640616_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 4
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1vQELjUDJiLhkB9Cb3lwLSuCs1lIxbFfycVU6Py3YbqY/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Rw_eGhgjWxysWW6I5POAZhMm3WuUpLAa/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/TFc7zGafDMU
สาธารณโภคีที่สัมบูรณ์เป็นเช่นนี้
สมณะฟ้าไท…วันนี้วันพุธที่ 16 มิถุนายน 2564 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้สถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยยังไม่เกิด แต่ในประเทศลาวเกิด เราต้องเตรียมตัวไว้เสมอไม่ประมาท
ทุกวันนี้พ่อครูอายุมากขึ้น สิ่งที่เราจะทำได้คือการปฏิบัติบูชา ลดละกิเลสของเรา ถ้าทำได้เป็นกระบวนการกลุ่มก็ยิ่งมีน้ำหนักมีคุณค่า หรือทำได้เป็นชุมชน พ่อครู เคยบอกว่าอยากเห็นชุมชนที่สมบูรณ์ที่สุด คือคนมาทำงานฟรี เสียสละ ลดตัวตนได้เต็มที่ อยู่กันอย่างมีปัญหาน้อยที่สุด จะเป็นตัวอย่างให้แก่สังคมต่อไป
พ่อครูว่า…ก่อนจะพูดเรื่องธรรมะก็พูดถึงเรื่องแวดล้อมบนโต๊ะเรา สารพัดผลไม้มี หมากแงว หมากต้อง บักอึ บักโต้น บักแงว คนเขาบอกว่าเป็นลิ้นจี่อีสาน ที่จริงไม่เหมือนกันหรอกเนื้อใน เท่าที่อาตมาจำได้ ถ้าหากก้นมันแหลมมันจะหวาน มาจากสวน No Name
ที่ท่านฟ้าไทพูดค้างไว้สาธารณโภคีที่สมบูรณ์
สมบูรณ์ หรือสัมบูรณ์ เป็นความสุดแล้ว เต็ม Absolute คือสมบูรณ์ที่สุด แต่ถ้าสูงสุดอาตมาใช้คำว่า Ultimate
สาธารณโภคีที่สมบูรณ์ที่สุดจะมีองค์ประกอบ เรื่องของความเป็นอยู่ของมนุษย์ โดยเฉพาะจิตวิญญาณของมนุษย์ในกลุ่มนั้น จิตวิญญาณของมนุษย์ในสังคมสาธารณโภคีนั้น ต้องมีธรรมะโลกุตระ ต้องเลย Have to เลย ต้องมี ธรรมะที่เป็นโลกุตระ
ถ้ายังไม่มีธรรมะที่เป็นโลกุตระก็จะเป็นสาธารณโภคีไม่ได้ โลกุตระก็ต้องโลกุตระ มีคุณภาพถึงขั้นระดับอรหันต์รวมอยู่ในนั้น ถ้าไม่มีคนเป็นอรหันต์รวมอยู่ในนั้นจะไม่สมบูรณ์ ไม่มีอรหันต์พอสมควรด้วย มีอรหันต์คนเดียว ยาก เป็นไม่ได้ ต้องมีอรหันต์พอสมควรถึงจะเป็นไปได้
เพราะฉะนั้นในยุคนี้ก็ยังสามารถเป็นสังคมชุมชนสาธารณโภคีได้ ยังไม่ถึงขนาดว่ากอบกู้ขึ้นมาไม่ได้ ธรรมะพระพุทธเจ้ากอบกู้ขึ้นมาได้พอสมควร อาตมาทำงานนี้ถือว่าประสบผลสำเร็จ ได้ขนาดนี้อาตมาก็ชื่นใจแล้ว โอ้โห..มันยากจริงๆ ไม่ใช่หืดขึ้นคอ ไม่ใช่มะเร็งขึ้นคอ แต่ covid ขึ้นคอ ต้องทันสมัย แต่ละประเทศแข่งกันทำวัคซีนใหญ่เลย
สาธารณโภคีที่สมบูรณ์ แก่นแท้จริงจะต้องมีคุณสมบัติด้วยวรรณะ 9 เมื่อมีคนที่มีคุณสมบัติวรรณะ 9 ก็จะมารวมกันอยู่เป็นสาธาณียธรรม 6 จะมาอยู่ด้วยจิตที่มีเมตตากันจริง ไม่ใช่เมตตาที่ทำกันเป็นครั้งคราวซึ่งก็ดีก็ต้องฝึก ซึ่งไม่ใช่ของง่ายๆ ไม่ใช่ของธรรมดาในความเมตตา มันเป็นเนื้อเป็นแก่นแท้ของอนุสัยอาสวะของจิตคน เมตตา เป็นแก่นแท้เนื้อจิตที่แท้จริง ซึ่งเป็นทางดีทางประเสริฐ เป็นอาสวะหรือเป็นอนุสัยที่ประเสริฐ
แต่คนยังเข้าใจยากที่อาตมาจะบอกว่าเป็นอาสวะหรืออนุสัย ก็แค่อาสวะหรืออนุสัยที่เลวอย่างเรียนรู้ไม่ได้ปราบไปออกจากจิตเลย แล้วจะให้ไปรู้ว่าจิตวิญญาณที่เป็นลักษณะอาสวะหรือเป็นลักษณะอนุสัย ซึ่งใช้พยัญชนะ สว หรือ สย ยืนยันว่านี่เป็นตัวตน ก็ต้องอธิบายกันไป เรื่องนี้รายละเอียดลึกซึ้ง คิดว่าอาตมาต้องอธิบายรายละเอียดพวกนี้ให้พวกเราได้เข้าใจหรือเป็นหลักฐานบันทึกไว้ในหนังสือเขียนไว้ สก สว สย ต่างกันอย่างไร โดยใช้พยัญชนะที่อาตมาไล่ให้ฟัง พยายามอธิบาย เป็นพยัญชนะวรรค หรือลำดับของพยัญชนะ พยายามอธิบายเนื้อหาว่ามันมีนนสภาวธรรมของมันอย่างไร
พยัญชนะแต่ละตัวๆ ผู้ที่สร้างผู้ที่บัญญัติ ตั้งแต่บาลีเป็นต้นบัญญัตินั้นไม่รู้ว่าเป็นใครหรอก มันเป็นพยัญชนะที่ใช้แทนสภาวะ มีความเป็นจริงของแต่ละสภาวะ แล้วคนก็ไกลห่างมา หลักฐานที่เก็บไว้ก็ไม่มีก็ยาก ก็ได้แต่ผู้ที่มีวิญญาณธาตุรู้อย่างอาตมานี้ ได้ผ่านได้รู้แล้วเก็บรายละเอียดจำมา นี่ไม่ได้บันทึกไว้ในหลักฐานตัวหนังสือ ก็มีอรรถกถาจารย์บางคน อาตมายังไม่เก่งในการอ่านอรรถกถาจารย์ มีอรรถกถาจารย์บางท่านที่เขียนไว้อาจจะมีบันทึกไว้อาจจะมี แต่อาตมาไม่เป็นนักอ่านก็เลยไม่รู้ แต่ของคนไทยอรรถกถาจารย์ที่เรียนกันมากคือคัมภีร์วิสุทธิมรรค ของพระพุทธโฆษาจารย์ นอกนั้นก็มีบ้าง ก็ไม่ได้เอามาใช้กันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เป็นสำคัญเท่าของพุทธโฆษาจารย์
ซึ่งพุทธโฆษาจารย์ อาตมาก็บอกตามกลุ่มของอาตมาว่าท่านยังไม่ได้เป็นผู้ที่มีสัมมาทิฐิทีเดียว ยังเป็นเทวนิยมอยู่เยอะ แต่ก็เก็บอะไรเอามาไว้เป็นเครื่องใช้ได้ดี เช่น แม้แต่นิยาม 5 เขาเอามาจากวิสุทธิมรรค ในพระไตรปิฎก 45 เล่ม ไม่มี เพราะพระไตรปิฎกฉบับนี้เป็นของพระมหากัสสปะ ซึ่งยังไม่ได้กว้างในปฏิภาณปัญญ ยังแคบ เพราะไม่เห็นความสำคัญของธรรมนิยาม 5 แม้แต่พระอรหันต์รุ่นที่ทำการสังคายนา ก็ยังไม่เห็นความสำคัญเก็บความสำคัญอันนี้ไม่มี ไม่มีในฉบับสยามรัฐ สำหรับนิยาม 5 คำนี้ จึงตกหล่น
แต่อาตมาเป็นผู้มีความรู้อันนั้นจึงมารู้ได้ ทั้งๆที่ผู้ที่ยึดถือพยัญชนะ ยึดถือพระไตรปิฎกฉบับนี้ อย่างพวกคณะสำนักพระพุทธวจนะ อย่างนี้เป็นต้น เอาแต่สำคัญอันนี้ยึดอันนี้เลย แต่นิยาม 5 ไม่มี สำนักพุทธวจนไม่มีทางนิพพาน ไม่มีทางรู้ ถ้าไม่มีทางรู้ชัดเจนว่า ธรรมะนิยาม 5 นี้ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรรมนิยาม ธรรมนิยาม ไม่รู้ มีสภาวะอย่างไร
ไม่สามารถแยกกาย แยกจิตได้ ไม่มีธาตุรู้ที่เป็นเวทนาในพีชะ อุตุนิยาม จิต ต่างกันอย่างไร ไม่ได้เอาไปเรียน แล้วมันจะรู้ได้อย่างไร ก็ใช้เวลาเปล่าไปตลอดชีวิต ก็ศึกษาปรุงแต่งในพยัญชนะ ในความหมายอะไรไป ไม่เข้าหาสภาวะที่เป็นต้นตอนิยาม 5
เพราะฉะนั้นคำว่าธรรมนิยาม 5 หรือการแยกกายแยกจิต ผู้ที่มาบวชแล้วมีพระวินัยให้พระอุปัชฌาย์อธิบายเรื่องมูลกรรมฐาน 5 นี้ก่อนอื่นเลย อธิบายจากผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่เป็นอวัยวะส่วนนอกของร่างกาย แล้วเอามาเป็นตัวอย่าง เป็นตัวสำคัญ เอามาใช้เป็นเครื่องหมายที่จะอธิบายแยกแยะกายแยกจิต อย่างที่ลองอธิบายอีกทีนึง หลายคนอาจจะยังไม่คมไม่แม่นยังไม่ชัด ใครยังไม่ชัดในการแยกกายแยกจิตบ้างยกมือ ยังมีอีกหลายคน อย่างนั้นอธิบายอีกที
กายกับจิต สองตัวนี้ ถ้าแยกกายแยกจิต ไม่รู้จักสภาวะหรือความหมายของความรู้สึกเวทนา ความรู้สึกในความเป็นกาย ความรู้สึกในความเป็นจิต แยกกายกับจิต ความรู้สึกเวทนาในความเป็นกายเวทนาในความเป็นจริง ถ้ากายไม่มีเวทนา กายนั้นไม่เป็นกายแล้ว ฟังดีๆนะ กายนั้นไม่เป็นกายแล้ว
กายไม่เป็นกาย ไม่เป็นกายคือ กายต้องเป็นจิต ไอ้ตัวนี้แหละคำว่ากาย เป็น 2 สภาวะใน 1 ใน 1 นั้นเป็น 2 แยกออกเมื่อไหร่มันไม่เป็นกาย มันก็เป็นแต่จิต แต่จิตเรียกเป็นกาย
ถ้าไม่มีเวทนาแล้วมันไม่เป็นกาย เมื่อไม่เป็นกายก็ไม่เป็นจิต ไม่เป็นวิญญาณ มันจึงจะเป็นนิพพานหรือเป็นอุเบกขาเวทนา เวทนาเฉยๆกลางๆ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ อย่างเก่งก็มี 1 ไม่มี 2 หรืออย่างไม่เก่งก็เป็น 0 ได้เลย อย่างนี้เป็นต้น
เมื่อแยกไม่ได้ก็เลยดับมันทั้งคู่เลยทั้งสุขและทุกข์ เป็นธาตุที่ไม่เป็นชีวะ เริ่มตั้งแต่พืชก็ยังเป็นไม่ได้ที่ไม่มีเวทนา พืชมันไม่มีเวทนา เราจึงต้องอาศัยฐานพืชเป็นชีวะ แม้แต่จิตนิยามของเรา เราก็ทำให้จิตมันเป็นพืช อาศัย หรือ อาสยะ อาศัยฐานพืชนี้ยังอยู่ นี่มันไม่ง่ายอย่างนี้มันยาก อธิบายไว้แค่นี้พอสังเขปก่อน
ขอยืนยันเลยนะหากใครแยกแยะเช่นนี้ไม่ได้ไม่มีสิทธิ์เป็นอรหันต์ ขอยืนยันเลยนะพวกหลับตาไม่มีภายนอกเลยไม่มีกายเลยปิดประตูนิพพาน สายนั่งหลับตาประตูนิพพานทั้งหมด ใครไปเข้าใจว่าพวกหลับตาและบรรลุธรรมนิพพานได้ พวกนี้เป็นพวก เดียรถีย์ โมฆะ หลอกกันทั้งนั้น อาตมาได้แต่ปรามตำหนิ มาฟังอาตมาพูดเสียบ้าง ปรโตโฆษะ เสียเวลาไปเป็นชาติ มันยิ่งจะเสื่อมลงไปอีกนะแล้วศาสนาพุทธก็จะหมดไปนะ ถ้าเกิดในช่วงระยะ 2,000 ปีนี้ ถ้าไม่ฟังอาตมา อาตมาไม่มาเกิดอีกก็จะเบาบาง เนื้อหาก็จะน้อยกว่านี้ แล้วคุณจะได้อะไร ขนาดอาตมาจ้ำจี้จ้ำไชปากเปียกปากแฉะ ขนาดนี้ยังไม่เอา แล้วคนไม่จำจี้จ้ำไชไม่มาพยายามอุตสาหะยัดเยียดอยู่อย่างนี้ แล้วคุณจะเอาหรือ แล้วจะไปได้อะไร
มาพูดในบรรยากาศของพวกเรา ตอนนี้เอาบันทึกมาให้ดู
การกสิกรรมของพวกเราตอนนี้ดี ซึ่งยังไม่พอต้องเจริญกว่านี้อีก ทั้งปริมาณและคุณภาพเขารวบรวมสวนที่บ้านราชฯมามี 26 สวน คนบ้านราชฯรู้ไหม จะอ่านชื่อให้ฟังและจะบอกสถานที่ให้ฟัง
-
สวนลานกราบพ่อ เดิมลานกราบสวนพ่อ
-
นาลานกราบพ่อ สม.เป็นหญิง
-
ไร่ริมมูลตะเว็นออก แม่ชาญประเทืองธรรม แม่ชาญประทับใจ
-
ไร่ริมมูลตะเว็นตก พ่อเชี่ยวเถาว์
-
ไร่ริมมูลกลางตะเว็น พ่อเชี่ยวปลุกดิน
-
สวนทำกิน ปะไฟพร แม่ชาญเสียมเหี่ยน แม่ชาญยิ่งดาว แม่ชาญชุ่มจิตร์
-
สวนเบิ่งฟ้า พ่อเชี่ยวสมนึก
-
สวนกล้วยกล้าย พ่อเชี่ยวเข้มข้น
-
สวนเพื่อฟ้าดิน พ่อเชี่ยวข้าดิน พ่อเชี่ยวดาบใจ พ่อเชี่ยวเป็นแก่น
-
สวนดินอุดม สวนโรงปุ๋ย แม่ชาญละอองนิล
-
สวนกสิกรรมยั่งยืน แม่ชาญเปลี่ยน แม่ชาญเปิ้ล พ่อเชี่ยวสมัย
-
สวนแสงพุทธ (น้องดาว) แม่ชาญสู่แสงพุทธ
-
สวนสีนวน สวนเฟสสอง แม่ชาญสีนวน (ป้าหยุย)
-
สวนสองโภชน์ พ่อเชี่ยวยังศรัทธา
-
สวนสามเลข (สวน 204) พ่อเชี่ยวสอ ประเทืองธรรม ประทับใจ
-
สวนกุดระงุม พ่อเชี่ยวสมัยหนึ่ง แม่ชาญดาวเย็น
-
สวนสูงแสน สวนโรงสี แม่ชาญน้อมบุญ
-
สวนอุทยาน พ่อเชี่ยวข้าดิน
-
สวนวังไพร พ่อเชี่ยวหินพัน แม่ชาญดาวพร
-
สวนไวพลัง แม่ชาญอ้อมดิน
-
สวนไสหม่วน พ่อเชี่ยวไม้ผล แม่ชาญเขียวใบตอง
-
สวนพระคุณพ่อ สม.แสงฝน แม่ชาญตามพร แม่ชาญธรรมธารทิพย์
-
นานะโม (นาโมโนลิส) พ่อเชี่ยวหมดบุญ แม่ชาญก๋อย
-
นาคำยอด พ่อเชี่ยวร้อยหล้า แม่ชาญสุดา
-
สวนนาโม พ่อเชี่ยวเถาว์
-
สวนสมุนไพร พ่อชาญได้คิด
ช่วยกันดูแล เรื่องของพืชพันธุ์ธัญญาหาร เรื่องของกสิกรรม เราต้องพยายามจริงๆต้องทำให้เต็มที่ เพราะอาตมายังมั่นใจว่าในอนาคตนี้ พืชพันธุ์ธัญญาหารนี้จะเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เพราะมันไม่มีทั้งวิบาก ใครจะบอกว่ามีวิบากมีสัตว์เล็กสัตว์น้อย ถึงอย่างไรมันก็ไม่ถึงขนาดแบบประมงหรือปศุสัตว์หรอก แบบนั้นเกี่ยวพันวิบากจริงจัง แต่อันนี้ถึงเราทำอย่างไรมันก็ยังไม่พ้นเพราะมันเกี่ยวข้องกัน ในโลกมนุษยชาติมันขาดกันได้ที่ไหนเล่า อันนี้มันสูงสุดแล้ว คุณทำได้ดีกว่านี้ก็ทำไปเถอะ อย่างเก่งนะ มันก็ต้องทำได้ขนาดนี้แหละ
SMS วันที่ 11-13 มิ.ย. 2564
_กินมังเจ บริสุทธิ์ : เห็นคนตั้งปณิธาน ตามพ่อไปทุกๆชาติตราบจนนิพพาน ก็อนุโมทนาด้วย เราก็เป็นบุคคลหนึ่งในนั้น แม้ตอนนี้จะเห็นต่างกับบุญนิยมก็ตาม เพราะเพียงแค่ตัดข้อความของเราเกี่ยวกับนางรำ แต่ไม่ชี้แจงให้เราเข้าใจ แสดงว่าใจแคบ จนเรามารู้เองตอนพ่อบอก เราก็คิดว่าการเอาคนแก่มารำ เหมือนอีแร้งกางขา อีกากระพือปีก ตัดข้อความเราเฉยเลย พ่อฟังพ่อก็เข้าใจ ไม่ติดใจในคำถามเราเลย สว่างโล่งแจ้ง แต่บุญนิยมใจแคบมาก แสดงว่าคนตัดข้อความเรายังไม่บรรลุธรรม
พ่อครูว่า…ทำไมคุณตัดสินง่ายจังเลยเอาแค่นี้เป็นเครื่องตัดสินการบรรลุธรรม ทำไมคุณง่ายจังเลย เอาแค่นี้เป็นเครื่องตัดสินแล้วเมื่อไหร่มันจะได้บรรลุ มารู้ทีละเล็กทีละน้อยแล้วจนค่อยๆมนุษย์สมบูรณ์ จะไม่ให้เริ่มบรรลุทีละเล็กทีละน้อย เริ่มต้นก็ไม่ให้มีได้แล้ว เมื่อไหร่มันจะได้ เอ้าอย่าใจแคบ
_Pla Sangfaidham Phothibai (ปลา แสงใฝ่ธรรม โพธิ์ใบ) : ขนาดพ่อครู ยังมีความฉันทะในการอ่านหนังสือ ลูกๆ ก็จะตั้งปณิธานอ่านหนังสือที่พ่อครูเขียน และนำหลักธรรมมาประพฤติ ปฏิบัติ จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ค่ะ กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า…อ้ อนุโมทนาที่มีอานิสงส์ แม้แต่อาตมาเขียนเองอ่านเอง แล้วตัวเราเองไม่ได้เขียนเองไม่ได้อ่านเองแล้วจะตามศึกษาด้วย แล้วไม่อ่านเองแล้วมันจะเอาอะไรรู้ จะโง่ไปถึงไหนนะ ก็ฉลาดขึ้นมาบ้าง ใครจะฉลาดขึ้นมาก็เชิญ
_คุณชีวิต อยู่ที่การตั้งค่า : ส.ศิวลักษ์กับวีระ(สมความคิด)กับพ่อครูโพธิรักษ์เกี่ยวเนื่องกันมั้ยครับ..ทำไมอาจารย์ส.กับ วีระไปคนละทางกับพ่อครู
พ่อครูว่า…มันก็เป็นคนละคน ส.ศิวรักษ์ วีระ กับโพธิรักษ์มันคนละคน มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ 2 อย่างมันก็คนละอย่าง แล้วยิ่งมันมีทัศนคติก็ดี มีอะไรต่ออะไรเป็นองค์ประกอบในการคิดการศึกษาในการสะสมความจริง มันไม่เข้าร่องเข้ารอย ถ้ามันเข้าร่องเข้ารอยมันก็จะมาด้วยกัน ทีนี้คุณก็อาจจะมีประเด็นถามว่าแล้วใครถูกใครผิดล่ะ ส.ศิวรักษ์ โพธิรักษ์ วีระ ใครถูกใครผิด อันนี้แหละเป็นสุดยอดเลยที่พระพุทธเจ้าท่านให้อิสรเสรีภาพ คุณต้องพึ่งตนเองแล้วคุณต้องศึกษาของ ส.ศิวลักษณ์ ของวีระ ของโพธิรักษ์ เห็นอันใดดี เป็นธรรมวาที คุณก็เอาอันนั้น นี่คือการตัดสินของพระพุทธเจ้า สุดท้ายเลยนานาสังวาส เมื่อเห็นอะไรมันต่างคนก็ฟัง 2 ฝ่าย แล้วคุณก็ตัดสินเอง คุณนะไม่มีใครบังคับคุณ ไม่มีใครไปทำให้ คุณก็ต้องพยายามเลือกเฟ้น สร้างความรู้ของคุณให้ชัดๆ แล้วคุณก็เลือก เลือกผิดก็คุณเอง เลือกถูกก็คุณเอง อันนี้มันสุดทางแล้ว พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ไม่มีใครช่วยใครได้ สุดยอดเลยพระพุทธเจ้าให้อิสรเสรีภาพ ไม่ไปกดดัน ไม่ไปยิ่งใหญ่กว่าใครเลย ให้อิสระ มันเป็นอิสระของคุณพระพุทธเจ้าให้สุดยอดอิสรเสรีภาพ ไม่ไปอวดอ้างตัวเองทั้งๆที่ท่านจะบอกว่าก็ฟังตามพระพุทธเจ้าสิ อันไหนมันใกล้พระพุทธเจ้ากว่ากันท่านก็ยังไม่ตัดเลยเห็นไหม ใช่ไหม พวกเราก็ต้องอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นหลัก หรืออาศัยพระโพธิสัตว์ สัตบุรุษอะไรก็ตาม เป็นตามลำดับ แต่นี่ท่านบอกว่าไม่ต้อง ให้สิทธิ์อิสรเสรีภาพแก่ทุกคน สุดยอดเลยพระพุทธเจ้า
_แดง ลานกราบ : ฟังพ่อครูแล้วกิเลสขึ้นอยากได้หนังสือลำธารชีวิตมาอ่านจังค่ะ
พ่อครูว่า…ยังไม่ทำออกมา ท่านฟ้าไทว่าอ่านเปิดโลกบุญนิยม เล่ม 2 ให้จบก่อนเถอะน่า ลำธารชีวิต เขากำลังทยอยออกมา ได้อ่านน่า อยู่ติดตามใกล้ชิดมันไม่ไปไหนเสีย
_ฝน : อาสู่ มีคนตายเพราะอั้นไอ ไปชมเชียร์ ไม่ให้พ่อครูไอถึงเก่ง มันไม่เกี่ยวนะ ไอดังๆ เป็นการระบาย การกลั้นไอ มันทรมานกายขันธ์ ไอถ้าไม่ได้ไอ แบบถี่ๆ มีเลือดออก ไอแบบดังๆ จะไม่อันตราย เป็นการระบายพิษ
พ่อครูว่า…อาตมาก็เป็นวิบากการไอก็ไอไป
เข้าสู่หนังสือเปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2
ศิลปะโลกุตระเป็นมงคลอันอุดมของศาสนาพุทธ
เนื่องจาก“โลกุตรธรรม”นี้ คนผู้ใดจะเริ่มได้เริ่มมีขึ้นมา ตนก็ต้องเริ่มได้ยินได้ฟังมาจาก“ผู้อื่น”ทั้งนั้น จะ“คิดขึ้นมารู้เอง” หรือสร้าง“ความรู้โลกุตระ”นี้เองไม่ได้เลยเป็นอันขาด
พ่อครูว่า…มีศิลปินแห่งชาติคนหนึ่งมาดูงานแสดงศิลปะของคุณแสงศิลป์ แล้วเขาก็พูดขึ้น เมื่อเห็นป้ายที่บอกว่า ศิลปะที่เป็นโลกุตระ เขาก็บอกว่าศิลปะมีโลกุตระด้วยหรือ นี่มันสำคัญว่าแยกไม่ได้ ยังไม่รู้ได้ว่าโลกุตระคืออะไร ขนาดศิลปินแห่งชาติก็ยังไม่รู้ได้ เขามีชื่อเสียงด้วยนะ ขอไม่ออกชื่อในวันนี้แต่เคยพูดถึง อย่างนี้เป็นต้น ไม่ได้ดูถูกหรอกแต่เป็นตัวอย่างอธิบายให้ฟัง อาจไม่ใช่ท่านผู้นี้คนเดียว แม้เป็นศิลปินแห่งชาติก็ยังไม่รู้โลกุตระ ก็ยังมีอีกเยอะนะที่ไม่รู้ว่าศิลปะที่เป็นโลกุตระ เป็นศัพท์ของพระพุทธเจ้าที่ใช้ภาษาบาลีปนไทย แปลว่า เป็นมงคลอันอุดม ภาษาบาลีคือ เอตัมมังคะละมุตตะมัง
มงคล คือ นำพาไปสู่ที่สูงสุดถึงขั้นอุดมถึงขั้นอุดรหรือถึงขั้นโลกุตระ เป็นมงคลอันอุดม
ภาษาบาลี สิปปัง หรือศิลปะ เป็นมงคลอันอุดม ศิลปะนำพาไปสู่อุตระ ไปสู่โลกุตระ
สิ่งที่ไม่ใช่ศิลปะไม่นำพาไปสู่โลกุตระ
นิยามของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นศิลปะต้องนำพาไปสู่โลกุตระ ถ้ายังไม่นำพาไปสู่โลกุตระ พระพุทธเจ้าตัดเกรดเลยว่า ยังไม่เรียกว่าศิลปะ นี่ของพระพุทธเจ้าสุดยอด
ศิลปะต้องมีความรู้ความเข้าใจ ต้องมีสัมมาทิฏฐิเพียงพอ จึงจะนำพาทำงานศิลปะได้ ถ้าไม่นำพาไปสู่โลกุตระ พระพุทธเจ้าไม่รับว่าเป็นศิลปะ ยังเป็น ศิลเปรอะอยู่ วนเวียนมอมเมากันไป พูดไปแล้วจะไปทะเลาะกับศิลปินทั้งหลาย เทวนิยมทั้งหลายไม่มีศิลปะหรอก แต่เขาเรียกกันเองว่าเป็นศิลปะ คือมันไม่พาไม่นำไปสู่มงคลอันอุดม ไม่พาไปสู่โลกุตระ ของเทวนิยมของชาวโลก แม้จะมีราคาแพงยกย่องกันขนาดไหนก็ตาม
อาตมายังไม่อยากจะหาศัตรูเท่าไหร่เพราะว่าศิลปินมีอัตตาสูง ไปแตะเข้าก็จะสร้างศัตรู เราก็ไม่อยากไปมีศัตรู เพราะว่าศัตรูมีคนเดียวก็มากแล้ว แต่อยากได้มิตรล้านคน หลายสิบหลายคนหลายร้อยล้านคนก็ยังไม่พอ
(๑๖) โลกุตรธรรมมีสัมมาทิฏฐิมาก่อน
และ“ผู้อื่น”ที่ว่านี้ ก็จะต้องเป็นคนผู้มี“โลกุตรธรรม” ในตน ที่“สัมมาทิฏฐิ”จริงๆมาก่อนแล้ว
ซึ่งนับตั้งแต่“พระพุทธเจ้า”ทุกพระองค์ทรงเป็น“เจ้าของโลกุตรธรรม(ธรรมสามี)”คนแรกในโลก แล้วทรงนำมาเปิดเผยแก่มนุษย์ในโลก
คนในโลกจึงจะ“รู้” และ“มี”โลกุตรธรรมขึ้นมาในโลกได้
ไม่เช่นนั้น“โลกุตรธรรม”ก็จะมีขึ้น เกิดขึ้นในโลก ไม่ได้เด็ดขาด
ก็จะมีแต่“โลกียธรรม”อยู่ในโลก
พ่อครูว่า…ประ เป็น common noun อัญญะเป็น proper noun
ต้องเรียกว่าคนแรกในโลก เพราะคนที่ตรัสรู้หลวงโลกุตรธรรมแล้วนำมาเปิดเผยในโลก เมื่อโลกไม่มีโลกุตรธรรม มีผู้นำมาประกาศในโลกผู้นั้นก็เป็นคนแรก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าท่านเองเป็นไก่ตัวพี่ที่เจาะกระเปาะไข่ออกมาได้ก่อนใครๆ คนโลกียะอยู่ในกระเปาะไข่ วนเวียนอยู่ในโลกโลกียะเดิม ออกไม่ได้ ไม่มีทางออก
ผู้ที่จะมีทางออกก็คือผู้ที่ได้เชื้อ ได้เชื้อแล้วจนกระทั่งไปอยู่ในไข่ก็เจาะไข่ออกมาเองได้ ถ้าไม่มีเชื้อจะออกมาเองไม่ได้ จะอยู่ในไข่นั้นตลอดกาลนานนิรันดร เพราะฉะนั้นจึงยากมากเลยสำหรับชาวโลกีย์ที่จะได้รู้ ก็จะต้องแสวงหาหรือได้ฟังได้ยิน ว่า อันนี้แปลก ความแปลกนี้เป็นสิ่งสำคัญ คนไหนมีปฏิภาณปัญญา คนนั้นเริ่มเห็น แล้วตามใส่ใจศึกษาว่าแปลกนี้คืออะไร
เพราะฉะนั้นศิลปินจะมีความแปลกเป็นสินค้า ถ้าใครสร้างอัตลักษณ์ตัวเองเป็นความแปลกก็เรียกว่าศิลปิน เขาเอาความหมายแค่นี้ต้องมีอัตลักษณ์ของตนเอง ตนเองต้องเป็นคนคิดต้นแบบ ศิลปินจึงคือ อัตตาแท้ๆ ตัวกูต้องมีเอกลักษณ์ของตนเอง เป็นผู้ต้นคิดของตนเองเป็นต้นแบบเป็นต้น T (เทคนิค) เป็นต้นอย่าง ซึ่งจะไม่เหมือนใครมีแบบนี้ก่อนเลย คนไหนมีแบบนี้ก่อนก็เป็นต้นแบบ คนนั้นชื่อว่าศิลปิน เช่น พวก อิมเพรสชั่นนิสม์ รุ่นแรกคือคุณแวนก๊อก มีเวลาแปลกใหม่ มีอะไรเส้นอะไรต่ออะไรของเขา เขาก็นับถือบูชาเป็นต้นแบบ ออกนอกกรอบ นอกนั้นมีแต่ลักษณะของธรรมชาติ นี่แยกออกไปจากธรรมชาติ ไม่เป็นธรรมชาติ
แบบเดิมมีแต่เรียลลิสติกไม่มีแบบใหม่ที่เป็นอิมเพรสชันนิสม์ที่เป็นสิ่งที่ออกจากพวกไปได้ เขาก็ถือว่าอันนี้เป็นต้นแบบ
ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาประกาศ ไม่มีโลกุตระในโลก ศาสนาเทวนิยมไม่มีโลกุตรธรรม จนกว่าศาสดานั้นจะศึกษาจนมีมวลโลกุตรธรรมเพียงพอ มั่นใจเชื่อว่าอันนี้เข้าที ถึงจะกล้าออกมาพูดส่งเสริมหรือแนะนำให้ผู้อื่นได้ ถ้าไม่เช่นนั้นจะไม่กล้าแล้วไม่อยากออก เพราะว่าถ้าเป็นศาสดาของโลกีย์ มันก็จะถือตัว อันนี้ไม่ใช่ของตัวเอง ยังไม่เชี่ยวชาญก็ไม่กล้าเอาออกไป แล้วมันไม่ยินดีในโลกุตระ ถ้าจะพูดก็พูดข่มเลย จนกว่าจะเกิดความยินดีรู้สึกว่าเข้าท่า ตัวนี้เป็นตัวแรกเลยในมูลสูตร ถ้าไม่มีฉันทะ ไม่มีความยินดีในสิ่งนี้ ในลักษณะนี้ ก็จะไม่เกิด การสืบต่อของโลกุตระ เขาก็จะจมอยู่ในโลกีย์อยู่อย่างนั้น แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามีโลกุตระก็ตาม
คำว่าฉันทะในมูลสูตรจึงเป็นสิ่งยิ่งใหญ่มาก ฉันทะเป็นมูลกา เป็นต้นทางให้มาศึกษาและทำใจในใจเกิดมนสิการได้ จะเจริญขึ้นไปต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง ในมูลสูตร 10 ศึกษาให้ดีๆ
สุขของปุถุชนคือทุกข์แท้
(๑๗) มาดูสุขนิยมของมนุษย์ปุถุชน
เป็นธรรมดาของปุถุชน ก็เกิดแล้วตายเล่า วนเวียนสูงแล้วก็ต่ำ ต่ำแล้วก็สูง
มีต่ำมีสูง มีสุขมีทุกข์
เป็น“ภาวะ ๒”วนเวียนอยู่ในชีวิต เกิดๆ-ตายๆ ชาติแล้วชาติเล่า
สุขๆ-ทุกข์ๆ แย่ง“สมบัติผลัดกันชม”ไม่มีจบเวรภัย อยู่ตลอดกาลนาน เป็น“สุขนิยม”ถาวร
พ่อครูว่า…คำว่าสมบัติผลัดกันชมคือแย่งความสุข ไดัลาภมามากๆก็เพื่อความสุข ได้ยศ สรรเสริญ มามากๆก็สุข หลงเป็นอัตตาที่ตนเองชอบก็สุข แย่งได้ก็ได้สุข เสร็จแล้วก็จะถูกแย่งกลับไปอีก ไม่หยุดแย่งกันหรอก เทวนิยมสมบัติผลัดกันชม ไม่จบ ก็มีเวรภัยแย่งกันไปแย่งกันมา ฆ่ากันไปฆ่ากันมา แย่งกันไปแย่งกันมา ทรมานกันไปทรมานกันมา รักกันชังกันอยู่อย่างนั้น วนเวียนตลอดกาลนาน เป็นสุขนิยมถาวร เป็นสุขนิยมยั่งยืน เป็นสุขเที่ยงแท้ ที่เรียกว่า สุขนิยม
(๑๘) ธรรมะของพวกเทวนิยมก็จะเป็นอย่างนี้ๆ!
“โลกียธรรม”คือ “ธรรมะของเทฺวนิยม” ที่เป็น“ธรรมะ”
ไม่มี “นิพพาน” ไม่มี“สูญ”
เป็น“ธรรมะ”ของผู้ที่ไม่รู้จัก“ตัวเอง”
ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “อัตตา” อันคือ“ตัวเอง”แท้ๆ
หลงว่าอัตตา”อันคือ“เทฺว”นั้นมีอยู่ตลอดกาลนิรันดร
เพราะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เทฺว”
ไม่รู้จัก“อัตตา”หรือ“อาตมัน”หรือ“ปรมาตมัน”อย่างถึงที่สุด ตีแตกแยกแยะ“เทฺว”ไม่ได้ หรือไม่ยอมให้แยก“เทฺว”เด็ดขาด
“เทฺวนิยม”จึงหลงยึดว่า“เทฺว”เป็น“๑”ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตีแตกแยกไม่ได้
ทั้งๆที่“เทฺว”นั้นคือ“๒”
พยัญชนะก็แปลว่า“๒”
สภาวะจริงก็“๒”
พ่อครูว่า…คำว่าไม่รู้จักตัวเอง ยิ่งใหญ่ ศาสดาทุกองค์ของเทวนิยมไม่รู้จักตัวเอง พระเจ้าก็ไม่รู้จักตัวเอง ถ้าพระเจ้ารู้จักตัวเองแล้วแยกแยะตัวเองได้แล้วจะก็แยกไปถึงที่สุด ก็จะเห็นว่า ทุกอย่างเป็นเหตุปัจจัยของสิ่ง 2 ทั้งนั้น มันไม่มีตัวตนจริงๆเลย เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธหรืออเทวนิยมจึงแยกธาตุ 2 ธาตุนี้ มันมี 2 ธาตุนี้ปรุงแต่งกันอยู่ แยกธาตุนี้ได้แล้วหายไปเลย หมดชีวะ หมดอัตตา หมดวิญญาณ กลายเป็นธาตุดินน้ำไฟลมไปหมดเลย อาตมาก็พูดวนซ้ำซากอยู่อย่างนี้ ซึ่งไม่ง่ายที่จะเข้าใจกัน
เทวะแปลว่า 2 แต่เขาไม่รู้หรอกว่ามีแต่ 1 เป็นอัตตา แล้วก็ห้ามแตะต้องด้วย ห้ามแยกด้วย ไม่ให้เกียรติคนอื่นเลย แล้วก็ยึดตัวตนคือห้ามแตะ ไม่รู้จักอัตตา อาตมัน หรือปรมาตมันเลย
(๑๙) สุขนิยมที่แท้ก็ซาตาน ที่แท้ก็เทพบุตรมาร!
เพราะห้ามตีแตกแยกแยะ“เทว”เป็นอันขาด จึงจมงมงายอยู่แต่กับ“เทฺว”ที่เป็น“สุขนิยม” ไม่โงหูโงหัว ไม่ยอมศึกษา “ทุกข์”หรือ‘“ซาตาน”
จึงไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง เจ้าตัว“ทุกข์”นี่เองคือ“มาร”ที่เป็นยอด“มายา” อันเป็น“คู่หู”หรือ“ภาวะ ๒”
แปลงตัวเป็น“เทพบุตร” ในนามเต็มว่า“เทพบุตรมาร”
ซึ่งที่จริงมันคือ“มาร”
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความเป็น“มาร”คือ“ยอดมายา” นี้ว่าเป็นผู้หลอกโลกหลอกมนุษย์ว่า“สุข”เป็น“ของจริง”
“สุข”เป็นยอดอารมณ์ในโลก
“สุขเที่ยงแท้ยั่งยืน”
พ่อครูว่า…มารยาทคือตัว pretender นักเสแสร้ง จอมโจรบัณฑิต
(๒๐) พระเจ้ากับสุขนิยมเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
“พระเจ้า”เป็นผู้ประทาน“สุข”แต่ผู้เดียว
“สุข”มี“พระเจ้า”เป็นเจ้าของ“สุขนิยม”
“พระเจ้า”คือ“เทฺว”ผู้ยิ่งใหญ่ที่จะบัญชาให้ใครๆมี“สุข”ได้
“สุขนิยม” คือ ผู้ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “สุข-ทุกข์”คือ“เทฺว” เป็น“ภาวะ ๒”ที่ไม่แยกกันเลย มันเป็น“ภาวะคู่”นิรันดร
แต่เจ้า“สุข”นี้แลมันยอดสุดยอด“มายา”
ที่หลอกมนุษย์ให้หลงติดยึดงมงายอยู่กับ“สุข”ชั่วกาลนาน ของคนโลก
พ่อครูว่า…สุข-ทุกข์ เหมือนกระดาษแผ่นเดียวกัน แต่เป็นคนละหน้า คนรู้ทันสุขเป็นมายาน้อย เป็นโลกุตระ ส่วนคนไม่รู้ทันสุขก็เป็นโลกียะ ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก คนในโลกมี 7 พันล้าน ก็นับจำนวนชาวอโศกเป็นแกน นอกนั้นก็ตามศึกษามาบ้าง จะถึงล้านคนไหมนี่ ถ้าถึงล้านคนอาตมาน่าจะมีคนยอมรับมากกว่านี้นะ แต่นี่มีอยู่แค่นี้ พูดไปไม่ได้น้อยใจนะ
จะเอาชนะสุขนิยมต้องมีแม่คือสิริมหามายา
(๒๑) เอาชนะสุขนิยมต้องรู้จักแม่คนนี้
จนกว่าจะมี“แม่”ที่ชื่อว่า“สิริมหามายา”ผู้ยิ่งใหญ่เลิศประเสริฐกว่า “มารมายาตัวยอด”นั้น ก่อเกิด“จิตใหม่ใหญ่ยิ่งกว่าจอมมารมายา”นั้นขึ้นมา มี“จิตใหม่เป็นอัญญธาตุ”
“แม่”ที่ให้กำเนิด“อัญญธาตุ”นี้แล ชื่อว่า “สิริมหามายา”
พ่อครูว่า…อาตมาขอแวะตรงนี้ ในยุคพระสมณโคดม พุทธกัปป์ของพระพุทธเจ้า มนุษย์คนแรกในโลก มี อัญญธาตุ คืออัญญาโกณฑัญญะมีธาตุรู้ที่เข้ากระแสโลกุตระ พระพุทธเจ้าเทศน์ให้ฟังแล้ว อัญญธาตุ เกิดที่โกณฑัญญะ โกณฑัญญะสะสมบารมีมาเมื่อเติมเข้าก็เต็ม มีธาตุตัวต้นธาตุอื่นที่ต่างจากธาตุโลกียะเดิม รู้จักคำสอนโลกุตระของพระพุทธเจ้า
พอฟังเทศน์กัณฑ์แรกก็รู้แล้ว ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เท่านั้น ก็รู้เลย พราหมณ์อีก 4 คน สอนอนัตตลักขณสูตรอีกสูตรหนึ่งจึงจะรู้ตาม แต่โกณฑัญญะฟังกัณฑ์ที่ 2 ก็เป็นอรหันต์ ส่วนอีก 4 คนก็เกิด อัญญธาตุ จิตใจเข้ากระแสเลย
ผู้ใดสามารถทำให้“จิต”ของ คนหรือ“จิต”ของตนเกิด “อัญญธาตุ” เป็น“จิตโลกุตระ”ได้
ผู้นั้นก็ชื่อว่าเป็น“สิริมหามายา”
คนผู้ยังไม่มี“สิริมหามายา”มาทำให้เกิด“อัญญธาตุ”ในจิต
ก็จะยังมีแต่“ความรู้-ความฉลาด”ที่เป็น“เฉโก”แบบปุถุชน
พ่อครูว่า…คุณไม่มีทางรู้เองได้หรอก ต้องติดตามศึกษาได้ยินได้ฟังจนเกิดความยินดี อ๋อ..
ชาวพุทธที่เป็นปราชญ์ที่คนเขายกย่องกันอยู่ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้ากระแสโลกุตระเพราะอะไร เพราะยังจมอยู่ในโลกียะ สิริมหามายา แม่ตัวนี้ยังไม่เกิดในจิต ยังไม่มี อัญญธาตุ ถ้ามี อัญญธาตุ จะมีเชื้อแล้วจะไหลมาทางนี้เลย ฟังอาตมาพูดจะรู้ว่าเป็นของใหม่ของใหม่ของใหม่ ที่เราเองยังค้านแย้ง ก็เลยรับไม่ได้รับไม่รู้ ไม่รับมันก็ไม่รู้ ไม่รับ พอเริ่มเปิดแง้มจิตออกไป
โอ้โห.. ทีนี้ คนที่มีความรู้เป็นพื้นฐานทางธรรม มาศึกษาพุทธธรรมแบบไหนก็ตาม ถ้าแง้มจิตตัวนี้ ปรโตโฆษะ จะไหลทะลักเข้าสู่สัมมาทิฏฐิเข้าเร็ว เพราะมีพื้นฐาน แต่นี่ไม่ยอมเปิดรับ มันน่าสงสาร แทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้า กลางวัน เย็น หอกหักหมด แทงไม่เข้า โอ้ย จะเหนียวไปถึงไหน ไปเรียนอาจารย์ไหนมาอยู่ยงคงกระพัน หนักหนาสาหัส (เรือหายเลย)
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท…ศิลปินน่าจะเห็นความแปลกใหม่ในโลกอย่างนี้นะ ให้คนมาจน ให้คนมาปฏิบัติธรรม ทำงานไม่เอาเงิน อย่างนี้เป็นต้นแปลกใหม่ในโลก น่าจะตาโตว่าเป็นสิ่งใหม่ในโลก
พ่อครูว่า…แทงด้วยหอก
สู่แดนธรรม…พ่อท่านต้องหาหอกโมกขศักดิ์มาแทง
สมณะฟ้าไท…เพราะเขายังไม่มีแม่ชื่อสิริมหามายา
พ่อครูว่า…ที่จริงธรรมะนี้ถ้าเผื่อว่าผู้ที่เข้ากระแสแล้วจะมีธรรมรส พูดกันสนุก ยิ่งกว่าละครบุพเพสันนิวาส ในยุคนี้เรื่องอะไรฮิต
คนผู้มี“สุขนิยม”ก็งมอยู่ใน“โลก”ของ“โลกียภูมิ”เดิมตลอดกาลนานแน่ เพราะยังไม่มี“ความรู้-ความฉลาด” ที่เรียกด้วยภาษาว่า “ปัญญา” ซึ่งเป็น“ความรู้-ความฉลาด”ที่เป็น“โลกุตระ” ขึ้นมาได้
พ่อครูว่า…ปัญญานี่แหละยิ่งใหญ่
(๒๒) ฉีกหน้ามารต้องสร้างแม่ให้เกิดในจิตเรา!
ผู้จะมี“ปัญญา”ก็ต้องมี“แม่(มาตา)”คือ “สิริมหามายา” ที่ให้กำเนิด“พระพุทธเจ้า” ผู้เป็นเจ้าของ“ปัญญา” และเป็นเจ้าของ“โลกุตรธรรม” ซึ่งอุบัติขึ้นมาเพื่อเปิดเผย“ความรู้-ความจริง”สุดยิ่งยอดใหญ่นี้ โดยการฉีกหน้า เปิดเผยความเป็น“มาร”ต่อชาวโลก
แต่นั่นแหละ“ชาวโลก”ทั้งหลายก็ยังยากมากที่จะเชื่อว่า
“ความสุข”นี้แท้ๆแล้วเป็น“มายา”คือ“มาร”!
พ่อครูว่า…มาตา ของภาษาสันสกฤตเรียกว่า มารตา แต่ภาษาบาลี ว่า มาตา มารดา ดังนั้นภาษาสันสกฤตจะยังไงๆอยู่นะ ตา เป็นคำยืนยันว่าเป็นคำนาม แต่เขาว่า มารตา แปลว่าแม่ แม่คือมารดา มารดาคือแม่ มารดาที่เป็นมาร ก็คือแม่มาร
มารดาที่เป็นแม่ของพุทธก็คือสิริมหามายา
สิริมหามารยาก็คือมาร มารยายังไม่เป็นคำนาม ยังไม่เป็นมารตา เป็นแค่มารยา เป็นกิริยาอยู่