640704_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ จรณสมบัติและวิชชาสมบัติเป็นเช่นไรในศาสนาพุทธ
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1DzZd_1YmG2gTagFjH3xZLp_-Hc5IwADmCBzXwASBZLw/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/18iSVBbtk8hf-iKDPgX2S0llgibnTB4Ez/view?usp=sharing
และเฟซบุ้คที่ https://youtu.be/xdfRLS1UrVU
ความเสื่อมที่เสื่อมยิ่งกว่าความเสื่อม 4 ประการของศาสนาพุทธ
พ่อครูว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม 2564 แรม 10 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
วันนี้จะเปิดเผยความจริงอันยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงอันยิ่งใหญ่ว่า คนเราเกิดมาพร้อมกับ “สมบัติ” แล้วใครไม่มีสมบัติ คนไม่มีสมบัติคืออย่างไร ความเสื่อมของสมบัติคืออย่างไร ผู้มีสมบัติคืออย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าสมบัติของคนคือ “จรณสมบัติ” กับ “วิชชาสมบัติ” ผู้ใดเข้าถึงบรรลุผู้ใดมี เข้าถึง ปันโน หรือ ปันนะ เป็นการเข้าถึงความมีจรณะ 15 วิชชา 8 นี้คือ สมบัติอันประเสริฐ สมบัติอันยิ่งสมบัติของความเป็นมนุษย์ มนุษย์ขาดจรณะขาดวิชชาจะเสื่อมจากความเป็นมนุษย์
วิชชาจรณะเป็นพุทธคุณที่แท้อย่างเดียวของศาสนาพุทธ ไม่มีอย่างอื่น เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงได้ชื่อว่าเป็นศาสนาที่มีจรณะสมบัติ วิชชาสมบัติ ในศาสนาพุทธเท่านั้น ที่เป็นศาสนาที่มีสมบัติของคนในศาสนานี้
ผู้ใดชาวพุทธก็ตามไม่มีจรณะ 15 วิชชา 8 จึงชื่อว่าเป็นคนเสื่อม จากสมบัติของมนุษย์ของคน เป็นศาสนาที่ทำให้คนไม่มีสมบัติไม่มีจรณะไม่มีวิชชา คือคนไม่มีสมบัติ
ที่ไปหลงใหลเงินทองธนบัตรเพชรนิลจินดาเป็นสมบัติ อันนั้นเป็นสมบัติของมาร ไซตอน ซาตาน เป็นสมบัติของผีของคนโง่ ผู้ที่รู้ความจริงตื่นแล้วไม่ไปแย่งสมบัติโง่ๆบ้าๆอย่างนี้ พูดอย่างนี้แล้วมันเข้าข้างชาวอโศกหมดเลย เพราะชาวอโศกเป็นคนตื่นแล้วเจริญแล้ว เป็นคนที่รู้เรื่องดี
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอัมพัฏฐสูตร ตอนท้ายๆว่า ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุผู้ปฏิบัติเช่นนี้เรียกว่าผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยจรณะบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทั้งวิชชาและจรณะบ้าง อันวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอย่างอื่น ซึ่งดียิ่งกว่าหรือประณีตกว่านี้ไม่มี.
ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ ๔
ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่
4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?
-
ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.
พ่อครูว่า… ข้อนี้ยังถือวินัยอยู่ อย่างนั้นก็ยังเป็นความเสื่อมข้อที่ 1 ไปบำเรอใครที่อยู่ในป่านั้น ก็คงจะเป็นหลงว่าคนอยู่ในป่านั่นแหละเป็นผู้ที่มีวิชชาจรณะ มันจึงเป็นความเสื่อมเพราะความหลงผิด ไปบำเรอคนที่อยู่ในป่าแล้วนึกว่าเป็นผู้ที่มีวิชชาจรณะ คนนี้เป็นผู้ที่เสื่อมเป็นคนโง่ได้ที่ ไม่มีจรณะวิชชามีแต่อวิชชา
[164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.
พ่อครูว่า… ไม่รอผลไม้หล่นแล้ว ขุดดินเลย ไม่ถือวินัยแล้ว ประเด็นสำคัญคือเข้าใจว่าผู้ที่จะบรรลุวิชชาจรณะต้องมาอยู่ในป่าไม่ใช่คนในเมือง นี่คือความอวิชชาความโง่ความเข้าใจผิด ซึ่งจรณะ 15 ไม่มีให้ออกป่า การจะไปหาวิชชา 8 จากป่า จึงหาไม่ได้
[165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.
พ่อครูว่า… ทุกวันนี้ชาวพุทธที่บำเรอไฟมีอยู่เต็มไปหมดในศาสนาพุทธในวัดต่างๆในวิหารในโบสถ์ต่างๆ บำเรอไฟทั้งนั้น ก็ไม่รู้ว่าบำเรอไฟคืออะไร บำรุงบำเรอปรนเปรอกันด้วยไฟใช้ไฟเป็นสื่อเรียกว่าอัคคียัญ ซึ่งไฟก็มีควันกับเปลว สมัยโบราณจุดกำยานเป็นควัน ขี้เลื่อยข้าวสารเป็นควัน ส่วนเปลวก็ใช้น้ำมันเปรียงน้ำมันเนย จุดเป็นเปลวบำเรอไฟ สมัยนี้ก็เก่งพัฒนามาเป็นธูป พัฒนาเป็นเทียน แล้วก็จุดอยู่ในเรือน เรือนไหนที่จุดธูปเทียนก็เป็นเรือนไฟทั้งนั้น นี่เป็นความเสื่อมในประการที่ 3 เสื่อมได้ที่เลย ประการที่ 4 เสื่อมสูงสุด
[166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง ๔ นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.
พ่อครูว่า… นั่นแหละไปอยู่ที่คลองอะไร? สร้างเรือนสี่ทิศ เขาเป็นตัวอย่างให้เอามากล่าวมาพูด จึงยากมากเลยในยุคนี้ที่จะฟื้นคืนสัจธรรมพระพุทธเจ้า ว่าการออกป่ามันผิดมันเสื่อม แล้วจุดธูปเทียนบูชาไฟ แล้วมีน้ำเรียกว่าน้ำมนต์ สิญจนยัญ อัคคียัญ เป็นความเสื่อมที่ชัดเจนว่ายังงมงายเป็นเทวนิยมอยู่
อาตมาก็พูดตรงๆ พูดชัดๆว่า สิ่งที่เสื่อมสิ่งที่ไม่ดีคือเช่นไร สิ่งที่ถูกก็เลิกสิ่งเหล่านั้นมา คุณว่าพวกเขาจะเลิกได้ไหม อาตมาว่าเกิดตายอีก 5 รอบ คงพลิกฟื้นให้เลิกสิ่งเหล่านี้ยังไม่ได้ มันยิ่งกว่าคนที่ติดยา ชนิดที่เรียกว่าขืนไม่ได้กินตายชักเลย เป็นอย่างนั้นจริงๆเลย หมดไม่เหลือ เหมือนเราไปถล่มทลายกวาดทิ้งศาสนาพุทธหมด มันไม่ทิ้งหรอกเพราะเขาทำเป็นขยะของเขาเอง อาตมาคงไม่ได้กวาดอะไร เพียงบอกให้รู้ว่าทำไมศาสนาพุทธเจ้าถูกเอามาทำขยะถึงขนาดนี้ มันเป็นของเดียรถีย์ นอกรีตของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น น่าสงสาร
มาถึงพวกเรา เรื่องจรณะ 15 วิชชา 8 จึงเป็นสมบัติอันวิเศษเรียกว่าคุณอันวิเศษของมนุษย์ เป็นอุตตริมนุสสธรรม เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่รู้ก็คือไม่รู้ ยังงมงายไปกับสิ่งที่ผิดเพี้ยนที่ยังยึดยังหลงอยู่กับความงมงายนั้น
ลองอ่านตำนานที่อัมพัฏฐะถกกับพระพุทธเจ้า พระไตรปิฎก เล่ม 9
[167] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์ย่อมปรากฏในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากับอาจารย์เป็นอะไร วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมเป็นอะไร ข้าพเจ้ากับอาจารย์ ยังห่างไกลจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้.
พ่อครูว่า… พระพุทธเจ้าถามถึงสภาวะ ไม่ได้ทำถึงแค่พยัญชนะที่ท่องจำได้ และผู้ตอบเองก็ซื่อสัตย์เข้าใจว่าถามถึงสภาวะก็เลยตอบว่าไม่มีเลย เขาเป็นคนซื่อ แต่คนทุกวันนี้จะซื่อสัตย์อย่างนี้หรือ ไปถามทางเถรสมาคม เขาจะมีจรณะวิชชาไหม เขาก็บอกว่ามีเต็ม
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แหละ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.
พ่อครูว่า… แม้แต่ความเสื่อมข้อที่ 1 นี้ เขาก็ยังเสื่อมกว่าความเสื่อมข้อที่ 1 อีก คนที่เสื่อมออกป่าเก็บผลไม้กินก็ยังไม่ได้เสพในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เหมือนพวกเขาเหล่านั้นที่อยู่ในเมืองแต่เสพสุขในลาภยศสรรเสริญ เต็มไปหมด ไม่ได้กบำเพ็ญอะไรเลย
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ และไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ จึงถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่า ด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้ๆ บ้านหรือนิคม แล้วบำเรอไฟอยู่ บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.
พ่อครูว่า… จริงๆแล้วเขามี แต่เขาลืมไปเขาหลงตัวไป เขามีการทำพิธีเป็นเจ้าพิธีบำเรอไฟ มีพรมน้ำมนต์ จุดไฟบูชาทั้งนั้นแหละ แต่ก็เหมือนกับพระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องคนที่ยังแสวงหานิพพาน พ่อแม่ลูก เดินไปในทางไกลกันดาร ก็ยังไม่รู้ทางไปนิพพาน จนกระทั่งกินอาหารกินเสบียงหมด ไม่มีเสบียงก็จึงฆ่าลูกกิน แล้วก็บอกว่าลูกที่น่าเอ็นดูของฉันหายไปไหน สติมันจะมีหรือเปล่าคนๆนี้ ฆ่าลูกเอาเนื้อมากินอยู่แท้ๆ ยังมาพร่ำพูดว่าลูกฉันหายไปไหน อุทาหรณ์ของพระพุทธเจ้าสุดยอดเลย ทำให้เห็นคนหมดสติสัมปชัญญะปัญญาความระลึกรู้ระลึกได้ไม่มีเลยทำไปอย่างยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน มันน่าสงสารความเสื่อม
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนไฟที่มีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่า ผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง ๔ นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง บ้างหรือไม่?
ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ.
พ่อครูว่า… เหมือนยังกับธัมมชโยสร้างเจดีย์เหมือนกับจานดาวเทียมเลย นอกนั้นโบสถ์วิหารก็เป็นลูกโลก เห็นไหมที่เขาสร้างมันล้ำยุคล้ำสมัยขนาดหนัก วิหารลูกโลกเจดีย์จานบินเลย ล้ำยุคจริงๆเลย
อัมพัฏฐสมัยโน้นเขาก็ยังไม่ถึงสมัยนี้เลย สมัยนี้ธัมมชโยทำล้ำหน้าอัมพัฏฐะ จึงเสื่อมหนักกว่าอัมพัฏฐะไม่รู้กี่ต่อ
ดูกรอัมพัฏฐะ เธอกับอาจารย์เสื่อมจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ด้วย และคลาดจากทางเสื่อมของวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ๔ ประการนี้ด้วย.
พ่อครูว่า… ความเสื่อมที่เขาเสื่อมกันคุณยังไม่มีเลย คุณยิ่งกว่าความเสื่อม คำว่าคลาดจากทางเสื่อม
ออกป่าคือทางเสื่อม แต่ที้นี้ไม่ออกป่า แต่อยู่บ้านนี้เสื่อมยิ่งกว่าทางเสื่อมเหล่านั้น เพราะพระบ้านนี้มีลาภยศสรรเสริญเต็มไปหมด พระป่ายังไม่มาแย่งลาภยศสรรเสริญเหมือนพระบ้านเลย นี่เห็นไหมชัดๆในความเสื่อม แล้วเขาก็ยกย่องความเสื่อม เป็นสถาบันศาสนาพุทธอยู่ทุกวันนี้ ขออภัยที่อาตมาพูดตรงพูดจริงพูดชัดเจน ซึ่งมันก็ไปข่มดูถูกเขา ขออภัย มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ นี้เป็นวิชาการความรู้เป็นความจริงของความเสื่อมของศาสนาพุทธ
เมื่อข่มเขาแล้ว ยังยกตนข่มท่านอีกว่า เรามากอบกู้ศาสนาเอาวิชาจรณะมาให้พวกคุณศึกษา แล้วก็ประพฤติจรณะ 15 มีฌานแบบพุทธ คือฌานที่เกิดจากการปฏิบัติศีล แล้วปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 (อินทรียสังวร โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค) แล้วเกิดกระบวนการ สัทธรรม 7 (ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา) จึงเกิดความเป็นฌาน คือพลังงานจิต
ฌานนี้ มีปัญญารู้จักกิเลส เข้าใจกิเลส และมีอุบายเครื่องออก ในการทำให้กิเลสลดลง ทำถูกต้องตามสัมมาทิฏฐิพระพุทธเจ้า จึงจับตัวกิเลสได้
กิเลสคู่แรกเรียกว่า สักกายตามสัมมาทิฏฐิที่ชัดเจนจับกิเลสได้ แยกกิเลสออกจากเวทนา เวทนาแท้เวทนาเทียม แยกกิเลสออกจากเวทนาเทียมเวทนาก็ได้ ฆ่ากิเลสได้ก็เหลือแต่เวทนา 1 ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ศาสนาพระพุทธเจ้าเรียนรู้ที่เวทนา แล้วค้นเอากิเลสที่เกิดในเวทนาให้ลดลง หรือตายไปได้ นี่แหละคือความสำเร็จของศาสนาพุทธ
พวกเราอ่านเวทนาออกไหม คืออ่าน อาการ ลิงค นิมิต ใน พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 นี่แหละ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส คำว่าอุเทสคือคำอธิบายสาธยาย แล้ว คุณก็ไปอ่านอาการ ลิงค นิมิต ตามที่มันมีผัสสะเป็นจริง แล้วเกิดอาการในปัจจุบัน
หากคุณหลับตาไม่มีอะไรกระทบกิเลสของคุณก็ไม่ขึ้นมาให้รู้ คุณก็ดับได้ กดข่มไว้ เพราะมันไม่มีของจริงอะไร ถึงแม้คุณรู้สึกว่าระลึกถึงกาม พยาบาทในขณะหลับตา มันก็เป็นสัญญาเป็นความจำไม่ใช่ของจริงที่เกิดอยู่เดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้ล้างกิเลสปัจจุบันนี้ แต่ก็ไปล้างกิเลสในความจำนั่งหลับตาทำ ซึ่งมันไม่มีอะไรมากเลย แล้วก็เป็นการกดข่มจิต ให้มันดับ จอสัญญีไม่ให้รู้อีก ไม่รู้กี่ต่อที่หลงทางผิด
แล้วก็หลงว่าอันนั้นเป็นพระอรหันต์กัน พระอรหันต์เก๊ มันน่าสงสารจริงๆหลงอรหันต์เก๊กันเต็มบ้านเต็มเมือง พออาตมาบอกว่าอาตมาเป็นผู้ที่มีวิชชาจรณะจริงถูกต้องจริงก็เหมือนกับ ปริพาชก ตามหาพระพุทธเจ้า เมื่อเจอกับพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าก็บอกว่าเรานี่แหละพระพุทธเจ้า ปริพาชกก็แลบลิ้นใส่หนีไปเลย
กามนิตยังได้นอนคุยกับพระพุทธเจ้าแล้วได้ชมชื่นคำสอน ว่าท่านรู้ดีมาก ก็บอกว่าเราได้รับความรู้ความชุ่มชื่นมากเลยทั้งคืน ขอลาแล้วเราจะไปตามหาพระพุทธเจ้าต่อ แล้วกามนิตก็ลาพระพุทธเจ้าไปเพื่อไปตามหาพระพุทธเจ้า (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ใครโง่กว่ากันระหว่างกามนิตกับปริพาชก (พ่อครูไอตัดออกด้วย) โง่ทั้งคู่ก็แล้วกัน
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
แน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่พูดครูสอนนี้จริง
สู่แดนธรรม… พ่อท่านรู้เห็นจริงว่าสิ่งที่นำมาสอนนี้จริง แล้วจะมีคำถามที่มักมีคนถามว่า ท่านแน่ใจยังไงว่าสิ่งที่ท่านคิดท่านทำนี้ถูกจริง
พ่อครูว่า… 1. ก็ตรวจตามหลักฐานที่มีข้ออ้างอิงยืนยันกันได้ ในยุคนี้ก็ต้องนำเอาพระไตรปิฎกเป็นหลักฐานที่จะเอามาตรวจสอบ ตรวจสอบตามบันทึกไว้เลยเป็นพยัญชนะเป็นคำสอนต่างๆ
-
ผู้ที่ได้เรียนรู้ตามเอาไปประพฤติปฏิบัติตามพระไตรปิฎกนั้น ประพฤติได้ไหม?.. มีวิชชาจรณะไหม?.. เช่นมีศีลหรือไม่?.. มีอปัณณกปฏิปทา 3 ไหม?.. มีสัทธรรม 7 ไหม?.. มีฌานแบบพุทธไหม?.. แล้วมีวิชชา 8 ไหม?..
มี วิปัสสนาญาณ เป็นความรู้ความเห็นเป็นปัญญาญาณ แบบ จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อาโลกไหม?.. ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกไหม แล้วทำอย่างนี้แล้วมีผลได้คือบรรลุเข้าถึงผลของศีล ผลของการปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ผลของ สัทธรรม 7 ผลของฌาน
ฌานคือพลังงานที่เป็น อจินไตย เป็นฌานวิสัยของพระพุทธเจ้า ที่หลับตาไม่ใช่ฌานมันเป็นมิจฉาทิฐิ ของพระพุทธเจ้าต้องเป็น ฌาน แบบลืมตาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ของเขาก็บอกว่าของเขาได้แต่เราก็ยืนยันว่าอย่างนั้นมันผิด เขาจะไม่ฟังอาตมาหรอกเพราะว่าคำพูดอาตมาไม่มีน้ำหนัก สู้บรรดาสมเด็จเจ้าคุณต่างๆไม่ได้ หรือผู้ที่เรียนพุทธศาสนาจบมาจากวิทยาลัยต่างประเทศ เมืองที่เป็นเทวนิยมต่างๆนั้นไม่ได้ เขาจะไปเชื่ออันโน้น เขาจะไม่เชื่อความจริง
เช่นความจริงว่า อาตมาเป็นสัตบุรุษ เป็นผู้ที่เป็น สยังอภิญญา เป็นผู้ที่มีความรู้ของพุทธเป็นอภิญญาของพุทธมาเอง สยังตั้งแต่ชาติก่อน มาชาตินี้ก็พูดความจริงบอกว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา เป็นสัตบุรุษเป็นพระโพธิสัตว์ มีความรู้มาตั้งแต่ชาติก่อน ชาตินี้เขาผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว เอาความรู้ของอาตมาเถอะ เพราะอาตมาเอาความรู้ของพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่ชาติก่อนมาบอกเขาก็แลบลิ้นใส่ ไม่ใช่แค่แลบลิ้นใส่แต่จะเอาตายบอกว่ามาทำลายศาสนาพุทธไปนู่นอีก แต่ก็จัดการอาตมาไม่ได้ เขาตั้งใจจะทำลายไม่ให้เหลือซากเลย ชาวอโศกหรือโพธิรักษ์ เขาตั้งใจทำอย่างนั้น ก็ได้พยายามทำมาหลายสิบปี สุดท้ายก็สู้ความจริงไม่ได้สัจธรรม
อาตมายิ่งเกาะพระไตรปิฎกแจเลย เขาเถียงยากแย้งยากสู้ไม่ได้ จำนน ทุกวันนี้อาตมาก็ถือว่าเขาจำนนแล้ว แต่อาตมาก็หยุดไม่ได้ที่จะพูดความจริง ก็เขายังผิดอยู่ จำนนอย่างนั้นก็ยังไม่แก้ไข ลองนึกดูสิว่าอาตมาทำงานมา 50 ปีเขาเปลี่ยนแปลงมาบ้างไหม …
เรื่องเลิกเดรัจฉานวิชาเป็นต้น เขาก็ไม่เลิก เดรัจฉานวิชาที่ร้ายแรงที่สุดก็คือตำแหน่งลาภยศ รวยลาภ ตั้งเงินเดือนให้กันเอง มียศ มีตำแหน่งอีก เป็นการลอกเลียนทางโลกๆมาหมดเลย ฆราวาสเป็นอย่างไรเขาเป็นอย่างนั้น เหมือนฆราวาสไม่มีผิด มันสุดสังเวช
กลับมาที่วิชชาและจรณะ
เอาจรณะ ก่อน จรณะ 15 คือปฏิบัติศีล เอาศีลที่พระพุทธเจ้าบัญญัตินี่แหละมาประพฤติปฏิบัติ ข้อ 1 เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ ข้อ 2 เรื่องเกี่ยวกับของเกี่ยวกับพืช ข้อ 3 เรื่องเกี่ยวกับทวารทั้ง 5 กามคุณ 5
3 ข้อนี้เป็นข้อหลัก อาตมาก็พยายามทั้งสรุปและขยาย สรุปมาถึงสัตว์ก็ขยายความถึงสัตว์ให้ฟัง สรุปถึงสิ่งของกับพืชก็ขยายเรื่องของกับพืชให้ฟัง สรุปถึงทวารทั้ง 5 กามคุณ 5 ก็ขยายเรื่องกามคุณ 5 ให้ฟังให้เข้าใจ พวกเราก็ฟัง ฟังแล้วก็เกิดเข้าใจเชื่อถือ เห็นตามมีศรัทธา เกิดศรัทธาแล้วก็เกิดความละอาย
แต่ก่อนนี้เราละเมิด ศีลที่ท่านห้ามไว้เกี่ยวกับสัตว์ก็อย่าไปรังแกสัตว์อย่าไปเบียดเบียนสัตว์ แม้ที่สุด บอกว่าอย่าฆ่าสัตว์อย่าไป เบียดเบียนสัตว์ เขาก็สอนกันจนคนฟังแล้วด้านสุดด้านชาไปหมดแล้ว ไม่สามารถกระตุกอะไรให้รู้เรื่อง อาตมาก็เลยต้องเติมน้ำหนักว่าอย่ากินเนื้อสัตว์ ก็ชักจะสะดุดใจขึ้นมานิดนึง บอกว่าท่านไม่ให้ฆ่าสัตว์ท่านไม่ได้ห้ามกินนะ มันก็ต่อเนื่องกันนั่นแหละ จะเอาควายมากินเคี้ยวสดๆเลยไม่ได้ แม้แต่ปูปลา คุณก็ต้องเอามาฆ่าแล้วต้มให้สุกก่อนทั้งนั้น มีพวกกินสด มีพวกรากสด ยักษ์ เอาปลาหมึกสดๆมากินเป็นต้น ก็ว่ากันไป เราก็บอกว่าเราไม่เอาอย่างนั้น
จะเห็นได้ว่าพวกนั้นไม่มีศีลกันเลย เขาก็ยังเบียดเบียนยังกินเนื้อสัตว์กันยังเลี้ยงสัตว์กัน ..สัตว์ก็ปล่อยไปอยู่ตามยถากรรมของเขา วิบากกรรมของใครของมันอย่าไปยุ่งกันเลย แค่วิบากกับคนด้วยกันคุณก็จัดการพยายามให้เกิดอโหสิหมดบาปเวรภัยกัน ไปก่อนเถอะ เรื่องสัตว์นั้นอย่าต่อเนื่องกันไปเลยมันพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก ให้ปลดปล่อยคนด้วยกันนี่ก็ให้หมดกันไปเถอะ ในเรื่องมีบาปเวรต่อกันต่างๆนานา
อธิบายกรรมวิบากให้ฟังนิดนึง
เรื่องแย่งในลาภยศสรรเสริญ อย่างพวกนักการเมืองก็แย่งกันจะครอบครองประเทศ ข้าราชการก็แย่งกันเป็นนักวิชาการเป็นผู้รู้ เป็นผู้ที่ได้ตำแหน่งหน้าที่แย่งกัน พ่อค้าพ่อขายก็แย่งกัน แย่งกันรวย แย่งกันชิงความร่ำรวย ชิงเงินทอง มันก็รบราฆ่าฟันเป็นวิบาก แย่งกันไปแย่งกันมา ด้านกามก็แย่งผู้หญิงผู้ชายกันไปชาติแล้วชาติเล่าเป็นกรรมวิบาก
สิ่งเหล่านี้มันวนเวียนเป็นกรรมวิบากไม่รู้กี่ชาติ คุณอยู่ในชาติเดียวกัน ยิ่งพวกข้ามชาติ ก็ไม่รู้นะ พวกคุณปิยบุตร ไปแย่งผู้หญิงฝรั่งเศสมา ไม่รู้เขาจะมีเจ้าของทางโน้นหรือเปล่า ก็ขออภัยที่พูดพาดพิง เขาก็แย่งกันทั้งนั้นแย่งสรรเสริญแย่งความโด่งเด่นดัง
อาตมาเกิดมาชาตินี้ไม่เห็นต้องไปแย่งความสรรเสริญกับใคร มีแต่คนถล่มทลายคนว่า อาตมาก็ไม่เป็นไรเขาจะดูถูกดูแคลนก็ไม่เป็นไร อาตมาก็สงสารเขา ก็สาธยายสัจจะแสดงสัจจะไป ตั้งแต่พูดบรรยายมีคนเข้าใจ อย่างพวกคุณเข้าใจ สิ่งที่ไม่น่าจะเข้าใจก็มีคนเข้าใจได้เอามาประพฤติปฏิบัติจนละเลิกทางโลกๆ ออกมาจริง เป็นคนกลุ่มหมู่เรียกว่าชาวอโศก มีวัฒนธรรมของชาวอโศกสอดคล้องกับพระไตรปิฎก เป็นคนมีวรรณะ 9 เป็นชุมชนที่มีสาราณียธรรม 6 ถึงขั้นมีสาธารณโภคีได้ นี่เป็นการพิสูจน์ตามพระไตรปิฎกทั้งนั้น
ตอบคำตอบหรือยัง
สู่แดนธรรม… พ่อท่านตอบได้ยาวและละเอียดถี่ถ้วนครับ
พ่อครูว่า… ยืนยันได้ตรวจสอบตามพระไตรปิฎก ว่าคนประพฤติปฏิบัติตรงไหมมีได้ไหม จนถึงขั้นนี้ พิสูจน์ได้ถึงขั้น อาตมาอธิบายด้วยว่า ในยุคพระพุทธเจ้าทำให้ฆราวาสเป็นสาธารณโภคีไม่ได้เหตุเพราะอะไร เพราะเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังเป็นยุคทาสยังเข้าใจสิทธิมนุษยชนไม่ได้ จึงทำไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ยังทำไม่ได้ มาในยุคนี้ไม่ใช่ว่าโพธิรักษ์เก่งกว่าพระพุทธเจ้าจึงทำได้ แต่เพราะว่าบริบทแห่งยุคสมัยมันคนละเรื่องกันกับสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่ใชุ่ยุ.คทาสไม่ใช่คนไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน คนมีสิทธิมนุษยชนเต็มตัวหมด
เพราะฉะนั้นพวกคุณมาเองทั้งหมดไม่ได้หลอก ประกาศสัจธรรมไปแล้วพวกคุณก็มาเอง แล้วมาอย่างน่างง ให้มาจนนะ ก็มา มามักน้อยสันโดษออกนะก็มา มาขัดเกลานะก็มา สุดท้ายเป็นคนมีวรรณะ 9 เป็นคนไม่มีสมบัตินะ อปจยะ ไม่ให้สะสมอะไร มือเปล่าๆทำงานฟรี หลุดพ้น มิจฉาชีพทั้ง 5 ข้อ
อาตมาพูดแล้วก็ภูมิใจ พาพวกเราทำสำเร็จ พ้นมิจฉาชีพทั้ง 5 ข้อ ทำงานฟรี ไม่เอาลาภแลกลาภ ทำได้ ยิ่งกว่ารายการของนายปัญญา ..พวกเราทำได้ เห็นไหม พิสูจน์ยืนยันความจริงจนถึงขนาดนี้
เพราะฉะนั้นในศาสนาพุทธอาตมาว่าอาตมาได้กอบกู้ เอาจรณะสมบัติ สมบัติที่เป็นจรณะคืนมา เอาวิชชาสมบัติ ที่มันเสื่อมไปหมดแล้วคืนมาได้ เป็นคนมีศีลเป็นคนที่มี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นคนมีสัทธรรม 7 เป็นคนมีฌาน ที่เกิดจากจรณะ 15 ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นฌานที่ไปนั่งหลับตาทำ ฌาน
ฌานวิสัย ที่เป็น อจินไตย ของพระพุทธเจ้าเขาเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ เป็นเรื่องที่คิดเอาเองไม่ได้ พวกคุณเป็นคนมีฌาน ฌานไม่ต้องหลับตาไปนั่งเพ่งอะไร ฌานคือปัญญา แต่ฌานต้องลืมตาเป็นธาตุรู้ที่รู้กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม แยกกิเลสออกได้
สราค สโทสะ สโมหะ อ่านได้ ราคะเกิดขึ้นในจิตก็ปฏิบัติลดละดับราคะในจิตได้
โทสะ เกิดก็รู้ เมื่อกระทบสัมผัสอยู่กับเหตุปัจจัยทั้งหลายในโลก สัมผัสแล้วเกิดโทสะ ก็รู้ สโทสะ ทำให้วีตโทสะได้ ให้ไม่มีหรือลดโทสะได้
แม้ว่ายังไม่หมดก็เห็นอยู่ว่ามีอนุปัสสี 4 เห็นอยู่ว่ากิเลสมันไม่แน่จริงหรอก มันไม่เที่ยง สู้เราไม่ได้หรอก เราทำให้มันลดได้ เห็นจริงๆเลยว่ามันไม่เที่ยง เพราะเราทำให้มันลดได้ จางคลายลงได้ ดับได้ ดับบางส่วนก็ตาม ก็เป็นผลที่เราพิสูจน์ด้วยตัวเอง รู้ชัด รู้จริง รู้แจ้ง ว่ากิเลสเป็นเช่นนั้น กิเลสลดเป็นเช่นนี้ กิเลสหยาบๆเราดับได้จริงๆมันไม่เกิดขึ้นในเรามีไหม?…มี
เสียงเบาๆ แสดงว่าไม่รู้ชัดเท่าไหร่คุณมาอยู่ที่นี่คุณห่างจากอบายมุขทั้งหลายคุณก็ไม่แสวงหาดิ้นรนอะไรนั้นคุณรู้แล้ว จากกิเลสอบายมุขหยาบเยอะ เราออกมาแล้ว ในเมืองเรานี้อย่างน้อยเป็นสังคมอนาคามีขึ้นไป ไม่ใช่มีแค่พระโสดาบันสกิทาคามี หยาบๆตื้นๆ แต่พวกคุณไม่รู้ตัวง่ายๆหรอก ไม่อย่างนั้นคุณอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก เข้ามาไม่มีภูมิพอเขาอยู่ไม่ได้ทนทาน เขาอยู่ไม่เป็นสุขหรอก แต่คุณอยู่ได้ อย่างน้อยเป็นฐานอนาคามีขึ้นไปเป็นสุข
ไม่ใช่แกล้งยกยอกันเล่น แต่พูดความจริง
คำว่าสมบัติ คนเราเกิดมามีสมบัติ สมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ควรจะได้ก็คือวิชชาและจรณะ แต่คนหลงทางไปคว้าเอาสมบัติที่เป็นสมเด็จเป็นเจ้าคุณ เป็นบัลลังก์ได้นิตยภัตเท่านั้นเท่านี้ ได้ตำแหน่งหน้าที่ได้ขั้นได้อะไรต่างๆ เกิดมาชีวิตไม่เสียชาติเกิด ได้เป็นใหญ่เป็นโตได้เป็นเจ้าเป็นนาย เป็นนายทางพระนะ ทางฆราวาสเขาไม่ต้องไปรู้หรอก แต่ว่ามาบวชเป็นพระแล้วก็ยังเอาเป็นเจ้าเป็นนายทางพระ เมื่อไหร่คุณจะมีศรัทธาหิริโอตตัปปะมีความละอายในสิ่งที่คุณครองอยู่ คุณไม่ได้รังเกียจไม่ได้ละอายไม่ได้เกรงกลัว คุณก็ยังคลุกคลีอยู่กับมันเฉย
สู่แดนธรรม… คำตอบของพ่อท่าน เป็นอะไรที่แตกต่างจากการประพฤติปฏิบัติความเป็นในประเทศไทยเป็นกันอยู่ ที่ผมเคยไปคลุกคลีมา อาจารย์ก็จะสอนว่าอย่าไปอ่านพระไตรปิฎกอ้างอิงพระไตรปิฎกมาก ปฏิบัติเองจะรู้เอง
พ่อครูว่า… เขาอยู่ในบัลลังก์สถาบันเถรสมาคม มันเป็นอบายมุขยิ่งกว่าที่ออกป่า พวกออกป่าก็เป็นอบายมุขแล้ว
ยิ่งไปจุดเรือนไฟ สร้างเรือนไฟในมุขสี่ด้านในทางสี่แพร่ง สร้างวิมานวิหารใหญ่ มีอะไรต่างๆนานา ตายไปแล้วลูกศิษย์ลูกหาจะก็ยังสร้างวิหารสร้างอนุสาวรีย์ ใส่เข้าไป ทั้งนั้นแหละ เขาก็ไม่รู้ตัวว่าเป็นการทวนกระแสที่พระพุทธเจ้า ท่านบริภาษเอาไว้อย่างหนักหนาสาหัส แต่เขาก็ไม่รู้
สู่แดนธรรม… ทัศนคติ ชาวพุทธไทย เขาจะศรัทธาความมักน้อยสันโดษ เขามองมาทางอโศก เมื่อก่อนเขาเห็นว่ามีมักน้อยสันโดษ แต่เดี๋ยวนี้ทำไม…ข้าวของเยอะยิ่งใหญ่กว่าชาวบ้านเขามีกันด้วย
พ่อครูว่า… นี่แหละคือความทวนกระแส คนที่มักน้อยสันโดษลงมา แล้วก็จิตมีความบรรลุได้แล้วว่ามีน้อยเท่านี้เราก็อยู่ได้เราก็พอ เราก็จบ จิตเราพอเราจบ ทีนี้ก็เป็นการทดสอบ คนเอามาให้เพิ่ม เราขยันหมั่นเพียร วิริยารัมภะ กินน้อยใช้น้อยทำงานแล้วก็มีเพิ่มขึ้นอีกมันก็เลยมีเหลืออุดมสมบูรณ์ขึ้นมา ซึ่งเราไม่ได้เอาของใครมา เราสร้างด้วยตัวเองทั้งนั้นขยันเปลี่ยนด้วยวิริยารัมภะ แล้วยิ่งแต่ละคนช่วยกันทำเอามากองกับส่วนกลางมันก็เลยมีสมบัติส่วนกลางเยอะ
สมบัติชาวอโศกที่มีเยอะแยะนี่ของใคร?.. ก็เป็นของส่วนกลางทั้งนั้น ไม่เหมือนกันนี่แหละเป็นความซับซ้อน ซึ่งมันก็เลยดูเยอะดูใหญ่ดูหนักดูมาก พูดกันอย่างที่ไม่ได้ไปข่มใครนะ แค่หมู่บ้านราชธานีอโศกเป็นหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่ง หมู่บ้านที่เกิดที่หลังหมู่บ้านอื่นเขา หมู่บ้านก่อนเก่านั้นเกิดมาก่อน เขาไม่มีใครจะมาเหมือนกับชาวราชธานีอโศก คนในหมู่บ้านต่างๆกลับมาอาศัยทำงานเลี้ยงชีพอยู่ในราชธานีอโศก มันซ้อน มีเงินให้เขา ให้ค่าแรงงาน ที่ราชธานีมีการสร้างเพิ่มเติมเพราะเรามีเหลือในระบบสาธารณโภคี
สาธารณโภคีคนนี้ทำงานฟรีเอาเงินเข้ากองกลาง เหมือนกับระบบของโลก ประเทศเอาเงินจากประชาชน เป็นภาษี เอาไม่มากหรอกของประเทศ แต่ของอโศกนี้เอา 100% เลยภาษีจากประชาชนทำงานอยู่ที่นี่ ใครมันจะแน่กว่าอโศกเป็นไม่มีหรอก ทำงานเสียภาษี 100% คนฟังก็หูหัก ว่ามันพูดอะไรคนทำงานเสียภาษี 100% แล้วมันเอาอะไรรับประทาน
ซึ่งเขาก็พูดประชดทั้งนั้นแหละ พวกเราแต่ละคนกินน้อยใช้น้อยไม่มักมากใช้มาก เพราะฉะนั้นคนชาวอโศกหาคนที่พุงโตอ้วนไม่มากเลย นอกจากสรีระเขามันเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่เป็นคนหุ่นสันทัดคนได้สัดส่วน slender ทั้งนั้น ค่อนข้างจะไปทางผอมด้วยซ้ำไปเพราะเป็นมุนี ที่จะเป็นช้างมีน้อย ช้างพีแต่เป็นฤาษีผอม นี่ก็เป็นเรื่องจริง แต่แข็งแรงนะตัวผอมก็ไม่ใช่ว่าแข็งแรงอ่อนแอไม่มีแรงข้าวต้มปวกเปียก ไม่ใช่หรอก แข็งแรง..อย่างนี้เป็นต้น
วิชชาสมบัติและจรณสมบัติของศาสนาพุทธ
เข้ามาสู่คำว่า “สมบัติ” ลึกซึ้งมาก
สมบัติที่ชาวพุทธมี เพราะทำความวิบัติได้จึงเป็นสมบัติ ทำกิเลสให้วิบัติ ทำบุญให้สำเร็จ บุญคือพลังงานที่กำจัดกิเลส เป็นตัวยืนยันว่ากำจัดกิเลสได้จริง
ฌาน คือตัวเริ่มรู้จักกิเลสด้วยปัญญา ปัญญารู้จักกิเลสแล้วก็มีอุบายเครื่องออก (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม… เด็กๆที่ตั้งใจจดบันทึก คงรู้ว่าพ่อท่านจะให้สัมมาทิฏฐิในความหมายคำว่าบุญ
พ่อครูว่า… ถ้าหากไม่มีอาตมาอุบัติเกิดขึ้นมาก็ไม่มีใครพูดคำว่าบุญขึ้นมาอย่างมีความหมายถูกต้องจริงๆว่าคืออะไร อาตมาก็ขึ้นมาเป็นผู้กอบกู้ กอบกู้ความผิด ผิดพลาดทั้งพยัญชนะ ผิดพลาดทั้งสภาวะคืนมา (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
ในตัวคนเกิดมามีอวิชชา เมื่อมีอวิชชาก็เต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นกิเลส ไม่รู้จักสังขาร ไม่รู้จักวิญญาณ ไม่รู้จักนามรูป ไม่รู้จักอายตนะ ผัสสะ ไม่รู้จักเวทนา ไม่รู้จักตัณหา นี่แหละคือตัวการใหญ่ ตัณหาที่เก็บสะสมไปก็เรียกว่าอุปาทาน ไม่รู้จักก็จัดการฆ่าไม่ถูกตัว เพราะว่าไม่รู้จัก
เมื่อมาปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 ก็เกิดสมบัติใหม่ สมบัติเก่านั้นคืออวิชชา สมบัติใหม่คือวิชชา ผู้ที่มีสมบัติติดตัวมาก่อนอย่างเช่นอาตมาเป็นโพธิสัตว์สั่งสมความจริงความรู้นี้ก่อนมา ก็เอามาพูดในยุคนี้ที่ศาสนาพุทธได้เสื่อมสูญไปหมดแล้วพระพุทธเจ้าตรัสยืนยันไว้มีหลักฐานเป็นความจริงด้วย ไม่ได้พูดแบบขี่ตู่ผิดเพี้ยน ก็เอามาขยายยืนยัน
อาตมาว่าใช้ปฏิภาณสามัญก็ได้ว่า ทุกวันนี้เขามีผู้รู้จักกิเลสจริงๆ สอนได้ถูกต้องสอนให้มีอุบายเครื่องออกลดกิเลสได้จริงๆ ที่อาตมาใช้คำว่า “อุบายเครื่องออก” นี่เพราะว่าการกำจัดกิเลสไม่ใช่ไปฆ่าแกง ไม่ใช่ไปกดข่มไปทำร้ายไปบีบคั้น ไม่ใช่
การฆ่ากิเลสต้องฆ่าด้วยปัญญาอันยิ่ง อุบายเครื่องออกทำให้เกิดปัญญา แล้วปัญญาก็มาจัดการฆ่า ใช้คำว่ากำจัดก็ได้ ทำให้กิเลสมันละลายหายไปสู้พลังงานปัญญาไม่ได้
พลังงานของปัญญามันเหนือชั้นกว่าเป็น อุณหธาตุ เป็นพลังงานไฟฌาน เหนือชั้นกว่าไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ มันเหนือชั้นกว่าจริงๆ เรียกว่าอุตระ มันมีพลังเหนือชั้นกว่าจริงๆจึงทำให้ราคะ โทสะ โมหะ ลดลงไปได้จริง ผู้ที่รู้จักทั้งพยัญชนะและสภาวะ ทำให้เกิดผลให้ตัวเองก่อนแล้วเอามาอธิบาย พวกคุณฟังแล้วเข้าใจเอาไปประพฤติปฏิบัติตามคุณก็ได้ ได้จริงๆมาจนกระทั่งเกิดหมู่ชุมชนวัฒนธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นคนมีวรรณะ 9 มีสังคมสาราณียธรรม 6 เพราะมีพุทธพจน์ 7
อยู่กันอย่างรวมกัน เป็นคนชนิดที่มีทิฐิเดียวกัน อยู่กันด้วยอย่างมี พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ มี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
อาตมาพูดแล้วก็ภูมิใจที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาพิสูจน์ แม้ในยุคนี้โลกก็ไม่ว่างจากพระอรหันต์เพราะว่ามี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) รู้โลกนี้โลกหน้า
โลกนี้คือโลกโลกียะ โลกหน้าคือโลก โลกุตระ ไม่ใช่ว่าโลกหน้าที่ตายไปแล้วเกิดใหม่ อย่างนั้นใครก็รู้ได้ไม่ต้องเป็นอรหันต์ก็รู้ได้ เขาไปสร้างนิยายอะไรเยอะแยะ ถ้าหากเขารู้อย่างพวกเรา เอาไปสร้างนิยายกังฟูเด็ดๆอะไรสู้ไม่ได้หรอก ยิ่งอาตมาเป็นพระเอกจอมยุทธ์ อาตมาเป็นจอมยุทธในยุคนี้ มีฝ่ามืออรหันต์จริง คนเข้าใจเอาไปผูกเรื่องรับรองสนุกกว่า
สู่แดนธรรม… และมีลีลาฝ่ามือสิริมหามายาด้วย
พ่อครูว่า… คุณเห็นว่าเราตีด้วยฝ่ามือแต่ที่จริงเราปัดด้วยหลังมือเท่านั้น ถ้าถูกตีด้วยฝ่ามือคุณจะไม่เหลือเลยเป็นผุยผงเลย
อันนี้เป็นเรื่องจริง สิ่งที่เป็นเรื่องซับซ้อนในความรู้เป็นสภาวะจริงของมนุษยชาติสุดยอดซาบซึ้ง อาตมาอธิบายไปอีกก็อธิบายไปได้เท่าที่ตัวเองสามารถเอาพยัญชนะเอาภาษามาพูดเท่านั้น มันมีความละเอียดลออยิ่งกว่านั้นอีกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ได้พูดขนาดนี้ก็ไม่น้อยแล้ว พวกที่ตามทันพวกคุณก็ฟังรู้เข้าใจตามทันแล้วก็ได้ คนที่ตามไม่ทันไม่ได้ก็ไม่รู้ ว่ามันพูดอะไรของมันวะเขาก็อย่างนั้นแหละก็น่าสงสารคนไม่รู้จะทำอย่างไร
เราทำได้จนเกิดชุมชนวัฒนธรรมเป็นอยู่ดำเนินชีวิตไป มันไม่ใช่ของเล่น มันเป็นของจริง พวกคุณเอาชีวิตมาปฏิบัติประพฤติไป จนกระทั่งแต่ก่อนนี้ แม้ว่าเราไม่ได้เกิดในตระกูลที่สูงก็ไปเป็นคุณนายได้เพราะเราร่ำรวย จะได้เป็นคุณนาย ดีไม่ดีได้เป็นคุณหญิง ทำความดีมากๆได้รับพระราชทานให้เป็นคุณหญิงอย่างนี้เป็นต้น ก็เอา
ความเจริญก้าวหน้าของโลกุตรธรรมในยุคพ่อครู
สู่แดนธรรม… ช่วงท้ายๆขอถาม สิ่งที่พ่อท่านมีชีวิตดำเนินการสร้างอยู่มีอัตราความเจริญก้าวหน้าขนาดนี้แล้ว ทางพระเถรสมาคม คงจะคิดว่าไม่จีรังยั่งยืน หากสมณะโพธิรักษ์ตายไป ก็คงจะร้างเหมือนสำนักอื่นๆ
พ่อครูว่า… อาตมาทำเหมือนพระพุทธเจ้า เมื่อพระสมณโคดมสิ้นไปแล้วคำสอนนี้ก็ไม่มีใครนำพาก็จะไม่เหลือ แต่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ทันสมัยที่สุด ท่านไม่ได้สอนให้เคารพตัวตนบุคคล แต่ท่านสอนเรื่องธรรมะเรื่องข้อประพฤติปฏิบัติ เมื่อเข้าใจรู้คุณค่าข้อประพฤติปฏิบัติแล้วจะเกิดมรรคผลอย่างนั้น ถ้าคุณรู้สาระของมรรคผลข้อปฏิบัติอย่างนี้มีมรรคผลอย่างนี้ ผู้นำมาท่านเป็นพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เที่ยงท่านก็สิ้นพระชนม์ไปได้ แต่ธรรมะนี้จะอยู่ จนมาถึงวันนี้ 2,500 กว่าปีธรรมะนี้ก็ยังอยู่ ก็เอาอันนี้แหละมาพิสูจน์ว่าพุทธคุณจรณะ 15 วิชชา 8 ยังอยู่ แม้มันจะมีความเสื่อมความผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ก็มีผู้รู้
อจินไตยมีว่า ผู้รู้ได้เป็นปัจจัตตัง เป็นปัจเจกเป็น สยังอภิญญา แล้วเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ ซึ่งเป็นความเป็นเจ้าของ ตั้งแต่เป็นเจ้าของปัจจัตตัง มาเป็นปัจเจก เป็นสยังอภิญญาแล้วก็มาถึง อภิภู แล้วมาถึง สยัมภู
ปัจจัตตัง ปัจเจก สยังอภิญญา อภิภู สยัมภู คือปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้า
นี่เป็นสัจจะที่ผู้รู้เข้าใจก็เอามาเปิดเผยยืนยันให้รู้ให้ฟังอย่างนี้ ผู้ที่มีปฏิภาณมีไหวพริบรู้ ก็จะเข้าใจว่าอย่างนี้ใช่ ถ้าไม่มีอคติ แต่เป็นผู้แสวงหาอย่างบริสุทธิ์จะเข้าใจรับได้ แม้จะไม่ได้เข้ามาอยู่ในหมู่ชาวอโศก ก็มีคนรับได้มากขึ้น เพราะเราพิสูจน์ตรงกับคำอธิบาย ก็ยืนยันหลักฐานต่างๆเพิ่มขึ้นๆ
อาตมาเห็นความก้าวหน้าหรือภูมิใจที่เอาโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้า กลับมาให้มีคุณค่ามีประโยชน์ทั้งที่มันได้เสื่อมสูญไปแล้วที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ที่พยากรณ์ไว้ก่อนตั้งแต่มีพระชนม์ชีพว่ามันจะสูญหายไปเหมือนกลองอานกะ แล้วมันก็เสื่อมสูญหายไปจริงๆ หลัง 2,500 กว่าปีนี้ อาตมาก็เอากลับรื้อฟื้นเอาคืนมาได้ก็ยืนยันบอกตรงๆ เขาก็หาว่าอวดตัวอีก เราพูดตรงไม่ได้มีความซับซ้อนอะไร อาตมาเป็น สยังอภิญญา บรรลุธรรมมามีธรรมะโลกุตระก็เอามายืนยัน อาตมาไม่ได้พูดเป็น 2 อย่างเหลาะแหละ แต่มีของจริงอย่างเดียวนี่แหละมาพูด เขาก็หาว่าอวดตัวเราก็มีความจริงอย่างเดียวนี้ ก็พูดอย่างเดียว อาตมาไม่มีสิ่งแฝงสิ่งปลอมมาอวด คนเข้าใจไม่ได้ก็ไม่เชื่อ คนเข้าใจได้ก็เชื่อ
คนที่เชื่อมารวมกันจะมีมวลเพิ่มขึ้น อาตมาเชื่อว่าจะมีความก้าวหน้าของโลกุตรธรรมที่อาตมาทำงานมา 50 ปีก็ได้เท่านี้ มันน่าจะมีอัตราการก้าวหน้าเพิ่มขึ้น หรือว่า คนในโลกนี้แม้แต่ชาวพุทธเอง อินทรีย์พละก็แย่แล้ว มีจำนวนที่รับโลกุตรธรรมได้ประมาทเท่านี้ ทู่ซี้ทำไป อัตราการก้าวหน้าย่อหย่อน วันๆเดือนๆ จะได้สักครึ่งคนไหม มันก็น่าจะตายได้แล้วไม่อย่างนั้นทำไปก็ไม่คุ้ม ว่าไหม? …คุณไปทำสถิติมา
ตรวจผลสำเร็จตามคำสอนพ่อครูได้เช่นไร
สู่แดนธรรม… ที่พ่อท่านอธิบายมา พ่อท่านเป็นบุรุษอาชาไนยสุดยอด แต่ลูกๆยังไม่เก่งเท่าพ่อท่าน หากพ่อท่านสิ้นไป พ่อท่านจะแน่ใจในตัวลูกๆได้อย่างไรครับ
พ่อครูว่า… มันมีอย่างนี้ พยัญชนะคำพูด มันก็เป็นภาษาสำหรับสื่อเท่านั้น คนที่เรียนได้แต่พยัญชนะ ยังไม่เข้าไปถึงจิตยังไม่ไปแก้ไขจิต ยังไปเรียนรู้จิตตัวเองจนกระทั่งแยกกิเลสออก แล้วก็มีอุบายเครื่องออกทำให้กิเลสลดได้จริง นี่พูดไปหลายขั้นแล้วนะ ยังไม่มีอย่างนี้ในแต่ละขั้น มันก็พิสูจน์ไม่ได้ แต่อาตมาอธิบายหลายสิบปีแล้วก็เห็นผลว่ามีพวกคุณมีความจริงได้ผลจริง อาตมาอธิบายไป พวกคุณเข้าใจได้เอาตัวเองมาพิสูจน์ยืนยัน จนแต่ละคนได้ก็มารวมกันเป็นกลุ่มชุมชน เป็นชาวอโศกกระจายกันอยู่ทั่วประเทศ ก็มีหลายสิบชุมชนอยู่ ชุมชนใหญ่ชุมชนเล็ก ชุมชนใหญ่มีประมาณ 9 ชุมชน ชุมชนกลางชุมชนเล็กปลีกย่อยไปอีกก็นับเป็นราย 10, 20, 30 ชุมชน ก็นับว่าเป็นผู้ที่มีวิชชาจรณะตามที่อาตมามั่นใจและยืนยันว่า วิชชาและจรณะของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างที่อาตมาอธิบายนี่แหละ
มีศีล อปัณณกปฏิปทา 3 มีชีวิต สำรวมอินทรีย์จริงๆ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ จนกระทั่ง พ.ต.ต.อนันต์ เสนาขันธ์บอกว่าพวกเราสอนอะไรพูดแต่เรื่องกิน เราก็บอกว่า เพราะว่ามันเป็นเรื่องของ อปัณณกปฏิปทา 3 เรื่องโภชเนมัตตัญญุตา เรียนรู้กิเลสที่มีในการกินอาหารเขาไม่รู้หรอก เขาบอกว่าต้องพาไปนั่งหลับตาทำสมาธินั่นแหละ เขาไม่รู้ว่าเป็นแบบ เดียรถีย์ พวกคุณนั่นแหละหลงทิศหลงทาง คือพวกที่เสื่อมไปจากวิชาจรณะสัมปันโนอย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้วพวกคุณก็ไม่รู้ จะพาให้ไปสู่ความเสื่อมแบบ เดียรถีย์ อีก
เหมือนพวกพระเถรสมาคมก็ยกย่องพระป่านะ เขายืนยันว่าเขาไม่ได้ปฏิบัติแบบพระป่า จึงไม่แน่จริง ถ้าแน่จริงต้องไปปฏิบัตินั่งหลับตาออกป่าแบบพระป่า เขาก็รู้ตัวเขาว่าเขาทำไม่ได้ เขายังมีลาภยศตำแหน่งอะไรยังสู้ทางพระป่าไม่ได้อย่างนั้นจริงๆ มันซับซ้อนนะ
เขาจำนนที่จะต้องยอมแย่กว่าพระป่า อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ซับซ้อนต้องค่อยๆพูดไป คนที่จะเข้าใจก็ค่อยๆเข้าใจละเอียดลออขึ้นเรื่อยๆ
ทีนี้ที่อาตมาพูดไป
-
ตรวจจากพระไตรปิฎก
-
ขยายความให้คนรู้จริง
-
คนรู้จริงก็มาปฏิบัติจนได้ผล
-
เกิดกลุ่มหมู่ชุมชนจนกระทั่งเป็นชุมชนสาธารณโภคีสาราณียธรรม 6 จริง นี่คือคำตอบว่าจริงหรือไม่จริง ถูกหรือไม่ถูก ถ้าไม่ถูกมันมาไม่ได้หรอกอย่างนี้ เพราะธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตรธรรม คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)