640621_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อนุปัสสี 4 โดยพิสดาร
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/162o-z7mfPwwd71vS99nbOGShsMEeiDxH0wIWBu_rht8/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1MxBJO9WzoiZHnVTGptssoXTsazXwvW5c/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/BZPuRhmJkwU
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน 2564 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก ขออ่าน sms นิดหน่อย
เหมือนรู้มากแต่ไม่รู้ คือพวกปทปรมะ
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ในหนัสือเปิดยุคบุญนิยมเล่ม๒ ข้อ๑๕ รู้จากผู้อื่นหมายถึงรู้จากใครบ้าง? ผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐินั้น ต่างจากสัตบุรุษอย่างไร ต้องบรรลุธรรมขั้นไหนอย่างไรคะ เพราะในอนุปัสสี๔ นั้น ผู้ได้ข้อ๑บรรลุอนิจจานุปัสสีได้สัมมาทิฏฐิแล้ว ผู้อยู่ในฐานะครูควรได้สัมมาทิฏฐิขั้นไหนคะ
ลูกเขียนมาเหมือนรู้มาก แต่แท้จริงลูกไม่เข้าใจคะ
พ่อครูว่า…ที่ว่ารู้มากแต่แท้จริงไม่รู้ เป็นภาษาสิริมหามายา เหมือนรู้มากเหมือนรู้อะไรรายละเอียดของพยัญชนะเยอะ รู้มากรู้ไกลในพยัญชนะ แต่พอมาเจาะเข้าหาเนื้อหาสาระสภาวะธรรมมันเป็นอย่างไร คนนี้ก็ใช้ได้ ตรงที่หมายความว่า กำลังเข้าใจแล้วว่าประเด็นไหนที่เราติดขัด ตรงที่เราไปหลงพยัญชนะ ที่อาตมาเตือนชาวปราชญ์ ดอกเตอร์ เปรียญ 9 ผู้รู้ทั้งหลาย สำนักราชบัณฑิตก็ดี สำนักอะไรก็แล้วแต่ที่เขารวมนักรู้เอาไว้ด้วยกัน แต่เป็น ปทปรมบุคคล เข้าใจอย่างไรเขาก็ยังไม่ค่อยชัดเจน
อาตมาก็ย้ำแล้ว ภาษาไม่ได้ยากเลยภาษาชัดเจน ปทปรมบุคคล คือบุคคลผู้เรียนรู้มากท่องจำไว้ได้มากสาธยายสอนผู้อื่นไว้ก็มากๆ แต่ตัวเองไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลยในชาตินั้น ชาตินี้ชาติที่เป็นอยู่นี้ เป็นผู้ที่รู้เขายอมรับนับถือกันมาก แต่ตัวเองไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินี้ น่าสงสารน่าเสียวสยอง
อาตมาอธิบายแล้วขยายความไปหลายทีแล้วว่า ไปทบทวนดูเลย คำว่ากายคำหนึ่ง กายคำนี้คุณสมาธิจริงหรือ คุณพ้นสักกายทิฏฐิแล้วหรือ
เพราะคุณไปมิจฉาทิฏฐิเป็นเดียรถีย์หลับตา มันนานมาก จน 2,500 ปีนี้ไม่ลืม ไปหลงมิจฉาทิฏฐิหลับตาว่าเป็นทฤษฎีที่จะบรรลุนิพพาน แล้วก็หลงกันว่ามีพระอรหันต์เกิดก่อนอาตมามา กองอยู่ในฝ่ายหลับตา ออกป่าเขาถ้ำ เป็นพระธุดงค์ล่องไพร ก็ได้เรื่องมาเล่า อาจารย์ชอบได้สู้กับเสือ เสือนิ่งเลยเสือไม่กล้าเข้ามาใกล้อาจารย์ชอบ อาจารย์ชอบก็สายหลับตา ก็เป็นพระเอกของพนมเทียนเป็นรพินทร์ ไพรวัลย์
แล้วการไปหาสมบัติคือไปหาอะไร ไปหาโลกุตรธรรม แต่เขาจะไม่เจอโลกุตรธรรม เพราะเขาไม่ได้ดำเนินตามพระพุทธเจ้าสอนว่าคุณจะต้องเกิดปัญญา จะต้องพบสัตบุรุษจะต้องพบพระพุทธเจ้า จะต้องได้ยินจากมิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี แล้วต้องมาลองถือศีลก่อน ฟังตามว่าจะต้องปฏิบัติศีลเป็นหลัก ปฏิบัติศีลแล้วจึงจะเกิดความยินดีว่าใช่ เพราะนั่งหลับตานี้ไม่มีศีลเลย เริ่มต้นจากศีลที่เป็นสรณะ 15 วิชชา 8 เขาไม่มีแล้วเขาทิ้งแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อมาพบมิตรดี พระพุทธเจ้าบอกว่า เรานี่แหละเป็นมิตรดีของเธอภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นหูชาเลย พระพุทธเจ้าท่านลดตัวเองลงมาเป็นเพื่อน เรานี่แหละเป็นมิตรดีของเธอภิกษุทั้งหลาย เป็นผู้ที่เจตนาดีจะให้ความรู้แก่เธอ จงเข้าใกล้จงเอียงโสตสดับ จงตั้งใจฟัง เรียนรู้ให้ดี เสร็จแล้วผู้นั้นก็ตั้งใจฟังเรียนรู้ได้ ก็ปฏิบัติศีลอีก
เพราะพระพุทธเจ้าจะต้องเริ่มต้นด้วยศีล เรียนรู้ปฏิบัติศีลอย่างสัมมาทิฏฐิ คือ เรียนรู้ศีลแล้วจะต้องปฏิบัติด้วย อปัณณกปฏิปทา 3 คุณเรียนศีล แล้วไม่ปฏิบัติศีลด้วย อปัณณกปฏิปทา 3 คุณเรียนศีลแต่ไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไปนั่งหลับตา คุณก็ได้แต่ขี้หมาแหละครับ เห็นไหม อาตมาพูดสนุกนะ มันสูญเปล่าไม่ได้เรื่อง
หากคุณไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 หลับตา คุณต้องมาตื่นๆลืมตา แม้ว่าคุณลืมตาคุณก็ยังไม่ตื่นเลย คุณก็ยัง มะลำมะเลือง เห็นอะไรยังมัวมืดๆพรางลวงอยู่เลย ตั้งสติให้เต็มร้อยทั้งกาย ตั้งสติให้เต็มร้อยทั้งวาจา ตั้งสติให้เต็มร้อยที่ใจ มีสติสูงจนควบคุมกายวาจาเต็มร้อย สติ แปลว่าร้อย มาจากรากศัพท์ สตะ แปลว่า ร้อย ถือเป็นสังขยาเลข เต็มร้อย แล้วคุณจะต้องตื่น
พระพุทธเจ้าถึงมีหลักในข้อที่ 3 คือ ชาคริยานุโยค ต้องทำให้ตื่นมันไม่ตื่น มะลำมะเลืองไม่ได้ ต้องตื่นเต็ม และไม่ใช่ตื่นเตลิด ไฮเปอร์ ฟุ้งซ่าน เป็น วิกขิตตังจิตตัง ต้องดึงเข้ามารวมลงมาให้เป็นสังขตะ ไม่อย่างนั้นมันออกไปมากไกลเกิน ไปกับบัญญัติไปกับโลกภายนอกไม่เข้าหาจิตตัวเอง ตั้งแต่ตั้งต้น ไล่ไปตั้งแต่ต้นๆตื้นๆ ก็เท่ากับตัวเองเหมือนคนหัดใหม่ แต่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นคนสูงรู้มากบัญญัติมากจะลดลงตามมาเรียนรู้ตั้งแต่ ฤาษีเลี้ยงเหี้ย ต้องไปให้เณรสอน ให้คลานไปหาเณรให้สอน คือพระโปฐิละ ไปให้เณรสอน แล้วไปเริ่มต้นใหม่ด้วย เณรสอนเริ่มต้นใหม่ ให้ปิดรูรั่วทั้งหมด ปิดให้เหลือรูเดียว ไม่อย่างนั้นฟุ้งซ่านมากเกิน แค่นี้มันต้องกลับไปตั้งต้นใหม่เป็นพวกสมถะ เหมือนกับสอนให้หยุดจิตจะคิดจะนึก แล้วจึงจะมาตั้งต้นใหม่อีกยาวนาน กลับไปกลับมาย้อนไปย้อนมา
นี่คือประเด็นเหมือนลูกรู้มากแต่แท้จริงลูกไม่รู้ไม่เข้าใจอะไร
ผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิคือเช่นไร
ผู้ที่อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิ ในคำตรัสพระพุทธเจ้าไม่มีที่บอกว่าครูที่สัมมาทิฏฐิ เพราะว่าครูเดี๋ยวนี้ไม่มีสัมมาทิฏฐิเยอะแยะไปเต็มบ้านเต็มเมือง ต้องเป็นครูที่สัมมาทิฏฐิ การมีสัมมาทิฏฐิจะต้องชัดเจนลงไปอย่างน้อยต้องมีสัมมาทิฏฐิ 2 หรือสัมมาทิฏฐิ 10 หรือมีหมวดอื่นอีก จะต้องมี ปรโตโฆษะ โยนิโสมนสิการ เป็น ต้องเปิดจิต อันนี้ก็พูดย้ำมาหลายที ไม่เปิดจิตไม่รับฟังไม่เชื่อว่าผู้อื่น ประ ยกตัวอย่างเข้าตัว อาตมานี่แหละเป็นผู้อื่นมา ในยุค 2,500 กว่าปีนี้ ซึ่งไม่ได้มีอะไรแสดงเป็นผู้รู้มาก่อน กระโดดออกจากจอมายา พรวดมาก็บอกว่าเป็นโพธิสัตว์เลย เขาก็บอกว่าจะบ้าหรือคนนี้ สิบตรีก็ไม่ได้ ปริญญาตรีก็ไม่ได้ ปริญญาจัตวาก็ไม่มีเลย เปรียญ 1 เปรียญ 2 ก็ไม่มี นักธรรมตรี นักธรรมจัตวาก็ไม่ได้ ทั้งนั้นไม่มีอะไรเลย เป็นตัวมายาออกมาจากโลกมายาด้วย
ดาราโทรทัศน์ออกมาบวช ทุกวันนี้ก็เห็นดาราไปบวชเล่นละครลิเกกัน บวชแล้วก็ดัง หาเสียงไป ว่าเป็นผู้มีธรรมะเป็นผู้ใฝ่ในธรรม เป็นนักแสดงดาราใหญ่ใฝ่ในธรรมมาบวชก็มี แค่คำว่าบวช ฮือฮา เอาประเภทรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส สรรเสริญยกย่องโฆษณา โปรปะกันด้ากัน ใส่เข้าไปในแดนธรรมะเขา ก็จูงดึงคนที่เห่อ เข้าไปตกเข้าไปให้ฝ่ายธรรมะเขา ที่จริงมันข้ามขั้น พวกนั้นยังจัดจ้านอยู่ในโลกธรรม อยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อยู่ในกาม ยังเยอะอยู่ แล้วเอาไปโปะใส่ ผู้ที่บวชแล้วคือผู้ที่เนกขัมมะออกจากโลกโลกีย์ มันจะไปถึงเขตจะไปรู้จักโลกุตระ โลกียะคืออะไร ก็ขนาดศิลปินแห่งชาติยังบอกว่า มีด้วยหรือศิลปะต้องเป็นโลกุตระ เห็นไหม ขออภัยที่ต้องกล่าวถึงมันเป็นประเด็น ขอบคุณผู้ที่แสดงตัวจริง อาตมาก็ไม่ได้กล่าวชื่อเขาหรอก แต่ก็มีผู้เคยได้ยินแล้วเคยรู้แล้ว ความหมายถึงใครก็เอาเถอะก็ผ่านไปเป็นตัวอย่าง ประเดี๋ยวจะหาว่าอาตมาหาเรื่องใส่ความใส่ไคล้ มันมีตัวจริงเป็นได้ถึงปานฉะนั้นคนเรามันไม่ใช่ธรรมดา ก็ต้องค่อยๆศึกษาไป
ก็ตอบอีกทีหนึ่งว่า ผู้ที่อยู่ในฐานะครูต้องสัมมาทิฏฐิ อย่างน้อยต้องสัมมาทิฏฐิ 2 หรือสัมมาทิฏฐิอื่นๆ มีหมวด 6 สังกัปปะ 7 ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ ต้องมีอันนี้อยู่ในองค์รวมแล้วจะสังขารออกมาเป็นวจีสังขารได้นี่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ 6 ที่จริงมี 7 ตัวเป็นสังกัปปะ 7 แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ 6 ต้องรู้ความต่างระหว่าง ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ เหมือนเทียบลมหายใจเข้าลมหายใจออก เทียบคู่รู้ความแตกต่างก็คือ เทวะทั้งนั้น คู่ที่เทียบกันเพื่อรู้ความต่าง มุมไหน มิติไหน นัยยะไหน ประเด็นไหนชัดเจน เรียนรู้เทวะนี่แหละยิ่งใหญ่ที่สุด เรียนรู้ภาวะ 2 สรุปให้ได้ว่าเป็น 1
1 คือการรู้จบ จนกระทั่ง 2 0 กับ 1 ก็คือ 2 ทำให้เป็น 0 ก็รู้ว่า อ๋อ 0 คือหมดไม่มี 1 คือมี จบตรงที่มีกับไม่มีแล้วทำได้นะ ทำให้มีหรือทำให้ไม่มีได้ จบ นั่นเป็นจุดสำคัญ
ในพระไตรปิฎก เล่ม10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
ตามรู้เห็นความไม่เที่ยงเป็นเช่นนี้
สู่แดนธรรม…เขาบอกกันว่าหัวใจของพระพุทธศาสนา คือการเห็นอริยสัจ 4
พ่อครูว่า…ก็ถูก มันเป็นองค์กว้างองค์รวม แต่ส่วนรายละเอียดนั้นคือตัวเจาะที่ลงไปเนื้อแก่นเลยคือทำเวทนาในเวทนา ในสติปัฏฐาน 4 ทำเวทนาในเวทนาคือหัวใจของศาสนาพุทธ เป็นกรรมฐานเดียว แต่มันก็เคยย้ำ แต่เขาหลอกกันว่ากรรมฐานมี 40 อันนั้นไปไกลเลย เป็นการหยั่งลงสู่ทางหลงเลย ไกลจากวิเวก กรรมฐาน 40
เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไปให้พาปฏิบัติกรรมฐาน 40 อยู่ก็คือผู้ที่ยังไต่ระดับอนุบาลยังอยู่ระดับประถมอยู่ ยังไม่ขึ้นมาหามัธยม ยังไม่ขึ้นมาอุดมศึกษาเลย ก็เป็นไปตามธรรมเขาก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่ แล้วเขาก็หลงเอาหัวเป็นเท้าเอาเท้าเป็นหัวกลับไปกลับมา เขาก็นึกว่าเขาชั้นสูง แต่ที่จริงเขาเพิ่งอยู่อนุบาล อยู่ประถม ยังไม่ใช่มัธยม ยังไม่ใช่อุดมศึกษาอะไร
ที่อธิบายอยู่นี้ไม่ได้ไปยกตนข่มหรือดูถูกดูแคลน แต่เป็นการขยายความวิชาการความรู้
สรุปอีกที อาตมาก็ขออภัยที่จำได้ละเอียดในทิฏฐิหมวดต่างๆไม่ได้
ทิฏฐิ 3
-
รู้เห็นด้วยองค์แห่งสัมผัส รูป->ตา->จักขุวิญญาณ รู้อยู่ เห็นอยู่แม้สุข-ทุกข์-ไม่สุขไม่ทุกข์ ที่เกิดโดยจักขุสัมผัส ฯลฯ ซึ่งเห็นโดยความไม่เที่ยง (อนิจจโต) จึงละมิจฉาทิฏฐิได้
-
ซึ่งรู้-เห็น ฯ โดยเป็นทุกข์ (ทุกขโต) จึงละสักกายทิฏฐิได้
-
ซึ่งรู้-เห็น ฯ โดยอนัตตา (อนัตตโต) จึงละอัตตานุทิฏฐิได้
(พตปฎ. เล่ม 18 ข้อ 254 – 256)
การรู้เห็นความไม่เที่ยงแม้จะรู้เห็นความไม่เที่ยงแค่จิตเจตสิก คำว่าจิตเจตสิกก็ยังกว้างไป ต้องแคบเข้าไป เห็นความไม่เที่ยงของเวทนา เห็นความไม่เที่ยงของเวทนาที่มันเที่ยง เวทนาไหนเที่ยงเวทนาไหนไม่เที่ยง เวทนาเที่ยงคือเวทนาแท้ เวทนาไม่เที่ยงคือเวทนาเก๊ คุณเห็น 2 อย่างนี้ไหม เห็น 2 อย่างนี้แล้วคุณจะเอาอันไหน ก็ต้องเอาอันที่เที่ยงอันที่แท้
โอ้ แตงโมเห็นปั๊บ รีบเอาไปผ่า กินเดี๋ยวนี้แหละ ขย้ำเลย อะไรวะ ที่มันดันให้ทำ นี่แหละตัณหาทำให้วิ่งเข้าไปหาเวทนา จะได้แตะ จะได้เคี้ยวบักโม จะได้เกิดเวทนาความรู้สึก โอ้โห พอผ่ามาปั๊บ ขาวจั๊า ไอ้หยา แล้วมันจะดีหรือ ไม่เที่ยงเลย วูบเลย
หรือ ขาว มันจะเป็นอย่างไรวะก็เอามาชิม โอ้โห ขาวหวาน ขาวกรอบ เฮ้ยแปลกดีพันธุ์นี้ เนื้อขาวแต่หวานกรอบฉ่ำด้วยน้ำด้วย ก็อุปาทานทั้งน้น เกาะอยู่กับกิเลสอุปาทานหรือตัณหา พอบอกว่าเป็นไปตามสัญญาที่เรากำหนดไว้ว่า ต้องอย่างนี้มันจึงแซ่บมันถึงอร่อย ตรง ก็ย้ำความแซ่บความอร่อยหนักเข้าไปอีกคุณก็มีอุปาทานซ้ำเข้าไปอีก ทำให้คุณอยากแรงเข้าไปอีก พออยากได้เสพอีกก็สมใจดีกว่าเก่าด้วย ความสนใจชอบใจมากขึ้นอีก ก็บันทึกตกผลึกลงไปเป็นอุปาทานแน่นเข้าไปอีก อยากใหม่อีกทีนี้ ต้องการใหม่ๆๆๆ พวกศิลปลอมก็หลอกเอาสิ่งใหม่ๆ อันนี้แซ่บอันนี้พิสดารกว่าก็ถูกหลอกเข้าไปอีกเรื่อยๆ ก็เต็มไปหมดเลยด้วยการถูกหลอกไปด้วย กี่ทีกี่ชั้นกี่ครั้งก็นึกว่าตัวเองเจริญแต่ที่จริงตัวเองติดในกิเลสหนา เห็นไหมกลับไปอย่างนี้ มันโง่ อวิชชา
สู่แดนธรรม…ทำไมคนอโศกสอนแต่เรื่องของกิน
พ่อครูว่า…จากเรื่องของกินนี่แหละ พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็น กวฬิงการาหาร รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อยู่ตรงนี้แหละ มันอยู่ที่การกิน แม้แต่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าและก็ต้องเสวยต้องฉันต้องกิน ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานเซลล์เดียวก็ต้องกินแล้วจนถึงพระพุทธเจ้า ไม่รู้กี่ล้านเซลล์ จนกระทั่งจากปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ก็ยังต้องกิน เห็นไหมว่าความกินนี่แหละเป็นการปฏิบัติธรรม
สู่แดนธรรม…ที่พันตำรวจโทอนันต์ เสนาขันธ์บอกว่าทำไมอโศกสอนแต่เรื่องกินตะกละตะกรามอะไร
พ่อครูว่า…ทำไมไม่พาไปนั่งหลับตา ดับภพดับชาติ อาตมาว่า ไปตรวจดู ทิฏฐิ ที่ท่านบันทึกไว้ 1-10 นี่ก็เหลือกินแล้ว ชัดเจน
ถามว่า อันไหน ถึงจะเรียกว่าสัมมาทิฏฐิหรืออยู่ในฐานะครู ก็เริ่มตั้งแต่อันที่ 2 ก็ได้ก็เริ่มเป็นครู ถ้าเรานับที่ทิฏฐิ 10 ครบ ก็ต้องรู้ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ 5 ข้อเป็นต้นไปจึงจะนับเป็นครู ถ้ายังไม่ถึง 5 ก็เป็นครูอนุบาล เป็นครูประถมอยู่ มันก็มีนัยยะสำคัญหมุนไปหมุนมา เข้าใจตามนี้ไปก่อนก็แล้วกัน เราเป็นผู้เรียนก็ค่อยๆรู้ไม่เป็นไรก็ตามไปก็ดีแล้ว
ผู้สัมมาทิฏฐิแท้ต้องจบปฏินิสสัคคานุปัสสี
ต่อมาอีกประเด็นของคุณสว่างแสงคือ อนุปัสสี 4 บรมครูผู้สัมมาทิฏฐิต่างจากผู้เป็นสัตบุรุษอย่างไร ต่างที่ว่าสัตบุรุษต้องมีความรู้ระดับ 7 สูงเข้าไประดับ 8 ระดับ 9 เข้ามหาวิทยาลัยแล้วไม่ใช่แค่อยู่ที่อนุบาลหรือประถมหรือมัธยม อยู่ขั้นอุดมศึกษาแล้ว
ผู้สัมมาทิฏฐิได้ข้อ1 บรรลุอนิจจานุปัสสี ผู้อยู่ในฐานะครูควรได้สัมมาทิฏฐิขั้นไหน
อนุปัสสี มี 4 เริ่มต้นรู้จักความไม่เที่ยงก็ถือว่าเป็นสัมมาทิฏฐิขั้นหนึ่ง ทีนี้ประเด็นอยากรู้ต่อไปอีกว่า แล้วขั้นไหนจึงจะถือว่าเป็นฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิ ในอนุปัสสี มี 4 ถ้าคุณจะเอาแน่ใจก็ต้องเอาขั้น 4 เขารู้จักอนุปัสสีทั้ง 4
อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี ถึงจะถือว่าเป็นผู้เที่ยงผู้เป็นครูอยู่ในสัมมาทิฏฐิ อย่าว่าแต่รู้เลยแต่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมบรรลุทั้ง 4 ขั้นนี้ด้วย ผู้เอาแต่รู้รู้อย่างสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่รู้อย่างมิจฉาทิฏฐิ แต่ตัวผู้รู้นั้นเป็น ปทปรมบุคคล รู้แต่เพียงบัญญัติภาษาแต่ตัวเองไม่ได้บรรลุธรรมเลยในชาตินั้น ก็ได้ไง ก็ฟังได้ถูก เขาบรรยายให้คุณได้ฟังรู้เรื่องเลย แต่เหมือนพระ โปฐิละ สอนคนอื่นให้บรรลุธรรม แต่ตัวเองไม่ได้บรรลุธรรมเลย ก็ต้องให้ตัวเองไปให้สามเณรสอน เริ่มต้นใหม่ต้องปิดหมดทุกรู เป็นแบบสมถะ เพราะว่าฟุ้งซ่านมากเลย รูออกฟุ้งซ่านมีเยอะเก็บไปหมดเลยต้องเอารูเดียวเริ่มต้นมีสมถะใหม่ ที่นั่งหลับตาก็เป็นสมถะรูเดียว มีทวาร 6 แต่ปิดหมดเลย 6 ทวารให้รู้เพียงทวารเดียวคือทวารจิต บอกให้ลืมตา ตื่นขึ้นมา ชาคริยา ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ ตบเท่าไหร่ก็ไม่ได้ เอามีดแทงไม่รู้ หอกแทง เช้ากลางวันเย็นทีละ 300 ดอก ก็บอกว่ามีอะไรหรือ
เหมือนกับพญานาคที่อยู่ใต้บาดาลงมงายอยู่ในบาดาล ไม่รู้กี่ปีกี่ชาติ มีพระพุทธเจ้าจะเกิดแต่ละพระองค์กินเวลานานมาก เมื่อพระเจ้าองค์หนึ่งเกิดก็ลอยถาดทองทวนกระแสน้ำก็คือลักษณะโลกุตรธรรม พอถาดกระทบกับถาดทองของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆก็เกิดเสียงดัง พญานาคก็รู้สึกได้ ว่า พระพุทธเจ้าเกิดอีกองค์หนึ่งแล้วหรือ ว่าแล้วก็หลับต่อ ไปรอพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อีก อีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่จะเกิดเสียงอีก แล้วก็ตื่นขึ้นมารู้ว่าพระพุทธเจ้าเกิดอีกองค์นึงแล้วหรือ แล้วก็หลับต่อ เธอเอาแต่หลับ ยิ่งกว่าหอก 100 เล่มแทงเช้ากลางวันเย็น พอกันนั่นแหละ นี่คือพวกพญานาค
ส่วนพวกพญาครุฑบินไปไม่เห็นฝุ่นไปอยู่ในวิมานไหนไม่รู้ ไปวิมานเสพกาม มีคนธรรพ์แทรกอยู่ในขนพญาครุฑ แล้วไปหลอกแอ้มเป็นชู้กับเมียพระเจ้าพรหมทัตเฉย ซ้อน คนธรรมพ์ก็คือกาม มันซึมลึกอยู่กับพญาครุฑ พญาครุฑนึกว่าเป็นเจ้าโลก ครอบครองทุกอย่าง ยิ่งใหญ่มาก เป็นพรหมทัต คือแปลว่าผู้รู้ ครอบครองวิมานใหญ่ แล้วมีคนธรรพ์ เสพเอาเนื้อกาม จากของพระเจ้าพรหมทัตมาครอบครอง แต่แท้จริงมีสิ่งที่ซ้อนลึกกินลึก มันกินลึกซึมลึกเนียนในแต่ละคนไม่รู้หรอกว่า กาม มันกินขนาดไหน
ยกตัวอย่าง หยาบๆ มหาบัว ใครก็รู้ว่าหมากพลูเป็นสิ่งเสพติด แต่เขาก็เสพติดจนตายทิ้งไม่ได้ ปากเยิ้มปากเปรอะ เป็นรูปธรรมเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนจริงๆ แล้วคนที่เขาเข้าใจไม่ได้ก็เข้าใจไม่ได้ คนเข้าใจได้ก็เข้าใจได้ ลูกศิษย์ลูกหาของมหาบัว เป็นยุคก่อนอาตมานิดนึง อาตมาเป็นผู้กอบกู้เขาเป็นผู้ทำลาย อาตมามากอบกู้ได้บ้างในยุคปลายภัทรกัปป์แล้ว จะหมดศาสนา ภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ พระสมณโคดมเป็นองค์ที่ 4 เมื่อสิ้นพระสมณโคดมถึงจะไปต่ออีกองค์หนึ่งที่เรียกด้วยชื่อว่าพระศรีอริยเมตไตรย
แต่ศรีอริยเมตไตรยไม่ใช่ชื่อคนไม่ใช่ชื่อพระพุทธเจ้าแต่เป็นตำแหน่งพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปซึ่งจะอีกนานนานมาก หมดยุคกลียุคนี้เสร็จ ตอนนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติได้ในยุคนี้มีแต่พระโพธิสัตว์มาสืบทอด อาตมารับหน้าที่มา รับสืบทอดให้ได้ แล้วรับผิดชอบต้องให้ถึงพุทธกัป ไม่ใช่ภัทรกัปป์นะ แต่นี่เป็นพุทธกัปของพระสมณโคดมมีอายุ 5,000 ปี
อาตมาก็เป็นสาวกผู้ที่รับผิดชอบ จะต้องสืบทอดให้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าอาตมาทำงานนี้ คุณภาพและปริมาณไม่มากพอที่จะมาร่วมกันสังขาร สังขต เนื้อหาสาระธรรมะพระพุทธเจ้ายาวไปให้ถึง 5,000 ปีได้ อาตมาก็จะต้องเกิดมาใส่อีก มันจะพอหรือจะไม่พอ ก็ยังไม่ชัดเจนเลย จึงต้องกระเสือกกระสนต่อให้ติด ถ้าอาตมาตายแล้วกว่าจะมาเกิดอีกก็ยังไม่รู้ว่าวิบากจะต้องไปอีกนานเท่าไหร่กว่าจะกลับมาเกิด แม้ว่ามีวิบากแล้วก็ยังมีเรื่องเวลา ยังมีวิบากที่จะต้องไปต่อสู้ ต้องไปรับวิบากทางด้านอื่น ที่มันทำให้เราเสียแรงงานความสามารถ เสียทั้งเวลาด้วย อาตมาก็ยังไม่รู้กรรมวิบากถึงขนาดนั้นที่เป็นอจินไตย ไม่รู้จะมีมากน้อยเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นอาตมาก็เลยไม่ประมาท อย่ารีบตาย ต่อไปให้ได้ก่อน ถ้าหากมีวิบากมาคั่นเดี๋ยวรับผิดชอบไม่ได้ เดี๋ยวทำให้ศาสนาพระพุทธเจ้าต่อไปไม่ถึงได้ อาตมาเสียเลย อาตมาจะเป็นโพธิสัตว์สอบตก เสียเวลาอีก มันก็ไม่ดี อาตมาก็ต้องกระเสือกกระสนถูลู่ถูกังไป อาตมาถึงบอกว่าอาตมาพยายามมี 8 อ.ให้ดีๆ ต้องพยายามทำทั้งพลังงานทางจิตพลังงานทางกายให้มันสังเคราะห์กันได้สัดส่วนพอเหมาะพอดี มากบ้างน้อยบ้างก็ต้องจัดให้ได้สัดส่วนพอเหมาะสมดุล สัดส่วนพอเหมาะสมนี่แหละเป็นตัวที่ทำได้ยากมากเลย แต่ก็ทำได้อยู่
สู่แดนธรรม…มีแฟนรายการทางบ้านถามมา ถามซ้อนเรื่องอนุปัสสี 4 ว่าทำไม? “ปฏินิสสัคคานุปัสสี” จึงมาทีหลัง “นิโรธานุปัสสี”
พ่อครูว่า…ก็เหมือนนิโรธ มาทีหลังนิโรธ ในอริยสัจ 4 ก็หมายความว่าวิธีการปฏิบัติให้ไปสู่นิโรธ คือมรรคมีองค์ 8 หรือโพธิปักขิยธรรม 37 ทำไมมาทีหลัง นิโรธ ซึ่งมันต้องอยู่ด้วยกัน นิโรธานุปัสสี หรือมรรคองค์ 8 วิธีปฏิบัติกับตัวบรรลุนิโรธ สภาวะบรรลุ กับวิธีปฏิบัติให้บรรลุมันต้องมีเหตุปัจจัยคู่กัน มันแยกกันไม่ได้ มันต้องมีทั้งคู่ เพราะฉะนั้นคุณทำนิโรธได้ คุณต้องรู้อันนี้ คุณก็เอาวิธีปฏิบัตินี้ไปสอนต่อ คุณต้องสืบสานวิธีปฏิบัติ ศาสนาก็ไม่สิ้นมันก็ไปได้ต่อ แต่ถ้ามีแต่นิโรธแล้วก็ตาย เหมือนยังอุจเฉททิฏฐิของเถรวาทในเมืองไทย บอกว่าพระอรหันต์ตายแล้วสูญ ตายแล้วไปเกิดอีกไม่ได้ มันก็ไม่ได้พาลไง เขาก็มีความรู้เท่านี้ เถรวาทเมืองไทย คืออุจเฉททิฏฐิเด็ดขาด คุณหั่นศาสนาพระพุทธเจ้าบอกว่าอรหันต์ตายแล้วสูญ เป็นมิจฉาทิฐิ ก็เลยไม่มีใครต่อ ถ้าไม่มีอรหันต์ผู้บรรลุสูงสุดถือว่าเป็นรอบสูงสุด เอาความรู้ อรหัตตผล หรืออรหันต์มาสอนได้อีก เหลือแต่อนาคามี ศาสนาพุทธก็เสื่อมไปอีกขั้นหนึ่ง ยิ่งเหลือแต่สกิทาคามี อรหันต์ก็ไม่เกิดอีกแล้ว นั่นก็จริง จริงตรงที่ว่าเมื่อถึงในยุคหนึ่ง ใกล้พุทธันดรจริงๆ ศาสนาต่อไปจะไม่มีพระอรหันต์แล้ว จะเหลือแต่อนาคามี ต่อไปก็จะเหลือแต่สกิทาคามี ต่อไปก็จะเหลือแต่โสดาบัน ต่อไปแม้แต่โสดาบันก็ไม่มี มีแต่กัลยาณชน กัลยาณชนชั้นสูง ต่อไปกัลยาณชนก็ต่ำลงเรื่อยๆก็เสื่อมลงไป โลกก็แตก ทุกอย่างก็ระเบิดสูญหายไป คนก็เริ่มมาพัฒนาใหม่ มาก่อความเจริญขึ้นใหม่
กว่าสัตว์โลกจะมาเกิดในโลกลูกหนึ่ง กว่าจะมีน้ำ จากเดิมโลกร้อนมาก น้ำอยู่ไม่ได้ ไม่มีทางเกิดสัตว์ จนกว่าจะมีน้ำ มีน้ำแล้วก็มีจุลินทรีย์เกิดในน้ำ จนกว่าจุลินทรีย์จะจับตัวกันเป็นขี้ไคลน้ำ จนกระทั่งมีพืช พัฒนาตัวเองมาเป็นพืชที่เจริญ จนกว่าพืชจะพัฒนาตัวเองมาเป็นจิตนิยาม จิตนิยามมาเป็นสัตว์ กว่าจะพัฒนาจากสัตว์เซลล์เดียวขึ้นไปอีก พูดอธิบายยังเมื่อยเลยเห็นไหม กว่าจะมาเป็นกัลยณชน สูงแล้ววนเวียนในกัลยาณชนเป็นเทวนิยมไม่รู้นานเท่าไหร่ กว่าจะขึ้นมามี อัญญธาตุรู้ได้ อ๋อ.. มาเป็นอาริยชน พัฒนาความเป็นอาริยชนขึ้นมาสู่โลกุตรธรรมจนกว่าจะเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์แล้วก็จะเป็นโพธิสัตว์สืบทอดต่อไปอีก อย่างนี้เป็นต้น มันซับซ้อนไม่รู้กี่ชั้นๆที่อาตมาพูด เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปคิด ปฏิบัติตามไปกับหมู่มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี มีสัปปายะ อย่างน้อย 4 เสนาสนะ บุคคล อาหาร และธรรมะ
ชุมชนชาวอโศกแต่ละชุมชนครบสัปปายะ 4 นี่แหละอยู่ให้ได้ อยู่ได้สบายๆแล้ว ถ้าอยู่ได้ยังไม่สบายก็ต้องอยู่ให้สบายให้ได้ สบายก็คือสัปปายะ มันสงบ สงบที่ตน ตนไม่ก่อความเดือดร้อนด้วย ตนก็สงบด้วย
ผู้ที่จะเป็นสัมมาทิฏฐิต้องจบ ปฏินิสสัคคานุปัสสี นั่นแหละ ปฏินิสัคคานุปัสสนี คือไม่เอาสวรรค์แล้ว วนไปไม่เอาแล้ว นิ กับ สัคคะ คือไม่เอาแล้วสวรรค์ จนกระทั่งคุณสมบูรณ์ด้วยการไม่เอาแล้วเด็ดขาด ปล่อยวางทิ้งแม้แต่จะมากระทบกระแทกอย่างไรก็จบ สวรรค์ไม่มี หมดสวรรค์ เรื่องกระทบกระแทกกระเทือนกระทุ้ง มีสัมผัสอย่างไร ก็รู้ทันหมด มีปัญญารู้ทันหมด พลังงานของปัญญามีอิทธิพลมีอำนาจมาก มีรังสี ฉัพพันธรังสี จนพญามารหรือกิเลสมาในกระแส เพราะมีพลังงานรังสี 6 ชั้น ฉัพพันธรังสีกั้นไว้ เข้ามาชั้นแรกก็แย่แล้วมาร จนถูกกั้นไว้ถึง 6 ชั้นมาถึงชั้นที่ 7 ไม่ได้ เข้ามาไม่ได้ เข้าได้ชั้น 1 มาถึงชั้น 2 ก็แย่แล้ว อยู่ในหนังกำลังภายในเคยเห็นไหม ไม่มีทางถึงเนื้อใน ถ้า 7 ชั้นแล้วปลอดภัย ขนาดนั้นอาตมายังโดนแก๊สน้ำตาเลย ที่จริงน่าจะโดนลูกปืนแต่ก็ไม่โดนเป็นอจินไตย ไม่ได้พูดเหมือนท้าทายนะแต่เป็นอจินไตยจริงๆ ทำไมเราเป็นเป้าอยู่บนเวทีชัดๆ ไม่ต้องใช้ Sniper หรอก ใช้คนเล็งจริงๆก็ได้แล้ว นี่ไม่ได้ยากอะไร
แต่ก็ไม่มีใครคิดจะยิงเราไม่กล้ายิงเราเป็นอจินไตย คนไทยไม่กล้าทำเพราะคนไทยมีคุณธรรม ถ้าไม่มีมวลประชาชนคนไทยปฏิวัติด้วยความสงบไม่ได้ ถ้าไม่มีมวลคนดีเป็นอาริยบุคคลในพื้นจิตอนุสัยของคนไทยแล้ว คนไทยทั้งมวลเป็นคนดี เป็นชมพูทวีป ไม่ได้พูดเล่นนะแต่เป็นชมพูทวีปจริงๆ เป็นดินแดนที่มีมนุษย์เจริญ มี สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส มีภาวะความกล้า แข็งแรงจริงๆ มีสติเต็มมีองคาพยพ 32 กับนามธรรม เจริญอย่างได้สัดส่วนเจริญอย่างโลกุตระที่แท้จริง เล็กน้อยจนถึงมาก จนกระทั่งมีโพธิสัตว์อยู่ในเมืองไทย แม้จะไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่ในยุคกาลนี้
ในโลกนี้ตอนนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ มีแต่พระโพธิสัตว์เป็นไก่ตัวพี่ แล้วมีโพธิสัตว์ระดับน้องรองลงมาไล่ไปตามระดับลงไป โพธิสัตว์เป็นไก่ตัวพี่อยู่ในเมืองไทย ขอยืนยันว่าก็คืออาตมานี่แหละในยุคนี้ จะบอกว่าเป็นสารีบุตรมาเกิดก็ใช่ แต่ถ้าใครบอกว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตรนั้น คุณอย่ามาดูถูกอาตมา พระสารีบุตรนั้นเป็นเพียงสิ่งสมมุติให้อาตมาอาศัยเจริญเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ อย่าดึงอาตมาลงไปต่ำเป็นพระสารีบุตร ถ้าอาตมาไม่เจริญกว่าพระสารีบุตรอาตมาก็ไม่เจริญสิ แค่ความรู้แค่นี้ไม่ใช่เข้าใจง่ายนะ ที่อาตมาพูดไปเมื่อกี้นี้ อาตมาไม่เป็นพระสารีบุตร แต่อาตมานี่แหละสืบทอดจากพระสารีบุตร ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นก็เป็นตัวตน ถ้าเป็นผู้ที่มายึดมั่นถือมั่นก็ไม่มีตัวตน แต่มันอาศัยกันเกิด คุณฟังเป็นมิจฉาทิฏฐิคุณก็เป็นตัวตนตายตัว คุณฟังไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิคุณก็เป็นด้วยเหตุและปัจจัยอาศัยกันและกันเกิด ก็ถูกต้องแล้ว คุณไปยึดมั่นถือมั่นอะไร ถ้าหากคุณยังยึดมั่นถือมั่นก็จะบอกว่าหลงตัวเองเป็นพระสารีบุตร ถ้าไม่ผ่านพระสารีบุตรอาตมาจะมาเป็นอย่างนี้ได้หรือ
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องมีพระสารีบุตร ไม่มีแล้วเอาสาระที่ไหนมา นี่แหละคือแก่นเนื้อแท้ของโลกุตรธรรม เอ้า..พอ ตัดตรงนี้
อนุปัสสี 4 โดยพิสดาร
อนุปัสสี 4 (ตามเห็นอะไรในขณะปฏิบัติสติปัฏฐาน+อานาฯ)
-
อนิจจานุปัสสี (ตามเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสตัณหา)
-
วิราคานุปัสสี (ตามเห็นความจางคลายของกิเลส)
-
นิโรธานุปัสสี (ตามเห็นความดับของสัตว์กิเลสตัณหา)
-
ปฏินิสสัคคานุปัสสี (เห็นการย้อนทวนกลับไปสลัดคืน)