640526 พ่อครูเทศน์เวียนธรรม วิสาขบูชา 2564 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1I2hGThgFMtcGdCVtRDMhup_BLJhYVtc_KuJN3Zdeqr4/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/18Xo8or9ig9zFOwGushVTesDnTfILzyux/view?usp=sharing และดูวิดีโอได้ที่ ศาสนาที่สลายอัตตาได้ศาสนาเดียวในโลก พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 26 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก วันวิสาขบูชาปุณมี หมายความว่าเป็นวันที่ฤกษ์พระจันทร์เต็มดวงของวันวิสาขบูชา วิสาขะ แปลว่า เดือนหก วันเดือนหกที่มีพระจันทร์เต็มดวง วันพระพุทธเจ้าประสูติ ซึ่งตรงกันหมด อันนี้ก็เป็นอจินไตย ตรงกันทั้งวันที่พระองค์ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน เป็นเรื่องที่ต้องเป็นอย่างนั้น นามรูปจะต้องลงตัวกันเป็นต้น เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เป็นเรื่องที่เป็นจริงมันเป็นอย่างนั้นจริงจะใช่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็จะไม่ใช่ พวกเรานี่เกิดมาเป็นชาวพุทธได้ มันเป็นความเจริญของวิบาก คนกว่าจะได้มาพบศาสนาพุทธ ขณะนี้ในยุคนี้ มีคนประมาณ 7 พันกว่าล้านคนในโลกนี้ ศาสนาพุทธที่อเมริกาเขาก็มี ศาสนาพุทธที่ประเทศไหนๆเขาก็มี อาจจะมีบางประเทศที่อาตมาก็ไม่รู้ใน 200 กว่าประเทศ คนบางประเทศอาจจะไม่เคยได้ยินได้ฟังว่ามีศาสนาพุทธเลยอยู่ในโลก แต่ศาสนาเทวนิยมมีทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นศาสนาคริสต์ อิสลามหรือแม้แต่ศาสนาผีก็มีเยอะแยะมากมาย แต่ศาสนาพุทธมีศาสนาเดียวในโลก ที่เป็นพุทธ เป็นศาสนาหนึ่งเดียวที่เป็นยอดพีระมิด อยู่จะงอย คือเกาะอยู่ติ่งอยู่ งอย เพราะว่าเล็กละเอียดเหลือเกิน สูงส่งเหลือเกิน พูดแต่เฉพาะพวกเราพูดที่อื่นเขาจะหมั่นไส้ เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ทำให้สามารถสลายอัตตา สลายวิญญาณที่เป็นอัตภาพ เป็นตัวเราของเรา สลายแยกธาตุออกไปเลยจบ หมดความเป็นวิญญาณ ตรงกันข้ามกับเทวนิยม วิญญาณของเขา อัตตาของเขานิรันดร สลายไม่ได้ สูญไม่ได้ เขาจึงไม่มีนิพพานกันเลย ก็มีศาสนาพุทธนี่แหละมีนิพพานจริงๆได้ศาสนาเดียว ศาสนาที่มีนิพพาน รู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน สามารถที่จะยังจิต ยังอัตภาพ ให้เป็นไปในอำนาจได้ เป็น วสวัตตีโก ทำธาตุรู้ อัตตาตัวเอง วิญญาณของตัวเองยังให้เป็นไปในอำนาจได้ ในที่สุดสลายไปได้เลย ไม่ต้องไปเกรงกลัวพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้เป็นเจ้าของวิญญาณเลย ไม่ต้องเกรงกลัวพระเจ้า สลายอัตตาทิ้งก็ได้เลย ทำร้ายตัวเองต่อหน้าต่อตาพระเจ้าเลย พระเจ้าทำอะไรเราไม่ได้หรอก ว่าไปแล้วเหนือกว่าพระเจ้า สิ่งนี้เราพูดกันรู้เรื่องเข้าใจในศาสนาพุทธ แต่ข้างนอกไปพูดเราก็ต้องเกรงใจเขาบ้าง คนที่เขายึดถือว่าของเขาเป็นหนึ่ง เช่น ใครก็บอกว่าพ่อของเราดี ใครจะบอกว่าพ่อของใครดีกว่าพ่อของเรา เราก็ไม่ชอบ แต่คนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นก็จะบอกว่า ก็ไม่นะไม่หลงว่าพ่อตัวเองดีทีเดียวก็จะบอกว่าคนอื่นอาจจะดีกว่าพ่อของตัวเองได้บ้าง คนที่ไม่ยึดไม่หลงถึงขนาดนั้น แต่ถ้าอย่างเด็กๆนี่ไปว่าพ่อเขาไม่ได้นะ เขาจะยึดพ่อเขาเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นต้น ธรรมะสัปปายะ 4 มีในศาสนาพุทธ พวกเรานี้มีสัปปายะ อย่างที่ท่านเดินดินได้เกริ่นไปแล้ว มาถึงวันนี้แล้วเป็นสัปปายะ 4 ที่สมบูรณ์แบบ พูดกับคนอื่นข้างนอกเขาไม่ค่อยเข้าใจกันเท่าไร จะไม่รู้เรื่อง เสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ เสนาสนะ คือ สถานที่ แผ่นดิน อาณาเขต บริเวณ เป็นวัตถุ เป็นรูปปธรรม เป็นแผ่นดิน เสนาสนะ อย่างราชธานีอโศก สันติอโศก ศีรษะอโศก อะไรก็แล้วแต่ เป็นสถานที่ที่พวกเรามีสิทธิ์ และมีสิทธิ์อย่างสาธารณโภคี ซึ่งอันนี้ก็ยิ่งใหญ่ สาธารณโภคีนี้ยิ่งใหญ่ก็เป็นอันนึงล่ะ ที่อาตมามาในชาตินี้ได้มาพากันศึกษาจนกระทั่งเกิดเป็นรูปธรรม เป็นปรากฏการณ์จริง เกิดขึ้นมาได้ ถึงขั้นฆราวาส มาเป็นสาธารณโภคี อาตมาอธิบายไปหลายทีแล้ว ในยุคพระพุทธเจ้ายังทำไม่ได้แต่มายุคนี้ทำได้ ยืนยันพิสูจน์ให้โลกเขาเห็น พวกเรานี้จิตวิญญาณเป็นใหญ่ จิตวิญญาณสามารถที่จะไม่ยึดเป็นตัวเป็นตน ทรัพย์ศฤงคาร บ้านช่องเรือนชานก็ไม่หวงแหน บางคนก็อาจจะหวงแหนบ้านบ้าง เพราะว่าบ้านหลังนี้เราสร้าง ถ้าเราไม่อยู่เราใส่กุญแจไว้ ใครไม่ให้ หวงแหน แต่ทีนี้เราไม่หวงก็ถ้าเราไม่อยู่ มีความจำเป็นก็ให้คนอื่นเขามาใช้งานได้ด้วย อย่างนี้เป็นต้น แม้ที่อยู่ จะไม่ไปสลับสับเปลี่ยนกันก็คือ ไม่เป็นของกลางทีเดียวก็คือแปรงสีฟัน บางคนบอกว่าสาธารณโภคีก็ทำไมใช้ร่วมกันไม่ได้ อาตมาเคยเล่า แต่ก่อนเพื่อนก็บอกว่า แปรงสีฟันของข้าไปใช้ได้อย่างไร เพื่อนก็ว่าอะไรแปรงสีฟันก็ยังหวงอีก คนที่ไม่ยึดติดเป็นตัวเป็นตนก็มีจริงในยุคนี้ชาตินี้ ยืมแปรงสีฟันกันใช้มันก็คงไม่ได้ คนถือสา หรือเสื้อผ้าหน้าแพร บางสิ่งบางอย่างไม่ให้คนอื่นใช้หรอก เราก็ใช้ของเราคนเดียวอย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นบ้าง อันนั้นก็เป็นข้อยกเว้น แต่พูดถึงเรื่องของเสนาสนะ พูดถึงบุคคล พูดถึงอาหาร พูดถึงธรรมะ เอาอาหารก่อน เอาแค่อาหาร กับ ธรรมะ อาหาร 4 พระพุทธเจ้าท่านแบ่งเป็น 4 อาหารคือเครื่องอาศัย อาศัยในขันธ์ 5 นี้จะต้องใช้ มันจะใช้เป็นอาหารเครื่องอาศัยที่เป็นวิหาร หรือเป็นอะไรหารๆ ออกไปหยาบๆใหญ่ๆ ก็อธิบายได้ง่ายกว่า แต่สิ่งที่ติดใกล้ตัวก็สู้กวฬิงการาหารไม่ได้ อันนี้เข้าใจได้ยากกว่า ติดยึดกันเยอะมากกว่า ติดยึดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ข้าวของเป็นสิ่งที่ติดยึดเหมือนกัน แต่ก็ไม่เท่าไหร่ แต่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนี้แบ่งกันไม่ได้ด้วยนะ เป็นสิ่งที่แบ่งกันได้แย่งกันได้ การแย่งกันด้วยวัตถุก็ขนาดนั้น การแย่งกันด้วยรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็แย่งกัน ไปติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสแล้วก็แย่งกัน โดยเฉพาะรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่อยู่ในคน อย่างเช่นผู้ชายผู้หญิงไปแย่งผู้หญิงกัน จะเอารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสไปเสพไปเสวยไปสัมผัส ก็แย่งกัน วัตถุก็แย่งกัน แต่ก็ยังไม่หนักเท่าคน เพราะฉะนั้น ในกวฬิงการาหารก็เป็นวัตถุ ก็แย่งกันขนาดนั้น ไปถึงขั้นผัสสาหาร แย่งกันลึกซึ้ง แย่งกันสาหัสสากัน แต่เรื่องวัตถุก็เอากันถึงตายเหมือนกัน แต่ผัสสาหารมันเนียนกว่า ผัสสาหาร ก็อธิบายกันพอได้ เข้าใจ เป็นรูปธรรมที่พอสัมผัสติด ยิ่งมโนสัญเจตนาหาร อาหารถึงขั้นเจตนา มุ่งมาด มุ่งหมาย เจาะจง ผัสสาหาร อันนี้คนของข้า ข้ายึดถือไว้สัมผัสของข้าก็หยาบขั้นหนึ่ง แต่ถ้าเจตนา เจาะจงว่าเป็นของข้าเลย ของข้ายิ่งกว่าผัสสาหาร เจาะจง เจตนา มุ่งหมาย เพราะฉะนั้นในอาหารทั้ง 3 กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร รวมมาเรียนจากวิญญาณาหารได้ วิญญาณาหารแยกเป็น นาม รูป แล้วเรียนศึกษาวิญญาณาหาร หรือเรียนจาก นามรูป นามรูป คือสภาวะสองอย่าง เรียกด้วยภาษาว่า เทวะ หรือเรียกอีกศัพท์ว่า กาย คือ นามรูป เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธเสื่อมจากคำว่า กาย เข้าใจผิดคำว่า กาย เหลือแต่รูป ไม่มีนามเข้าไปร่วมกับกาย ศาสนาพุทธจึงไม่มีมรรคผล เสื่อมสูญไป เพราะฉะนั้นธรรมะในระดับโลกุตระหรือโลกียะ ธรรมะทรงไว้ซึ่งสภาพคู่เหมือนกัน สภาพคู่ของดีชั่ว ถูกผิด ก็เป็นโลกีย์ แต่กิเลสกับจิต เป็นโลกุตระ โลกุตระมีคู่คือโลกียะ มีแต่ศาสนาพุทธจึงมีโลกุตระ ศาสนาอื่นใดไม่มีโลกุตระเลย แต่ศาสนาใดๆก็มีดีมีชั่ว มีถูก มีผิด มีคู่ความถูกความผิด ความดีความชั่ว ความต่ำความสูงอะไรก็แล้วแต่ แต่โลกุตระไม่มี ศาสนาพุทธไม่ฆ่าแกงไม่โหดร้ายที่สุดในโลก เพราะฉะนั้นความหมายของธรรมะโลกุตระ จึงเป็นความหมายที่เหนือมนุษย์ จึงเรียกว่าอุตตระ เหนือกว่าใดๆ ในเรื่อง จิต เจตสิก รูป นิพพาน โลกุตระมีนิพพาน อื่นๆเขาไม่มี เทวนิยมไม่มีนิพพาน ความรู้ของพระพุทธเจ้าจึงเป็นความรู้ของมนุษย์ที่สุดยอดคนจะมาเข้าใจโลกุตระได้นั้นจึงยากมาก ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาไม่มีกรอบขอบเขตของความหวงแหนที่ไม่ให้ใครเข้ามาละเมิดกระทบสัมผัส หวงแหนอย่างนั้น ศาสนาพุทธมีน้อย ศาสนาพุทธนี้ใครจะด่า ใครจะว่า ใครจะดูถูกดูแคลนง่าย ง่ายกว่า เพราะไม่ไปรบราฆ่าฟัน ไม่ไปเอาเป็นเอาตายกับเขา แต่ศาสนาอื่นอย่าเชียวนะ อย่านะ โดยเฉพาะศาสนาอิสลามอย่าเชียวนะ ศาสนาอื่นใดๆก็แล้วแต่ก็ต่างกัน นับถือบูชายึดมั่นถือมั่น ศาสนาอิสลาม เป็นประเด็นดีที่บูชายึดมั่นถือมั่นสูงสุดเลย ประเด็นดีของเขา ของพุทธเรานี้หลวมเละ ใครจะไปกับศาสนาไหนก็เชิญ แต่ศาสนาอิสลามนี้ห้ามมีข้อห้ามเยอะกว่าศาสนาอื่น เรามาพูดถึงศาสนาของเรา พูดถึงศาสนาโลกุตระของเรา เป็นศาสนาที่ทำให้จิตวิญญาณ หมดตัวตน หมดความยึดมั่นถือมั่นเป็นเราเป็นของเรา มีเมตตาเกื้อกูลช่วยเหลือเอื้อเฟื้อแผ่กว้าง กว้างเกื้อเอื้อเอื้อมไปสู่ผู้อื่นได้จริงๆเยอะ เป็นศาสนาที่มีคุณวิเศษคุณสมบัติถึงขั้นคุณวิเศษเรียกว่าอุตตริมนุสสธรรม ซึ่งเป็นคุณธรรมคุณสมบัติที่เหนือกว่ามนุษย์สามัญจะเป็นได้ง่าย อาตมาภูมิใจมากที่เกิดมาชาตินี้ก็ยังได้มาสืบสานศาสนาพระพุทธเจ้าต่อ ที่พระพุทธเจ้าท่านนำมาสร้างไว้ แต่บัดนี้เสื่อมไปจนจะไม่เหลือเชื้อของโลกุตระแล้ว มีแต่โลกียะ แม้แต่โลกีย์ก็เละด้วย ในพุทธศาสนิกชนไทย ไปนับถือโลกียะแบบเละเลอะเทอะด้วย น่าสังเวชใจ โลกุตระไม่ได้ยังไม่พอยังไปทำโลกียะเละเทะอีก ศาสนาอื่นยังไม่เละเทะเท่าพุทธ พูดไปแล้วก็หาว่าไปถล่มทลายศาสนาพุทธ ก็ไม่ใช่ถล่มทลายแต่เอาความจริงความมีความเป็นมาพูดให้ได้สะดุดใจ ให้มาศึกษากันบ้าง จะได้กระเตื้องขึ้นบ้าง ไม่เช่นนั้นก็มืดมัวโมหะ จมอยู่ในที่หลง ขุดออกมาจากถ้ำก็ไม่ออก ไกลจากวิเวก คือไม่ใกล้เลย ไม่มีสิทธิ์จะใกล้วิเวกใดๆเลย เขาจึงไม่มีเครื่องอาศัย ไม่มีอาหาร พุทธนี่แหละเขาก็ไม่มีโลกุตระอาศัย ได้แต่โลกียะ เละเทะด้วย เราเกิดมาในยุคเดียวกับพวกเขา ยืนยันเหมือนกัน เราก็เป็นพุทธเขาก็เป็นพุทธ แต่เขามีมวลมากก็จะเอาเราให้ตายเพราะเราไปทำไม่เหมือนเขา แล้วไปกระทบเขาด้วยกระเทือนเขาด้วย เขาก็เลยจะเอาตาย อาตมาก็ต้องต่อสู้เพื่อจะบุกเบิกให้เขาชัดเจน ยอมให้อาตมาทำ เพราะอาตมาทำถูกของพระพุทธเจ้านะ แต่คุณเองทำไม่ถูกแล้วคุณจะมานั่งหวงก้างที่แทบไม่เป็นก้างแล้ว จนกระทั่งเป็นลมๆแล้งๆเป็นก้างเน่าๆแล้ว จนกระทั่งอาตมายืนยันพิสูจน์ทำงานมา ทุกวันนี้ก็ค่อยยังชั่วมากเลย สบาย ไม่มีการมาต่อต้าน ห้ามกั้นกันได้ เพราะว่า อาตมายืนยัน โชคยังดีมากมากตรงที่ว่านับถือพระไตรปิฎกฉบับเดียวกัน อาตมาก็ใช้พระไตรปิฎกเป็นหลัก แม้ว่าอาตมาไม่รู้บาลีก็พอจะรู้ไปกับเขา เอาตามพจนานุกรมเปิด เพราะเราต้องใช้บัญญัติภาษาตามเขา ถ้าอาตมาไม่เปิดพจนานุกรมก็แปลเอาเองก็ไปกันใหญ่ เขาก็ไม่รู้เรื่องเขาก็ไม่ยอมรับ ต้องไปแปลอย่างที่เขากำหนดหมายไว้นะ แม้จะแปลอย่างผิดๆมาก่อน เราก็ต้องเอาตามถูกอย่างนั้น แล้วค่อยๆขยายความปรับมาให้สู่ความถูกต้องที่สมบูรณ์ ต้องทำอย่างนั้นจึงยากมากเลย แต่มันไม่มีทางเลี่ยง ก็ต้องทำตามนั้น คนเราได้อาศัยศาสนาพุทธตรงไหนบ้าง มาถึงวันนี้แล้วได้อาศัย นี่พวกเราได้อาศัย คำว่าได้อาศัยไม่ใช่เรื่องตื้น แต่มันเป็นเรื่องจริงๆเลย เป็นเรื่องที่เอาชีวิตมาอาศัย อาศัยโลกุตระธรรมเป็นเครื่องอยู่ อาศัยก็แปลเป็นไทยว่า เครื่องเป็นอยู่ มีอยู่ ชีวิตเราดำเนินไปกับอันนี้ ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม ดำเนินไปอย่างไม่กินเนื้อสัตว์ นี่เป็นรูปธรรมง่ายๆ เขาก็ไม่เห็นจริงเห็นจัง เขาจะไม่รู้กันง่ายๆ ว่าไม่กินเนื้อสัตว์มันประเสริฐ นอกจากมันประเสริฐแล้วมันลึกซึ้งตรงที่ว่า เราตัดเรื่องของสันตติของการเชื่อมต่อระหว่างวิบาก เป็นวิบากระหว่างสัตว์ ตกลงสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายแหล่ นอกจากเราไม่กินแล้วไม่ฆ่า มันตัดขาดกันไปเลย เราไม่ฆ่ามันหยาบ เราไม่กินนี้ละเอียดกว่าอีกในทุกสัตว์ พูดถึงเรื่องกินสัตว์แล้วไม่มีใครสู้ชาวอีสาน กระดุกกระดิกได้ก็กินหมด เห็นตัวมันได้ก็กินจริงๆ บางอย่างเป็นพิษก็เอามากิน ดูอันนี้กินไม่ได้ก็รู้แล้ว อะไรกินได้ไม่เป็นพิษก็กินแหลก อร่อยไปหมด ตัวเล็กตัวน้อยก็กินหมด แต่พอมีความรู้แม้ว่าเป็นคนอีสานก็ตาม เราอยู่ในแดนอีสาน อาตมาเอาความจริงมาประกาศก็เลิกกินเนื้อสัตว์ได้ จึงเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ เช่น เว้นขาดจากปลาแดกนี้ก็เก่งแล้ว แต่นี่ไม่กินเนื้อสัตว์ทุกอย่างได้เลย ละเว้นได้หมดเลย เพราะเข้าใจเรื่องลึกถึงขั้นวิบาก ไม่ใช่ขั้นที่มันตื้นๆ แต่นี่เป็นเรื่องวิบากที่เป็นนามธรรม ชาวพุทธก็ตามทุกวันนี้ไม่ค่อยเชื่อกรรม ไม่ค่อยเชื่อวิบาก ไม่ค่อยเชื่อว่าการกระทำนี้เป็นผล เป็นวิบาก ทั้งทางกาย วาจา ใจ เพราะฉะนั้นถึงขั้นไปมีทางกาย เอาเนื้อเขามาใส่ปากเคี้ยวกิน มันหยาบมากเลย อาตมาอธิบายแต่แค่ว่า กายหรือว่าร่างของสัตว์แม้มันตายแล้ว อย่านึกว่ามันเองมันโง่นะ มันจะฉลาดมันตายแล้วไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา มันไม่เหมือนคนนะ คนนี้ยังมีความฉลาดที่จะรู้ พอจะรู้อย่างเป็นสามัญว่า ตายแล้วเราก็ไม่ยึดถือเป็นร่างของเราอีกต่อไป แต่สัตว์มันจะยึดถือร่างของตนเองหนักกว่า จะไม่ออกไปไหนง่ายๆ ทีนี้คนที่โง่ซ้อนก็ไม่รู้ ก็ไปสร้างจิตวิญญาณที่ยึดถือตัวตนเข้าไปอีก ยึดตนขนาดที่ว่าตายแล้ว เป็นมนุษย์พืชแล้ว ก็ยังยึดถือตนอยู่ ก็เลยไม่ค่อยเน่าเพราะเป็นมนุษย์พืช ก็ยังยึดถืออยู่มีพลังงานยังไม่ยอมไป เพราะฉะนั้นไปเติมพลังอาหาร อย่างเช่นมนุษย์พืชอยู่ใน ICU ก็เติมพลังงานให้มันอยู่ไปได้นานเท่านาน จนกว่าจะหมดอายุขัย หรือเจอโรคภัยก่อนก็ตายก่อนอายุขัย ถ้าไม่เจอโรคก็ลากอายุขัยไปอีก ทรมานทรกรรมไปเป็นมนุษย์พืชอีกนาน พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องอุตุ เรื่องพืช เรื่องจิต อันยิ่งใหญ่มาก ถ้าผู้ที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วไม่รู้พลังงานระดับพืช ระดับจิต ซึ่งเกิดได้ด้วยกรรมด้วยธรรมะ สัตว์หรือคนเป็นพลังงานจิตนิยามแล้วหนีไม่ได้ คุณเป็นแล้วคุณเป็นด้วยอวิชชามาจนกระทั่งก่อตัวเป็นจิตนิยามแล้ว คุณก็จะต้องอยู่กับจิตนิยาม ถ้าคุณไม่เข้าใจจิตนิยามไม่เข้าใจจิตเจตสิกต่างๆ คุณก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย คุณจะวนเวียนอยู่ในโลกียะ เป็นวิบากบาปวิบากบุญกันอีกนานเท่านาน แต่โลกีย์ก็พอรู้ว่าดี ก็ยังค่อยยังชั่วว่าดีมันก็ทำให้ตัวเองเบา มีความหนักน้อยกว่าความทุกข์ความชั่วที่มันไม่เบามันหนัก ทรมานทรกรรม โลกียะก็พยายามทำแต่ดี แต่มันไม่เคยเที่ยง ศาสนาที่มีความเที่ยงก็คือศาสนาพุทธเท่านั้น แล้วศาสนาพุทธก็เที่ยงเฉพาะอย่างเดียว คือ เอากิเลสออกไปได้อย่างแท้จริง ดับกิเลสไปได้อย่างแท้จริง หมดจริงเป็นอรหันต์และมีความเที่ยงแท้จะไม่เกิดวนเวียนอยู่ในโลกียะอีก แม้จะเป็นโพธิสัตว์จะเกิดอีกกี่ชาติก็ตาม อันนี้อาตมาอธิบายเปิดเผยโพธิสัตว์ระดับ 1 2 3 4 ระดับ 4 พ้นเป็นพระอรหันต์แล้ว เที่ยงแล้ว ถ้ายังไม่ 4 ก็ยังไม่เที่ยง แต่ก็ดีขึ้นจะเที่ยงขึ้นไปเป็น นิยต สัมโพธิปรายนะ ไปตามลำดับ พระบ้านนี้ติดยึดหนักกว่าพระป่า จึงได้แต่ตำหนิพระป่าก่อนพระบ้าน เพราะฉะนั้นความรู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นอัตภาพจิตนิยามแล้ว ถ้าไม่ได้ความรู้โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า มันก็พ้นไม่ได้ อาตมาก็เกิดมาชาตินี้เห็นศาสนาพุทธที่เขาเสื่อมกันไปหมดแล้ว เถรสมาคมหรือภาคที่เป็นส่วนใหญ่ คณะใหญ่ของศาสนาพุทธเมืองไทย เสื่อมไปจากโลกุตรธรรม ไม่ว่าจะเป็นสายพระบ้านหรือพระป่า เสื่อมกันไปหมด ไม่มีเหลือโลกุตรธรรมเลย แค่คำว่ากาย ก็ไม่สัมมาทิฏฐิแล้วตั้งแต่สังโยชน์ข้อที่ 1 มันน่าสังเวชใจมากแล้วก็ยังไปงมงายอยู่กับมิจฉาทิฏฐิ ทางปฏิบัติที่เป็นมิจฉา วิธีปฏิบัติอันเป็นมิจฉา ก็มีอยู่ 2 พวกใหญ่คือพวกพระบ้านกับพวกพระป่า พระป่ายังดีว่า ไม่หลงลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข พระบ้านนี้หนักหลงลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอย่างหนัก แล้วยึดหัวหาดอวิชชามิจฉาทิฏฐิได้ ครอบครองบริหาร พวกพระป่าก็บอกว่าบริหารก็บริหารไป เขาก็ปฏิบัติเป็นเดียรถีย์อยู่ในป่า อย่างน้อยเขาก็ไม่แย่งตำแหน่งยศศักดิ์อะไร ลาภยศไม่หนักหนาเท่าสายพระบ้าน ทั้งลาภยศสรรเสริญ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไปนับถือพระป่าก็ยังดี ส่วนพระบ้านนี้แย่ อาตมาไม่ไปแตะ หากไปแตะเขาเอาตายเลย อาตมาก็เลยแตะแต่พระป่า พระบ้านไม่ได้หรอก พวกนี้ถือง้าว เขี้ยวงอก เห็นไหม หน้าตาโปน พวกยักษ์พวกมาร แตะไม่ได้ แตะเดี๋ยวตาหลุดมาใส่ เขี้ยวหลุดออกมาใส่ ไม่ได้ เรารู้ว่าแตะะไม่ได้ก็ต้องปล่อยไปไม่รู้จะว่าอย่างไร เขาก็เรียนปริยัติ เรียนความรู้ทางบัญญัติ พระป่าเขาก็ยังไม่ค่อยเรียนเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ได้หลงบัญญัติ ติดยึดในพยัญชนะมากมาย แต่มันผิดทางเท่านั้น อาตมาละเหนื่อยเกิดมาในยุคนี้ ไม่รู้จักแงะอย่างไรพวกพระป่า พระบ้าน แต่ก็ยังไม่โดดเดี่ยว มีพวกคุณมาเป็นมวลให้อาตมาได้ช่วยเอาธรรมะพระพุทธเจ้าสถาปนาเข้าไปในจิตวิญญาณได้ จนทุกวันนี้พวกเราก็ยอมรับว่า เนื้อหาของโลกุตรธรรมมีจริง อารยธรรมมีจริง ยอมรับว่าตัวเองเป็นอาริยะ ทางโน้นเขาไม่กล้ายอมรับเพราะว่าเขาไม่รู้ ยิ่งพระบ้านเขายิ่งไม่กล้าใหญ่เพราะเขาไม่รู้ ส่วนพระป่านั้นมืด บอกว่าข้าเป็นพระอริยะ เป็นพระอรหันต์ แต่ก็ไล่ลำดับไม่ได้ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นอย่างไรเขาก็ไล่เรียงไม่ถูก ไม่มีรายละเอียด มีคำสอนมีแต่เขาไม่รู้สภาวะเลย นั่งหลับตาไปแล้วก็บรรลุอรหันต์ปึ๊งเลย เหมือนลูกกระสุนถูกยิงออกจากปากกระบอกปืน ปึ๊ง! เป็นอรหันต์แล้ว เหมือนลูกปืนพุ่งออกจากกระบอกปืน น่าสงสารจังทุกวันนี้ เขาเข้าใจผิดว่าเป็นพระอรหันต์แล้วจะพูดบอกใครไม่ได้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) น่าสงสารที่ทุกวันนี้ถ้าใครเป็นพระอาริยะ เป็นพระอรหันต์ แล้วบอกใครไม่ได้ เขาไม่รู้รายละเอียด เลยบอกว่าใครบอกว่าตนเองเป็นอาริยะตัดสินไปเลยว่าคนนั้นไม่ใช่อาริยะ ว่าอย่างนั้นเลยผู้รู้ทางด้านศาสนาที่เป็นใหญ่เลยนะ เข้าใจศาสนาอย่างนี้ ผู้บอกว่าตนเองเป็นอาริยะผู้นั้นไม่ใช่อาริยะ ไม่รู้เรียนมาอย่างละเอียดลออเป็นปราชญ์ทางศาสนาได้อย่างไร ทั้งๆที่มีขั้นตอนเยอะแยะ ในโลหิจจสูตร เล่ม 9 ก็บอกไว้ว่า ถ้าใครไปบอกว่าเป็นพระอาริยะบรรลุธรรมแล้วบอกใครไม่ได้ ใครมีทิฏฐิอย่างนี้ คติที่ไปเป็นมิจฉาทิฏฐิคือ ไม่เป็นสัตว์นรกก็เป็นเดรัจฉาน น่ากลัวนะ ไม่รู้จะสะดุ้งสะเทือนหรือเปล่า เพราะความไม่เข้าใจก็น่าเห็นใจเหมือนกัน เขาก็ไม่อยากทำ แต่เขาไม่รู้ ขนาดนี้ยังพอกระเตื้องรู้ขึ้นมาบ้างหรือยังก็ไม่รู้นะ อาตมาก็พูดไปพาดพิงถึงใครบ้างก็ขออภัย เพราะว่ามันก็ต้องพาดพิงในสิ่งที่จริง พูดลอยลมไม่มีใครเขาเป็นเลย มันก็ไม่รู้จะไปพูดถึงอะไรได้ คนก็บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องของคนสิอย่างนั้นแล้วจะไปพูดทำไมแต่นี่เป็นเรื่องของคนที่เป็นจริงในยุคนี้ สมัยนี้ เขาก็เป็นอย่างนี้อยู่ มันก็ต้องพูดต้องอ้างอิงบ้างก็ต้องขออภัย ที่พูดพาดพิงถึงกระทบ ถ้าบอกว่าอย่าไปพูดกระทบตนกระทบท่าน ก็ไม่ขอขยายความ พูดอย่างไรมันก็ต้องกระทบพูดดีมันก็กระทบ พูดผิดมันก็ต้องกระทบ พูดโลกุตระก็กระทบชาวอโศกอีก พูดโลกียะก็กระทบเขา หนักเข้าโลกียะชั้นต่ำก็กระทบอีก จะพูดไม่ให้กระทบใครแล้วไปพูดทำไม เราก็พูดว่าคนเป็นอย่างนี้ ถ้าหากพูดสิ่งที่คนเขาไม่เคยเป็นจะพูดไปทำไม แต่ถึงอย่างไรก็ตามอาตมาก็ยังสบายใจ เกิดมาในชาตินี้ได้มาทำงานของพระพุทธเจ้า แล้วก็ยังมีคนมารองรับความรู้นี้มาถึงวันนี้ ทำงานมา 50 ปี ก็ยังเห็นว่าตัวเองไม่สูญเปล่า ไม่เป็นหมัน ไม่โมฆะ ยังเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบายสาธยายสู่กันฟัง รับได้ เข้าใจได้เอาไปปฏิบัติเกิดมรรคผลขนาดนี้ ก็ยังอุ่นใจว่าศาสนายังจะมีคนรับและก็สืบทอดต่อๆ กันไปได้ ไม่เช่นนั้นแล้วหมดเลย ศาสนาพุทธด้วนแน่ ด้วนอย่างเร็ว เพราะโลกุตระะไม่เหลือ มันก็หมดแล้ว ตอนนี้ก็เติมโลกุตระเข้าไป ความรู้ก็จะสืบทอดกันไปอีก พวกเรานับวันก็ค่อยๆรู้ ค่อยๆทำไป แต่ละคนก็เจตนาอธิบายสาธยาย แม้เราประพฤติเท่านั้น กายกรรมของเราก็เป็นอย่างที่เราเข้าใจแล้วทำได้ ทำได้เท่านี้ก็ออกมาเท่านี้ วจีกรรม มันก็ออกมาตามจิตของเรา ตามที่เรามีเราเป็นเท่าที่เราสามารถเป็นได้ก็บอกเป็น วจี ส่วนมโนกรรม เป็นตัวแท้ที่จะเป็นตัวรู้ ตัวเป็นตัวได้ มันก็เกิดเป็น เกิดมี เกิดได้ อาตมาก็พูดไปเรื่อยๆจนกว่าเสียงไม่มีหรือพูดไม่ได้ สักวันหนึ่ง ก็เอ้า เดี๋ยว หามอาตมาไปเทศน์หน่อย มันเดินไม่ได้ไง ก็หามไปพูดได้อยู่ ก็หามอาตมาไปเทศน์หน่อย จะถึงขั้นนั้นมั้ยไม่รู้นะ…เอ้า ยืดยาดไปก็จะยาว สำหรับวันนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ หมดเวลา Category: ศาสนาBy Samanasandin26 พฤษภาคม 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:640524_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 3NextNext post:หนังสือ“รวมเปิดยุคบุญนิยม (เล่ม ๒)” โดยเก่าสมัย ใหม่เสมอ (สมณะโพธิรักษ์) จากคอลัมน์ “เปิดยุคบุญนิยม” ในหนังสือพิมพ์ “เราคิดอะไร” เป็นเนื้อหาภาคต่อจาก “รวมเปิดยุคบุญนิยม (เล่ม ๑)Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024