯว่ามีหน่อยหรือมีบ้างหรือเป็นแค่กัลยาณชนที่ดี ครับ
พ่อครูว่า… ก็ดีเพราะนายกฯได้ทำงานมากว่า 7 ปี ก็คงได้เห็นการปฏิบัติการประพฤติต่างๆ ( สมณะฟ้าไทว่า… ที่จริงนายกฯ ทำหน้าที่หลายตำแหน่ง แต่ขอรับเงินเดือนแค่เพียงตำแหน่งสูงสุดตำแหน่งเดียว) แสดงถึง 1 ในวรรณะ 9 แล้ว
อยากจะให้ขยายคำความ วรรณะ 9 ก็ไม่มีใครออกมาพูด อาตมาเห็นวรรณะ 9 ในพระไตรปิฎก ส่วน อวรรณะ 6 เป็นวรรณะชั้นต่ำ พระพุทธเจ้าตรัสไว้แต่คนไม่สะดุด ไม่นำมาปฏิบัติ เป็นเครื่องชี้บ่งบอกคุณลักษณะของคน
ถ้าคนมีลักษณะ เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ส่วน อวรรณะ 6 มี
-
เลี้ยงยาก (ทุพภระ)
-
บำรุงยาก (ทุปโปสะ)
-
มักมาก (มหัปปิจฉะ)
-
ไม่รู้จักพอ (อสันตุฏฐิ)
-
เกียจคร้าน (โกสัชชะ)
-
คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา)
(พตปฎ. เล่ม 1 ข้อ 20) ตรงข้ามกับ วรรณะ 9
ได้มามากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นคนชั้นต่ำ ได้มาเท่าไหร่ก็ไม่พอ ยิ่งได้ยิ่งโลภ ยิ่งได้ยิ่งกอบโกยสะสมยิ่งเป็นคนชั้นต่ำ คนที่แปลนั้นแปล สังคณิกา สุดโต่งไป ไปแปลคำว่า คณะ หมายถึงตัวตนบุคคลเราเขา แต่ที่จริงคณะหมายถึง กองกิเลส คณะกิเลส คลุกคลีกับหมู่พาลชน หมู่คนที่เต็มไปด้วยกิเลส
ถ้าอย่างหมู่ชนที่เป็นชาวอโศกเป็นอาริยชน ไม่ใช่คณะที่เต็มไปด้วยกิเลส
คนเลี้ยงง่าย 9 ประการ (พตปฎ. ล.1 ข.20)
-
เลี้ยงง่าย (สุภระ)
-
บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
-
มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ)
-
ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
-
ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
-
เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
-
มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
-
ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ๙
-
ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
เราเอามาเรียกพวกเรา มีคุณลักษณะ 9 ประการ ที่เป็นจริง ใครมาสัมผัสกับชาวอโศกมาอยู่ที่นี่มาอยู่ในชุมชนอโศกไม่ว่าชุมชนไหน (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท… ชาวอโศกเป็นคนเลี้ยงง่าย แต่เขาหาว่าเลี้ยงยาก
พ่อครูว่า… ความเลี้ยงง่าย ไม่ใช่เหมือนเลี้ยงหมูเลี้ยงหมา ให้กินๆนอนๆ ไม่ใช่ คนตื้นๆก็คิดตื้นๆแค่นั้น แต่ความจริงแล้วเป็นคนชั้นสูง the classic ไม่ใช่ the masses ซึ่ง the masses เป็นคนชั้นทั่วไปเป็นคนพื้นๆ เลย์แมนทั้งหลาย
อาตมานำมาขยาย อธิบายเป็นธรรมะ พระพุทธเจ้า เอามาสอนเอามาให้ประพฤติปฏิบัติ เลี้ยงง่ายไม่ใช่แค่ตื้นๆ แต่มันต้องมีทั้งความตื้นและความลึกอยู่ในตัว
บำรุงง่าย มีคนเจริญพัฒนาได้ง่ายสอนได้บอกได้ให้เรียนรู้พัฒนาได้ดีเจริญไว
อัปปิจฉะ แปลว่ามักน้อย มีน้อยๆ ต้องการน้อยๆไม่ได้ต้องการมากได้น้อยๆก็พอ หรือให้ชัดๆคือ มัก คืออยาก อยากได้น้อยๆ ไม่ได้อยากได้มากๆ ให้มามากไม่เอา มากไม่เอา อาตมาก็แปลอีกว่า กล้าจน ต้องมีให้น้อย มีมากก็สะพัดออก ให้คนอื่นใช้ไปเรามีน้อยก็พอ
สันโดษ ท่านไปแปลว่าพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ ทั้งที่จริงก็คือใจพอ สันโดษ มีน้อยก็พอ สัมพันธ์กันตั้งแต่ข้อ 3 มาแล้ว มีน้อยๆก็พอไม่ต้องมีมาก หากมีมากก็ขัดเกลาออก สัลเลขะ หนีสะสม ไม่เอา ข้อ 8 อปจยะ ไม่สะสม สุดท้ายหมดเนื้อหมดตัวเลย
ธูตะ มีหลักเกณฑ์มีข้อกำหนดข้อปฏิบัติที่ขัดเกลา สัลเลขะ ขัดกิเลส ปฏิบัติเพื่อให้ลดละกำจัดกิเลสออกไปเรื่อยๆ คำสอนต่างๆเป็นไปเพื่อทำให้กิเลสลด เป็นคนมีศีล
ธูตะ มีศีลสูงขึ้นเรื่อยๆ มีอาการน่าเลื่อมใส
ปาสาทิกะ มีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมน่าเลื่อมใส คนมีภูมิปัญญาจะเห็นว่าน่าเลื่อมใส คนไม่มีปัญญาก็มองหยามเหยียด แบบคนหัวสูงไฮโซ ตีนไม่ติดดิน ยิ่งเห็น พฤติกรรมกายวาจาใจของชาวอโศก ก็จะยิ่งมองหมิ่นหยาม ดูถูกดูแคลน ก็เป็นเช่นนั้นคนไม่มีภูมิธรรมไม่มีความรู้ คือคนโง่ๆ
อปจยะคือไม่สะสม ไม่สะสมอะไร? มีน้อยก็ไม่สะสมก็เป็นคนเบาว่างสบาย เป็นเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง เป็นเศรษฐศาสตร์ดีเลิศประเสริฐศรี ประพฤติปฏิบัติได้แล้วมันยอดเยี่ยม ยิ่งครบ
วิริยารัมภะเป็นคนปรารภความเพียรเสมอ ท่านประยุทธ์แปลว่า ระดมความเพียร
เป็นคนมีคุณธรรมชั้นสูง 9 ประการ พวกเราได้ศึกษาถือเป็นหลักในการตรวจสอบ เราเป็นคนเลี้ยงง่ายหรือเปล่า เราเป็นคนบำรุงง่าย พัฒนาง่ายหรือเปล่า เป็นคนมักน้อย เป็นคนสันโดษเป็นคนใจพอหรือเปล่า เป็นคนสังวรระวังขัดเกลากิเลสตัวเองหรือเปล่า เป็นคนมีศีลธรรมมีข้อประพฤติปฏิบัติประจำตัวจริงๆ ไม่ใช่คนหลักลอย ทำอะไรเหมือนโลกไม่มีอะไรเป็นหลักที่จะยึดถือ หลักการในการปฏิบัติเลย ก็เป็นคนมีแต่ความเสื่อม
แต่ถ้ามีข้อปฏิบัติตามศาสดาตามผู้รู้ผู้ประเสริฐ ยิ่งเป็นพระศาสดาในศาสนา ไม่ว่าจะศาสนาไหน หลักเกณฑ์ที่ท่านสอนให้ปฏิบัติก็เป็นการให้คนเจริญได้ มีอาการน่าเลื่อมใส ทั้งกายวาจาใจ เป็นคนจนนี่แหละ เป็นคนจนที่มีใจคอไม่สะสม และเป็นคนขยันหมั่นเพียรสร้างสรร สร้างสรรอย่างมีคุณธรรม ไม่สร้างสรรสิ่งที่เลวร้ายสิ่งที่ไม่ดี แต่สร้างสรรสิ่งที่เป็นสิ่งประเสริฐ สิ่งดีงาม มีคุณค่าแก่สังคมมนุษยชาติ จึงเป็นคนที่มีคุณธรรม มีคุณสมบัติ มีสิ่งที่ดีสิ่งที่เจริญ
เมื่อปฏิบัติได้แล้วก็จะเห็นว่าเป็นผลเกิดสังคมกลุ่ม เกิดชุมชน ที่มี สาราณียธรรม 6 สาราณียธรรม 6 เป็นคนที่อยู่ด้วยเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
จะเห็นมีอาการน่าเลื่อมใสเจริญดีจริงๆ และยิ่งชัดที่เป็นคนไม่สะสม ซึ่งเป็นเรื่องยืนยันได้ ผู้ที่ไม่สะสมจริง จิตเขาไม่สะสม แล้วอยู่ในสังคมหมู่กลุ่มที่ไม่จำเป็นต้องสะสมด้วย มันจะสมพร้อมกัน ไปด้วยกันมาด้วยกัน เลือดราชธานีอโศก ไม่ใช่เลือดสุพรรณนะ
แล้วก็ขยันสร้างสรรค์ มีผลผลิตมีแรงงาน มีแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่ไม่ดีก็ไม่ทำอยู่แล้ว ทำแต่อาการที่ดี พฤติกรรมที่ดี ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดีๆ เพราะฉะนั้นคนที่มีคุณสมบัติ 9 ประการนี่แหละเป็นเป้าหมายของศาสนา ที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติท่านตราไว้ อาตมาเอามาจากพระพุทธเจ้าทั้งนั้น และท่านก็มีธรรมะคู่ที่เปรียบเทียบเป็นวรรณเสื่อมอีก 6 ซึ่งตรงกันข้ามกันกับ 4 ข้อต้นของวรรณะ 9
อวรรณะ 6 มี
-
เลี้ยงยาก (ทุพภระ)
-
บำรุงยาก (ทุปโปสะ)
-
มักมาก (มหัปปิจฉะ)
-
ไม่รู้จักพอ (อสันตุฏฐิ)
-
เกียจคร้าน (โกสัชชะ)
-
คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา)
(พตปฎ. เล่ม 1 ข้อ 20) ตรงข้ามกับ วรรณะ 9
เป็นคนหลงตัวเองโง่ไม่เสร็จแก้ไขยาก นึกว่าตัวเองดีตัวเองเจริญ ทั้งๆที่ประพฤติชั่วเป็นคนขี้คุก แล้วก็ไม่ยอมมาติดคุก มีความผิดไม่รู้กี่คดีเป็นต้น ซึ่งไม่ได้พูดใส่ความหรือหาเรื่องอะไร และเป็นสิ่งที่ควรพูดข่มว่า อย่าให้โลกเอาอย่างนะ เป็นคนที่ไม่ควรคบหาคบคุ้น เหมือนที่บอกในโคลงโลกนิติ ว่า หลีกช้างหลีกม้า ให้หลีกห่าง ส่วนคนพาลให้หลีกไกลลิบเลย(หลีกเกวียนให้หลีกห้า ศอกหมาย ม้าหลีกสิบศอกกราย อย่าใกล้ ช้างยี่สิบศอกคลาย คลาคลาด เห็นทุรชนหลีกให้ ห่างพ้นลับตา)
พุทธศาสนิกชนทุกวันนี้ ไม่ใส่ใจคำสอนของพระศาสดา มันก็สูญเปล่า มันไม่มี ประโยชน์อะไร มีศาสนาแต่ไม่ได้ประโยชน์จากศาสนา ไม่ได้เกิดคุณค่าอะไรจากศาสนาที่ตัวเองนับถือ เพราะฉะนั้นในธรรมะของพระศาสดาที่แปลว่าศาสนา เป็นสิ่งประเสริฐของมนุษย์แม้จะเป็นเทวนิยมก็ได้คุณงามความดีของมนุษย์ ทำให้โลกที่มีศาสดาแต่ละพระองค์ได้พยายามรวบรวมคุณธรรม ศาสดาแต่ละพระองค์เป็นผู้ที่ใส่ใจในความเป็นมนุษย์แต่ละชาติ แต่ละเทวนิยมไม่รู้จักกรรมวิบาก ท่านไม่ค่อยจะเข้าใจเรื่องกรรมวิบากหรอก เพราะธรรมะมันไม่ถ้วนรอบในการเกิดการตาย จิตวิญญาณคืออะไร
จิตวิญญาณเป็นธาตุรู้เป็นอัตภาพ ที่ได้จุติมีอัตภาพขึ้นมา เริ่มเป็นชีวะตั้งแต่จิตนิยามตั้งแต่เซลล์เดียวขึ้นมา ก็จะเป็นชีวะ เขาก็เจริญขึ้นไม่ว่าจะเจริญแบบโลกีย์ก็ตาม จากสัตว์เซลล์เดียวก็เป็นสัตว์หลายเซลล์จนเป็นคน พัฒนาต่อเป็นคนชั้นดี จนกระทั่งเป็นพระศาสดาเป็นคนชั้นดีในโลกียะ เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง มีศาสนาของตัวเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องดีในมนุษยชาติ
อาตมาก็เคยผ่านความรู้โลกียะมาก่อนทั้งนั้น เสร็จแล้วจะมาถึงขั้นพลิกกลับ โลกุตรธรรมเป็นปฏิโสตัง ทวนกลับและย้อนกลับเป็นการทวนกระแส ทวนกลับจากโลกีย์ที่วนแล้วก็นิดเดียว ของพระพุทธเจ้าทวนกลับ การทวนกลับเป็นเรื่องที่อจินไตย รู้ยากเข้าใจยาก คนที่มีความรู้ทางโลกๆเรียกว่า โลกจินตา รู้ได้แต่โลกีย์
เขาก็ไม่รู้ว่าความคิดที่วนอยู่ในโลกีย์นี้มีแต่ความคิดที่เป็น โลกจินตา ชาติแล้วชาติเล่าเขาก็ไม่รู้เขาก็สะสมใฝ่ทำดีสั่งสมความดีสัมภาระวิบากของตัวเอง จนกระทั่งเป็นคนเจริญที่สูง มันเป็นแค่ในกรอบโลกีย์
จิตวิญญาณเป็นธาตุที่สั่งสมความไม่รู้อวิชชามาตั้งแต่ต้น ไปติดอยู่ในความเกิด สุดท้ายดับอัตภาพของตัวเองไม่ได้ ค้างเติ่ง ด้วยความไม่รู้ แต่แท้จริงแล้วมันเปลี่ยนแปลง สูงแล้วก็อยู่ได้ระยะหนึ่งรักษาความดีได้ จะรักษาความดีให้ได้เที่ยงแท้ถาวรเหมือนเกลือรักษาความเค็ม เหมือนขี้รักษาความเหม็น รักษาอย่างไรมันก็ต้องเสื่อมไปวันใดวันหนึ่ง วนเวียนไม่รู้จบอยู่อย่างนั้น เพราะความไม่รู้ อวิชชา
พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ได้ว่าธาตุที่รวมตัวกันเป็นจิตนิยาม มันก็มาจากธาตุดินน้ำไฟลม สังขารปรุงแต่งกันขึ้นมา ตั้งแต่เป็นธาตุแม่เหล็ก อย อยัง ธาตุจับตัวกัน
ธาตุ อย่างแก๊สจับตัวกันบางอย่าง เช่น H2O จับตัวกันเป็นธาตุน้ำอย่างนี้เป็นต้น หรือเป็นแคลเซี่ยมหรืออย่างอื่นต่างๆนานา อาตมาลืมความรู้ทางวิทยาศาสตร์นี้ไปหมดแล้ว อาตมาสอบได้ 10 ส่วน 100 มันไม่เอาถ่านเลย
จากธาตุแก๊สเป็นดินน้ำลมไฟเป็นดิน เรียกเป็นดินก็คือธาตุที่เป็นการจับตัวเป็นก้อน ยึดติดกันจนกลายเป็นโลหะเป็นต้น ก็ดูรายละเอียดนี่เป็นต้นทาง เป็นอุตุนิยาม
รวมตัวได้ระดับหนึ่งเป็นพีชนิยาม มีพัฒนาการมาเป็นชีวะได้ ทุกวันนี้คนพยายามสร้างหุ่นยนต์ พยายามให้เคลื่อนไหวเหมือนคน แต่มันก็ไม่เหมือนคนทั้งหมด จะให้คล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียวเหมือนกับธรรมชาติสิ่งที่ผสมส่วนเป็นสังขารเป็นสรีระเป็นเนื้อหนังมังสาเป็นกระดูกเป็นเส้นเอ็นอย่างเก่าซึ่งมันไม่ได้ เขาก็พยายามจะทำ แต่ว่าจะทำให้มันมีความรู้สึกเหมือนกับคนที่รู้สึกได้อีกมันไม่มีทางทำได้ แต่เขาก็พยายามก็ว่ากันไป
ถ้าเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าที่สอนไว้ เข้าใจ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม 5 สุดยอดเลย เป็นความรู้ที่นักวิทยาศาสตร์ใดก็คิดไม่ออก ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐไม่มีบันทึกเรื่องธรรมนิยาม 5 นี้ แต่ได้พบในพระไตรปิฎกของมหายาน
นิยาม 5 นี้มีความสำคัญ ถ้าผู้ศึกษาธรรมะไม่เข้าใจเรื่องธัมมนิยาม 5 นี้อย่างสัมมาทิฎฐิ คุณไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมบรรลุเป็นพระอรหันต์ แยกธาตุให้เป็นอุตุ ไม่ได้ แล้วคุณจะไปบรรลุอรหันต์ได้อย่างไร แม้ขณะเป็นๆ ผู้บรรลุอรหันต์ทำจิตให้เป็นอุตุได้ทั้งนั้น หากใครทำไม่ได้ก็เป็นอรหันต์เก๊ทั้งนั้นไม่มีความรู้ทางจิตเจตสิก รูป นิพพาน ไม่มีความรู้ทางนามธรรมที่แท้จริง
ยิ่งสายนั่งหลับตามืดบอด นั่งให้ตาไม่เห็นรูปหูไม่ให้ได้ยิน กลิ่นไม่ได้รับรู้ อันนี้ก็เป็นคนมืดบอดเท่านั้น
อาตมาย้ำสอนพวกนั่งหลับตาปฏิบัติเป็นลัทธิ เดียรถีย์ จริงๆ
ในอานาปานสติมีให้เห็นเลยว่าจะนั่งหลับตานั้นผิดจากหลักอานาปานสติ อานาปานสติต้องไม่นั่งหลับตาแต่ต้องลืมตารู้กาย ต้องมีกาย กายต้องมีภายนอก ต้องสัมผัสด้วยลูกตาเห็น กายต้องมีตาลืม ไม่ใช่มีแต่รับรู้ทางจมูกทวารเดียว กายไม่ได้แปลว่า จมูกทวารเดียว แต่ต้องมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ครบ สัมผัสกับภายนอกครบ
ใน อานาปานสติ 16 มี ปัสสัมภยังกายสังขารัง ให้ระงับกิเลสที่สัมผัสทางกายก่อน ก่อนจะปฏิบัติ ปัสสัมภยังจิตสังขารัง ทำไปตามลำดับ ก็ไม่ได้หมายความว่าให้ไปหลับตานิ่งอยู่กับที่ แต่ก็มีชีวิตอยู่กับปกติ 3 วันนี่แหละ ทำอาชีวะ ตามมรรคมีองค์ 8 มีกรรมกิริยา กัมมันตะ ทุกอย่างตามปกติ เป็นคนสามัญปกติลืมตา มีกายสังขาร จิตสังขาร ให้สงบระงับกิเลสที่เกี่ยวข้องกับทางกาย ระงับได้แล้วก็ไประงับกิเลสในจิต เป็นขั้นตอนหมดเกลี้ยงสะอาดหมดจด
แต่ไปนั่งหลับตาไม่รู้เรื่อง กายทิ้งกายไปเลย หากเอาแต่จมูก ก็ทิ้งทวารอื่นไปหมดเลย ส่วนก็นั่งหลับตาก็มีแต่ทวารใจทวารเดียว ไม่มีกายไม่มีทวารภายนอกเลย เขาสอนกันว่าอย่าให้ออกนอกจิต มันก็เลยไม่ได้ผล
ขอเข้าสู่ คุหัฏฐกสูตร เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมาก ปิดบังไว้แล้ว
จากพระไตรปิฎก ล. 29 คุหัฏฐกสุตตนิทเทสที่ ๒
ว่าด้วยนรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย
[30] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ(สตฺโต คุหายํ) เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว(พหุนาภิฉนฺโน) นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็หยั่งลงในที่หลง((ติฏฺฐํ นโร โมหนสฺมํ ปคาโฬฺห) นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก(ทูเรวิเวกา) ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย.
กายวิเวก จิตวิเวกก็ดี ที่จริงไม่มี วจีวิเวก มีแต่กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก คือวิเวก 3 ก็เรียนรู้ไม่ได้ว่าคืออะไร
กายวิเวกคือต้องล้างอุปธิในกาย ในจิต
อุปธิ มีอะไร มีกิเลส มีขันธ์ 5 มีอภิสังขาร อยู่ในคุหัฏฐกสูตร
อุปธิวิเวกเป็นไฉน? กิเลสก็ดี ขันธ์ก็ดี อภิสังขารก็ดี เรียกว่าอุปธิ. อมตะ นิพพานเรียกว่าอุปธิวิเวก ได้แก่ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สำรอก เป็นที่ดับ เป็นที่ออกไปจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด นี้ชื่อว่าอุปธิวิเวก.
คำสอน พระพุทธเจ้า นี้ชัดเจน เนื่องกัน ติดต่อกัน พูดธรรมะตรงไหนก็ขยายไปจนรู้ครบถ้วน เพราะทุกอย่างเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกันอย่างชัดเจน
การเรียนรู้วรรณะ 9 เป็นความรู้ชั้นสูงคลาสสิคอย่างแท้จริง ไม่ใช่ชั้นวรรณะอย่างชาวอินเดีย แต่ว่าเป็นชนชั้นอย่างเจริญพัฒนาอย่างอาริยบุคคลจริงๆ
แม้สาราณียธรรม 6 ก็เกิดจากการปฏิบัติวรรณะ 9 ก็จะมาอยู่รวมกันอย่างเป็นคนมี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ทำกินทำใช้ได้ก็มารวมกับส่วนกลาง เรียกว่าลาภโดยธรรม หรือลาภธัมมิกา เป็นสาธารณโภคีแบ่งกินใช้ร่วมกัน เหมือนครอบครัวเดียวกันเป็นกงสีแบบจีน ไม่แบ่งแยก
ทุกวันนี้มนุษย์ชาติแต่ละประเทศแต่ละสังคมทุกวันนี้ต้องการมีเศรษฐกิจชั้นดี ไม่มีเศรษฐกิจระบบไหนเลยที่จะดีเท่าเศรษฐกิจระบบสาธารณโภคี ในยุคพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในหมู่สงฆ์ เพราะเรียนรู้ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ ได้ เมื่อมีอาริยธรรมจึงเกิดวรรณะ 9 ได้ แล้วก็มาอยู่ร่วมกันอย่างมีสาราณียธรรมได้ แล้วก็เกิดสาธารณโภคีได้ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางได้
อาตมาภูมิใจที่นำธรรมะพระพุทธเจ้าอันสุดยอดขั้นสาธารณโภคี มาปฏิบัติ เอาของพระพุทธเจ้ามาประกาศแล้วทำความเข้าใจขยายความ แล้วมีคนอย่างพวกคุณชาวอโศก ฟังแล้วเข้าใจ แล้วเห็นดีเห็นงามยินดีเอาไปปฏิบัติจนลดละกิเลส ขัดเกลาตัวเอง เป็นการยืนยันธรรมะพุทธเจ้า ตราบที่มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ในโลก
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
เมื่อมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเมื่อใด จะมีผู้บรรลุธรรมเป็นผู้ที่เข้าใจโลกนี้และโลกหน้า มีผู้ประกาศโลกนี้โลกหน้าอธิบายขยายความโลกนี้โลกหน้าแจ่มแจ้ง ด้วยความรู้ที่มีในตนเองมาก่อน อาตมาก็ยืนยันบอกว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา เป็นผู้ที่รู้โลกนี้โลกหน้ามาตั้งแต่ชาติก่อนๆแล้ว มาเกิดในยุคนี้ก็เอามาประกาศ ยืนยันคำตรัสพระพุทธเจ้าในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10 นี้
เขาก็ไม่เข้าใจหาว่าอาตมาอวดดี ซึ่งก็ถูกแล้วก็อาตมามีความดีมาอวด อาตมาไม่เอาความชั่วมาอวดหรอก อาตมาไม่มีความชั่วให้อวดแล้ว แต่คนถือว่าคนอวดดีคือคนมีกิเลส แต่อาตมาไม่ได้อวดด้วยความมีกิเลส อวดคือโชว์แสดงออก แต่อาตมาแสดงความจริง ไม่ได้แสดงด้วยกิเลส แล้วพวกคุณไม่มีอคติอะไร ฟังธรรมะเข้าใจอันนี้เป็นธรรมะพระพุทธเจ้า เข้าใจได้ ก็เกิดความชอบ ก็ปฏิบัติตามจนเกิดมรรคผล จนอาตมากล้าพูดว่าสังคมชาวอโศกเป็นสังคมอริยบุคคล ถึงขั้นในชุมชนเรามีคนเป็นอนาคามีเป็นสังคมอนาคามี แม้จะไม่เป็นอนาคามีแต่ก็มาปฏิบัติอนาคาริกชน ไม่มีทรัพย์สินเงินทองบ้านช่องเรือนชานเป็นของตนเองใช้ร่วมกันกับส่วนกลาง
คนใดมีภูมิอนาคามีหรืออนาคาริกชนแท้ ก็สบายเลย ไม่ต้องสะสม กินใช้อยู่ร่วมกันปล่อยชีวิตไปกับส่วนกลาง ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต้องศึกษาให้เป็นสัมมาทิฐิ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…
พ่อครูว่า… เขาถามว่า นายกฯประยุทธ์มีวรรณะ 9 ไหม ถ้ามีก็ต้องมีสาราณียธรรม 9
นายกฯจะมีหรือไม่มีก็ดูที่ความจริง เป็นคนขี้โลภ มีโอกาสก็ตั้งหน้าตั้งตาสร้างความร่ำรวยให้แก่ตัวเองหรือไม่ อย่างที่พูดกันตั้งแต่ต้น เช่นการรับเงินเดือนตำแหน่งเดียว คนก็หาว่าทำโชว์ ซึ่งก็เป็นจิตใจของท่านจริงๆ คนอื่นเขาทำรวยได้อย่างไม่ผิดกฎหมายไม่ขัดแย้งกับศีลธรรม ซึ่งท่านก็สามารถทำได้แต่ท่านก็ไม่ทำ ซึ่งคนก็ตำหนิไปได้หมด พระพุทธปฏิมายังราคิน คนก็หาเรื่องตำหนิได้ทั้งนั้น
จะว่าไปแล้วไม่ใช่มีคุณธรรมแค่กัลยาณชน แต่เป็นคุณธรรมที่มีปรมัตถ์ เป็นจิตที่เป็นคนมีวรรณะ 9 จริง มีโอกาสที่จะร่ำรวยก็ไม่เอา เป็นคนที่มีคุณธรรม เหมาะสมกับยุคสมัย คนที่โง่คนที่หลงอำนาจเป็นคนโง่ไม่เสร็จ ก็ค้านแย้ง
ขณะนี้จะว่าไปแล้ว คนที่มีคุณธรรม ยกตัวอย่างเช่นในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านครองราชย์มา 70 ปีเหมาะสมถึงยุคนี้ 70 ปียังน้อยไป ส่วนนายกตู่ 20 ปียังน้อยไป เป็นเรื่องที่เหมาะสม อาตมาไม่ได้แกล้งพูดเข้าข้างพูดเล่นพูดหัว แต่พูดตามภูมิอาตมา ใครจะว่าอาตมาโง่เง่าไม่รู้เหนือรู้ใต้ไม่รู้อะไรเลยก็ตาม แต่องค์รวมของสังคมเป็นอย่างนี้ โครงสร้างของสังคมเป็นอย่างนี้
คุณคิดให้ดีๆ ดูรายละเอียดทุกอย่าง นายกประยุทธ์นี้งานหนัก ที่มีดินพอกหางหมู โครงสร้างการเมืองโครงสร้างบ้านเมืองที่ทำฉิบหายกันมาตั้งเท่าไหร่ ไม่ต้องเอาอะไรมากแค่มานั่งใช้หนี้ก็จะตายชักอยู่แล้ว แถมยังมีอะไรอีกมหาศาล ในรายละเอียดมีเยอะแยะ คนที่หลงตัวหลงอำนาจโง่ไม่เสร็จต่างๆ ไปพูดกับเขาไม่ได้ เพราะเขาต้องแสดงความจริงคือแสดงความโง่ออกมาให้เห็นอย่างนั้น โง่ไม่เสร็จเขาก็ต้องทำอย่างคนโง่ไม่เสร็จ เป็นธรรมชาติจริงๆบังคับกันไม่ได้หรอก เขาก็ต้องทำเพราะเขาโง่ เป็นคนโง่แบบบอร์นทูบี มันเกิดมาโง่ต้องทำสิ่งโง่เป็นธรรมดา จะไปรู้สึกประหลาดใจทำไม เขาก็รู้สึกของเขาอย่างนั้น ทุกคนแสดงความจริงของเขา
คนที่ฟังธรรมอย่างไม่มีอคติจะเข้าใจว่าเราโง่ เราถูกด่า คนไปว่าพลเอกประยุทธ์ ในยุคนี้ เหมือนกับในหลวงร.9 ที่ทรงงานมา 70 พรรษา ก็มีคนโง่ตาบอดตาถั่วโง่ไม่เสร็จก็ว่าท่าน ก็เหมือนกัน แต่คนที่เข้าใจดีรู้ดี 70 พรรษายังน้อยไป ยังไม่น่าสิ้นพระชนม์เลย เหมือนกับพลเอกประยุทธ์ ยังอยู่ต่อไปได้อีก เพราะฉะนั้นอย่ารีบออกไปง่ายๆ เขาจะบอกว่าต้องออกต้องไล่ออก ให้ตะโกนจนคอแตกเลย จริง อาตมาเองไม่ใช่แกล้งเข้าข้างแกล้งว่า แต่มองเห็นประโยชน์ของประเทศประโยชน์ของมวลชน ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล่นๆแต่เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง
อาตมาพูดไปคนก็อาจจะเข้าใจไม่ได้ นักรัฐศาสตร์อาจจะหาว่าอาตมาเวอร์ พูดอย่างงมงาย อาตมาว่าอาตมาไม่ใช่คนงมงายแต่เกิดมาชาตินี้มีภูมิปัญญามา อาตมามีความรู้ทางรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ อาตมาก็ทำงาน มีคนมาศึกษาตามอาตมา แล้วกลายเป็นคนอย่างไร คุณมาดูคนที่กลายเป็นคนอย่างชาวอโศกดูสิ นักรัฐศาสตร์มาเจาะลึก พฤติกรรมของคนชาวอโศก ถ้ามองในแง่การเมืองสังคมเศรษฐศาสตร์ มองในแง่ไหนก็เป็นความเจริญทั้งนั้นเจริญแบบโลกุตระด้วย ซึ่งคุณจะเข้าใจไม่ได้หรอก
เป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้น 1 เสียภาษี 100% คอมมิวนิสต์ก็ทำไม่ได้ประชาธิปไตยก็ทำไม่ได้ มีพุทธาธิปไตยทำได้ อาตมาเอาพุทธาธิปไตยมาทำ ไม่ได้เอาแค่ประชาธิปไตยหรือสังคมนิยมคอมมิวนิสต์มาทำ แต่เอาพุทธาธิปไตยมาทำ แล้วทำสำเร็จด้วย ไม่ใช่พูดขี้ตู่เอานะ แต่เป็นเรื่องจริง
ชาวอโศกช่วยโลกหรือไม่ในยุคโควิด
_0890015 : ทำไมพ่อท่านไม่เลือกจะช่วยชาวโลกในสถานการณ์ covid ครับ
พ่อครูว่า… อาตมาไม่ใช่พระเจ้าที่จะไปช่วยเรื่อง covid ได้ 1.เรื่องความรู้การแพทย์วิทยาศาสตร์สุขอนามัยอาตมาก็ไม่มี และ 2.ไม่ใช่หน้าที่ของอาตมาที่จะไปทำหน้าที่นั้น 3.หน้าที่ที่แทรกแซง ในสิ่งที่ไม่ใช่กิจไม่ใช่หน้าที่อาตมาก็ไม่มีอีก ไม่ใช่เป็นคนที่จะไปแทรกแซงอย่างนั้นอีก อาตมาก็เป็นคนอย่างนั้นด้วยไม่ใช่ไปแทรกแซงอะไรที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง อย่างนี้เป็นต้นอาตมาจะไปทำทำไม
อาตมาก็ดูแลชาวอโศกที่มีอยู่ทั่วประเทศเป็นชุมชนหลายสิบชุมชน แล้วชุมชนชาวอโศกก็ปฏิบัติตามที่อาตมาบอกนโยบายบอกวิธีการให้ เราจะปฏิบัติอย่างไรกับเรื่องโควิด ก็เหมือนกันกับประเทศที่สอดคล้องกันไม่ต้องออกไป แล้วเราก็อยู่ได้โดยปิดชุมชนปิดหมู่บ้าน ไม่ต้องออกไปเพ่นพ่านข้างนอกเลย เราก็ไม่ตาย นี่เป็นการพิสูจน์เลย พิสูจน์ว่าเศรษฐกิจยอดเยี่ยมเลย
ถ้าปิดหมู่บ้านปิดชุมชนไปตลอด ประเทศทำไม่ได้ ตายลูกเดียว แต่ชุมชนชาวอโศกอยู่ได้ทุกชุมชน เพราะว่ามีสาธารณโภคี เพราะว่าพึ่งตนเองรอด ก็สิ่งที่จะเป็นปัจจัยชีวิตทำได้เอง ผลิตเอง ปัจจัย 4 เป็นต้นหรือบริขารที่เอาไว้อาศัยก็พอเพียงอยู่รอดพึ่งพาตนเองได้ ถ้าปิดประเทศเลยก็ต้องมีสินค้าออกสินค้าเข้าเลย เขาทำไม่ได้ ประเทศอยู่ไม่ได้ แต่อโศกนี้ไม่ต้องมีสินค้าเข้าออกเลย อาศัยแต่ปัจจัยสี่ชีวิตภายในอยู่รอด นี่คือการพัฒนาชีวิตพัฒนาสังคมที่ถึงที่สุดแห่งความดำเนินชีวิต ความเป็นอยู่ของชีวิต ของสังคม สมบูรณ์แบบ ไม่ต้องพึ่งคนอื่นเลย พึ่งกันเอง
มีสัปปายะ 4 มีพื้นที่ มีอาณาบริเวณที่เรามีสิทธิตามกฎหมายทางโลก เป็นเสนาสนะ แล้วมีคนที่เหมาะสมที่จะอยู่ในถิ่นที่อันสัปปายะ
มีเครื่องอาศัยอยู่กิน อาหารสัปปายะ ไม่ว่าจะเป็นบริโภคนอก บริโภคในก็ตาม เราก็อยู่ได้ มีธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นพุทธธรรม มีสัปปายะ 4 สบายอยู่ได้ นี่คือการหลุดพ้นจากทุกข์ภัย พ้นภัย 5 ที่พระพุทธเจ้าสอนให้มีพลัง 4
พลังปัญญา วิริยะ อนวัชชะ สังคหะ พ้นภัย 5
-
อาชีวิตภัย (ภัยจากการดำรงชีวิต หาอาหารเลี้ยงกาย)
-
อสิโลกภัย (ภัย คือ การติเตียนจากคนโลกๆ)
-
ปริสสารัชภัย (ภัยคือ การสะทกสะท้านต่อสังคม) .
-
มรณภัย (ภัยคือ ความตาย)
-
ทุคติภัย (ภัยคือ ทุคติ เช่น อบายภูมิ นรก เดรัจฉาน ฯ)