640618_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วิญญาณกินข้าวได้ไหม อย่างไรคือสัมมาทิฏฐิ
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/13TT1sbfGnkPtIfdq-LkHiETDxrS51RkWeIopXf2B3hM/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1PklKInKOocaces7F2QBqVZ82Pb288lXW/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/3tPxhAMZLvQ
สมณะเดินดิน…วันนี้วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน 2564 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก เดือนหน้าก็ใกล้เข้าพรรษาแล้ว แต่ตั้งแต่โควิดมาก็เหมือนเข้าพรรษาทั้งปี ฟังพวกเราเวียนธรรมตอนเช้า ได้ข้อคิดที่คุณใจดิน เล่าถึงแม่คือโยมธรรมนูญ ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ จำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ที่ยังจำได้คือจำธรรมะได้ ได้ความรู้สึกได้ความยินดี เรื่องทรัพย์สินเงินทองอะไรจำไม่ได้หายไปหมด แต่ยังจำธรรมะได้
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 16-17 มิ.ย. 2564 วันนี้ sms มีไม่มาก แต่เนื้อหาคงต้องอธิบายกันทั้งรายการ คงไม่ได้อ่านหนังสือแน่เลยวันนี้ หนังสือเปิดยุคบุญนิยมเป็นหนังสือที่น่าอ่าน โฆษณาแล้วโฆษณาอีกก็คงจะต้องโฆษณาต่อไปอีก ยังมีหนังสือที่จะออกมาอีกคือหนังสือ เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 3 และหนังสือคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เล่ม 3
อาตมาเขียนหนังสือ ชาตินี้ชอบเป็นนักประพันธ์ เขียนมาตั้งแต่สมัยเป็นมัธยม ทั้งที่ลายมือเราก็แย่ สมัยโบราณเขียนลงในกระดาษ fullscape แล้วออกแบบเองด้วย ทำเป็นเหมือนหนังสือพิมพ์ มีคอลัมน์ปกิณกะต่างๆ แม้แต่นิยายก็มีในนั้น แล้วก็ส่งไปให้เพื่อนๆ โดยเฉพาะส่งไปให้โรงเรียนผู้หญิงอ่าน เป็นเจ้าชู้ไก่แจ้ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เรียนอยู่มัธยม 5-6 ซึ่งประมาณ ม.2-3 สมัยนี้ ริอ่านแต่งเพลงตั้งแต่อายุ 14 แต่งกลอนตั้งแต่อยู่ ม.2 อยู่พิบูลมังสาหาร อาจารย์ที่สอนแต่งโคลงกลอนคนแรกคือ อาจารย์ทา
อาตมาได้เรียนกวีการโคลงกลอนจากครูทา เริ่มแรกเลย แล้วก็เขียนแต่งมาเรื่อย เพลงก็ต้องพกหนังสือเพลงมาติดตัวไว้ เพลงจากกรุงเทพฯมาเราได้ก่อนเท่มากเลย เราได้ร้องก่อน แล้วไปต่อให้เพื่อนได้เป็นเก่งเลย
เคยเล่าให้ฟังแต่งเพลงเป็นเพลงแรกแล้วบอกให้เพื่อนฟังแล้วร้องตาม เขาก็ร้อง แต่งเสร็จแล้วมาบอกทีหลังว่าเพลงลื้อแต่งเองอย่าเอามาให้ต่อ มันไม่ได้เรื่อง ก็เลยรู้สึกเสียใจ ตั้งแต่บัดนั้นแหละ เป็นคนปิด ทีนี้ไม่มีเปิดเผยแล้ว แม้แต่จะเขียนภาพแต่งเพลงก็ไม่ให้ใครรู้ เสร็จแล้วก็ค่อยๆทยอยออกไป แต่เราไม่บอกว่าใครแต่ง มันก็ร้องเพลงเราไปก็เฉย เราก็รู้ว่าเอ็งก็ร้องเพลงข้าไม่รู้ตัว ก็ดีใจ ก็เลยทำอย่างนั้นมาเรื่อยๆ มีนามปากกานามแฝงเยอะเลย
เช่น อ้อยอิ่ง สวนสงบ เพียงเพ็ญ พีรพงษ์ ฯ แล้วก็ส่งสำนักพิมพ์
จนเอาเข้าหนักๆ นวนิยายเรื่องสั้น ตอนทำวิทยุ แต่งร่วมกัน 3 คน เป็นเรื่องสั้น อาทิตย์ละ 5 วันออกอากาศทางวิทยุ อาตมาเขียนอาทิตย์ละ 2 วัน มีเพื่อนชื่อหลวงเมืองรับไป 2 วัน อีกวันก็อีกคนรับไปอีก 1 เป็น 5 เรื่องต่อสัปดาห์ ต่อมาคนเขียนก็เลิกเขียน เหลือแต่อาตมาเขียน 4 เรื่องต่อวัน มันต้องต่อเนื่อง ซึ่งมันต้องมีพล็อตเรื่อง หากไม่มีประเด็นมันไม่เป็นท่าเลย จนต่อมาเขาก็วางมืออีก อาตมาก็ 5 เรื่องต่อสัปดาห์ ต้องพกเครื่องพิมพ์ติดตัวไป พอได้อ่านได้เห็นอะไรเป็นพล็อตเรื่องได้ก็เอาหมด บางทีมีเรื่องลามกด้วยก็ต้องเอา ก็เลยบอกว่าสู้ไม่ไหวแล้วหยุดเถอะ ก็เลยต้องหยุด แต่ก็มีเป็น 100 เรื่องเลยทำไว้ กว่าจะเลิกก็ได้เป็น 100 เรื่อง สุดท้ายสู้ไม่ไหว หมดแรง เสร็จแล้วต้นฉบับเรื่องสั้นเหล่านี้ก็หายไปหมดเลย
ก่อนอาตมาบวชก็เคยคิดว่าจะไม่ยุ่งแล้วเรื่องพวกนี้ ก็ยกให้คนอื่นไป ยกให้ชลิตเขา (พ่อครูไอตัดออกด้วย) แต่เขาก็ไม่ได้เก็บไว้
สมณะเดินดิน…สมัยก่อนจำได้ว่า ก่อนไปโรงเรียนต้องฟังนิยายต่อต้าน คอมมิวนิสต์ เป็นความสุขของเด็กๆอย่างหนึ่ง
พ่อครูว่า…นิยายต่อต้านคอมมิวนิสต์ ก็ทำกับสุพัฒน์ สวัสดิวัตน์ บก.ใหญ่หนังสือพิมพ์ดังของผู้หญิงเขา
วิญญาณกินข้าวได้ไหม วิญญาณกับวิญญาณคุยกันได้ไหม
_เมตตา โพธิสุทธิ์ : ลูกชายคนเล็กของดิฉัน อายุ 5 ขวบกว่าๆ ค่ะ เขาชื่อเล่นว่า “มารุต” ค่ะ เขามักมีคำถามให้ดิฉันตอบอยู่บ่อยๆ เช่น ทำไมซื้อสัตว์มาปล่อยจึงบาป วิญญาณต้องกินข้าวไหม ดิฉันก็พยายามตอบให้ได้ โดยตอบตามความคิดของดิฉันแต่มีคำถามหนึ่งค่ะ ที่ดิฉันตอบเขาไม่ได้ เขาถามว่า “วิญญาณ กับวิญญาณ คุยกันได้ไหม” จึงขอความกรุณาพ่อเฒ่าช่วยไขข้อข้องใจของเด็กน้อยให้หน่อยค่ะว่า วิญญาณ กับวิญญาณ (วิญญาณ 2 ดวง) สามารถพูดคุยสื่อสารกันได้หรือไม่ค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า…เด็กคนนี้แปลก ถามได้ไง วิญญาณกับวิญญาณคุยกันได้ไหม อายุ 5 ขวบ
ประเด็นที่คิดว่าควรจะตอบ
ซื้อสัตว์มาปล่อยทำไมจึงบาป?
ซื้อสัตว์มาปล่อยเป็นบาป เพราะว่าร่วมมือกับผู้ที่ขายสัตว์ แล้วก็มาหลอกเอาเงินคนซื้อ ซื้อสัตว์มาแล้วก็ปล่อยไป โดยเฉพาะสัตว์ที่เป็นนก เขาจะเลี้ยงด้วยยาเสพติดเอาไว้ นั่นคือต้องกลับไปกินที่บ้านเขาอย่างเดิม พอมาปล่อยเขาก็กลับไปบ้านอย่างเดียว แล้วเอามาขาย หลอกกินอยู่อย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น มันก็เป็นบาป ซื้อสัตว์มาปล่อย โดยเฉพาะนก ชัดเจนเลย จะปล่อยปลา ปล่อยอย่างอื่น ที่มันเวียนกลับมาได้ หลอกคืนมาได้ มันก็บาปอยู่อย่างนั้น หรืออาจจะมีนัยยะอื่นก็แล้วแต่
จริงๆแล้ว ผู้ที่ไปเอาสัตว์มาขาย บาปแล้ว เอาชีวิตเขามาค้าขายหาเงินเลี้ยงตัว หากสัตว์นั้นจะเอาคุณไปขาย หมาเอาคุณไปขายเลี้ยงชีวิต หมามาร้องขาย เจ้าข้าเอ๋ยขายราคาเท่านี้ มันจะดีเหรอ สัตว์ที่ถูกขายไปเขาซื้อไปแล้วจะเอาไปทำอะไร เอาไปฆ่าเอาไปเลี้ยง เลี้ยงอย่างเอ็นดูจนตายเลยก็มี แต่มันก็เป็นสินค้าชนิดหนึ่ง เราเป็นชีวิตที่มีราคาเท่ากับสินค้าชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นอาตมาเคยพูดแล้วว่า
สัตว์ตั้งแต่เซลล์เดียว อย่าประมาท อย่าไปยุ่งเกี่ยว อย่าไปแตะ ตั้งแต่เริ่มเป็นสัตว์เซลล์เดียว ไม่แน่สัตว์เซลล์เดียวตัวนี้ต่อไปอาจจะพัฒนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ คุณตามดูไม่ได้หรอกไม่รู้กี่ล้านชาติ
เกิดมาเป็นเซลล์สัตว์ก็จะพัฒนาการไปจนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่มีใครจะไปทำลายกลางทางได้เลย จะอยู่เป็นล้านๆๆ ชาติทั้งนั้น เวลาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยด้วย ทุกวันนี้เวลามันเร็วเหลือเกิน เดี๋ยววันๆ แก่ไม่ทันแล้วหว่า ทุกวันนี้อาตมาแก่ไม่ทันวัน เดี๋ยวก็หมดวันอีกแล้ว แล้วเมื่อไหร่จะตายหนอ
ทีนี้.. วิญญาณต้องกินข้าวไหม?.. ตอบ วิญญาณไม่กินข้าว วิญญาณที่ไม่มีกาย วิญญาณนี้คือจิตนิยาม พลังงานที่พัฒนาจากอุตุนิยามมาเป็น พีชนิยาม เป็นชีวะที่ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ พลังงานยังไม่มีคุณภาพประสิทธิภาพถึงวิญญาณ หรือเรียกว่าเวทนาก็ยังไม่ได้ เพราะว่า พีชะจะมีความรู้แค่สัญญากับสังขารกับรูป จะมี 3 เส้า รูป สัญญา สังขาร นี่คือ พีชะยังไม่มีเวทนา ยังไม่มีวิญญาณจึงได้ชื่อว่าเป็นพลังงาน เป็นชีวะ หรือเรียกว่า อุปาทินกสังขาร เป็นสังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง ไม่มีกรรมวิบาก เราจึงกินพืชได้อย่างปลอดภัย ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มันไม่มีเวทนาไม่รู้จักสุขจักทุกข์ไม่จองเวรจองกรรมกับใคร
วิญญาณกินข้าวไหม?.. วิญญาณไม่กินข้าว วิญญาณที่ยังมีร่างกายมีองค์ประกอบครบอาการ 32 ก็กินข้าวกินอาหารเลี้ยงชีพ วิญญาณกินข้าวไหม ถ้าวิญญาณที่ไม่มีร่างกายคือวิญญาณเป็นสัมภเวสี วิญญาณที่ไม่มีที่เกิด วิญญาณที่อยู่ไหนๆมีเยอะแยะ ยังไม่มีที่เกิดยังหาที่เกิดยังไม่มีสิทธิ์จะมาได้ร่างเป็นสัตว์ก็ตามเป็นคนก็ตาม ยังเป็นวิญญาณล่องลอย ศาสนาฮินดูหรือศาสนาหลายศาสนาก็พูดถึง ศาสนาฮินดูไม่พูดถึงสัมภเวสีเพราะเขาไปตามยถากรรมของวิบากของสัตว์แต่ละชนิด
วิญญาณที่เป็นสัมภเวสีนั้น ไม่พูดกัน ไม่มีใครรู้ใคร วิญญาณใดก็อยู่ในภพของตนเอง เหมือนคุณหลับตา หลับตาลงหรือนอนหลับ วิญญาณคุณก็เกิดอยู่ในจิต วิญญาณที่เป็นสัมภเวสีของคุณก็อยู่ในจิต มันก็จะเป็นไป ตอนหลับเป็นวิญญาณสัมภเวสี ถ้าวิญญาณออกมามีความรับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกาย จึงเรียกว่าวิญญาณที่มีที่ตั้ง เป็นวิญญาณฐีติ
ถ้าวิญญาณไม่ออกมาทางตาหูจมูกลิ้นกาย เช่น พวกนั่งหลับตาปฏิบัติธรรม มีแต่วิญญาณสัมภเวสี จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรมเป็นอันขาด อาจจะมีบางท่านบรรลุเพราะบารมีเก่า มีอาสวะบางอย่างสิ้นได้ แต่ก็ได้เท่านั้น จะไม่มีการเจริญจากอันใหม่อีกเป็นอันขาด ถ้าไปยึดแต่การนั่งหลับตา ไม่มีวันจะบรรลุเป็นอรหันต์ ไม่มีทาง เอาแต่นั่งหลับตาเป็นเอกไม่รู้จักจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่มีโพธิปักขิยธรรม ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาททั้งสาย ไม่มีทางบรรลุ
เพราะฉะนั้นวิญญาณที่เป็นสัมภเวสีไม่กินอาหาร แม้คุณจะส่งอาหารไปให้ ทำทานแล้วมาเรียกผิดเพี้ยนไปว่าเป็นการอุทิศส่วนบุญ เอาไปให้ผู้ตาย มันเป็นฝันลมๆแล้งๆ เป็นความเพ้อ ซึ่งมันไม่มีทางไปได้ เช่น เอากระท้อนปุยฝ้ายกำลังออก คนก็ชอบ บอกว่าปู่ย่าตายายที่เคยชอบก็ตายไป ก็ทำการอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย ซึ่งไม่มีทางไปถึงได้หรอก แม้แต่อาหารก็ไปอยู่ในท้องของพระที่ฉันเข้าไป ซึ่งเอาไปให้คนตายไม่ได้หรอก มันจะเหลือส่วนไหนไปให้ เขาก็บอกว่าเป็นนามธรรม เป็นทิพย์ แล้วเป็นทิพย์อย่างไร มันก็ไม่ใช่ของจริงนะสิ ส่งกระท้อนไป มันก็ไม่ใช่กระท้อนแท้ๆ เป็นกระท้อนทิพย์อย่างไร ก็เนื้อกระท้อน หนังกระท้อน มันก็ไม่ไป มันไม่มีไป มันไปไม่ได้ แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่ามันไม่ไป มันจะไปได้อย่างไร อย่างนี้มันเป็นรูปธรรมได้ อย่างนั้นมันเป็นนามธรรม มันก็มีแต่ความคิดปั้นรูปไป เป็นนิรมาณกายเข้าใจตามๆกันไปเป็นสัมโภคกาย ที่จริงแล้วเป็นอาทิสมาณกาย ไม่มีใครรู้ใครเห็นความจริงด้วยเลย แต่ความจริงที่อาตมาเอามาอธิบาย มั่นใจว่าเขาอธิบายผิด แก้ไขความผิดแก่ผู้หลงผิดด้วย
วัฒนธรรมที่ส่ง ยะถาสัพพี ตรวจน้ำส่งให้คนนั้นคนนี้ มีคนมาแย้งว่า พระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย ซึ่งพระพุทธเจ้ายังไม่อยากจะขัดใจ เพราะพระเจ้าพิมพิสารตอนนั้น ท่านจะไปขัดขืนอะไรได้มากมาย บอกว่าอุทิศให้เปรต ท่านก็อนุโลมให้ แต่ท่านก็ไม่ได้ร่วมมือไม่ได้ส่งเสริม เพราะท่านค้านไม่ได้ต้องอนุโลมตาม หลายอย่างในพระวินัยท่านต้องให้ยอมตามเช่น ยกให้พระเจ้าแผ่นดินอนุโลมให้ ตอนนั้นเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็ต้องยอม ไม่ยอมไม่ได้หรอกไม่ยอมไม่ได้เรื่อง ไม่ใช่ว่ากลัวตาย แต่มันเป็นยุคการองค์ประกอบสมัย บริบทนั้นต้องเป็นตามนั้นอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องละเอียด
สู่แดนธรรม…พ่อท่านเคยให้รายละเอียดว่ามีเปรตชนิดเดียวที่อุทิศส่วนกุศลให้ได้
พ่อครูว่า…ปรทัตตูชีวกเปรต เขาก็ไปแปลว่า เปรตที่มีชีวิตด้วยการรับส่วนบุญจากคนอื่น (ปร ทัต อุป ชีวะ ) แปลว่า ชีวิตต้องได้รับจากผู้อื่นเท่านั้น
ปรทัตตูชีวกเปรต เป็นเปรตที่ต้องได้รับจากผู้อื่น คือคนเป็นๆที่มีจิตเป็นเปรต จิตความอยาก จิตต้องการ จิตปรารถนา คุณจะต้องมีผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิที่จะให้ได้ คุณไม่ให้ คุณจะคิดเองหาเองไม่ได้ ต้องได้รับจากผู้อื่น ผู้อื่นนั้นเหมือนกันกับศาสนาพุทธโลกุตระ คุณจะต้องได้รับปัญญาได้รับ อัญญธาตุ จากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าหรือจากผู้ที่สัมมาทิฏฐิ อยู่ในฐานะครูจึงจะได้ คุณรู้เองไม่ได้หรือไปรู้จักคนนอกรีตก็ไม่ได้ คุณจะต้องรู้และได้รับจากเจ้าของจริงๆ เป็นธรรมะสามี เช่น เป็นพระพุทธเจ้าเป็นต้นหรือเป็นสัตบุรุษที่มีมาเองอย่างเป็น สยังอภิญญา เป็นปัจเจกสัมพุทธะ หรือแม้จะไม่ถึง สยังอภิญญา ก็ต้องเป็นครูผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ เช่นโพธิสัตว์ระดับ 6 ระดับ 5 ซึ่งระดับ 4 ก็เป็นพระอรหันต์
แม้แต่ในระดับ 4 ที่เป็นพระอรหันต์ก็เฉพาะตน อรหันต์คือผู้ที่บรรลุได้กิเลสเฉพาะตน เพราะฉะนั้นก็จะแคบๆ รับไปก็ยังแคบ ผู้ที่รับไปก็เป็นคนอื่นแล้วด้วย เพราะฉะนั้นมันจะตรงกันกับพระอรหันต์หรือไม่ พระอรหันต์บอกอย่างนี้ และอีกคนหนึ่งคือคนอื่นไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะฉะนั้นกรรมวิบากหรืออัตตา ก็เฉพาะตน แล้วพระอรหันต์รูปนี้จะรู้กิเลส จะมีทฤษฎีมีความรู้ที่จะไปครอบคลุมให้ผู้นี้เอาไปใช้ลดกิเลสเขาได้หรือ เห็นไหมมันละเอียดซับซ้อนลึกซึ้งอย่างนั้น
สู่แดนธรรม…บางทีพระอรหันต์ก็ช่วยไม่ได้
พ่อครูว่า…บางทีพระอรหันต์ก็ช่วยคนนี้ไม่ได้ พระอรหันต์บำเพ็ญเพียรโพธิสัตว์ไปอีกมากมายเพื่อให้รู้กิเลสคนอื่น พระโพธิสัตว์ที่เกินอรหันต์ ศึกษาของคนอื่นเพื่อช่วยคนอื่น โพธิสัตว์จึงหมายความว่า เป็นผู้ที่ รื้อขนสัตว์ ช่วยผู้อื่นสัตว์อื่น ตนเองก็รอดแล้ว แม้แต่เป็นโพธิสัตว์ระดับโสดาบันก็รอดระดับโสดาบัน จะไปช่วยผู้อื่นก็ถือว่ายังเป็นเด็กอยู่นะ จะไปช่วยผู้อื่นมันจะแข็งแรงอะไรแค่ไหน อย่างน้อยก็ควรจะเป็นพระอรหันต์ก่อน ถึงจะอ้าขาผวาปีกไปช่วยผู้อื่นได้ดี ตนเองยังไม่พ้นเลยไม่เป็นอรหันต์แม้ถึงขั้น 4 เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ยังไม่ถึงอรหันต์ อย่าไปคิดอ่านไปช่วยผู้อื่นมากเลย
วิญญาณกินข้าวได้ไหม?.. วิญญาณเป็นนามธรรม ซึ่งอาหารคำข้าว กวฬิงการาหาร มันเป็นนามธรรมที่ไหน กวฬิงการาหาร มันเป็นรูปธรรมแท้ๆไปให้วิญญาณได้อย่างไร วิญญาณไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย วิญญาณต้องมีกายมีร่าง มีภาวะภายนอกภายใน จึงจะรับอาหารที่เป็น กวฬิงการาหาร แล้วก็จะมามี ผัสสาหาร กระทบสัมผัส แล้วจึงจะไปถึง มโนสัญเจตนาหาร เจตนาเกิดเองได้
กวฬิงการาหาร กับ ผัสสาหาร มันคู่หนึ่ง ต้องมีภายนอกของกาย
แต่ มโนสัญเจตนาหาร กับ วิญญาณาหาร เป็นของภายใน
วิญญาณกับวิญญาณพูดกันได้ไหม?.. วิญญาณที่มีความเต็มของวิญญาณฐีติ ไม่ใช่วิญญาณที่เป็นสัมภเวสีก็จะพูดกันได้ เพราะมีปาก มีตาหูจมูกลิ้นกาย มีทวารข้างนอก ตากระทบรูปก็คุยกันเรื่องรูป หูกระทบเสียงก็คุยกันเรื่องหูกระทบเสียง หรือคุยกันเรื่องที่กระทบทวารภายนอกเรื่องดินน้ำไฟลมก็ได้
แต่ไม่มี คุยกันไม่ได้ ไม่ได้ออกจากภพด้วย ปากมีที่ไหน อวัยวะที่จะออกส่งเสียงไม่มี มันก็มีแต่เสียงสัญญาที่ตัวเองปั้นเอง คิดเอง มีเอง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่เป็นนิรมาณกายเองเท่านั้น ถ้าคุยกันได้รับรองวุ่น ถ้าโลกเห็นตัวด้วยก็ยุ่งฉิบหาย พระเจ้าหรือธรรมชาติจะไม่สร้างมาอย่างนั้นหรอก ธรรมชาตินี้เป็นระบบที่สุด ถ้าไอ้ที่มันไม่เป็นระบบมันไม่เป็น cyclic order มันไม่ใช่ธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติพิการ เป็นธรรมชาติวิปริต ถ้าธรรมชาติลงตัวเรียบร้อยแล้วเรียกว่า cyclic order มันจะมีระบบระเบียบไปเรื่อยๆราบเรียบ
จะคุยกันได้ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกถึงจะคุยกันได้ แต่ถ้าเป็นวิญญาณที่เป็นสัมภเวสีวิญญาณที่ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายไม่มีที่ตั้ง ก็คุยกันไม่ได้ แม้ว่าคุณมีแต่คนหนึ่งนอนหลับก็คุยกันไม่ได้ อีกคนหนึ่งตื่นอีกคนหนึ่งนอนหลับพูดกันก็ไม่รู้เรื่อง ง่ายๆไม่ยาก พิจารณาดีๆ
การที่คนไม่รู้ก็ด้นเดา เป็นนิยายในภพลึกลับมากมาย เทวนิยมเขาสร้างนิยาย ใครเคยอ่านโลกทิพย์บ้าง หลังตายไปก็มีโลกหลังความตายมากมาย
เด็กคนนี้ถามลึก
_เพ็ญจันทร์ ภูมิเทศ : หากประดับด้วยต้น”ลิ้นมังกร” จะคายออกซิเจนทั้งในห้องนอนและนอกห้องนอนค่ะซึ่งต่างจากต้นไม้ทุกชนิด
พ่อครูมีความรักมิติที่เท่าไหร่
_4354 : พ่อท่านมีความรักมิติที่เท่าใหร่ครับ
พ่อครูว่า…อาตมาตอบอย่างเป็นวิชาการเลย อาตมามีความรักมิติที่ 8 กำลังเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าอาตมามีความรักมิติที่ 9 ก็เป็นความรักของพระพุทธเจ้า มิติที่ 8 ของโพธิสัตว์ระดับ 8 ตอนนี้อาตมามีความรักระดับ 7 ไปแล้วก็กำลังสะสมความรักระดับที่ 8 ไป อยากรู้ความรักระดับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ไปอ่านหนังสือความรัก 10 มิติ วันนี้ขอผ่านไม่ขยายความไม่นำมาพูดถึงหรอก
-
กามนิยม (เมถุนนิยม)
-
พันธุนิยม (ปิตปุตตาฯ)
-
ญาตินิยม (โคตรนิยม)
-
สังคมนิยม (ชุมชนนิยม)
-
ชาตินิยม (รัฐนิยม)
-
สากลนิยม (จักรวาลฯ)
-
เทวนิยม (ปรมาตมันฯ) .
-
อาริยนิยม (อเทวนิยม)
-
นิพพานนิยม (อรหันตฯ)
-
พุทธภูมินิยม (หรือ.. โพธิสัตวภูมินิยม)
(พท.บรรยายไว้ที่ม.เชียงใหม่)
เข้าใจให้ดีๆ อาตมาให้เรียนตั้งแต่มัธยม 1 ถึงมัธยม 6 แบ่งให้เรียนทีละ 2 มิติ ก็จะได้ 5 คู่ ไปถึง ม. 5 ตอน ม. 6 ก็เรียนรวมเลย
ที่จริง ม. 1 เรียน 2, ม. 2 ก็เรียน 4, ม. 3 ก็เรียน 6 เพราะต้องทบทวนของเก่าด้วย
สมณะเดินดิน…ความรัก 10 มิติก็ไล่ไปตั้งแต่ความรักตั้งแต่สองคน จากนั้นก็เป็นพ่อแม่ลูก เป็นครอบครัวแล้วเป็นญาติเป็นสังคมเป็นประเทศ
_8085 : น้อมกราบนมัสการพ่อครูอย่างสูงยิ่ง.พ่อครูเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ยุคสุโขทัยหรือรัตนโกสินทร์ครับตอบสั้นๆก็พอครับรับชมอยู่ ที่กรุงเทพฯ
พ่อครูว่า…ตอบ เป็นพระเจ้าแผ่นดินยุคสุโขทัย แต่ยุครัตนโกสินทร์ ไม่เคยเป็นเลย เหมาให้รุ่นของรูปธรรมไปหมด หลายคนเดาอาตมาว่า เป็นรัชกาลที่ 4 อะไรอย่างนี้ เพราะว่าเป็นเรื่องธรรมะ ซึ่งไม่ใช่ อาตมาไม่ใช่รัชกาลที่ 4 ยุครัตนโกสินทร์ไม่ได้มาเกิด ในยุคสุโขทัยได้มาเกิด
ผู้อยู่ในฐานะครูในปัญญา 8 คือใคร
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ในหนังสือเปิดยุคบุญนิยมเล่ม๒ ข้อ๑๕ รู้จากผู้อื่นหมายถึงรู้จากใครบ้าง? ผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐินั้น ต่างจากสัตบุรุษอย่างไร ต้องบรรลุธรรมขั้นไหนอย่างไรคะ เพราะในอนุปัสสี๔ นั้น ผู้ได้ข้อ๑บรรลุอนิจจานุปัสสีได้สัมมาทิฏฐิแล้ว ผู้อยู่ในฐานะครูควรได้สัมมาทิฏฐิขั้นไหนคะ ลูกเขียนมาเหมือนรู้มาก แต่แท้จริงลูกไม่เข้าใจคะ
พ่อครูว่า…โลกุตรธรรมจะต้องได้รู้จากผู้อื่น คิดเองไม่ได้ ขบคิดจนหัวแตกเองก็คิดไม่ได้ 1. ต้องได้รับจากพระพุทธเจ้าโดยตรง หรือ 2. ต้องได้รับจากสัตบุรุษหรือผู้ที่อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิก่อนแล้วเท่านั้น
ฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิ ก็คือ ผู้ที่เป็นครูนั้น รู้มาถูกต้องสัมมาทิฏฐิมั่นใจแล้วก็ตอบได้ ทั้งๆที่ตัวเอง ผู้รู้ครูคนนั้นอาจจะยังไม่บรรลุ อาจจะรู้แต่บัญญัติ รู้แต่ภาษา รู้แต่ทฤษฎี รู้แต่เป็นความรู้ยังไม่มีความจริง ยังไม่เกิดมรรคผลที่ตัวเองเลย ซึ่งเดี๋ยวนี้มีเยอะ ในเถรสมาคมมีเยอะ เรียนแต่ปริยัติเรียนแต่บัญญัติ จนกระทั่งกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่เป็นปราชญ์เอก ได้รับความเป็นปราชญ์ แต่ว่าสภาวะธรรมนั้นยังไม่ได้นานบรรลุ
แม้แต่ในคำว่า กาย คำว่า ตัวตน เช่น สักกะ กับ กายะ
สักกะ คือ ตนของตน ใน สก สว สยะ ที่อาตมาเคยไล่ให้ฟัง
แต่เขารู้ตนเองไม่จริงไม่เต็ม อาจจะรู้กายกรรม วจีกรรมเพราะมันหยาบ แต่ว่ามโนกรรมนั้นไม่รู้ชัดเจน เพราะแม้แต่คำว่า กาย ก็ยังเข้าใจไม่ชัดเจน กาย ต้องเกี่ยวเนื่องกับภายนอกด้วยแต่ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิเข้าใจว่ากายเป็นแต่เพียงภายนอก จิตเป็นแต่เพียงภายในก็เลยแยกกายแยกจิตเป็นคนละส่วน เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิมาแต่คำว่า สักกายทิฏฐิ ตั้งแต่ต้นก็ยังไม่สัมมาทิฎฐิ ยังเข้าใจกายเป็นแต่เพียงภายนอกไม่มีจิต แล้วจะไปต่อได้อย่างไรเพราะว่ากิเลสอยู่ภายในจิต ไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย
กิเลสไม่ได้อยู่ที่แครอท บีทรูท บักต้องหรือ ไม่ใช่ กิเลสมันจิต เพราะฉะนั้นคุณเรียนรู้กาย คุณก็ต้องมีกายด้วยจิตด้วย เป็นคู่ 2 แล้วเกิดปฏิกิริยาขึ้นมา เกิดจิต เกิดกิเลส ปรุงแต่งกันด้วยอวิชชา คุณก็ต้องแยกกิเลสให้ออกจากที่มันปรุงแต่ง ปรุงแต่งมาก็เป็นวิญญาณ เป็นกลุ่มก้อนทั้ง 3 ครบเรียกว่าสังขารแล้วก็มาเป็นวิญญาณ จึงจะต้องมาเรียนรู้นามจากคู่จาก 1 และ 2 จากปฏิจจสมุปบาท
สังขาร วิญญาณ นามรูป ผู้ที่มีอวิชชา สังขารคือการปรุงแต่งระหว่างรูปนาม เขาเรียนพยัญชนะมาก็รู้ทุกคน แต่จริงๆรูปนามของคุณเป็นรูปนามอะไรบ้าง มีธาตุรู้กับอีกสิ่งหนึ่ง อีกสิ่งหนึ่งจริงๆก็คือวัตถุเลย สสารเลย ดินน้ำไฟลมเลย ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านแจกรูปไว้ถึง 28 ดินน้ำไฟลมน้ำแค่ 4 เท่านั้น จาก 4 ไปแล้วซับซ้อน ลึกซึ้ง
จาก 4 ตั้งแต่เกิด ปสาทรูป โคจรรูปหรือวิสยรูป จากทวารนอก ทวารใน ทำปฏิกิริยากันทำงานกันระหว่างประสาทกับภายนอก
ประสาทเองมันก็เป็นรูป มันจะมี ปสาทรูป โคจระก็เริ่มเดินทางออกมาทำงาน เป็นวิสัยที่จะมีความรู้ในระดับวิสัย ไม่ใช่ความรู้ระดับอาศัยหรือนิสัย
อาตมาแบ่ง อาศัย วิสัย นิสัย อนุสัย แบ่ง 4 ก็เอามาใช้งานยกตัวอย่างประกอบว่าเยอะ
กว่าที่คุณจะสามารถรู้คำว่ากาย พ้นสักกายทิฏฐิ แต่คำว่ากายคุณมิจฉาทิฏฐิ แล้วคุณจะพ้นสักกายทิฏฐิได้อย่างไร ชัดเจนขึ้นไหม
คุณเข้าใจกายเป็นแต่เพียงภายนอกอย่างเดียวเท่านั้นไม่เกี่ยวกับจิต ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ที่ท่านบอกว่า กายคือจิต มโน วิญญาณ ตถาคตเรียก กาย ว่า จิต มโน วิญญาณ
แม้แต่ในพจนานุกรมบาลีหลายเล่มก็ยังแปลว่า กาย คือ องค์ประชุมของเจตสิก ซึ่งเป็นนามไม่ใช่รูป คือ เวทนา สัญญา สังขาร เป็นต้น เขาก็แปลในพจนานุกรมอยู่นะ ซึ่งความเข้าใจไม่ง่ายเลย เพราะคนมันเสื่อมไปจากความรู้ของพระพุทธเจ้าจริงๆเลย ก็เลย แยกกายแยกจิต ยิ่งเป็นไทยคำว่ากาย มาเป็นภาษาไทยชัดๆ บวชเป็นไทยเต็มๆ ได้ citizen เป็นไทยไปแล้ว ไม่ใช่แค่สัญชาติไทยเท่านั้น มันจะเป็นเชื้อชาติไทยไปแล้ว กาย เป็นภาษาไทยเต็มๆ แล้วแปลว่า ร่างข้างนอกเท่านั้น ตามมิจฉาทิฏฐิ เห็นไหมนี่คือความเสื่อมของศาสนาพุทธไปไกลขนาดไหน อาตมาก็จ้ำจี้จ้ำไชเรื่อง กาย บุญ สมาธิ ฌาน ก็พอรู้ แต่เขาก็รู้ยังไม่เต็มยังไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็เลยต้องอธิบายไป
พวกเราพอเข้าใจได้จึงเอาไปปฏิบัติธรรมได้ จึงบรรลุความจริง เป็นปรากฏการณ์จริงเป็น phenomenon อย่างแท้จริง
อาตมาถึงบอกว่าชาวอโศกในชุมชนต่างๆทุกวันนี้อยู่ในขั้นอนาคามีภูมิ เพราะว่าบางทีขั้นของโสดาบัน สกิทาคามี ยังอยู่ยากเลย ปุถุชนไม่ต้องพูดถึงเลย ยิ่งพวกอบายมุข อบายภูมิอยู่ในนี้ไม่ได้หรอก กระเด็นไปหมด ซึ่งในที่นี้ก็ไม่มีเลยอบายภูมิเขาไม่มีเลย ขั้นกามหยาบๆก็ยังอยู่ยากเลย เพราะฉะนั้นมันต้องสูงขึ้นมาระดับพอสมควร อย่างนี้เป็นต้น นี่คือสิ่งยืนยันความจริงของสังคมชาวอโศกจะเป็นอย่างนี้ไปทุกสังคม ชุมชนเล็กชุมชนฟ้าใจน้อย ชุมชนใหญ่ก็แล้วแต่ก็เป็นไป… นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลก
เมื่อชุมชนของชาวอโศกเจริญพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นกลุ่มหมู่ที่มีทั้งประสิทธิภาพ ทั้ง Quality และ Quantity ทั้งปริมาณและคุณภาพที่มากพอจนกระทั่งคนเห็นได้ ส่วนคนตาบอดเห็นได้ อาตมาใช้สำนวนโวหารนี้ ขนาดคนตาบอดเห็นได้ เมื่อนั้น แต่ที่จริงคนตาบอดจะไปเห็นได้อย่างไร ซึ่งมันเป็นโวหาร ซึ่งก็ตาแต่ละคนก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ พัฒนาภูมิธรรม ภูมิปัญญาจนกระทั่งรู้จริง อันนี้เป็นของจริง นี่เป็นโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้า อ๋อ มีความจริงทั้งสภาพเลย อยู่กันอย่างสาราณียธรรม 6 มีทั้งสาธารณโภคี ลาภได้มาโดยธรรมก็เอามาร่วมกันกินกันใช้เหลือเฟือ ต่างคนต่างมักน้อยสันโดษ มีคุณธรรมวรรณะ 9 อยู่ในตัว เป็นคนเลี้ยงง่ายสบายไม่เรื่องมากอะไรต่ออะไร พัฒนาให้ขึ้นไปเป็นโลกุตระบุคคล เป็นคนอาริยะง่าย
สุโปสะ แล้วเป็นคนมักน้อยกล้าจน มีน้อยก็พอ อัปปิจฉะไม่เอามาก มีน้อยก็พอ สันตุฏฐิ อัปปิจฉะ ต้องการน้อยๆมากไม่เอาเท่านี้ก็พอ น้อยเท่าไหร่ก็พอ นอกนั้นก็ฝากไว้ส่วนกลางจะใช้เมื่อไหร่ก็หยิบจับใช้ ใช้เหลือก็เอางไปคืน จะเก็บเอาไว้ทำไมมันหนัก ให้ผู้ดูแลรักษารักษาไปสิ เอาไว้ที่เราทำไมมันหนัก จะใช้ก็ค่อยเอามาใช้สิ สะดวกดี ไม่ต้องเป็นภาระ ไม่ต้องวุ่นวาย ไม่ต้องดูแลรักษา ไม่ต้องแบกหามอะไรอย่างนี้ นัยยะมันชัดเจนหมด พอ
จากนั้นไป อะไรที่ขาดหก ตกหล่น สัลเลขะ ก็ขัดเกลา กายวาจาใจ เป็นโพธิสัตว์ก็ขัดเกลาอยู่ ยังไม่ถึงเยี่ยมยอดเหมือนพระพุทธเจ้า ก็ขัดเกลาไป พัฒนาไปเรื่อยๆ
ธูตะ ทำตามหลักเกณฑ์ที่สูงขึ้น ธูตะคือศีลเคร่ง หรือ เป็นภาษาไทยว่าธุดงค์ พวกที่เคร่ง ผู้ที่ได้แล้วตามหลักเกณฑ์ศีลของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้แล้วไม่เคร่ง แต่ที่เคร่งนั้นยังต้องคุมเคร่ง ยังต้องเกร็งต้องระมัดระวัง ถ้าได้แล้วมันก็จะเบาสบายคล่องตัวง่าย จนกระทั่งมันไม่ต้องไปทำอะไรมันเป็นอัตโนมัติอยู่ในตัว ก็ไม่ต้องเคร่ง สบายแล้ว อย่างพวกเรากินมื้อเดียวสบายไม่ต้องเคร่งอะไร ไม่ต้องใช้เงินใช้ทองก็สบาย แต่พวกนั้นไม่ใช้ทองไม่เคร่งไม่ไหว กินมื้อเดียวก็ตายเลย ไม่กินเนื้อสัตว์เราก็ไม่ได้เคร่งอะไร เราสบายจะตาย อย่างนี้เป็นต้น เสื้อผ้าหน้าแพรจะไปเอามาให้รกรุงรังทำไม แค่นี้ก็เหลือแหล่แล้ว เอามาเก็บก็เปลืองที่ต้องดูแลรักษา เดี๋ยวก็แมลงสาบมาก เปลืองตู้เปลืองห้อง ไม่ได้เรื่อง ก็ใช้เท่านี้ซักไปเปลี่ยนเวียนวนไปใช้ก็พอแล้ว จิตมันพอจริงๆ
สู่แดนธรรม…เขาถามว่าผู้รู้ที่อยู่ในฐานะครู มีความต่างกัน
พ่อครูว่า…ผู้ที่มีสัมมาทิฐิแต่ตัวเองยังไม่บรรลุก็มี แต่ต้องแม่นจริงๆ แต่ถ้าผู้ที่เที่ยงแท้แล้วถูกจริง รู้จักสภาวะ 2 ครบครันทั้งรูปนามบรรลุในตัวเองได้ นับตั้งแต่ สยังอภิญญา ถึงจะควรถึงจะพอที่จะมั่นใจได้ ถ้ายังไม่ถึง นิยตโพธิสัตว์ อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ขั้นตอนนี้ยาวนาน โดยเฉพาะพวกที่ศรัทธาธิกะจะยาวนานมากเลย อย่างเช่น ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นศรัทธาธิกะ อย่างคุณจำลองเป็นศรัทธาธิกะ จะนาน
สู่แดนธรรม…เขาถามมาด้วยความเข้าใจผิด โดยเขาไปเข้าใจว่าผู้สัมมาทิฏฐิต้องเทียบด้วยอนุปัสสี ๔
ส้มมาทิฏฐิ 10 เน้นเรื่องทาน
พ่อครูว่า…สัมมาทิฏฐิตัวสำคัญที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้คือ สัมมาทิฏฐิ 10 ซึ่งเป็นประธานของการปฏิบัติธรรม ถ้าคุณไม่สามารถที่จะรู้ได้ครบ สัมมาทิฏฐิ 10 คุณไม่บรรลุอรหันต์หรอก แม้แต่ตัวแรก นัตถิทินนัง ไม่สามารถรู้ในเรื่องของการทาน ทานที่ให้แล้วไม่มีผล นัตถิทินนัง ทานแล้วทำใจในใจไม่เป็น ทานแล้วไม่มีมรรคผล ทานแล้วมีภพมีชาติ ผู้ที่ทำทานแล้วต้องการสิ่งที่ตอบแทนให้กลับคืนมาตอบแทนตัวเอง มันก็ยังมีภพมีชาติ มากหรือน้อย พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ในทานสูตร
ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว
-
ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
-
มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
-
มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
-
ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ
อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี
อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี
อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้
อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ
อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ)
อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส)
ปริภุญฺชิสฺสามีติ หมายถึงชาติหน้าที่เป็นตัวตนภพชาติอีกชาติหนึ่ง อาตมาไม่อยากอธิบายข้ามชาติ เพราะฉะนั้นแค่ตัวพยัญชนะก็ไม่อยากจะจำเลย ซึ่งมันไม่ได้ยากเย็นเลยตัวนี้ แต่ตอนนี้ไม่จำสักทีนึกไม่ออกสักที
นอกจากนี้ยังมีอตฺตมนตาโสมนสฺสํ ไปปลื้มใส่จิตใจ ฝังเล็บฝังเขี้ยวไว้ในภพชาตินั้นเลยอย่างเช่นธัมมชโย ปลื้ม เขานึกว่านั้นเป็นสวรรค์ชั้นสุดยอด ทานชั้นที่ 5 อตฺตมนตาโสมนสฺสํ ซึ่งมันยิ่งไปกันใหญ่เลยไปปลื้ม
เพราะฉะนั้นความไม่รู้แล้วไม่เข้าใจเรื่องภพชาติ ก็พากันออกนอกลู่นอกทาง หลง อย่างเช่นธัมมชโยนี่ก็คนหนึ่ง ออกนอกภพเป็นวิมานฟุ้งเฟ้อ วิมานซับซ้อน เป็นพวกสร้างวิมาน สายมหาบัว อาจารย์มั่นก็หนีมุดบาดาล ส่วนพวกนี้ก็เป็นพญาครุฑไปสำหรับสายธัมมชโยเหินหาวไปไหนต่อไหน พญาครุฑกับพญานาค ถึงคนละฝั่งฟากเลย ความไม่รู้จึงสร้างภพชาติอย่างนี้แหละสรุปไว้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน
ทินนัง ทานแล้ว ยกตัวอย่าง ทำใจในใจไม่เป็น พัฒนาใจให้ไม่มีภพชาติไม่เป็น ถ้าเข้าใจง่ายๆทำแล้วตัด สูญ ไม่ต้องไปสร้างภพชาติต่อ ไม่ต้องไปหวังว่าจะได้อะไรต่อ จบ แต่คุณไม่จบ มันก็เป็นจริงมันก็จะเป็น
-
ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
-
มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
-
มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
-
ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ