640605_พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก และบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ปี 2564
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1TFdMLbdUXroMHG97cO-z8cFjTn9WiVDwnhel8vE32pc/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1DNXs2awPMgWynjO_xS9odFi0sUJIy74a/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/tZvb_W6ytqw
พ่อครูกับกรรมอันลหุตาในงานอโศกรำลึก
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้วันคล้ายซ้ำที่อาตมาเกิดมา 87 ปีแล้ว อายุ 88 ปี เป็นวันเกิดในพศ. 2564 เอา 77 ลบ 64 ได้เท่าไหร่ ก็เป็นอันว่าเต็ม 87 เริ่มต้นวันนี้ วันที่ 5 เป็นวันคลอด แม่บอกว่าตอนคลอดเห็นหลังพระกลับมาจากบิณฑบาต เห็นหลังไวๆเข้าวัด เป็นวันที่อาตมาเกิด ตรงกับแรม 10 ค่ำเดือน 7 ปีจอ วันอังคาร แต่วันนี้วันเสาร์ ก็ทุกอย่างเวียนวนอยู่อย่างนั้น ในโลกก็เวียนวนกลับกาละ
อโศกเราเกิดมา แล้วก็เวียนวนมาบรรจบ เราก็เอาวันสักวันหนึ่ง เอาไปเอามาเอาวันนี้ แต่ก่อนนี้อาตมาไม่ได้ให้เอาวันที่ 5 นะให้เอาวันที่ 9 มิถุนายน วันครองราชย์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้เป็นวันอโศกรำลึก เสร็จแล้วเอาไปเอามา ก็ลากงานให้หลายวัน จนมาถึงวันที่ 5 ที่จริงจัดแค่ 6-10 ก็พอแล้ว แต่ก็ดึงมาถึงวันที่ 5 จะได้ คืออาตมาไม่ได้ตกใจไม่ได้ตื่นเต้นไม่ได้ดีใจ ไม่ได้เสียใจ ไม่ได้ต่อว่าต่อขานอะไรหรอก ก็เป็นเรื่องจริงที่เขาจะมีกันก็ว่ากันไป
อาตมาก็เป็นไปตามมวลมนุษย์ ที่ชุมนุมกันรวมกันอยู่ อาตมาก็ทำกรรมคือการกระทำ กรรมของอาตมาที่คิดว่าควรทำกรรมในทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที มาก็กำหนด แล้วแสดงออก ทางกายวาจาใจ ที่ไม่แสดงออกคือในใจก็เอาไว้ ถึงเวลาใดที่เหมาะก็แสดงออก แล้วมันก็จะเกิดผล เมื่อแสดงออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม ถ้าอยู่ในมโนกรรมก็อยู่เป็นผลแก่ตัวเราเท่านั้น พอออกมาถึงเป็นวจีกรรมกายกรรม แล้วมันก็ไปกระทบสัมผัสกับมนุษย์อื่นๆ กับคนอื่นๆ ก็เกิดปฏิกิริยากันไป
ปฏิกิริยาอื่นๆที่เกิดขึ้นมันก็จะเป็นปฏิกิริยาผลักและดูด แรงและเบา มีผลมิติอื่นๆอีกหลายนัยยะ ก็เกิดไปเป็นธรรมดาธรรมชาติของมนุษยชาติ พระพุทธเจ้าก็มาศึกษาสิ่งเหล่านี้และมาสอนให้รู้แล้วก็ให้อยู่กับมนุษย์ จัดการกับมนุษย์ให้ดีที่สุด แล้วโลกทั้งใบจะดี จัดการให้อยู่กันดีที่สุด แล้วโลกทั้งใบก็จะดี เราก็ต้องตัดกรอบมาจัดการไปทีละปริเฉท อย่าไปตะกละเอามาก คนเก่งก็ทำได้หลายปฏิเสธ เอามารวมกันเข้า คนเก่งก็ทำได้หลายปริเฉท
ในรูป 28 ปริเฉทของพระพุทธเจ้าสรุปไว้อันหนึ่งมี 1 เอามารวมกันรูปนาม แต่ละปริเฉท จัดการให้ลงตัวก็สั่งสมลงเป็น วิการรูป
สิ่งที่ให้สะสมเป็นวิการรูปได้ลงตัว ไม่ว่าจะเป็น ลหุตา มุทุตา กัมมัญญา เป็นลักษณะของพลังงานจิตทำให้เกิด ลหุตา แปลว่า เบา
มุทุ รากศัพท์บาลีแปลว่า อ่อน อ่อนไหว ไม่ใช่อ่อนแรง ท้อแท้นะ แต่ทำให้แรงก็ได้ไม่ยาก เรียกว่าอ่อน มุทุ บาลีแปลว่าอ่อน ซึ่งจริงๆแล้วทำให้คล่องตัวได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของ static หรือลักษณะของ dynamic ลักษณะของการที่จะทำให้เป็นจุดตั้ง แกนตั้ง ที่แข็งแรงเท่าใดก็เป็นแกนตั้งที่แข็งแรงที่สุดเท่าที่แต่ละคนจะมีได้ จะให้เคลื่อนไหวได้เร็วเท่าใด ก็เร็วได้ที่สุดเท่าที่แต่ละคนจะมีบารมี มีความสามารถที่จะทำให้เร็วได้ ทั้งสองอย่างนี้อยู่ใน 1 ทั้งแกนตั้งและแกนเคลื่อน 2 อย่างนี้อยู่ใน 1 คือในมุทุภูตธาตุ
เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ที่สามารถมีสิ่งนี้แล้วใช้สิ่งนี้เป็น ถึงนำออกไปใช้เรียกว่า กัมมัญญา เอาไปกระทำด้วยอัญญา คือความฉลาดแบบโลกุตระ ก็เอาไปใช้ได้ยังเหมาะควร พอดีพอเหมาะ ได้อย่างดีที่สุด จึงเรียกว่าการงานที่เหมาะควร กัมมัญญา ออกไปก็มีวิการรูปอีก 2 คือ กายวิญญัติกับวจีวิญญัติ ก็ทำทางกาย วาจา การเคลื่อนทางกาย วาจาออกไปสู่ข้างนอก อย่างเช่นอาตมาทำมืออย่างนี้เป็นกาย พูดออกไปก็เป็นทางวาจาก็เป็นการครบ ซึ่งก็ประมาณให้เหมาะสมให้ควร เรียกว่า นัจจะ ท่าทางทั้งหมด จนกระทั่งถึงกระพริบตา เรียกว่านัจจะลีลาท่าทาง
คีตะ สุ้มเสียงสำเนียง จนเอาไปเรียบเรียงเป็นเพลง คีตะ แปลเป็นเพลงไปเลย หรือเป็นวาทิตะ คือคำพูดภาษาที่เลือกสรรมาใช้ให้เหมาะสมตามกาละ ตามควรของแต่ละบุคคล คนหยาบก็เลือกหยาบมาใช้ คนไม่หยาบก็เลือกไม่หยาบมาใช้ คนที่ประมาณได้พอเหมาะก็จะใช้ได้พอเหมาะ ถ้ามันอ่อนไปเบาไปก็ไม่มีน้ำหนัก ถ้ามันหยาบไปก็ไม่ได้เรื่อง ก็เลือกใช้ให้พอเหมาะพอดี เป็นคนมีปัญญาเลือกเฟ้นใช้ให้เหมาะสมกับองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่บุคคลเครื่องกินเครื่องใช้สารพัดที่เราจะเอามาใช้กับชีวิต แล้วก็ทางธรรมะ เป็นองค์ประกอบที่จัดสรร ทำขึ้นมา
ที่พูดไปนั้นมันละเอียด ตัวหนังสือหลักการมันมีไม่มาก แต่ว่าจริงๆมันละเอียดลึกซึ้งซับซ้อนในสภาวธรรมมีเยอะ
รูป 28 กับ นาม 5 ที่พระพุทธเจ้าสอน อาตมาก็นำเอามาขยายความและให้ใช้งานซึ่งไม่ง่ายมันยาก ก็ค่อยๆอธิบายกันไป ตอนนี้เอาคุหัฏฐสูตร ขยายความให้เห็นข้อบกพร่องข้อผิดพลาดของชาวพุทธ อยู่ในนี้ครบเลยอาตมาถือว่าครบ ก็ค่อยๆขยายความขยายสภาวะไป
ทุกอย่างเกิดจากรูปกับนาม 2 ตัวนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ในอาหาร 4 ข้อที่ 4 ว่า วิญญาณอาหาร ผู้ที่รู้จักรูปกับนามของวิญญาณได้แล้วเรียกว่าเป็นอันรู้ทุกอย่าง ก็ไปจัดการกับรูปกับนาม แล้วยิ่งขยายเป็นรูป 28 นาม 5 มันจะสังขารสังเคราะห์การต่างๆ เราก็ต้องไปเรียนรู้สังขารและทำต่างๆ แล้วเราจะเข้าใจความเป็นคนความเป็นตัวเราตัวคน แล้วแต่ละคนรวมกันก็เป็นสังคมกลุ่มหมู่ หมู่เล็กจนกระทั่งถึงหมู่ใหญ่ จนถึงทุกวันนี้ระดับ globalization เป็นระดับ ฟ้า บ่ กั้น สำนวนแปลของลาวเขาเจ๋งตรงนี้ ไปได้ไม่มีอะไรกั้นได้แม้แต่ฟ้า เป็นสารสนเทศที่ต่อเนื่องถึงกันหมดทั่วโลกเลย ไม่ว่าจะเหนือตกออกใต้ บนล่างอะไร สัมผัสถึงกันหมดเร็วด้วย อยู่ที่ไหนก็ติดต่อกันได้ถ้าได้เครื่องมือสมบูรณ์แบบก็ติดต่อได้หมด จะต้องมีทั้งคู่นะ มีคนเดียวก็ติดต่อกันไม่ได้ ต้องมีคู่ เป็นสื่อสารเครื่องมือเทคโนโลยีเขาอย่างนี้ทำได้หมด เก่ง เรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์ทางวัตถุ
คนก็สามารถที่จะเอามาใช้ประกอบ คนขี้โกงก็เอาไปใช้ประกอบในทางเอาเปรียบเอารัดรู้มาก รู้มากก็เอาไปใช้ประโยชน์ตนเองขี้โกง เป็นบาปเวรเป็นภัยต่อตนต่อท่าน คนที่เข้าใจดีแล้ว จะไปทำภัยทำบาปทำไม ชีวิตพัฒนาขึ้นสั่งสมกุศลวิบากของตัวเองไป ดีกว่า จะไปทำอกุศลทำไม ชีวิตยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เราก็จะได้อาศัยกุศล หรืออาศัยบุญ บุญคือการชำระกิเลส แล้วต้องเข้าใจบุญว่าต่างกับกุศล พระพุทธเจ้าแยก 2 คำมันต้องต่างกันแล้วต่างกันมากด้วย ซึ่งเป็นนัยยะสำคัญที่ทุกวันนี้อาตมาก็บรรยายอยู่ในหนังสือที่กำลังวางตลาด ราคา 0 บาท
อาตมาอ่านทวนดู ตอนนี้พึ่งอ่านได้ 90 หน้า มันมี 608 หน้า อ่านแล้วก็รู้สึกว่าขยายความได้ไม่เลว เรียกว่าดีมาก นี่รวบรวมมาจากข้อเขียน 2 ฉบับ แล้วมาขยายแก้แล้วไขอีกได้เป็น 600 กว่าหน้า จาก 8 หน้า ในหนังสือพิมพ์เราคิดอะไร เริ่ม 320 กับ 321 ยังไม่จบด้วยนะ มีถึง 351 ยังอีก 10 แค่ 2 ยังขยายได้มาก แล้วอีก 10 จะขยายอีกเท่าไหร่
สู่แดนธรรม…พวกเราถึงอยากจะเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆครับ
พ่อครูว่า…มันก็ไม่รู้จักจบสิ ไม่รู้จักจบก็ไม่ได้อรหันต์ อาตมาถึงบอกว่าพวกเรามีจุดที่ได้จุดที่มีจุดที่จะจัดสรร จะสรุปจบได้กันแทบทุกคน อย่างน้อยจบโสดาบัน จบสกิทาคามี ถ้าจบโสดาบัน สกิทาคามี ซึ่งอาจจะยากหน่อย เพราะมันจะลงตัวกันยากสกิทาคามีมันเหลื่อมไปถึงอนาคามี อนาคามีก็ตัดจบได้ แล้วก็เป็นอรหันต์ยิ่งตัดจบได้เก่ง พวกเราสามารถตัดกรอบให้รู้จักทีละปริเฉท มันอาจจะทำยังไม่ชำนาญทำยังไม่เป็น ก็ค่อยๆเรียนรู้กันไป
รำลึกถึงอโศกรำลึก
พ่อครูเทศน์เปิดงาน งานคืองานอะไร งานอโศกรำลึก มาถึงครั้งที่ 40 เราเคยจัดงานอโศกรำลึกที่กลางถนนราชดำเนินมาครั้งหนึ่งแล้ว เพราะว่าเราไปชุมนุม ก็เลยจัดงาน มันตรงนี้แหละถนนราชดำเนินนี่แหละ ก็เคยจัดมาแล้ว มีการบูชาพระบรมสารีริกธาตุด้วย เป็นจุด interest point ระลึกถึงคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยพระบรมสารีริกธาตุเป็นเครื่องหมาย ซึ่งเรามีบรรจุไว้ในเจดีย์พระวิหารพันปีบรมสารีริกธาตุที่สันติอโศก หรือมีพระธาตุบรรจุอยู่ในพระนลาฏของพระพุทธาภิธรรมนิมิต ปางตรีลักษณ์ ปางแรก แล้วก็ปางวิชิตอวิชชา แล้วมีปางปรองดอง เราสร้างพระขึ้นมา 3 ปาง เราก็บรรจุพระบรมสารีริกธาตุใส่ไว้
เพื่อยืนยันว่ามีส่วนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อใช้เป็นสิ่งจูงนำ ว่าเราจะต้องรำลึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ เพราะท่านเป็นผู้ที่ตรัสรู้สิ่งสุดยอดแห่งความรู้และความจริงที่เราจะต้องเอามาเรียนรู้ทั้งความรู้และความจริงเป็นเทวะ เป็นภาวะสองอย่าง ความรู้ถือว่าเป็น Dynamic ความจริงถือว่าเป็น static ทุกอย่างย่อลงเป็น 2 อย่างนี้แหละบวกกับลบหรือ static กับ Dynamic ไปเป็นรูปกับนาม เป็น 2 อย่าง
หากว่าเป็นพลังงานยังไม่เป็นชีวะก็เป็นบวกกับลบเป็น static กับ Dynamic จนกระทั่งมาเป็นชีวะ แม้ในระดับพืชก็มีสองสภาพที่ปรุงแต่งกันอยู่ ปรุงแต่งกันเป็นสัญญากับสังขาร แล้วก็เกิดเป็นชีวะในระดับพืชยังไม่มีเวทนายังไม่มีวิญญาณ เพราะฉะนั้นพืชจึงไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีชอบ ไม่มีชัง ไม่มีวิบากจองเวรจองกรรมอะไร เพราะฉะนั้นกินพืชเป็นอาหารจึงไม่มีวิบากอะไร ถ้าไปกินเนื้อสัตว์มันมีวิบาก เนื้อสัตว์ใดก็แล้วแต่มันละเอียดจนเกินที่เราจะไประลึกถึงว่า สัตว์ทุกตัวมันเอาวิญญาณฝังไว้ในเนื้อมันได้แต่เซลล์ แม้แต่จุลินทรีย์ แม้แต่ไวรัสหรือแม้แต่ความเป็นชีวะเซลล์เล็กขนาดไหนก็ตาม ตัวมันอยู่กับอันนั้นทั้งนั้นเลย คนเป็นเซลล์ของเนื้อสัตว์ใดวิญญาณมันก็อยู่ในนั้นทั้งนั้นเลย แล้วมันจะจองเวรจองกรรมอยู่ทั้งนั้น รายละเอียดสุดเลย
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน ชีวกสูตร สภาวะ 5 อย่างที่เป็นบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย มันเป็นพฤติกรรมที่ละเอียดมากเลย เป็นพฤติกรรมของบุคคลที่ไม่ได้ลงมือเองนะ เป็นคนที่ชี้นิ้วให้คนอื่นทำทั้งนั้นเลย
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
วันนี้เพื่อนมา ให้แม่อีหนูเอาไปต้มยำรสเด็ดมาให้เพื่อนกินหน่อยนะ เอาไอ้โต้งมา แม่อีหนูได้ยินก็รู้แล้วว่าพ่ออีหนูสั่งอะไร รู้เลย มันมีแนวโน้มทิศทาง trend ของจิต เป็นทางชั่ว สัตว์มันก็อยู่ของมัน อย่าไปมีวิบากไปยุ่งกับมัน เฉพาะกับคนนี้ก็มีบาปตั้งเท่าไหร่แล้วต้องเลิก แล้วจะได้ช่วยเหลือกันให้สังคมเป็นสุข เรื่องสัตว์นั้นปล่อยไปเถอะตามยถากรรม ถ้าคุณไม่ไปทำอะไรกับสัตว์มัน สัตว์มันก็จะอยู่ของมันไป นอกจากมันหมักไล่ก็ไล่มันไปอย่าให้มันมายุ่งเกี่ยวนัก คุณเป็นคนก็มีปัญญาพอที่จะจัดการไม่ให้สัตว์มายุ่งเกี่ยวกับเราได้ แต่นี่ไปเอามาเองมาเลี้ยง เอามานอนด้วยกินด้วย เสร็จแล้วมันก็เกิดวิบากซับซ้อน ไม่รู้อะไร กับคนนี่ก็มีวิบากร่วมกันมหาศาลและที่จะจัดการกันให้ทุกคนอย่ามามีความพยาบาทอย่ามีความรัก อย่ามีกามมีพยาบาทแก่กันและกันเลย จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด
ไม่ใช่แค่พูดเอาแต่ต้องมาทำจริงๆให้เลิกให้ปล่อยให้วางไม่มีทั้งกามในระดับดูด ไม่มีทั้งพยาบาทหรือความผลัก ไม่มีพลังงานดูดผลักอยู่กันอย่างกลางกลางแล้วทำงานร่วมกันตามความเหมาะสมอย่างที่เราทำร่วมกันอยู่ได้เป็นอุเบกขา เจริญสูงสุดได้
เพราะฉะนั้นเราทำมา ยิ่งในยุคนี้ใกล้กลียุค งานที่จะให้คนมีความรู้ในพระพุทธพระธรรมของพระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้ ซึ่งไม่ใช่ธรรมะโลกีย์ที่วนเวียนอยู่และเอาผลประโยชน์สมบัติผลัดกันชมไม่ใช่ยังมีตัวมีตน แต่นี่ไม่มีตัวตนเลย มีแต่เกื้อกูลกันทุกคน มีแต่ใจก็คนอื่นไม่ได้เห็นแก่ตัวเลย แล้วมันไม่เสียหายเลยในสังคมทุกคนไม่มีใครเห็นแก่ตัวไม่มีตัวไม่มีตน มีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น มันจบแล้ว นี่คือความจบสูงสุดแล้วมนุษย์ ไม่ใช่แค่ปากเปล่าพูดแต่มันทำได้ อย่างอโศกเราทำได้มีคุณภาพประสิทธิภาพอย่างนี้ก็ทำได้ในคำสอนพระพุทธเจ้า
นับวันพวกเราจะเข้าใจดียิ่งขึ้นยิ่งทำให้เจริญมากยิ่งขึ้นเป็นทิศทางที่ไม่มีตัวตน ในทางที่ไม่ต้องยึดถือใครเป็นตัว ตัวเราก็เป็นศูนย์ มันก็ค่อยๆเป็นไปตามภูมิธรรมของแต่ละคน ในสังคมนี้ก็จะสุดยอดที่จะอยู่ด้วยกันเป็นสาราณียธรรม 6 เลย
สาราณียธรรม 6 เป็นธรรมะที่สรุปผลองค์รวม ส่วนวรรณ 9 เป็นการสรุปผลของแต่ละคน มีคู่อยู่ สาราณียธรรม 6 กับวรรณะ 9
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างเร่งกอบโกย…อะไรพวกนี้มันจริงทั้งนั้น ที่อาตมาสาธยาย เอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย
สังคมที่จะมีคุณสมบัติอย่างที่เราทำกันนี้มีหลักสูตรเรียนเพื่อทำตนเองให้มีวรรณะ 9 แล้วเกิดสาราณียธรรม 6 ซึ่ง 2 อันนี้เป็นสุดยอดแห่งสังคมแล้ว สังคมอโศกสาธารณโภคีจึงเป็นสังคมสุดยอด
ก่อนลงมาอ่านคอลัมน์ของเปลวสีเงิน เขียนถึงว่าตอนนี้เมืองไทย เป็นเมืองที่ต่างประเทศตื่นตัวที่จะมาฝึกสมาธิในประเทศไทย แต่ความรู้ของคุณเปลวมีความรู้แค่สมาธิของโลกีย์อยู่ พูดตรงๆบอกคุณเปลวเลยว่า ยังไม่เข้าสู่โลกุตระเท่าไหร่ สมาธิก็เป็นการฝึกแบบรวมซึ่งจะต้องรู้ ฌาน รู้ บุญก่อน ถ้าไม่รู้สมาธิ ก็ไม่เป็นโลกุตระต้องเข้าใจ ฌานวิสัยที่เป็นโลกุตระแล้วต้องรู้พลังงานตัวปลายของ ฌาน คือบุญ
บุญคือ ประหารมือสุดท้าย คือมือเพชฌฆาต ฌาน ก็เป็นตัวประหาร 1 2 3 บุญนี้เป็นมือ 4 จบเลย ชัวะ เป็นมือเพชฌฆาตเก็บกวาดสุดท้าย แล้วบุญก็ไม่มีอะไรหลงเหลือ ทำหน้าที่ดับกิเลสให้สนิทเด็ดขาดแล้วก็หายไปพลังงานนั้นไม่สะสม ถ้าขืนยังมีการบุญ มีบุญสะสมมันยังไม่ปรินิพพาน บุญเป็นหนึ่งอย่างเดียวไม่มีสอง ไปอ่านในหนังสือ เปิดยุคบุญนิยมกันดู ตอนนี้ออกหนังสือมาสองเล่ม มีอังกฤษแบบอโศกด้วย
สู่แดนธรรม…ได้ฝากหนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยมมาให้พ่อท่าน 1000 เล่ม และหนังสือตะลุยไฟตะไลเพลิง 840 เล่มด้วย ใครมางานจะได้หนังสือไปสามเล่ม
พ่อครูคือมนุษย์พืช
พ่อครูว่า…อาตมาเคยพูดว่าอาตมาเป็นมนุษย์พืช มนุษย์พืชคืออย่างไร มนุษย์ที่นอนอยู่ในห้อง ICU มีมนุษย์พืชเยอะ คือมนุษย์ที่พลังงานทางจิต มันตก มัน Drop ลงไป มันหยุดพลังงานขั้นจิตนิยามลงไปเป็น พีชนิยาม ลงไปเป็นพืชแล้ว คือ เป็นพลังงานที่มีแต่สัญญากับสังขาร กำหนดรู้แล้วก็ปรุงแต่งของมันเท่านั้น มันไม่มีเวทนา
ในขันธ์ 5 มีรูป สัญญา สังขาร มีรูปร่างกำหนดก็รู้ตัวมันเอง เมื่อตัดออกจากต้นตอชีวะของมันมันก็ตายมันไม่ต่อแล้ว มีแต่ปรับตัวภายในของมันเหมือนมนุษย์ มันมีพลังงานเหลือก็เป็นโมเมนตัมของมันสังเคราะห์ของมันไปจนกว่าจะหมด พืชมันจะยืดยาดกว่าจะหมดแรงนาน แต่คนนี้รู้จักตาย เมื่อตายแล้วก็จะทิ้ง แต่คนไม่รู้ก็จะวนเวียนซ้อนกันจนกลายเป็นไม่ยอมทิ้งร่าง ไปยึดร่างเป็นตัวเรา ตายแล้วก็ไม่ยอมทิ้งร่าง ร่างก็เลยไม่เน่า สังเคราะห์เป็นพลังงานโมเมนตัมที่อยู่เหลือในร่าง สังเคราะห์ไปมีเล็บที่ยาวขึ้น ตายแล้วใส่โลงแก้ว ผมก็ยังยาว เล็บก็ยังยาวขึ้น มันมีอาหารที่สังเคราะห์ได้อีกเบาบางซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ นี่แหละมันเป็นความซับซ้อนลึกซึ้ง ผู้ไม่มีความรู้ก็ไปเคารพนับถือกัน ที่ในวิญญาณมิจฉาทิฏฐิ
วิญญาณอาจารย์ที่ใส่โลงแก้วไปเคารพกันแล้วก็ไม่เน่า เล็บก็ยังยาว ผมก็ยังยาว แต่สักวาระหนึ่งก็ไม่ยาวแล้ว เมื่อหมดพลังงานที่จะมาเลี้ยงร่างกายจริงๆก็จะแห้งลงๆ เล็บก็ไม่ยาวแล้วก็เหลือแต่การสังเคราะห์ภายในก็แห้งลงไปเรื่อยๆอีกเหมือนกัน ไม่มีธาตุอาหารไม่มีจุลินทรีย์อะไรอีกมันก็มีแต่แห้งหายไปเรื่อยๆ แล้วคนที่มีมิจฉาทิฏฐิอย่างนั้นอยู่ ก็ไปยกย่องกันว่าเป็นยอด ที่จะต้องขอร้อง แทนที่จะเอาไปเผาไปทำลายเสียไม่ต้องไปติดยึด มันยังไม่เป็นสัมมาทิฏฐิตลอดไปติดคาอยู่อย่างนี้ ค้างอยู่อย่างนี้ มันยังไม่สมบูรณ์แบบ เขาก็ยังไม่รู้เรื่องกัน อาตมาก็ค่อยๆ ไขไป เปิดเผยไปเรื่อยๆ
ยกตัวอย่างไม่ว่าจะเป็นสายหลับตาอภัสรา หรือหลับตาแบบสุภกิณหา หรือหลับตาแบบสายธรรมกาย ธัมมชโย ซึ่งเขาเป็นสมีแท้ๆ ปาราชิกสองอย่าง 1.โกงเงินทองมากกว่าห้ามาสก จับได้ ศาลพิพากษาแล้วซูเอี๋ยกันไป 2.อวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน ก็ปราชิก 2 ประเด็นนี้ ส่วนการฆ่าคนกับการเสพเมถุนนะเราไม่รู้ เราไม่ได้ไปตามจับผิดหรอก เพราะเขาทำเองจนเปิดเผยไปทั่ว ขนาดพระสังฆราชมีพระลิขิตถึง 5 ครั้ง เขาก็ยังใช้เป็นอิทธิพลที่สูงจริงๆยอดเยี่ยมจริงๆ แสดงว่า เถรสมาคมทั้งเถรสมาคมยังไม่โงหัวเลย ยังถูกอกุศลถูกสิ่งที่ไม่ดีครอบงำอยู่ อาตมาพูดนี้ไม่ได้ว่าไม่ได้ด่า แต่พูดให้รู้ความจริงตามความเป็นจริงจะได้ไปปรับปรุงแก้ไขมันจึงจะเจริญขึ้น เมืองไทยจะได้เป็นเมืองที่พึ่งพาทางโลกุตรธรรมให้แก่โลกได้ดีขึ้น ไม่อย่างนั้นก็จมเน่าอยู่อย่างนี้มันจะใช้ได้อย่างไร ที่พูดนี้ไม่มีเจตนาร้ายอะไรแต่เจตนาดี
สู่แดนธรรม…นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ พ่อครูได้รูปได้นามก็เป็นธรรมะจัดสรร เช่น การได้คำนำหน้าว่าสมณะหรือการใช้วันที่ 10 มิถุนายน ที่เขาจะมากำจัดสันติอโศกให้เกลี้ยง ก็คงมีที่ปรึกษา ว่าต้องใช้วันเพชฌฆาตฤกษ์
ศาสตร์โลกุตระนำพาทุกศาสตร์ให้เจริญแท้
พ่อครูว่า…ต่อ สังคมที่ยังเอาคำสอนความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ท่านค้นพบความลึกซึ้ง ซึ่งเป็นความลึกลับของทางเทวนิยมเขา แต่เป็นความลึกซึ้งลึกล้ำของสัจธรรม เอามาเปิดเผยให้เห็นทุกอย่างครบรอบหมดเลย จนกระทั่งกลายเป็นอมตะ อมตะคุณจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้จะอยู่ก็ได้ไม่อยู่ก็ได้ สุดท้ายจริงๆก็คือหมด ไม่อยู่เลย 0 จากจิตนิยามซึ่งเป็นพลังงานจิตวิญญาณ เรียนรู้จนกระทั่งทำตัวเองให้เป็นพีชะ มีแต่คุณค่าประโยชน์ ไม่เป็นโทษภัยกับใครเลย แม้ว่าทุเรียนมันจะมีหนามมากมายก็ไม่มีโทษภัยกับใคร ใครจะไปแตะทิ่มแทงมันก็แล้วกัน มันอยู่ของมันเฉยๆคุณเอามือเอาร่างกายไปทิ่มหนามมันเอง
พืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นสิ่งที่ไม่เป็นโทษภัยกับใครเลยจึงเป็นจุดสำคัญที่พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ธรรมจิตนิยามคือพลังงานของคนนี้ จัดการพลังงานของคนนี้ให้มีคุณสมบัติมีประสิทธิภาพเหมือนพืชให้ได้ หมดลักษณะโหดเหี้ยมแบบ
จิตนิยาม หมดความโหดร้ายรุนแรงเลิก อย่างนั้นอย่ามาใส่ในจิตวิญญาณของตนเองให้พักให้เลิกให้หยุดเลย เพราะเราได้ฝึกฝนตามพระพุทธเจ้ามาจึงเริ่มทำได้มา 3 อันโลกีย์ก็พอรู้ว่า โลภจัด โกรธจัด มันเป็นลักษณะซาดิสม์รุนแรง มันไม่ดีหรอก ลักษณะสุขุม คัมภีรภาพ มันดีกว่าเยอะ ก็ค่อยๆดูค่อยๆฝึกมา จนกระทั่งรู้ว่าคุณค่าของความสุภาพ สงบ สูงกว่าความรุนแรงโหดเหี้ยม เป็นทิศทาง 2 ทิศทาง ความเบา ความสุภาพเรียบร้อยได้คุณภาพที่ได้ขีดพอดี ถ้าหากเลยไปชักจะไม่ค่อยดี ยิ่งเลยไปมากแรงหนักจะไม่ดีเลย เข้าใจแล้วทั่วโลกทุกวันนี้ โดยปริยาย เข้าใจกันทั่วโลก เขาจะต้องแสวงหาว่าทำอย่างไรเราจะเบาลง วิธีเบาลงเขาก็พยายามที่จะสะกดจิตให้หยุด โดยการบังคับ มันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดเบื้องต้น คนก็ต้องทำ ตามบารมี ตามขั้นตอน คนจะมาทำอย่างโลกุตระแบบพุทธเลยไม่ได้ทันทีหรอก ก็ต้องมีตัวเชื่อม
สายเจโต ใช้ Meditation สะกดจิตให้ระงับจึงเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างของพระพุทธเจ้า เป็นโลกุตระ โลกียะ ตัวเชื่อมตัวให้สงบ ตัวเบานิ่งควบคุมให้ได้ ไม่เอาแรง อย่างแรงอย่างร้ายอย่างโหด อย่างเช่น เจงกิสข่าน อเล็กซานเดอร์มหาราช อะไรพวกนี้หยุดเลิกเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังจะเอาลักษณะพวกนั้นมาใช้ในสังคม นี่ยังมีหลงเหลือยังมีอยู่ แต่ก็ทำอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ เขารู้ว่ามันไม่ดี แต่ก็ต้องทำเพราะว่าจะต้องเอาชนะคะคาน ต้องเอาความรุนแรงเป็นตัวกำหนดทำกับสิ่งที่เขาจะต้องเอาชนะ ที่นี้ผู้ที่จะรอดจากพวกโหดเหี้ยมพวกนี้ก็ตรงที่ว่า เราไม่ไปเอาชนะเขาเลยให้เขาชนะเราเลย คุณจะทำร้ายเราเมื่อไหร่ก็ทำได้ อันนี้แหละยิ่งใหญ่ ยอมท่าเดียว แพ้ท่าเดียว ไม่มีตัวตนเลย คุณทำดับ ทำ 0 ได้ แต่มันซ้อนคนฆ่าพระอรหันต์เป็นอนันตริยกรรม ไปทำร้ายคนที่ไม่มีตัวตนยิ่งบาปมากที่สุด เหมือนกับที่อาตมาเคยเตือนพวกเรา อย่ามาโกงอยู่ในชาวอโศก บาปมันแพง อย่ามาเอาเปรียบอยู่ในชาวอโศก บาปมันราคาแพง ถ้าจะไปเอาเปรียบก็ไปเอาเปรียบข้างนอกเขา บาปไม่แพงเท่ามาเอาเปรียบในชาวอโศก มันเป็นอย่างนั้น เรื่องนี้พวกมีกิเลสมากเขาก็ยังละเมิดแต่ก็ยังไม่รุนแรงมากหรอกในชาวอโศกก็เป็นขนาดนี้ บางคนก็แรง เราก็เห็นก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ขว้างงูไม่พ้นคอก็ปล่อยไป
สรุปแล้วสูงสุด ทำสังคมให้เป็นเทวะ เป็น 2 คือ ให้มีคุณสมบัติของวรรณะ 9 กับคุณสมบัติของสังคมเป็นสาราณียธรรม 6 ได้ นี่แหละจะเป็นหลักประกันเป็นเครื่องชี้บอกว่าเป็นสังคมเจริญที่สุด พวกเราชาวอโศกเป็นตัวนำทำอันนี้ได้ อย่างไม่ได้อวดเก่งไม่ได้อวดดีแต่พูดความจริงขยายความจริงให้ฟัง แล้วทำให้มันเจริญ ในแต่ละคนเจริญ มันก็จะเป็นจริง ถ้ามันไม่เป็นจริงก็จะไม่ได้ ถ้ามันเป็นจริงได้ก็จะเกิดมวลเกิดการรวมกันเข้าเป็นเอกีภาวะ เป็นภาวะหนึ่งเราก็ทำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ มันก็เจริญขึ้นตามสภาวะจริง
อาตมายังมั่นใจว่าทุกวันนี้โลกทั้งโลกรู้แล้วว่าจะหันทิศไปทางไหน เขายังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ในจุดสูงสุด จุดนิพพาน ซึ่งเป็นจุดสูงสุดจุดสำเร็จ กิเลสหมดแล้วรู้จักกิเลสตัวเองแล้วก็ทำกิเลสตัวเองให้หมดไปได้ นั่นเป็นจุดนิพพาน นั่นคือความรู้ที่จะต้อง รู้แล้วก็ทำให้ได้จนกระทั่งรู้จักกิเลสตัวเอง ที่เมื่อเกิดเมื่อใดก็รู้ แล้วกิเลสจะเกิดต้องมีการกระทบ ถ้าไม่กระทบมันนิ่ง ก็เลยไม่รู้ว่าตัวเองมีกิเลสหรือไม่มีกิเลสจริง ต้องกระทบกระแทกกระทุ้ง บางทีต้องกระทบแรงถึงจะกระดุกกระดิก ขนาดกระทบอย่างแรงมันยังไม่รู้สึกรู้สาเลย แทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้า แทงด้วยหอกร้อยเล่มกลางวัน แทงด้วยหอกร้อยเล่มเย็น อย่าไปเรียกว่าตายเลย ก็ยังไม่รู้สึกรู้สา อย่าไปว่าถูกแทงตายเลยแต่ว่าไม่รู้สึกรู้สา ยิ่งกว่าเอาสำลีไปทุบหนังแรด ทุบหิน ทุบโลหะ ทุบเข้าไปเท่าไหร่ เดี๋ยวก็หมดสำลี โลหะมันไม่ได้สึกอะไรเลย อย่าไปคิดถึง พระพุทธเจ้าให้เอาผ้าใยบัวบางเบา เอาไปลาดที่ยอดภูเขาเวฬุบรรพต 100 ปีเอาไปลาดทีหนึ่ง จนกว่าภูเขาจะสึกจึงจะเรียกว่าหนึ่งกัป คิดดูสิมันจะนานขนาดไหน
เรามาทำที่ปัจจุบันกระทบสัมผัสแล้วกิเลสมันเกิดอาการ เราก็รู้ว่ามันมีกิเลสก็แยกกิเลสเป็น 2 ขั้วใหญ่เป็นผลักเป็นดูด หรือเป็นรักเป็นโกรธ ก็ทำลายมันตั้งแต่หยาบให้มันลดลงจนเป็นพระอาริยะเป็นอรหันต์กันได้ ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
คนในโลกกำลังตามหาตามค้นพากเพียรที่จะรู้จักทฤษฎีอันนี้ ซึ่งมีองค์เดียวในยุคกัป ใน 5,000 ปีนี้ ก็มีพระพุทธเจ้าสมณโคดมองค์เดียว อาตมาก็มาสืบทอดอันนี้ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เอาไปพิสูจน์แล้วคุณจะรู้ว่าจริงหรือไม่จริง อาตมาอธิบายไว้ทำตามให้ดีคุณจะรู้เองด้วยตัวคุณเองว่าจริงหนอ จับกิเลสเอากิเลสออกได้ ตั้งแต่หยาบมา คุณจะรู้ได้ด้วยตนเองไม่ต้องไปบังคับให้เชื่อเลย อาตมา ทุกๆคนเชื่อตัวเอง ไม่ได้มาเชื่ออาตมาหรอก อาตมาเอาคำสอนพระพุทธเจ้าให้พวกคุณเข้าใจ พวกคุณไปทำคุณก็เชื่อในสิ่งที่คุณทำได้เอง ไม่ได้เชื่ออาตมา แล้วไม่จำเป็นต้องเชื่ออาตมา ให้เชื่อในผลในจิตของคุณเองที่ทำได้ที่เป็นปรมัตถธรรม
โลกุตรธรรมมีจริง คนที่บรรลุโลกุตรธรรมทำให้กิเลสดับเป็นนิพพานได้จริง มันจึงเกิดกลุ่มมนุษยชาติจริงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่อธิบายไว้ยืนยันไว้มีวรรณะ 9 มีสาราณียธรรม 6 มีเศรษฐกิจระดับสาธารณโภคีซึ่งสุดยอดเลย แม้แต่การเมืองก็เป็นการเมืองบุญนิยม
การเมืองที่เป็นสาธารณะอาศัย ไม่ต้องบริโภคหรอก เป็นการบริหารดูแลปกครองกันอย่างอาศัย เป็นสาธารณะอาศัย ไม่ใช่สาธารณะบริโภค อย่างนี้เป็นต้น จะเรียกโภคีก็ได้ มันมีทั้งการกินการใช้ การเมืองเป็นอุปโภค ทำกันคนละการงานคนละกิจ ก็เป็นการอยู่ร่วมด้วยสภาพ 2 ทั้งนั้น เช่น อุปโภคบริโภค ก็เป็นสภาพ 2 การเมืองกับเศรษฐกิจก็เป็นสภาพ 2 อย่างนี้เป็นต้น รัฐศาสตร์กับเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น รวมแล้วเป็นเรื่องของสังคม
อาตมาพาทำเรื่องรัฐศาสตร์ บริหารโดยไม่ต้องบริหาร มีการขัดแย้งกันพอเหมาะบ้าง ไม่ได้แรงเลย นิดนิดหน่อยหน่อยแล้วก็วินิจฉัยกันก็จบ ใครไม่ยอมก็ตัวใครตัวมัน ใครยอมก็จบ ยอมแต่ข้างนอกแต่ข้างในไม่ยอม ก็ของใคร ก็ของเอ็งไม่ใช่ของข้า
ธรรมนิยามแห่ง สมุปบาท ๔
สู่แดนธรรม…อยากอาราธนา พ่อท่าน นานมาแล้วได้ยินพ่อท่านพูดว่า อาตมามั่นใจว่าอโศกได้หยั่งรากลงแล้ว เพราะว่ามีตถตา
พ่อครูว่า…
-
ตถตา (ตนเป็นเช่นนั้นๆ ได้อย่างอัตโนมัติแล้ว หรือได้ความว่างเป็นสัจธรรมเช่นนั้นเองในตัวแล้ว)
-
อวิตถตา (ความจริงที่เที่ยงแท้แล้ว-ไม่กลับกลาย)
-
อนัญญถตา (เป็นไปอย่างนั้นแน่จริงชนิดไม่มีสิทธิ์เป็นอื่นอีกแล้วอย่างนิรันดร์)
-
อิทัปปัจจยตา (เพราะเป็นสิ่งนั้นได้จริงแล้ว จึงสืบต่อเชื้อความจริงในสิ่งนั้นได้.. อย่างมีของแท้จริงเกิดขึ้นสืบทอดให้กันและกันจริง)