640614_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 3 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Dfcz_UaE73fkjJUyYN4aQuOvhez9XvH4hcmZECQBP8M/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Rw_eGhgjWxysWW6I5POAZhMm3WuUpLAa/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/Ziy6DOqsWf4 พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก วันไหว้บ๊ะจ่าง หนังสือเล่มนี้โฆษณาอีก มี 605 หน้า อาตมาอ่านไป 538 หน้าแล้ว ดีอ่านแล้วก็อยากจะให้ได้อ่านกัน ยิ่งนักบริหารนักปกครอง หรือนักศาสนาโดยตรง โดยเฉพาะพุทธแม้ศาสนาอื่นก็น่าอ่าน เพราะมันขยายความไปให้ทราบกันทั้งหมดเลยทั้งศาสนาอื่น เทวนิยมอเทวนิยม ว่ามันคืออะไรกันแน่ ทำไมถึงไปยึดยืนอยู่ตรงนั้น ตรงเทวนิยมทำไมไม่ออกมาเป็นอเทวนิยม ขยายความคิดว่าชัดพอสมควร เพราะฉะนั้นเทวนิยมจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะปรินิพพานเป็นปริโยสาน หรือแม้แต่นิพพานเขาก็ไม่มี เขาก็ได้แต่จิตวิญญาณที่จะต้องคงอยู่นิรันดร ไปอ่านดูแล้วก็จะรู้ว่าเพราะเหตุอะไร อาตมาเปิดเผยในใจก็ได้ ลึกๆยังนึก แต่ไม่ได้มุ่งหมายผลักดันอะไร ว่าน่าจะมีคนที่ภาษาอังกฤษดีๆไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีนก็ได้ ภาษาจีนก็ไปไกลแล้ว จีนก็ได้อังกฤษก็ได้ แปลออกไป เกาหลีก็ได้ แปลออกไปดีๆ เกาหลีนี้เขาเข้าใจเราดี เขาให้รางวัลเรามาแล้ว เกาหลีก็น่าจะเอาไปอ่านไปแปลกันออกมาก่อนใครเลยก็จะดีนะ ก็แล้วแต่ เราบอกแล้วว่าเราไม่ได้มีการผลักกันทางจิตอะไร ไม่ได้มีอยาก เป็นแต่เพียงว่ามีแนวโน้มของเจตนา เท่านั้นไม่มีอยาก ก็แล้วแต่มันจะเป็น อาตมาไม่มีปัญหาอะไรหรอก มีหน้าที่ที่อาตมาจะทำงาน สาธยายสิ่งที่ควรจะสาธยายออกไป เท่านั้นเอง สาธยายออกไปแล้วก็แล้วไป ส่วนใครจะรับซับซาบ ใครจะยินดีถึงขั้นเอาไปปฏิบัติตามอะไรพวกนี้ก็อยู่ที่แต่ละบุคคล สิริมหามายาของอาสวะแและอนุสัยในความเป็น static กับ dynamic คนนี้ก็เขียนมาว่าเข้าใจ _ดิฉันรู้จัก “บุญ” แล้ว ทั้งๆที่ “บุญ” ไม่มีตัวตน แต่ก่อนเคยมีอารมณ์โกรธแรง เวลาผ่านไป เหตุการณ์ซ้ำที่น่าจะโกรธเหมือนเดิมเกิดอีก แต่อารมณ์โกรธหายไปเฉยๆ กระทบเราก็รับรู้ แต่อาการโกรธหายไปเฉยๆ ตัวเองก็งงมันหายไปไหน ตอนไหน ทำไมเราไม่รู้ตัว จับจิตตัวเองไม่ทัน ก็คิดว่าจิตเราไม่แยบคาย ต้องศึกษาปฏิบัติเพิ่มอีก ผลการอ่าน เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ทำให้เข้าใจ “บุญ” ว่า อารมณ์โกรธนั้นหายไป เพราะเกิด “บุญ” แล้ว บุญไม่มีตัวตน ในหน้า 286 จะพบว่า “บุญนั้นต้องไม่วนไปมาหรือต้องไม่มี 2” ชัดเลยว่าบุญไม่ใช่เทวะ พ่อครูว่า…แต่เทวนิยมเอาชื่อบุญไปใช้เรียกนักบุญ ขี้ตู่ เขาไปเรียกหน้าตาเฉยว่านักบุญ เห็นไหมเป็นความเข้าใจไม่ได้ของเขา ด้วยความเข้าใจของคนทั่วไปก็เข้าใจแบบเขาเยอะ เข้าใจบุญว่าเป็นกุศล นักบุญคือผู้รู้ นักผู้เสียสละ สภาพ “วน” คือ เมื่อเราจับอารมณ์(นาม)ได้ และสามารถตามหารูปที่เกิดจากนามตัวนี้ได้ เรียกว่าแยกรูปแยกนามได้ ตัวที่ถูกรู้คือรูป ตัวที่รู้เองคือนาม เมื่อตามรู้ลึกเข้าไปอีกก็ทำให้นามก็แปรสภาพเป็นรูป และหานามที่ลึกซ้อนได้อีก นี่คือสภาพ “วน” ใช่ไหมคะ พ่อครูว่า…นามเป็นผู้รู้ ตกลงรูปมันไม่รู้เรื่องหรอกแต่นามต่างหากรู้ รูปมันอยู่กับนาม นี่คือสิริมหามายา ที่อาตมาตั้งแต่อาตมาแยกรูปแยกนามไว้ในหนังสือคนคืออะไรทำไมสำคัญ นักหนังสือเล่มแรกที่อาตมาเขียน จนทุกวันนี้ก็ยังเขียนเรื่องรูปนามอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เรื่องอาหาร 4 วิญญาณคือนามรูป ถ้ารู้จักนามรูปคือรู้จักวิญญาณได้บริบูรณ์ถ้วนรอบหมด หมดวนสลับซับซ้อนหมด หมดสงสัยหมดลังเลรู้ชัด จับได้ จะเร็วอย่างไรยิ่งกว่านักมายากลขนาดใดก็สามารถที่จะรู้เท่าทันได้ ก็จะจบเลย ถ้าตามต่อไปจนถึงที่สุดจบ คือหาไม่เจออะไรเลยทั้งรูปและนาม นั่นแหละ “บุญ” เกิดแล้วสิ้นสุดการ “วน” พ่อครูว่า…ใช้ภาษาสื่อสภาวะที่ชาวอโศกเรียนรู้ที่จบแห่งความจบ อย่างจบสิ้นสนิทเลย ก็ใช้ได้ถูก แต่ต้องรู้สำคัญที่สุดว่า ที่เราศึกษานี้ ที่ว่าวนนี้มันไม่มีแล้วคืออะไร คือกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด หมด มันไม่มีแล้วก็ไปจบที่ความไม่มีกับความมี วนกับไม่วน วนกับไม่วนเป็น dynamic ส่วนมีกับไม่มีเป็น static Static จะสั้นกว่า Dynamic คุยกับเทวดาเมื่อคืนนี้ static กับ dynamic สุดจบก็มีอยู่เท่านี้ ไอน์สไตน์เขาอยู่ที่จินตนาการ อยู่ใต้หมวก แต่ที่จริงเป็นสัญญาเดิมของเขา แต่ไอสไตน์เขาไม่รู้ โพธิสัตว์ไอสไตน์มีสภาพมีความรู้ แต่ไม่รู้รายละเอียดในความมีที่เป็นนามธรรม ที่เป็นวัฏจักร ที่เป็นกรรมวิบาก ไอสไตน์ยังไม่แจ้งยังไม่ทะลุตรงนี้ เพราะฉะนั้นความมี ความไม่มีนี้ ที่ใช้พยัญชนะแทนสภาวะมีหรือไม่มีกัน เริ่มต้นพยัญชนะ รากเหง้าของภาษาบาลี วรรคที่ 1 ก ข ค ฆ ง วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ วรรคที่ 3 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ เขาก็ใช้ตัว ส เป็นพลังงาน ตัวที่ 5 เป็นพลังงานกึ่งหนึ่งของ 10 เป็นตัวครึ่งของ 10 หรือเป็นตัวกึ่งหนึ่งของ 9 ถ้าแบ่งเป็น 4 ในความมี มี 4 กับ 4 ตัว 5 ก็คือตัวกลาง ถ้าตัดไปเป็น10 เลย 5 ก็คือตัวครึ่งหนึ่งของ 10 ถ้า 9 วนมาอีก ก็วนที่ 9 นี่คือความมี ถ้าเลยไป 10 แล้วไม่ต่ออีกเลยไม่วนอีกแล้ว วนคือ 0 ก็ไม่วนอีกแล้วคือจบ เพราะฉะนั้นในโลกนี้มี 1 กับ 0 ในโลกนี้มี 0 กับอินฟินิตี้ เมื่อเช้าท่านหนักแน่นก็เอา โพธิรักษ์เพ้อ ที่เขียนว่า 0 คือ ล้าน เอามาแหย่ใส่มืออาตมา ตั้งแต่ออกหนังสือตอนนั้น จะทำนิตยสาร ก็ขอแบ่งหัวมาจาก หนังสือพิมพ์ดาราภาพเขา เอามาทำเป็นหัวอโศก ทำเป็นนิตยสารออกไปได้ 3 เล่มก็เมื่อย ไม่ไหว ยังไม่มีใครมาช่วยกันเขียน ไม่ต้องใช้นามปากกา แต่ใช้นามปากกาว่า ชาวอโศก หมด ในหนังสือเล่มนั้นมีนามปากกาเดียวคือชาวอโศก ทุกคนเป็นชาวอโศกหมด ใครจะเขียนก็ช่าง โดยอโศกทั้งนั้น ที่แท้อาตมาเขียนเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีคนช่วยเขียน พยายามจะให้มีคน แต่คนไม่กล้าเขียน อาตมาก็เลยเหมาเขียนอยู่คนเดียวทุกคอลัมน์ ทั้งออกแบบตัวหนังสือ อาตมาเป็นคนดีไซน์ทั้งนั้น Font แต่ไม่ได้ออกแบบ ก-ฮ หรอก จะใช้หัวเรื่องอะไร ก็ใช้อักษรเฉพาะนั้น อยู่ในหนังสือสัจจะชีวิตเล่ม 4 มีหมด หน้าที่ 17 เอาไปอ่านดู มีคุณเบญจวรรณ เป็นคนรวบรวม หนังสือสัจจะชีวิต 5 เล่ม เขาเก็บมารวมไว้หมด ยอดเยี่ยมเลยทำได้ ที่อาตมาจะพูดคือ มีตัว ส.เสือ ตัว ก ตัว ย จึงเกิด สก สว สย ก เป็นตัวต้นรากของหนังสือเลย ก ข ค ฆ ง ส่วน ว กับ ย เป็นตัวเศษวรรค ว คือตัวที่ 4 ย คือตัวที่ 1 ของเศษวรรค เพราะฉะนั้นมันจะต้องวิ่งเร็วกว่า สั้นกว่า น้อยกว่า สย จะเป็นตัวน้อยที่สุดและเร็วที่สุดสั้นที่สุด ลัดคัดสั้นที่สุด สุดลัดสุดสั้นตัดออกมา สว เป็นตัวกลาง เพราะฉะนั้น อาสวะ ซึ่งเป็นตัวกลางของสิ่งที่จะสูงสุด ถ้า สย สุดกว่า สว ยิ่งเป็น อาสวะ ก็ยิ่งยาวกว่าแน่ ยิ่งมาเป็น อาสวะ กับ อนุสยะ ตัว อนุสยะ สั้นกว่า แต่อนุสยะ มี 4 พยัญชนะ แต่ นุ เป็น อุ ไม่ใช่ นะ อะ อิ อุ ถ้ายืดเป็น อะ อา อิ อี อุ ก็จะยาว ในตัวของอนุสยะ หรือตัวอนุสัย คือ ยังมีตัวที่มีทั้งรูปและนาม รวมแล้วนับเต็มๆก็มีตั้ง 4-5 ตัว ยืดหยุ่น อนุสยะ ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในลักษณะรูป 4 ตัวสุดท้ายเป็นอนิจจตา เป็นลักษณะปลายเปิด นี่เป็นลักษณะอิสระเสรีภาพของพระพุทธเจ้าไม่ไปบังคับใครคนจะต่อหรือคนจะตัด จะตัดหรือจะต่อก็อยู่ที่คุณ ไม่ไปบังคับอะไรใครเลย คุณตัดคุณก็ตัดสันติ ไม่ต่อก็จบ ชรตา ถ้าคุณไม่มีโมเมนตัมอะไรเลย คุณเด็ดขาดตัดคุณก็ไม่มีอะไรต่อ ชรตา แต่ถ้าคุณตัดยังไม่ขาดมันก็มีโมเมนตัม แต่มันก็ต้องสูญได้ แต่ถ้าคุณไปพลิกอนิจจตาอีกมันก็กลับขึ้นมาใหม่ได้ สุดท้ายจบที่ความไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นอยู่ที่ตัวเอง ถ้าตัวเองจบจริงๆ ตัวเองเด็ดขาดมันก็อยู่ที่เรา เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงอยู่ที่เรา อัตตา ไม่มีใครมามีอำนาจเท่าเรา สุด สกะ ใหญ่สุด สวะ รอง สยะ สุดท้าย พอมาถึง อาสวะกับอนุสยะ อาสวะ ยืดยาดกว่า อนุสยะ อนุสยะ จบ แล้วจบอย่างปลายเปิด นี่คือ เรื่องของพยัญชนะต่างๆ ยังมีอะไรค่อยๆแถมไปอีกทีละเล็กละน้อย อาสวะต้องจบด้วยตัวเองเป็นปลายปิด ส่วน อนุสยะ เป็นพระโพธิสัตว์ จะปิดหรือเปิดก็เป็นอมตะบุคคล แต่อาสวะคุณต้องตัดจบเองนะ ถ้ามันเหลือเศษก็เป็นโมเมนตัมอย่างที่อธิบายไปแล้ว มีแรงเฉื่อยที่กว่าจะสูญเอง เป็นเหมือนอนาคามี ถ้าใครไปอยู่ที่ภพอนาคามีภูมิ คุณไม่เกิดอีกก็ได้ แต่มันยังไม่หมดทีเดียวนะ อีกตั้ง 5 อย่างในอนาคต อยู่ที่บารมีของแต่ละคน คนเร็วที่สุดก็เป็น อกนิษฐา ไม่เร็วสุดก็ไล่เป็น สุทธัสสา สุทธัสสี หรือไล่เป็น อันตราปรินิพพายี สภาวะเหล่านี้หรือผู้ที่มีสภาวะใกล้เคียงกันหรือเริ่มมีบ้างแล้วจะพูดกันค่อยๆเข้าใจ แต่ถ้าคนใดไม่มีสภาวะเลยนะ ไม่รู้เรื่องหรอกเวิ้งว้าง พูดไปแล้วอาตมาอธิบายแล้วไม่เดียงสา innosent ยังไม่เสร็จยังอินโนอยู่ที่จริงเขาไม่ได้สะกดเช่นนั้นแหละเขายังไม่มีสภาพที่จะดึงเส้นก็เวิ้งว้าง มันไม่ค่อยรู้เรื่อง มันไม่รู้อะไรเป็นอะไร ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของความจริง เมื่อคุณยังไม่รู้มันก็ไม่รู้ ต้องพยายามรู้ ผู้ที่รู้แล้วก็จะรู้ เพราะฉะนั้นเทวนิยมกับอเทวนิยม อเทวนิยมสามารถรู้ทั้ง 2 อย่าง แต่เทวนิยมนั้นไปบังคับไปปิดตัวเอง ก็เลยกลายเป็นรู้อันเดียว ไม่รู้ 2 อย่าง ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของผู้ที่ยังไม่สามารถที่จะเปิดจิตหรือว่าให้จิตยังรับไม่ได้ คือมันยังไม่เดียงสา ยังมีความ innocent เขายังไม่มีสภาพที่จะมีเซ้นส์ ที่จริง sense กับ innocent เขียนไม่เหมือนกัน คือ พยัญชนะ 2 อันแต่เอาคำพ้องเสียง sense ลงท้ายด้วย e หรือ t ก็สามารถแปลตามลักษณะของคำไวยากรณ์เขา สรุปแล้วภาษาไม่ว่าจะเป็นภาษาอะไร ภาษาอังกฤษก็ตาม ภาษาบาลีก็ตาม ภาษาไทยก็ตาม ภาษาไทยจะไปผัน เหมือนกับบาลีแจกวิภัติ เหมือนกับอังกฤษเขา อังกฤษยังคล้ายกับบาลีมาก แต่ไทยเอามาใช้ดื้อๆ ดึงภาษาบาลีดิบๆมาใช้ หนักเข้าก็เอาบาลีมาเป็นไทย ระบอบแบบประธานาธิบดีเป็นเผด็จการยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์ สู่แดนธรรม…พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญความตั้งอยู่ ในคุหัฏฐกสูตรก็บอกว่า นรชนเป็นผู้ตั้งอยู่มันจะจมในที่หลง ที่นี้เราจะมาศึกษาการตั้งอยู่และออกจากการตั้งอยู่นี้อย่างไร จึงจะเรียกว่า การภาวนาการเจริญ พ่อครูว่า…ในคุหัฏฐกสูตร บอกไว้ว่า ๑. นรชนเมื่อตั้งอยู่ (ติฏฐัง)ได้แก่ นรชนเป็นผู้กำหนัด (รัตโต) ย่อมตั้งอยู่ด้วยพลังอำนาจความกำหนัด (ราควเสนะ ติฏฺฐติ) คุณมีอาการนี้อันนี้ คือมีอาการจริงคุณต้องอ่านอาการของคุณว่ามี มันมีอาการนั้นแต่คุณปฏิเสธ คุณก็ไม่รับหรือคุณไม่รู้ จับไม่ออก จับไม่ติดอ่านไม่ออก ทั้งๆที่มันมีก็อ่านไม่ออกก็แล้วไป คนนี้ก็ต้องปล่อยให้เขาโง่ต่อไปก่อน เพราะว่าเขามีเขาก็ยังอ่านของเขาไม่ออก บังคับไม่ได้ ช่วยกันก็ไม่ได้ด้วย ใครจะช่วยใครให้ไปรู้ของคนนั้นคนนี้อาการพวกนี้ มันไม่ได้ มันต้องรู้ของตัวเองให้ได้ เกิดอาการแล้ว คำว่า อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 60 จึงเป็นตัวไขให้รู้จักอาการจิตเจตสิกทั้งหมด อุเทส เป็นคำอธิบาย อาตมาพูดอธิบายอยู่นี้เป็นคำ อุเทส ทั้งนั้น ยาว อธิบายไปเรื่อยๆ ส่วนนิเทศนั้น ตัดหมวดหมู่มาอธิบายเป็นเรื่อง เป็นสั้นเป็นยาว เป็นขนาดนั้นขนาดนี้ ส่วนอุเทศนั้น พูดต่อไปเรื่อยๆ อาตมาก็อธิบายให้ฟัง เสมอต่ออยู่เป็นอุเทส ที่อธิบายนั่นอธิบาย อาการ ลิงค นิมิต 3 อาการ ซึ่งมีความแตกต่างกัน ถ้ามันมีแต่อาการ 1 ก็ไม่มีอะไรเปรียบเทียบรู้ว่าอะไรต่างกันอย่างไร นัตถิอุปมา มันก็นึกว่ามีหนึ่งอยู่เท่านี้ แต่ถ้ามี 2 คนเรานี้เกิดมาคุณต้องมี 2 อันนี้ก็ขอยาวยืดยาดไปหน่อย ตีหัวพวกนักการเมือง พวกคนทั้งหลาย นักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งหลาย เกิดเป็นคนแล้วเป็นจิตนิยามมีธาตุรู้แล้ว คุณจะรู้ต้องรู้ 2 คุณจะมี 1 แล้วเอา 1 เป็นสัจจะไม่ได้ เพราะในธาตุรู้ของโลกก็ต้องมี 2 ถ้ามันมีแต่ 1 มันรู้ตัวเดียวก็ไม่มีอื่นเลย คุณไม่รู้อะไรเลย คุณรู้แต่ตัวคุณคนเดียวมันก็มีแต่ 1 อยู่แต่ตัวเอง ใครก็ไม่มีใครรู้ด้วย ตัวก็ไม่รู้กับใครไม่สัมพันธ์กับใครไม่มี 2 เลย มันก็ผิดแล้ว ธาตุรู้มันต้องมี 2 ธาตุรู้มี 1 ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของมนุษยชาติ ธรรมชาติของสังคม ธรรมชาติของมวลประเทศ ธรรมชาติของทั้งโลกเป็นมนุษย์ มวลมนุษย์คือมนุษย์ ต้องมี 2 มี 1 ไม่ได้ เพราะฉะนั้นการเมืองประชาธิปไตยขาเดียวมี 1 นั้น เป็นประชาธิปไตยพิการ ไม่ใช่ประชาธิปไตยของคน เป็นประชาธิปไตยของคนหลงอำนาจ ประชาธิปไตยขาเดียวมีประธานาธิบดีคือประชาธิปไตยที่เผด็จการสูงสุดกว่าคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์เขาเผด็จการหมู่ ต้องมี 2 ขึ้นไปเป็น 3 4 5 6 7 เป็นหมู่คณะ แต่เป็นประชาธิปไตยขาเดียวนี้เอ็งคนเดียว ประชาธิปไตยเผด็จการสูงสุดเด็ดขาด ประชาธิปไตยต้องมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงจะเป็นประชาธิปไตยในโลก ให้มีใหญ่คนเดียว ยิ่งใหญ่คนเดียว ไม่มี 2 ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจะมีประชาชนด้วย พระเจ้าแผ่นดินไม่มีประชาชนไม่มี แม้เขาจะพยายามขยายความว่าประธานาธิบดีก็มีประชาชน เขาจะว่าอย่างนั้นก็ตาม แต่จริงๆแล้ว ลักษณะประธานาธิบดีหรือประชาธิปไตยขาเดียว จริงๆที่สุดแล้ว ประธานาธิบดีคือเจ้าอำนาจจริงๆ อำนาจด้วยวัตถุอำนาจด้วยโครงสร้าง อำนาจด้วยวิธีการ อำนาจด้วยกฎระเบียบ กฎหมาย บังคับไปหมด แล้วคุณจะต้องอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าจะเป็นใหญ่แบบประธานาธิบดี จะต้องสร้างอำนาจบาตรใหญ่มากทางอำนาจวัตถุ ทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ ทั้งโครงสร้าง ทั้งกฎหมาย อะไรหมดเลย จึงจะอยู่รอด แต่ถ้าอำนาจที่ไม่ได้ยึดถืออำนาจแบบพระเจ้าแผ่นดิน สร้างแต่คุณงามความดีของตัวเอง ตัวเองมีคุณงามความดีด้วยพระองค์เอง พระเจ้าแผ่นดินมีคุณความดีของพระองค์เอง มนุษย์มีอิสรเสรีภาพ จะเห็นคนที่มีดวงตาดีมีความเจริญมีความเฉลียวฉลาด จะนับถือบูชาเชิดชูพระเจ้าแผ่นดินสุดยอดให้เองหมดเลย พระเจ้าแผ่นดินไม่ต้องการเรียกร้องเอาความยกย่องชมเชยบูชา ไม่ต้องเรียกร้อง ประชาชนจะให้เองเทิดทูนให้เองหมดเลย เพราะความจริง นี่คือสัจจะ เพราะฉะนั้นพระเจ้าแผ่นดินจะต้องเป็นผู้ที่รู้โครงสร้างของมนุษยชาติ แล้วจะต้องรู้การสร้างพฤติกรรมของตนเอง ของพระองค์เอง สร้างมา ทุกพระองค์จะต้องอยู่มีกฎมณเฑียรบาล ที่จะต้อง ทุกพระประยูรญาติทั้งหมด เกิดมาก็ต้องอยู่ในกฎมณเฑียรบาล ต้องฝึกพระองค์เอง ทุกพระองค์เตรียมเพื่อที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินของประชาชน เพราะฉะนั้น พระประยูรญาติของพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ สืบทอดกันมา ตั้งแต่ปู่ย่าหลานเหลนโหลนจึงต้องเตรียมตัวเป็นพระเจ้าแผ่นดินหมดทุกพระองค์ อย่าประมาท เพราะฉะนั้นความไม่ประมาทซึ่งเป็นทศพิธราชธรรม ทุกพระองค์ต้องฝึก เกิดมาเป็นลูกหลานเหฃนโหลนพระเจ้าแผ่นดินแล้ว กี่ทอดก็แล้วแต่เท่าที่มนุษยชาติจะมี Generation ที่จะยืนยาวไป อาจจะ 5 ช่วง ทวด ทวดของทวด 8 ,9 ยากมากตัดเขตที่ 7 นี่แหละ ท่านถึงจะตัดโคตรก็ตัดที่ 7 ชั่วโคตรจะประหารชีวิตก็ประหาร 7 ชั่วโคตรนี้สุดยอดแล้วไม่ให้เหลือโคตรเลย เขาว่าอย่างนั้นนะ เป็นความเข้าใจง่ายๆ แต่ที่จริง DNA ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ยิ่งนามธรรม 7 ชั่วโคตรก็พยาบาทกันเป็นหนังจีนเลย ต้องล้างแค้นแทนปู่แทนทวด จองเวรจองกรรมไม่มีที่สิ้นสุด ถ้ามันไม่จองเวรต่อหนังมันก็สร้างต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้นหนังจีนจึงต้องจองเวรกัน ไม่อย่างนั้นหากินไม่ได้มันก็จบสิหนัง จบเรื่องทุกคนไม่จองเวรมันจะไปสร้างหนังต่ออย่างไร รู้อย่างไรจึงเรียกว่ารู้โลกุตระ มาต่อเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 51 (๑๒) รู้แบบนี้คือโลกียะ นั่นคือ ยังเป็น“ความรู้่-ความฉลาด”ที่ไม่มี“นิพพาน” ไม่มี“สุญญตา” ไม่มี“อนัตตา” ไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“วิญญาณ” หรือความเป็น“เทฺว”อย่างบริบูรณ์สัมบูรณ์ยังเชื่อว่า“วิญญาณ”หรือ“อัตตา-อาตมัน”มีอยู่นิรันดร พ่อครูว่า…คำว่า บริบูรณ์กับสัมบูรณ์ คำว่าบริบูรณ์ยังไม่สิ้นสุดเท่ากับคำว่าสัมบูรณ์ บริบูรณ์ก็เป็นแต่เพียงความครบระดับ แต่ถ้าสัมบูรณ์ครบเป็น 0 เลย บริบูรณ์นี้ครบเป็น 9 คือ ปริ กับ ปูรณะ ส่วน สัมบูรณ์นั้น สัมม กับ ปูรณะ สมบูรณ์สุดจบ ไม่ใช่ปริรอบ แต่มีทั้งนอกทั้งในทั้งเนื้อทั้งเปลือกเลย สัมบูรณ์ (๑๓) แต่รู้แบบนี้คือโลกุตระ จึงไม่สามารถจัดการความเป็น“วิญญาณ”หรือ“เทฺว” จนกระทั่งรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“ความรู้สึก(เวทนา)”ของตนว่า“ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ในจิต” พิสูจน์ได้ว่า มันคือ“มายา”ที่เราหลงเป็นทาสมัน เราสามารถ หมดสิ้น“สุข-ทุกข์”ในความ“กิเลสกาม”ได้แท้ๆ นั่นคือ จิตเป็น“เนกขัมมสิตอุเบกขา”ได้จริง เป็นต้น และที่สำคัญที่สุดคือไม่สามารถ“สิ้นสุด“วิญญาณ”ของตนถึงขั้น“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ได้สำเร็จ ความรู้“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้าซึ่งชื่อว่า ศาสนาที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เทฺว” จนกระทั่งสามารถทำให้เป็น“อเทฺว”ได้สำเร็จ พ่อครูว่า…คุณต้องมีลิงคะเปรียบเทียบเพศว่า สุขมันเป็นอย่างนี้ ทุกข์มันเป็นอย่างนี้ คุณต้องรู้ความต่างด้วยตัวคุณเองว่าสุขมันเป็นยังไง ทุกข์มันเป็นยังไง หยาบ สุขมากทุกข์มากจนกระทั่งทุกข์น้อยลง กลางๆ จนกระทั่งละเอียดต่างกันนิดนึง จนกระทั่งแทบจะแยกไม่ออกเลยว่ามันสุขหรือมันทุกข์ พยัญชนะที่ว่า ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ จนมันแยกไม่ออกเลย เหมือนกับมันไม่มีสุขไม่มีทุกข์แล้ว คำพยัญชนะว่า ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ก็บอกอาการของมันว่าไม่มีสุขไม่มีทุกข์ มันก็เป็นไวพจน์กับคำว่าอุเบกขา อุเบกขา พยัญชนะคำนึงเลย อาตมาเคยแยกให้ฟัง คือคำว่า อุปะ + เอก+ ข ข แปลว่าว่าง เอกแปลว่า 1 อุปะแปลว่าใกล้ คือ เข้าใกล้ความเป็น 1 มันว่างแล้วนะ ถ้ามีตัวนึงก็มีความใกล้ความว่างมากแล้ว ถ้ายิงว่างเป็น 0 เลย เลย 1 ไปเป็น 0 เลย คือ ข ว่าง ที่ใช้คำว่า ข คำว่า ว่าง เพราะว่าคุณยัง เป็นคนมีจิตนิยาม คุณต้องรู้ความไม่มีสิ ไม่มีคือว่างไม่มีคือ 0 คุณต้องมีความรู้อยู่ เพราะคุณยังไม่ตายคุณยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณยังไม่ใช่ดินน้ำไฟลม ดินน้ำไฟลมมันไม่รู้เรื่องหรอก แม้พีชะ มันก็แยกไม่ออก แม้แต่พืชก็ไม่สามารถมีความรู้อย่างที่จิตนิยามของเวไนยสัตว์ จิตนิยามของอาริยะของผู้รู้นี้ยิ่งยอดเยี่ยม อย่างอาตมานี่คือผู้รู้ อย่าหมั่นไส้นะ และรู้อย่างที่อธิบายมานี้ยังไม่มีใครมาอธิบาย โดยเฉพาะในยุคนี้ เพราะว่าในยุคมีพระโพธิสัตว์มีพระพุทธเจ้าใหญ่กว่าธรรมะ แต่ในยุคนี้อาตมาเป็นไก่ตัวพี่ เป็นผู้เจาะกระเปาะออกมาได้ก่อน ก็ถามหาใครเป็นพี่มาแสดงตัวหน่อย ถ้ารู้เหมือนกันแล้วจะไม่แย่งกันหรอกมันจะไปด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว สัจจะเป็นหนึ่งเดียวทั้งนั้นมันไม่มี 2 หรอก จะเป็นอริยสัจ จะเป็นนิพพานทั้งหมด ที่แยกกันอยู่มันยังไม่นิพพาน ยังไม่ใช่อริยสัจยังไม่จบ ถ้าจบแล้วไม่แย้งกันหรอกไปอ่านใน จูฬวิยูหสูตร มันต้องอ่านพลความในพระสูตรอีกมาก ไม่ใช่สั้นๆ ไปอ่านดูดีๆ ทำความเข้าใจให้แตกฉาน ซึ่งไม่มีสภาวะมันก็ยาก ต้องฟังโพธิสัตว์ ต้องฟังสัตบุรุษผู้ที่ท่านเข้าใจแล้ว อธิบายได้ดีๆ อย่าไปมีอัตตามากเลย ถ้าคุณเป็นโพธิสัตว์เป็นสัตบุรุษเอง จะเป็นผู้รู้ตัวโดยไม่มีความหลง ไม่มีความเลอะเทอะอะไรมีแต่ของจริง แต่ถ้าคุณไม่ใช่สัตบุรุษจริง คุณก็เลอะเทอะ คนอื่นเขาก็มาชี้มาบอกได้ว่าคุณยังไม่จริง คุณต้องฟัง โดยเฉพาะคุณต้องฟังฉัน อย่างที่อาตมาพูดนี้ อาตมานี่คือฉัน ฟังอาตมาเถอะ เพราะอาตมาเป็นไก่ตัวพี่ในยุคนี้ คนที่มีชีวิตอยู่นี่ฟังรู้เรื่อง คนที่ตายไปแล้วจะฟังรู้เรื่องอะไร อย่างมหาบัวก็น่าสงสาร แต่ยังสงสัยอยู่ตอนนี้ธัมมชโย เป็นสมีแน่นอน สมีธัมมชโย จะยังอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่รู้กลายเป็นเรื่องลึกลับ เป็นคนที่ไม่มีความกล้าหาญ ไม่กล้าเปิดเผยตัว เหมือนพระเจ้าไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้า ไม่อาสโภ ในหนังสือเล่มนี้อาตมาก็อธิบายไว้ว่า พระเจ้าไม่กล้าเปิดเผยตัว เป็นสิ่งลึกลับ เป็นสิ่งไม่รู้ พระเจ้าไม่รู้ตัวเองไม่เคยศึกษาตัวเองก็ไม่รู้ แม้ที่สุดพระบุตรของพระเจ้าก็ไม่รู้ตัวเอง ไม่ได้ศึกษาตัวเอง ก็เลยไม่รู้ว่าความรู้ที่ตัวเองมีคือของใคร ที่แท้เป็นของตัวเอง ตนเองสั่งสมมาชาติแล้วชาติเล่า แล้วก็ไม่รู้ตัวเองเพราะไม่รู้กรรมวิบาก การสั่งสม เพราะสอนไว้ว่าเกิดชาติเดียว ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด แม้จะเป็นเทวนิยมที่มีหลายชาติแต่ก็ไม่บริบูรณ์ไม่สมบูรณ์ อย่างเก่งก็มี ทิฏฐิที่แยกแตกต่างกันระหว่าง อาศัยขันธ์อดีตมาระลึกรู้ ก็ได้ 18 อาศัยขันธ์ที่บวกทั้งอดีตทั้งอนาคตรวมปัจจุบันด้วยก็ได้ 44 เป็นทิฏฐิ 62 ที่พระพุทธเจ้าประมวลไว้ อาตมาก็ยังไม่อยากจะเอามาอธิบาย มันจะยากมากเลย ละเอียดเข้าไปถึงอดีต อนาคต ปัจจุบัน สลับซับซ้อนกัน ก็เลยทิ้งไว้ก่อน แม้อาตมาถ้าจะอธิบายก็ต้องลำดับไม่สับสน ยาก ก็เอาไว้ก่อน เพราะฉะนั้นโลกุตระกับโลกียะ ตั้งแต่หยาบ จนกระทั่งแยกละเอียด ต้องจับให้ดี ต้องรู้ให้ดี ตามศึกษาโดยการฝึกฝนปฏิบัติให้ได้สภาวะ ถ้าไม่ได้สภาวะมันเป็น อจินไตย ไม่มีสิทธิ์ที่จะคิดเอา อจินไตยคือไม่มีสิทธิ์จะคิดออกด้วยการคาดคะเนเอา จะต้องมีความจริง มีสภาวธรรมในจิตสั่งสมกันเป็นอัญญธาตุ จึงเป็นกรอบของความรู้ความจริงที่สั่งสมไปทีละหน่วย พอถึงสมมติมาเต็ม 100 คุณก็ต้องสะสมไปถึง 50 หน่วยใน 100 หน่วย 51 หน่วยก็เริ่มมี อัญญธาตุตัวที่จะเริ่มเข้ากระแสจริงๆ ถ้าโลกียะก็คือฝั่งนี้ ฝั่งโลกุตระก็คือฝั่งนี้ ก็ต้องเลยขีด 50 เป็น 51 ถ้าไป 52 53 54 จะไปนับเป็นโลกุตระแท้ๆก็ยังไม่ได้ ต้องไปถึงอีก 25 รวมแล้วเป็น 75 ถึงค่อยเข้าท่าหน่อย เลย 75 ไปแล้ว มันถึงจะค่อยๆสู่ที่สุดที่สูง สัมโพธิปรายนะ ถ้าแบ่งเป็น 4 ส่วน 25 50 75 100 ใช้สังขยา พวกนี้มาอธิบายแยก แบ่งรายละเอียดเอาตัวเลขสังขยา ก็ทำให้อธิบายได้ดีเป็นคณิตศาสตร์บ้าง ก็ไม่ต้องละเอียดลอออะไร เมื่อรู้สภาวะแล้ว คณิตศาสตร์ก็จะใช้น้อย สภาวะมันเป็นตัวจริงกว่าตัวเลข ตัวเลขมันเป็นเครื่องหมายให้รู้ จนกระทั่งรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“ความรู้สึก(เวทนา)”ของตนว่า“ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ในจิต” พิสูจน์ได้ว่า มันคือ“มายา”ที่เราหลงเป็นทาสมัน เราสามารถ หมดสิ้น“สุข-ทุกข์”ในความ“กิเลสกาม”ได้แท้ๆ นั่นคือ จิตเป็น“เนกขัมมสิตอุเบกขา”ได้จริง เป็นต้น และที่สำคัญที่สุดคือไม่สามารถ“สิ้นสุด“วิญญาณ”ของตนถึงขั้น“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ได้สำเร็จ ความรู้“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้าซึ่งชื่อว่า ศาสนาที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เทฺว” จนกระทั่งสามารถทำให้เป็น“อเทฺว”ได้สำเร็จ พ่อครูว่า…ที่มี 1 เดียว เพราะคุณยังมีธาตุรู้ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สู่แดนธรรม…ได้เวลานิมนต์จิบน้ำ พ่อครูว่า…ถ้าสิ่งนี้มีค่าจริง คนที่รู้ว่าสิ่งที่มีค่าจะต้องพยายามเผยแพร่ เพราะว่าเป็นจิตเมตตา กรุณา มุทิตา เป็นจิตพระพรหม เป็นจิตเผื่อแผ่ผู้อื่นเห็นแก่ผู้อื่น ของดีควรแจกกันไม่ใช่ว่ามุบมิบไว้แต่ตัวเอง ปิดบังไว้แต่ในพวกในพรรค อันนั้นเป็นคนใจแคบ แต่คนใจกว้างจะเปิดไปให้หมด เผื่อแผ่ไปให้ทั่วถึงถ้าทำได้ สู่แดนธรรม…ตอนนี้พวกเราเห็นดีว่า ในยุคแรกพ่อครูเขียนออกมาจากหัวสมองทองคำ มีเล่มหนึ่งถือว่าเป็นคัมภีร์ในตำนาน ยังไม่มีใครหาเจอเลย ขอส่งข่าวว่าถ้าญาติธรรมเจอหนังสือ โพธิรักษ์เพ้อ ส่งไปที่คุณขวัญผ่อง พ่อครูว่า…มีในหนังสือสัจจะชีวิต เอามารวมกันแล้ว มีอยู่นิดเดียว 0 เท่ากับล้าน infinity เป็นต้น ก็ค่อยว่ากันอีกทีนึง แยกแยะความรู้กับความไม่รู้ให้ถึงอุเบกขา ก็ขอแวะนิดนึงว่า…ความรู้กับความไม่รู้ ภาษา 2 คำนี้ มันแยกคนละขั้ว ทีนี้มันมีรายละเอียดระหว่างความรู้ ไม่รู้ แต่พยายามรู้ก็ได้รู้เพิ่มขึ้นๆ ก็เลยกลายเป็นความไม่รู้ค่อยๆหายไป กลายเป็นความรู้ที่เพิ่มขึ้นๆ รู้มากขึ้นเรื่อยๆ ใกล้ความรู้สูงสุด ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เหมือนอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 พยายามเป็นระดับ 8 จนกระทั่งที่สุดระดับ 9 มันก็เป็นสัจจะความจริงของความจริงของผู้ที่มีจริงนั้นจะเป็นจริง เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความจริงแล้ว จะพูดความไม่จริงออกมายากด้วย เพราะมันจะไม่เหลือความไม่จริงอยู่ในตัวเอง จะพูดออกมาเมื่อไหร่มันก็มีแต่ความจริง มันเป็นสัจจะอย่างนั้น ความไม่จริงมันเลือน มันหาย มันไม่มี แล้วมันเป็นอย่างไร มันไม่มีด้วยเหรอความไม่จริง มันมีความไม่จริงด้วยหรือ เห็นไหม มันจะเป็นอย่างนี้เลย แต่จริงๆแล้วมันก็ต้องรู้ว่า ความไม่จริงมันคือความต่างจากความจริง มีความต่างอย่างมากหรือต่างอย่างน้อย จนกระทั่งสุดท้ายเกือบเหมือนกันเลย ก็ต้องรู้รายละเอียดว่า ไอ้เกือบเหมือนกันเลยนี่แหละ เป็นคนที่แยกได้ เมื่อมาถึงเกือบจะสุดท้ายมันไม่เกือบแล้วเหมือนกันเลย เหมือนกันเลยก็เป็น 1 เท่านั้นหรือเป็น 0 ด้วยกัน ภาษาพยัญชนะพูดได้แค่นี้ ความจริงก็ต้องของแต่ละคน เมื่อเป็นความจริงของแต่ละคน แต่ละคนก็แต่ละชิ้นแล้ว มันก็เลยเอา 0 ของคนนั้นมา 0 ของคนนี้ เอามาอย่างไร มันก็ยากอีก นี่แหละคือที่สุดแห่งที่สุด มันจึงเป็นสิริมหามายา สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น อะไรที่มันแย้งกันโดยที่ไม่รู้ตัวมันก็แย้ง ถ้ามันรู้ตัวแล้วว่าเราแย้ง เราก็จะจบ อันนั้นมันแย้งกันก็ไม่จบ รู้แล้วคนนี้ก็จะจบ คนที่รู้จักจบนี่แหละคือคนที่รู้จริงว่ามีความเหมือนกับความไม่เหมือน หรือมีความมีกับความไม่มี หรือ มีความเป็น 2 คนนี้แหละ ที่รู้ว่ามีความเป็น 2 มีความเหมือนกับความไม่เหมือน หรือมีความ มีกับความไม่มี คนนี้แหละคือคนที่รู้แล้วว่ามันมี 2 แต่คนที่ไปยึด 2 นี้เป็นหนึ่งโดยไม่รู้ตัวเองว่าเป็น 2 ตัวเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็น 2 นะ แล้วหลงว่าตัวเองเป็น 1 สรุปจบอีกที ชีวะมันต้องมีรูปกับนาม ชีวะมันต้องเป็น 2 คุณแตกสลายแล้วไม่มีชีวะ ไม่มีธาตุรู้เลย เป็นอุตุเป็นดินน้ำไฟลม คุณก็ไม่มี 2 เลยไม่มีธาตุรู้ เริ่มธาตุรู้เป็นพีชะ ก็มีความรู้ในกรอบของพีชะ ไม่บังอาจไปรู้อันที่ 3 หรอก พีชะอยู่ในกรอบแค่ 3 เท่านั้นจะขยายเป็น 4 5 6 ไม่ได้ พีชะมันต้องรู้ในกรอบของมัน แล้วมันจะมีธาตุอะไรผสมส่วนมัน มันก็รู้แค่นั้น จบอยู่แค่ของมัน มันทำตัวเองออกไปจากตัวเองไม่ได้ พืชหรือพีชะ มีแต่ตัวเองจะเสื่อมลงไป ถ้าจะพัฒนาขึ้นมาต้องมีคนไปช่วย จึงเรียกว่าการปรุงแต่งใหม่ Breed ใหม่ เพิ่มขึ้น เขาเรียกว่า ดัดแปลงพันธุกรรม เขาก็ทำได้แค่พืช สัตว์เขาทำไม่ได้ สัตว์ เป็นธาตุอัตตาของจิตนิยาม ของใครของมันเลย ไม่มีใครไปบังอาจเปลี่ยนแปลง เจ้าตัวเป็นตัวควบคุมทุกกรรมกริยาเป็นของเจ้าตัว สำหรับสัตว์เป็นสัตว์เดรัจฉานแล้ว เป็นสัตว์แล้วต่างจากพืชขึ้นไป นี้เป็นนิยามสำคัญ ที่เขาพยายามจะทำหุ่นยนต์ ให้มันมีความรู้สึก ให้มีธาตุรู้เหมือนกับสัตว์ ที่มีเวทนา อาตมาก็จะดูเหมือนกันว่าเขาเก่งขนาดไหนที่จะไปทำได้ ให้มันมีความรู้สึก มีเวทนาเองเลย ซึ่งทุกวันนี้เขาก็ตั้งค่าให้มันมีน้ำตา มีอะไรเขาก็ทำได้ แต่จะให้มันมีเซ้นส์ ให้มันมีเวทนาเองเลย อาตมาก็ไม่มีเงินไปจ้างเขาหรอก เมื่อกี้จะพูดว่าจ้างก็ไม่ได้ แต่ก็ไม่มีเงินไปจ้าง คุณทำไปเถอะไม่มีทางได้ เวทนาจึงเป็นจุดกลางจุดเดียวเลยที่จะศึกษา เรียกว่ากรรมฐาน (๑๓) แต่รู้แบบนี้คือโลกุตระ จึงไม่สามารถจัดการความเป็น“วิญญาณ”หรือ“เทฺว” จนกระทั่งรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“ความรู้สึก(เวทนา)”ของตนว่า “ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ในจิต” พิสูจน์ได้ว่า มันคือ“มายา”ที่เราหลงเป็นทาสมัน เราสามารถ หมดสิ้น“สุข-ทุกข์”ในความ“กิเลสกาม”ได้แท้ๆ นั่นคือ จิตเป็น“เนกขัมมสิตอุเบกขา”ได้จริง เป็นต้น และที่สำคัญที่สุดคือไม่สามารถ“สิ้นสุด“วิญญาณ”ของตน ถึงขั้น“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ได้สำเร็จ ความรู้“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้าซึ่งชื่อว่า ศาสนาที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เทฺว” จนกระทั่งสามารถทำให้เป็น“อเทฺว”ได้สำเร็จ พ่อครูว่า…เริ่มออกจากกามได้เป็นตัวแรก พุทธปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณจะต้องมีจิตที่เป็น เนกขัมสิตะ อุเบกขาได้ก่อน จากกาม ไปเป็นรูป อรูป ต้องทบทวนว่า อรูปนี้สิ้นอาสวะแน่นอนแล้วนะ จิตต้องสิ้นอาสวะอย่างแน่ ใจมีวิมุตติญาณทัสสนะตรวจแล้วตรวจอีก เห็นในความเป็นวิมุตจริงนะ เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เด็ดขาดแล้วนะ ถูกกระทุ้งกระแทกกระเทือนอย่างไร พิสูจน์จนแน่ใจ ว่าคุณตายสนิทเด็ดขาด จิตไม่เกิดกิเลสอีกจริง ถึงจะเป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นองค์ 5 อุเบกขา ปริสุทธาคือบริสุทธิ์ ปฏิบัติแล้วปฏิบัติอีกอย่างไรก็บริสุทธิ์ ปริโยทาตา เพราะสภาวะ2 เทวะ 2 คือมุทุภูตธาตุ มันทั้งเร็ว ทั้งเก่ง ชัดเจนทุกอย่าง รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบ ทั้งไว ทั้งเร็ว ทั้งเป็นได้เอง ทั้งรู้ด้วยตัวเอง มีสภาวะ 2 ทั้งตัวรู้ทั้งตัวเป็นเป็นได้ แล้วก็รู้ของตัวเราเองทั้งธาตุเจโตและธาตุปัญญา หรือธาตุของศรัทธากับธาตุปัญญา ครบทั้งสองด้าน มีสภาวะ 2 บวกลบ หรือเทวะ หรือทุกอย่างที่มันจะต้องมีการสังขาร ต้องมี 2 มาปรุงแต่งกัน แล้วมีธาตุรู้มาเป็นประธาน มี S H แล้วมี I มาเป็นประธานตลอด โลกุตระเริ่มจากการรู้จากผู้อื่นก่อน ความรู้“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้าซึ่งชื่อว่า ศาสนาที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เทฺว” จนกระทั่งสามารถทำให้เป็น“อเทฺว”ได้สำเร็จ นี่คือของพุทธ โลกุตระจึงเริ่มจากการรู้จากผู้อื่นก่อน โลกุตตรจิตหรือโลกุตตระภูมิรู้เองไม่ได้ ต้องได้รับจากผู้ที่ศึกษาฝึกฝนมาแล้ว เอาง่ายๆเป็นพระพุทธเจ้า สูงสุด หรือไม่ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสัตบุรุษ เป็นผู้ที่สามารถเรารู้รองลงมาได้ ตั้งแต่มีความจริง สามารถรู้ 2 แล้วทำเป็น 1 เป็น 0 ได้ ผู้นั่นแหละ ผู้ที่สามารถรวมตัวเป็น 2 ให้เป็น 1 เป็น 0 ได้ (๑๔) โลกุตระเริ่มจากการรู้จากผู้อื่นก่อน คนผู้จะมี“โลกุตรธรรม”ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เทฺว”กันอย่างบริบูรณ์สัมบูรณ์ได้นั้น ต้องเริ่มจากได้รู้ ได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ได้สัมผัส“ความรู้โลกุตระ”นี้จาก“ผู้อื่น”ที่รู้“โลกุตรธรรม”มาแล้วก่อน จึงจะเป็นการ“ต่อเชื้อของความรู้โลกุตระ”กันได้ และ“ผู้อื่น”ที่รู้“โลกุตรธรรม”มาแล้วก่อนนั้น ก็คือ ผู้ได้รับรู้มาจาก“ผู้อื่น” ที่“รู้”จาก“ผู้อื่น”มาก่อนเราอีกหนะแหละ ดังนั้น “ผู้อื่น”ก็คือ ไม่ใช่“ตัวเอง” เพราะปุถุชนคนโลกีย์จะไม่สามารถรู้จัก“โลกุตรธรรม”ได้ด้วย“ตัวเอง”เป็นอันขาด พ่อครูว่า…จะได้ยินได้ฟังได้ข่าวว่าไม่มีสภาพนี้มีความจริงใจให้ต้องรู้ด้วยเหรอ มันมีอันนี้ มันเป็นอันอื่นอันใหม่ แต่ก่อนโลกียะมันมีอยู่แต่ในกรอบนี้ไม่มีอย่างอื่น สูงสุดก็มีสูงสุดเท่าพระเจ้า ยังไม่ได้เปิดจิต จิตยังไม่มีอะไรรู้ตอบไปเลย หรือมีแต่คุณไม่ยอมรับ หรือคุณรู้ไม่ได้ ไม่ยอมรับก็ตาม รู้แล้วนะว่าแตกต่างแต่คุณไม่ยอมรับ ก็เรื่องของคุณ คุณไม่เปิดจิต ไม่มี ปรโตโฆษะ แต่คุณจะได้ยินได้ฟังได้สัมผัสอย่างไร คุณก็รู้ไม่ได้ว่ามันต่าง มันต่างกันตรงไหน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นคนพูดนี้ จึงหมดสิทธิ์ที่จะรู้เอง ต้องผู้อื่นรู้แล้วมาบอก คุณต้องเปิดจิตรับ ถ้าคุณไม่เปิดสิทธิ์รับก็ไม่มี ปรโตโฆษะ มันก็ไม่ได้อย่างไรก็ไม่ได้ คุณต้องเปิดจิตแล้วรับ ใครเปิดให้คุณไม่ได้หรอก คุณต้องเปิดเอง คุณต้องยอมรับเอง อย่างน้อยก็บอกว่ามันน่าจะจริงนะคนนี้มันต่างจาก รู้แล้วนะว่ามันต่างจากที่เรามี เขาน่าจะจริงอยู่บ้าง เปิดจิตรับ เอาน่า ตั้งใจรับสักนิด คนนี้ยังมีโอกาสนะ ถ้าบอกว่า ลองรับดูบ้าง แต่จิตลึกๆจริงๆไม่เอา คนนี้ก็ไม่ได้อีก คนนี้ก็รู้แต่เล็กน้อย ก็มันละเอียดคุณจะไปรู้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างไร คุณต้องดูให้จบสิ รู้ให้ลึกให้มากพอเลยขีด 50 ขึ้นไป คุณถึงจะจำนน แต่นี่มันยังไม่เริ่มรู้เลย แค่ 25 ก็ยังไม่เข้า ยังไม่เข้ากระแสเลยหรือเข้ากระแสไปนิดเดียวก็พอแล้ว มันจะไปชัดเจนได้อย่างไร ก็ต้องมีพอสมควรสิ เพราะฉะนั้นคนนี้ต้องตั้งใจมีความยินดีมีความเต็มใจที่จะรับ พอยินดีได้ยินได้ฟังได้อ่านก็เอามาศึกษา ศึกษาจากผู้ที่รู้อื่น ที่เขารู้โลกุตระแล้วมาก่อน ถึงจะเป็นการต่อเชื้อ แล้วผู้อื่นที่รู้ ก็คือ พูดได้รับรู้มาจากผู้อื่น ที่รู้จากผู้อื่นมาก่อนอีก เป็นทอดๆ ดังนั้นผู้อื่นก็คือผู้ที่ไม่ใช่ตัวเอง สรุปลงมา ผู้อื่นก็ไม่ใช่ตัวเอง ตัวเองไม่มีสิทธิ์รู้หรอก ธาตุรู้ของมนุษย์ ธาตุรู้ยิ่งยอดของมนุษย์ มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้พิสูจน์สูงสุดแล้ว แม้จะเป็นผู้ที่ใกล้ก็ยังไม่ถึงสำหรับพุทธพิสัยแท้ อย่างอาตมาก็ยังไม่ถึง เป็นระดับ 7 ก็พยายามไประดับ 8 ถ้าไประดับ 8 ก็จะไม่ลงตัวแล้ว เหลือแต่ว่า เมื่อไหร่จะจบ ขั้น 8 ที่เลยขีดของ 8 สมมุติว่า 8 มีร้อยก็เลย 50 ของ 8 ไปแล้ว เข้าไปหา 75 แล้วก็ยิ่งไม่มีคำพูด คำพูดก็พูดเท่านั้นเอง ผู้ที่มีเองจะรู้เองเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ หรือเป็นปัจเจกจึงจะรู้เอง ดังนั้น “ผู้อื่น”ก็คือ ไม่ใช่“ตัวเอง” เพราะปุถุชนคนโลกีย์จะไม่สามารถรู้จัก“โลกุตรธรรม”ได้ด้วย“ตัวเอง”เป็นอันขาด ก็ตีหัวเข้าบ้านตรงนี้ (๑๕) รู้จากผู้อื่นหมายถึงรู้จากใครบ้าง? “โลกุตรธรรม”ต้องได้ยินจากพระพุทธเจ้าโดยตรง หรือจากสัตบุรุษ หรือจากผู้ที่อยู่ในฐานะครูที่“สัมมาทิฏฐิ”มาก่อน แล้วเท่านั้น “โลกุตรธรรม”นี้ ปุถุชนคนโลกีย์รู้เองไม่ได้ พ่อครูว่า…จนกว่าคุณจะอยู่ในระดับสยังอภิญญาขึ้นไปถือว่ารู้เอง ข้ามชาติได้ ยังไม่ถึงพระพุทธเจ้าแล้วผู้นั้นจะรู้ตัว ไม่บังอาจไปปฏิญาณตน แล้วไม่ไปพูดว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าหรอก คนนี้ไม่หลง เพราะหมดลงแล้ว ถ้ายังหลงอยู่อีก แล้วคุณจะวนไปอีกเมื่อไหร่คุณจะเสร็จสักที หมดหลงสักทีสิ แล้วมันก็ต้องหมดหลงจริง สติสัมปชัญญะมันจะแข็งแรง ไม่มีวอบแวบวอแว มันไม่มีโค้ง จะตรงอย่างแข็งแรง จะพูดอะไรก็ตรงไปหมด จนตรงแข็ง จนแรง เคยมีคนบอกว่ายังมีอารมณ์โกรธอยู่นะ ที่จริงไม่ใช่ ไม่ได้มีความโกรธอะไร แต่ต้องการให้แรง เรามันหนังเหนียว หอกร้อยเล่มแทงไม่เข้า ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้วก็ยังนิ่งอยู่อย่างนั้นนึกว่าตายแล้ว นิ่ง ไปดูอีกที อ้อ ยังไม่ตาย พระราชามาถามว่าตายหรือยังก็ยังไม่ตายก็เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มอีก ก็นึกว่าตายเพราะ แน่นิ่งจริงๆเลย สะกดจิตตัวเองเอาไว้หลอกเขานิ่ง เราก็นึกว่าตายแล้ว ไปดู ก็ยังไม่ตายอีก พระราชาก็บอกว่าเอาของอีก 100 เล่มไปแทง เป็น 300 เล่มแล้ว ไปแทงอีก ไปดู มันก็นิ่ง แต่พอผ่านไปแอบดูมันยังดุ๊กดิ๊กอยู่ เอากล้องไปส่องดู กล้องวงจรปิดจับดู เอ็งยังดิ้นได้อยู่ยังไม่ตาย พระราชามาถามอีก ก็ทูลพระราชาอีกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็เอาหอบไปอีก 100 เล่ม ขนไปอีกกี่ร้อยเล่มมันก็ไม่กระดิก เหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายแหล่ อาตมาหมดไปหลายพันหลายหมื่นเล่มแล้ว ไม่รู้จะไปหาหอกมาจากไหนอีก สุดท้ายจึงต้องจำนวนอยู่บขที่ว่าทำหาหอกอะไรวะ ภาษาไทย จะไปทำหาหอกอะไร หอกเท่าไหร่ก็เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้ ไอ้คนนั้นมันด้านกว่าหอก ใช้อีกกี่ล้านๆหอกก็ไม่กระเทือนหยุดซะเถอะ มันจะถึงขนาดนั้นไหมไม่น่าจะมีใครถึงขนาดนั้น เพราะ“โลกุตรธรรม”นี้เป็น“ธรรมะ” ที่ใครๆในโลกจะขบคิดค้นคิดเอาด้วยการผกผัน ด้วยเหตุผลหรือด้วยตรรกะไม่ได้เลย พ่อครูว่า…นอกจากคุณจะเป็นผู้ที่มีสัมมาทิฎฐิ คุณจำได้แม่นดีแต่คุณเองยังทำไม่ได้ คนคนนี้ซื่อสัตย์ก็จะไม่ปฏิเสธว่าทำไม่ได้ เพียงแต่รู้นะแต่บอกนะ แต่ถ้าตนเองหลงว่าตนเองรู้และตนเองได้ก็ผิดสิ ไปโกหกไปหลงว่าตัวเองได้ ทั้งๆที่ยังไม่ได้มันหลงมันผิด เพราะฉะนั้นคำภาษามันก็ยืนยันว่าหลง ตอนนี้ไม่หลงมันจริง คนจริงที่ไม่มีหลงแล้วก็จะบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ เป็นคนซื่อตรง เนื่องจาก“โลกุตรธรรม”นี้ คนผู้ใดจะเริ่มได้เริ่มมีขึ้นมา ตนก็ต้องเริ่มได้ยินได้ฟังมาจาก“ผู้อื่น”ทั้งนั้น จะ“คิดขึ้นมารู้เอง” หรือสร้าง“ความรู้โลกุตระ”นี้เองไม่ได้เลยเป็นอันขาด Category: ศาสนาBy Samanasandin14 มิถุนายน 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:640613_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ตอน 2 NextNext post:640616_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 4Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024