640623_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สังคมวรรณะ 9 สัปปายะ 4 ที่สมบูรณ์
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1j5SAz13nfEamdTeBYKk_CUTHiW8Ci3NmsAuDATcsIbE/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Bkb6cxDxVZ18leZgsuC3aFbi7VFBKe8j/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/6iVHRb5giV/
สมณะฟ้าไท…วันนี้วันพุธที่ 23 มิถุนายน 2564 ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้ชาวบ้านราช ก็ไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิดกันหลายคน เพื่อหมู่ส่วนใหญ่ ศาสนาพุทธก็ทำตาม มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ ศาสนาพุทธไม่ได้อยู่ที่ไหนแต่อยู่ที่คนจะมีการขัดเกลากิเลส อยู่ร่วมกันเป็นสังคมที่เจริญ
พ่อครูว่า… เดี๋ยวอ่านกวีของคุณ ฝ่าฟัน เขียนมาตั้งแต่ 17 มิถุนายน 2564
ชื่อกวี ธรรมนิยาม 5 โดยเขียนเป็น 5 บท
1 ธรรมนิยามชีพ 5 เห็นไฉน
กาละดำเนินไป ไป่สิ้น
สรรพสิ่งเคลื่อนที่ไร้ ขอบเขต
ชีวิตไม่หยุดดิ้น ดับเดี้ยงเพียงชาติ
2 พุทธศาสน์ รู้จักแก้ “กรรมนิยาม”
ฝึกฝน อปัณณกะ 3 ผัสสะพร้อม
ศีลขจัด อัตตา กาม กิเลสลด แล
ลูกพ่อโพธิรักษ์น้อม รับใช้ ศาสนา
3 สังสารวัฏ เริ่มต้น ตรงเกิด
จิตนิยามจึ่งเปิด โลกกว้าง
หนึ่ง สองและสามระเบิด เป็นสี่ เส้าเลย
เปลี่ยนพืชเป็นสัตว์สร้าง สูตรซ้อนสัมประสิทธิ์
4 สุญญตจิตท่านพ้อง พีชนิยาม
แม้ถูกโค่นคุกคาม ร่มให้
ตัดยิ่งแตกกิ่งงาม ผกาพุทธ ผุดเฮย
วิมุติผลเสพไร้ รสถ้วน ล้วนงาม
5 อุตุนิยาม ยากแท้ สุดท้าย
สันตติ สู่แดนหมาย หมดพ้น
ธาตุทั้งสี่ จะสลาย ตายอย่าง ไรฤา
อิสระ ต้องดั้นด้น ดาบหน้าฝ่านิยาม
ก็ไม่ขยายความ พวกเราเก่งกันอยู่แล้ว
_ลูกหมาน้อย ถามว่า…มีคนหลายคนในอโศกถามว่ามาที่นี่ทำไม? หนูก็ตอบไปว่า ไม่รู้ คนที่ถามก็ตอบ คนที่มาที่นี่ก็ต้องการนิพพานหรือหมดสุขหมดทุกข์ แต่ในใจก็ตอบว่าไม่ใช่ วันนี้หนูได้คำตอบแล้วค่ะ จะมารายงานให้ทุกคนได้ทราบ
-
เพื่อมาตามคำท้าของหลวงปู่ ที่กล่าวว่า มาเป็นคนจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจแล้วจะสบาย
พ่อครูว่า… อาตมาไม่ได้ไปท้าทายอะไรใครหรอกเป็นการบอกความจริงให้ได้รับรู้กัน
-
มารอความตายอย่างมีคุณค่า คือการปฏิบัติธรรมที่ลดกิเลสเป็นมนุษย์ที่สัมบูรณ์
พ่อครูว่า… อันนี้ดีนะ เราทำก่อนถึงตายก็คือการสร้างคุณค่า
หนูขอบคุณชาวอโศกทุกท่านที่ให้ทำงาน ขอบคุณมากๆค่ะ (จิตวิญาณดวงใหม่เกิดแล้วค่ะ) หนูขอฝากชีวิตไว้ที่นี่ด้วยนะคะ
มีอีกคำเปรยที่เข้าท่า…พ่อครูเคยบอกว่า การบริจาคทานนั้นจะต้องไม่หวังผลตอบแทน เมื่อบริจาคสิ่งใดไปแล้วต้องทำใจให้เป็นศูนย์กับสิ่งนั้น (พ่อครูว่า… ไม่ใช่อาตมาบอกแต่อาตมาเอาของพระพุทธเจ้าเลยแหละมาอ่านให้ฟัง เรื่องการทำทาน ต้องไม่หวังผลตอบแทน บริจาคแล้วทำจิตให้เป็น 0 ) ผมเคยมีบ้านเป็นทาวน์เฮ้าส์อยู่ในตลาด ทำเลดีราคาดีไม่ต่ำกว่าล้านบาท เป็นสถานที่ที่เคยอยู่ ทำน้ำเต้าหู้ขาย แล้วส่งโรงงานด้วยโดยมีลูกน้อง(ลูกจ้าง) 2 คน เป็นสามีภรรยากันมาช่วยทำงานมานานปี เมื่อผมได้ย้ายตัวเองมาอยู่ที่บวรราชธานีอโศกแล้ว กิจการทำน้ำเต้าหู้ยังให้ลูกน้องทำอยู่ แต่ต้องส่งเงินรายได้ทั้งหมดมาให้ผม ลูกน้องได้แต่เพียงค่าแรงงาน 300 บาทต่อวัน เมื่อผมมาตรึกตรองคิดดูแล้ว ถ้าเป็นคนแบบชาวโลกทั่วไปก็เป็นไปตามแบบทุนนิยม เมื่อเข้ามาเป็นชาวอโศกแล้ว ต้องทำตามแบบบุญนิยมตามที่พ่อครูพร่ำสอนมา ผมจึงได้มอบโฉนดที่ดินทาวน์เฮ้าส์และกิจการน้ำเต้าหู้ทั้งหมด ยกให้เป็นของลูกน้องทั้งสองคนไปฟรีๆ โดยไม่ต้องส่งเงินรายได้ใดๆมาให้ผมอีก เมื่อมอบให้เขาไปแล้วลูกน้องเก่าก็บอกกับผมว่า ให้ผมไปมาหาสู่กันเหมือนเดิมเหมือนเราเป็นครอบครัวเดียวกัน จึงมีปัญหา ขอกราบเรียนถามพ่อครูว่า ถ้าผมมีโอกาสไปแวะเยี่ยมเยียนบ้างในฐานะที่เคยทำงานร่วมกันมาจะเป็นการสมควรหรือไม่อย่างไร แต่จิตใจของผมมั่นคงหนักแน่นมาก เมื่อให้ของเขาไปแล้วสิ่งนั้นไม่ใช่ของเราแล้วต้องเป็น 0 สำหรับเรา
พ่อครูว่า… ก็น่าคิดเหมือนกันนะ ถ้าไปเยี่ยมเยียนเหมือนกับไปทวงบุญคุณ ถ้าไม่ไปเยี่ยมเยียนเลยก็โทรศัพท์ไปได้ โทรศัพท์ไปก่อน อาตมาว่า ถ้าไปเยี่ยมเยียนอาจจะมีความรู้สึกอย่างนั้นได้ แต่ถ้าโทรศัพท์ไปถามเป็นอย่างไร สบายดีไหม ถามไถ่ความเป็นอยู่สุข โควิดเป็นไง รับศึกกับโควิดได้นะ แล้วก็เปรยปรายอยู่เย็นเป็นสุขก็ดีแล้ว โทรศัพท์มาด้วยความคิดถึง ไม่ได้ไปเยี่ยมตามที่พูด ก็ถามไถ่มาทางโทรศัพท์ก็แล้วกัน ก็ดูเบาๆดีนะ ถ้ามีความรู้สึกอย่างคุณว่า อาตมาก็ว่ามันเหมือนไปทวงบุญทวงคุณ ถ้าทำอย่างที่ว่านี้ก็น่าจะดี อยู่ที่โวหารที่จะพูดกับเขาให้เขารู้สึกว่าเราไม่ได้ไปทวงบุญคุณอะไร เอ้าดี อาตมาฟังแล้วก็ว่า พวกเราใจถึงกันดี ไม่ได้ยึดถือเป็นของตัวของตน มีสมบัติพัสถานอะไรก็ยกมอบให้คนอื่นไป แม้ไม่ใช่ญาติโกโยติกา มันมีผลสำเร็จ ที่อาตมาทำงานศาสนาของพระพุทธเจ้า ทำให้พวกเราได้รับมรรครับผล ปฏิบัติจนสามารถหมดตัวตน หมดของตัวของตนได้สบาย ที่พวกเรานี้เป็นได้แทบทั้งนั้น แต่ว่าอยู่ที่ว่าใจถึงหรือไม่ถึง คนที่ใจถึงเด็ดขาดก็เป็นอย่างนี้ แต่คนที่ใจไม่ถึงก็ยังเอาไป เผื่อมันไม่แน่ เอาไว้ตายก่อน (สมณะฟ้าไทว่า… โยมคนนี้มีลูก 2 คนด้วย ) ไม่ให้ลูกด้วยใจถึงดี อนุโมทนา
สถานที่อโคจรกับผู้บรรลุธรรมแล้ว
_วิชัย : ผมมีคำถามที่สงสัย ถ้าสายหลับตาไม่สามารถบรรลุธรรมได้ การปฎิบัติสายลืมตาแล้วไปยังสถานที่อโคจร (คริสตอล,เอมเมอเลอ) แล้วจะบรรลุธรรมได้ไหม หรือต้องไปอาศัยอยู่ในสถานที่ ที่คนทุนนิยมอยู่อาศัยโดยทั่วไป
ถ้าบรรลุธรรมแล้ว จะเสื่อมจากธรรมที่บรรลุไหมครับเช่นสถานที่ท่องเที่ยว พัทยา,ภูเก็ต
พ่อครูว่า… ก็ไม่ควรไปหรอก พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมให้ไปในที่อโคจร ก็อยู่อย่างสามัญนี่แหละ ไม่หลบเลี่ยงไม่หลบลี้หนีหายนะ ศาสนาพุทธไม่เข้าป่าเขาถ้ำ จะอยู่กับสังคมสามัญ แต่รู้ว่าสถานที่อโคจร ก็เป็นที่ไม่ควรไป มันเป็นที่เกินไป ไม่ควรจะไป ถ้าเผื่อว่าไปที่อโคจรอย่างนั้น มันมีกิเลสจัดจ้าน คนที่อินทรีย์พละอ่อนก็จะแย่ ถึงแม้คนอินทรีย์พละกล้าแข็งดีก็ตาม ก็ไม่ควรจะไปให้สถานที่นั้นให้มันได้หน้า ถือว่าเป็นแดนนรกอเวจี ก็ไม่ควรจะไปยุ่งเกี่ยวเลย ให้เหมือนกับไม่มีอยู่ในโลกดีกว่า อยู่กับสิ่งที่เป็นสามัญ
อันนี้ต่างกันนะ ไม่ใช่ว่าจะต้องไปทดสอบ แต่อยู่กับผัสสะสามัญในชีวิตเป็นๆ ไม่หนีไม่หลบแต่ไม่อวดดีไม่ท้าทาย อยู่กับสามัญ แล้วปฏิบัติกับเหตุปัจจัยจริงๆในชีวิตเรา คนที่จะต้องไปเจอกับวิบากหนักอย่างนั้นก็จะมีโจทย์เอง คนมีวิบากมีโจทย์ไม่หนักก็จะเจอเอง อย่างอาตมามาถึงปางนี้แล้ว โจทย์หนักๆไม่ค่อยมี โดยเฉพาะทางโลกีย์ แต่มีโจทย์อย่างหนักทางธรรมะ พ้นจากโจทย์หนักทางโลกีย์แล้ว
ซึ่งอาตมาก็เคยพูดหลายทีแล้ว แม้จะโดนเตะโดนถีบ อาตมาอยู่ทางสังคมก็ไม่เคย ถูกด่าถูกว่าก็ไม่ค่อยมี แต่มาทางนี้ถูกด่าถูกว่าแรงๆด้วยอย่างหยาบคายก็ด้วย ตลกดี อยู่ทางโลกอาตมาไม่เคยถูกด่า แต่มาทางธรรมะนี้มีเยอะ เป็นเรื่องตลกดี
ถ้าบรรลุธรรมแล้ว ก็จะไม่เสื่อมจากธรรมที่บรรลุแล้ว ประวัติธรรมะพระพุทธเจ้านี้ผู้บรรลุธรรมแล้วไม่มีทางเสื่อม จะสัมผัสแต่ต้องกระทุ้งกระแทกกระเทือนแรงอย่างไรมาก็ไม่มีเสื่อม แต่ไม่จำเป็นจะต้องไปปฏิบัติทดสอบไม่ต้อง ก็อยู่กับสามัญปกตินี่แหละ
อย่ายึดมั่นถือมั่นตัวบุคคล
_สะพานบุญ : ตอนพ่อเทศน์ตอบคำถามที่ว่า พ่อเคยเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินในยุคสุโขทัย ทำให้ลูกเกิดจินตนาการขึ้นว่า ในยุคนั้นพ่อเกิดเป็นพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พ่อเกิดมาเพื่อสร้างประเทศไทยให้เป็นชมพูทวีป สร้างจิตวิญญาณของพระสยามเทวาธิราชให้สถิตขึ้นในประเทศไทย พ่อได้ประดิษฐ์อักษรไทยให้ตรงกับสภาวะธรรมของพุทธ เพื่อรองรับยุคกึ่งพุทธกาลนี้เพื่อการสืบทอดศาสนาไปให้ถึง 5,000 ปีให้ได้ใช่เปล่าครับ และอีกประการหนึ่งขอถามว่ายุคนั้นพ่อได้เสวยมังสวิรัติหรือเปล่าครับ
พ่อครูว่า… อย่าไปยึดมั่นถือมั่นอะไรขนาดนั้น มันเป็นตัวตนเกินไป อาตมาเองไม่ได้เป็นคนเก่งถึงขนาดจะไประลึกชาติได้ถึงขั้นเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วจำได้เลยวันนั้นวันนี้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น มีรายละเอียดเยอะแยะ ซึ่งมันไม่ได้เก่งขนาดนั้น ไม่ได้จำได้ขนาดนั้นหรอก อาตมาอยู่ในปางนี้ก็ตาม แล้วอาตมาอยู่ในสายปัญญาด้วย พอระลึกชาติแบบนี้ไม่เหมือนกับพวกเจโต ที่ระลึกในภพชาติได้มากกว่านี้ เขาจมอยู่ในภพชาติมากกว่านี้ อาตมาไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่ได้ปักดิ่ง มันเผินกว่านั้น เพราะฉะนั้นตอบคำถามของคุณไม่ได้เลย จะเอารายละเอียดขนาดนั้น จะไปเขียนนิยายหรืออย่างไร ให้ผ่านๆไปก็แล้วกัน
อาตมายกอ้างบอกเล่าผ่านๆไปให้ฟัง เพื่อจะให้รู้ว่า คนเรามันมีวิบาก เกิดชาติแล้วชาติเล่าจริง ให้รู้โดยสัจจะ เป็นสัจธรรมเป็นความรู้เท่านั้น ไม่ใช่ให้ไปยึดมั่นถือมั่นว่าฉันเป็นนั่นเป็นนี่
เหมือนกับคนบอกว่าอาตมาเคยเป็นพระสารีบุตร อาตมาก็บอกว่าอย่ามายึดถือว่าจะมาเป็นพระสารีบุตร ถ้ายึดถืออย่างนั้น คุณดูถูกอาตมานะ อาตมาเกิดมาชาตินี้เป็นโพธิรักษ์ เป็นสารีบุตรได้อย่างไร อาตมาก็ต้องดำเนินของอาตมาไปให้เจริญ พูดจริงๆก็คือ ถ้าอาตมาเป็นสารีบุตร มาชาตินี้อาตมาต้องเจริญกว่าพระสารีบุตรสิ ต้องก้าวหน้ากว่าเก่า เพราะผ่านมา 2,500 กว่าปีแล้ว ไม่อย่างนั้นอาตมาก็ไม่ใช่สารีบุตรจริง เพราะไม่ใช่อาริยะที่แท้ เอาที่สาระสัจะธรรมมาพูดกันดีกว่า มาพูดเป็นตัวเป็นตนมันไม่ดีหรอก มันทำให้คนหลงเลอะเทอะเยอะแยะยึดมั่นถือมั่น สำหรับพวกยึดมั่นถือมั่น
_ไพฑูรย์ : พ่อท่านกล่าวถึงโทษของการนั่งหลับตาปิดทวาร
การที่พระสาลีบุตรเข้าสมาบัติจนไม่รู้สึกว่าถูกยักษ์ตีด้วยกระบองนั้น เป็นการนั่งหลับตาหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า…ตอบ สมาบัติของพุทธไม่ได้หลับตา จะไปเข้าใจเอาเองว่าการเข้าสมาบัติคือ เข้าหลับตา สมาบัติก็คือเข้าถึงผล ไม่ได้หมายความว่าไปหลับตา พุทธปฏิบัติลืมตา ไปเข้าสมาบัติก็คือไปลืมตา เช่น ฌานวิสัยของพุทธเป็นฌานลืมตา อาตมาก็ยังหนักใจที่จะอธิบาย ฌานวิสัยเป็นอจินไตย ไม่ใช่แบบฌานที่เขาเข้าใจในโลก ของพุทธนั้นไกลลิบเลย ไม่ใช่ทำจิตให้เป็นก้อนเป็นความแข็งเป็นความเชื่อ แต่ฌานของพุทธนั้นเป็นไฟ แม้แต่ในพจนานุกรมบาลีไทยก็แปล ฌานว่าคือไฟ คือกองเพลิง แต่เขาเอาไว้ท้ายๆแล้ว ตอนต้นเขาว่าฌานคือการเพ่ง เอาแบบที่เขาเชื่อว่าเป็นจริง
ฌาน คือพลังงานทางจิตให้มีอุณหธาตุ ที่มีพลังงานแรงที่สามารถจะสลายพลังงานจิตที่เป็นพลังงานไฟราคะ โทสะ โมหะได้ อาตมาก็พูดบรรยายไปมากแล้ว แต่มันยากที่เขาจะเข้าใจ เพราะเขาไม่เชื่อ เพราะว่าเขาคิดว่าจิตวิญญาณจะเป็นพลังงานที่เหมือนสสารได้อย่างไร จิตวิญญาณเป็นนามธรรมไม่ใช่วัตถุเข้าว่าอย่างนั้น ก็พยายามทำความเข้าใจ
ซึ่งมันก็ยากที่จะขยายความ มันเป็นพลังงานทางธรรม แล้วก็มีอุณหธาตุที่มันร้อน มันสลายมันทำร้ายมันมีฤทธิ์แรง จนทำร้ายอะไรต่อมิอะไรได้ เผาผลาญได้จริงๆ
เพราะฉะนั้น ฌาน จึงไม่ใช่เรื่องปกติแต่เป็นพลังงานที่แรง เป็นพลังงานที่พิเศษ วิเศษ อธิบายด้วยภาษาพื้นๆก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ที่นี้บอกว่า “เข้าสมาบัติ ถูกยักษ์ ตีด้วยกระบอง”
พ่อครูว่า… เป็นอุทาหรณ์ เปรียบประดุจเหมือนว่าถูกยักษ์ตีด้วยกระบอง มีความหมายว่า ถ้าเป็นคนที่สมมุติว่าเป็นคนธรรมดานั่งเข้าสมาบัติกับตา ถูกยักษ์เอากระบองตีหัว แตกไหม? แตก แต่พระสารีบุตรว่า ถูกยักษ์ตีด้วยกระบองก็ไม่รู้สึก ไม่ได้รู้สึกว่าถูกยักษ์ตีแล้วก็มีความรู้สึกสุขทุกข์ รู้สึกโกรธรู้สึกชังรู้สึกรักรู้สึกชอบก็ไม่มี มีแต่เฉยๆ ไม่ใช่คนที่ทนได้ ตีแล้วไม่แตกไม่เจ็บนะ แต่มันเหมือนกับตีไปในที่ว่าง ถูกยักษ์ตีเข้ามาใส่กบาลก็ไม่ถูกกบาล เหมือนตีไปในที่ว่างอย่างนั้น รูป
อย่าไปเลี้ยงสัตว์เลยชาวพุทธ
SMS วันที่ 18-20 มิ.ย. 2564
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกเคยทุกข์กับสัตว์ เพราะสงสารมัน คอยให้ข้าวให้อาหารมันประจำ ทั้งที่สัตว์นั้น ลูกไม่ได้นำมาเลี้ยงโดยตรง แต่เป็นสัตว์เลี้ยงของพี่ชายค่ะ การที่ลูกให้อาหารมัน มันก็เคยชินถึงเวลามาก็รอ วันไหนที่ลูกมีธุระ
ลูกก็จะทุกข์ กังวลว่ามันจะคอยและจะหิว พอลูกมาปฏิบัติธรรมตามพ่อครู ฟังพ่อครูเทศน์ว่า สัตว์ก็เกิดมาตามวิบากกรรมของสัตว์ เราอย่าเกี่ยวข้องกับสัตว์ ลูกจึงคลาย จากสัตว์นั้น ไม่ให้อาหารมัน ลูกจึงเบาไม่ทุกข์แล้วค่ะ ลูกขอน้อมกราบพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า…ดี หลายคนบอกว่าอยากมาปฏิบัติธรรมแต่ติดว่าต้องดูแลหมาที่บ้าน เจ้าประคุณเอ๋ย แทนที่จะเจริญพัฒนาก้าวหน้าในชีวิตแต่ให้หมามันถ่วงไว้ ทำไมถึงได้ฉลาดน้อยขนาดนี้ มีหมาเป็นสรณะ
อาตมาก็เคยพูดว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวเลยอธิบายหลายทีแล้ว เรื่องของสัตว์ทั้งหลายแหล่อย่าว่าแต่หมาเลย ทุกสัตว์เลยสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ แม้แต่แมลงหวี่แมลงวันอะไร ก็อย่าไปเอาไปเลี้ยงดู วุ่นวายดูแลมันเลย ทำไมแมงหวี่แมงวันไม่เอามาเลี้ยงบ้าง ตอบได้แค่ว่าอย่าไปยุ่งกับมันเลยบอกแล้วปล่อยไปตามยถากรรมสัตว์มันก็เกิดมาทำกรรมของเขา แม้แต่แค่วิบากกับคนนี้ก็เหลือแหล่ ถ้าคุณเองไม่เลี้ยงสัตว์ใด ตัดใจเลย พยายามบอกให้อยู่กันตามยถากรรมเถอะนะ เราก็ไม่ได้โหดเหี้ยมอะไร ใครจะเลี้ยงก็ตามแต่ เราอย่าไปแสวงหาสัตว์มาเลี้ยง ถ้าจะเลี้ยงดูแลก็ดูแลคน คนที่จะเลี้ยงดูแลกันคอยอุปถัมภ์ค้ำชูกันจะมีประโยชน์แก่กันและกันอันนี้สิให้มาศึกษาอันนี้จะมีประโยชน์มาก มีให้เลี้ยงอย่างเป็นโล้เป็นพายจะเป็นประโยชน์ยิ่งเลย คนนี่เกิดมาเป็นคนเป็นชาวพุทธด้วยก็ศึกษากับคนนี่แหละ ซึ่งมันจะจบเลย
อย่าไปปฏิบัติธรรมกับสัตว์ ให้ปฏิบัติธรรมกับคน คนก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง แค่นี้ก็บรรลุอรหันต์แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปยุ่ง ถ้าเป็นพืชกับดินน้ำไฟลมก็แล้วไป ก็ต้องเกี่ยวข้องกันดีอีกอย่างหนึ่งมันเป็น พีชะกับอุตุ
_สติพล จนพัฒนา : ปะระ+ทัตตู+ชีวกะ+เปรต…ปรทัตตูชีวกเปรตคือความอยากมีชีวิตอยู่..แต่เนื่องได้ด้วยผู้อื่น(ปร+ท+อัตตะ)
_เชวง กิจจะบรรณ์ : พ่อครูหล่อนะครับสุขภาพดีตามความรู้สึก
พ่อครูว่า…หล่อก็ได้ไม่หล่อก็ไม่เป็นไร ก็รู้สึกดีเหมือนกันที่เราไม่ขี้เหร่ แน่นอนอาจสู้พระเอกหนังหลายๆคนไม่ได้ เขาคัดเลือกไปเป็นพระเอกหนังก็เอาหล่อทั้งนั้นแหละ มีพระเอกหนังที่ไม่หล่อมีไหมในคนไทย
_ชุมพล ยอดสะเทิน : พ่อขุนรามคำแหงมหาราชปกครองเหมือนพ่อเลี้ยงลูก เหมือนพ่อท่านเลี้ยงดูลูกๆเลยครับ
_คอยใคร : มีหมอผีชื่อดังบอกว่า ถ้าทำดีแล้วไม่ต้องกินเจก็ได้ คำพูดแบบนี้พูดแบบคนที่ยังติดในรสชาติของเนื้อสัตว์ ยังติดกามอยู่ใช่หรือไม่ครับ
พ่อครูว่า…ใช่ ไม่ใช่ติดหรอก แต่ความโง่นี้มันเหนียวแน่นอยู่กับตัวเขา เขาก็พูดไปตามความโง่ของเขา
สอนคนให้จนไม่เป็นบาป
_Anika Chloe (เอนิกา โคลเอ้ ): สอนคนให้จนเป็นบาป!
พ่อครูว่า…คุณไปเอามาจากไหนบอกว่าสอนให้คนจนเป็นบาป ระวังนะ พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ให้คนมีวรรณะ 9 ในวรรณะ 9 นี้ พระพุทธเจ้าก็สอนให้ กล้าจน อาตมาแปล อัปปิจฉะ ว่า กล้าจน หรือชอบมีน้อยๆ ในอีกคำหนึ่งที่มีไวยพจน์ synonym กันว่า กล้าจน อัปปิจฉะแปลว่ามักน้อย กล้าจน และมีอีกคำว่า อปจยะคือไม่สะสม ก็ชอบมีน้อยและไม่สะสมก็ 0 น่ะสิ มีความหมายอย่างนั้น เป็นคนจนสิ
มีนัยยะสำคัญอย่างนี้พระพุทธเจ้าก็สอนให้คนเป็นคนจนสิ ให้หมดเนื้อหมดตัว แล้วท่านก็เป็นคนหมดเนื้อหมดตัวเป็นคนจนด้วย โดยสภาวะแท้โดยของจริงเลย หากว่าคุณจะเอาแต่บัญญัติมาพูดนั้นคุณพูดผิดด้วยความคิดของคุณ ไม่กล้าจนไม่มักน้อย ก็เลยมาใส่ความเราเลย แล้วบอกว่าที่เราสอนนี้เป็นบาป
เราก็สอนกันให้หมดบุญหมดบาปด้วย ไม่มีบาปไม่มีบุญ บุญคือการกำจัดกิเลส แต่คนรวยนั้นไม่ได้มีการกำจัดกิเลส
_Lanwat (ลานวัด) : ตามมาจากช่อง หมอเขียวทีวีครับ สาธุครับ
SMS วันที่ 20-21 มิ.ย. 2564
_แดง ลานกราบ : อ่านเปิดยุคบุญนิยมแล้วเจ็ดสิบข้อยิ่งชัดเจนว่า สุขคือเทพบุตรมาร ค่ะ เพราะเคยเจอเทพบุตรมารแล้วคืออาหารที่ผ่านการทอดค่ะ สุข(มาร-กิเลส)บอกว่ากินเถอะอร่อยดีจึงกินไปเยอะเลยกินเสร็จก็ปวดหัวมากเลยค่ะ
พ่อครูว่า…เอาละดี มันมีสังขารให้คุณรู้ว่ามันจะออกฤทธิ์มาก เร็ว
_จุ๋มจิ๋ม พาเที่ยว : แจกหนังสือไปรับเองที่ ร้านธรรมทัศน์ได้ไหมคะ??
พ่อครูว่า…ได้ ไปรับที่ร้านธรรมทัศน์เลยได้
โพธิสัตว์ ตำหนิให้คนดื่มได้
_สติพล จนพัฒนา : **ได้ยินพ่อครูตำหนิหลวงตามหาบัวแล้ว..คิดถึงจิตใจของสานุศิษย์แล้วคงคิดไม่ชอบ…เหมือนกันครับ-ถ้าใครมาตำหนิติเตียนพ่อครู-ถ้าเรายังมีจิตยึดตัวพ่อครูหรือคำสอนที่ถูกตรง..อาการจิตที่ไม่พอใจหรือไม่ชอบใจจะเสนอหน้าก่อนทันทีที่จะแจกแจงออกไปครับ.(จับอาการจิตทัน!)ชันติ..ปะละ.มัตตา..โพธิ.สีคะ.การเพ่ง.ความว่าง..เป็นเลิศ..ในการทำจิตใจ..ให้มี..อิสระภาพ.#ปุตตาวาจานะ.⚡️☸️?.?.☸️?.
พ่อครูว่า…ที่อาตมาไปติมหาบัว แล้วบอกว่าพวกสานุศิษย์คงจะไม่ชอบใจ อาตมาก็มีปฏิภาณพอรู้ แล้วการที่จะตำหนิให้เขา อาตมาใช้หลักพระพุทธเจ้าคือ ติ ให้เขาดื่มคำตำหนิได้ ภาษาบาลีว่า เปยยวัชชะ ซึ่งคนเข้าใจได้ยากอยู่ เขาก็ว่า เป็นปิยวาจา แต่คนเข้าใจ เปยยวัชชะอธิบายไม่ได้ก็เลยว่าเป็นโลกวัชชะ คือโลกตำหนิติเตียน มันขัดแย้งอยู่ในตัว แต่ที่จริง แล้ว เปยยวัชชชะคือ ติให้เขาดื่มคำตำหนินั้นได้
เป็นหน้าที่ของโพธิสัตว์อย่างอาตมาที่จะต้องตำหนิให้เขาดื่มคำตำหนิให้ได้ แล้วอาตมาต้องตำหนิแรงเพราะว่ามีบารมี ถ้าไม่มีบารมีแล้วตำหนิแรงขนาดนี้เขามาเอาตาย ตำหนิได้ แล้วการตำหนินี่แหละเป็นเรื่องดี คำสรรเสริญเป็นเรื่องเลว พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่าคำสั้นๆไม่มีค่าอะไรที่จะทำให้บรรลุ ในพระไตรปิฎก เล่ม 29 ข้อ 605 คำสรรเสริญไม่มีค่าอะไรเลย เป็นความต่ำทราม ไม่มีค่าอะไรพอที่จะทำให้เกิดการละหน่ายคลาย
อาตมาตำหนิถึงมหาเถรสมาคมอยู่ทุกวันนี้ ก็เป็นอยู่อาตมาตอนนี้สิ่งที่เป็นจริงเขาจึงแย้งได้ยาก หลักฐานก็มีตามพระไตรปิฎก อาตมาไม่ได้ทำเกินพระไตรปิฎก ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้หรือพระเถระต่างๆพูดไว้ ต้องตำหนิ การตำหนิกันทำให้เจริญ การสรรเสริญมันทำให้เสื่อม มีแต่จะต้องเสียหาย
โอวาทปาติโมกข์เป็นภาษาโลกุตระ
_จรรยา อิ่มประเสริฐ : เข้าใจว่าพ่อเคยเกิดเป็นพระสารีบุตรและต่อมาพ่อพัฒนามาเป็นโพธิสัตว์ขึ้นเป็นระดับ 8 / เข้าใจว่าสุข ทุกข์เป็น 2 ทำมาให้เป็น 1 หมายถึงสุขทุกข์คือเป็นอันเดียวกัน แล้วมาทำเป็น 0 คือไม่ยึดถือทำให้เป็นอุตุ ก็คือ 000000ที่กว้างใหญ่คือบรรลุธรรม ต่อเป็นโพธิสัตว์ใช่หรือไม่
พ่อครูว่า…ใช่แล้ว ที่พวกคุณบรรยายมาภาษาอย่างสั้นนี้ อาตมาถือว่าทำให้พวกคุณเข้าใจได้ ไม่มีใครมาบรรยายเป็นภาษาอย่างนี้หรอก ทำให้เป็น 1 เป็น 0 หรือทำให้มาจนนี้ เขาไม่พูดกันหรอก เขาไม่มีโลกุตรธรรมมาอธิบาย เขามีแต่โลกียธรรม ให้ทำดีละชั่ว แค่นั้น อย่างในโอวาทปาฏิโมกข์ 3 ไม่ใช่ภาษาโลกีย์แต่เป็นภาษาโลกุตระ เขาก็เลยแปลว่า ละชั่วประพฤติดีทำใจให้ผ่องใส ซึ่งแปลผิดหมด
ไม่ใช่แค่ละชั่วประพฤติดี แต่เป็นการหยุดบาปบุญแล้ว แล้วก็ท่านก็ใช้ภาษา เป็นคำที่ลึก เพราะฉะนั้น กรรมของพระอรหันต์ที่ดับกิเลสได้แล้ว หมดบาปหมดบุญด้วย ก็ไม่ทำบุญด้วย เพราะฉะนั้นประโยคที่ 2 จึงบอกว่า ทำกรรมใดๆจึงมีแต่กุศล โอวาทปาติโมกข์ 3 จึงเป็นคำตรัสที่ท่านพูดกับพระอรหันต์ เป็นผู้ที่หมดบาปแล้ว เป็นผู้ที่มีกรรมแต่เป็นกุศล ไม่ใช่เป็นคำสอนนะ โอวาทปาติโมกข์ 3 เขาแปลเป็นโลกียธรรม ถ้ามีแต่แค่ละชั่วประพฤติดีก็เป็นแค่โลกียธรรม แต่ศาสนาพุทธนี้หมดสุขหมดทุกข์เป็นโลกุตรธรรม ไม่ใช่แค่ละชั่วประพฤติดี ซึ่งการละชั่วประพฤติดีของพุทธนั้นก็ทำ ไม่ยิ่งหย่อนกว่าเทวนิยม แต่ศาสนาพุทธเรียนรู้ความสุขความทุกข์และเลิกความสุขความทุกข์ให้ได้ จึงจะมีปรินิพพานเป็นปริโยสานได้
ซึ่งผู้ไม่มีภูมิรู้ อธิบายไม่ได้หรอก พูดไปแล้วเหมือนอวดตัวอวดตน แต่มันไม่ใช่ อาตมาพูดเพื่อยืนยันว่า ที่สอนๆกันอยู่นั้น มันไม่ได้เข้าแก่นเนื้อหาสาระของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสเรื่องนี้อย่างสำคัญไว้ใน อาณิสูตรว่า กลองอานกะ จะไม่มีเนื้อหนังไม้ของอันเก่าแล้ว ก็เหมือนศาสนาพุทธทุกวันนี้ ก็มีแต่ทำดีละชั่ว เป็นโลกีย์ประโลมโลกไป แล้วก็จมอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อย่างที่เห็นๆเต็มไปหมด
แม้จะมีพระบ้าน ออกไปปฏิบัติก็เป็นมิจฉาทิฐิอีก เป็นพระปฏิบัติก็หนีไปเข้าป่าเขาถ้ำ หนีไปนั่งหลับตา ซึ่งมันไม่มีทางบรรลุทั้งคู่เลย มันออกและไกลจากวิเวกไปทั้งคู่เลยทั้ง 2 ทาง ทางหนึ่งก็เป็นสายหนี อีกทางหนึ่งก็เป็นสายเผชิญ แต่สู้โลกีย์ไม่ได้ โลกียะถึงได้งอกงามไพบูลย์ด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นใบไม้ดอกผล ไม่ได้แม้แต่สะเก็ดหรือเปลือกของต้นไม้ กระพี้ แก่นก็ไม่ได้ แต่ได้แต่ใบดอก ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ที่เปรียบเสมือนดอกใบผลสะพรั่งเป็นโลกียะ มันเป็นสัจจะอย่างนั้น มันเสื่อมจนไม่เหลือจริงๆอาตมาพูดยืนยัน คนมีปฏิภาณดีก็จะรู้ว่าจริง จะได้เลิก วางอย่างเก่าเสียที พูดไปอย่างนี้พวกเถรสมาคมจะดูกันไหมหนอ อาตมาว่าคงจะแอบดูแอบฟังไม่อยากให้ใครรู้ด้วย ก็ดีนะถึงอย่างนั้นก็ยังดี จะไปแอบทำไมก็มันของดี เปิดเผยสิชวนกันมาดู ให้ได้ล้านวิวหน่อยเถอะโพธิรักษ์ ถ้ามีคนดูทีละล้าน โลกนี้สว่างไสวแน่นอน
อยากมาเป็นคนบ้านราชฯต้องทำเช่นไร
_Sophon K.l.m. (โสภณ เค ไอ เอ็ม) : ผมอยากไปอยู่ฯ,ไปเป็นสมาชิกชาวชุมชนบ้านราชฯ เมืองเรือด้วยครับ.ต้องทำอย่างไรบ้างคับ***มีขั้นตอนแล่ะเงื่อนไขอะไรบ้างคับ ผมติดตามความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตประจำวันของชาวชุมชนบ้านราชฯมานานแล้วคับ รวมทั้งฟังเทศน์ฟังธรรมของพ่อครูฯอยู่บ่อยๆครับ.เกิดความศรัทธาแล่ะชอบความเป็นอยู่แบบนี้มากๆเลย คิดว่าหาจากที่ไหนไม่ได้แล้ว นอกจากชาวอโศก อยากถือศีลฯกินผัก อยู่กับธรรมชาติที่สวยงามแล่ะปลอดภัย ใช้ชีวิตมาเลยครึ่งทางแล้วคับมัวเมาในกิเลส เพิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง อยากใช้เวลาและชีวิตที่เหลืออยู่กับชาวชุมชนอโศกคับ***ได้ทำงานกสิกรรมปลอดสารพิษจิงๆได้อยู่กับพืชผักและต้นไม้ได้ดูแลแบ่งปันกัน ได้อยู่ใกล้ๆกับพ่อครูฯและอริยะชนฯคนมีศีลมีธรรมด้วยคับ
พ่อครูว่า…ก็มาเลยสิไปอยู่ทำไม มันติดอะไร ตอนนี้เหลือโควิดเท่านั้น ถ้าไม่มีโควิดล่ะ มาแต่ตัวกับหัวใจก็ได้ไม่ต้องหอบกระเป๋าอะไรมาก็ได้
สู่แดนธรรม… เขาถามว่า ต้องทำอย่างไรบ้าง ขอนิมนต์พ่อครูจิบน้ำ แล้วให้ท่านสมณะฟ้าไทตอบก็ได้ครับ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท… ช่วงนี้ covid รอเปิดชุมชนก่อน กฎระเบียบของชุมชนคือถือศีล 5 รับประทานอาหารมังสวิรัติไม่มีอบายมุข มาอยู่ที่นี่เป็นคนจนทำงานฟรีไม่มีรายได้ ถ้าอยากจะมีบ้านเรือนก็มาสร้างได้มีที่ดินให้จอง หรือจะอยู่แบบคนชุมชนคนวัดก็ไม่ต้องมีบ้านก็ได้
พ่อครูว่า… ถ้าเปิดชุมชนแล้วคงจะมีคนมา
สู่แดนธรรม… ควรนำเสนอในแง่ที่มีความลำบากให้เขาฟังบ้าง เช่น ใช้ชีวิตแบบไม่มีข้าวของสมบัติส่วนตัว จะไปจะมาต้องใช้รถส่วนกลาง กินใช้กับส่วนกลาง
สมณะฟ้าไท… ส่วนใหญ่เขาก็บอกข้อดีไว้ก่อน
พ่อครูว่า… ก็บอกอยู่ว่ามาตายนะ มาอยู่ที่นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
สมณะฟ้าไท… แต่ละที่ก็มีส่วนบกพร่องเป็นธรรมชาติ แต่ถ้าบอกไปมากเดี๋ยวเขาไม่มาเลย ให้เขามาต่อสู้ตามลำดับดีกว่า เหมือนเด็กสัมมาสิกขาตอนเข้าม.1 ก็บอกว่าเต็มที่เลยผมจะเป็นเด็กดี แต่พออยู่ไปก็ต้องค่อยๆขัดเกลากันไป
สุขนิยมกับนิพพานนิยม
พ่อครูว่า… เหลือเวลาอีก 25 นาที ตั้งใจจะเอาคำว่า “สุขนิยม” กับ “นิพพานนิยม” มาขยายความให้ฟังพอสมควร
คำว่า สุข กับคำว่า นิพพาน ยังเข้าใจกันยากอยู่ เพราะว่าไปฟังคำตรัสของพระพุทธเจ้าท่านยืมคำว่าสุขมาใช้ ว่า นิพพานังปรมังสุขัง แล้วก็ไปแปลกันว่านิพพานคือสุขอย่างยิ่ง อาตมาก็บอกว่าไม่ใช่ ต้องแปลว่า นิพพานมันยิ่งกว่าสุข มันไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เพราะฉะนั้นถ้าไปแปลว่าสุขอย่างยิ่งมันก็ไม่ใช่นิพพาน ทำให้เข้าใจผิดเพี้ยนไป นี่แหละคือความไม่รู้ ความไม่มีภูมิพอที่จะแปลภาษาบาลีภาษาพระพุทธเจ้าให้ถูกสภาวะ ก็เลยแปลอย่างนั้น มันก็ไม่ได้หรอก บอกว่าสุขอย่างยิ่ง เขาก็เอาแต่ความสุขสิเป็นธรรมดาธรรมชาติ ใครก็จะเอาความสุขไม่เอาความทุกข์ แต่ไม่ใช่
จริงๆแล้วต้องอธิบายให้ชัด อาตมาก็รู้สึกว่าที่เขาพูดเขาสอนกัน ไม่มีใครมาอธิบายว่า ศาสนาพุทธนี้ดับสุขดับทุกข์ มีแต่พูดอย่างเผินๆ เห็นอาจารย์ไหนอธิบายก็มีแต่สุข ถึงขั้นไปแปลใน ฌาน ว่ามีสุข
ที่จริง สุขในฌานในอานาปานสติสูตรก็ตาม สติปัฏฐานสูตร ก็ตาม
สติปัฏฐานสูตรกับอานาปานสติสูตร ที่จริงเหมือนกันมันไม่ได้แยก แต่เขาไม่เข้าใจก็เลยเอาที่นั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น ท่านก็บอกว่าไปสู่ป่าก็ดี เข้าป่าช้าป่าช้า เข้าป่าเขาถ้ำก็ดี นั่งหลับตาก็ดี มานั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นก็ดี คำว่า “ก็ดี” นี้ภาษาบาลีคือมาจากคำว่า “วา”
เช่น รุกขมูลวา สุญญตาคารวาหรือแม้แต่มานั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นก็ดี แม้คุณจะทำอย่างนี้อย่างนี้ คุณจะประพฤติอย่างนี้ยังไหนก็ตาม ก็จะต้องเรียนรู้ในรายละเอียด 16 อย่าง 16 อย่างก็ไม่ได้หมายความว่าให้ เพ่ง ดูลมหายใจเข้าออกอยู่อย่างนั้น คุณจะมานั่งอยู่อย่างนี้แล้วนึกถึงแต่ลมหายใจ ซึ่งลมหายใจนั้นจะต้องมีความรู้สึก ต้องมีจิตด้วยร่วมอยู่กับลมหายใจ ถ้าไม่มีจิตเข้าไปร่วมไม่มีสัญญากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก มันก็ไม่มีกาย ซึ่งมันผิดเลย ไม่เป็นอานาปานสติเลย เพราะว่าไม่รับรู้สึกลมหายใจเข้าออก มันต้องรับรู้สึก
แม้จะรับรู้สึก ก็ให้ปฏิบัตินัยยะลึกซึ่งให้มีการสงบ ท่านใช้คำว่า ปัสสัมภยัง แปลว่าสงบ
ให้กายสังขารังปัสสัมภยัง แล้วก็มี จิตสังขารังปัสสัมภยัง ไม่ใช่ให้ไปนั่งไม่กระดุกกระดิก ไปให้ทำความสงบกายสงบจิต โดยทำความสงบกายเป็นขั้นต้น แม้แต่อานาปานสติก็มีกาย เช่น ปัสสัมภยังกายสังขารัง อยู่ในข้อ 6 7 ของอานาปานสติสูตร
กายมีภายนอกมีการรู้โลกมีการรู้กามคุณ 5 มีโภชเนมัตตัญญุตา มีการกระทบกับอาหารของกินของใช้ หากไปเอาแค่ลัดสั้นตัดเอาอย่างนั้นก็เป็นแบบ เดียรถีย์ แม้จะมาหลงอยู่อย่างนี้ก็ให้เรียนรู้การเรียนรู้จิตแล้วทำความสงบ ปัสสัมภยัง ก็ไม่ใช่สงบสมถะด้วย
อานาปานสติทั้ง 16 ขั้นนั้นคือ
-
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาวหรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว
-
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้นหรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น
-
สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจออก ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจเข้า (สัพพกายปฏิสังเวที สิกขติ)
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า(ปัสสัมภยัง กายสังขารัง สิกขติ)
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจเข้า (ปีติปฏิสังเวที สิกขติ)
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจเข้า (สุขปฏิสังเวทีสิกขติ)
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขารหายใจออก ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจเข้า(จิตตสังขารปฏิสังเวที สิกขติ)
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักระงับจิตสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจเข้า (ปัสสังภยัง จิตตสังขารสิกขติ)
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจออกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจเข้า(จิตตปฏิสังเวที สิกขติ)
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจออก
ว่า เราจักทำจิตให้ร่าเริง (ปราโมทย์) หายใจเข้า(อภิปฺปโมทยัง จิตตัง สิกขติ)
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักตั้งจิตมั่น หายใจออกว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า(สมาทหัง จิตตัง สิกขติ)
-
สำเหนียกอยู่ว่า เราจักเปลื้องจิต หายใจออกว่า เราจักเปลื้องจิต หายใจเข้า (วิโมจยัง จิตตัง สิกขติ)
-
สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง(อนิจจานุปัสสี สิกขติ) หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจเข้า
-
สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด (วิราคานุปัสสี สิกขติ) หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด หายใจเข้า
-
สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส (นิโรธานุปัสสีสิกขติ) หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจเข้า
-
สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส