650318 ตำนานพญานาค ตอนที่ 2 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1wUotnO1z0r188cRu0LiON5OuN4J6JC8w6MGqmHniWxo/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1rhf0QXa8dIykx6jdVJUmR44gbqXiPGI4/view?usp=sharing
และดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/bQejfXu4no/
และ https://youtu.be/4Ru-cqMAekI
สมณะเดินดิน…วันนี้ เป็นวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ข่าวที่ดังในประเทศไทยคือข่าวแตงโมกับข่าวสงคราม แต่ข่าวแตงโมจะมากกว่า
ทุกวันนี้คนก็จะไปหลงเชื่อข่าว จริงหรือไม่จริงเต็มไปหมดในสังคม จนเกิดเป็นอุปาทานในสังคม เช่นเดียวกับความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมต้องนั่งหลับตา พูดกันมาหลายพันปี ก็เลยทำให้ยึดถือกันมาอย่างนั้นตามกันมา จึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าความเชื่อเรื่องโลกกลม โลกแบนอีก จะทำให้คืนกลับมาอย่างถูกต้องจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย
มีอีกเรื่องหนึ่งที่จะมีผลกระทบกับพวกเราคือ ศบค. แถลงการณ์ 1 กรกฎาคม จะมีการปรับให้ไวรัส covid เป็นโรคประจำถิ่น คนก็อาจจะเข้าใจผิดว่า ไม่ต้องสวมแมส ไม่ต้องตั้งการ์ดอะไรแล้ว ซึ่งตอนนี้เป็นช่วงต่อสู้ ทำสงครามกับไวรัส covid อยู่
ตัวเกณฑ์การตัดสินว่า ถ้าสามารถทำให้อัตราการตายน้อยลงกว่า 0.1 เปอร์เซ็นต์ คนสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่มีโรคประจำตัวด้วยต้องฉีดวัคซีนให้เกิน 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้ตามเป้า เหลืออีกหลายล้านคนยังไม่ได้ฉีด ก็ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของสังคมไทยกัน ก็อยากให้เชื่อทางหมอมากกว่า มีหมอศิริราชให้ข้อมูลมาว่าผู้ที่ป่วยโควิตแล้วต้องอยู่ใน ICU ก็เป็นผู้สูงอายุที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนเป็นส่วนใหญ่ ที่สันติอโศก รวมยอดคนที่ติด covid มีถึง 62 คนแล้วตอนนี้ รวมทั้งที่ไปทำงานจตุจักรรวมทั้งที่อยู่ในวัดด้วย ที่ศีรษะอโศก ติดกันประมาณ 1 โหล ของเราราชธานีอโศกติดเพียง 1 คน มีคนตั้งข้อสังเกตว่า บ้านราชอากาศถ่ายเทดี
ที่อุบลฯ ยอดติดเชื้อวันละ 2,000 กว่า ยังพุ่งขึ้นสูงเรื่อยๆ นิวไฮทุกวัน พวกเราจึงต้องให้ความระมัดระวังต่อไป ไม่มีอะไรจะดีที่สุดเท่ากับการเข้าหาความจริง ในโลกนี้ ความไม่จริงเยอะ ที่เข้าสู่ความพ้นทุกข์
พ่อครูว่า… ขอโอภาปราศรัยกับ SMS
SMS วันที่ 16-17 มีนาคม 2565
ขวัญ เขตบุญ : น้อมกราบนมัสการ พ่อครู ด้วยความเคารพบูชายิ่งค่ะ กราบนมัสการ ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ ทุกรูป ทุกบวร ด้วยความเคารพค่ะ เจริญธรรม อ.แป้ง และญาติธรรมทุกท่านค่ะ ลูกได้ยินเสียงพ่อครูไอคราวใด ลูกจะถามตัวเองทุกครั้งว่า ลูกติดอะไรอยู่ ลูกจะพยายามเข้ามาอยู่ กับเพื่อนพ้องน้องพี่ให้ได้ ค่ะ
พ่อครูว่า…ก็เอาใจช่วย
_โอ๋ บัวกรุ่นบุญ : ขอชื่นชมทีมจัดโต๊ะพ่อครูเทศน์ค่ะ จัดได้สวยงามแบบโลกุตระมาก มีความคิดสร้างสรรดีจังค่ะ ทำให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหาร แถมได้เผยแพร่สัจธรรม อาหารเป็นหนึ่งในโลก ,คนฉลาดสร้างอาหาร และยังเป็นการย้ำยืนยันความสำเร็จที่พ่อครูพาทำเรื่องกสิกรรมไร้สารพิษ อย่างเห็นเป็นรูปธรรมค่ะ เห็นแล้วรู้สึกมีชีวิตชีวา ประทับใจมากค่ะ
พ่อครูว่า…ย้ำ โชว์เสียเลย พ่อครูนำมะเขือ มีสองสี สีเขียวกับสีคั่ง อีกอันคือกระเทียมปุ๊ก ที่มัดเป็นพวง ส่วนอันนี้ ฟักทองลูกใหญ่ (ส.เดินดินยก) อาตมานึกถึง สมัยทำงานที่โทรทัศน์ มีการจัดประกวดลูกฟักทอง ตอนนั้นลูกมันใหญ่กว่านี้ เท่าถาดนี้เลย แถมเขาเอามาประกวดแล้ว เราก็จะดูทั้งผิวพรรณทั้งเนื้อใน ทั้งน้ำหนัก คนประกวดก็แหม เขาฉีดน้ำเข้าไปในฟักทอง ส่งมาประกวด เราก็ดูแล้วทำไมกระฉอกข้างใน ก็ผ่าดูมีน้ำในนั้น เพื่อเอาน้ำหนักเพิ่ม
อันนี้ เป็นธรรมชาติของพวกเราแต่ยังไม่ใหญ่เท่าที่ในยุคอาตมาประกวดทางโทรทัศน์ อาตมาประกวดสารพัดประกวดหมู ประกวดหมา ประกวดแมว ประกวดพืชผักรากไม้ รายการสิงสาราสัตว์
วิธีทำให้ฟักทองลูกใหญ่คือ ปลูกฟักทองหลายๆต้น เสร็จแล้วเอามารวมกันเอามาเชื่อม เพราะว่ามันสามารถทำได้ เอามาต่อกัน เป็นจุดเดียวกัน เสร็จแล้วมันก็จะเจริญ ออกลูกมาก็ตัดลูกอื่นทิ้งหมดเหลือเพียงลูกเดียวที่ดีที่สุด ให้ทุกๆเถาของฟักทองนำอาหารมาเลี้ยงลูกเดี๋ยวนี้ มีแม่เป็นสิบๆเถา มีลูกๆเดียว ใหญ่ กว่าจะหมดอายุเถาฟักทองก็ได้ลูกเบ้อเร่อเลย
_ตุ๊ก อัศวิน · น้อมกราบ._/\_.พ่อครู สมณ สขม ทุกรูป ด้วยความเคารพยิ่ง..เจ้าค่ะ
โยมประทับใจหัวข้อธรรม “๔ให้ ไม่๖” และจะน้อมนำไปปฏิบัติ..เจ้าค่ะ
โดยเฉพาะข้อสุดท้าย “ไม่สรุปกิเลสของผู้อื่น” กราบสาาาธุ..เจ้าค่ะ
4 ให้ ไม่ 6 คือหลักสูตรการปฏิบัติ ที่อาจารย์1 สมณะบินบน ถิรจิตโต ใช้สำหรับฝึกฝนให้ญาติธรรมที่มาเข้าคอร์สมหัศจรรย์ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้
** 4 ให้ ไม่ 6 หรือ บางทีก็ใช้เป็น 4 พร้อมล้อม 6 คือ
๑) พร้อมให้เวลา
๒) พร้อมให้ความเข้าใจ
๓) พร้อมให้อภัย ไม่ถือสา
๔) พร้อมให้ความร่วมมือ
** ล้อม6 (หรือไม่6) คือ
๑) ไม่แนะนำสั่งสอนใคร (ยกเว้นเขาต้องการและขอเราก่อน)
๒) ไม่พูดข้อบกพร่องของผู้อื่น ยกเว้นของตนเอง
๓) ไม่พูดข้อดีของตนเอง จะพูดข้อดีของผู้อื่น
๔)ไม่ด่วนปฏิเสธ แต่ให้รับไว้พิจารณาก่อน
๕) ไม่ด่วนชี้แจงโต้แย้งหรือโต้เถียง เมื่อมีคนติเตียนให้ขุมทรัพย์
๖)ไม่ด่วนสรุปกิเลสคนอื่น
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… คำแนะนำของอ.1 คือฝึกคนในเบื้องต้น ให้หันมามองตน ให้เป็นหลัก
คนกินมังสวิรัติต้องเลิกคบคนกินเนื้อสัตว์หรือไม่
_คุณ cbim cbim ฝากคำถาม ให้พ่อครู ตอบครับ
-
หมอเขียว บอก คนพาล คือ คนไม่มีศีล 5 ไม่ควรคบ แต่พ่อครู บอกว่า คนส่วนใหญ่ ในโลกโลกีย์ ไม่มีศีลข้อ 1 เพราะกินเนื้อสัตว์ ดังนั้น เราไม่ต้องคบใครในสังคมเลยเหรอครับ ตามมงคล 38 ประการ (พ่อ แม่ พี่น้อง ก็ยังกินเนื้อสัตว์อยู่)
พ่อครูว่า… จะพาซื่อถือเคร่งขนาดไหนก็มีอยู่ที่จริตของใครก็แล้วกัน คุณจะถือเคร่งขนาดไหนก็ตามใจ จะถือเคร่งขนาดที่คุณจะทำอย่างนั้นเลย อาตมาไม่ได้บอกถึงขนาดนั้นก็พูดถึงนัยยะสำคัญไป
ที่พูดว่าคนไม่กินเนื้อสัตว์ คนนี้มีภูมิปัญญาพอ ถือศีลข้อ 1 ถ้ามีความรู้ทาง อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติพอ เขาไม่กินหรอกเนื้อสัตว์ ไม่กิน โดยเฉพาะความรู้ทางวิทยาศาสตร์ว่าสัตว์ไม่ใช่อาหารของคน ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้
รายละเอียดลึกๆ น้ำย่อย ของคนก็เป็นน้ำย่อยที่ย่อยพืชเป็นหลักแต่ก็ย่อยสัตว์ได้ด้วยเท่านั้นเอง นอกนั้นพิสูจน์ได้ ภายนอก คนเป็นสัตว์ที่มีเล็บเป็นกีบ มีฟันกรามก็เป็นฟันบดไม่ใช่ฟันเขี้ยวฉีกเหมือนสัตว์กินเนื้อ ลำไส้ก็ยาว อะไรต่างๆนานา
การกินน้ำของสัตว์กินเนื้อกับสัตว์กินพืช ก็จะมีลักษณะต่างกัน สัตว์กินเนื้อ เวลากินน้ำจะเลีย ส่วนสัตว์กินพืชเวลากินน้ำจะดูดเอา เห็นไหมแค่นี้ธรรมชาติลึกซึ้งไหม มันต่างกัน รายละเอียดมีอีกเยอะแยะ
ก็คุณจะเคร่งขนาดไหนก็แล้วแต่
สายเลือดทางธรรมยั่งยืนกว่าสายโลหิต
-
พ่อครู ทำใจ อย่างไร ตอนพ่อแม่ เสีย และพ่อครู ทำใจตัดญาติทางสายเลือด ได้อย่างไร ถ้าจะมาทางโลกุตระ (ทุกวันนี้ ญาติทางสายเลือด พ่อครู เป็นอย่างไรบ้างครับ)
พ่อครูว่า… แม่อาตมาเสีย อาตมาไม่มีเวลารู้สึกอะไร เพราะอาตมาเรียนอยู่กรุงเทพฯ แม่เสียอยู่ที่อำเภอวารินนี่แหละ แล้วก็เผาเรียบร้อย เขาถึงส่งรูปมาให้ดู แล้วบอกว่าแม่เสียแล้วแก่อาตมา อาตมาก็เลยไม่มีเวลารู้สึกว่าแม่เสียหรืออย่างไร ก็ห่างเวลาไปเป็นเดือน เขาก็คงจะรู้ว่าไม่ควรจะต้องไปบอกอะไรมากมาย
ส่วนตอนพ่อเสีย ก็โตแล้ว ปฏิบัติธรรมแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก
เรื่องพ่อเสียแม่เสีย ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ทุกอย่างไม่มีอะไรไม่พรากจากกัน มันก็ต้องพรากจากการหมุนเวียนกันไป ถ้ายังมีวิบากต่อไปต้องมาเจอกันอีก ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ว่าจะเป็นวิบากทางปฏิฆะหรือวิบากทางรักทางผูกพัน
ถ้าจะมาทางโลกุตระจะตัดญาติทางสายเลือดได้อย่างไร
ญาติทางสายเลือดอาศัยกันเกิด มันก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับญาติทางสายธรรม สายธรรมนี้ยิ่งใหญ่กว่าสายเลือด สายเลือดเป็นโลกียะธรรมดา ผูกพันทางสายเลือด แต่สายธรรมนี้ ลึกซึ้งยิ่งใหญ่มาก อาตมากับพระพุทธเจ้าเป็นญาติสายธรรมกันเลย เป็นพ่อเป็นลูก เห็นไหม ไม่ได้เกี่ยวทางสายเลือดเลย แต่ลึกซึ้ง ยิ่งใหญ่กว่ากันเยอะ
อย่างพวกคุณที่มานี้ คุณว่ามาทางสายเลือดหรือสายธรรม ก็มาทางสายธรรม ทางสายเลือดอาตมาเขาก็เข้าใจ ตอนนี้แก่กันแย่แล้วก็เลยไม่ค่อยจะมากัน คนเล็กสุดตอนนี้ ก็ อายุ 70 กว่าแล้ว บัวบูชาก็ 80 กิ่งรักก็ 85 ส่วนนายฟ้า น้องชาย อยู่อเมริกาไม่ได้มีข่าวคราวอะไรเลย เขาก็คงจะไปเรื่องของเขาไป ไม่ส่งข่าวส่งคราวอะไรเลย ก็เหลือแต่ผู้หญิง 3 คน
มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน อาตมาเป็นคนที่ 1 มีน้องสาวน้องชายอย่างละ 3 ผู้ชาย 3 คนเหลืออยู่คนเดียว กับอาตมาเป็น 2 น้องชายก็คนติดกันกับอาตมา ก็เสียไปแล้วไปเผาที่ปฐมฯอโศก น้องชายคนเล็กก็เสียที่ปฐมอโศกเผาที่ปฐมฯเหมือนกัน นายด้าว นายชาติ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ที่เมืองกาญ สุดท้ายก็ตายที่โน่น
ก็ยังเหลือผู้หญิงอยู่ ยังไม่มีปัญหาอะไร เขาก็พยายามมา แต่อย่างไรไม่รู้ก็บังคับกันไม่ได้ อาตมาไม่ได้ไปบังคับนะ เขารู้เองก็มาเอง ตอนนี้รู้ว่าไม่เหมือนก่อน แต่ก่อนนี้มาบ่อยแต่เดี๋ยวนี้แก่แล้วก็ไปมายาก เรื่อง covid ด้วย ก็เลยมีเหตุปัจจัยต่างๆ
จริงๆแล้วเรื่องของจิตวิญญาณ มันเหนือชั้นกว่าอะไร ศึกษาดีๆเถอะ
พลังงานวัตถุกับพลังงานจิตวิญญาณต่างกัน
-
ในทางวิทยาศาสตร์ ผีเป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง ทำไมถึงมีรูปถ่ายวิญญาน + คลิปติดวิญญาน ตามงานศพต่าง ๆ โดยเฉพาะวิญญาณ ที่ไปแบบ ไม่สงบ เช่น ดาราสาวนั่งเรือตกน้ำ (ทั้ง ๆ ที่พ่อครู บอกว่า วิญญานไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า)
ขอบคุณครับ
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… สังคมที่มีความรู้เยอะ สุดท้ายก็ใช้ความเชื่อของตัวเองเป็นหลัก ไม่ได้อิงวิทยาศาสตร์ ไม่ได้อิงกับความรู้ที่มีอยู่ในโลกนี้
พ่อครูว่า… จริงๆ เป็นเรื่องของพลังงาน พลังงานทรงสภาพ อย่างเช่น กล้องที่ถ่ายคนในที่มืด เขาก็ใช้พลังงาน เรียกว่า กล้องอินฟาเรดหรืออย่างไร ถ่าย พลังงานสะท้อนเข้ามีสภาพจับกลุ่มก็เป็นกลุ่ม มันไม่มีรายละเอียดมากมายหรอก ก็ไม่เคยเห็นว่าถ่ายเป็นภาพสีด้วยนะ ถ่ายได้เป็นภาพขาวดำ
สรุปเนื้อหาสาระให้ฟัง คุณไปหลงพลังงานนั้นว่าเป็นนามธรรม แยกจิตวิญญาณกับพลังงาน ที่เป็นรูป เป็นอรูปให้ออก พลังงานกับสสาร มันก็เป็นดินน้ำไฟลม วัตถุ แต่นามธรรม มีจิตวิญญาณเข้าไปร่วมด้วย รูปเหล่านั้น มันมีจิตวิญญาณอยู่มันก็เลยเคลื่อนไหว ที่เขาถ่ายได้ เท่านั้นเอง อย่าไปสนใจมันมากเลยเรื่องพลังงานสสารที่เป็นวัตถุ มันเป็นไปอีกรายละเอียดเยอะทางวิทยาศาสตร์เอามาใช้ประโยชน์ก็ทำไป
แต่เราศึกษาพวกนี้ให้มุ่งมาหานิพพาน ไม่งั้นเสียเวลา มันมีอะไรประหลาดอีกเยอะแยะที่คุณจะติดหลงใหลในสิ่งเหล่านั้น
มีอะไรอีกอันมา 2 หน้ากระดาษเลยนะ หมางับหางตัวเอง ของ FB.ปรัตยา โสมสืบสาย
ประเทศเดียวในโลกที่ไม่ต้องสำรองเงินตราต่างประเทศหรือทองคำหรือทรัพย์สินอื่นเพื่อใช้เป็นหลักประกันให้กับค่าเงินของประเทศคือประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผลงานที่ชาญฉลาดในยุค ปธน. นิกสัน เริ่มจากการประกาศยกเลิกการสำรองทองคำในปี 1971 จากนั้นก็เริ่มเจรจากับกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง โดยใช้เทคโนโลยีทางทหารเป็นเครื่องต่อรองแลกกับการบังคับให้ซื้อขายน้ำมันด้วยเงินดอลลาร์ ประเทศไหนให้ความร่วมมือก็จะสามารถซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐได้ในราคามิตรภาพ การเจรจาเริ่มออกดอกออกผลในปี 1973 ซาอุดิอารเบียเป็นประเทศแรกที่ตกลง จากนั้นรัฐอาหรับอื่นๆ ก็ทะยอยตามมา จนในที่สุดการซื้อขายน้ำมันทั้งหมดในโลกต้องซื้อขายด้วยเงินสกุลดอลลาร์เท่านั้น
นั่นคือจุดเริ่มต้นของเปโตรดอลลาร์ และเป็นจุดเริ่มต้นของการผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจอย่างแท้จริงของสหรัฐ เปโตรดอลลาร์ทำให้เงินของสหรัฐเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ใครจะซื้อน้ำมันก็ต้องหาแลกเงินสหรัฐ แลกจากไหนกันหละ? ก็จากสหรัฐไงครับ สหรัฐพิมพ์ธนบัตรออกมาได้อย่างอิสระเสรี จะพิมพ์เท่าไหร่ก็ได้ สหรัฐซื้อน้ำมันอาหรับก็พิมพ์แบงค์ไปซื้อ ใครจะมาขอแลกเงินก็พิมพ์มาให้แลกแต่ส่วนต่างเยอะนะ จะให้ดีก็ขายของให้สหรัฐ ขายรถ ขายข้าว ขายแร่ ฯลฯ สหรัฐซื้อหมด อยากได้อะไรก็พิมพ์แบงค์มาซื้อ พิมพ์กันเป็นแบงค์กงเต็กเลยก็ว่าได้ ว่ากันว่าจำนวนเงินดอลลาร์ที่หมุนเวียนในตลาดโลกมากกว่าจำนวนเงินดอลลาร์ที่มีอยู่ประเทศหลายเท่าตัว
เปโตรดอลลาร์ทำให้สหรัฐแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้สหรัฐสามารถบริโภคทรัพยากรของโลกได้อย่างไร้ขีดจำกัด ตราบใดที่โลกยังใช้น้ำมัน ตราบนั้นเงินดอลลาร์ก็สามารถใช้จ่ายได้ทั่วโลก พิมพ์มาใช้ได้ไม่อั้นในขณะที่มูลค่าไม่เคยลดลง ทั้งๆ ที่มันเป็นเพียงกระดาษเปล่า เปโตรดอลลาร์กลายเป็นภาวะจำยอมของทุกประเทศ ทั้งๆ ที่รู้แต่ทำอะไรไม่ได้ และเปโตรดอลลาร์ก็เป็นจุดตายของสหรัฐ เป็นเส้นตายที่ห้ามใครก้าวล่วงอย่างเด็ดขาด
ปี 2000 อิรักเป็นชาติแรกที่ลองดีสหรัฐโดยการซื้อขายน้ำมันด้วยเงินยูโร และทำการค้าขายน้ำมันด้วยเงินยูโรอย่างเป็นทางการในปี 2002 ผลก็คือสงครามอ่าวในปี 2003 สหรัฐถล่มอิรักเละ ด้วยข้อหามีอาวุธ WMD ที่ทุกวันนี้ก็ยังหาไม่เจอเอาไว้ในครอบครอง หลังสงครามจบลง อิรักก็ถูกบังคับให้ซื้อขายน้ำมันด้วยเปโตรดอลลาร์อีกครั้ง ถัดมาจากอิรัก กัดดาฟีแห่งลิเบียก็อาจหาญขึ้นมาท้าทายสหรัฐด้วยการประกาศชักชวนให้อาหรับซื้อขายน้ำมันด้วยเงินสกุลอื่น ผลก็ออกมาอย่างที่รู้กัน ลิเบียเละ
ผ่านจากช่วงถล่มอาหรับ สหรัฐก็เริ่มเปิดศึกกับจีนและรัสเซีย เพราะจีนกับรัสเซียเริ่มจะถอนตัวออกจากการใช้เปโตรดอลลาร์ จีนหันมาใช้เงินหยวนมากขี้นในขณะที่รัสเซียก็เริ่มใช้เงินยูโรกับเงินรูเบิลมากขึ้น นี่เป็นสัญญาณอันตรายสำหรับสหรัฐ แต่สหรัฐจะไปถล่มจีนกับรัสเซียเหมือนกับที่ถล่มอาหรับก็ทำไม่ได้ เลยเป็นที่มาที่ไปของการเปิดสงครามการค้าแบบเต็มรูปแบบกับจีน เล่นทุกทางทั้งขึ้นภาษีทั้งถล่มค่าเงิน งดส่งออกเทคโนโลยี พยายามทำให้จีนอ่อนแอลง ในขณะเดียวกันก็พยายามกดดันรัสเซีย ขยายนาโต้ ปั้นหุ่นกระบอกยูเครน ฝีมือสหรัฐล้วนๆ พวกยุโรปแค่ยืนเป็นตัวประกอบ สงครามยูเครนก็สหรัฐนี่แหละ เพราะฟางเส้นสุดท้ายที่วางลงบนหลังอูฐปูตินคือฐานยิงขีปนาวุธพิสัยกลางของสหรัฐ ของสหรัฐครับไม่ใช่ของนาต้งนาโต้อะไรทั้งนั้น
ดังนั้นมันจึงไม่น่าแปลกใจอะไรเลยที่สหรัฐจะออกงิ้วก่อนใคร วาดลวดลายเยอะกว่าใครในสงครามรัสเซีย-ยูเครน โอกาสทองในการถล่มรัสเซียให้จมดิน กะพังเศรษฐกิจรัสเซียให้ยับเยิน แถมลากอียูเข้ามาจมน้ำด้วย กินสองต่อเข้าฮอส นอกจากจะแบนนั่นแบนนี่แล้วล่าสุดยังอนุมัติเงิน 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในการช่วยเหลือยูเครน ประเทศโคตรพ่อโคตรแม่อะไรรวยขนาดนั้น แจกเงินเป็นว่าเล่น ชิวๆ ครับ แม่งพิมพ์แบงค์กงเต็กได้เอง จะเอากี่หมื่นกี่แสนล้านก็ได้ สหรัฐรู้ครับว่ายูเครนยังไงก็แพ้รัสเซีย สิ่งที่สหรัฐต้องการก็คือลากรัสเซียให้ติดหล่มยูเครนให้นานที่สุด ให้รัสเซียล่มจมให้มากที่สุด ยูเครนชนะก็เป็นของแถม ยูเครนแพ้ก็ไม่เสียหาย สหรัฐได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ใช้ความตายของคนยูเครนเล่นรัสเซียได้อีกนาน
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแบงค์กงเต็กที่เรียกว่าเปโตรดอลลาร์ ถ้าเปโตรดอลลาร์ล่มสลาย มันก็หมายถึงสหรัฐถึงคราวล่มจม ค่าเงินดอลลาร์จะดิ่งนรก เศรษฐกิจของสหรัฐจะพังพินาศ ต่อจากนี้ไปจะต้องหาเงินมาซื้อของไม่ได้พิมพ์แบงค์กงเต็กมาแลกของฟรีๆ ได้เหมือนแต่ก่อน แถมยังเป็นหนี้เค้าไปทั่วโลก เจ้าหนี้จะมารุมทึ้งกันก็คราวนี้
สหรัฐกับเปโตรดอลลาร์ มันก็เหมือนกับหมาที่วิ่งไล่กัดหางตัวเอง หยุดวิ่งไล่กัดหางเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น
สวัสดีครับ:)Cr. FB.ปรัตยา โสมสืบสาย
พ่อครูว่า… ขอบคุณ ส่งเนื้อหาสาระมา อาตมาไม่รู้ลึกเท่าไหร่ อาตมาพอรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ขอบคุณเลยทำให้อาตมาได้รู้สิ่งที่คุณเอามาแชร์มาขยายให้เห็น
อาตมาไม่ได้เกลียดไม่ได้ชังใครในโลก สหรัฐก็ไม่ได้เกลียดเขา สงสารเขา แต่ทำไมเขาทำตัวเช่นนั้น เช่นเดียวกันกับทักษิณ อาตมาไม่ได้เกลียดทักษิณเลย แต่ทำไมถึงทำตัวเช่นนั้น ทุกวันนี้ก็ยังทำตัวเช่นนั้น เมื่อไหร่จะสำนึก เมื่อไหร่จะรู้สึกตัว มันยาก ไม่มีทางเจริญกับเขาได้ ไม่เจริญ ขอยืนยันว่าไม่เจริญ มีแต่เสื่อมกับเสื่อม จริง นี่เป็นเรื่องที่เป็นความจริงอาตมาพูดความจริง ไม่ได้ไปถล่มทลายเขา ไม่ได้โกรธไปชัง
เพราะฉะนั้นเราก็เป็นไปตามเรา เขาก็เป็นไปตามเขา ของคนไทยเรามีหม่อมเจ้า สิทธิพร กฤดากร ที่บอกว่าเงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง
เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าสิ่งเหล่านั้น เราเป็นคนจนไม่ต้องไปเดือดร้อนกับเขา เขาวัดคนได้เงินได้ทอง ทั้งเงินทั้งทอง ไม่ต้องไปตกอกตกใจกับมันเท่าไหร่เลย พวกเรานี้เข้าใจ เคยให้เหรียญให้จี้ทอง พวกเราก็เอาไปคืนหมด เอาไว้เดี๋ยวก็จะหายไปเปล่า เอามาคืนอาตมา อาตมาก็เลยเอามารวมไว้ สักวันก็จะหลอมให้เป็นแท่งขาย เดือนนี้บาทละ 3 หมื่นกว่าแล้ว
วัตถุประดับตกแต่งของเราส่วนใหญ่ใช้ทองเหลือง เคยใช้ทองคำประดับที่เจดีย์ แปลกว่าขนาดเจดีย์ทองคำก็ยังขึ้นสนิมได้ ปกติทองคำมันขึ้นสนิมไม่ได้นะ แต่ของอโศกสามารถทำทองคำให้ขึ้นสนิมได้นะ แน่ไหม ยอดจริงๆเลย
คนคิดไม่ออกว่าทำไมมันเป็นสนิม มันเป็นสนิมเพราะว่า แกนของเราที่สร้างเป็นเจดีย์สร้างด้วยทองเหลือง เสร็จแล้วเราก็จะฉาบด้วยทองคำ เราก็ไม่ได้ใช้วิธีลงรักปิดทอง เราไปซื้อเครื่องพ่น เรียกว่าพ่นทองโกลด์มาสเตอร์ ก็จะไม่ได้ติดแน่นเหมือนกับลงรักปิดทองเราไม่ได้ทำอย่างนั้น เราทำแกนด้วยทองเหลืองแล้วเอาทองคำฉาบภายนอก ก็ไปซื้อเครื่องมือพ่น มาจากอเมริกาเลยเครื่องละ 2 แสนกว่า เขาเรียกว่าพ่นแบบ Gold Master ก่อนจะพ่นอันนี้ใส่ก็ต้องใช้นิกเกิล เป็นกระษัยเป็นตัวเชื่อมทำทองให้มันติด เป็นตัวประสาน เสร็จแล้วจึงพ่นทองคำฉาบเข้าไปอีกทีให้ติด ตอนทำใหม่ๆเหลืองอร่ามสวยเลย
เสร็จแล้วพวกเราก็หวังดีอยากให้มันสะอาดแต่มีความรู้ไม่พอ เอาน้ำยาไซยาไนด์มาเช็ดราบหมดเลย มันก็ซึมเข้าไปในร่อง เพราะไม่ได้เป็นแผ่นทองคำมันมีร่องละเอียดเล็ก อาโปธาตุ มันเข้าไปทำปฏิกิริยากับนิกเกิลออกไปเป็นสนิม ออกมากลบทองคำ เจดีย์ของอโศก เจดีย์พระวิหารพันปีจึงดำเป็นสนิมด้วยประการฉะนี้ เป็นทองคำจริงนะ แต่กลางคืนไฟส่องดูเหลือง กลางวันเจอแดดก็ดำเพราะเป็นสีสนิม สีน้ำตาล
สมณะเดินดิน… ขโมยก็เลยไม่มาขโมย
พ่อครูว่า… ก็ดีอย่าง
ความหลังของหนังสืออโศก
มาพูดถึงความหลัง เจอหนังสืออโศก เป็นนิตยสาร พยายามจะออกหนังสืออโศกเป็นนิตยสารตอนนั้น ตอนนั้นไม่มีใครช่วยมาก นามปากกาคนเดียว จนกระทั่งบอกว่าใครจะมาช่วยเขียนก็ใช้นามปากกาอันเดียวกันหมดนะ ใช้คำว่า อโศก ตอนนั้นก็ยังไม่มีใครมาก อาตมาก็บรรเลงคนเดียว ทั้งเขียน ทั้งออกแบบ Font เห็นมั้ยว่าอันนี้เป็น Font อโศก อาตมาเป็นคนออกแบบนะ
หน้าปกเล่มที่ 1 เป็นภูกระดึง อันที่ 2 เป็นรวงข้าว เล่น 13 เป็นดอกผักบุ้ง แต่ว่าหาต้นฉบับไม่ได้มีแต่ถ่ายเอกสารมาเป็นรูปขาวดำ
อ่านเนื้อหาเล่ม 1 นิดนึง
ชื่อหัวเรื่องว่า นี่แลคือธรรมะ
เราได้ “พระอาทิตย์แรกอรุณบนยอดภูกระดึง” มาทำปกหนังสืออโศกฉบับแรก อย่างพอดิบพอดี ถ้าใครเคยขึ้นไปอยู่บนยอดภูกระดึง จึงจะรู้ดีว่า ที่จะได้เห็นพระอาทิตย์แรกอรุณนั้น ไม่ใช่โอกาสง่ายๆ เพราะบนนั้นเต็มไปด้วย “เมฆฝ้าและราคี” ที่บดบังพระอาทิตย์ไว้เสมอ ประหนึ่ง “กิเลสและตัณหา” ที่บดบังแสงแห่งธรรมไว้ ในดวงจิตของคนนั่นเอง จะไม่ยอมให้ เจิดจ้าแจ่มแจ้งโผล่ออกมาแสดงตน จนลบเลือนเกลื่อนความมืดบอดให้หายไปจากจิตของคนได้ง่ายๆ แต่เราก็ได้มาแล้ว ความเจิดจ้าแสงแดดสีสาดทอแผ่ผ่านม่านเมฆและเหลี่ยมหินทั้งหลาย อย่างท้าทายจำรัส เหยียด ยอดผาที่ท้าทายที่ยกตนว่าใหญ่โตโอ่อ่าสง่างามให้เห็นเป็นความทมิฬดำอยู่รำไร เยียดยัดความต่ำให้แก่มุ่นเมฆที่ลวงคนอย่างสนิทว่าตนเป็นเบื้องบน ให้ใครๆเห็นเป็นทะเลเรี่ยเตี้ยต่ำ นั่นก็จงดูเอาเถิด !
สัจธรรมอยู่ตรงนี้เอง พูดแจ่มแสงแจ้งความจริงได้เท่านั้น จึงจะซึมซาบสภาวะธรรมว่า โลกนี้มีบน มีล่าง ก็เพราะยึดถือ มีต่ำ มีสูง ก็เพราะสมมุติ และขีดแบ่งกันไปเอง แท้จริง เมฆ ก็มีโอกาสลงไปเป็นทะเลธารา ทะเลก็มีโอกาสขึ้นมาเป็นเมฆ ตามกาละและเทศะ แห่งบทบาทที่เป็นไปอย่างแท้จริง
แต่นั่นแหละ “สุข” นั้นไม่ใช่ทั้งการได้ชื่อว่า “เมฆฟ่องฟ้า” และหรือ ”ธาราอันไพศาล” นั้นหรอก แม้จะเป็นเมฆที่ต่ำเตี้ย หรือธาราเพียงหยาดหยดหนึ่ง ก็จะเป็นประโยชน์ให้แก่โลกมากที่สุดนั่นเทอญ
เมื่อโลกทั้งโลก “สุข” เราจะหลงไปแอบ “ทุกข์” คนเดียวอยู่ ณ ซอกใดของโลกเล่า!
โอ้โห..สํานวนโพธิรักษ์ พ.ศ. 2524 สุดลิเกทรงเครื่องเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังมีคนหลงลีลาที่ไพเราะเพราะพริ้งเหล่านี้อีกเยอะ แม้แต่ท่านเพาะพุทธก็เถอะ ยังติด ไพเราะเพราะพริ้ง ซึ่งเป็นคำสมัยนี้ พูดคำไพเราะ เรียกภาษาสมัยใหม่ว่า วาทกรรม
คนยุคนี้ใช้ภาษาเป็นวาทกรรม วาทกรรมนี้ไม่ใช่ไพเราะอย่างเดียว คมด้วย ไพเราะด้วย คมด้วย อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันกลบเกลื่อนสัจจะ มันอาบพอกสัจจะ
อาตมาพูดความจริง โสกโดกมาก ผ่าตรงๆ พยายามอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ให้มันหยาบอาตมาพูดแรงเท่านั้นเองแล้วไปพูดถึงความผิดความชั่วด้วย ภาษาที่เรียกความผิดความชั่วของคน มันหยาบ
ฟังอีกที ภาษาที่พูดถึงความผิด พูดถึงความชั่ว ความเลวร้ายของคน มันเป็นภาษาที่พูดไปแล้วมันหยาบ มันแรง มันเลี่ยงไม่ได้หรอก อาตมาจำนนที่จะต้องพูด ถึงความชั่วความผิด ขนาดนั้นเขายังไม่รู้ตัวเลย เห็นความโง่ของคน
บอกถึงความหยาบด้วยภาษาที่หยาบแล้ว อาตมาก็พูดนี้มันแรงมันหยาบ เพราะพูดถึงความผิดความชั่ว บอกแล้วว่ามันตรง มันหยาบ ความผิดความชั่วนี้บอกแล้ว จะเป็นคำไพเราะได้อย่างไร ก็เป็นคำหยาบทั้งนั้น
ยกตัวอย่างเช่น ขี้ อย่างนี้ จริงๆ ขี้ ไม่ใช่ความเลวเท่าไหร่ แต่เขาว่ามันหยาบแล้ว เห็นไหม พูดถึงอะไรต่างๆหลายอย่าง พูดอะไรก็พูดตรงๆ มันหยาบ ถ้าพูดถึงสิ่งที่เขา บางทีนี่เขาปกปิด คนจะปกปิดความชั่ว เขาจะปกปิด เพราะฉะนั้นเอาความชั่วสิ่งที่เขาปกปิดมาพูด หยาบ
อาตมาเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดความจริง จะผิดจะถูกก็ต้องพูดความจริง มันเลยดูแรงๆหยาบๆ มันเลี่ยงไม่ออกจริงๆ ก็จำนน
อาตมาได้อธิบายเรื่องพญานาค เขียนเอาไว้ 10 ข้อ ให้เห็นว่าพญานาคนี้ เป็นโจรร้ายของศาสนาพุทธ เพราะมาหลับตาเป็นพญางู
ลัทธิหลับตาพญางูเป็นลัทธิโจรภัยของศาสนาพุทธ อาตมาพูดตรง ไม่ได้ใส่ความใส่ไคล้ แรง ฟังแล้วเหมือนมันหยาบว่าเขาเป็นโจร เป็นผู้ร้าย ก็เป็นจริงๆ
อาตมาอธิบายมาถึง 7 ข้อแล้ว ไม่ทวน อธิบายไว้ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม
ตำนานพญานาค ตอนที่ 2
-
เมื่อ“นาค”พยายามซึมแทรกเข้ามาบวชในศาสนาพุทธได้ ก็พยายามจะไม่ให้“ความเป็นนาค”บังเกิดออกมาอย่างยิ่ง อย่างใหญ่อย่างมหายิ่งมหาใหญ่ จนต้องเรียกว่า “พญา”ผู้ยิ่งใหญ่ ที่รักศรัทธาศาสนาพุทธ ก็พากเพียรที่จะ“ไม่ให้ตนเป็นนาค” ก็เท่ากับผู้เฝ้ารักษาความเป็นพุทธอย่างยิ่งใหญ่ จึงมีสัญลักษณ์เป็น“นาคปรก ๗ เศียร” นั่นหมายถึงผู้รู้ว่า ตัวเป็น“นาค”ผู้มีรากฐานมาจากงู แต่รักศรัทธาศาสนาพุทธสุดชีวิต จึงคอยปกป้องรักษาศาสนาพุทธจริงจังเต็มที่ แล้วปณิธานของตนก็จะเป็นพุทธสุดยอดให้ได้ ถึงพระพุทธเจ้าโน่นแหละ ก็แสดงถึงความเป็น“นิยตะ” ซึ่ง“ปุคคลาธิษฐาน”ก็คือ “พญานาค ๗ ตัว ๗ หัว”ปกปักรักษาพระพุทธ
นั่นคือ มี“ความปรารถนาเจตสิก”เข้าขั้นยินดีในพุทธแล้วแน่นอน ไม่มีเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
จึงนับเข้าขั้นผู้รู้ดีในความเป็น“นาค”อย่างยิ่ง และจะออกจากความเป็นนาคให้ได้เด็ดขาดจริงแท้ด้วย จึงนับเข้าขั้นเป็นผู้รู้ทันคนปลอมตัวมาบวชในศาสนาพุทธ ก็กลายเป็นทั้งมือปราบคนปลอมตัวมานอน มาหลับ มาซุกตัวเผยแพร่“ความเป็นงู-ความเป็นนาค”ทั้งตนก็ยังเป็น“นาค”อย่างยิ่งอยู่ ที่มาเผยแพร่ลัทธิงูลัทธินาคในพุทธเสียเลย ซึ่งเป็น“ภาวะมายา” คือ “ภาวะ ๒”ซ้อนอยู่ใน“ภาวะ ๑” โดยตนก็“อวิชชา”อยู่ตลอด
-
ซึ่ง“อนุสัย”ของ“นาค”ก็ยังมี“อัตตา”จอมยึดเก่งยอดจนได้ชื่อว่า เป็นจอมนาคหรือพญานาคเข้ามาเผยแพร่ลัทธิหลับ ลัทธินอนของตนจนได้ เป็นยอดงู ยอดนาค จนศิลปินต้องยกฐานะให้เป็น“พญางู”ก็ตกแต่งหน้าตา หูหัว สัดส่วนรูปร่าง“งู”ให้มีรูปร่าง มีหงอน มีแง่ แต่งองค์ทรงเครื่อง มีลายกนกตกแต่งเป็นลวดลายพิเศษให้เป็น“งู”ยิ่งใหญ่ ที่เขื่องโก้ หรูหรา มโหฬาร แตกต่างจาก“งู”สามัญ เป็น“พญางู-พญานาค” มีรูปโฉมดังที่เห็นกันอยู่ตามจินตนาการศิลปะไทยนั่นเอง
-
“ธาตุแท้”ของตนก็คือลัทธิ“หลับ” เมื่อยิ่ง“ หลับ”ก็ยิ่งไม่ตื่น-ไม่รู้โลก ทับทวีหนาหนักซับซ้อนนับไม่ถ้วน ก็ยิ่งคือ “ผู้สั่งสม อวิชชา”เป็น“พญานาค”ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งโต ยิ่งมโหฬาร ลงบาดาลลึกๆๆๆ ก็ยิ่ง“อวิชชามืดดำ”ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆไปอีก
-
สุดท้ายแห่งสุดท้ายก็หมดท่าแห่งความตื่น สิ้นสภาพผู้ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จึงกลายเป็น “พญานาค” ที่ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” สาหัสสากรรจ์นานหนัก อาการถึงขั้น“ไม่มีการตื่น”มารู้เห็นอะไรกันเลยตลอดระยะแห่งกาลที่ยังไม่มี “พระพุทธเจ้า”อุบัติขึ้นมาในโลกแต่ละพระองค์ จะรู้สึกตัวขึ้นมาทีหนึ่งก็แค่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกองค์หนึ่ง รู้แค่นั้นจากนั้นก็หลับต่อ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” เฝ้าถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลกอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึกนั้นเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้อะไรที่เป็นพุทธเลย
(168) “สักกายทิฏฐิ”จึงเป็น“ทิฏฐิ”ข้อที่ 1ใน“สังโยชน์ 10”
แม้แต่ว่า ถาดทองหรือธรรมของพระพุทธเจ้านั้น “ทวนน้ำ” หรือ “ทวนกระแสสามัญโลกียะ”นะ! ก็ไม่รู้ว่า “ทวนกระแส” คืออะไร? ก็ยังพากันหลงจมงมงายไปกับโลกียะอยู่ จึง หยำเหยอะไปด้วย“ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข”อยู่นั่นแหละ
ไม่รู้จัก“กาย”กันเลย ยิ่ง“สัก”ก็ยิ่งมองไม่เห็น!
ด่ำดิ่งอยู่กับ“กาย” มืดบอดอยู่กับ“สัก”กันอยู่นั่นแหละ
คลุกคลีอยู่กับสวรรค์-นรกโลกีย์กันอยู่หน้าระรื่น
รู้จักรู้แจ้งรู้จริง แม้แต่คำว่า“กระแส(โสต)”กันที่ไหน?ตนเอง“ไหลลิ่ว” แย่งกันไหลไปกับกระแสโลกีย์กันอีก ด้วยซ้ำ ก็ไม่รู้ตัวกันเลย ไม่ต้องพูดถึง “การทวนกระแส” หรอก
ล้วนยังจมงมงายเป็น“พญานาค”กันอยู่หน้าตาเฉย
ถ้าไม่มี“ตำนาน”ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าที่แต่ละพระองค์ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วไปหยุด ณ ที่แห่งเดียวกัน ตรงกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วจมลงไปกระทบกับถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน มีเสียงดัง “ด้วยเสียงของถาดทองคำ” นั้น ซึ่งหมายถึงเสียงสุดวิเศษแห่ง“โลกุตรธรรม” อันไม่มีธรรมใดของศาสนาใดในเทฺวนิยมมีกันได้เลย กระนั้นก็ยังทำให้“พญานาค”รู้ได้ว่าเป็นเสียงของ“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้า” ได้อย่างเดียวเท่านี้ เท่านั้น นอกนั้น “ไม่รู้” อย่างอื่นอะไรเลยสักนิดทั้งสิ้นทั้งนั้น
เริ่มตั้งแต่คำว่า “กาย”ก็“มิจฉาทิฏฐิ”สนิทแล้ว
ความเป็น“สัก”จึงไม่รู้ว่า“มันพิการ”ไปแล้วอย่างไร? หนักหนาสาหัสปานไหน?
จึงเป็น“พญานาค”เต็มสภาพ ตั้งแต่“ทิฏฐิ”ข้อที่ 1 ก็“มิจฉาทิฏฐิ”กันบริบูรณ์ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” แม้จะมี“คนผู้สาธยาย“โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าคอแตกปานใด “พญานาค”ก็ยังคง“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”อะไรทั้งนั้น มืดบอด สนิทกันอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรลึกสุดนั้นตลอดกาล “ไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิ๊ด”ขึ้นมาเลย ราวกับก้อนหินก้อนดินก็ไม่ปาน
ล่วงเลยยุคกึ่งพุทธกาล(2500 ปี)ไปแล้ว โลกจะไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแน่นอน มีก็แต่ “พระโพธิสัตว์ หรือ “สัตตบุรุษ”เท่านั้นผู้มาทำหน้าที่สืบทอด“พุทธธรรม” ที่เป็น “โลกุตรธรรม” ของพระพุทธเจ้าตามหน้าที่อย่างสำคัญ
แม้พระโพธิสัตว์หรือสัตตบุรุษ เกิดขึ้นมาในโลกทำหน้าที่สืบสาน“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า “พญานาค”เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาใดๆเลย แม้จะปลุก จะกระทุ้งกระแทกด้วยปากหอก(มุขสัตตี) จะแทงด้วยหอก 100 เล่ม เช้า-กลางวัน-เย็น จนหอกหักหมดเกลี้ยง “พญานาค” ก็ไม่รู้สึกตัวกันขึ้นมาได้
“พญานาค”ก็คือ “ชาวพุทธกระแสหลัก”ในยุคนี้ ในทุกวันนี้นั่นเอง ที่เป็นจริง ยืนยันความจริงนี้กันอยู่อย่างเห็นๆ
เพราะ“หู”ของชาวพุทธกระแสหลักได้พิการไปหมดแล้ว วิตถารไปด้วยซ้ำ คือ รับรู้ได้แต่“เสียงของโลกธรรม”ว่าไพเราะสุดซึ้งเสียเหลือเกิน จึงหลงเพลินไปกับ“โลกียธรรม”
เนื่องจากเสียงของ“โลกียะ” กับเสียงของ“โลกุตระ”มันเป็นคลื่นเสียงคนละคลื่นกันจริงๆ จึงรับคลื่นโลกุตระไม่ได้
เมื่อ“หูหนวกตาบอด’กับเสียง“โลกุตระ”กันแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ“สัตตบุรูษ”ที่จะต้องรักษา“หู-ตา”ให้แก่ชาวพุทธกระแสหลักให้หายจาก“หูหนวก-ตาบอด”ให้ได้
กระนั้นก็สุดยากแสนยากกันจริงๆ เพราะชาวพุทธกระแสหลักเขาได้พากันหลงยึดมั่นถือมั่นใน“มิจฉาทิฏฐิ”กันหนักหาสาหัสจนได้ชื่อว่า “พญานาค”กัน ดังที่เห็นและเป็นอยู่
แม้แต่“กาย”เขาก็ยัง“มิจฉาทิฏฐิ”ไม่“พ้นสักกายทิฏฐิ”กัน
(169) ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คนผู้“อวิชชา”นั้นมีมาก
50 กว่าปีแล้วที่อาตมาได้อุตสาหะพยายามใช้เรี่ยวแรงความสามารถปลุก“พญานาค” ก็มีแต่ผู้ที่มี“ดวงตา”หรือมี“ธุลีในดวงตาน้อย”จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่พอได้ยิน และได้ตื่นขึ้นมารู้โลกุตรธรรม และได้เรียนอบรมฝึกฝนจนกระทั่งบรรลุ“โลกุตรธรรม”ได้สำเร็จจริงจำนวนเล็กน้อย
ส่วนใหญ่นอกนั้นก็ยังคงหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น เป็น“พญา นาค” นอนเฝ้า“ถาดทองคำ”ของพระพุทธเจ้ากันอยู่ ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คน“อวิชชานั้นมีมาก แต่ก็ต้องพยายามกันอย่างยิ่ง เพราะ“กรรม”นั้นเจริญด้วย“ความพยายาม”แท้จริง จะท้อถอย“หยุดทำกรรม”ไม่ได้ โดยเฉพาะ“กรรมที่ดีที่วิเศษเป็นโลกุตระ”
ที่ต้องพูดว่า เขายังเป็น“พญานาค”กันอยู่นั้น
ก็เพราะ“เขา”ได้ยินเสียงวิเศษจริงๆ(เสียงของ“โลกุตระ” แท้ๆนี่เอง) แต่เพราะความ “อวิชชา” สนิท ก็“หูผึ่ง”ขึ้นมาแวบหนึ่งเท่านั้นก็หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นหรืออวิชชาต่อไปว่า อ้อ! พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก อีกพระองค์หนึ่งแล้วเหรอ? ว่าแล้วก็“หลับสนิท”อวิชชาตลอดระยะยาวนานที่เป็น“กาล” นั่นคือ “เป็นงูโง่หรือโง่เป็นงู”ต่อไป ทับถมให้“อวิชชา”หนาหนักเพิ่มขึ้นยิ่งขึ้นๆ ด้วยการหลงใหลหลับไหลอยู่กับการ ปฏิบัติ“หลับตา”เป็น“พญานาค”นอนเฝ้าถาดทองคำอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ที่มีถาดทองคำซ้อนกันเป็นล้านๆถาด
ซึ่งพระพุทธเจ้านั้นมีอุบัติขึ้นมาในโลกนับไม่ถ้วนเป็นล้านๆพระองค์แล้ว และก็จะมีพระพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นๆไปกับกาลของโลกนี้แหละ “พญานาค”ก็จะหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นตัวจริง ยิ่งใหญ่ นอนเฝ้า“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นต่อไปลึกลงไปอีกๆๆๆ ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆ ไม่มีสิ้นสุด เพราะในโลกจะมีคน“อวิชชา”จำนวนมากครองโลกเป็นปกติสามัญ
ที่ไม่รู้จักแม้แต่ความเป็น“กาย” ก็รู้แจ้งรู้จริงไม่ได้ ยัง“พ้นสักกายทิฏฐิ”ไม่ได้ง่ายๆ ดังที่เป็นที่เห็นจริงกัน
-
“พญานาค”ก็ยังคงมีแม้ทุกวันนี้ คือ “งู” หรือคนที่มีลัทธิวิธี“หลับตา”หรือ“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”ก็เป็น“โจรปล้นพุทธศาสนา”อยู่นั่นเอง ที่พระราชาให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย
-
ที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเปรยไว้ว่า “ผู้ทำลายศาสนา” นั้นคือ “โจร” ที่มีพระราชาผู้เป็นผู้รู้ว่าใครเป็นโจร จึงสั่งให้เจ้าพนักงานไปประหารเสีย ประหารด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้าแต่“โจร”ก็ไม่ตาย ยังทำการปล้นทำลายศาสนาอยู่นั่นเอง พระราชาทรงพบเจ้าพนักงานก็ตรัสถามว่า โจรตายหรือยัง? เจ้าพนักงานก็ทูลตอบว่ายังไม่ตาย ก็สั่งให้ไปประหารอีกในตอนกลางวันด้วยหอกร้อยเล่ม ตกเย็นพระราชาพบเจ้าพนักงานก็จะถามอีกว่าโจรตายแล้วหรือ เจ้าพนักงานก็ทูลตอบอีกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็ทรงให้ไปประหารด้วยหอกร้อยเล่มในตอนเย็น โจรก็ยังไม่ตายอยู่ๆ (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 244) ใครเห็น“พญานาค”กันได้บ้างเอ่ย?
-
ทุกวันนี้ “พญานาค”ก็จึงยังไม่ตาย ยังพากันมาปลอมบวชในศาสนาพุทธ มาพาชาวพุทธผู้ด้อยปัญญา ไป“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น” เป็นคนไม่มี“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา -อาโลก”กันอยู่ เห็นไหมว่า “พญานาค” ก็ยังมีอยู่นั่นเอง