640606_พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/10zKmXnzDPT-64xRvRrJGp7KLMvCtWqelHGBJemJO77k/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1hYwlbuif9oSBpdiB01xGQuGFFBMmQI4y/view?usp=sharing
ดูวิดีโอที่ https://youtu.be/Zq1Kv_HU2wE
สาราณียธรรมของชาวอโศก
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานี อาตมาอายุ 87 ปีเต็มกับอีก 1 วันแล้ว อายุ 88 ปางกฤษณะ เป็นปางที่มีความแรงเต็มที่เลย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่อง อจินไตยที่ยากจะเข้าใจกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่เรียนรู้ได้ เอามาปฏิบัติประพฤติให้เกิดจริงเป็นจริงในชีวิตในสังคมและในกิจกรรมต่างๆ เกิดจริงๆเลย จนบรรลุเป็นผลสำเร็จกัน อย่างชีวิตชาวอโศกเป็นต้น ก็เลยเกิดสภาพจริงเป็นมวลอยู่ร่วมกันแล้วก็เป็นสังคมชุมชน กลุ่มหนึ่งในโลก ทุกวันนี้ก็มีการเผยแพร่ผ่านสื่อสารมวลชน Globalization ฟ้าบ่กั้นทะลุทะลวงโลกแล้ว เร็วด้วย คนก็เลยได้รับรู้ อย่างน้อยดูว่าพวกนี้ตลก ดูว่าเล่นอะไรกัน หรือว่ามีพวกที่คิดว่า เป็นไปได้หรือสังคมอย่างนี้ ยินดีมามีชีวิตอย่างนี้มาจนมันดีอย่างไรเมื่อชนกันมาจน ขนาดเขารวยกันยังอยู่ไม่ค่อยรอดเลย แล้วพวกนี้จนจะอยู่กันอย่างไร
เราก็อยู่บนดินนี่แหละ บนดิน ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารบนดินจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ขณะนี้ทุเรียนกำลังดังไปทั่วโลก ทุเรียนเจ้าอื่นก็มีพยายามโปรโมทกัน อาตมาว่าไม่เบานะ แค่หมอนทองเอามาวาง ลูกหนึ่งไม่ใช่เล่นๆ แม้แต่พวงมณี เป็นทุเรียนภูเขาไฟ แถวศรีสะเกษมีดินภูเขาไฟ
สรุปแล้วอาตมาขอย้ำอีกว่า พวกเราตั้งหน้าตั้งตาทำกสิกรรมให้เจริญรุ่งเรืองเต็มที่ นี่ก็รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆแล้วล่ะ ก็เพิ่มเติมขึ้น อย่าหยุดยั้งขยายผลไปเลย เอาให้ดี ให้มีทั้งปริมาณและคุณภาพเป็นหลัก คุณภาพดีและปริมาณเพิ่มขึ้น เราขายให้ถูก ขายไม่ออกก็แจก เพราะอย่างไรเราก็มีพอกินพออยู่แล้ว ก็ปลูกอย่างไรเราก็กินก่อน กินเหลือเราก็แจก หรือขายอย่างถูกไปเรื่อยๆ ซึ่งเรามีที่จบของพฤติกรรมชีวิต พวกเราได้ศึกษา
พฤติกรรมที่ไปอยู่กับสังคมที่เขาปรุงแต่งกัน เราก็บอกว่าอย่าไปปรุงแต่งกันมากเลยมันพาให้ทุกข์มันพาให้เปลือง พาให้ยั่วยวนกันไม่เข้าเรื่อง ผลานพล่ากันมันเสื่อม มันไม่เจริญ เราไปสู่สิ่งที่เจริญกันดีกว่า มันซ้อนลึกในด้านเศรษฐศาสตร์ ในด้านรัฐศาสตร์ รวมแล้วอีกเส้าก็เป็นสังคมศาสตร์ มีเศรษฐศาสตร์กับรัฐศาสตร์เป็นหลัก เราก็ชัดเจนในภาษาในความหมายพวกนี้ที่เราเองเราประพฤติ พยายามทำให้เป็นแนวของเราที่เอาแนวมาจากของพระพุทธเจ้า
คำว่า แนว ภาษาภาคกลางคือมรรค คือทางเดิน แต่แนวของอีสานคือเชื้อเลยนะ เช่นแนวมันมีมะเขือหำม้า เอาพันธุ์มันมาปลูกเลย ของเรามันมีครบครัน เราเข้าใจคำว่าแนวของภาษาภาคกลาง และของอีสานชัดเจนหมดเลย แล้วก็รักษาพันธุ์ ดูแลพันธุ์ที่ดีเอาไว้ หรือจะปรับปรุงพันธุ์กันบ้าง อย่าให้มันเกินเลยเป็น GMO เราก็มาพัฒนากันต่อรู้จักการต่อยอด ยอดที่จะต่อว่าเราจะต่อตรงไหนอย่างไรแค่ใด ไม่ให้มันเกินให้มันพอเหมาะพอดี ปโหติๆไปเรื่อยๆ ได้สัดส่วนได้สมดุล ไม่มากเกินไม่น้อยเกินไป ตามลำดับ
ในความเข้าใจที่เป็นองค์รวม เรียกว่าสามัญตา ความเข้าใจทางทฤษฎีเรียกว่าทิฏฐิ ทิฏฐิสามัญญตา หรือความเข้าใจในการใช้หลักปฏิบัติ เรียกว่าศีลสามัญญตา เราเข้าใจแล้วก็มีความพร้อม มีศีลสามัญญตา มีทิฏฐิสามัญญตาด้วยการเพิ่มไปตามลำดับ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 จุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีล เอามาปฏิบัติจริงจนสำเร็จ
อย่างศีลธรรมนูญ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล อาตมานำพาชาวอโศกทำ อย่างน้อยมหาศีล ไม่มีเดรัจฉานวิชาต่างๆเลย เดรัจฉานวิชาไม่ใช่เข้าใจกันได้ง่าย เดรัจฉานที่มหาเถรสมาคมเขามีเดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยเดรัจฉานวิชาทั้งนั้นเยอะแยะมากมาย เข้าใจให้ได้ว่าเดรัจฉานคือวิชาที่ขวางทางนิพพาน จะบอกว่าเดรัจฉานวิชาคือพวกต่ำๆหยาบๆไม่รู้เรื่องมันโง่ ก็ไม่ผิดถูกต้อง แต่รายละเอียดเนื้อหาคืออะไร
ยกตัวอย่างไปงมงายอยู่กับบัญญัติภาษา อยู่ในตำรับ ตำราจนเกินการ แล้วก็มุ่งมั่นให้ได้แต่วิชาการ แต่ไม่ได้หยั่งลงไปถึงสภาวะจิต เจตสิก รูปนิพพาน ไม่เข้าใจ ไม่หยั่งลงไปก็ได้แต่เปลือก จนกระทั่งสุดท้ายกลายเป็นบัณฑิต หัวโต บัณฑิตมีใบรับรอง มีแต่ใบปริญญา certificate รับรองกันไปว่าเก่งเอามาจากเมืองนอก ไปเรียนพุทธศาสนาจากเมืองนอก ขายขี้หน้าเมืองไทยจริงๆ จบดอกเตอร์ทางพุทธศาสนาจากเมืองนอกแล้วเอามาเบ่งขี้แตกเลย
เมืองนอกเขาเป็นเมืองเทวนิยม จะรู้พุทธศาสนาเป็นอเทวนิยม หรือเป็นโลกุตระลึกๆซึ้งๆแท้ๆเนื้อแท้ได้ที่ไหน เมืองไทยเป็นเมืองพุทธมาตั้งแต่เกิดประเทศไทยหรือประเทศสยามมา ซึ่งมีรากเหง้าของศาสนาพุทธมา แต่ก่อนนี้ดีกว่านะ ศาสนาพุทธของประเทศไทย เป็นเนื้อแท้ของโลกุตระที่เนียน ลึก ลึกซึ้งมาแต่ก่อนแต่เก่ามา จนกระทั่งมาเฟ้อมาฟุ้งมาปรุงมาแปลง ผสมผสานกลายเป็นกลองอานกะ จนกระทั่งลบเลือนโลกุตระทิ้งไป ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์เอาไว้ก่อนเลย ว่าต่อไปกลองอานกะจะไม่เหลือเนื้อหาสาระของมันแล้ว หรือแม้แต่ในอนาคตท่านบอกว่าจะเสื่อม 4 ประการ
-
ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ
-
ไม่เก็บผลไม้กิน แต่ถือเสียม ตะกร้า หาขุดเหง้าไม้ หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า
-
สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์
-
สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่ (อัมพัฏฐสูตร เล่ม 9 ข้อ 163)
เขาแปลเอียงไปข้างป่ามันผิด เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาสังคม เป็นศาสนาคนเมืองไม่ใช่ศาสนาของคนป่า เป็นศาสนาเจริญ เป็นศาสนาของอาริยกะ ไม่ใช่ มิลักขะ เพราะฉะนั้นเข้าใจยังเพี้ยนไปในสภาพที่พูดนี้ เอียงไปข้างเดียรถีย์ ข้างเทวนิยม แล้วเป็นคนอยู่เมืองเป็นคนมักน้อยสันโดษ เป็นคนมีวรรณะ 9 แล้วอยู่กันอย่างเนียน มีสาราณียธรรม 6
สูตรแห่งความเจริญสุดยอดของมนุษยชาติ
อาตมายังไม่เก่งขยายความ ในอนาคตจะมีคนมาขยายความช่วยอาตมา จะมีคนโวหารดีๆ มาช่วยขยาย ตอนนี้อาตมาก็ได้เท่านี้ก็ไม่เป็นไร แต่ว่าสภาวะจริงของมนุษย์ที่ปฏิบัติได้ประพฤติได้ในวรรณะ 9 ก็ดีมีจริง สังคมสาราณียธรรม 6 ก็มีจริง
อยู่กันอย่างมีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม และมีลาภโดยธรรม โดยสุจริต ได้มาก็มารวมกันเป็นสาธารณะปกติกินใช้ร่วมกัน เป็นอยู่ด้วยหลักเกณฑ์ศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา นี่คือสาราณียธรรม 6 โดยสร้างจิตให้เกิดจิต 7 ชนิด มีความระลึกถึงกัน มีความรักกัน มีความรู้ในเรื่องความรักถึง 10 มิติ มิติที่ 7 ขึ้นไปเป็นกึ่งกลางระหว่างเทวนิยมเต็มกับพุทธ 7 นี่เป็นฐานกลาง เริ่มฐานพุทธ 7 เจริญก็เป็นพุทธยิ่งขึ้น เทวนิยมก็ลดลงๆ 7 ไปหา 8 พอ 8 หรือขึ้น8เป็นพุทธเพียวๆ พอเต็ม 8 ก็เป็นพุทธเต็มๆที่เลย แล้วสูงไปสู่ยอด 9
9 เป็นพลังงานที่เจริญสูงสุดทั้งปริมาณและคุณภาพ สภาวะ 2 ของความเจริญในมนุษยชาติ เทวะ สองอย่างเต็ม ในเรื่องของคุณสมบัติอารยธรรมต่างๆสมบูรณ์แบบ อยู่ที่ฐาน 9 สุดยอด ไม่มีที่ไปแล้ว จากนั้นก็หมายความว่า 0 ปรินิพพานปริโยสาน ถ้าจะต่อก็เป็น 10 11 12 13 ถ้าไม่ต่อก็สูญสลายหายไปเลย พระพุทธเจ้าถึง0 แล้วไม่มีใครต่อ จบเท่านั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรุงแต่งอยู่ในโลก ท่านก็แยกเป็น 2 มีโลกกับอัตตา ปรุงแต่งกันขึ้นก็เป็นสภาพตัวตนบุคคลเราเขา เป็นสมมติสัจจะที่รู้ร่วมกันได้หมด ความจริงที่เป็นปรมัตถสัจจะสำหรับตัวเราเองเท่านั้น เป็น 1 ก็ตามเป็น 0 ก็ตาม หรือเป็น 2 ครบ 3 เส้า 0 1 2 เป็นสามเส้าของ cyclic order วนปรุงแต่งกันครบเป็นพลังบวกพลังลบ พลังงานของประธานเป็น ISH
I เป็นประธาน S เป็นอิตถีภาวะ H เป็นพลังงานปุริสภาวะเพศชาย เป็นพลังงาน 3
แม้แต่นิวเคลียส ก็มี 3 เหมือนกัน แต่เขาไม่ชัดไม่ได้แยกออกว่าเป็น 1 ตัวคน 2 พลังงาน พลังงานที่เป็นประธานของนิวเคลียส แล้วก็มีบวกมีลบ เขาก็ปรุงแต่งบวกลบนี่แหละให้เป็นพลังงานได้ตามต้องการ แล้วตัวเขาคือตัวใคร ก็คือตัวคน ตัวคนคืออะไร ตัวคนคือพลังงานประธาน ที่เป็นนาม ตัวตนบุคคลเราเขาเป็นคน เขาก็นึกว่ามีตัวเขาอันนึง เป็นเจ้าของความคิด ส่วนพลังงานอุตุนิยาม พลังงานบวกพลังงานลบนั้นก็เป็นพลังงาน ที่จริงมันก็เป็นนิวเคลียสครบ 3 ก็เป็นนิวเคลียร์ 2 นิวเคลีย์ มีนิวเคลียร์ ฟิชชั่น กับ ฟิวชั่น
นิวเคลียร์ฟิชชันก็เป็นพลังงานลบ นิวเคลียร์ฟิวชันก็เป็นพลังงานบวก จับเอามาใช้เป็นก้อนแท่ง จนเอาไปใช้เป็นระเบิดปรมาณูระเบิดนิวเคลียร์ทุกวันนี้
พลังงานของอุตุของพืช ของวัตถุดินน้ำไฟลม ที่สังเคราะห์กันเกิดพลังงานสูงสุดเป็นพลังงานนิวเคลียร์ ที่รู้กันอยู่ทั่วโลกทุกวันนี้ ถ้ามีพลังงานชีวโดยการสามารถที่จะเข้าไปจัดการและเราก็รู้แล้วว่า เป็นผู้ที่มีจิตที่ดี สร้างพลังงานนี้ให้เจริญขึ้นอีก ให้ได้พลังงานที่สูงขึ้นไปอีกตามสูตร นี่เป็นสูตรของโพธิรักษ์นะ ไม่ใช่สูตรของไอสไตน์
สูตรของไอสไตน์ก็ได้ E=mc2
สูตรของโพธิรักษ์อาตมาว่าบริบูรณ์แล้ว E=C(mc2 + A)
ตัว A ก็คือ mc2 บวกกันมากขึ้นก็เอาไปนอกวงเล็บเป็น C เป็นคูณ เป็นตัวกำกับขยายผลปฏิภาคทวีซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ อีกหน่อยในโลก ใครเข้าใจสูตรที่อาตมาคิดนี้เอาไปใช้ได้ รับรองเป็นเจ้าโลกเลย แต่มีกำกับอยู่ว่า ถ้าคนใจไม่ละเอียดไม่มีใจสูง ไม่มีสาราณียธรรม ไม่มีสังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ เอาไปทำไม่ได้ ทำขึ้นมาจะรู้ว่าคนนี้เกินหน้าคน ซึ่งโลกนี้เขากำกับกันอยู่ว่าอย่าให้สร้าง ตอนนี้มันก็ซ่อนกันสร้างไม่รู้กี่ร้อยกี่พันลูกระเบิดนิวเคลียร์ อเมริกาตัวดีทำเป็นตำรวจโลกและบอกว่าคนอื่นจะสร้าง แล้วอเมริกาสร้างไปเท่าไหร่ไม่รู้แล้ว ไปบอมบ์อิรักบอกว่ามีนิวเคลียร์ แต่ไปตรวจดูก็ไม่พบอีก กลัวจนเกินเหตุเป็นพวกกุ้งขี้อยู่บนหัว ขายขี้หน้าตัวเองเลย
เขาวนกับรูปธรรม ไม่เข้าถึงนามธรรม นามธรรมของพวกเราไปถึงขั้นโลกุตธรรม อาตมาแยกโลกนี้โลกหน้า โลกนี้คือโลกโลกียะ โลกใหม่โลกอื่นโลกหน้าคือโลกุตระทั้งนั้น โลกใหม่ที่คุณยังไม่เคยมีมาเลย อันเก่าคือคนมีแต่โลกโลกีย์ แต่อันนี้ใหม่เสมอนะ ไม่มีเก่าเลย ใหม่ตลอดกาลเลย ไม่มีตกยุค เป็นอันอื่นอันใหม่ ก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา ไม่มีถอยหลัง การเข้าไปข้างหน้าคือกาละ กาละไม่มีเดินถอยหลังเลย มีแต่ไปข้างหน้าตลอดกาล คำว่ากาละ คำหนึ่ง ที่อาตมา พยายามจะขยายความว่า ในกาละ เป็นเรื่องของเอกภพ เป็นเรื่องของมหาจักรวาลที่จะมีอยู่ในอวกาศนี้ ถ้าไม่มีอวกาศก็ไม่มีจักรวาล จักรวาลก็มี Space มีเทหวัตถุ ตั้งแต่ละเอียดย่อยเล็กถึงปรมาณู จนกระทั่งถึงเทหวัตถุใหญ่จนเป็นแท่งทึบ ระดับเบอร์มิวด้า เขาจัดกันเป็นรูปสามเหลี่ยม ไม่จัดเป็นสี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม แปดเหลี่ยม เพราะสามเหลี่ยมนี้เป็นสามเส้า 60 60 60 มันดึงกันอยู่ เป็น cyclic เป็นสมดุล สมดุลนิรันดรคือเทวนิรันดร คุณไม่ออกไปไหนหรอก คุณอยู่ในวงวนอันนั้น
เทวนิรันดรก็คือ cyclic order ของ 60 60 60 นิรันดรนี่แหละ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ใครสามารถจะออกจาก 60 ได้เริ่มต้นจาก 6 เพิ่มหนึ่งจุด ก็มาหา 7 จนกระทั่งอย่างโพธิรักษ์ 7 มานานแล้วจะขึ้น 8 หรือยังไม่รู้ แต่ตัวเลขมันขึ้นแล้วนะเลขอายุ เลขเนื้อหาสาระยังไม่รู้ แค่จะเอาที่บ้านราชจะให้ 777 คนยังไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยเราก็ได้เกิน 88 คนแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึง 888 เรายังไม่ได้หรอก
โลกนี้คือโลกโลกียะ ซึ่งมันวนอยู่ในฐานแห่งความดีความชั่วในลาภ ยศ สรรเสริญ โดยเฉพาะสุข สุขเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เป็นนามธรรม เราใช้คำศัพท์เรียกว่าสุข เป็นคำบาลี ไทยก็เนียนกับบาลีมาเยอะ อีกหน่อยในอนาคตโลกุตระเจริญไปเรื่อยๆ บาลีที่เป็นศัพท์ทางธรรม โลกุตระจะเจริญในเมืองไทย คนไทยจะรู้ความหมายคำเหล่านี้ เช่นความหมายคำว่าบุญ (บาลีคือ ปุญญะ) บวชเป็นคำไทยแล้ว
สรุปแล้ว ผู้เริ่มมีความรู้ของความเป็นโลกุตระหรือโลกอื่น โลกใหม่ โลกหน้า ที่คุณจะต้องเดินทางออกมา ไม่ใช่วนอยู่ที่เก่าหรือถอยหลัง วนอยู่ที่เดิมกับถอยหลัง มันก็มีอยู่แค่ปัจจุบันกับอดีต วนอยู่กับที่เดิมกับถอยหลัง มันมีแต่อดีตกับปัจจุบัน วนอยู่ที่เดิมก็คือปัจจุบันถอยหลังก็คืออดีต แต่นี่มีครบ สามกาละ เราใช้ปัจจุบันอยู่กับปัจจุบัน มีทิฐธรรมเรียกว่าปัจจุบันชาติ ชาติคือการเกิด ปัจจุบันชาติ คือทิฏฐธรรม ทรงไว้ซึ่งทิฏฐะ ปัจจุบันชาติ เราอยู่กับอันนี้
อนาคต เดินทางมาถึงปัจจุบันเราก็จัดการ จัดการให้เป็นไปตามที่เราต้องการ เราต้องการเพราะเรามี วสวัตตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจจริง อะไรเดินทางมาจากอนาคต ถ้าอนาคตยังไม่สูญ เดินทางมาถึงเราเราก็จัดการให้เป็น 0 เมื่อปัจจุบันนี้เป็น 0 จนยั่งยืนเที่ยงแท้สะสมลงไปเป็นอดีตมีแต่ 0 สะสม เพราะปัจจุบันมาถึงปัจจุบันมีพลังงานของ วสวัตตี ทำให้เกิด 0 ได้ทุกตัว แล้วก็สั่งสมเป็นฐานตกผลึก เป็นที่ตั้งของสมาหิโต เป็นที่ตั้งของตัวเราเอง ของตัวใครตัวมัน ก็มีอดีตที่เป็น 0 มากขึ้นในอนาคตมาอีกเท่าไหร่ก็ถูก 0 จากปัจจุบันและอดีตจัดการให้เป็น 0 ได้หมดเลย มีฤทธิ์มีอำนาจเด็ดขาดถึงขนาดนั้น
ยิ่งกว่านั้นพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าแม้แต่อนาคตมีรังสีของอดีตและปัจจุบัน อนาคตเดินทางมาไม่ถึงตัวเรา รังสีนั้นก็ไปจัดการก่อนมาถึงตัวเราแล้ว สุดท้ายอนาคตเดินทางมาถึงตัวเราถูกรังสีที่สูงสุดคือรังสี 7 จัดการก่อนมาถึงตัวเราแล้ว พลังงานของเรามีวสวัตตีโก คือผู้ที่ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ พลังงานในอนาคตจะมาเท่าไหร่มาถึงปัจจุบันก็เป็น 0 ก่อน
นี่คือ พระพุทธเจ้าสอนให้ศึกษาในปัจจุบัน ในเวทนา 108 ตรงที่ให้ทำ 36 ปัจจุบันให้เป็น 0 กับทำ 36 เมื่อเป็น 0 อดีตก็เป็น 0 ปัจจุบันนี้สามารถทำให้เป็น 0 ได้ทุกตัว ปัจจุบันก็คือ 0 อดีตก็คือ 0 อนาคตมาเท่าไหร่เจอรังสีที่ว่าก็ถูกทำให้เป็น 0 หมด อนาคตเข้ามาใกล้เท่านั้นเราก็จัดการก่อนจะถึงเรามันก็เป็น 0 แล้วนะ
เพราะฉะนั้นอนาคตจึงชื่อว่า 0 ด้วย ปัจจุบันนั้นเป็น 0 แน่ อดีตก็เป็น 0 เพราะฉะนั้นคนที่สามารถเรียนรู้อดีตส่วนอดีตก็ทำให้เป็น 0 ได้ส่วนอนาคตก็ทำให้เป็น 0 ได้ ส่วนปัจจุบันนี้คือสิ่งที่ตั้งอยู่ปัจจุบัน คือสิ่งตั้งอยู่คือธรรมะ คนก็คือธรรมะ เป็นองค์ประกอบของธรรมะพระพุทธเจ้าจึงเรียกว่าธรรมกาย ชื่อธรรมกายจึงเป็นชื่อของเราตถาคต กายคือสภาพ 2 คือรูปกับนาม
คนเริ่มต้นมาบวช อุปัชฌาย์ต้องมีความรู้เรื่องแยกกายแยกจิต มีความรู้ทำจิตให้เป็นอุตุ หรือพีชได้ ให้เป็นพืชเป็นสภาวะที่ไม่มีกาย เป็นอุตุไม่มีกายแน่นอน แต่จิตยังมีกาย
จิตนิยามปัจจุบัน เราเป็นคน เราเป็นสัตว์โอปปาติกะที่ยังมีจิตนิยาม มีพลังงานธาตุรู้ที่เจริญด้วย ไม่ใช่ธาตุรู้ที่ไม่มีแรง แต่เป็นธาตุรู้ที่เจริญๆยังไม่มีที่สิ้นสุด จึงสามารถทำให้พลังงาน ไม่ว่าส่วนใดๆของจิต ทำให้เป็นพลังงานอุตุได้ เป็นพีชะได้ เป็นพลังงานไม่มีกายเป็นสังขารที่ไม่มีกรรมครอง ไม่มีวิญญาณครอง ไม่มีเวทนา เป็นอนุปาทินกสังขาร ก็อาศัยอันนี้อยู่
อาศัย พลังงานสระอะ สระอา คุณเอาหัวอะ ออก เอาหัว อ.อ่างออกก็คือ 0 นี่คือรูปธรรมของภาษา ไม่ได้โมเมนะที่พูด เรื่องสัญลักษณ์ต่างๆของพยัญชนะ คือสภาวะที่ผู้รู้มาตั้งพยัญชนะขึ้น ก็เอาจากสภาวะทั้งนั้นแหละมาตั้ง
เพราะฉะนั้นโลกนี้ คนหรือสัตว์โลก โอปปาติกะ เกิดมาตั้งแต่เสร็จเซลล์เดียวจนจะมาถึงเป็นคนต้องใช้เวลานานมาก แต่ถ้ามาเรียนรู้สูตรของพระพุทธเจ้าจะมีการพัฒนาอย่างลัด
พระพุทธเจ้าสอนว่าธรรมะของพระองค์เป็นลำดับไม่มีการลัด เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ แต่อันนี้เป็นนอกสัจจะเลย ศาสนาพุทธนี้ลัดที่สุด เพราะตรงที่สุด และเร็วที่สุดสั้นที่สุด ลัดคัดสั้น ตรงที่สุดเร็วที่สุด
สิ่งที่เร็วที่สุดคือสิ่งที่ตรงที่สุด คือสิ่งที่สั้นที่สุด สุดยอด คุณจะเรียนรู้พลังงานทางฟิสิกส์ ทางเคมีก็ตาม ทางฟิสิกส์เป็นเรื่องของพลังงานชัดเจน ส่วนเคมีเป็นการเรียนรู้ทางธาตุต่างๆ เคมีเป็น Static ส่วนฟิสิกส์คือ Dynamic อย่างนี้เป็นต้น แยกสภาวะสองชัด แล้วเอามาใช้มันเร็ว เรียกว่าอย่างสิริมหามายา เหมือนนักมายากล คนหมุนสมองไม่ทันสมัยก็ถูกหลอก ไม่ใช่หลอก แต่ตัวเองโง่ เห็นถูกเป็นผิด เท่านั้นเอง มุมผิดนี้ยาวนาน มุมผิดนี้เชื่องช้า ตรงข้ามกับเมื่อกี้ ลัดคัดสั้น มุมผิดนี่ยาวนานเชื่องช้า แข็งตัว ทำลายยาก พระพุทธเจ้าถึงรู้ทั้งสองอย่าง หรือทำตัวเองให้เป็นทั้งสองอย่างได้ จึงถือว่าเป็นผู้สมบูรณ์แบบทั้งสอง สำเร็จทั้งสองอย่าง เรียกว่าอุภภโตภาควิมุติ อุภโตแปลว่าสอง ภาคแปลว่าส่วน เป็นผู้วิมุติหลุดพ้น นิโรธ นิพพาน ครบสองอย่างเลย เสร็จแล้วไม่ยึดตัวตนทำสองอย่างได้
วิชชา 8 ประการ และปฏิจจสมุปบาท
ความไม่รู้ใน อวิชชา
-
ไม่รู้..ทุกข์ (ทุกฺเข อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขสมุทัย (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขนิโรธ (ทุกฺขนิโรเธ อญฺญาณํ)
-
ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์ 8)
-
ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง) ปุพพันเต อัญญาณัง
-
ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง) อปรันเต อัญญาณัง
-
ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต อัญญาณัง) .
-
ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท (หรืออิทัปปัจจยตา)
(พตปฎ. ล.34 ข.691 ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)
ถ้าไม่รู้ทั้งหมดอธิบายไม่ได้ อาตมารู้ทั้งหมดมีสภาวะไม่มีอวิชชา 8 นี้แล้วไม่ได้โม้ไม่ได้คุยตัว อาตมาหมดอวิชชา 8 นี้ได้แล้ว
4 ตัวแรกอวิชชาคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรรค
อีก 4 ตัวหลังทั้งอดีตทั้งอนาคต ไม่ง่าย พวกเราสะสมพยัญชนะไปก่อนแล้วค่อยทำสภาวะ อันที่ 7 เป็น 0 ส่วนอดีตกับอนาคต ไม่ 0 ถ้าอรหันต์ขึ้นไปไม่มีอกุศลแต่มีกุศล ตราบที่มีชีวิต ส่วนอดีตก็เพิ่ม เพราะอดีตต้องมาผ่านปัจจุบัน ปัจจุบันทำให้ 0 หมด อดีตก็เป็น 0 ไม่รู้กี่ล้าน0 เป็นแกนเป็นฐานตั้งให้ปัจจุบัน จนกระทั่งมีฤทธิ์มีอำนาจ อนาคตเข้ามาไม่ถึง มาถึงปัจจุบันอย่างไรก็ทำให้เป็น 0 ได้หมด ทั้งส่วนอดีตและส่วนอนาคตก็ 0 แต่ส่วนอดีตนั้นไม่เที่ยง ส่วนที่มีอยู่ก็ทำให้ไม่มีไม่มีไม่มี ส่วนที่มีก็ทำให้มีเพิ่มมีเพิ่มมีเพิ่ม อนาคตก็ไม่มี อนาคตก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆคุณมีวัตถุได้ล้านนึงแล้วอนาคตจะหามาอีก 2 ล้าน อนาคตไปเรื่อยๆไม่รู้จักจบอนาคตไม่รู้จักพอ ไปถามธนินทร์ดูก็ได้ ถามทักษิณดูก็ได้ ขออภัยที่ยกมา เป็นตัวอย่างคนจริงๆ หรืออย่างนาย โดนัลด์ ทรัมป์ คิมจองอึน หรือเศรษฐีตะวันออกกลางเยอะแยะ ไม่ออกชื่อ ไม่อยากสร้างศัตรูไปตอแยไม่ดี อันนั้นพูดกันยากยกไว้ พอพูดไว้แค่นี้
ในสังคมมนุษยชาติ ถ้าเราจะเข้าใจหรือเราจะรู้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร รู้จักทางหนีทีไล่ เราก็รู้จักที่ต้องหลีกเลี่ยงหรือจะไปอุ้มชู ผู้ที่รู้ปัจจุบันอย่างคล่องแคล่วที่สุดคือผู้มีปฏิจจสมุปบาท 11 หรือ 12 ที่เป็นชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ไปเรื่อยๆ ซึ่งเราไม่เอา มันเป็นนามธรรม เราไม่มีชรา หนุ่มตลอดหนุ่มเสมอ เราจะถึง 120 หรือไม่ คือไม่ประมาท
ตอนนี้รู้สึกว่าชีวิตร่างกายขันธ์เรานี้ต้องทำให้มันแข็งแรง จนกระทั่งไม่ต้องไปช่วยมันมาก ตอนนี้มันต้องช่วยอยู่บ้างมันไม่ลงตัวดี จนกว่าจะลงตัว ลงตัวได้ก็มี 2 นัยยะ
-
พลังงานของอวัยวะ 32 ของเราองคาพยพ 32 มันทำงานเก่ง สมดุล โดยไม่ต้องไปจัดการ มันจัดการเองเสร็จเป็นตถตา เป็นอย่างนั้นได้เองเลย