640630_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อานาปานสติ 16 ขั้นตอน
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1PU5rqNPYS3KZw1WxRC4l-ByQsONxVoxRmuhmRP9d478/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1nnjvAax_Ri_JsOmUlRSXEX6PbFDsOUBA/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/mjxPzEWmtZI
สมณะฟ้าไท…วันนี้วันพุธที่ 30 มิถุนายน 2564 แรม 6 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ที่กรุงเทพฯมีการจำกัดพื้นที่ในจุดที่มีความเสี่ยงจากโรค covid คนก็เดือดร้อน เรื่องการกินการอยู่ เพราะคนไม่รู้จักลดละกิเลส ไม่ได้พบเจอสัตบุรุษ แต่พวกเราโชคดีที่ได้มาพบเจอพ่อครู พาให้พวกเราปฏิบัติอยู่ในระบบสาธารณโภคีจึงไม่เดือดร้อนเหมือนกับภายนอกเขา เป็นชุมชนมหัศจรรย์
พ่อครูว่า…
SMS วันที่ 28 มิ.ย. 2564
ศีล 5 พาไทยให้เป็นมหาอำนาจได้
_Took Aswin (ตุ๊ก อัศวิน) : ประชากรในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธตามทะเบียน..ถ้าเขาเหล่านั่นเป็นพุทธบริษัท..คือ..เป็นพุทธโดยธรรม มีศีล ๕ ประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจและมีความสุขที่สุดในโลก..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… คำพูดที่คุณตุ๊ก อัศวินพูดเป็นเรื่องจริง ถ้าคนมีศีล 5 ในประเทศอย่างทั่วถึงอย่างมากพอ ไม่ต้องเอาอะไรมากหรอกถ้าหากคนครึ่งหนึ่งของประเทศ มีศีล 5 แล้วไม่ใช่ว่าถือศีลเฉยๆ แต่เป็นผู้ที่มีศีลที่มีคุณภาพถึงขั้นบรรลุธรรมะตามศีลนั้นๆแล้วอย่างน้อยโสดาบันขึ้นไป เป็นอรหันต์ขึ้นไป ในศีล 5
ถ้าคน 50 ของเปอร์เซ็นต์ของประเทศมีศีล 5 รับรองจะเป็นมหาอำนาจ และไม่ใช่มหาอำนาจอย่างที่ชาวโลกียะเข้าใจ ซึ่งเขาเข้าใจว่าเป็นมหาอำนาจแบบยิ่งใหญ่เป็นเผด็จการใหญ่ ซึ่งเดี๋ยวนี้เขารู้แล้วว่าใช้อำนาจคำสั่งอำนาจบาตรใหญ่ไม่ดี แต่ถ้าหากจิตใจไม่ได้ล้างกิเลสจริงๆ เขาไม่รู้จักอัตตามานะ ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้มีทฤษฎีเรียน เขาไม่เข้าใจบทบาทของจิตจริงๆที่มันมีกิเลส ตัวอัตตามานะ ที่เป็นเจ้าอำนาจใหญ่ เขาจะไม่สามารถที่จะแข็งขืนกิเลสอำนาจกิเลสได้หรอก เพราะฉะนั้นก็เป็นไปไม่ได้
ขณะนี้โลกกำลังยืนยันให้เห็นได้ว่า ประเทศที่ไม่เข้าใจโลกุตระธรรม นึกว่าตัวเองเป็นมหาอำนาจบาตรใหญ่ คำว่า บาตร ไม่ใช่คำว่า บาทนะ แต่เป็นนัยแฝงว่ากดข่ม เหยียบผู้อื่นแต่เขาไม่พูดมันหยาบก็เลยใช้ บาตร มีบาตรใบใหญ่ๆ เอาไว้ใส่เงินเยอะๆ เป็นอำนาจลาภยศสรรเสริญโลกียสุขก็เป็นโลกีย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุธรรมของพุทธเป็นโลกุตระไม่ใช่โลกียะจึงเป็นเรื่องคนละโลกคนละอย่างกัน
เขายังไม่รู้โลกุตระที่แข็งแรงหรือเป็นหลักแหล่งแล้วว่ามีอยู่ในโลกมีอยู่ในประเทศไทยยุคนี้ขณะนี้ เพราะโลกุตรธรรมได้หมดไปจากโลกแล้ว มันเงียบมันสูญมันถูกให้เสื่อมไป ซึ่งยังไม่สิ้นยุคพุทธศาสนาโลกุตระธรรมจะยังมีแต่เชื้ออาศัยมันยังมีน้อย
พอกระตุ้นแตะต้องก็ตื่นฟื้นขึ้นมา ซึ่ง 2,500 กว่าปีผ่านมาแล้วศาสนาพุทธไม่มีโลกุตรธรรมที่เด่นชัดที่เอามาพูดได้ อาตมาต้องขออภัยที่ต้องพูดว่าตัวเองเกิดมาในยุคนี้มาทำงานศาสนา ตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ก็ออกบวช จริงๆแล้วทำงานศาสนาตั้งแต่เป็นฆราวาสเขียนหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาเกี่ยวกับปฏิบัติธรรม ซึ่งมันมีเชื้อเดิมมา จนกระทั่ง เอ๊ะ! เราจะอยู่ดำเนินชีวิตเป็นฆราวาสอย่างนี้ไม่ใช่แล้ว รู้ตัวแล้วจึงออกมาทำงานนี้ตั้งแต่ พ.ศ. 2513
อาตมาเริ่มทำงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 อาตมาเรียนจบปี 2500 ก็ออกมาทำงานโทรทัศน์อยู่ 12 ปี อยู่ในวงการมายาวงการบันเทิง ออกมาก็มาเข้าบริษัทไทยโทรทัศน์ โดยไม่ได้ไปบรรจุที่ไหนอื่นเลย อาตมาก็ออกอากาศเป็นพิธีกรตั้งแต่เป็นนักเรียนยังเรียนไม่จบ ทำรายการเด็ก ทำรายการเยาวชน มาตั้งแต่ยังเรียนอยู่ เพราะฉะนั้นเมื่อเรียนจบแล้วก็ไม่ต้องสมัครงานให้ยาก บอกทางบริษัทไทยโทรทัศน์ ผู้อำนวยการก็บอกว่าจะทำงานเขาก็บอกให้เขียนใบสมัครมาสิ..บรรจุเลย เพราะเขาเชื่อมือแล้ว ทำงานต่อเนื่องอยู่แล้วด้วย มันเป็นไปตามธรรมไม่ได้ยากเย็นอะไร ก็ทำงานครบ 12 ปีในปี 2513
อาตมายื่นใบลาออกหลายทีแต่เขาก็ยับยั้งไว้ไม่ให้ออกจนสุดท้ายอาตมาก็บอกคุณกำจัด กีพาณิชย์ เป็นผู้จัดการโทรทัศน์ตอนนั้น บอกว่าอย่างไรอาตมาก็จะไปทำหน้าที่นี้ เขาก็พอรู้เพราะก่อนจะออกมา อาตมาปฏิบัติธรรมตั้งแต่ตอนทำงาน จนกระทั่งช่วงผ่องถ่าย รายการงานต่างๆให้คนอื่นไป ตัวเองตอนนั้นก็ผอม เพื่อนฝูงคนอื่นเขาก็รู้ว่าปฏิบัติธรรมจริงผู้บังคับบัญชาก็รู้ทั้งนั้นเขาก็ห้ามไม่ได้ สุดท้ายอาตมาก็ลาออกมา ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ไม่เอาไม่พูดมากเดี๋ยวเขาหาว่าคนแก่ชอบเล่าความหลัง
ที่อาตมาพูดเพราะต้องการฟื้นความจริงขึ้นมา ทำให้เป็นปาฏิหาริย์ของธรรมะ ฟื้นขึ้นมาก็ได้ตายไปก็ได้ เพื่อพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าด้วยและทำประโยชน์อันนี้ด้วยให้ได้มากที่สุด ให้ถ้วนเต็มมากที่สุดไปเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องทำ เพราะมันจะเป็นเรื่องที่จะต้องสืบทอดอาตมามีเรื่องที่จะบรรยาย เขียนก็ยังเขียนไปเรื่อยๆอยู่
นี่ก็หนังสือเปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ส่วนเล่ม 3 ยังไม่ออกมา
ส่วนรวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เล่มต่อไปตอนนี้เขียนได้ 800 กว่าหน้า
ยังมีหนังสือเล่มอื่นที่จะออกอีกเช่นหนังสือลำธารชีวิต ที่ออกไปแล้วมีตะลุยไฟตะไลเพลิง
จริงๆแล้วทุกวันนี้คนไม่ค่อยจะจับหนังสือ แต่ก็ไปอ่านกระปิดกระปอยอยู่ในเครื่องมือ ไม่ค่อยอยากอ่านยาวๆ แต่ก็มียาวๆอยู่เยอะ หากขยันค้นคว้า ซึ่งอาตมาเห็นว่าเป็นสิ่งดีสิ่งจำเป็นและกำลังทันสมัย อาตมาว่าทันสมัยที่สุดเลยมันเป็นแฟชั่นใหม่ที่คนยังไม่ค่อยรู้ดีกันเท่าไหร่ยังไม่ตื่นตัว
ทางเลือกอาหารของชาวอโศก
_จากลูก ธุลีดิน : ๑.ขอกราบเรียนถามพ่อครูเกี่ยวกับเรื่องอาหารทางเลือกของชาวอโศก เนื่องจากเรามีทั้งสูตรเย็น(หมอเขียว) สูตรร้อน(หมอขิง) สูตรจืด (หมอแม็คโครฯ) สูตรเค็ม(หมอไม้ร่ม) แต่ละสูตรก็มีความเชื่อมั่นกันว่า ของเราเท่านั้นจริง สุดยอด สูตรอื่นเป็นของว่างเปล่า
พ่อครูว่า…ต้องไปอ่านในจูฬวิยูหสูตร ถ้าต่างคนต่างยึดแล้วนี่ มันจะแย้งของฉันนี่แหละจริง ของฉันนี่ดีที่สุด ทั้งหมดมันเป็นสมมติสัจจะ แต่ปรมัตถสัจจะมันจะมีหนึ่งเดียว มีหนึ่งเดียวจะไม่แย้งกันเลย ถ้าไม่เป็นปรมัตถสัจจะที่เป็นอริยสัจ 4 หรือนิพพาน ผู้ที่มีนิพพานเป็นอรหันต์อริยสัจ 4 หนึ่งเดียวเท่านั้นไม่มี 2 นอกนั้น 2 ทั้งนั้น แม้แต่พระอรหันต์เองความคิดที่ไม่ใช่เรื่องของอริยสัจ 4 ก็แย้งกันได้ พระอรหันต์แย้งกันได้ในเรื่องโลกียะ สมมุติสัจจะ ซึ่งพระพุทธเจ้าตัดสินด้วยนานาสังวาส ต่างคนก็ต่างยึดถือพิสูจน์กันไปอะไรเป็นผลดี คนเขาก็ฟังทั้งสองข้าง ถ้าเห็นดีเห็นงามด้านไหนก็เอาด้านนั้น เป็นอิสรเสรีภาพสูงสุดเลย พระพุทธเจ้าก็สุดยอด ใครจะเป็นหมออะไรก็เลือกเอาเอง มีทั้งสูตรร้อนสูตรเย็นสูตรจืดสูตรเค็ม ไม่มีสูตรเปรี้ยวหวานมันขมสูตรเผ็ด
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสูตรไหนผิดสูตรไหนถูก
พ่อครูว่า…มันก็ถูกของเขาทุกสูตร มันจะเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนอาริยะเหมือนนิพพานได้อย่างไร นอกจากนิพพานแล้วถูกทุกคน เขาก็ถูกของเขา ส่วนใครจะเหมาะอะไรก็เอาสิ เรื่องจริงธาตุขันธ์ของแต่ละคนก็เหมาะของแต่ละคน มันเหมาะกับใครอันนั้นก็ถูก คนนี้เหมาะกับจืด คนนี้เหมาะกับเค็ม คนนี้เหมาะกับร้อน บางคนคนนี้เหมาะกับเผ็ด เอาสิ แต่รสจัดๆจ้านๆใดๆก็แล้วแต่มันยังถือเป็นโลกีย์อยู่ เพราะฉะนั้นรสจืดไปเบาบาง ลหุตา นั่นแหละจะเป็น รสที่เจริญ ถ้ามันมีรสจัดจ้านมันจะมีข้อเทียบ มากหรือน้อย หนักหรือเบา จัดหรืออ่อน อะไรอย่างนี้
_เช่น คนที่กินซาคาฮารี ก็จะไปมองว่า พวกเราที่ยังไปทำเต้าเจี้ยวซีอิ๊วอยู่ ยังถือว่าเป็นมิจฉาอาชีวะ เพราะไปทำของหมักของดองของเน่าของเหม็น มาทำลายสุขภาพผู้อื่น และมีความเห็นอย่างปักมั่นว่า ถ้าต้องเลือกระหว่าง ของหมักของดองของเหม็นของเน่า และ เนื้อสัตว์ เราควรจะกินเนื้อสัตว์ดีกว่า ความเห็นเช่นนี้จะถือว่าเป็นการติดอยู่ในถ้ำ หยั่งลงในที่หลงหรือไม่
พ่อครูว่า…ใช่ ถ้ายึดอย่างนี้หยั่งลงในที่หลง ไม่ว่าที่ไหนๆ ไม่ขออธิบายต่อ ยึดอันใดก็ไปอยู่ในถ้ำอันนั้น
ประเด็นของเน่ากับเนื้อสัตว์
ระหว่าง 2 อันนี้ เนื้อสัตว์กับของเหม็นของหมัก
ของเหม็นของหมักหรือจะเรียกว่าของเน่าก็ตาม มันจำเป็น กว่ากินเนื้อสัตว์ไม่เน่า เป็นเนื้อสัตว์สดหรือต้มสุกก็ตาม เพราะในความเน่า ในความหมัก มันมีวิตามิน อย่างน้อยวิตามินบี 12 อยู่ในนั้น ที่จำเป็นมากเกี่ยวกับสมองโดยตรง เพราะฉะนั้น
-
ถ้ากินพืชพันธุ์ธัญญาหารหมักเน่าหรือถั่วเน่า อันนี้ก็ไม่เกี่ยวกับวิบากกรรม แต่ที่คุณไปกินเนื้อสัตว์ หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย คุณจะมีวิบากกรรมกับสัตว์ไม่มีทางเลี่ยง แต่กินของหมักจะว่าของเหม็นของเน่าก็ตามใจ มันไม่มีวิบากพวกนี้ แล้วมันได้บี 12 แน่นอน ที่เป็นของจำเป็นของสมอง อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นอาตมาให้ความเห็น ก็ว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์ จะเป็นเนื้อสัตว์สดเนื้อสัตว์หมักดองอะไรก็ตามแต่ เนื้อสัตว์ทั้งหลาย เพราะมันเป็นเรื่องวิบากที่แท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องยาวนานมากนะวิบาก นี่สำหรับอาตมาก็อย่างนั้น
_เพราะในคุหัตฐกสูตรระบุว่า“ภิกษุทั้งหลาย ถ้าความกำหนัด(ราคะ) ความเพลิดเพลิน(นันทิ) ความทะยานอยาก(ตัณหา) มีอยู่ในกวฬิงการาหาร(อาหารคือคำข้าว) วิญญาณก็ตั้งอยู่ งอกงามในกวฬิงการาหารนั้นได้
วิญญาณ ตั้งอยู่ งอกงามได้ในที่ใด การก้าวลงแห่งนามรูปก็มีได้ในที่นั้น
ความก้าวลงแห่งนามรูปมีอยู่ในที่ใด ความเจริญแห่งสังขารก็มีได้ในที่นั้น
ความเจริญแห่งสังขารมีอยู่ในที่ใด ความเกิดในภพใหม่ก็มีได้ในที่นั้น
ความเกิดในภพใหม่มีอยู่ในที่ใด ชาติ ชรา มรณะ ต่อไปก็มีได้ในที่นั้น
พ่อครูว่า…ตัดกิเลสสุดท้ายก็ตัดไม่ให้เกิดภพชาติที่เป็นเทวะคู่สุดท้าย ภพคือแดนเกิด เป็นตัวที่ไม่รู้เป็นตัวอาศัยเป็นตัวรูปให้เกิด กับชาติเป็นตัวนามเป็นคู่สุดท้ายเปิด เพราะฉะนั้นดับเหตุให้เกิดชาติก็จบ ภพก็ไม่มี อุปาทานก็ไม่มี ตัณหาก็ไม่มี เวทนาก็ไม่มี ผัสสะก็ไม่มี อายตนะก็ไม่มี นามรูปก็ไม่มี วิญญาณก็ไม่มี สังขารก็ไม่มี แต่อวิชชาก็ไม่มี กลายเป็นวิชชาเต็มรูปไปเลย
ชาติ ชรา มรณะ ต่อไป มีอยู่ในที่ใด เราก็กล่าวว่า ที่นั้นมีความเศร้าโศก มีความหม่นหมอง มีความคับแค้นใจ”
รวมความว่า นรชน … เมื่อดำรงตนอยู่ ย่อมเป็นอย่างนี้
หรือเป็นเพราะว่าเรามีอาหารหลายๆสูตรให้เลือกมากเกินไป จนลืมสูตรของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ว่าให้บริโภคอาหารก็เพียงเพื่อให้กายขันธ์นี้ดำรงอยู่ได้ ไม่ใช่บริโภคเพื่อเล่น เพื่อมัวเมา หรือเพื่อประดับตกแต่งร่างกาย?
พ่อครูว่า… อย่างอาตมานี่ ฉันอาหารเพื่อดำรงขันธ์ แต่ผู้ที่มีความคิดเห็นว่าจะให้อาหารสะอาดบริสุทธิ์ที่สุดเลย ซึ่งมันจะกลายเป็นภาวะที่ไม่แข็งแรง ภาวะที่จะดีต้องมี 2 ต้องมีภูมิคุ้มกัน ต้องมีอะไรที่เป็นผู้ช่วย เรื่อง 2 นี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดเลย ถ้าหากขาดเป็นหนึ่งเดียวมันก็สูญหมดถ้า เพราะฉะนั้นต้องมีพ่อมาพอดี
การขายตรงเป็นอบายมุข
๒. มีชาวอโศกบางคนกำลังพยายามเข้ามาชักชวนหาสมาชิกไปเป็นแชร์ลูกโซ่ ซึ่งเสียค่าสมาชิกเพียงแค่ 1,000 บาท แต่จะมีโอกาสได้เงินเป็นล้าน เป็นโครงการที่จะเข้ามาช่วยเหลือชาวรากหญ้าให้ลืมตาอ้าปากกันขึ้นมาได้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ จะใช้รูปแบบความเป็นชาวอโศกที่ชาวบ้านให้ความเชื่อถือ ไปโฆษณาหาสมาชิกมาเป็นเหยื่อของระบบ “การเงินอัจฉริยะ” (MMS)ซึ่งเป็นระบบอินเตอร์ที่เชื่อมโยงกันหลายประเทศ พ่อครูเห็นว่า ญาติธรรมของเราที่กำลังไปเป็นเหยื่อก็ดี หรือเป็นผู้ที่ไปแสวงหาเหยื่อ มาให้กับระบบสร้างความโลภนี้ก็ดี จะเป็นมิจฉาอาชีวะข้อยอมมอบตนในทางที่ผิดหรือไม่ครับ ?
พ่อครูว่า…ในชุมชนชาวอโศกเวียงมาทางข้างอนาคามีแล้ว สกิทาคามีเขาก็เบาบางลงมาตามลำดับ เรื่องเงินทองเรื่องโลกียลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เบาลงมาแล้ว อนาคามีมันกึ่งหนึ่งแล้ว ไม่หนักหน้าไปทางเงินทองข้าวของลาภยศสรรเสริญ
คนที่อยู่ในชุมชนเรา ถ้าใช้เงินมากอย่างหนักมาก ใช้เงินบ้าง ก็มีอยู่บ้างในชุมชนเราทำให้อาตมาหนักใจ ก็มีอยู่บ้างก็วิบากกรรมวิบากมัน มันก็เป็นวิบากของเขาเขาก็ยังติดยึดของเขาอยู่หาเหตุผลให้ตัวเองเพื่อให้ได้เงินก้อนโตๆมากๆ คือกิเลสมันทำงาน
คือเราต้องตั้งใจที่จะลดละหน่ายคลาย เบาบางมักน้อยสันโดษ ขึ้นไปเรื่อยๆมันถึงจะเข้าเรื่อง ไม่เช่นนั้นชาตินี้ก็หนักหน้าไปเรื่อย ยังมีวิบากที่วิ่งตามเหมือนหมาไล่เนื้อเข้ามาสมทบอีก ชาติหน้าคุณเกิดมาจะได้พบกันอีกไหม หมาไล่เนื้อมันจะไล่ทันไหม ถ้าไล่ทันคุณก็ไม่ได้พบกับกลุ่มหมู่ เสียเวลาทุกข์ทรมานไปอีกนานเลยนะ เพราะฉะนั้นจะต้องให้เป็นไปตามลำดับให้ได้สัดส่วน
มาอยู่ในหมู่กลุ่มนี้เข้าขีดของอนาคามีอนาคาริกชน บางคนพวกเราอยู่ในนี้ทำงานไม่รับรายได้เลย แต่มันยังอยากได้เขาก็พากเพียรลดละ เขาก็ไม่ก่อวิบากเพิ่ม มันก็จะได้ความลดละหน่ายคลายได้คุณธรรมเพิ่มเติมขึ้น แต่ถ้าไม่พากเพียรเลย ปล่อยให้มันเพิ่มขึ้นมันก็ยิ่งหนาๆๆ ก็ขอเตือน
แชร์ลูกโซ่ อย่าไปเล่นเลย มันหลอกล่อเรา พวกประกันชีวิตก็ไม่ต้องทำเลย โลกมันก็อย่างนี้แหละ
เป็นมิจฉาอาชีวะแน่นอน ไปทางเสื่อมทางตกต่ำเป็นอบายมุขด้วย ขอบอกชัดๆตรงๆ
สู่แดนธรรม… MMS หมายถึง Money มหาเสื่อม มันเป็นภาษาของผมเองครับ
อานาปานสติ 16 ขั้นตอน
พ่อครูว่า…
อานาปานสติ เป็นเรื่องของเอาลมหายใจเข้าออกเป็นที่ตั้ง เป็นเรื่องสิ่งที่ยังไม่ครบ ธาตุทั้ง 4 มี ดินน้ำไฟลม ลมได้ชื่อว่า เป็นสิ่งหนึ่งที่ยังไม่ทิ้งรูปที่เป็น มหาภูตรูป แต่โลกไม่ได้มีแต่ลม มันมีดินมีน้ำมีไฟและมีสัตว์ด้วย คุณหลับตา ที่นี้วิเคราะห์วิจัย
สำคัญอยู่ที่การหลับตากับตื่นลืมตา ประเด็นที่อาตมาพูดนี้ เพราะอาตมาอยากให้พวกผู้ที่หลับตาซึ่งมีเยอะหนาแน่นกว่าชาวอโศกในเมืองไทยมีชาวพุทธนี้ ยังเชื่อมั่นในการนั่งหลับตา ซึ่งอาตมาว่ามันไม่ใช่หลับตามันเป็นโมฆะมันออกนอกรีตศาสนาพุทธ
เหตุผลเพราะว่าพระไตรปิฎกฉบับนี้เป็นฉบับของพระมหากัสสปะ ซึ่งพระมหากัสสปะเป็นสายศรัทธา สัทธานุสารีแท้ๆ 100% เป็นโคตรเป็นตระกูลศรัทธา ศรัทธาอย่างหนักๆเลย ตามประวัติตามตำนานแล้วชีวิตจมอยู่ในป่า จนพระพุทธเจ้าต้องยอมอนุโลมให้มี 1 ราย คือเอาพระกัสสปะเป็นตัวอย่างหนึ่งเดียวเป็นเอตทัคคะทางผู้อยู่ป่า ถึงอย่างนั้น ถ้าเกินกว่ากัสสปะก็ออกนอกรีตแล้ว ท่านใกล้จะตกขอบมิตกขอบแหล่เพราะฉะนั้นจึงยากมากเลย
คนที่ได้ชื่อว่ามหานำหน้า ในพระอิติสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่มีน้ำหนักไปในทางที่เอื้อ แต่ถ้าผู้ที่เป็นพุทธแท้ จะไม่มีคำว่า มหานำหน้า ถ้ามีคำว่า มหานี้
อย่างสารีบุตร ไม่มีคำว่า มหานำหน้า อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งพวกนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งแม้แต่พยัญชนะก็ต้องเป็นสิ่งที่ลงตัวกันพระพุทธเจ้าจะต้องมีพระนามว่าสิทธัตถะแม่จะต้องชื่อว่าสิริมหามายา ชาตินี้อาตมาต้องเกิดมาชื่อรักนามสกุลมงคล บุคคลคือสิ่งที่จะนำพาไปสู่นิพพาน อุตมะหรืออุตระ คืออุดม มันเลี่ยงไม่ได้ต้องชื่อนี้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันต้องลงตัวแล้วทุกอย่างที่อาตมายืนยัน อย่างเช่นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์ในยุคนี้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ในยุคนี้ พระเจ้าอยู่หัวต้องมีพระนามว่าภูมิพล อาตมาต้องมีชื่อว่าโพธิรักษ์ หรือชื่อรักชื่อมงคล ซึ่งเป็นนามธรรม ทางด้านในหลวงต้องเป็นรูปธรรม อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่มันลงตัวทุกอย่าง ก็ค่อยๆอธิบายไป
ในอานาปานสติสูตรนี่ เป็นสูตรที่คนหลงเอาแต่นั่งหลับตา แล้วก็ยกอ้าง เอานัยยะ 16 อย่างมาแปะไว้ แต่ที่จริง 16 อย่างนั้นลืมตาทำทั้งหมด
อานาปานสติทั้ง 16 ขั้นนั้นคือ
-
เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาวหรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว
-
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้นหรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น
พ่อครูว่า… สองข้อนี้ให้รู้ว่ามีนัยยะต่างกันนะต้องใช้สองอย่างแล้วเลือกเอาอย่างหนึ่ง ไปตั้งแต่ต้นจนเป็นอรหันต์ คู่สุดท้ายคือ สมาหิโต กับวิมุติ
อันใดเป็นอวิมุติกับวิมุติ อันใดเป็นสมาหิตะกับอสมาหิตะ วิมุตกับสมาธิก็เป็นอีกคู่นึง
ถามเรื่องคู่กับพวกคุณ สมาหิตะกับวิมุติ ตัวจบคู่สุดท้าย จิตตั้งมั่นกับจิตหลุดพ้น ตัวไหนที่เป็นตัวมี กับตัวไหนที่เป็นตัวไม่มี
…สมาหิตะ กับ วิมุติ คุณจะตอบว่า สมาหิตะมีหรือไม่มี?.. ญาติโยมตอบว่า…มี วิมุติมีหรือไม่มี?…ญาติโยมตอบว่า…ไม่มี
แต่พ่อครูว่า วิมุติคือตัวมี สมาหิตะคือตัวไม่มี
คนที่หลุดพ้นจากโลกจากอัตตาจากอะไรก็แล้วแต่คุณต้องหลุดพ้นจากอะไร คุณต้องหลุดพ้นจากอะไร ที่ต้องมีคู่ที่คุณติดเป็นคู่ แต่จิตตั้งมั่นเต็ม มัน 1 หรือ 0 ใช่ไหม
1 ก็คือ 0 ส่วน 0 ก็คือ 1 ซึ่งไม่ต้องถามหรอกว่าคุณจะตายที่ 0 หรือตายที่ 1 สุดท้ายมันก็ต้อง 0 ใช่ไหม อย่างนี้เป็นต้น
อานาปานสติ ต่อ
-
สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจออก ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจเข้า (สัพพกายปฏิสังเวที สิกขติ)
พ่อครูว่า… ต้องรู้แจ้งกาย กายต้องมี 2 เสมอ ภายในกับภายนอก ผู้ที่ได้ไปนั่งหลับตาไม่มีภายนอก ส่วนผู้ที่เข้าใจว่ากายคือวัตถุภายนอกนั้นก็ปิดประตูบรรลุธรรม ถ้าไม่มีกายแล้ว 0 ไม่มี 1 ไม่มีกายคือฐานพักของจิต
คือจิตทำให้เป็นพีชะได้ พีชะคือ 1 และก็จะเสื่อมไปหา 0 ไม่มีเวทนา ไม่เป็นวิญญาณ พีชะมีแต่สัญญากับสังขาร พีชะก็ไม่เรียกว่าเป็นนามแต่มันเป็นชีวะ
นัยยะของ อุตุนิยาม พีชะ จิต นี้ไม่ใช่อธิบายได้ง่ายนะ ต้องมีสภาวะธรรมรองรับจริง ถ้าไม่สามารถมีพื้นฐานแยกกายแยกจิตได้ไม่มีทางเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่มีกาย แต่สิริมหามายาอรหันต์ที่ยังไม่ตาย โพธิสัตว์ที่ยังไม่ตาย ก็ต้องมีกายมีร่างอาศัย มีร่างกายอาศัย มีสรีระร่างกายอาศัย แต่แยกไม่ได้ กายต้องมีจิตมีรูปธรรม เป็นสภาพที่พูดไปแล้ววนไปวนมา ก็น่าเห็นใจที่คนไม่มีภูมิธรรมจะตามรู้ยาก
สัพพกายปฏิสังเวที จะต้องรู้จัก กาย หลับตาไม่มีกายไม่มีปฏิสังเวที
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า(ปัสสัมภยัง กายสังขารัง สิกขติ)
พ่อครูว่า… ปัสสัมภยังคือการระงับกาย แต่คุณหลับตาก็ว่าระงับกาย พาซื่อเขาสอนกันสายหลับตา กายคือภายนอก ตัดรับรู้ภายนอกก็เหลือแต่ภายใน เห็นไหมว่า พยัญชนะก็ไม่ครบแล้ว
หากไปทำอานาปานสติ เข้าใจว่า กาย หมายถึงเพียงแต่ภายนอกเท่านั้นเอาแต่จิตอย่างเดียวจบเลย คนนี้ไม่มีทางบรรลุอรหันต์
คำว่า สักกายทิฏฐิ จึงเป็นคำต้นของผู้ที่จะเป็นอาริยะบุคคลของพุทธ ต้องชัดเจน กาย นี่อย่างสมบูรณ์ ชัดเจน กว่าจะเดินทางไปต่อจากพ้นสักกายทิฏฐิ พ้นจริงๆ พ้นอย่างไม่มี วิจิกิจฉา ต้องพ้นไม่มีอะไรลังเลสงสัย แล้วมีหลักการ ศีลพรต พ้นสีลัพพตปรามาส
อาตมาก็อธิบาย สีลัพพตปรามาส กับ สีลัพพตุปาทานต่างกัน
สีลัพพตุปาทาน ยึดถือตามกันมายังไม่สัมมาทิฐิ หรือต่อให้ทำยัญพิธีมีสัมมาทิฏฐิแล้วแต่ยัง เหยาะๆแหยะๆปรามาส ไม่เอาจริง ลูบคลำ คุณรู้จักโจรแต่ไม่จัดการกับโจรเสียทีเล่นหัวอยู่กับโจร คุณรู้จักหมาแต่ก็เล่นหัวๆอยู่กับหมาหมาเลียปากเท่านั้นเอง เล่นกับโจรโจรก็เล่นอยู่กับคุณเท่านั้นเอง ปัสสัมภยัง กายสังขารัง ต้องรู้จักกายสังขารที่ปรุงแต่งกันอยู่มีในภายนอกภายใน
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจเข้า (ปีติปฏิสังเวที สิกขติ)
พ่อครูว่า… ลดกิเลสภายนอกคือกาย ขณะคุณมีลมหายใจเอากิเลสเฉพาะแต่ลมหายใจแล้วคุณจะมีกิเลสอะไรกันนักกันหนากับลมหายใจ ต่อให้คุณเอากิเลสลมหายใจคุณลดได้ แล้วตาหูสัมผัสลิ้น จมูกอีกล่ะ ดินน้ำไฟลมอีกล่ะ มันมีอีกตั้งเยอะแยะ แล้วคุณบอกว่าคุณปฏิบัติแล้วคุณได้เป็นพระอรหันต์ อรหันต์ก็ได้แค่นิดเดียว ในทางลม
ในทางลมอาตมาก็ว่าจะปฏิบัติหลุดพ้น เช่นหนึ่งมีกลิ่นของดอกไม้กลิ่นอะไรก็ตามลอยมาตามลม เช่น กลิ่นตดเป็นต้น ลอยไปในอากาศ คุณก็ไม่ชอบกลิ่นตด คนนี้นั่งสมาธิร่วมกันคนนี้ตดมากลิ่นน่าดูเลย ก็เกิดกวนสมาธิกัน พูดให้มันสนุกหน่อย
หากคุณไม่เข้าใจกายอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ คุณจะไปปฏิบัติเริ่มต้นสติปัฏฐาน 4 กายในกาย ซึ่งมีกายภายนอกเชื่อมต่ออยู่กับกายภายใน ไม่ได้ขาดกัน แต่ให้พิจารณา กายใน เข้ามาหากายใน จากกายนอกมาหากายใน ไม่ได้ขาดกัน จึงทำกิเลสจากกาย กิเลสไม่ได้อยู่นอกกิเลสมันอยู่ใน คุณตัดกิเลสภายนอกแล้วก็ระงับกิเลสกายได้แล้ว ก็เลื่อนมาหาเวทนา
แต่หากกิเลสกายคุณยังทำไม่ได้คุณเลื่อนมาหาเวทนามันก็ผิดลำดับ หรือจะเอาแต่จิตเลยเรื่องของกาย เวทนา ไม่รู้เรื่อง เอาแต่จิต ก็เจริญเถอะพ่อ(คำประชด) ไม่มีทางเจริญได้หรอก
อันดับที่ 4 ระงับกายสังขารได้ก็จะมีปีติ รู้แจ้งปีติ เราลดกิเลสภายนอกกิเลสกายได้แล้ว ปีติ อันนี้ก็เกี่ยวกับภายนอก ไม่ใช่ได้ผลทางจิตใจเป็นสมถะแล้วปีติ มันก็ใช่พวกนั่งหลับตาเป็นปีติแบบสมถะทั้งนั้น แต่อันนี้เป็นปีติที่แบบวิปัสสนาปิติที่มีการเห็น ปัสสะ ปัสสนาไม่ใช่สมถะ เห็นไหม มีนัยยะที่ต่างกัน
เมื่อมีปีติก็ลดปีติได้ จึงจะเข้าหาสุขเป็นฌานที่ 3 เริ่มมีฌานที่ 3
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
พ่อครูว่า… ทั้ง 16 ข้อนี้พวกนั่งหลับตามีแต่พยัญชนะไม่ได้มีเกิดสภาวะขึ้นเลย
สมณะฟ้าไทว่า… พ่อครูบอกว่ากิเลสที่ลมหายใจจะมีเท่าไหร่เชียว
พ่อครูว่า… ระงับกายได้ก็เกิดปีติ คำว่า ปฏิสังเวทีคือรู้ เห็นปีติแล้วก็ต้องลดปีติ
ปีติมี 5 อย่าง หากจะเอาแต่อุพเพงคา (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
-
ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย) เป็นหน่วยๆ เป็นก้อน แท่ง
-
ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ) เป็นเวลา เป็นกาละ
-
โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ)
-
อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย)
-
ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)
(จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)
พ่อครูว่า… ก็เรียนรู้ปีติ ลดปีติ ถึงจะเป็นวูปสโมสุโข มีสภาวะ 2 เป็นรูปกับนามสั่งสมลง ธรรมดามันก็หยั่งลงเป็นเรื่องโลกียะในจิตของเรา เรารู้แล้วก็เลือกให้สั่งสมเป็นโลกุตระในชีวิตเรา มากเป็น อุพเพงคาปีติ ไม่ได้ไม่ไหวมันมากจัดจ้าน อย่างพวกนักฟุตบอลเตะลูกเข้าโกล์ได้สักวันหนึ่งมันจะช็อคตายคาสนาม อาตมาไม่ได้แช่งเขา แต่สักวันมันจะมีตัวอย่าง เพราะว่าปลุกเร้าเร่งรัดเอาชนะคะคานกัน ให้ราคากันมากมายเป็นเรื่องการพนันด้วย มันซับซ้อนเยอะแยะพวกนี้ พวกการพนันพวกอบายมุข
อาตมายังจำได้เลย ที่วิทยาลัยการพละ อาตมาก็ไปว่าพวกกีฬาเป็นอบายมุข ตอนนั้นมีปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ฟังด้วย ฟังแล้วก็หน้าเขียวใส่เลย อาตมาก็เทศน์ไปตามจริง แต่ก่อนอาตมาก็เป็นนักกีฬาเป็นนักฟุตบอลก็ไม่ได้เรื่อง เป็นนักวิ่งก็ไม่ได้เรื่องเท่าไหร่
ปีติ ยังเป็นพลังงานที่หยาบที่แรง ก็ต้องลดลงมาให้มันเป็นสุข เป็นวูปสโมสุข ซึ่งขอยืมภาษาคำว่า สุข มาเรียกเท่านั้น มันก็ยังเป็นอาการของอุปกิเลสคือความสุข ก็ต้องลดลงมาให้เบาบางลง เป็นสุขสงบ หรือวูปสโมสุข หรืออาจจะใช้ภาษาว่าปรมังสุขัง อาตมาแปลเป็นไทยว่ายิ่งกว่าสุข ถ้าแปลว่าสุขอย่างยิ่งมันก็จะเป็นความสุขแรง ไปกันใหญ่ ภาษามันจะบอกสภาวะชัดเจน
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจเข้า (สุขปฏิสังเวที สิกขติ)
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขารหายใจออก ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจเข้า(จิตตสังขารปฏิสังเวที สิกขติ)
พ่อครูว่า…ตอนนี้เข้าถึงจิต ระงับได้หมดเข้าถึงสุขเป็นฐาน เป็นสุขจากอุปสโมสุข เป็นฌานที่ 3 เข้าไปหาฌานที่ 4 ไม่มีสุขแต่เป็นอุเบกขา หมดสุขแล้ว ฌานที่ 4 เป็นเอกัคคตา ได้ฌาน 4 เป็นฐาน อันนั้นมาจากกิเลสนอกเป็นกาย
เข้าไปหาทางจิต หลังจากได้ทำกิเลสกายหมดแล้วก็ทำกิเลสที่เหลือในจิต ตั้งแต่อบายมุข มาเป็นสกิทาคามีเข้ามาหาอนาคามีเป็นรูปเข้ามาสู่จิต ก็ระงับกิเลสในจิต กามหมดแล้วมาระงับรูป จะเป็นรูปทางกามและรูปทางปฏิฆะ ซึ่งไม่แสดงออกภายนอกแล้วมีความละอาย มีหิริโอตตัปปะเพียงพอ เกรงกลัวไม่แสดงออก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอายไม่เอาแล้ว เกรงกลัวไม่เอา เพราะมันเป็นเรื่องหยาบต่ำไม่รับไม่ทำ มันจะมีคุณลักษณะ คุณสมบัติของมันจริงๆ ที่ทำให้เราไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ
-
สำเหนียกอยู่ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจเข้า (ปัสสังภยัง จิตตสังขาร สิกขติ)
พ่อครูว่า…ในขณะที่เข้าไปถึงจิตก็ไม่ทิ้งกาย ตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกก็ยังทำงานอยู่ปกติ แต่ว่ากิเลสภายนอกนั้นมันอยู่เหนือแล้ว มีวสวัตตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจเหนือโลก ข้างนอกคือโลก ข้างในคืออัตตา
ข้างนอกคือโลกร่วมกับโลกเขาก็ลดกิเลสลงได้ ถึงขั้นกำลังเหลือกิเลสภายใน กิเลสทางภายนอกนั้นหมด กิเลสภายนอกไม่ต้องทำ เพราะว่าทำได้แล้ว อยู่เหนือมันแล้วไม่ได้หนีไม่ได้หลบ อยู่เหนือสบายๆ สบายมากสบายน้อยก็แล้วแต่บางคนอาจจะต้องเคร่งคุมอยู่บ้าง บางคนไม่ต้องเคร่งขรึมแล้วสบายแล้ว จะกระทบสัมผัสภายนอกแรงเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไรที่เผลอไม่รู้ตัวก็ไม่เป็นไร บางคนทีเผลอยังขึ้นมาหน่อยนึง หรือว่ามันแรงมากๆก็กระดิกนิดนึงอะไรอย่างนี้ ก็ยังมีภายในใจอยู่บ้างคุณก็รู้ทั้งภายนอกและภายใน รู้ทางจิตภายนอกที่รับกระทบสัมผัสภายนอกได้แล้วอยู่เหนือแล้ว เป็นอาริยะเป็นอรหันต์ เป็นพลังงานที่สูงจนเหลือแต่ภายใน ระงับกิเลสที่เป็นจิตสังขารภายใน ก็เป็น ปัสสังภยัง จิตตสังขารัง
ทำให้กิเลสภายในรูปราคะอรูปราคะ หมดไปอีกได้ อรูปราคะได้ก็รู้แจ้งอีกทีหนึ่ง เหลือรูปราคะ อรูปราคะ มานะก็ลดได้ เหลืออุทธัจจะ กุกกุจจะ มันเหลือน้อย จนหมดไป เหลือแต่วิชชา ส่วนอวิชชาก็มาเป็นวิชชา คุณยังต้องอาศัยจิตอยู่ อาศัยอนุสัยอยู่ ไม่มีอาสวะแล้ว แต่คุณยังมีอนุสัย คือ สยะน้อยๆ สยังน้อยๆ อนุ คุณต้องอาศัย
ใช้พยัญชนะบอกสภาวะว่า อนุ คือน้อย คุณต้องอาศัยอนุสยะ คุณต้องทำจิตนี้ให้เป็นที่อาศัยไม่ใช่จิตใจที่แข็งๆทื่อๆ ไม่รับแขกเลย ก็ทำให้มันเป็น อภิปโมทยังจิตตัง
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจออกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจเข้า(จิตตปฏิสังเวที สิกขติ)
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจออก ว่า เราจักทำจิตให้ร่าเริง (ปราโมทย์) หายใจเข้า(อภิปฺปโมทยัง จิตตัง สิกขติ)
พ่อครูว่า… จิตใจร่าเริงเบิกบานรับแขกได้ ร้องเพลงอาตมาก็ทำได้ แต่สังขารมันก็เรื้อคนได้ฟังก็บอกว่าพักผ่อนดีกว่าอย่าร้องเลย ให้คณะตุ๊กติ้วทำดีกว่า
ทำให้จิตร่าเริง จะย้อนกลับอีกที ให้จิตสงบแล้วเบิกบานร่าเริง
พุทธถึงเป็นผู้ที่เบิกบานร่าเริง สว่างสะอาดสงบ เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานร่าเริง อภิปโมทยังจิตตัง
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักตั้งจิตมั่น หายใจออกว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า(สมาทหัง จิตตัง สิกขติ)
พ่อครูว่า… สมาทหัง ก็แปลว่าจิตตั้งมั่น จิตทำให้ได้คุณสมบัติอย่างนี้แหละแบบที่มาถึงขั้นที่ 10 ให้มันตั้งมั่น ๆ เห็นไหมว่าคุณจะสะสมจิตตั้งมั่นต้องเป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ถึงขั้น อาสวะหมดแล้ว อาศัยอนุสัยเท่านั้น แล้วก็ให้จิตเบิกบานร่าเริงทำให้แข็งแรงตั้งมั่นเป็นเนื้อเป็นแก่น สมาทหัง ทหัง ทหาร
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักเปลื้องจิต หายใจออกว่า เราจักเปลื้องจิต หายใจเข้า (วิโมจยัง จิตตัง สิกขติ)
พ่อครูว่า… ไม่ใช่จะรับเข้ามาแต่ปล่อยเสมอๆ ถ้าหยุดเลย มันหายไป ภาษาใช้คำว่าเปลื้องปล่อย หรือใช้ว่า ปล่อยวางหรือปล่อยจิต
สู่แดนธรรม… สงสัยว่าเปลื้องจิต สภาวะคือรู้ควรการงานใช่ไหมครับ?
พ่อครูว่า… มีลักขณรูปของมันคือ มันไปในทางเอาออก เนกขัมมะ มันเป็นจิตที่เป็นสภาพเอาออกไม่ใช่เอาเข้า คำว่าออก คำว่าเข้า ของพยัญชนะที่ใช้ในศาสนาพุทธ ไม่ใช่เข้าไปนั่งหลับตาคือเข้าฌานเข้าสมาธิ ออกสมาธิคือลืมตาออกมาสู่โลกข้างนอก ซึ่งอย่างนั้นมันไม่ใช่ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธไม่ต้องไปนั่งหลับตาเข้าฌานเข้าสมาธิ หรือหลับตาไปเอารูปเป็นตัวชี้บ่งยืนยันว่านี่คือเข้าสมาธินี้ต้องหลับตา มันก็อยู่ข้างใน มันไม่ใช่อย่างนั้น
สู่แดนธรรม… ผมสงสัยเพราะเป็นคำสิริมหามายา คำไทยแปลว่าเปลื้องเอาออกเราเอาออกด้วยการมีกัมมัญญาได้ไหมครับ ?
พ่อครูว่า… อันนี้จิตสำเร็จแล้ว สั่งสมจิตสมาทหัง ยังไม่ถึงสมาหิตังเท่านั้น เป็นจิตที่จะสะสมตั้งมั่น อธิบายเป็นภาษาได้จริงๆแล้วไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นนะแต่สั่งส้มให้ตกผลึกแข็งแรงตั้งมั่นไปเรื่อยๆ ลักษณะที่ตั้งมั่นก็จะต้องมีคู่ที่ว่าไม่ใช่การยึดมั่นถือมั่นนะ แต่มั่นแล้วปล่อย มั่นแล้วเปลื้องจิตออกให้หลุดพ้น เป็นลักษณะจิตที่ให้อาศัยแต่ปล่อย ภาษาบาลีว่า วิโมจจยัง อาตมาจึงต้องใช้ภาษาไทยขยายความยืดยาด แต่บาลีแค่ วิโมจยังจิตตัง
-
สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง(อนิจจานุปัสสี สิกขติ) หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจเข้า
-
สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด (วิราคานุปัสสี สิกขติ) หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด หายใจเข้า
-
สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส (นิโรธานุปัสสีสิกขติ) หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจเข้า
-
สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส
(ปฏินิสสัคคานุปัสสี สิกขติ) หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส หายใจเข้า
พ่อครูว่า… 12 ข้อที่ผ่านมาพวกนั่งหลับตาอธิบายไม่ได้หรอก แต่ตีกินเอา 4 ข้อสุดท้ายไปทำเท่ บอกว่าตามเห็นความไม่เที่ยง ตามเห็นความจางคลาย ตามเห็นความดับ ตามเห็นความสลัดคืน เท่เสียไม่มี นั่งหลับตา พวกนี้อาตมาขออภัย วจีสังขารว่าหยาบไปหน่อย พวกหลอกแดก นี่แหละพวกนั่งหลับตา เป็นอย่างนั้นจริงๆ ดูแล้วน่าสมเพชเวทนาน่าสงสาร เมื่อไหร่จะตื่นขึ้นมาฝึกฝนทำสัมมาทิฏฐิให้สมบูรณ์แบบเถอะ ไม่เช่นนั้นแล้วพวกคุณก็จะติดอยู่อย่างนั้น
อนุปัสสี 4 (ตามเห็นอะไรในขณะปฏิบัติสติปัฏฐาน+อานาฯ)
-
อนิจจานุปัสสี (ตามเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสตัณหา)
-
วิราคานุปัสสี (ตามเห็นความจางคลายของกิเลส)
-
นิโรธานุปัสสี (ตามเห็นความดับของสัตว์กิเลสตัณหา)
-
ปฏินิสสัคคานุปัสสี (เห็นการย้อนทวนกลับไปสลัดคืน)