640705_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ความสุขที่ยิ่งใหญ่ยั่งยืนเกิดจากวิชชาจรณะ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1nFhnOaknTygk7wBg-aZ-UIosEU6ceA5LMYjQL_VJtu0/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/12aqJ6h__ghl3RI-88ZLgqJq7MZeMzu9L/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/2iLYsbK0A48
พ่อครูว่า… วันนี้วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม 2564 แรม 11 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก 5 กรกฎาคมเป็นวันเกิดของคุณจำลอง ศรีเมือง อาตมาเกิดวันที่ 5 มิถุนายนอาตมาเกิดปีจอ คุณจำลองเกิดปีกุน แล้วคุณจำลองอายุน้อยกว่าอาตมาประมาณ 1 ปี 1 เดือน
เราก็มาฟังเทศน์ฟังธรรมตามประสาพวกเราที่เห็นว่ามันเป็นคุณค่าประโยชน์สำหรับชีวิตจริงๆ
กสิกรรมไร้สารพิษคือทางรอดมนุษยชาติในยุคโควิด
SMS วันที่ 2 – 4 ก.ค. 2564
_วัดป่าสวนธรรมร่วมใจ ยโสธร : ขณะนี้มีจำนวนคนไทยที่ได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นทุกวัน..ทำให้มีตัวเลขผู้ได้รับวัคซีนเกือบ 10 ล้านคนแล้ว.. เวลานี้วัคซีนกำลังทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง..มีประชาชนตื่นตัวสนใจเข้ารับการฉีดวัคซีนกันต่อเนื่องด้วยเช่นกัน..มันจึงทำให้ตัวเลข ผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนจะขยับไปถึง 15 ล้านคนได้ในไม่ช้า และเมื่อถึง 50% หรือ 35 ล้านคน ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว แม้วางเป้าหมายไว้ถึง 50 ล้านคนก็ตาม..
พ่อครูว่า… ก็ต้องอยู่ที่การระมัดระวังไม่ประมาท คนข้างในเราที่มีเชื้อหรือไม่มีเชื้อหรือมีเชื้อไม่แสดงตัวก็มีอย่าทำเป็นเล่น พวกเราอย่าไปหลงการท่องเที่ยว รับเข้ามาจากที่อื่นคนอื่นข้างนอกเขานัก แล้วพวกเราต้องพยายามช่วยตัวเองทำมาหากินหางานทำที่พึ่งพาตัวเองให้รอดอยู่ในนี้ ไม่ต้องไปพึ่งคนอื่นเช่นพึ่งพารายได้จากต่างประเทศ พึ่งพาของกินของใช้จากต่างประเทศ ซึ่งมันเท่ากับเราเป็นทาสที่จะต้องกินน้ำใต้ศอกเขา จะต้องให้เขาได้เลี้ยงไว้ ถ้าเขาไม่เลี้ยงไว้ตาย
คนไทยอาตมาไม่เชื่อว่าจะสิ้นไร้ไม้ตอกถึงขนาดนั้น อาตมาก็บอกแล้ว กสิกรรมของเราไม่มีที่ทางก็ปลูกผักคอนโด ปลูกให้เต็มรอบบ้านเลย กินไม่ทันเลย ไม่มีที่ปลูกข้าวมากก็ปลูกเผือกปลูกมัน ปลูกผักคอนโด 10 ชั้น 20 ชั้น รดน้ำจากข้างบนมาถึงข้างล่างเลย ประหยัดน้ำ ปลูกตามชายคาบ้านห้อยลงมาเลย เก็บกินเวียนกันไป กินหมดก็ลงเมล็ดลงเบี้ยใหม่สืบต่อไปเรื่อยๆ
อาตมาว่าไม่ได้พูดเล่นนะทำได้จริง ไม่ตายหรอก อากาศบ้านเมืองไทยขณะนี้ไม่มีปัญหามันสุดยอดแล้ว เน้นการกสิกรรมให้เจริญจนเหลือกินเหลือใช้ ผู้สร้างให้สร้างจนเหลือเฟือเอาไปแจกจ่าย ชาวอโศกเราทำไม่หยุดหรอกเพิ่มออกไปทำให้ดีทั้งคุณภาพและปริมาณ ทำเผื่อคนอื่นไป เพราะพวกเราสบายแล้ว
ป้องกันอย่ารับจากคนภายนอกเข้ามา ภายในเรามีมาตรการจัดการกัน จะฉีดวัคซีนจะรักษาระยะห่างใส่แมสป้องกันเอาไว้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ตอนนี้รู้สึกว่าสถิติคนป่วยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอยู่นะ เมืองไทยอย่าประมาท ให้ระมัดระวังขึ้นมาเถิด
ทำเป็นเล่นไป โควิด อาตมาเห็นฤทธิ์แรงของมันมาก แล้วมันพัฒนาสายพันธุ์รวดเร็วด้วย ร้ายกาจมากเลย เพราะฉะนั้นอย่าทำเป็นเล่นไป แม้มันไม่ตายเร็วเหมือนโรคอหิวาตกโรค ก็เตือนกัน
_วรางค์ภร เดชวัฒน์ : ????น้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงคะ เมื่อทุกอย่างไม่เที่ยง แต่ตัณหาภายในจิตสังขารยึดว่าเที่ยง เราถึงต้องทุกข์..
พ่อครูว่า…คุณเริ่มรู้แล้ว รู้แล้วก็ไปยึดมันทำไม ให้มันเป็นไปตามธรรมอย่าไปยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างมันก็หมุนไปเดินทางไปไม่อยู่เท่าเก่าหรอก
พ่อครูนำสาธารณโภคีมาสืบทอดได้ในยุคนี้
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ พ่อครูเคยบอกว่า ระบบสาธารณโภคี เคยเกิดมานานหลายแสนปีแล้ว ยุคนี้พ่อครูมาพาทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ลูกดูชาวอโศกไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ลูกอยากถามว่า ขณะที่พ่อครูนำพาระบบสาธารณโภคีมาสืบทอด พ่อครูและชาวอโศกก็เคย”ร่วมชาติเกิด” กันมาเพื่อสร้างระบบสาธารณโภคีกันมาแล้วใชไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูเมตตาค่ะ
พ่อครูว่า…ใช่ ทุกอย่างไม่มีการขาดการเชื่อมต่อกันหรอก ไอน์สไตน์ก็เคยค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ ไอน์สไตน์ค้นพบสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในทางวัตถุว่าไม่มีอะไรจะขาดกันได้ Space and time of Continuumเป็นสูตรสำเร็จของไอน์สไตน์ ทุกอย่างในอวกาศนี้ในเทหวัตถุแท่งทึบนี้ เชื่อมต่อกันหมดเลย เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว จะเล็กน้อยละเอียดอย่างไรก็ไม่ขาดจากกันทั้งหมด อันนี้เป็นเรื่องจริง
ทางธรรมะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ กรรม and time of continuum เหมือนกัน ท่านไม่ได้ตรัสไว้หรอกแต่โพธิรักษ์เอามาสรุป พูดเพื่อให้สอดคล้องกับไอน์สไตน์ที่พูดไว้ก่อนที่รู้กันทั่วโลกแล้ว อาตมาก็ทำให้มันง่ายขึ้นชัดเจนขึ้น ซึ่งไม่ได้ผิดด้วย เป็นทฤษฎีเดียวกันเป็นเรื่องสอดคล้องกัน ถ้าศึกษาให้ดีๆก็ใช้ได้ เข้าใจแล้วเอาไปใช้ปฏิบัติได้ อย่างพวกเราเข้าใจแล้วก็ดำเนินกันไป
ไม่ใช่ God and time of continuum ต่างกันมาก คนละขั้ว กรรม กับ God
God เที่ยง กรรมไม่เที่ยงคนละขั้ว
God ใหญ่ มีคำสั่ง แต่กรรมไม่ใหญ่ ไม่สั่ง ไม่เบ่ง
พูดไปไม่ได้ยกตนข่มท่าน แต่สาธยายสัจธรรมพูดความจริงให้ฟัง ทุกคนเปิดจิตฟังให้ดีๆจะได้ปัญญา จะได้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้มนุษย์เป็นอยู่สุขร่วมกันได้ดี ดีกว่า อย่าง กรรม and time of continuum หรือสูตรพระพุทธเจ้าคือจรณะ 15 วิชชา 8 สูงกว่ายอดเยี่ยมกว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้สูงสุด ใช้ได้นิรันดร์
แล้วถามว่าสาธารณโภคีเกิดมาแล้วหลายแสนปี ไม่ใช่แค่หลายแสนปีเท่านั้น พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วนับไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีสาธารณโภคี ในยุคพระพุทธเจ้าสมณโคดมนั้นมันเสื่อมมากแล้ว จนกระทั่งกลายเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระพุทธเจ้าสมณโคดมอุบัติขึ้นในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นยุคทาส จึงทำให้เกิดสาธารณโภคีในฆราวาสไม่ได้ ศึกษาตามบริบท กาละเทศะสถานะ
แต่ในยุคนี้มันเริ่มคลี่คลายลงไป โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่มีเนื้อแท้พุทธธรรมที่เป็นโลกุตระในมนุษยชาติมีรากเหง้านี้ในจิต เพราะฉะนั้นเริ่มตั้งแต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 พยายามจะให้เกิดสาธารณโภคี ท่านก็ยังทำไม่ได้เพราะท่านเป็นในหลวง และประเทศชาติประชาชน ก็ยังไม่หูตาสว่าง ยังไม่มีภูมิธรรมสูงพอ อาตมาก็ต้องมาต่อเชื้อความเจริญเพิ่มขึ้นอีกไปในทางจิตวิญญาณทางโลกุตรธรรม ไขความแจ้งทำพาทำ จนกระทั่งเกิดกลุ่มหมู่ตัวอย่าง เป็นชุมชนสาธารณโภคีตัวอย่างอย่างที่เป็นอยู่นี้
อาตมาเริ่มทำตั้งแต่แรกๆ 50 ปีก่อนเริ่มก่อรูปร่างสาธารณโภคีตั้งแต่ต้น ตั้งแต่เราบรรจงสร้างปฐมอโศก เป็นชุมชนแรกที่เราบรรจงสร้างอย่างพรักพร้อม ที่จริงสร้างที่สวนอโศก บางใหญ่ แต่ยังไม่หยั่งลงไม่สำเร็จเพราะที่ทางไม่ใช่ของเรา เดินทางไปได้ยาก อยู่ที่บางใหญ่ ต่อมาก็ไปที่แดนอโศกซึ่งก็ไม่ใช่ที่ของเราอีก มี 6 ไร่อาศัยเขาอยู่ ก็อยู่นานพอสมควร จนกระทั่งพุทธศักราช 2522 ก็เลิกลาจากแดนอโศก ขยายผลมาเป็นสันติอโศก ศาลีอโศก ศีรษะอโศก แล้วค่อยขยายมาถึงทุกวันนี้ก็มี 20 – 30 ชุมชน
ก็ค่อยๆเป็นไป เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องยาก แต่เป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ชาติและสังคม เศรษฐกิจก็ดี รัฐศาสตร์สังคมศาสตร์ก็ดี ทุกอย่างเหมาะสม กับมนุษยชาติยุคกาลสมัยต่างๆนานา ก็เคยประพฤติปฏิบัติจะเป็นแบบอย่างให้คนได้มาศึกษา เรามีเจตนาดีปรารถนาดี ไม่ได้มีความปรารถนาร้ายแฝงเลยแม้นิดแม้น้อย มีแต่ความปรารถนาดีแก่มวลมนุษยชาติด้วยกัน เพราะฉะนั้นเรื่องที่จะเจริญต่อไปในภายภาคหน้าไม่มีอะไรเสียหาย ใครยังมีเศษทางด้านไม่ค่อยดี ปรารถนาไม่ดี ต้องการไม่ดี มีความเลวร้ายอะไรแฝงอยู่ในนี้แม้เล็กไม่น้อย เอาออกให้หมด ศึกษาให้ดีๆ มีความปรารถนาดีด้วยกันไปด้วยกัน แม้แต่คนเขาไม่ดีบางคนรุนแรงบางคนชั่วร้าย บางคนมีมิจฉาทิฏฐิ มีอวิชชาอยู่ในจิตใจ ก็สงสารกัน พยายามช่วยเหลือกันไป และจะต้องป้องกันตัวให้ได้ นี่ก็ไม่มีปัญหาอะไร
บัญญัติสุขโลกุตระมีหรือไม่
_Uamphon Bringsoe (เอื้อมพร บริงโซ) : มีบัญญัติคำว่า สุขโลกุตระไหมคะพ่อครู?
พ่อครูว่า… จะบอกว่ามีไหม เรารู้จักสังคม รู้จักสมมติสัจจะ รู้จักคนอีกฝ่ายหนึ่ง อย่างเช่น พวกสุขนิยม เขาติดในความสุขจะต้องเอาความสุขให้ได้ จะต้องอยู่กับสุขแล้วเขาก็ไม่รู้จักทุกข์ ก็เลยแฝงกินตัวเขา โดยเขาไม่รู้จักตัว ซึ่งยังพูดละเอียดกว่านี้ไม่เก่ง
ทุกข์กับสุขแยกไม่ได้มันแฝงกันอยู่ ถ้าดับก็ต้องดับหมดทั้งสุขและทุกข์ แล้วก็ต้องรู้อาการเวทนา ที่จะเป็นสุขเป็นทุกข์เป็นอย่างไร ต้องไม่ให้มีอาการทั้งสุขและทุกข์ในจิตจริงๆ
เพราะฉะนั้นสุขนิยมจึงแรงมาก ที่นี่บอกว่าไม่ให้มีสุขในจิตเลยแล้วทุกข์จะไม่มี แต่พวกสุขนิยมไม่ทิ้งความสุขแล้วทุกข์มันจะไปหมดไปได้อย่างไร เพราะสุขกับทุกข์มันแยกกันไม่ได้มันเหมือนกระดาษแผ่นเดียวกันคนละหน้าเท่านั้น จะไปเอาหน้าเดียวไม่ได้
ต้องค่อยๆศึกษาให้อาการสุขมันต้องไม่มีในจิตจริง อย่างอาตมาไม่มีทั้งสุขและทุกข์ พูดแล้วก็ดูเหมือนยาก แต่ยากอย่างไรก็ต้องศึกษาเพราะเป็นที่รุนแรงที่สุดของมนุษย์ ไม่มีอะไรที่จะสุดยอดกว่านี้อีกแล้ว ถ้าได้สุดยอดอันนี้ก็ช่วยกันไป แล้วก็จะทำให้มนุษยชาติเจริญ มนุษยชาติเป็นไปได้
รู้ลมหายใจไม่สู้รู้กิเลสตน
_จากผู้ใช้นามแฝงว่า ” รู้สึกตัวไว้ตลอด ” : อยากขอคำแนะนำในการปฏิบัติ ถ้ารู้สึกว่า จิตเริ่มจับอารมณ์ แล้วเป็นอารมณ์ที่มีกิเลส นานขึ้น จะละ แบบใหนให้เร็ว คือรีบมารู้สึกตัวแล้วแต่ก็ไม่ทัน บางครั้งมันปรุงไปไกลแล้ว บางทีมองดู เฉยๆเห็นแล้วก็ไม่สบายใจ เพราะ เห็นว่า มันร้าย นัก อาสวะกิเลส มันสะสมเยอะ ศีลนี่ ก็รักษา ปกติ แต่ ถ้ารอบข้างมีการกะทบ บ่อย ส่วนใหญ่ เปน ความเห็น วิจารณ ซึ่งไม่ควร วิจารณ ใดๆทั้งสิ้น พยายามกลับมารู้ลม
พ่อครูว่า… ละอย่างอย่าช้าสิ เอาภาษาตอบก่อน แต่ที่ว่า กลับมารู้ลมนี่คุณผิด ให้กลับมารู้สภาวะกิเลสสิ มารู้เวทนาที่เป็นนาม ลมมันเป็นรูป ลมนั่นแหละมันพาให้ศาสนาพุทธฉิบหายอยู่ทุกวันนี้ ในอานาปานสติและไปกันหมดดูแค่ลมหายใจเป็นนักหลับตาไม่เปิดตามาสู่ภายนอก นี่แหละมันพาศาสนาพุทธทุกวันนี้ลำบากลำบน โดยเฉพาะอาตมาลำบากมากเพราะว่าคนมันยึดติด พวกหลับตาแล้วไปอยู่กับลมหายใจ อานาปานสติ ซึ่งอธิบายก็ไม่ง่าย
ถ้าเข้าใจมุมแค่ว่า อานาปานสติแปลว่าลมหายใจเข้าออก คุณอย่าไปหลับตาอยู่กับที่ยึดถือแค่รู้ลมหายใจเข้าออก แต่ลืมตาอยู่ในปัจจุบันก็รู้ลมหายใจเข้าออก ตื่นอยู่กับอย่างอื่นเต็มทั้งหมด มีผัสสะ แต่ไม่ใช่ว่าเปิดกว้างจนกระทั่งรับเลขไปทั้งหมดก็ไม่ได้ ต้องเอาแวดวงที่คุณค่อยๆรับรู้แล้วปฏิบัติ กำหนดกรอบ เรียกว่าปริเฉท หรือบริบทก็แล้วแต่ เช่น การถือศีลข้อ 1 2 3 4 5 เป็นต้น เท่าที่เราทำได้ค่อยๆไปตามลำดับ
ศึกษาของพระพุทธเจ้านี่แหละสูตรจรณะ 15 วิชชา 8 เต็มรูป อาตมาก็ขยายความมาหลายปีแล้ว ก็ติดตามให้ดีๆ คุณก็พยายาม คุณก็แบ่งชื่อแบ่งนามสกุล รู้สึกตัวไว้ตลอดมันยาว ก็แบ่งเป็น ชื่อรู้สึกตัว นามสกุล ไว้ตลอด ก็ค่อยยังชั่ว
_Vivo Y15 (วีโว่ วายสิบห้า) : สันติอโศกตอนนี้มีที่ไหนเข้าไปเที่ยวกราบได้บ้างค่ะ / อยากเป็นส่วนหนึ่งของชาวอโศก รู้สึกศรัทธาค่ะต้องไปติดต่อที่ไหนค่ะ
พ่อครูว่า…ตอนนี้เปิดดูในไลน์หรือในแพลตฟอร์มอื่นๆของอโศกได้ กดมาถาม มีผู้รู้จะตอบได้ แต่ตอนนี้ยังมาเที่ยวไม่ได้ เรายังปิดระมัดระวังอยู่เพราะตอนนี้ยังไว้ใจไม่ได้ ทั้งโลกไว้ใจเรื่องวัคซีนกัน ว่าวัคซีนนี้มันจะยับยั้งให้พอเป็นไป มันไม่ใช่ยารักษานะ วัคซีนมันเป็นยายับยั้ง จะช่วยได้ เพราะว่ายารักษาเผด็จศึกจริงๆยังไม่มี เขาก็กำลังค้นคว้ากันอยู่ก็ค่อยๆเป็นไป ถ้าเจอยารักษาได้เมื่อไหร่จะดีมาก ที่เป็นยารักษาตรงกับโรคเขาเลยนะ ปราบได้อย่างเด็ดขาด เพราะตอนนี้ก็ใช้วัคซีนซึ่งมันกำราบ ทำให้บรรเทาไปได้ก่อน
วัคซีนนี้ดีอยู่อย่างนึง ถ้ามันคุมได้ มันกลายเป็นภาวะช่วยเรา ป้องกันเหมือนทหารป้องกันโรค แต่ถ้ารักษาหาย มันก็ไม่มีทหารรักษาช่วยเรา มันเข้ามาอีกก็ได้ หรือบางทีถ้าผู้ใดมีภูมิคุ้มกัน เหมือนกับโรคบางโรคที่เป็นครั้งหนึ่งแล้วมีภูมิคุ้มกันจะไม่เป็นครั้งที่ 2 อีก อันนั้นก็มีอย่างนี้เป็นต้น มีนัยยะหลายอย่างอยู่ ศึกษาไป
_สุทัศณีย์ วงษ์กิ่ง : กราบนมัสการพ่อครูคะพ่อบอกว่าเค้าจะออกมาได้มั้ยจากบูชา?ทำน้ำมนต์ยังไม่ได้ง่ายและยากมากๆ ค่ะ คุณแม่อยู่กับการปฏิบัติแบบนั้นมาเกือบทั้งชีวิตฟังธรรมพ่อครูทุกวันมา 4 ปีแล้ว ก็ว่าเข้าใจ แต่พอวันพระก็ต้องหาบูชาดอกไม้ธูปเทียนเหมือนเดิมค่ะเพราะความเคยชินทั้งชีวิต 86แล้ว กลับทางทั้งหมดไม่ได้คะสาธุคะ
พ่อครูว่า…อย่าไปงมงายอยู่อย่างนั้น ศึกษาที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ตรัสรู้สิ่งที่ประเสริฐสุดล่ะค่อยๆเป็นไป เห็นไหมว่ามันไม่ง่าย แล้วจะไปบังคับให้ผู้ไม่รู้มารู้นี้มันไม่ได้ จะพยายามทุบถองตักเตือนกันพูดแรงๆพูดเบาๆ พูดหวานพูดขมๆ พูดเผ็ดๆ ก็ว่ากันไป อาตมาค่อนข้างจะพูดอย่างเผ็ดและขม
_เพ็ญจันทร์ ภูมิเทศ : ผลการประชุมของ นศ.ปธ.& รบธ ขออนุญาตเพิ่มกลุ่ม รบธ.ทางเฟชบุ๊กเพิ่มด้วยนะคะ หากมีการประชุมผ่าน ZOOM ในครั้งหน้าจะได้มีการประชาสัมพันธ์ผ่าน เฟชบุ๊กบ้าง สมาชิกทั้งในและต่างประเทศจะได้ร่วมรับฟังสดๆค่ะ กราบนมัสการพ่อครูมาด้วยความเคารพยิ่ง
_จรรยา อิ่มประเสริฐ : ดูพ่อตลอดแม้กระทั่งเดินออกกำลังกายทุกคำพูดมีแต่ธรรม ธรรม ธรรม เท่านั้น
_Chamni Jantasuk (ชำนิ จันทสุข) : พระไตรปิฎก เป็นหนังสือที่อ่านยากที่สุด
พ่อครูว่า…ไม่เป็นไร มีอาตมา มีผู้รู้ต่างๆก็เอามาขยายความให้ฟังตลอดเวลา สนใจใส่ใจให้ดีติดตามฟัง
_ตุ้ม พรทิพย์ : ดิฉันเปิดธรรมอโศก กรอกหูให้สมาชิกที่บ้านฟังทุกวันเลยค่ะ อย่างน้อยก็ได้ฟังกันทุกวันเป็นการสร้างสัญญาไว้ในสมองก่อนค่ะ?
พ่อครูว่า… ระวังอย่าให้ Over จนไม่อยากฟังกันอีก คนเขาไม่ชอบยัดเยียดกัน เอาให้พอดี
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
ทำไมสาธารณโภคีจึงเกิดมีได้ในยุคนี้
สู่แดนธรรม… เรื่องสาธารณโภคีในพระไตรปิฎกไม่มีรายละเอียดเลย แต่เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ที่พ่อครูสามารถนำมาทำให้เกิดผลได้
พ่อครูว่า… ประเด็นที่ว่าทำไมสาธารณโภคีทำได้ยาก แม้จะมีหลักฐานในพระไตรปิฎกบ้างแต่ก็มีเล็กน้อยไม่ได้ขยายความ
ความเป็นสาธารณโภคีทั้งความหมายและตัวตนบุคคลเป็นอย่างไรก็ไม่ใช่รู้ได้ง่าย แต่อาตมาก็ทำ ทำตามที่อาตมามีความรู้ มีความจริงใจ จากสูตรจรณะ 15 วิชชา 8 หรือสรุปสั้นๆว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีลเป็นตัวตั้งมั่นทำให้เกิดสมาธิ ทำตามจรณะ 15 ไปถึง ฌาน 4 ทั้งหมดเป็นการสั่งสมจิตสมาธิ สั่งสมจิตที่ปราศจากกิเลส คำว่าสมาธิของพระพุทธเจ้าชัดเจนว่าต้องรู้กิเลส จับตัวกิเลสได้เลย แล้วทำให้ตัวกิเลสจางคลายแล้วดับสนิท ดับสนิทแล้วมี ปฏินิสัคคะ จนกระทั่งสลับไปสลับมาเป็นสิริมหามายา จิตเป็นมุทุธาตุ รับได้ทุกเวลาทุกแบบ มีลักษณะสมบูรณ์ 5 ประการ ของอุเบกขา
ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นคำกำหนดว่าเป็นฐานนิพพาน
ปริสุทธาคือบริสุทธิ์ แล้วทำให้บริสุทธิ์แล้วบริสุทธิ์อีก เจออะไรก็ยังบริสุทธิ์ เหตุปัจจัยอย่างไรก็บริสุทธิ์ปริโยทาตา สั่งสมเป็นแกนจิตที่เร็ว คือมุทุธาตุ มีลักษณะทั้งเร็วและตั้งมั่นเป็นเจโตและปัญญา เร็วทั้งคู่ เรียกว่า อุภโตภาควิมุติ ทั้งเก่งทั้งเร็วมีประสิทธิภาพเด็ดขาด จึงสามารถทำกรรมกิริยาทุกอย่าง ในทุกเวลา ทุกบริบท ทุกโอกาส ทุกปริเฉทได้ดี เรียกว่า กัมมัญญา อยู่กับความพอเหมาะพอดีของความไม่เที่ยงทุกกาละ
ปัจจุบันนั้นเหมือนเที่ยง แต่ปัจจุบันนั้นเดี๋ยวเดียวมันก็เคลื่อนไป เคลื่อนไปก็คือไม่เที่ยงแล้ว กาละมันคือหยุดนะ ละเอียดกว่าวินาทีมันไม่เคยหยุดไปเรื่อยๆ มันไม่เคยสะดุดไม่เคยหยุด นั่นคือความไม่เที่ยง
แล้วเราก็ทำได้ เราก็สามารถที่จะควบคุม กัมมัญญา ได้ตลอด นอกจากคุมแล้ว กรรมะกับธรรมะ
กรรมเป็นตัวเคลื่อน ธรรมะเป็นตัวตั้ง ทรงไว้ ทำให้ดีเป็น กัมมัญญา แล้วตั้งไว้ เป็นสภาพคู่สุดท้าย
สามารถทำ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา 5 ลักษณะนี้แหละ คือกระบวนการของอุเบกขา อุเบกขา 5 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในธาตุวิภังคสูตร ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 690
องค์คุณ 5 ของอุเบกขา
-
ปริสุทธา (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5)
-
ปริโยทาตา (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)
-
มุทุ (รู้แววไว อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ)
-
กัมมัญญา (สละสลวยควรแก่การงาน ไร้อคติ)
-
ปภัสสรา (จิตผุดผ่องแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ)
(ธาตุวิภังคสูตร พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 690)
อาตมาเอามาเป็นหลักใช้ ให้พวกเราศึกษาปฏิบัติเพื่อให้เกิดสภาวะ พวกเราก็ทำได้ตามฐานานุฐานะ เป็นฐานสภาวะจิตของนิพพาน 5 ประการ เป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นจิตที่มีคุณสมบัติ มีมุทุธาตุ มีกัมมัญญาและปภัสรา สะอาดสว่างอยู่ตลอด และมีคุณสมบัติสูงขึ้นเจริญขึ้น วิศิษฐ์ วิเศษ วิสุทธิ์ ขึ้นเรื่อยๆ เป็นจิตลักษณะ 5 ประการ
ผู้ที่สามารถมีสภาวะจริง จึงมีประโยชน์คุณค่าในความเป็นมนุษย์ วิเศษจริงๆเลย ไม่มีตกต่ำไม่มีเสื่อม ซึ่งไม่ใช่ไม่มีเสื่อม คนแต่ละคนต้องรักษาความไม่เสื่อมของตัวเองให้ได้ ค่อยๆศึกษาไป ซึ่งมันก็ไม่ง่าย มาถึง 50 ปีมันก็มีผลมีของจริง แต่มันก็มีอัตราการก้าวหน้ามันก็ยังไม่รวดเร็วเท่าไหร่ ก็ยังเชื่องช้าอยู่บ้าง ก็ไม่เป็นไร อาตมามั่นใจในสิ่งที่มันปักหลักลงแหล่งแล้ว มั่นใจว่ามันมีแล้วในมนุษยชาติในประเทศไทยนี่แหละ ได้แล้ว
สู่แดนธรรม… พ่อท่านตัดสินใจจะทำสาธารณโภคีมีอะไรเป็นนิมิตหมายบอกให้ทราบบ้างว่าสมควรแล้วที่จะทำแบบนี้
พ่อครูว่า… พูดถึงอย่างนั้นถามไปอย่างนั้น อาตมาระลึกเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่เริ่มต้น ก็ไม่ได้รู้ตัว แล้วก็ไม่ได้สำคัญมั่นหมายว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนั้นทีเดียว แต่มันต้องเป็น มันเกิดมาโดยที่อาตมาก็ไม่มีเจตนาที่เดียวในตอนแรก ตัวเองไม่ใช่จะเป็นคนรู้ได้เร็วครบไวเหมือนพระพุทธเจ้า ก็พอรู้แบบมลังเมลือง ว่าคนควรอยู่กับสิ่งที่ดี คำว่าตัวดีมาก่อนก็คือ อาตมาทำแล้วก็คืออะไรที่จะไปพบสิ่งที่ไม่ดีก่อนมันน้อย มันพบสิ่งที่ดีก่อนมันมาก
อาตมามีบารมีมากพอที่จะมีสิ่งที่ดีมาห้อมล้อมมาพรักพร้อมให้เราได้ โดยที่ไม่มีใครบังคับมันต้องเป็นไปเองต้องเป็นอย่างนั้นเป็นสิ่ง อจินไตย ที่ยากจะเข้าใจ เป็นวิสัย เป็นกรรมวิบากที่ต้องเป็นเช่นนี้ สั่งสมบารมีมีวิบากมาอย่างนี้แล้ว born to be มันต้องเกิดต้องมี ไม่เป็นอย่างนี้ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ลักษณะที่จะว่าใช่ก็ไม่ใช่จะไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ซึ่งมันไม่ใช่ มันต้องใช่ใช่ๆ อย่างนี้ ไอ้ที่ไม่ใช่ก็เลยรู้ง่าย เพราะมันใช่ใช่ๆก็เลยเป็นก้อนเป็นรูปเป็นร่างอย่างที่เราเป็น สิ่งที่ไม่ใช่เข้ามาก็เห็นได้ง่าย มันก็เลยเป็นอย่างนั้น ซึ่งใช้ภาษาพูดไปในสภาวะธรรมมันก็ไม่ง่ายมันก็ยาก แต่มันไม่มีอะไรที่จะดีกว่านี้แล้ว
ขอสรุปลงไปอีก ว่ามนุษย์จะต้องได้จรณะ 15 วิชชา 8 ไม่มีอะไรอย่างอื่นดีกว่าจรณะ 15 วิชชา 8
ความสุขที่ยิ่งใหญ่ยั่งยืนเกิดจากวิชชาจรณะ
_คุณฟ้าเจือศีล..ดิฉันคิดออกแล้วค่ะ อานาปานสติ เป็นใน มากกว่าสติปัฏฐาน 4 เพราะอานาปานสติ มีทวารที่สัมผัสเพียงหนึ่งเดียว แล้วเป็นการสัมผัสที่เบาบางกว่าอีก 5 ทวาร ส่วนสติปัฏฐาน 4 สัมผัสนอกครบทุกทวาร เข้าใจแบบนี้ถูกมั้ยคะ
พ่อครูว่า… ก็ถูกแล้ว เพราะฉะนั้นพวกงมงายอยู่ที่ประตูเดียวเบาบาง เมื่อไหร่จะได้เนื้อเต็มๆคุณก็ได้แต่นิดหน่อยเท่านั้น แล้วนิดๆแถมเป็นแบบโลกียะแบบเดียรถีย์ทีแบบสมถะด้วย ไม่ได้แบบตื่นๆไม่ได้แบบรู้กว้างกับคนอื่นเขาเลย อยู่กับคุณเพียงคนเดียว คุณก็อยู่ในระบบ อุทกดาบส อาฬารดาบส นั่นแหละไม่เป็นอื่นเลยเป็นแบบ เดียรถีย์ มันก็จะนานงมงายไปอีกนาน พระพุทธเจ้าก็เลยอุทานว่า ฉิบหายแล้วหนอ จะเป็นอย่างนั้น สะดุ้งไหมนี่พวกหลับตา ให้ลืมตามาเถอะฟังดีๆแล้วเริ่มต้นช้าๆ อย่าไปนึกว่าตัวเองสูงแล้ว มาเริ่มต้นใหม่ๆให้ถูกต้องตั้งแต่ศีลข้อ 1 2 3 ให้เข้าใจถูกต้องให้ดี
ความสุขที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน (ปีใหม่ มกราคม 2551)
ขอ..ให้พิศพินาศหล้า โลมสมัย
ความสุข..โลกีย์ไฟ ยุคนี้
ที่ยิ่งใหญ่..คือ ภัย โลกียสุข
และยั่งยืน..อยู่ชี้ ทุกข์ให้ทนเห็น
จง..เป็นคนอย่าไร้ บุญใจ
มี..แต่ชีวิตไป ไป่รู้
แด่..ชาติกษัตริย์ไย บ่ตระหนัก ใดฤา
มวลมนุษย์ชาติ..ทู้ ทู่ชี้สุขหลง
ความสุข..พงศ์หนึ่งนั้น โลกียรส
ที่..ปุถุชนติดหมด ทั่วถ้วน
ยิ่งใหญ่..จะละลด ยากสุด สุดเฮย
และยั่งยืน..หลอกล้วน จึ่งต้องศึกษา
คือ..หาทางจรณะสร้าง ภูมิธรรม
โลกุตรสุข..สำ เร็จรู้
ปรมังสุขัง..นำ มนุษย์สู่ สันติแล
ยิ่งใหญ่ยั่งยืน..ผู้ สุขได้ยืนยัน
“สไมย์ จำปาแพง” มกราคม 2551
พ่อครูว่า… ความสุขมันเป็นโลกีย์เป็นไฟร้อนในยุคนี้ จะเอาแต่สุขๆๆๆโดยไม่เรียนรู้อริยสัจ อริยสัจคือผู้ฉลาดให้มาเรียนรู้ทุกข์อย่าไปยุ่งกับสุข จัดการเหตุแห่งทุกข์ได้ เมื่อความทุกข์หมดความสุขก็หมดไปด้วย เพราะสุขกับทุกข์เป็นตัวเดียวกัน นี่เป็นสิ่งที่อาตมาเอามาไขในโลกนี้ ถ้าไม่มีทุกข์พระพุทธเจ้ามาไขก็จะไม่มีความจริงอันนี้
บุญไม่ทำงานอย่างอื่นนอกจากกำจัดกิเลสที่ใจเท่านั้น บุญคือการกำจัดกิเลสชัดเจนตัวปลายของฌาน คำว่าบุญจึงเป็นลักษณะของการสัมทัพว่าใช่แล้วกิเลสตายล่ะ กิเลสหมดล่ะ กิเลสไม่เกิดอีกแล้ว บุญมีที่เดียวหมดแล้วก็จบ บุญทำเสร็จแล้วเสร็จเลย เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ฌาน 1 2 3 4 เป็นเพชฌฆาตที่ 1 2 3 4 ส่วนบุญนั้นจะเรียกว่าเป็นเพชฌฆาตมือที่ 5 ก็ได้ ฌานที่ 4 เอาให้ตายแต่บุญคือซ้ำ ให้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม… บทกวีนี้พ่อครูจั่วหัวไว้ ขอความสุขที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืนจงมีแด่มวลมนุษยชาติ ก็ต้องอธิบายต่อว่า สุข ไม่ใช่แบบบำเรอกิเลส
พ่อครูว่า… มาดูคำอธิบายกวีของคุณ จริงจังตามพ่อ
สิ่งที่หาได้ยากยิ่งนักในโลกนี้…
ใน ๑๐๐ คน จักมีคนกล้าสัก ๑ คน
ใน ๑,๐๐๐ คน จักมีนักปราชญ์สัก ๑ คน
ใน ๑๐๐,๐๐๐ คน จักมีคนพูดจริงสัก ๑ คน
ส่วนคนทำดีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนนั้น ไม่รู้จักมีหรือไม่ ?
สิ่งที่คนไทยควรภาคภูมิใจยิ่งนัก นั่นคือเรามี พระมหากษัตริย์ที่ทรงมีบุญญาบารมียากที่ใครจะ เท่าเทียมได้ ความสุขของของพระองค์คือการได้ทรงงานเพื่อพสกนิกร แม้จะทรงพระประชวร ในพระราชหฤทัยกลับห่วงเรื่องพายุเข้ามาทำ ความเสียหายให้กับราษฎรมากกว่าการผ่าตัดครั้ง
ล่าสุด..เวลาตามเสด็จฯ พระองค์จะรับสั่งและ สอนพวกเราอยู่เสมอว่า ทำงานต้องสนุก ถ้าไม่ สนุกต้องไม่ทำ เพราะฉะนั้น จะเห็นว่าทรงสนุกมากเลย มีปัญหาท้าทาย คิดว่าทำให้ทรงมีพระพลานามัย และกำลังใจ มีประโยคทองที่เรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่ เป็นแสงสว่างนำทางชีวิตของดร. สุเมธ นั่นก็คือ… “ขอขอบใจนะ ที่จะมาช่วยฉันทำงาน แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้นะ แต่จะมีความสุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น” (เจาะใจ ดร.สุเมธ มติชน ๕ ธันวา )
“จิตที่คิดจะให้ ย่อมสบายกว่าจิตที่คิดจะเอา”(พุทธทาสภิกขุ)
“ผู้มีความสุขที่สุด คือผู้ที่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้ให้อย่างจริงที่สุด” (สมณะโพธิรักษ์)
บทเรียนจากนักการเมืองไทยสอนให้เรารู้ว่าต่อให้ได้อำนาจล้นฟ้า ได้เงินตราล้นแผ่นดิน แต่สุขแบบกระจอกๆ ที่ยังไม่ทันได้กินน้ำเหล่านี้ ต่อให้เฉลียวฉลาดสักปานใด ก็ไม่สามารถยื้อสุขแบบกระจอกๆ ที่ไปเที่ยวล่าลาภ ล่ายศ ล่าโลกียสุขทั้งหลายเอาไว้ได้
พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ อรรถาธิบายเนื้อหา นัยปกฉบับนี้ว่า
“ขอความสุขที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน จงมีแต่มวลมนุษยชาติ” นี่เป็นคำอวยพรปีใหม่ของหนังสือเราคิดอะไรฉบับปีใหม่ปีนี้ ปีพ.ศ. ๒๕๕๑
“ความสุขที่ยิ่งใหญ่” คือความสุขที่ไม่ใช่สุขโลกีย์ ไม่ใช่สุขที่บำเรอกิเลส อยากได้อะไรได้สมใจแล้วก็สุข เหตุสุขนั่นแหละเป็นตัวหลอกจึงเรียกว่าสุข ขัลลิกะ คือ สุขหลอกๆ
พระพุทธเจ้าเรียนรู้ตัวหลอกนี้แล้วก็ฆ่าเหตุ ที่มันไปหลงตัวหลอกนี้จนดับหมด ไม่มีสุขทุกข์ อทุกขมสุข หรืออุเบกขา
การหมดสุขหมดทุกข์…อุเบกขาหรือ อทุกขมสุข นี่แหละ คือ สุขโลกุตระ หรือ ปรมัง สุขัง สุขที่หมดสุขโลกีย์นี่แหละคือ ปรมัง สุขัง ซึ่งไม่ใช่สุขของปุถุชนสามัญทั่วไปในโลกทั้งโลกเขาเป็น เป็นสุขที่วิเศษที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบเป็นสุขที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน สุขโลกีย์ไม่ยั่งยืน
เพราะว่าสุขโลกีย์นั้นไม่เที่ยง นอกจากไม่เที่ยงแล้วเป็นตัวของทุกข์ เพราะฉะนั้นสุขโลกีย์นั้นคือทุกข์
สุขโลกีย์กับทุกข์นี้เป็นของคู่กัน เพราะฉะนั้นตับเหตุแห่งทุกข์ สุขก็หมดตาม ทุกข์ก็หมดตาม อันนี้เป็นความลึกซึ้งที่คนชนิดที่เรียกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบ
เมื่อตรัสรู้เรื่องนี้แล้วทรงเอามาประกาศเป็นสุขที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน เพราะความสุขอันนี้ตับเหตุแห่งทุกข์ได้แล้วมันสุขนิรันตร์เลย มันสุขส่วนเดียว สุขโดยไม่มีอะไรไปแปรเปลี่ยน สุขโดยไม่ขึ้นไม่ลงไม่ลดไม่เพิ่ม หรือสุขแล้วกลับไปทุกข์อีก
จึงเรียกว่าสุขที่ยั่งยืน ส่วนสุขของโลกียะนั้นไม่ยั่งยืนเปลี่ยนแปลงไม่เท่าเดิม นอกจากไม่เท่าเดิมแล้วยังกลับกลอกอีกต่างหาก(เบื่อ ๆ อยาก ๆ)
ถ้าไม่เป็น “โลกุตระ” อย่างพระพุทธเจ้า อาจจะกดข่มอาจจะกดข่มได้อดทนได้ แต่สุดท้ายไม่สูญสนิทจริง หมุนเวียนกลับคืนได้ กำเริบได้ นี่เป็นความสุขของโลกีย์ไม่ยั่งยืน แต่โลกุตระสุขนั้นยั่งยืน เป็นสุขสุดยอด
พ่อครูว่า…ก็บอกกันได้อย่างนี้ พูดกันได้บอกกันได้อย่างนี้ ส่วนจะทำได้หรือไม่ได้มันต้องศึกษาฝึกฝนปฏิบัติจนเกิดจนเป็นในจิตใจตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ และจะปฏิบัติได้ต้องปฏิบัติตามหลักเดียว จรณะ 15 วิชชา 8 ผู้ที่เป็นศาสนิกชนของพุทธต้องศึกษาให้ดีต้องมารู้ปฏิบัติอันนี้ ในวิชชาจรณะไม่มีอย่างอื่น ซึ่งเป็นพุทธคุณแท้ๆหนึ่งเดียว
พุทธคุณของพระพุทธเจ้ามี 9 อย่าง ซึ่งทั้ง 8 อย่างนั้นเป็นเครื่องตกแต่งทั้งนั้นไม่ใช่เนื้อ เนื้อแท้คือจรณะ 15 วิชชา 8 ที่คนต้องมาศึกษาเอาตั้งแต่ได้เล็กน้อยจนกระทั่งเต็ม ส่วนคุณจะได้ชื่อว่าเป็น ภะคะวะโต
จรณะ 15 วิชา 8 นั้นไว้ศึกษาตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงเป็นพระพุทธเจ้าเลย ศึกษาได้เป็นโสดาบัน เหลื่อมไปเป็น สกิทาคามี อนาคามี มันจะมีเหลื่อมกันไปเรื่อยๆ จนจบอรหันต์ถือเป็นกรอบสุดท้ายขั้นต้นของความตรัสรู้ของมนุษย์ มนุษย์บรรลุอรหันต์แล้วจะมีอุเบกขาเป็นเครื่องอาศัย สบาย
อุเบกขาที่มีคุณสมบัติ 5 แม้คุณจะมีเบื้องต้นเป็นความสะอาดบริสุทธิ์แล้วก็กระทบกับอะไรอีกคุณก็รู้จักรับ อรหันต์จะรู้จักแบ่งรับมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 แบ่งรับเอาที่พอเหมาะ ไม่ตะกละตะกราม ไม่เอาเกินตัว ไม่อ้าขาผวาปีก ไม่ฟุ้งซ่านเกินไป
อาตมาพูดอย่างนี้ 1. ผู้ที่ฟุ้งซ่านเกินไป ไม่ตีกรอบให้เหมาะสมกับตัวเองหรือให้น้อยไว้ มีแต่อยากอวดอยากโอ่ อยากให้ได้มีมากๆนั้นอันนี้มันเกินตัว ไม่มีสำเร็จได้ง่ายๆ
ส่วนผู้ที่มีน้อยมักน้อยเอาแต่น้อยๆก็ให้มันก้าวหน้าหน่อย ถ้าหากไม่คืบหน้าก็ช้าเหมือนกัน แต่คนนี้ไม่มีวิบากมาก เพราะว่าตัวเองไม่ไปหาเรื่อง
แต่พวกฟุ้งซ่าน พวกรู้อะไรมาก จะมีวิบากเยอะ และไม่ต้องบ่น ตัวเองทำเองแหละสมน้ำหน้า ทำไมเรามีแต่คนว่า คนว่าเพราะคุณเที่ยวไปแส่อะไรเรื่อย ต้องปฏิบัติที่ตนเป็นตัวหลักเอาของตนอย่างนี้เป็นต้น นี่ก็บอกไปในหมู่เราก็มีคนอย่างนี้ แต่ไม่มากเท่าไหร่ พวกเราส่วนใหญ่รู้ความพอเหมาะ แต่มีพวกเราบางคนที่ไปเที่ยวแต่หาเรื่องเขาอยู่นั่นไม่รู้จักจบ ให้รู้จักบ้าง เจียนเข้าหาสภาวะตัวเองให้มากขึ้นให้พอเหมาะสม
คำว่า จรณะ นี่มีคำๆหนึ่งคือสมบัติ
สมบัติ คู่กับคำว่า วิบัติ
วิบัติคือ จัดการทำลายให้หายไป สมบัติคือ สภาพที่สะสม
ที่จริงศาสนาไม่ให้สะสมสมบัติ ลึกซึ้งเข้าไปสู่สมบัติ คุณสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือนิพพาน เราได้ ไม่สะสม ไม่ยึดถือนิพพานว่าเป็นเราเป็นของเรา แต่ได้นิพพานแล้วก็อาศัย เสร็จแล้วจะต้องตายจาก หรือคนอื่นก็มีได้ ไม่ใช่สมบัติส่วนตัว นิพพาน ใครทำก็ได้ของเขา สัจจะมีหนึ่งเดียว ผู้ทำนิพพานได้ก็ไม่เถียงไม่แย้งกัน ถ้าจะแย้งกันก็แย้งในสมมุติ ผู้ที่ได้ปรมัตถ์เป็นนิพพานเป็นอรหันต์แล้วจบ เป็นเรื่องของจิต เจตสิก รูป นิพพาน จิตมันเป็นนิพพาน จิตเจตสิกรูป ที่เป็นลักษณะนิพพานแล้ว พระอรหันต์จะมีเองเป็นจริงเองของตัวเองเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพและเป็นปัจเจก แล้วเป็น สยังอภิญญา จนถึง อภิภู ก็ยิ่งใหญ่ของตนสูงขึ้นจนเป็น สยัมภู สุดท้าย พระโสดาบันก็จะแบ่งละเอียดไปอีกก็ได้ สกิทาคามี อนาคามีอรหันต์ โพธิสัตว์ ทุกระดับ พยัญชนะใช้แทนกันได้ไปเรื่อยๆ
จรณะเป็นสมบัติ แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะสะสม วิชชาเป็นสมบัติ ท่านเรียกว่า วิชชาสมบัติ จรณะสมบัติ
ใน อัมพัฏฐสูตร ตอนท้าย… ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุผู้ปฏิบัติเช่นนี้เรียกว่าผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยจรณะบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทั้งวิชชาและจรณะบ้าง อันวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอย่างอื่น ซึ่งดียิ่งกว่าหรือประณีตกว่านี้ไม่มี.
พ่อครูว่า…ที่พระพุทธเจ้าซักถามไล่เลียงกับ อัมพัฏฐมานพ ที่ว่ามีวิชชาจรณะ แต่ไล่เลียงไปแล้วมีแต่ภาษาไม่มีสภาวะ เหมือนกับทางพระเถรสมาคมทุกวันนี้ เป็นพระมหาศาลขออภัยไม่ได้ว่าหรอกแต่ว่าให้ไปตรวจสอบตัวเองดู
วิชชาสมบัติ จรณสมบัติ มีอยู่ พระพุทธเจ้าค้นพบตรัสรู้แล้วเอามาประกาศมีอยู่ แต่มันเสื่อมได้ มันจะเริ่มเสื่อมเมื่อใด พระพุทธเจ้าก็พยากรณ์ไว้ตั้งแต่ก่อนจะปรินิพพานในพระสูตรนี้ โดยบอกว่า อัมพัฏฐะ ความเสื่อม มีทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4
ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่
4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?
-
ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.