640523_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 2 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1UXBQ3QbrOQ1hwgJcJUfDskKQ-y8GaqMRIxJbc2CuZWc/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1mOAjRuCDUaXl6zi0I-SJN54dNEBJYAqD/view?usp=sharing และยูทูปที่ https://youtu.be/6IHmxv6ArEg ความประเสริฐสูงสุดของคนจบที่ตรงไหน พ่อครูว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก วันผ่านไปคนเราเกิดมาแล้วก็มามีชีวิตเดินไปตามกาละ เดินไปตามวันเวลา เดินไปเดินไปสุดท้ายก็ตาย ในชั่วระยะเวลาที่คนแต่ละคนยังมีชีวิต ยังไม่ตาย คนเราที่รบยังมีชีวิตอยู่ยังไม่ตาย แต่ละคนแต่ละคนบางคนก็รู้สึกว่าเวลาที่จะผ่านไป เขาก็คิดแล้วก็ทำ บางคนก็มีความคิดนำหน้า บางคนก็ไม่มีความคิดอะไรนำหน้าจัดการปัจจุบันเข้ามาเลย โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าที่จัดการไปเป็นการจัดการดีหรือไม่ดี ควรหรือไม่ควร ในโลกีย์ก็เขาคิดจัดการแค่ดีกับไม่ดีหรือชั่วกับไม่ชั่ว เขาก็มีปฏิภาณรู้ว่าทำดี ต้องจัดการให้ดี มันชั่วนี้มันไม่ดี แต่พระพุทธเจ้า มีการรู้ในการเผชิญไปๆ จะไปจบตรงไหน มันก็ไม่มีปัญหาเรื่องดีกับชั่ว เราก็ทำตนให้ดี อย่าชั่วเลย ทำแต่ดี ทำชั่วไม่เป็นไม่ทำชั่วเด็ดขาด สร้างพลังงานจิตของตัวเองให้แข็งแรงจนกระทั่งไม่ทำชั่วเด็ดขาด ทำแต่ดี ทีนี้นัยยะที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น ทำแต่ดี คำนี้มันไม่เที่ยง อยู่กับคนกลุ่มนี้ก็ถือว่าอย่างนี้ดีไปกับคนกลุ่มอื่นก็ถือว่าอย่างอื่นดีก็อาจจะต่างกันนิดฃก็ต่างกันคนละขั้วเลย อาจจะถือว่าสิ่งที่ดีนี้ชั่วสิ่งที่ชั่วนี้ดี ความคิดของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ตรงกันข้ามกัน ตรงที่ว่า ความคิดของคนอยู่ไปให้นิรันดร ไม่ตายได้ดีที่สุด แต่ความคิดของพระพุทธเจ้า ตายให้สูญนิรันดรดีที่สุด โอ้โห เพราะเห็นว่า หากเกิดต่อไป ก็มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป มันไม่เห็นว่าอะไรที่ชีวิตควรจะมี เพราะฉะนั้นพระผู้ที่จะรับคำสอนเหล่านี้ว่า ชีวิตมีทุกข์เท่านั้น มีเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แล้วจะอยู่ไปทำไม ก็ฆ่าตัวตาย การไปฆ่าตัวตายนั้นไม่จบ ทุกข์ไม่ได้ดับจริง ก็เขาไม่ได้ดับต้นเหตุของเชื้อที่มันพาเกิดพาเป็นพาตาย คืออุปาทานหรือตัณหา เขาไม่รู้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าลถ้าเราจะไม่เกิด เราจะดับสิ้นสูญสลายเลย มันต้องดับความต้นเหตุแห่งการเกิด จนท่านค้นพบแล้วตรัสรู้ได้จริง ดับเหตุนี้ได้จึงเกิดเป็นนิพพานเป็นปริโยสาน จึงสามารถที่จะดับสูญไปเลยได้ชีพสลาย ดับคือทำให้ธาตุจิตวิญญาณแตกสลายแยก ออกหมด ไม่เหลือความเป็นชีวะของจิตนิยาม ทำลายได้เลยเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิตแยกธาตุแตกออกไปได้เลยให้เป็นอุตุ เป็นพลังงานดินน้ำไฟลมไปเลย ธาตุที่จับตัวเป็นชีวะของสัตว์ของมนุษย์ของคนก็ไม่เหลือ กลายเป็นพลังงานดินน้ำไฟลมไป ก็สูญสลายอัตภาพ ได้เลย ฉะนั้นจึงจบ แม้จะยังอยู่ก็ทำได้ถึงขั้นเป็นธาตุจิตวิญญาณ ถ้าอยู่ก็อยู่โดยที่ไม่ทำชั่วอีกเลย ทำแต่ดีถ่ายเดียว มีธาตุรู้มีปัญญารู้กรรมชั่ว กรรมดี กรรมกุศล อกุศล แล้วเลิกอกุศล เลิกชั่ว ทำแต่ดีได้เที่ยงแท้ถาวร เป็นชีวิตที่มีหลักประกัน ถึงจะอยู่ก็ไม่เป็นพิษภัยอะไรกับใคร กับสัตว์โลกกับสรรพสิ่ง อยู่ไปก็มีแต่คุณค่าประโยชน์เท่านั้น ก็เป็นหลักประกันของชีวิตที่อยู่ในโลกได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็สามารถจะเลิกเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลยได้อีก จึงจบสุดแห่งธาตุจิตนิยาม สูงสุดแล้วในความตรัสรู้ในความเป็นมนุษย์ที่ทำได้ อาตมาศึกษาตามพระพุทธเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้ก็ทำได้ถึงเอามาพูดอย่างยืนยันมั่นคง อย่างมั่นใจ แน่ชัดว่าที่พูดนี่คือความจริงที่ประเสริฐสุดสูงสุดในหมู่คน แล้วทำได้ก็เป็นคนประเสริฐสุดแล้ว จะอยู่ต่อไปก็ไม่มีปัญหา อยู่ต่อไปมีแต่ปัญญา อยู่ต่อไปมีแต่คุณค่าประโยชน์ งานที่ให้คนมารู้สิ่งนี้ ให้คนมาประพฤติปฏิบัติให้เป็นแบบนี้จึงเป็นงานสุดท้าย ของความเป็นจิตนิยามที่เกิดมาเป็นมนุษย์หนึ่งคนในโลก คืองานพระโพธิสัตว์ จนกระทั่งเป็นโพธิสัตว์ที่ใหญ่ที่สุด ไม่มีใครตามทันแล้ว ก็เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง จนกระทั่งสุดท้ายก็บอกว่า พอทีจบอัตภาพของเราได้เลย เลิก ก็เท่านั้นเอง ผู้ที่ได้เซลล์ จับตัวกันเป็นเซลล์ของสัตว์ขึ้นมาตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวจนกระทั่งเป็นสัตว์หลายล้านๆๆเซลล์จนมาเป็นมนุษย์ แล้วก็ไม่มีทางที่จะเลิกเป็นร่างมนุษย์ได้เลย โลกียะเขาก็เรียนรู้กัน เกิดเป็นมนุษย์นั้นดีที่สุด จนกระทั่งคิดว่าทำดีไป แต่ไม่รู้เรื่องกรรมวิบาก แต่เขาพยายามทำทั้งที่ไม่รู้ ทำแล้วก็พอมีปฏิภาณรู้ว่าทำกรรมดี ดี ก็รักษากรรมดีไป โดยไม่รู้กรรมวิบากที่เวียนวนจนกระทั่งทำกรรมดีได้มั่นคงแข็งแรงสูงสุด ก็ได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งประกาศศาสนา ประกาศศาสนาแล้วก็ไม่เที่ยงก็มีคนอื่นมาแย่งชิงตำแหน่ง ตัวเองก็หมุนวนเวียนไม่สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้จึงเป็นสภาพสมบัติผลัดกันชม เพราะเวลามันยาวนานมาก เป็นอจินไตยที่อธิบายไม่ไหว มันจึงสับสนเรียงลำดับไม่ถูก กรรมวิบากก็ยิ่งซับซ้อนยากที่จะเรียบเรียงได้ ทางด้านศาสนาเทวนิยม พระพุทธเจ้าสามารถตรัสรู้แบบนี้ได้ เพราะฉะนั้นพระโพธิสัตว์เรียนรู้สิ่งเหล่านี้มา พระโพธิสัตว์จึงไม่มีปัญหาในเรื่องการเป็นศาสดา เพราะเคยเป็นศาสดาทางโลกีย์มาทั้งนั้น แต่เวลามันยาวนาน บางทีก็ระลึกได้ บางทีก็ระลึกไม่ได้ เมื่อเป็นพระโพธิสัตว์แล้วก็จะรู้ว่าทางนี้เหนือกว่าทางอื่น สูงสุดก็เป็นพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรสูงสุดกว่านี้ได้ โดยที่ไม่งงไม่สงสัย ไม่คลางแคลง ไม่ริษยาอะไรเลย รู้ชัดเจนความจริงสิ่งเหล่านี้ ชัดเจนว่า อาตมาเกิดมาในชาตินี้จึงไม่มีปัญหา ไม่เคยไปริษยาโป๊บ ไม่เคยไปริษยาพระสังฆราชของทางพุทธ ไม่เคยไปริษยาทะไลลามะหรือนิกายอื่นใด ไหนก็แล้วแต่ ก็เข้าใจเขา เราทำงานของเรา ใครจะว่าต่ำต้อยด้อยค่าเราก็ชัดเจน คนที่ไม่เห็นค่าก็ว่าด้อย คนที่เห็นค่าก็ว่าไม่ด้อย ก็ดีไม่ดีเอาชีวิตมาทางนี้เมื่อเข้าใจแล้ว ไม่มีอะไรที่จะดีเท่าธรรมะโลกุตระ แม้จะมีธรรมะโลกุตระ เราก็ยังยังชีพของเราไปได้ และการยังชีพของเราในทางโลกุตระนั้นมาจน จนได้ก็ไม่เห็นว่าต่ำต้อยน้อยหน้าอะไร ใครคิดว่าเราน้อยหน้าบ้าง แต่ก่อนเราเคยเคืองไปไหนมาไหน แต่วันนี้ไปไหนมาไหนคนก็มองตั้งแต่หัวจรดเท้า คิดว่าบ้าหรือเปล่า เขาจะมองจะเหยียดหยามมองตั้งแต่หัวจรดเท้าอะไร ก็เข้าใจเขา เราก็ไม่รู้สึกว่าเขาเหยียดหยามเรา เพราะเขาก็ต้องรู้สึกของเขา อย่างไรก็แล้วแต่เราก็เป็นอย่างที่เราเป็น เราจะรู้สึกยังไงก็เป็นของเขาอย่างนั้น บางคนก็เหยียดหยาม บางคนก็เข้าใจ บางคนยกย่องด้วยซ้ำก็ไม่มีปัญหา ชัดเจน คนเข้าใจของใครก็ของมัน เราก็ชัดเจนของเรา แต่เรารู้เป้าหมายว่า ชีวิตของเราจริงๆ ทุกกรรมในกาล กรรม and กาล of continuum เราก็รู้ไม่มีปัญหาอะไร ความสัมพันธ์อิทัปปัจจยตา ของ กรรมกับกาละ สัมพันธภาพของกรรมกับกาละเท่านั้นเอง ชีวิตของมนุษย์ของแต่ละคนคือ กรรมกับกาละ ที่ดำเนินให้เป็นอิทัปปัจจยตาหรือปฏิจจสมุปบาทหรือสันตติ เป็นรีเลชั่น ไปตลอดกาลนาน เป็นแต่เพียงว่าเราทำจิตวิญญาณของเราให้ตั้งมั่น ที่เป็นจิตวิญญาณอันไม่มีทุกข์ จิตวิญญาณอันมีประโยชน์คุณค่า จิตวิญญาณที่รู้จักจุดหมายเป้าหมายของเราแล้ว ดีสมบูรณ์แบบหรือยัง ผู้ที่สามารถเรียนตามหลักสูตรพระพุทธเจ้าถึงขั้นเป็นอรหันต์ก็เป็นคนจบสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ยังมีสมบูรณ์แบบอีก ยังมีอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีอีก จะเป็นอรหันต์ต่อไปอีกไหม พวกเถรวาสฟังแล้วอาจจะบอกว่าเอาจากตำราไหนมาพูด เราก็บอกว่าตำราของพระพุทธเจ้านี่แหละ แต่เพราะพวกคุณเรียนแต่เถรวาทแบบพวกคุณ จริงๆแล้วเถรวาทจริงๆคือผู้ที่เกิดในยุคพระพุทธเจ้าเป็นเถรวาทะ ไม่ใช่สั้นกุดแค่เถรวาทไทย มะไฟที่อยู่บนโต๊ะ เป็นมะไฟที่อยู่ในบ้านราชฯเองค่ะ มีระกำด้วยของสวนดร.ชิดตะวัน ก็ดีนะกินดีหวานดีใช้ได้ แต่อาตมาไม่ค่อยจะกิน กินแล้วมันแฮดๆคอ บาดคอ เดี๋ยวนี้ก็กินอะไรที่มันกลางๆ มีดอกแคป่าสีขาวด้วย สู่แดนธรรม…เมื่อตะกี้นี้พ่อท่านพูดค้างไว้ก็คือพระโพธิสัตว์ใหญ่ พระอรหันต์ใหญ่ขึ้นไปมีหลายรอบ แล้วก็เถรวาทไทยยังเรียนไม่ตีแตก พ่อครูว่า…อย่าไปพูดเลยมันเป็นอจินไต มันเป็นเรื่องยาวยืดไปมากมาย ใครจะเรียนเป็นพระโพธิสัตว์ก็เรียนเป็นพระอรหันต์ก่อน เรียนเป็นพระอรหันต์ได้แล้วก็ไม่ไปอธิบายอะไรมากหรอกเพราะพระโพธิสัตว์จะค่อยๆรู้เอง จะค่อยๆเข้าใจตามลำดับ จะค่อยๆเข้าใจความรู้สืบต่อ มีอะไรไปอีกยังไงก็ค่อยๆรู้ไปตามลำดับ สู่แดนธรรม…ผมจำได้ว่าพ่อท่านเคยให้ความรู้ไว้ หลังจากคุณจบพระอรหันต์แล้ว คุณจะรู้เองว่าเรียนอะไรต่อ พ่อครูว่า…เป็นอรหันต์แล้วจะบำเพ็ญต่อเป็นพระโพธิสัตว์ จนเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง สู่แดนธรรม…พวกเราหากได้เกิดใหม่ อนาคตอาจจะไปพบพระโพธิสัตว์น้อยใหญ่อีกเรื่อยๆ พ่อครูว่า…ใช่ ถ้าได้จริงแล้วไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา โสตาปันนะเข้ากระแส 25% แต่ยังยึกยัก คืออวินิปาตธรรม นิยตะ 50% อันนี้เที่ยงแท้ ไปสู่ที่สูงที่สุดคือ สัมโพธิปรายนะ 75% ถ้ำคือหมากพลู อยู่ที่ไหน เข้าสู่คุหัฏฐกสูตร จากพระไตรปิฎก ล. 29 คุหัฏฐกสุตตนิทเทสที่ ๒ ว่าด้วยนรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย [30] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ(สตฺโต คุหายํ) เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว(พหุนาภิฉนฺโน) นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็หยั่งลงในที่หลง((ติฏฺฐํ นโร โมหนสฺมํ ปคาโฬฺห) นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก(ทูเรวิเวกา) ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย. พ่อครูว่า…วนในถ้ำ ย่อลงมาวนใน protoplasm วนในกะลาครอบนี้ เพราะว่าเป็นผู้อันกิเลสมาก แล้วแถมปิดบังไว้แล้ว ที่จริง ไอ้ปิดบังก็เป็นนิสัยของตนเอง วิสัยของคนหรือสัตว์โลก เดรัจฉานมันยังไม่ปิดเท่ากับคน คนนี่แหละปิดบังกิเลสเพราะความโง่ และไม่รู้กิเลสตนเองด้วย เพราะฉะนั้น พระพุทธพระพุทธเจ้าท่านสอนต่อว่า คนชนิดนี้ นรชนเมื่อตั้งอยู่เป็นคนกิเลสมาก ปิดบังไว้แล้ว ไม่มีปัญญาออกจากถ้ำนี้ได้ ก็หยั่งลงในที่หลง อาตมาเห็นแล้วสงสาร พยายามเตือนให้ออกมาให้เลิกไม่ใช่วิธีการของศาสนาพุทธการไปนั่งหลับตาสะกดจิตดับลงไป หลงว่าเป็นอรหันต์ไปทางโน้น ดูแล้ว พูดเรื่องเสียหายก็คือบ้าบ้าบอๆ พูดอย่างน่าสังเวชใจก็คือมันงมงาย ปฏิบัติกัน ขออภัยเหมือนกับ เดรัจฉานโง่ๆ ที่หลงในภพตนเอง เช่น หนอนมันหลงอยู่ในกองขี้ เทวดาบอกหนอนเอ๋ยเลิกกินขี้เสียที หนอนก็บอกว่าเทวดาหน้าโง่ ไม่รู้อะไรขี้นี้ของอร่อย ก็ฉันเดียวกัน หยั่งลงในที่หลง นรชนเช่นนั้นย่อมอยู่ไกลจากวิเวก คำว่าวิเวกคำนี้มันก็ยังไม่ใช่ปัสสัทธิ อาจจะมีปัญญากว่าสมถะ คำว่าสมถะเป็นการหยุดที่ทึ่มเลย ไม่มีความรู้ แต่ว่าวิเวกนี่นะ ยังมีความรู้ว่ามีวิเวก 3 กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก กายวิเวกก็มีนัยลึกซึ้ง ที่จะรู้ชัดเจนว่ากายวิเวกคืออย่างไร ต่างกับจิตวิเวกอย่างไร แล้วความหลงที่หลงติดกายและจิตวิเวก คืออุปธิวิเวก ผู้ที่ชัดเจนในอุปธิก็คือมี 3 มีกิเลส มีขันธ์ มีอภิสังขาร ผู้ที่เจริญมี อุปธิ เป็นอภิสังขารได้ก็รู้จักกิเลสในขันธ์ก็ล้างกิเลสในขันธ์ อภิสังขาร ไปสู่ความจบได้ จะล้างได้ต้องล้างในกายให้วิเวกก่อน แล้วมาทำให้จิตวิเวกที่เหลือตามมา กายต้องมาก่อนจิต เพราะกายนั้นเป็นภายนอก เป็นของหยาบ กายนั้นต้องก่อนจิต แค่นี้เดี๋ยวนี้ก็หลงทิศทางไปเอาจิตโดยทิ้งกาย ไม่เข้าใจกายอย่างมาก กายคำเดียว กายคำแรก สังโยชน์ข้อที่ 1 กายแล้วก็ของตน สักกาย ความเห็น ความรู้เรียกว่าทิฏฐิ พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ก่อนแยกกายแยกจิต แล้วก็รู้ของตนให้ได้ จัดการกับของตนนี่แหละ อย่าไปยุ่งกับของคนอื่นเขา คุณมีหน้าที่บอกคนอื่นบ้างเป็นโพธิสัตว์ก็ค่อยว่าแต่ทำของตนให้ได้ก่อนเถอะ ทำกาย แล้วก็ของตนให้มันได้ดีได้จริงได้เด็ดขาดด้วยนะ ไม่สับสนแล้ว แค่สักกะกับ กายะก็สับสนแล้ว อะไรเป็นกาย อะไรเป็นของตน แค่นี้ก็สับสนได้ กายคือรูปนาม ของตนก็คือรูปนาม คือวิญญาณ เป็นความซับซ้อนวนเวียน มันใกล้ชิดกันสลับกันไปมา ซึ่งเป็นสภาพที่หลอกตัวเองเป็นมายา ความโง่ก็คือเป็นมายา อวิชชาคือมายา หลอกตนเองสับสน ไม่รู้อะไรชัดเจนแน่นอน จึงเป็นวิปลาส กำหนดไม่ได้มั่นแม่นกำหนดไม่ได้ตรง จึงต้องมาศึกษาดีๆให้รู้ชัดเจนแล้วก็ทำสัญญาให้กำหนดแม่นๆให้ได้ พระพุทธเจ้าถึงเรียนรู้สุดท้ายด้วย กายและสัญญา เรียนรู้ความเป็นสัตว์ที่ตัวเองยังตกอยู่ในความเป็นสัตว์ จิตวิญญาณมันเป็นสัตว์โอปปาติกะสัตว์ มีสัตตาวาส 9 ที่พระพุทธเจ้าสอน ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย ที่ทำไม่ได้เพราะกามอันเป็นเบื้องต้นไม่รู้ ไม่รู้จนกระทั่งติดหนักขนาดแต่ก็หลงตนเองว่าเป็นพระอรหันต์ อย่างเช่นมหาบัว ไม่รู้กาม อาจจะเข้าใจว่าเรื่องของ กาม ว่าคือเรื่องผู้หญิงผู้ชายเท่านั้น ก็เลยรักษาเรื่องผู้หญิงผู้ชายให้ดีรอบตัว แต่กาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย กามคุณ 5 กิเลสที่ติดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ไปติดเรื่องผู้หญิง แต่ไปติดเรื่อง รส สัมผัส โผฏฐัพพะก็ติด ติดไม่ขาดปากไปติดเอาเฉพาะหมากพลู ไม่รู้ตอนตายเขาเอาใส่โลงไปให้ด้ว ยหรือเปล่า (มีโยมว่าใส่) ก็น่าสงสาร มหาบัวกามแค่นี้ก็ไม่รู้จัก แล้วสายนี้ติดทั้งนั้น ติดในถ้ำคือหมากพลู แล้วก็ส่งเสริมกันว่าเป็นอรหันต์ ยังจะสร้างอนุสาวรีย์ให้อีก ขออภัยที่ต้องเอามาวิจารณ์เพราะมันน่าสงสารไปงมงายกับสิ่งที่มันไม่ใช่แล้วยึดถือว่ามันใช่ จริงๆมันน่าสงสารไหม ที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้ริษยา ไม่ได้จะไปถล่มอะไร แต่อยากให้สะดุด ระลึก โพธิรักษ์พูดอะไร เขานับถือกันทั่วบ้านทั่วเมือง แล้วโพธิรักษ์นี่ใหญ่มาจากไหนมาว่ามาตำหนิ เอ็งใหญ่อย่างไร มันน่าหมั่นไส้ หากเราไม่ไปแตะก็ไม่เป็นไร แต่ไปแตะทำไม มันบ้าหรือเปล่า ควรหรือเปล่า ก็มันงมงายกันมาก หากไม่มีใครมาสะดุดมาติงไว้ ผู้ที่มีปัญญาไหวพริบได้สะดุดว่า ที่โพธิรักษ์พูดจริงไหม ให้เอาพระไตรปิฎกมาตั้งใจศึกษาให้ดีเล่มไหนที่คิดว่าจะให้ปัญญาแก่เราเอาเล่มนั้น สักเล่มสองเล่ม อ่านให้ดีๆแล้วคุณจะได้เข้าใจว่าเราเป็นพุทธศาสนิกชน แต่เราเข้าใจยังไม่ได้เลย ผิดไปเยอะทั้งนั้น ขออภัยทั้งเถรสมาคมเลย พุทธ ชาวพุทธในปัจจุบันทั้งยวงเลย มีที่เข้าใจตามอาตมาเข้ามาได้เท่านี้ แม้แต่เบื้องต้นกามทั้งหลาย เห็นชัดๆ อย่างมหาบัวนี่ ในโลก ไม่ใช่เป็นของนรชนที่ละได้โดยง่าย ถึงรู้ก็กลบเกลื่อน ที่จริงมหาบัวรู้เคยลองเลิก แต่เลิกไม่ได้ก็เลยหลอกคนอื่น แม้แต่ลูกศิษย์ลูกหาก็เข้าใจไปอย่างนั้น เข้าใจว่าอรหันต์กินหมากพลูได้สบายท่านบรรลุอรหันต์แล้วแต่กินหมากกินพลูสบายไม่ใช่ของที่ต้องละก่อน ก็เลยเป็นเรื่องน่าสังเวชใจเป็นเรื่องทำลายศาสนาโดยตรงเลย เอาสิ่งใช่มาเป็นไม่ใช่ เอาสิ่งไม่ใช่มาเป็นใช่ มันก็เลยยากอาตมาจึงจำเป็นที่จะต้องมาท้วงติง เอาหลักฐานพระไตรปิฎกมาอ่านให้ฟัง คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ที่ 2 ต่อ ข้อ 32 สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม พ่อครูว่า…เห็นอสุภะเป็นสุภะ เช่นเห็นหมากพลูเป็นสิ่งที่น่าพอใจ ขออภัยมหาบัวไม่รู้แม้แต่กามหยาบๆ ก็ยากยิ่งจะไปรู้อัตตาที่ละเอียดกว่านั้น อาตมาไม่ได้มีอคติไม่ได้ต้องการไปข่มจะไปถล่มทลายแต่ต้องการสาธยายธรรมะ ตื่นเสียที อย่าว่าแต่มหาบัวเลย สายหลับตาทั้งหมดเลิกเสีย ขอยืนยันว่าศาสนาพุทธไม่ได้นั่งหลับตาปฏิบัติ ไม่ต้องไปเสียสติถึงขนาดนั่งหลับตาปฏิบัติหรอกศาสนาพุทธ มีสติปัญญาปฏิภาณดีรู้ว่าการลืมตาเป็นสามัญของมนุษย์ เรียนรู้ทุกอย่างมีสติเต็มร้อยปฏิบัติ ถึงเวลาหลับถึงเวลานอนถึงเวลาพักก็รู้ว่าพักก็หลับ เวลาตื่นก็มีสติมีความรู้ตัวชาคระ ให้มีความตื่นอันเป็นประโยชน์โดยมีการสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ผู้มีชาคระ มีความตื่นรู้ จึงเป็นคนที่มีปฏิภาณปัญญา ที่จะทำตัวเองให้เป็นสุดยอดแห่งความตื่นรู้สุดท้ายเรียกว่าพุทธะ ใช้ชาคระหรือชาคริยา ปฏิบัติไปให้เป็นผู้ตื่นจนสุดท้ายเป็นผู้ตื่นเต็ม ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พวกเรามีพุทธะบ้างหรือยังตื่นรู้ รู้อะไร รู้โลกีย์ รู้ลาภยศสรรเสริญเราเคลียร์จบ รู้กาม รู้อะไรอีก รู้อัตตา พวกเรานี่เรียนไปรู้แล้วล้างละ ยศสรรเสริญโลเกียสุขพวกเรารู้ดีแล้วก็เลิกมาได้ แต่ก่อนเราก็ไปแย่งกับเขาหน้ามืดตามัว แต่เดี๋ยวนี้ว่างเบาสบายเขาแย่งเขาก็แย่งกันไปเราก็มีอยู่พอกินพอใช้อาศัยสาธารณโภคี แม้จะเจ็บป่วยจะแก่เราก็มีที่พึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้ โดยสาธารณโภคีหรือแผ่นดินพุทธหรือเสนาสนะ บุคคล อาหาร ธรรมะสัปปายะ 4 สบายแล้ว สบายจริงๆ อาตมาทำงานชาตินี้ก็สบายใจภูมิใจว่าทำสำเร็จ ทำให้คนเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วก็เอาชีวิตมาอยู่อย่างนี้ เป็นผู้ที่รู้จักความเจริญของอัตภาพ ว่าอัตภาพของเราตั้งแต่วินาทีนี้จนกระทั่งตาย เราควรจะอยู่ที่ไหนเรียกว่าเสนาสนะ เราควรจะมีหมู่กลุ่มบุคคลอย่างไรอยู่ด้วยเรียกว่าบุคคล เราจะมีเครื่องอาศัย เครื่องอาศัยอย่างสำคัญก็ กวฬิงการาหาร ผัสสะ เจตนา วิญญาณ เสนาสนะคือแผ่นดินสิ่งแวดล้อม ที่อาศัย ที่อยู่ ดินน้ำไฟลม มีอาคารบ้านช่องเรือนชาน ต้นหมากรากไม้ มีดิน มีภูเขา มีลำธาร จนมาถึงผัสสะ อาหารกิน มาถึงผัสสะมาถึงเจตนาถึงวิญญาณเราก็มีอาหารครบ อยู่สบายไม่ขาดแคลน ขนาดโควิดมาตรวจสอบเรายังอยู่สบายเลยชาวอโศก ไม่มีอะไร ก็ยังเหลือมันอีกตั้งเยอะไปขุดมากินได้อีกตั้งนาน ไปจกมันมาทันน้ำขึ้น เหลือเฟือก็ไปใส่ปันสุขบ้าง ใจกล้าๆเอาของดีไปให้หน่อย ทำให้เหมือน ปัญญา นิรันดร์กุลบ้างสิ นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ ต้องออกจากติดข้องในถ้ำจึงเป็นสาธารณโภคี สู่แดนธรรม…หลังอโศกรำลึก ได้ข่าวว่าพ่อท่านจะมีสุขภาพดีขึ้น ในชาติก่อนๆไม่มีองค์ประกอบให้พ่อครูเจริญได้เท่าชาตินี้ พ่อครูว่า…ใช่ อาตมาจำไม่ได้ ชาติก่อนๆ สามารถพาให้พวกเรามีความรู้มาประพฤติปฏิบัติจนมีสาธารณโภคี ปางก่อนๆระลึกไม่ได้ แต่ชาตินี้ปางนี้ขณะนี้ท่ามกลางสังคมในเศรษกิจทุนนิยมแย่งชิง แต่ของเราสังคมเราอยู่อย่างสบาย ไม่ต้องแย่งชิง ใครมีของตัวของตนก็เข้าใจต้องพากเพียร ต้องละออกบ้างนะ แต่คนไหนสบายแล้วไม่ต้องยากอะไร เราอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ไม่ขาดแคลน เครื่องกินเครื่องใช้อะไรเพราะว่าจิตใจของเราเข้าใจแล้วไม่มีการบำเรอตัวเองแต่มีไว้อาศัยยังพอเหมาะ ปัจจัย 4 ก็มีเท่านี้ บริขารก็ได้ก็ได้ไม่ได้ก็ไม่ได้ อะไรที่เราทำงานเป็นเครื่องมือเครื่องไม้ ก็มีคนหลงยึดถือเครื่องมือเครื่องไม้สะสมเก็บไว้ใส่กุญแจคนเดียว อันนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรมันเป็นอัตตา อัตตนียา หลงตัวกูของกู กลัวว่ามันจะเสีย ที่จริงแล้วของมันก็ต้องมีเสื่อมก็ต้องช่วยดูแลรักษากัน คนที่หยาบๆ ไม่รักษาของก็เป็นวิบากของเขา เราก็มีใช้ร่วมกันแต่ถ้าไปกักตุนมันก็เสียเศรษฐกิจเสียข้าวของ แล้วสำคัญเสียที่ตนเองหวงแหน กิเลสตัวเองที่จะพอกพูน อันนี้สิใช่ฉลาดหน่อย แล้วไปอ้างอิงว่าใช้ของมันก็พังหมดเสื่อมหมด ก็ทิ้งไว้เฉยๆมันก็เสื่อมไม่ได้มีคุณค่าอะไรด้วย ดีไม่ดีมีปลวกมีสนิมช่วยทำให้เสื่อมอีกต่างๆนานาสารพัด คนเราหากไม่ชัดเจนเข้าใจในสิ่งที่จะทำให้เหมาะสม แต่สรุปแล้ว ชาวอโศกเราได้ศึกษาความเป็นมนุษย์ และรู้จักการเป็นอยู่ อย่างที่มีอะไรที่ควรจะต้องมี ควรเป็น ควรได้ อะไรสำคัญก่อน สำคัญมาก สำคัญน้อย ไม่ได้หลงเละเหมือนชาวโลก ชาวโลกเห็นว่าเพชรนิลจินดา ธนบัตรสำคัญมาก แต่ของพวกเราเห็นว่าสำคัญน้อย เรามีข้าวเป็นหนึ่งในโลก อาหารเป็นหนึ่งในโลก สำคัญกว่าเพชรนิลจินดากันเยอะ ของเขาแย่งชิงเพชรนินจินดา ของเราไม่ต้องไปยุ่งกับเขา เราชัดเจนว่าอาหารสำคัญกว่าเพชรนิลจินดา เราจึงเอาชีวิต แรงงาน มาทำสิ่งเหล่านี้ทำให้เยอะๆแล้วกระจายเผื่อแผ่ เราทุกคนอาศัยตรงนี้มากมาย สู่แดนธรรม…ผมและเพื่อนๆประทับใจ คำว่า “จากชาวอโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ” พ่อครูว่า…สาธารณโภคีเพื่อมวลมนุษยชาติ เป็นเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่นักเศรษฐศาสตร์ยังเข้าใจไม่ได้ ยังนึกว่าในโลกนี้มีด้วยหรือ เขาไม่เชื่อว่ามันจะยั่งยืนได้ จะมาลงทุนทำไม ลงทุนถึงขั้นนี้มันประเสริฐอย่างไร พวกคุณว่าประเสริฐไหม อาตมาว่า ในด้าน ความหมาย และความจริงด้วย ของความเป็นสาธารณโภคี มันยิ่งใหญ่นะ คนประพฤติสำเร็จได้จริง เป็นปรากฏการณ์จริงและอาศัยอยู่กับสาธารณโภคี อาศัยพฤติกรรมของมนุษยชาติ ยังชีวิตไป มัน สบม ทมด ปกต หห จจ มชยลล สู่แดนธรรม…แล้วก็มีความมหัศจรรย์ซ้อนเข้าไปอีกว่าไม่ต้องกลัวใครแย่งชิง ผู้บริหารทั่วโลกน่าจะมาศึกษา ทำอย่างไรไม่ให้ยึดถือเป็นของตัวของตนแต่ทุกคนช่วยกันรักษา พ่อครูว่า…ให้เป็นสาธารณโภคีให้เจริญยิ่งขึ้น เราสร้างสมบัติมาให้เป็นกอบเป็นกอง แล้วก็กระจายไม่ใช่สะสมกักตุน เผื่อแผ่นเกื้อกูลออกไป ซึ่งเป็นสุดยอดของเศรษฐกิจแล้ว สุดยอดของพฤติการณ์แห่งเศรษฐกิจ ไม่มีเศรษฐกิจไหนจะสุดยอดเท่าสาธารณโภคีอีกแล้ว แต่ก็ไม่ใช่จะทำได้กับทั่วทุกคน มันจะได้คนจำนวนหนึ่งที่เป็นหัวยอด ยอดพีระมิดของสังคมมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนในโลกก็ตาม ทำได้แล้วจะเป็นหัวยอดที่เป็นคนสร้างให้ เป็นอายะ 3 พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) อายะ คือประโยชน์ คือกำไร คือ gain คือ economic คือเศรษฐศาสตร์ เป็นเรื่องกระจาย สะพัดเพื่อคนอื่น เราสร้างเรากินเราอาศัยเราก็เหลือแล้ว ไม่หวงแหน แบ่งกันกินกันใช้กันได้ เกื้อกูลกันจริงๆด้วย พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ อย่างนี่ ผลไม้พืชผักดีๆแบ่งใส่ปันสุขบ้างนะ มันซ้อนที่ว่า ไม่หมดตัวตนง่ายๆ สู่แดนธรรม…ก็จะค่อยๆเจริญไปครับ พ่อครูว่า…ใช่ เราก็จะค่อยๆเจริญไป เราก็จะค่อยๆประพฤติไป อาตมามีหน้าที่ลุ้นให้หมดเนื้อหมดตัวไปเรื่อยๆ สู่แดนธรรม…หากพวกเราปลูกพืชผักผลไม้ให้มาก หากต่อมาคนมาเยี่ยมเยือนก็จะได้เก็บไปกินได้ พ่อครูว่า…พูดถึงสมณะหนักแน่น ตั้งใจปลูกอินทผาลัม ให้มาก แต่ดูเหมือนจะเหลือไม่กี่ต้น ดูแลยากจิตใจตั้งใจดี แต่เป็นได้ประมาณหนึ่ง คนเรายึดติดหลงโง่จม กว่าจะฟื้นมาเป็นได้อย่างพวกเรา ไม่ได้มาแกล้งชมนะ กว่าจะได้มามีมรรคผลอย่างนี้ยาก ก็สงสารกลุ่มนั่งหลับตาสะกดจิต อย่างมหาบัว เห็นว่าศาสนาพุทธก็ยังอยู่ แต่คนของศาสนาพุทธเสื่อมไปจากศาสนาพุทธ จนไปเข้าใจสิ่งที่ผิดว่าถูก ของเดียรถีย์พระพุทธเจ้าท่านตีทิ้งแต่ไปยึดว่าเป็นของยอด ทำความเข้าใจให้ดีๆ เลิกเสีย ปล่อยวาง อย่าไปยึด อย่างนั้นมันยึดอย่างโง่เง่า มันมืดบอด มันหลง จมในที่หลง ติดอยู่ในถ้ำแล้วมีกิเลสอันมากปิดบังไว้แล้ว มันตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้จริงๆให้เห็น เราจะสามารถพูดอย่างเราว่าเราเป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส ได้ไหม? เขาว่าไม่ได้ เขาว่าพวกเราหลง แต่ที่จริงเราเอาออก ใช่ไหม วัตถุสมบัติตั้งแต่ ลาภ ยศ สรรเสริญ จนกระทั่งถึง รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส วัตถุต่างๆ แม้แต่ที่สุด สภาพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กามคุณ 5 เราก็สังวรระวัง ลดละจนกระทั่งมาเป็นอนาคามีขึ้นไป หาอรหันต์กันเยอะแล้ว เป็นเรื่องยืนยันกันได้จริงๆเลย พวกเรา เหลือรูปราคะ อรูปราคะก็อ่อน บางคนก็เป็นอรหันต์ไปแล้ว อรหันต์ในรูปราคะ อรูปราคะ หมด ก็ไปซัดกันตาม มานะ อุทธัจจะ อวิชชากันเข้าไปไม่เมื่อยก็ซัดกันต่อไป เรารู้ตัวเองว่าเราอะไรแค่ไหน หลักธรรมพระพุทธเจ้ารู้จักสภาวะจริงแล้วจะไปปฏิเสธได้อย่างไร เราไม่งมงายเลอะเทอะเกินไปก็พอรู้ว่าเรายังมีราคาอยู่เท่านี้ มีกามเท่านี้ หมดกาม เหลือรูปราคะ อรูปราคะ เหลือมานะกับอุทธัจจะเท่าไหร่ แล้วคุณไม่รู้หรือ?.. เป็นแต่เพียงว่าคุณจะตั้งมั่นหรือไม่เท่านั้นเองรู้แล้วก็ ให้มันตั้งมั่นจนกระทั่ง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) นั่นเองใช่ไหม ชีวิตของคน อัตตาของคน มันทำได้แล้ว ชีวิตของเราก็ยังอยู่ อัตตาของเราก็ยังอยู่ แต่อัตตาของเราโลกครอบงำไม่ได้แล้ว ตัวเราก็ไม่ครอบงำ เราก็อาศัยมันไป ตั้งอยู่ วิหารติ หมดแล้วแต่อยู่ เพราะยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ยังมีรูปนามขันธ์ 5 ก็ยังต้องอาศัยมันอยู่ เพราะฉะนั้นธรรมะที่รู้แจ้งด้วยทุกอย่างทวารทั้ง 5 หมดแล้ว ไม่น่าปรารถนา ไม่น่ารักน่าใคร่น่าพอใจแล้ว แต่ก็ไม่ถึงกับผลัก รู้ว่ามันมีก็รู้ แล้วเราก็ไม่ได้ไปเพลินชมเชยยึดถือสิ่งนั้นที่มันตั้งอยู่ ชื่อว่านรชน ผู้บรรลุ แต่นรชนผู้ที่หลงอยู่ก็ยังจมอยู่กันคนละทิศ คนหลุดพ้นคือคนอีกทิศทางหนึ่ง คนที่จมอยู่ก็คือตามพระสูตรจมอยู่ในถ้ำ สวรรค์ 6 ชั้นคือถ้ำชนิดหนึ่ง สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปที่พึง รู้แจ้งด้วยจักษุ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด มีอยู่ หากว่าภิกษุเพลิดเพลิน ชมเชย ยึดถือรูปนั้น ตั้งอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยโสต … กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานะ … รสที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหา … โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย … ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยมนะ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดมีอยู่ หากภิกษุเพลิดเพลิน ชมเชย ยึดถือธรรมนั้นตั้งอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่แม้ด้วยประการอย่างนี้. สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เข้าถึงรูป เมื่อตั้งอยู่ย่อมมีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้ง ซ่องเสพความเพลิดเพลินตั้งอยู่ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เข้าถึงเวทนา … วิญญาณที่เข้าถึงสัญญา … หรือวิญญาณที่เข้าถึงสังขาร เมื่อตั้งอยู่ ย่อมมีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้ง ซ่องเสพความเพลิดเพลินตั้งอยู่ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่ แม้ด้วยประการอย่างนี้ พ่อครูว่า…เป็นเทพเทวดารูปใดรูปหนึ่ง เพลิดเพลินอยูที่บัลลังก์(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) ศาสนาพุทธไม่มีสวรรค์ไม่มีเทวดาไปหลงสวรรค์ที่ไหนเลย สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี สวรรค์ 5 ชั้นเป็นแดนของคนโง่ คนโง่ยังติดสวรรค์ ศาสนาพุทธไม่ได้มีสวรรค์ไม่มีนรก หมดสวรรค์หมดนรกจึงเป็นอรหันต์ ถ้ายังเข้าใจสวรรค์ยังเข้าใจนรกไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นอรหันต์ ยังหลงสวรรค์อยู่และยังส่งเสริมกันไปสวรรค์ คุณก็ยังไม่มีทางที่จะไปช่วยมนุษย์โลกเขาได้ เพราะสวรรค์มันน่าได้น่ามีน่าเป็นยิ่งกว่านรกหรือไม่ ไปส่งเสริมสวรรค์มาก็ติดกันหนักเข้า ไปส่งเสริมนรกใครเขาก็ไม่เอา แต่ไปส่งเสริมสวรรค์มันก็ติดกันหนัก ส่งเสริมมันก็ยังเผลอติด แวบติดใช่ไหม เพราะฉะนั้นจงพยายามอธิบายสวรรค์ให้ได้ว่ามันเป็นมายา สวรรค์เป็นแดนมายาเป็นแดนนรก สวรรค์กับนรกอันเดียวกันแยกกันไม่ออกหรอก เป็นหนึ่งเดียวกัน พระพุทธเจ้าสอนคนให้รู้ได้ว่า จตุมหาราชิกา ไปแย่งของคนอื่นด้วยนะ สวรรค์บุกเบิก พวกสวรรค์โหด พวกมีเขี้ยว มีอาวุธ ทั้ง 4 ทิศเลย จตุมหาราชิกา ได้มาก็เป็นดาวดึงษ์ชื่นใจ บำเรอ เป็นอาการขี้หมา เป็นเทวะสวรรค์ดาวดึงส์ เป็นอาการที่ 33 มนุษย์มีอาการแค่ 32 แต่ไปหลงอาการที่มันไม่มีจริง อาการที่ 33 เป็นอาการไม่มีจริง เป็นอาการเพ้อพกเป็นมายาเป็นการหลอก สัตว์โลกที่โง่แสนโง่ไปหลงอยู่กับดาวดึงส์แล้วอยากอยู่ให้นานๆเป็นยามา ได้แล้วก็จะจมอยู่ตรงนั้นเรียกว่าดุสิต หยุดอยู่ตรงนั้น เสพนิ่งตกอยู่ตรงนั้น จนจมอยู่ไม่รู้ตัวเรียกว่าสงบแบบโง่ ดุสิต เสร็จแล้วก็ให้มันมากขึ้น สร้างนิมมานรดีเนรมิตสวรรค์เพิ่มเติมขึ้นอีก ดีไม่ดีมีคนมาช่วยเพิ่มขึ้นอีกเป็นปรนิมมิตวสวัตตี สวรรค์ 6 ชั้น คือของหลอกของมนุษยชาติจริงๆ ยิ่งโง่ ไปสร้างสวรรค์ของพระพรหมอีก 16 ชั้น ดีไม่ดีเอาอรูปฌานเป็นสวรรค์หลอกเสริมไปอีกเป็น 20 ชั้น สวรรค์ชั้นพรหม สู่แดนธรรม…สวรรค์ต้องเป็นของอาศัยด้วยหรือไม่ พ่อครูว่า…คุณจะต้องไปอาศัยมันอีกทำไม ต้องรู้ให้เร็ว เลิกให้เร็ว จะต้องไปอาศัยต่องแต่งมันทำไม ไม่ต้องเลย คุณต้องรู้ว่าต้องตัดให้หมด เพราะว่าคุณจะต้องอาศัยต้องพึ่งก็คือคนยังไม่หมด มันเป็นความจำนนต่างหาก คุณจะไปไว้หน้ามาทำไม เอาใจมันทำไม อาตมาเป็นคนไม่เอาใจไม่ไว้หน้า สู่แดนธรรม…ไปติดอยู่กับสิ่งนั้นๆเรียกว่าอยู่กับดุสิตใช่ไหมครับ ถ้าหลุดพ้นก็ได้อาศัยดุสิตเป็นที่พักใช่ไหมครับ พ่อครูว่า…โง่ได้ที่เลยดุสิต ดุสิตมันเป็นสมมุติเท่านั้นแหละ ดุสิต สิตะ แปลว่า เย็น จริงๆจะอยู่ไม่อยู่ก็สมมุติกันไปเท่านั้น ผู้ที่ชัดเจนแล้วจะอยู่กับไม่อยู่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร อยู่ก็อยู่ไม่ต้องมีสถานที่ อยู่ก็อยู่ ไม่อยู่ก็ไม่อยู่ เท่านั้นเอง ธรรมะต่างๆที่อาตมาเอามาสาธยายมันจะแปลกไม่เหมือนกับของอันอื่น เพราะเขาไม่เข้าใจก็เลยอนุโลมปะเหลาะ ไปปะเหลาะมันทำไม ก็ต้องตีมันให้หมด เอามาให้ชัด ไปติดไปยึดอยู่อีกอะไรกัน ต่องแต่ง หยาบ กลาง ละเอียดก็ไม่ต้อง อาตมาสอนทานสูตร ว่าไม่ต้องไปสาเปกโข ปฏิพัทธจิตโต สันนิธิเปกโข หรือไปหวังภพชาติหน้าอีก จะไปมีทำไม เข้าใจให้ได้ว่าทำทานก็ต้องไม่สร้างภพสร้างชาติต่อ ไม่ต้องไปหวังว่ามีสิ่งอะไรต่อไปอีก คุณเข้าใจก็ทำได้ คุณก็จะสั้นเป็นอรหันต์ได้เร็วขึ้นนะ จบ Category: ศาสนาBy Samanasandin23 พฤษภาคม 2021Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:640521_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 1NextNext post:640524_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 3Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024