640608_พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ประกาศโลกนี้โลกหน้า
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1soDXFSTJ1BjfmSMhKHOEepuequUrjfJwXl0u-PsJIDw/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1uq9h2RxRuZcrRV6A0LIObJ-LD1cTem94/view?usp=sharing
ดูวิดีโอที่ https://youtu.be/-D4VPvt-Q5s
พ่อครูว่า…วันนี้วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู เราเทศน์กันในเรื่องโลกนี้โลกหน้ากันอยู่ ยังไม่จบ
พ่อครูประกาศโลกนี้-โลกหน้า ตามสัมมาทิฏฐิ 10
อาตมาอยากจะไขโลกนี้โลกหน้า พระพุทธเจ้า ท่านตรัสเอาไว้ใน สัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10 ว่าจะมี สยังอภิญญา เกิดมา สยังแปลว่าเอง มีอภิญญามาเอง พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ถูกต้องแล้ว เพราะว่าคนที่รู้เองมีของตนเองถูกต้องนั้นมี แต่มีนั้นไม่ได้หมายถึงแต่พระพุทธเจ้า เป็นสยัมภู สยัมภูก็เป็นผู้รู้เอง เป็นผู้รู้องค์แรกในยุคกัป ที่ยังไม่มีใครเปิดเผยตัวเป็นพระพุทธเจ้าเลย ในยุคที่มีคนเปิดเผยตัวเป็นพระพุทธเจ้าและพระสมณโคดมมาประกาศแล้ว ก็ยังมียุคที่โลกแม้จะไม่เสื่อม แต่คนในโลกโดยเฉพาะชาวพุทธเสื่อมไปจากความรู้ที่เป็น โลกุตระ
พอครึ่ง 2,500 ปีขึ้นมา พระศาสนาพุทธของพระสมณโคดมยืนยาว 5 พันปี พอ 2,500 มันก็เสื่อมสนิท ชาวพุทธแม้แต่ผู้นำทางศาสนาอยู่ ก็ไม่สามารถรู้เรื่องของโลกุตระเลย จึงต้องมีผู้ที่รู้เรื่องโลกุตระมาอุบัติขึ้นในยุค 2,500 กว่าปีนี้แหละ แล้วก็นำโลกุตระมาเอง แล้วก็เอามาประกาศขึ้นให้ผู้อื่นรู้ตาม นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในข้อที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) นี่ก็ประกาศมาแล้ว 50 ปี ผู้ที่สามารถรับรู้ได้ เป็น สัจฉิกัตวา ก็มีไปแล้ว
อย่างสิกขมาตุ จินดา นี่ จินดา คือ ความคิด ความรู้ รู้จนกระทั่งตัวเองจะต้องชื่อว่า
สัจฉิกตา เลย สิกขมาตุ จินดา เลยเป็น สัจฉิกตาเลย รู้แจ้งโลกุตระเข้าใจดีรับได้ไป เจริญธรรม บรรลุธรรมไปในตัวเลย ผู้เจริญแล้วก็ต้องบรรลุธรรม บรรลุๆไป อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งสภาวะต่างๆโดยบัญญัติความรู้นำมา แล้วก็เอาความรู้ที่นำมาเป็นบัญญัติ มาสอบทาน พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นความรู้ บัญญัติ มาสอบทานปรมัตถ์ จิต เจตสิก รูป นิพพาน สามารถที่จะปฏิบัติจิต จิตเกิดพัฒนาการเกิดใหม่ โอปปาติกะ จิตเกิดใหม่ เกิดเป็นคนใหม่ของโลกใหม่ โลกอื่น โลกโลกุตระ เป็นคนละโลกกับโลกียะ เรียกว่าโลกนี้คือโลกโลกียะ
โลกุตระคือโลกหน้า แต่ผู้ที่เขาไม่รู้ เขาอยากรู้จะรู้แต่มันรู้ไม่ได้ เขาก็เลยรู้โลกหน้าไม่ได้ รู้โลกุตระไม่ได้ โดยเฉพาะให้เป็นจิตให้เป็นโลกุตตรจิต ทำจิตตัวเองให้เป็นมนสิการ ทำจิตตัวเองให้เป็นจิตเจริญขึ้นเป็นโลกุตระ คือจิตของผู้นั้น ของใครก็แล้วแต่ ของเรา เราสามารถแยกจิต อ่านอาการจิต จับจิตของเราได้ แล้วก็รู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทส
อุเทส คือภาษาหรือสิ่งที่อธิบายออกมา อย่างที่อาตมากำลังอธิบาย ฟังอุเทสแล้วเข้าใจว่าต้องไปแยกอาการ ลิงค นิมิต ไปแยกอาการของจิตมันแตกต่างกัน จิตที่เป็นจิตจริงๆ กับจิตที่มันเป็นกิเลส เป็นจิตตัวปลอม มาปลอมตัวเป็นจิต แต่มันเป็นกิเลส จับได้แยกได้ แยกกิเลสออกจากจิตได้ ถึงขั้นเป็นผลคือ สามารถมีพลังปัญญา แยกได้จนกระทั่งชัดเจน ว่าจิตตัวนี้มันเป็นตัวทุกข์ เป็นตัวเหตุแห่งทุกข์
เพราะฉะนั้นถ้ามันยังมีอาการอยู่ในจิต เราก็คือผู้ยังเป็นทาสกิเลสนั้นอยู่ พลังงานปัญญาก็เลยบอกว่า ไม่ได้ เอ็งจะอยู่ในจิตข้าไม่ได้เด็ดขาด เอ็งต้องไป เอ็งต้องออกไป หยุดอาการของเอ็ง เด็ดขาดอยู่ในจิต เอ็งต้องหยุด เลิก อย่ามาทำเป็นสะเออะ มีอาการนิดอาการหน่อยอยู่ในจิตก็ไม่เอา ทำจิตของตัวเองได้ มนสิการ หรือมนสิกโรติ
เราทำเองไม่ใช่พระเจ้าทำหรือใครมาช่วยทำ เราทำเองสร้างพลังปัญญา ที่มันจะเหนือชั้นกว่ากิเลส นี่พูดเป็นภาษารูปธรรม แต่มันเป็นนามธรรม จะต้องฝึก จะรู้ได้เมื่อมันต้องมีของจริง สัมผัสของจริง ตาสัมผัสทุเรียนชอบทุเรียนมาก ทุกปีมีทุเรียนมาแล้วต้องเสียตังค์ให้มัน
แต่ก่อนอาตมาทำงานอยู่ที่โทรทัศน์ มีช่างคนนึงชื่อพี่ฟู เขาจะเก็บสตางค์แต่ละเดือนหักใส่กระป๋อง ก็ถามว่าพี่ฟูเก็บตังค์ไปทำไม เขาบอกว่าเอาไปซื้อทุเรียนกิน นี่เป็นเรื่องจริงนะไม่ใช่เรื่องเล่น ถึงหน้าทุเรียนก็งัดเอามาซื้อทุเรียนเอามากินโดยเฉพาะ มีงบประมาณ budget สำหรับผู้เรียนโดยตรง แต่ละปีๆ เป็นคนที่จะต้องกินทุเรียนให้ได้ จัดสรรงบประมาณสำหรับกินทุเรียนโดยเฉพาะตน นี่ก็มีคนอย่างนั้นจริงๆมันชอบทุเรียนมาก สัมผัสทุเรียนก็โอ้โหอยากกินมันชอบกิเลสขึ้นเลย
อ่านกิเลสตัวเองเมื่อสัมผัสแล้วกิเลสเกิด แม้จะเกิดอย่างหยาบนั้นรู้ง่ายแน่ มันเกิดแรงก็รู้ง่าย แม้ที่สุดได้เรียนรู้ลดละแล้ว จนกระทั่งมีพลังงานปัญญา สามารถทำให้กิเลสลด สู้พลังงานปัญญาไม่ได้ พลังปัญญามันชัดเจนกว่ามันรู้ว่าไอ้ที่ไปติด ไอ้ที่มีพลังอ่อนแอให้กิเลสมันกินตัวอยู่อย่างนั้น มันโง่มัน อวิชชา ก็รู้ว่าตัวเองจะเอาอวิชชาหรือจะเอาปัญญา นั่นก็ชัดเจนมากแล้ว เราอย่าไปโง่ ปัญญาเจริญ อวิชชาก็ลดลงๆ ความเป็นโลกลกนี้คือโลกลกที่มีอวิชชา ความเป็นโลกหน้าคือโลกที่มีวิชชาหรือปัญญาหรือญาณ เป็นพลังงานทางจิตเลย
คนใดที่ทำจิตในจิต ทำใจในใจ มนสิการหรือมนสิกโรติ ทำให้พลังงานปัญญาเกิดแทนที่พลังงานอวิชชา เกิดพลังงาน ก่อนมิจฉาทิฏฐิก็เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อเป็นสัมมาทิฏฐิก็เจริญด้วยการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 โพธิปักขิยธรรม 37 จิตก็เจริญขึ้นจริงๆ ต้องสัมผัสของจริง ตากระทบรูปแล้วก็เห็นของนั้นด้วยตา กิเลสเกิดไม่เกิด หูกระทบเสียง แล้วกิเลสเกิดก็อ่านกิเลสเกิดจากเสียงได้ ชอบไม่ชอบ ชังไม่ชัง เป็นสุขเป็นทุกข์อะไร จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รสสัมผัสรส ก็เกิดชอบเกิดชัง เกิดกิเลสพวกนี้ อ่านได้เห็นของจริง แล้วก็ลดของจริงแล้วจริงๆ ผู้นั้นถึงขั้นปฏิบัติธรรมถึงขั้นสภาวะธรรม จัดการกับสภาวธรรมของจริง จริงๆ ผู้ปฏิบัติเองจะรู้ของตนเอง แล้วก็จะรู้ชัดเจนตรงที่ว่า
ขณะที่ตากระทบรูปนี่แหละเห็นเลยว่าจิตเราก็เกิดกิเลส แล้วก็ปฏิบัติทันที อ่านกิเลสให้ลดทันที ลดอย่างช้าหรือลดอย่างเร็ว ดูเหมือนลดอย่างเร็วแต่มันไม่รู้ทัน จนกระทั่งรู้ทัน มันลดจริงๆ อ่านอาการมันจางคลาย ท่านบอกว่า
-
อนิจจานุปัสสี (ตามเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสตัณหา)
-
วิราคานุปัสสี (ตามเห็นความจางคลายของกิเลส)
-
นิโรธานุปัสสี (ตามเห็นความดับของสัตว์กิเลสตัณหา)
-
ปฏินิสสัคคานุปัสสี (เห็นการย้อนทวนกลับไปสลัดคืน)