640627_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ อานาปานสติสูตร ตอน 2
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1br7mArSnTmXRtyBCBbhL00TGk3cluZ1T3MbY7HJgYoE/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1yCQeR6myk2-IqyiZSMMNLEpDDFqseoiX/view?usp=sharing
และเฟซบุ้คที่ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/177491614340309
พ่อครูว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน 2564 แรม 3 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก
sms
พระพุทธเจ้าปฏิบัติอานาปานสติขณะไปปฏิสัลลีนะหรือไม่
_จาก ผู้ฟังธรรมทางบุญนิยมทีวี : ระยะนี้พ่อครูเทศน์เกี่ยวกับอานาปานสติ ทำให้ดิฉันเกิดความสงสัยว่าการปฎิสัลลีนะของพระพุทธเจ้าเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติอานาปานสติหรือไม่อย่างไร จำได้ว่าท่านไปปฏิสัลลีนะในป่า นมัสการขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า… วิเคราะห์วิจัยจากคำถามนี้ มีข้อที่ข้อง คือข้อที่น่าไขกันให้รู้เยอะเลย
การปฏิสัลลีนะ เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติอานาปานสติหรือไม่ จำได้ว่าท่านไปปฏิสัลลีนะในป่า
มุมแรก พระพุทธเจ้าจะไปตรงไหนก็ตามคือยังมีพระชนม์ชีพ อานา-อาปานะก็ต้องไปกับท่าน แล้วท่านก็ต้องมีสติเต็มตลอดเวลา หากไม่มีอานา-อาปานะก็ตาย คนยังมีชีวิตก็ต้องมี อานา-อาปานะ แล้วต้องมีสติเป็นอธิปไตยเป็นพลังเอก เป็นพลังแรง เป็นพลังสำคัญ แม้แต่พลังอ่อนก็คือสติอ่อน ถ้าพลังแข็งแรงเต็มที่ดีสติก็มีอธิปไตยดีมีพลังแรงดี
เพราะฉะนั้น อานา-อาปานะ หมายถึงเทวะหมายถึงสภาพ 2 ของลมหายใจที่เข้าที่ออกอยู่ ถ้าลมหายใจอันเดียว เข้าอย่างเดียวไม่มีออกก็ตาย ออกอย่างเดียวไม่มีเข้าก็ตาย ต้องมี 2 อันนี้เป็นปัญญาไม่เป็นปัญหา แต่มันเป็นปัญหาของผู้ที่ยังไม่มีวิชชา ของผู้ที่ยังไม่มีปัญญา ผู้มีปัญญาแล้วจะไม่สงสัยในสภาพ 2
อานากับอาปานะเป็น 2 ทำไมต้องเป็น 2 เป็น 1 ไม่ได้ การมีชีวิตเกิดมาเป็นชีวิตและดำรงชีวิตอยู่ต้องมี 2 คือยังเป็นกับตาย ถ้ายังไม่ตายก็คือเป็น ถ้ายังเป็นอยู่ก็คือยังไม่ตาย ต้องมี 2 เพศเป็นสิริมหามายา ผู้มีปัญญาจะไม่สงสัย จะสลับเล่นลิ้นอย่างไรก็เข้าใจ ส่วนผู้ยังไม่เข้าใจ ก็จะมีนักมายากลมาเล่นหลอกกันไปว่าอันนี้จริงนะจ๊ะๆ แล้วทีนี้สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น สัจจะหนึ่งเดียวคือนิพพาน สัจจะหนึ่งเดียวนั้นคือ 0 สัจจะมีหนึ่งเดียว นทุติยมถิ ไม่มี 2 สัจจะมีหนึ่งเดียว เอกังหิสัจจัง
คำว่า 1 ไม่มี 2, 2 นี่แหละเป็นความลึกซึ้งมาก ผู้ที่ยังมีชีวิตเป็นๆอยู่ต้องมี 2, 2 ตลอดไป แต่ถ้าผู้ใดสามารถทำ 1 ได้สำเร็จ ทำ 1 นี่แหละเป็นประเด็นของความไม่รู้ของคน ไปเข้าใจว่าเทวเป็น 1 เทวคือพระเจ้า ปรมาตมันแปลว่าผู้ยิ่งใหญ่ เป็น 1 อย่าไปแตะ วิจัยวิจารณ์แยกแยะไม่ได้ อย่าไปแยกแยะวิจัยวิจารณ์อย่าไปสัมผัสอย่าไปแตะเชียวนะ ก็เลยไม่รู้จักพระเจ้ากัน แม้แต่พระเจ้าก็ยังไม่รู้จักตัวเองเลย
พระเจ้าไม่รู้ตัวเองฉันใด ศาสดาก็ไม่รู้ตัวเองฉันนั้น ศาสดาของเทวนิยมศาสนาของพระเจ้า แต่ศาสนาพุทธนั้นแตะพระเจ้าวิจัยวิจารณ์พระเจ้าแล้วรู้จักรู้แจ้งรู้เทวนิยม จริงว่าที่แท้ตัวพระเจ้าไม่มีพระเจ้าคืออนัตตา พระเจ้าเป็น 0 ไม่มีพระเจ้า มีแต่ความหลอกกัน มีแต่สภาวะเทวสภาวะ 2 ผู้ใดทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ก็จะทำ 1 ให้เป็น 0 ได้ เพราะทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ ก็เท่ากับทำอันนึงให้เป็นอีกอันหนึ่ง ทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ก็สามารถทำให้เป็น 0 ได้ ก็จบ
นี่อธิบายเป็นภาษา แต่สภาวะนั้นลึกซึ้ง จะเรียนรู้แล้วทำสิ่งเหล่านี้ตรงไหนก็คือตรงที่เวทนาเป็นความรู้สึก และเป็นภาวะ 2 ยิ่งใหญ่คือสุขกับทุกข์ สุขกับทุกข์เป็นโลกุตระ เทวนิยมจะเรียนแต่ดีกับชั่วไม่รู้จักเรื่องสุขทุกข์ ไม่วิจัยวิจารณ์เรื่องสุขทุกข์ เทวนิยมงมงายเรื่องสุขทุกข์ ติดสุขเป็นสุขนิยมอีกต่างหาก
ส่วนพระพุทธเจ้านั้นจบเลยเรียนรู้สุขเรียน รู้ทุกข์แล้วสามารถไม่ให้มีทุกข์มีแต่สุขอย่างที่เทวนิยมเขาต้องการ ต้องการมีแต่สุข เขาไม่ต้องการมีทุกข์แต่เขาไม่รู้จักทุกข์ แต่ความทุกข์นั้นก็แฝงเล่นงานอยู่กับเขาตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้เรื่องไม่รู้จักทุกข์ จนกระทั่งพุทธสามารถตรัสรู้ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งสุดสูงสุด
สรุปจริงๆคือทุกสิ่งทุกอย่างทุกสรรพสิ่งในมหาเอกภพจักรวาลนั้น ถ้าใครเรียนรู้เทวะแยกเป็น 2 แล้วเอามาเปรียบเทียบกัน แล้วรู้อะไรควรอะไรไม่ควร แล้วก็อยู่กับสิ่งที่ควร สิ่งไม่ควรก็พักไว้เอาออกเลิกอย่าไปยุ่ง ก็อยู่กันอย่างมีปัญญา อยู่กับสิ่งที่ควรจบ
เพราะฉะนั้นยิ่งรู้จบด้วยว่ารู้จักการจะเลิกจิตนิยามของตน เลิกอัตตาหรืออัตภาพของตน แยกธาตุเป็นดินน้ำลมไฟ เป็นอุตุนิยามไปได้เลย อาตมาอธิบายจากความเป็นจริงที่ตัวเองรู้และมั่นใจว่าสามารถทำได้ด้วย แต่ทุกวันนี้ทำได้ในสิ่งที่แต่ละอย่างที่เราอยากจะให้ไปเป็นไม่มี หรือแยกธาตุให้เป็นอุตุนิยามได้ เราก็ทำอยู่ทุกวันนี้ โดยอัตโนมัติ ทำจนเป็นอย่างอัตโนมัติแล้ว ถึงไม่มีปัญหาแล้วทุกวันนี้ อาตมาไม่ได้พูดเล่นว่าไม่มีปัญหามีแต่ปัญญา
ส่วนคนที่มีความคิดมีปัญหาว่า โลกนอกโลกจะมีมนุษย์ต่างดาว จะมีรูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้ไหมแล้วจะมีสงครามต่างฃดาวรบกันอยู่ไหม มาสร้าง Star Wars กันออกไป คิดกันไปให้คนสงสัยติดตาม อาตมาไม่ติดตามเขา ไม่ไปสงสัยไม่ไปตามรู้ตามบ้าบอเขา เพราะอาตมารู้จุดจบ ไม่โลกจินตาบ้าๆบอๆ หยุด เรารู้ที่จบที่หยุดที่พอที่ควร เรารู้ที่หยุด ผู้นั้นคืออรหันต์
พวกเราจะเป็นอรหันต์กันได้เยอะถ้ารู้จักจุดจบของตน จุดที่เหมาะที่ควรของตน เช่นพวกคุณแต่ละคน มาอยู่ที่นี่ ถ้าใครตรวจ สอบตัวเองแล้วว่า เอ๊ เราก็ว่า 1. กามเราก็ไม่มีแล้ว 2. รูปราคะ อรูปราคะ เอ๊ เราก็ไม่มีมันก็ว่างๆธรรมดา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเราก็รู้เรื่องเราก็ไม่ได้ติดอะไรนะ กินก็ไม่ได้ติด ใช้ก็ไม่ได้ติดเครื่องใช้เครื่องกินอะไรแล้ว มีใช้ไม่มีใช้ ควรจะต้องแสวงหาควรจะต้องหามาใช้ได้ตามควรเท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น ก็ไม่เคยเดือดร้อนกับสิ่งที่มีตามต้องการสเปคสูง แต่มันได้สเปคต่ำก็เอาก็พอ มีใจพอตามควร ไม่ได้เดือดร้อนดิ้นรน แส่หาอะไรเกินการ สบายๆ มีอยู่มีกินกับหมู่ตามควร
ตรวจ รูปราคะ อรูปราคะ แล้วแม้แต่เล็กๆน้อยๆเราก็ไม่มี ตรวจดูเรามีมานะความถือตัวถือดี ความที่ได้เอาความดีไปฟาดคนนั้นคนนี้เราก็ไม่มีนะ เราก็ไม่ได้ถือดีถือตัวอะไรเราก็รู้ว่าดีคืออะไร เราควรอยู่กับดี ผู้ไม่ดีก็คือไม่ดีอะไรที่บกพร่อง แม้เราบกพร่องเราก็ไม่มีสิ่งที่ไม่ดีเป็น อุทธัจจะ กระเด็นกระดอน เราก็รู้ อุทธัจจะกุกกจจะเราก็ไม่มี หรือแม้แต่เศษอะไรเราก็ไม่มีไม่ได้รำคาญอะไรตัวเองเลย คุณตรวจจบหมดนี้แล้วเราก็หมดอวิชชาสิ ถ้าหากไล่ตามที่อาตมาว่ามันนี้ เรามาอยู่ที่นี่หลายปีแล้วนะ ตรวจดูดีๆขณะนี้ เราไม่มี คุณตรวจดูก็ไม่มีนะก็ชัดเจนหมดแม้แต่อุทธัจจกุกกุจจะก็ไม่มี คุณก็เป็นอรหันต์แล้ว ฟังตามทันไหม ตรวจจริงๆแล้วจะรู้ว่าอรหันต์เป็นอย่างนี้ มันเป็นสภาวะจริงๆ
คุณอ่านไปดูพยัญชนะแล้วไปถึงสภาวะ ตรวจสภาวะจริงในจิตเจต,สามไม่ต้องไปถามหรอกที่รักก็ไม่ต้องยุ่งยากแล้วอานาปานสติน่ะมีสติรู้ตัวเองสิกต่างๆ ตรวจสอบจริงๆเราจะรู้ว่า อ๋อ เรายังเหลือนิดนึงน้อยหนึ่งก็จะรู้ว่าเราจบแล้วแต่เรายังไม่รู้จบเอง นิดนึงน้อย 1 ปัดโธ่ เพราะอวิชชามันจึงมีนิดนึงน้อย 1 เพราะว่ามันยังมีอวิชชา ถ้าคุณมีวิชชาแล้วเอ็งอย่าเกิดนะอันนี้ น้อยนิดนี้ก็เอ็งอย่าเกิดนะ มันไม่ยากหรอก เพราะคนที่ทำมาถึงขั้นนี้แล้วมันจะจบได้ทันที ฟังดีๆนะ เอ๊ อรหันต์จะเกิดในชาวอโศกขึ้นหลายคนนะ เรียนรู้ให้ดีๆ
การปฏิบัติอานาปานสติ พระพุทธเจ้าจะปฏิบัติทำไมท่านจบแล้ว ปฏิบัติลมหายใจเข้าลมหายใจออกในความหมายของอานาปานสติสูตร ประเด็นหลักอยู่ที่ว่าคุณมีลมหายใจเข้าลมหายใจออกคุณก็มีกาย คุณก็มีธาตุรู้ที่รู้ทั้งภายนอกและคุณก็รู้ทั้งภายใน การรู้ทั้งภายนอกและภายในอย่างสมบูรณ์ ถ้ารู้แต่เพียงลมหายใจเข้าออกคุณก็โง่ เพราะธาตุรู้มันรู้ได้ทั้งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสไม่ใช่รู้แต่ตรงจมูกที่รู้ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ทวารตาก็มีเห็นได้ ทวารลิ้นคุณก็รับรสได้ ทวารหูคุณก็รับเสียงได้ โผฏฐัพพะ ผัสสะคุณก็รู้ได้ แต่คนเข้าไปหลงจมอยู่ในแค่ลมหายใจเข้าออกจมอยู่ในถ้ำอยู่ตรงนี้ มันก็โมฆะอยู่ตรงนี้ เมื่อไหร่มันจะเงยหัวขึ้นมา ลืมตาขึ้นมา ชาคริยา เต็มๆมารู้เหมือนมนุษย์ธรรมดาเรียนรู้ให้มันเต็ม จรณะ 15 วิชชา 8 มาทำฌาน ลืมตา อปัณณกปฏิปทา 3 ปฏิบัติ เกิดสัทธรรม 7 ฌานจะได้เป็นสัมมาทิฏฐิ หรือสัมมาฌาน อย่าโง่ดักดานต่อไปเลย
ถามว่าพระพุทธเจ้าปฏิบัติอานาปานสติอย่างไร ไม่ต้องไปถามพระพุทธเจ้าให้ยุ่งยากหรอก ถามโพธิรักษ์ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับแค่ลมหายใจเข้าออกแล้ว ไม่ต้องไปงมอยู่ที่แค่ดูลมหายใจเข้าออก เพราะคนเอาแต่แค่ลมหายใจเข้าออกมันก็โง่ดักดานอยู่ตรงนี้ คุณมีลมหายใจเข้าออกก็มีสติเปิดมารู้โลก แล้วก็เรียนรู้ทุกอย่างที่มันจะก่อให้เกิดกิเลสแล้วก็ระงับกิเลสให้ได้ กิเลสมันไม่เที่ยงหรอก แต่คุณเองคุณก็ไปนั่งจมให้กิเลสมันเที่ยงอยู่อย่างนั้น ไม่ได้มาแคะออก ไม่ได้วิจัยวิจาร ให้มันกินตัวอยู่อย่างนั้นมันก็โง่นิรันดร ใครอยากได้ไหมโง่นิรันดร ทำไมฉลาดนัก คนที่ไม่เอาโง่นิรันดร
จำได้ว่า ท่านคือพระพุทธเจ้าไปปฏิสัลลีนะในป่า คำว่า ปฏิสัลลีนะ คือพักผ่อน หลีกเร้น rest คนเราก็มีพักผ่อนเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าก็คือมนุษย์ธรรมดาต้องมีการพักผ่อน แล้วถามว่าท่านไป ปฏิสัลลีนะในป่า ก็มีนิมิตอย่างหนึ่งว่าเป็นแต่เพียงการกระทำพักผ่อนเท่านั้นนะ ที่ไปป่า ไปพักผ่อน เหตุปัจจัยทำไมต้องไปพักผ่อน เพราะคนต้องพักผ่อน 2.ทำไมต้องไปป่า เพราะไปป่านั้นมันไม่ยุ่ง อย่างง่ายๆอย่างมักง่าย มันไม่มีอะไรกวน เพราะว่าสัตว์มันไม่ยุ่งกับคนหรอก คนนั้นจะไปยุ่งกับมัน แต่คนมันยุ่งชะมัดเลย เพราะฉะนั้นมันก็หนีไป คนไปป่าก็ไปอยู่กับช้างกับลิง เป็นอุปัฏฐากได้ ช้างกับลิงก็แสนรู้เป็นอุปัฏฐากได้ ในนิทานตำนานมันสวย
ช้างหมายถึง โมคคัลลานะ ลิงหมายถึงสารีบุตร
ช้างหมายถึง โมคคัลลานะตัวใหญ่มีแรงมาก ส่วนลิงนั้นตัวเล็กแต่คล่องแคล่วปราดเปรียวมากว่องไว รวดเร็ว ไม่เทอะทะเหมือนช้าง ก็เป็น 2 สภาวะเท่านั้นถ้ารู้จบ
เพราะฉะนั้นนิมิตรายละเอียดต่างๆที่อาตมาขยายความให้ฟังก็เป็นเรื่องของมนุษยชาติที่จะต้องเป็นเช่นนั้น ยกตัวอย่างเช่นแม่พระพุทธเจ้าต้องชื่อว่าสิริมหามายา พระพุทธเจ้าจะต้องชื่อว่าสิทธัตถะ ลงตัวอย่างนั้น แม่คือผู้ให้เกิดมายา ผู้ฉลาดมีปัญญา ก็รู้ทันมายา รู้แจ้งรู้จริงในมายา ผู้ยังไม่ฉลาดก็รู้ไม่เท่าทันมายารู้ไม่แจ้งไม่จริงในมายาก็เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นอย่างอาตมาพูดตรงๆไม่ได้อวดตัว ก็รู้ว่าอยู่ในโลกนี้ก็อยู่กับมายาเขา มายาคือเทวะ เรียกเต็มๆว่า เทวปุตตมาร มารก็คือมายา หรือ มารยา(สันสกฤต) ส่วนมายาคือบาลี แล้วก็ไปแปลว่า แค่มารยาท
อุทธัจจะมีที่มาอย่างไรจะขจัดอุทธัจจะได้อย่างไร
_อรหันต์คือที่หมาย … ขอคำอธิบายเรื่อง อุทธัจจะ ดังนี้ครับ
1.อุทธัจจะมีลักษณะ มีที่มา และวิธีแก้ไข อย่างไรครับ
2.อุทธัจจะในนิวรณ์ 5 กับ อุทธัจจะในอุทธัมภาคิยสังโยชน์ มีความแตกต่างกันอย่างไร และจะขจัดอย่างไรครับ
พ่อครูว่า… ถ้ามาละเอียดลออ เราก็ต้องตอบอย่างละเอียดละออ
อุทธัจจะ มีที่มาและวิธีการแก้ไขอย่างไร อุทธัจจะ มีที่มาคุณยังไม่ศึกษาพุทธศาสนาก็มีอวิชชา คนที่ไม่ได้ศึกษาศาสนาพุทธจะมี อุทธัจจะทั้งนั้น
แม้แต่ อุทธัจจะ จะเป็นตัวปลายๆ ของนิวรณ์ 5
นิวรณ์ 5 (สิ่งทำให้ปัญญาทุรพล หรือ ปัญญาถอยกำลังลง, สิ่งกั้นจิตไม่ให้บรรลุกุศล)
-
กามฉันทะ (ใคร่อยากในกามภพ) เปรียบเหมือนหนี้
-
พยาบาท (ปองร้ายผู้อื่น) เปรียบเหมือนเป็นโรค
-
ถีนมิทธะ (จิตหดหู่ หดแน่น เซื่องซึม ไม่แจ่มแจ้ง ไม่แววไว) เปรียบเหมือนเรือนจำ
-
อุทธัจจะ กุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่าน กระจายกระเจิง) เปรียบเหมือนความเป็นทาส
-
วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัยในการหลุดพ้น ฯลฯ) เปรียบเหมือนทางไกล-ทางกันดาร (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 378)